เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ มี.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมะนะ ธรรมะถ้าเข้าถึงหัวใจใครนะ จิตใจเป็นสาธารณะมันไม่มีความคิดอย่างนั้นหรอก มันเปรียบเหมือนโรงพยาบาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเขาต้องการเอาคนไข้ไว้ในโรงพยาบาลไหม ในโรงพยาบาลของเขานี่นะ เขารักษาให้แล้วเขาจะให้กลับบ้านะ เขาจะให้กลับบ้าน เขาจะให้ยาไปกินที่บ้าน ให้รักษาที่บ้าน เพราะโรงพยาบาลมันแน่น โรงพยาบาลเป็นที่รับผิดชอบ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน “มาหาเราๆ”…มันไม่ใช่ เรามีแต่ว่า “เอาซีดีไปฟัง.. เอาซีดีไปฟัง” ทีนี้มันจะมาหาเราน่ะ มันไม่มีเตียง เตียงมันล้น แล้วบอกจะมาหาเราน่ะ คิดผิด มีไหมนี่ เพราะเตียงมันล้น มันไม่มีที่จะให้พักแล้ว แต่นี่ว่าเพราะว่าจะมาหาเรา แต่ไม่ใช่ เวลาพูด เราพูดถึงนะ โรงพยาบาลนั้นจ่ายยาถูกหรือจ่ายยาผิด ยาที่จ่ายไปแล้วมันเป็นคุณสมบัติกับโรคนั้นไหม ถ้ายาอันนั้นน่ะ ถ้าเป็นคุณสมบัติของโรค เราพูดตรงนี้ เราพูดถึงว่าไอ้กระบวนการรักษานั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้ากระบวนการรักษานั้นถูกต้อง โรคนั้นมันจะหาย

โรงพยาบาลมี ๒ ชนิด โรงพยาบาลหนึ่ง โรงพยาบาลที่เป็นคุณธรรม เขาจะรักษาคนไข้ให้หาย แล้วเขาจะเอาคนไข้กลับไป แต่โรงพยาบาลอีกโรงพยาบาลหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของเขา เขาเลี้ยงไข้ของเขา เขาต้องการดึงคนให้เข้าไปในโรงพยาบาลของเขา อันนั้นมันความเห็นของเขา นั่นเรื่องของผู้ที่มีคุณธรรมไม่มีคุณธรรมในหัวใจ

แต่เรื่องสัจจะความจริงมันเป็นสัจจะความจริงนะ สัจจะความจริง เวลาเราพูดถึงว่าถูกหรือผิด ยานั้นถูกหรือผิด คำว่า “ถูกหรือผิด” ดูสิ เวลาทิฏฐิมานะของคน.. นรกสวรรค์ไม่มี ภพชาติไม่มี สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มี.. มันมีลัทธิ มันมีแนวคิดอยู่ ๒ แนวคิด แนวคิดหนึ่งบอกว่าภพชาตินี่ไม่มีหรอก ชีวิตนี้แล้วสูญ อีกแนวคิดหนึ่งคือว่าจิตนี้ตายตัว ต้องเกิดตายตัวไป...มันเป็นไปไม่ได้! มันเป็นสิ่งที่ผิดทั้ง ๒ ทาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงปฏิเสธทั้ง ๒ ทางเลย ปฏิเสธทิฏฐิที่ความเห็นว่าไม่มี กับทิฏฐิความเห็นที่ว่าคงที่ พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมด

ทีนี้ในการประพฤติปฏิบัติของเรามันเป็นอย่างนี้ นี่พูดถึงในวัฏฏะ พูดถึงการเวียนตายเวียนเกิด ถ้าพูดถึงเราบอกว่าจิตนี้เป็นอาตมัน เขาบอกว่าคนสอน พระเราสอน สอนจนศาสนาพุทธเข้าเป็นฮินดู ฮินดูเข้าไปต้องไปอยู่อาตมัน นี่พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธ ถ้าเป็นอาตมันพระพุทธเจ้าจะนิพพานได้อย่างไร จิตนี้จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร บอกจิตนี้ตายแล้วสูญๆ จิตมันไม่มี...ไม่มีแล้วมันมาจากไหน นั่งอยู่นี่มาจากไหน จิตนี้มันมาจากไหน? จิตมันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน

