เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ มี.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ อาหารกาย อาหารใจ พระบวชมาก็ต้องใช้ปัจจัยเครื่องอาศัย บริขาร ๘ นี่ปัจจัย ๔ บาตรเป็นอาหาร จีวรเป็นเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคเป็นน้ำดองมูตรเน่า แล้วที่อาศัยก็กลด ปัจจัย ๔ ปัจจัยเครื่องอาศัย อาหารกาย แต่ธรรมะเป็นอาหารใจ คนจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ถ้ามันทุกข์ก็คือทุกข์ ถ้ามันสุขก็คือสุข แต่ความเข้าใจผิดของเรานะ ความเข้าใจผิดของเรา เราคิดว่าถ้าเราทำสิ่งใดสมความปรารถนานั่นจะเป็นความสุข

ตัณหาความทะยานอยากเป็นสมุทัย ในอริยสัจ หัวใจของศาสนานะ อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. “ทุกข์” คือสัจจะความจริง.. “สมุทัย” คือตัณหาความทะยานอยาก เป็นสมุทัย ความที่เป็นสมุทัยนี่ละได้ สิ่งนี้แก้ไขได้ แต่ตัวทุกข์เป็นตัวความจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดานะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชีวกเป็นหมอประจำพระองค์นะ พระอรหันต์ก็มีเจ็บไข้ได้ป่วย ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นความทุกข์ไหม เป็นความทุกข์ ทุกข์อันนี้มันมีตามประจำธาตุขันธ์ใช่ไหม ความเป็นประจำธาตุขันธ์มันมีอยู่ของมันโดยธรรมชาติ แต่ถ้าไม่มีตัณหา ไม่มีความทะยานอยาก ไม่มีความทุกข์กังวลกับมัน มันก็เป็นสัจจะความจริงอันหนึ่งน่ะ มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่งใช่ไหม

แต่มันทุกข์เพราะเราไม่พอใจ เราไม่อยากเป็น ไม่ยอมเป็น ไม่ยอมรับ ถ้ามันยอมรับความจริงเห็นไหม ตัวนี้ตัวสมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก “ตัณหา-วิภวตัณหา” คือต้องการแสวงหากับผลักไส เวลาเกิดขึ้นมาไม่พอใจจะผลักไส “ตัณหา-วิภวตัณหา” สิ่งที่ไม่พอใจจะผลักไสมัน มันผลักไสไปได้ไหม มันก็อยู่ของมันเป็นธรรมดา

ดูสิ ดูข่าวสาร โลมาทั้งฝูงเลย ขึ้นมาเกยตื้น คนต้องมีความสงสารมัน พยายามจะเอาลงไปในน้ำ ถ้ามันอยู่ในน้ำของมัน มันก็ดูมีความสุขของมัน ถ้ามันมาเกยตื้น เกยตื้นคืออะไร คือร่างกายของมันตัวมันใหญ่มาก ถ้ามันอยู่ในน้ำ เราไม่เห็นมันเลย มันก็เป็นธรรมชาติของมันที่มันอยู่ในน้ำของมัน มันเป็นความสุขของมัน เวลามันเกยตื้นขึ้นมา ตัวมันใหญ่โตมหาศาลเลย แต่มันช่วยตัวเองไม่ได้ มนุษย์มีความเมตตา มีความสงสารมัน พยายามจะเอามันลงไปในน้ำอย่างเดิม ให้มันอยู่ตามสัจจะความจริงของมัน

วัตถุไง วัตถุ ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง มันก็เป็นเครื่องอาศัยของเรา เป็นประโยชน์กับเรา แต่ถ้าวัตถุ เราไปติดมัน เราไปยึดมั่นมัน วัตถุก็คือวัตถุ วัตถุเป็นเครื่องอาศัยนะ มันเป็นเครื่องอาศัย มันมีความจำเป็นไหม? มีความจำเป็น

นี่ไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมชาติมันคนเกิดมา อาหารอันละเอียดคือออกซิเจนนะ หายใจเข้าและหายใจออกมันสำคัญกว่าอาหารอีก แล้วเวลามันเป็นแก๊สพิษขึ้นมา หายใจเข้าไปก็ตายเลย อาหารก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นพิษ สิ่งที่มันเกินความจำเป็น มันเข้าไปสะสมในร่างกายของเรา ถ้าเราไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักประโยชน์ของมัน สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์