ศาสนาพุทธ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางระหว่างที่ว่าสิ่งที่ไม่มีเลย กับสิ่งที่คงที่ แต่สิ่งที่ไม่มีเลย จิตมันจะมาได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป แล้วพูดถึงพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่มันต่อเนื่องกันมาอย่างไร ถ้ามันต่อเนื่องมาไม่ได้ใช่ไหม เราทำบุญของเราในชาตินี้ ชาติหน้ากับชาตินี้ก็ต้องตัดขาดกันไป ภพชาติเกิดมาเราก็มีเท่าเรา เรามีเท่านี้ไง ทำไมนิสัยคนไม่เหมือนกัน ทำไมลูกพ่อแม่เดียวกัน ทำไมจิตออกมาไม่เหมือนกัน เห็นไหม ดีเอ็นเอตรวจออกมา ทางร่ายกาย พันธุกรรมของพ่อแม่หมดเลย แต่จิตใจไม่ใช่! จิตใจไม่ใช่! เพราะปฏิสนธิวิญญาณมันมาของมันเอง มันมาเพราะสายบุญสายกรรมของมันมาเอง แต่เวลามาเกิดต้องอาศัยเกิดจากไข่ของแม่ พอตรวจดีเอ็นเอมาเป็นของพ่อแม่หมด ไอ้นี่มันเรื่องธรรมชาติของโลก แต่จิตใจนั้นไม่ใช่ ในเมื่อมันมา มันถึงไม่เหมือนกัน ไม่มานี่มันมาจากไหน แล้วถ้าคงที่ๆ คงที่พระอรหันต์เกิดได้อย่างไร ถ้าคงที่ศาสนาพุทธไม่มี.. ศาสนาพุทธไม่มี

อาตมัน มันตายตัว กรรมมันตายตัวๆ...กรรมไม่ตายตัว! กรรม คือการกระทำ กรรมดีกรรมชั่วไง กรรมดีกรรมชั่วมันเป็นกรรมดีกรรมชั่วของมัน แล้วพอปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็น ที่เราบอกผิดๆๆ เพราะอะไร ผิดเพราะต้องชี้เป้าหมายให้มันถูกต้อง เป้าหมายเรา ถ้าเป้าหมายเราถูกเราเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้ใช่ไหม

นิพพานว่าง! ว่างๆ! ว่าง ใครเป็นเจ้าของความว่าง? พระโสดาบันว่างอย่างไร? พระสกิทาคามีว่างอย่างไร? พระอนาคามีว่างอย่างไร? พระอรหันต์ว่างอย่างไร?

นิพพานเป็นคงที่ นิพพาน พากันเข้าไปเที่ยวนิพพาน นิพพานมีขอบเขต...ผิดทั้งหมด! เห็นไหม มันก็ลงอันนี้

ถ้าพระอรหันต์ จิตเป็นอย่างนั้นๆๆ ถ้าจิต มีจิต มีภพ

หลวงตาท่านพูด “จุดและต่อม” สถานที่เป็นตัวภพ ตัวภพคือตัวมี ตัวมีที่ว่าจิตที่เกิดตายๆ ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิต ความคิดมาจากไหน? สุขทุกข์มาจากไหน? จริตนิสัยมาจากไหน? ความเห็นของตัวมันมาจากไหน? มันมาจากภพ มันมาจากปฏิสนธิจิต ภพที่เรามองไม่เห็น ภพที่เป็นธาตุรู้ สสาร ดูสิ ชีวะ สสาร ธาตุรู้ อวิชชา ธาตุรู้ ธาตุธรรม

หลวงตาท่านบอก “ธาตุธรรม ธรรมธาตุ” ถ้าเป็นธรรมธาตุมันมีความรู้สึกอยู่ แต่มันเป็นสมมุติบัญญัติ วิมุตติ สมมุติ เดิมมันเป็นสมมุติทั้งหมด สสารเป็นสมมุติ คำว่า “สมมุติ” พระนี่สมมุติ เวลาสมมุติ สมมุติจนพวกทุกข์จนเข็ญใจโกนหัวห่มผ้ากันแล้วก็ออกเรี่ยไรกัน.. สมมุติซ้อนสมมุติไง สมมุติตามความเป็นจริง สมมุติคือมีอุปัชฌาย์บวชขึ้นมาเป็นพระโดยสมมุติ เป็นสมมุติสงฆ์ นี่เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติโดยข้อเท็จจริงในวัฏฏะ

แต่สมมุติคือพระปลอมน่ะ พระปลอมมันโกนหัว มันก็เอาผ้าเหลืองห่ม มันก็ออกเรี่ยไรตังค์ อันนั้นก็สมมุติไหม เป็นพระไหม มันเป็นพระปลอม มันปลอมไหม แล้วเราบวชมาจริงๆ นี่ปลอมไหม...ปลอม! บวชมาก็ปลอม เพราะสมมุติสงฆ์ มันยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ มันปลอมโดยสมมุติ แต่มันจริง! จริงตามสมมุติเพราะอะไร เพราะมันมีอุปัชฌาย์อาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์ยกเข้าหมู่โดยถูกต้องตามกฎหมาย ตามธรรมและวินัย

สิ่งที่เป็นธรรมวินัย พระพุทธเจ้าวางบัญญัติไว้ ธรรมวินัย เคารพธรรมวินัย.. ไม่เหยียบย่ำธรรมวินัยไป ถ้าไม่เหยียบย่ำธรรมวินัยไป สิ่งที่กระทำมันผิดธรรมวินัย คือผิดถูกมันอยู่ตรงนี้ไง นี่ไง ที่ว่ายาๆๆ นี่

นี่ไม่ได้อิจฉาตาร้อนใครเลย เพียงแต่บอกผิดบอกถูกว่าศาสนาเสื่อม เสื่อมที่ใจของคนน่ะ ใจของคนมันเข้าไม่ถึงศาสนา ถ้าใจของคนเข้าถึงศาสนานะ ศาสนามันเสื่อมได้อย่างไร ถ้าศาสนาไม่เสื่อม การกระทำของเรา ดูสิ เรามีความเมตตาธรรมทั้งนั้นน่ะ เราเป็นพ่อเป็นแม่คน เราสงสารลูกเราไหม เราต้องการให้ลูกเราเป็นคนดีไหม แล้วลูกเรามาประพฤติไป เรารู้เลยถ้ามันทำไปอย่างนี้มันจะเสียนิสัย ทำอย่างนี้ไป เป้าหมายมันจะไปทางที่ผิด เพราะเป้าหมายมันผิด แล้วบอกให้มันถูกนี่อิจฉาตรงไหน? อิจฉาตรงไหน? มันไม่อิจฉาใครเลยน่ะ แต่บอกถูกบอกผิด ถ้าถูกก็คือเข้ากับถูก ถ้าผิดก็คือเข้ากับผิดใช่ไหม

ถ้าบอกว่าถูก ถ้าว่างๆ ว่างๆ บอกอะไรก็ว่างหมด...มันไม่มีสตินะ ถ้ามีสตินะ ความว่าง สมาธินะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แม้แต่ขั้นของสมาธิมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ละเอียดเข้าไป อัปปนา สักแต่ว่ารู้ คำว่า “สักแต่ว่ารู้” เราก็วางยาสลบไง เป็นโรคเอ๋อ.. เออ.. สักแต่ว่ารู้ นี่โลกคิดกันอย่างนั้นไง มันเทียบ เห็นไหม สักแต่ว่ารู้ ไม่ใช่เอ๋อ!