แต่คนใช้มันน่ะ ดูสิ ในวงการแพทย์นะ เราเคยคุยกับเขา ยาทั้งหมดนะ ให้เหลือตัวเดียวในโลกนี้จะเอาอะไร เขาบอก เอามอร์ฟีน มอร์ฟีนมันควบคุมทุกอย่างเลย แต่มอร์ฟีนพูดถึงเอามาในโลกปัจจุบัน ดูสิ มันเป็นยาเสพติด ทำให้คนเสียหมดเลย แต่ในวงการแพทย์เขารู้จักใช้ของเขา ในโลกนี้นะ บอกว่าในโลกนี้ให้เหลือยาตัวเดียวที่ให้เลือก เขาเอาอะไร เขาเอามอร์ฟีนนะ เพราะมอร์ฟีนมันควบคุมได้หมด นี่มันเป็นโทษมากนะ ยาเสพติดนี่ แต่วงการแพทย์เขาเอามาใช้เป็นประโยชน์รักษาคนไข้ได้ ถ้าเรารู้จักใช้มัน มันเกิดตรงไหนล่ะ มันเกิดจากเราศึกษา เราต้องเข้าใจความจริง

เกิดมานะ คนเราเกิดมา เกิดมาด้วยบุญกุศล ไม่มีบุญกุศลเกิดมา อริยทรัพย์ ความเป็นมนุษย์นี่เป็นอริยทรัพย์ เพราะว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก ในพระไตรปิฎกเปรียบเทียบไว้นะ เหมือนกับเต่าตาบอดอยู่กลางทะเล แล้วมันโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ถ้ามันโผล่ขึ้นมาในบ่วงที่มีบ่วงอยู่กลางทะเล ถ้ามันโผล่มาเข้าบ่วงนั้น มันได้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าโผล่ขึ้นมาไม่ได้เข้าบ่วงนั้นมันไปเกิดที่ไหน

จิตมหาศาลอยากเกิดอีกๆ แต่เราก็บอกเลย เมื่อก่อน ๑๖ ล้านคน ๘ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคน อีกหน่อยคนจะล้นโลก แล้วบอกจิตหนึ่ง จิตหนึ่งมันมาจากไหน ดูปลวก ดูมดสิ ดูสิ่งมีชีวิตมหาศาลเลย นี่ไง ในปรมาณูหนึ่ง จิตมีอยู่ ๘ ดวง ในปรมาณูหนึ่งนะ จิตมหาศาลเลย จิตที่มันจะเกิดอีกมหาศาลนัก แล้วไม่มีโอกาสที่จะได้เกิด ไม่มีโอกาส มันก็เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไป.. เร่ร่อนไป

แล้วเราได้เกิด ได้เกิดมีบุญตรงไหน ได้เกิดมามีบุญ ก็มีร่างกาย มีจิตใจเรา

เทวดาเขาอวยพรกันนะ เวลาเทวดาเขาจะหมดอายุขัย เขาอวยพรกัน เวลาหมดอายุขัยจะไปเกิดไปอุบัติ ขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วให้พบพระพุทธศาสนา เพื่อได้ทำบุญกุศลขึ้นมาได้เกิดเป็นเทวดาอีกไง การเป็นเทวดา ทำคุณงามความดี มีสิ่งตอบสนองที่ดี นี่สุคโต ทำความชั่วไปเกิดในสิ่งที่นรกอเวจี เป็นสิ่งที่ชั่ว “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” เป็นธรรมชาติของมัน

แต่เทวดาเขาไม่รู้จักธรรมะ เขาเลยอวยพรกันให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วพบพระพุทธศาสนา ให้ทำคุณงามความดี เพราะทำคุณงามความดีจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาอีกไง วุฒิภาวะของเทวดามีเท่านั้น แล้วก็เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ

สิ่งที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ พระพุทธเจ้าบอกว่า วัฏฏะมันให้ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เทวดา วิญญาณาหาร เป็นทิพย์ๆ ที่ว่าเป็นทิพย์ๆ มันมีความสุข ความสุขมันสุขจริงไหมล่ะ สุขจริงทำไมมันมีกิเลสไหมล่ะ ทำไมเทวดารบกันน่ะ เทวดาเวลาเขาจะหมดอายุขัย ทำไมเขาอาลัยอาวรณ์กันน่ะ ทำไมเขาต้องปลอบประโลมกันน่ะ นี่ไง ความสุขจริงไหม มันมีความสุข สุขในวัฏฏะไง สุขที่ว่ามันมีสุขกับทุกข์ไง แต่มันเป็นความสุขจริงไหมล่ะ