“สักแต่ว่ารู้” สติพร้อมน่ะ สติรวมใหญ่ สติพร้อมหมดเลย นี่สมาธิมันเป็นอย่างนั้น แล้วนี่ว่างๆ ว่างๆ.. แม้แต่สมาธิมันก็มีขั้นของมันใช่ไหม โสดาบันก็มีขั้นของมัน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ความว่าง ว่างๆ ว่างๆ ว่างอย่างไร ความว่าง ความรู้ว่าว่างอย่างไร พอเป็นความว่างๆ เพราะธรรมะเป็นความว่าง พวกเราก็คิดกันเลย เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเขาไปนิพพานกันหมดเลย พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นความว่าง เราก็ว่างอยู่ว่าสบายแล้ว ทำไมต้องไปวัดไปวา...ไอ้ว่างอย่างนี้ว่างแบบขี้ลอยน้ำน่ะ ว่างแบบขี้ลอยน้ำ ว่างแบบในวัฏฏะ เรายังเวียนตายเวียนเกิด มันว่างเพราะปฏิเสธ ว่างเพราะอวิชชามันครอบงำ อวิชชามันมีปัญญา มีความละเอียดมากกว่าหัวใจของเรา มันหลอกเรา เราก็เวียนอยู่ในอวิชชาอย่างนี้ แล้วบอกว่างๆ ว่างๆ อย่างนี้.. เราเป็นคนดีแล้วไปวัดทำไม.. ไอ้ดีอย่างนี้มันดีเพราะบุญกรรมนะ ไม่มีบุญไม่มีกรรมไม่มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก

การเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติ อริยทรัพย์มากเลย ดูมนุษย์กับสัตว์สิ เวลาสัตว์ สัตว์นะ ในสมัยพุทธกาลนะ พวกสัตว์ พวกวัว พวกควาย เวลามันตายนะ มันมาเข้านิมิต บอกว่าเกิดเป็นมนุษย์นี่นะ มันมีกฎหมายรองรับ มีทุกอย่าง มีพ่อ มีแม่ มีสังคมเขาเอื้ออาทรกัน เกิดเป็นสัตว์นะ ต้องไถนา ต้องลากเกวียนนะ แล้วจะต้องเอาอกเอาใจเขา เพราะถ้าทำไม่ถูกใจเขาเขาก็ตี เขาก็เฆี่ยน สุดท้ายแล้วนี่ตายแล้ว มนุษย์เขามีโอกาสได้ทำบุญ เราเป็นสัตว์น่ะ เห็นเขาทำกันน่ะ อยากจะมีสิทธิเสรีภาพอย่างนั้น ไม่อยากให้โดนเจ้าของคอยบีบบังคับ เจ้าของดีเขาก็เลี้ยงให้เรามีความสุข เจ้าของไม่ดีเขาก็ทำร้ายเราตลอดเวลา แล้วเราไม่มีโอกาสได้ทำบุญ สัตว์มันมองเห็นเรามันก็รู้ แต่มันไม่มีโอกาส ความรู้สึกมันมี แต่มันทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะสถานะของสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน

ถ้าตายแล้วขอนะ เวลาพวกนี้ตายแล้ว เขาจะเอาทำอาหาร ทำเนื้อสัตว์เอาไปถวายพระ ขอให้ฉันเถิด ขอให้ฉันให้หน่อยหนึ่ง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนเขาทำคุณงามความดีกัน เป็นสัตว์น่ะมันไม่มีอะไรเป็นคุณงามความดี มันมีแต่เนื้อหนังมังสา สัตว์มันมีเนื้อหนังมังสาเป็นคุณเป็นประโยชน์ของมัน ขอให้ฉันให้หน่อยนะ ขอให้ได้บุญกุศล ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด ให้เกิดเป็นมนุษย์...นี่พระไตรปิฎกก็มี ในสมัยปัจจุบันนี้ก็มี ในสมัยปัจจุบันนี้สัตว์มันก็คิดเป็น แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีกฎหมายรองรับ การรังแกกัน การทำผิดกฎหมายอาญา การทำร้ายร่างกายกัน มันผิดหมดนะ สมบัติเราใครลักก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันผิดกฎหมาย นี่เราเกิดเป็นมนุษย์ นี่มนุษย์สมบัติ มันมีคุณค่ามากขนาดนี้ แต่เราพูดถึงว่าพอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คุณค่าของใจมันมากกว่านี้อีกมหาศาลเลย สิ่งอย่างนี้มันมีอยู่แล้ว

มนุษย์สมบัติ เพราะมีบุญพาเกิดมาถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่พอเกิดเป็นมนุษย์มาทำไมเราต้องทุกข์ยากล่ะ ทำไมทำงานทำไมเดือดร้อนล่ะ เราเดือดร้อนเพราะอะไร เราเดือดร้อนนี่มันเป็นอริยสัจไง มันเป็นความจริงไง ทุกข์นี้มันเขย่าหัวใจเราให้เราสะเทือนหัวใจไง ทุกข์เป็นความจริง แล้วมึงจะออกจากทุกข์ไหม มึงจะสู้กับมันไหม มึงจะหลงระเริงไปกับโลก ทุกข์ๆๆ ทุกข์แล้ววางไว้ ทุกข์เก็บไว้ใต้หัวใจ แล้วกูวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปหาความสุขทางโลกกัน.. อะไรเป็นความสุข? เป็นความสุข ไปเที่ยวชายทะเล มันก็ไปนอนตากแดดอยู่นั่น.. อะไรมีความสุข? มึงไปเที่ยวเขาๆ สัตว์มันก็อยู่ในเขา สัตว์ก็อยู่ในป่า ไปเที่ยวเขากัน สัตว์ป่ามันก็อยู่ในป่า.. มันมีความสุขไหม? มันเป็นความคิดของเรา มันเป็นความเห็นของเราเท่านั้นน่ะ ไอ้คนที่มันอยู่พื้นที่นั่นน่ะมันมีความสุขไหมล่ะ.. นี่พูดถึงว่าอะไรมีความสุขเราก็แสวงหากันไง

เราเอาทุกข์มาเขย่าอยู่แล้วนะ แต่เราปฏิเสธกัน เราไม่เข้าใจกัน เราไม่ได้เผชิญกับมัน พระพุทธเจ้าถึงบอกให้เผชิญกับทุกข์ “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” ทุกข์ควรกำหนด สู้มัน.. ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้เกิดมา เกิดมาทำไม? ที่ว่ามนุษย์สมบัติๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์มีคุณค่า แล้วธรรมะเขย่าเราตลอดเวลา ครูบาอาจารย์ท่านเตือนตรงนี้ไง ท่านให้เตือน ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตทำเพื่ออะไร? เพื่อเราสะเทือนใจ สะเทือนใจมันจะได้กลับมาค้นหาเราไง ไม่ต้องไปหาข้างนอก

แล้วพอปฏิบัติไป พอเข้าธรรมะแล้ว ว่าง.. ว่างอย่างไร? ทำสมาธิ สมาธิอย่างไร? ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีสมาธิมันจะเกิดมรรคญาณได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ มรรค ๘ นักเรียนส่งหน่วยกิตไม่ครบ อาจารย์คนไหนมันให้ผ่านบ้าง มรรค ๘ มันมีสัมมาสมาธินะ สัมมาสมาธิ สัมมาสติ สัมมาปัญญา มันมีครบนะ หน่วยกิตไม่ครบน่ะ ใครมันให้ผ่านวะ แล้วบอกนู่นไม่ต้องทำ นี่ไม่ต้องทำ ว่างประสามันก็ว่างขี้ลอยน้ำไง แล้วพอไปนิพพาน นิพพานก็คงที่อีก เป็นอัตตาอีก...อัตตาก็ไม่ใช่ อัตตาเป็นภพ ว่างก็ไม่ใช่ แล้วความจริงเป็นอะไร?