ถ้าเป็นความสุขจริงนะ ในพระพุทธศาสนา อริยสัจ อริยสัจมันอยู่ที่ไหน เราเกิดเป็นมนุษย์ ร่างกายบีบคั้นตลอดเวลา เทวดาเขาทิพย์ตลอดเวลา เขามีความสุขของเขา สุขของเขาคือเขาไม่ต้องแสวงหา เขารับผลไง เป็นวิบาก เป็นผลที่เขาทำคุณงามความดีแล้ว แล้ววิญญาณาหารมันอิ่มตลอดเวลา ถ้านึกถึง เรานึกอิ่มอยู่ตลอดเวลาเลย เราใช้สอยด้วยคุณธรรมของเราเลย นี่มันไม่ต้องแสวงหา แต่มนุษย์...ต้อง ดูสิ ข้าวปลาอาหาร ไม่ทำนามีข้าวไหม เราไม่ออกหาอาหาร อาหารจะมีมาถึงเราไหม เพราะอะไร เพราะมันมีร่างกายบีบคั้นใช่ไหม ร่างกายนี่มันบีบคั้น ร่างกายมันต้องการอาหารของมันตลอดเวลา นี่เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ สัจจะความจริงอันหนึ่ง

แต่เวลาคนแสวงหา พอเราทุกข์เรายาก เราก็ต้องสะสมเพื่อความมั่นคงๆ ทุกคนคิดถึงความมั่นคง ความมั่นคงในโลกนี้มั่นคงที่ไหน มันเป็นอนิจจังทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่แปรสภาพทั้งหมด ไม่มีอะไรสิ่งใดคงที่เลย แล้วสิ่งใดที่มั่นคง เราจะทำขนาดไหนว่ามั่นคงๆ มันก็ต้องใช้สอยไป ทรัพยากรต้องหมดไปเป็นธรรมดา โลกนี้ต้องแปรไปเป็นธรรมดา โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะอยู่ของมันอย่างนี้ แต่มันต้องแปรสภาพของมัน เพราะอะไร เพราะว่าทรัพยากรเราใช้ของมัน มันต้องปรับตัวมันตลอดไป แต่กาลเวลาจะปรับตัวของมันไป นี่โลกเป็นอจินไตย อจินไตยคือมันจะมีของมันอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็เป็นอนิจจังด้วย มันแปรสภาพตลอดเวลา โลกนี้เคลื่อนที่ตลอดเวลา แผ่นดินจะเคลื่อนที่ตลอดเวลา เราจะรู้ตัวไหม เรารู้ตัวไม่รู้ตัว แต่มันเป็นไปของธรรมชาติของมันใช่ไหม

ชีวิตเราก็เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่มันธรรมดา เราได้อะไร นี่ธรรมชาติ

แต่ธรรมะเหนือธรรมชาติ ธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะอะไร เพราะว่าจิตมันสงบเข้ามา มันเป็นโลกุตตรธรรม สิ่งที่คิดๆ กันนี่ ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ...การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติ ทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เพราะความทุกข์มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่งใช่ไหม เป็นธรรมชาติไหม เป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ หมอชีวกที่เป็นผู้รักษา มันก็มีเป็นธรรมชาติธรรมดา

แต่ธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางไว้ตามความเป็นจริง วางสัจธรรม วางสรรพสิ่งไว้ตามความเป็นจริง แล้วจิตใจเหมือนกับน้ำบนใบบัว มันไม่ติดเรื่องนั้นไง เพราะสิ่งนี้ สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มันต้องรับรู้ไป สอุปาทิเสสนิพพานคือธาตุขันธ์ ขันธ์คือความคิด ธาตุคือร่างกาย ธาตุคือวัตถุ มันเป็นภาระ ภาราหะเว ปัญจักขันธา นี่สอุปาทิเสสนิพพาน เศษทิ้ง.. เศษทิ้ง.. เศษทิ้ง.. เศษทิ้งเพราะอะไร เศษทิ้งเพราะจิตมันบรรลุธรรม มันตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วมันเหนือธรรมชาติแล้ว มันเป็นสัจธรรม มันเป็นธรรมธาตุอันหนึ่งที่ออกไปจากวัฏฏะ มันออกไปจากวัฏฏะตั้งแต่ตรัสรู้ธรรมอันนั้น แต่ในเมื่อยังมีร่างกายอยู่ใช่ไหม ยังมีจิตใจอยู่ใช่ไหม นี่ไง สอุปาทิเสสนิพพานที่มีชีวิตอยู่ ชีวิตนี้เป็นประโยชน์กับโลกไง

ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย “การอยู่และการตายมีค่าเท่ากัน” เกิดและตายโกหก มันโกหกเพราะอะไร มันแปรสภาพเฉยๆ มันไม่มีอะไรคงที่เลย การเกิดและการตายมันมีอะไร จิตยังอยู่ จิตนั้นยังอยู่ จิตแปรสภาพไปจากมนุษย์เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม จากพรหมไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นวัฏฏะ เกิดในนรกอเวจี มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป จิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงไป มีแต่คุณงามความดีในตัวจิตและตัวแรงขับ ตัวที่มันเป็นวิบาก มันมีพลังอยู่ในจิตนั้น แต่เวลาชำระให้มันสะอาดไปแล้วมันมีอะไรเหลือ มันไม่มีแรงขับแล้ว มันอะไรต่อไป นี่ไง สิ่งที่เป็นความจริง นี่สิ่งนี้มันเป็นสัจธรรม แล้วสิ่งที่เหลืออยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน สิ่งที่เหลือ สัจจะ ชีวิตที่เหลืออยู่ ธาตุขันธ์ที่เหลืออยู่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปี เผยแผ่ธรรมขึ้นมา เผยแผ่ธรรมด้วยสิ่งที่บริสุทธิ์นะ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาน่ะ มันลึกลับซับซ้อน ทอดอาลัยนะ จะไม่สอน จนพรหมมานิมนต์น่ะ เพราะอะไร เพราะมันเหนือโลก พูดไปเขาก็หาว่าบ้าแน่ๆ ทั้งๆ ที่สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวิสัยต้องเตรียมพร้อมมา เหมือนเราเตรียมพร้อมมาเพื่อจะทำงานชิ้นนี้เลย แต่พอมาถึงจะทำงานเข้า ทำไมมันลึกลับเกินกว่าที่จะทำได้นะ แต่ทำไมสร้างสมบุญญาธิการมา นี่ไง ดูเชาวน์ปัญญา สิ่งที่เชาวน์ปัญญา สิ่งที่ความคิดของคนมันเป็นพันธุกรรมทางจิตที่ได้สร้างสมมา พระโพธิสัตว์สร้างสมมา ผู้ที่สาวก-สาวกะก็ต้องสร้างสมมา มันถึงได้สะกิดใจ ได้เฉลียวใจ ได้มีปฏิภาณ ได้มีความสนใจ ความคิดที่แปลกกว่ามนุษย์ มนุษย์นี่จะเอาแต่สมบัติ เอาแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยสายตา แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงมันเป็นนามธรรม มันเป็นธรรมะ เรื่องของหัวใจ มันมีสิ่งนี้พร้อม

เวลาพรหมมานิมนต์ ถึงเวลาสั่งสอนไป ออกสั่งสอน ไปสอนปัญจวัคคีย์ ไปสอนยสะ เวลาได้มา ๖๑ องค์ พระอรหันต์ ๖๑ องค์ “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นผู้ที่ไม่ติดที่บ่วงที่เป็นทิพย์และบ่วงที่เป็นโลก”

บ่วงที่เป็นโลก คือลาภสักการะ คือโลกธรรม ๘

บ่วงที่เป็นทิพย์ ในวัฏฏะ

“เธอเป็นผู้ที่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เขาต้องการธรรมะ อย่าไปซ้อนทางกัน”

ซ้อนทางกันมันเสียทรัพยากรไง.. มี ๖๑ องค์ แล้วเผยแผ่ธรรมมาให้เราได้ศึกษาเล่าเรียน เผยแผ่ธรรมมา พอจดจารึกมามันก็เป็นวัตถุล่ะ วัตถุพอศึกษาไปก็เป็นวัตถุขึ้นมา มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นๆ...มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก

ดูสิ ดูอย่างความรู้สึกของเรา ความรู้ของเรา เราจะเขียนออกมาให้เป็นตัวอักษรทั้งหมดได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ แล้วพอเป็นกิริยาของธรรม คือกิริยา คือสิ่งที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกออกมาจากไหน มันเป็นกิริยา มันเป็นวิธีการ เป้าหมายคือหัวใจอันที่ปล่อยวางอันนั้น ใจที่ปล่อยวางอันนั้นมันจะปล่อยวางได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีโลกุตตรธรรม มันไม่มีปัญญาที่เหนือโลก...ปัญญาที่เหนือโลก!

ปัญญาที่ใช้อยู่นี่เป็นปัญญาของโลก เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากเรา เกิดจากภพ เกิดจากทิฏฐิมานะ เกิดจากกิเลส ปัญญาจะมีมากมายขนาดไหน ตัวตนของเราเป็นผู้ควบคุมไว้หมด มันเกิดจากตัวตนของเรา มันเกิดจากฐานความคิดของเรา แล้วมันจะสะอาดบริสุทธิ์ไปได้อย่างไร มันเป็นโลกียปัญญา กิริยาเกิดจากโลกทัศน์ เกิดจากภพ เกิดจากที่เกิด ฉะนั้นมันถึงต้องใช้ปัญญาอย่างนี้ไล่ต้อนเข้ามา โลกียปัญญามันจะไล่ต้อนเข้ามาเป็นสมถะ

สิ่งที่กระบวนการการปฏิบัติทั้งหมดทุกวิธีการ ทุกสาขา ผลของมันคือสมถะทั้งหมด

ใครจะว่าวิปัสสนาสายตรง ตรงอย่างไรก็แล้วแต่ มันตรงต่อกิเลสไง กิเลสมันหลอกไง หลอกว่านี่เป็นวิปัสสนาสายตรง มันหลอกว่าเป็นวิปัสสนา แต่ผลของมันคือสมถะ เพราะผลของมันคือการปล่อยวาง แต่เพราะความเข้าใจผิด เพราะความมักง่าย เพราะความอยากได้ เพราะความคิดของกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันปิดตาอยู่ มันบอกนี่เป็นวิปัสสนาสายตรง ผลของมันคือสมถะทั้งหมด เพราะอะไร เพราะคือมันปล่อยวาง แต่ปล่อยวางด้วยความเข้าใจผิด เลยเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิว่าสิ่งนี้คือผลของธรรม

ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ.. พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกก็เป็นธรรมชาติ ไฟฟ้าที่มันเกิด มันเปิด มันปิด มันดับด้วยแสง มันก็เป็นธรรมชาติ เพราะมันเกิดดับของมันเอง แล้วพอจิตขึ้นมา มันเกิดดับของมันเอง มีประโยชน์อะไร ก็อยู่ใต้ผลของวัฏฏะใช่ไหม ใต้ผลของการกระทำนั้นใช่ไหม

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มีสติสัมปชัญญะเข้ามา นี่คือสมถะ นี่คือการปล่อยวาง นี่คือสมาธิ

มันคือสมถะทั้งหมด สมถกรรมฐาน ถ้าไม่มีฐานที่ทำงาน ไม่มีฐานที่เกิดที่ตาย ปฏิสนธิจิต วิญญาณที่รับรู้ วิญญาณในขันธ์น่ะมันหยาบๆ นะ ปฏิสนธิจิต ตัวสักแต่ว่ารู้นั่นน่ะ ตัวนั้นน่ะคือตัวอวิชชา ตัวนั้นคือตัวพาเกิดพาตาย ตัวนั้นคือตัวจิต ถ้าตัวจิต ตัวฐาน แล้วเราเข้าไปไม่ถึงมัน เราจะไปแก้ข้อมูลได้อย่างไร คอมพิวเตอร์ ถ้าไม่รื้อโปรแกรมมันมาแก้ไขข้อมูลนั้น ข้อมูลนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ข้อมูลนั้นน่ะ โปรแกรมอันนั้นมันอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้น มันต้องเปลี่ยนแปลงเข้าไป ตัวคอมพิวเตอร์มันไร้สาระ ไอ้ตัวจอภาพนี่มันออกจากคอมพิวเตอร์นั้น ออกจากโปรแกรมอันนั้นน่ะ แล้วจิตที่คิดออกมาน่ะ นี่โลกียปัญญาทั้งหมด

ถ้าจะเป็นโลกุตตรปัญญา มันต้องมีความสงบเข้ามา มันต้องถึงตัวฐาน.. สมถกรรมฐาน

ถ้าไม่มีสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเกิดไม่ได้

ถ้าเกิดวิปัสสนาของเรา ปัญญาสายตรง ตรงของกิเลส กิเลสพาเกิด ภพพาเกิด มันเป็นโลกียปัญญา นี่ถึงจะตรึกในธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จริงอยู่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ของจิตดวงนั้น เพราะจิตดวงนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ จิตดวงนั้นมีความเข้าใจผิด จิตดวงนั้นมีอวิชชา จิตดวงนั้นมีตัวตน จิตดวงนั้นมีทิฏฐิมานะของตนว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วพยายามจะเทียบให้เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. วัตถุไง

มันก็เหมือนโลมาทั้งฝูงที่ขึ้นมาเกยตื้นนั่นน่ะ เขาต้องมีความสงสารนะ เอามันลงทะเลไป เอามันลงน้ำไป มันอยู่กับน้ำของมัน

น้ำใจ น้ำคือน้ำใจ น้ำคือสัจจะความจริง ใจที่เป็นนามธรรมมันต้องเป็นนามธรรม เป็นโลกุตตรปัญญา เป็นภาวนามยปัญญาที่เกิดจากใจ แล้วเข้าไปทำลายมัน ไม่ใช่ปัญญาจากสัญญา ปัญญาจากข้อมูลอย่างนั้นมันเป็นวัตถุเกินไป มันเข้ากันไม่ได้หรอก

สิ่งที่เป็นไปกับสัจจะความจริงนะ เราต้องมีสติ มีความยั้งคิด มีการเปรียบเทียบ เพื่อผลประโยชน์ของเรา เพื่อการเกิด เกิดเป็นมนุษย์นี่มีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากนะ เพราะถ้าเราตายไปนะ เราทำดีมาก เราไปเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม เราก็จะไปเสวยสุข ลืมตัว จะไม่ได้คิดถึงธรรมะหรอก เพราะพอมีความสุขมากมันก็ลืมตัว แล้วก็หมดอายุขัย หมดอายุขัยก็มาเกิดใหม่ เกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ เพราะจิตมันต้องหมุนเวียนไป แล้วถ้าเกิดมา เกิดในขณะที่ภัทกัปที่ไม่มีศาสนานะ ดูมนุษย์หินสิ ดูมนุษย์หินสมัยน้ำแข็งสิ มีอะไรนั่นน่ะ นี่ไปเกิดอย่างนั้นก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ดูสัตว์มันเกิดสิ ชีวิตมันก็เกิดมาหนหนึ่ง มนุษย์เราเกิดมาแล้ว มีสิ่งที่ให้พาออก แล้วเราไม่สนใจ เราปล่อยให้กาลเวลามันล่วงเลยไป กาลเวลาล่วงเลยไปนะ

ถ้ากาลเวลาล่วงเลยไป หลักของเรา ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงหมดไปนะ มันจะเป็นแต่ความพร่ำเพ้อธรรมะกัน ธรรมะพร่ำเพ้อ เพ้อเจ้อ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ในใจ ออกมาด้วยความเพ้อเจ้อ ถ้าเป็นความจริงนะ มันออกมาจากหัวใจ ออกมาจากหลักใจอันนั้น ถ้าเราออกมาจากหลักใจอันนั้น ออกมาจากความจริง แล้วออกมาจากความจริง เราฟังกันแล้วมันก็ขัดหู ทำไมท่านพูดรุนแรง ทำไมท่านพูดเสียดแทงหัวใจ...ก็กิเลสมันอยู่ที่นั่น ไม่เสียดแทงมัน มันจะไปเสียดแทงใคร ธรรมะนี้แก้กิเลส แล้วมันจะแก้กิเลส แล้วเราไปปกป้องกิเลส เราบอกธรรมะนี่มันรุนแรงเกินไป ทำให้เราจะเสียโอกาสไปนะ

นี่คือผลบุญของเราที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอย่างเทวดาเขาอวยพรกัน แต่เรามากกว่านั้น มากกว่านั้นเพราะเราไม่ใช่ทำบุญเพื่อไปเกิดเป็นเทวดา เราจะต้องประพฤติปฏิบัติของเรา เพื่อสัจธรรม เพื่อธรรมะที่เกิดขึ้นมาเป็นเรา เกิดในหัวใจของเรา จนมันเป็นธรรมะเหนือธรรมชาติ เหนือการเกิดและการตาย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือธรรมชาติ

แต่ธรรมะที่เป็นธรรมชาติๆ นั้น นี่คือข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงมันก็แปรสภาพตลอดไป ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ใจเราจะเกิดจะตายในธรรมชาตินี้ต่อไป ถ้าธรรมะเหนือธรรมชาติ ใจเราเป็นสัจธรรมที่เหนือสัจธรรม แล้วเราจะไม่เกิดไม่ตายอีกเลย เอวัง