ธรรมธาตุเห็นไหม เพราะอะไร เพราะว่าสมมุติบัญญัติ วิมุตติ สมมุตินี่คุยกันได้ด้วยภาษาสมมุติ บัญญัติคือธรรมของพระพุทธเจ้า ดูสิ พระเราไปต่างประเทศ เวลาสวดบาลีเหมือนกันหมดเลย สวดมคธนี่บัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติ ทั่วโลกพูดภาษาเดียวกันหมดเหมือนภาษากลาง แล้ววิมุตติล่ะ วิมุตติไม่มีเหรอ วิมุตติไม่มีทำไมตรวจสอบกันได้ ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง ครูบาอาจารย์เราออกมาจากป่าจากเขา เวลาพูดธรรมะกันน่ะ ทั้งชีวิตเลยน่ะ วิทยานิพนธ์ของใครของมันนะ เวลาประสบการณ์ของใคร เวลาทางปฏิบัติถึงที่สุดขณะจิตที่มันพลิก นั่นน่ะ อันนั้นของจริง พอของจริงขึ้นมาน่ะ เป็นอย่างนั้น ของจริงนะ ผู้ที่มีวิมุตติกับวิมุตติคุยกันรู้เรื่อง แล้วถ้าไม่เป็นวิมุตติ มันพูดออกไป นี่นิพพานว่างๆๆ...ว่างก็อวกาศมันก็ว่าง ถ้าว่างนะ จักรวาลมันว่างแล้ว โลกนี้ลอยอยู่บนอะไร มันก็ว่างของมัน แล้วใครเป็นเจ้าของมันน่ะ มันก็เวียนตายเวียนเกิด ว่างมันก็หมุนไปน่ะ

เอ้า.. คงที่ มีอะไรคงที่ ของสิ่งใดมีคงที่บ้าง นี่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอนัตตา มันต้องแปรสภาพทั้งหมด อัตตา อนัตตา เป็นนิพพานได้อย่างไร? อัตตาก็ไม่ใช่นิพพาน อนัตตาก็ไม่ใช่นิพพาน...นิพพานก็คือนิพพาน

มันตรงตัวอยู่แล้วไง นิพพานเป็นอย่างไร? ว่างๆ ว่างๆ...ว่างบ้ามึงเหรอ!

แล้วพอบอกไปก็บอกอิจฉาๆ...มันไม่ใช่อิจฉา

ศาสนานี้มีคุณธรรมมาก ศาสนานี้มีคุณค่ามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาทอดธุระเลย เพราะอย่างนี้ไง วิมุตติกับโลกเขาเป็นสมมุติ เขาคุยกันด้วยภาษาสมมุติ แล้วบอกจะเอาวิมุตติมาตีแผ่ มันเป็นภาษานอกจินตนาการ นอกความคิด นอกเหนือทุกอย่างเลย แล้วเอามาสื่อได้อย่างไร เพียงแต่บอกวิธีการว่าเราจะเข้าไปถึงเป้าหมายนั้น พอบอกวิธีการเข้าถึงเป้าหมายนั้น เราก็เอาวิธีการนั้นมาวิเคราะห์วิจัยกัน เอาวิธีการมาคุยกันนะ “ของฉันถูกๆ”

อาหารของใครเลอเลิศในโลกนี้? ในโลกนี้ ชนชาติ วัฒนธรรมที่เขาเป็นอาหารน่ะ อาหารของใครดีกว่าของใคร มันเป็นวัฒนธรรมของเขาใช่ไหม มันเป็นภูมิประเทศของเขาใช่ไหม มันเป็นสิ่งที่ความจำเป็นของเขาใช่ไหม ของใครดีกว่าของใคร? แต่เวลากินขึ้นมามันอิ่มไหม มันดำรงชีวิตได้หรือเปล่า สิ่งที่มีชีวิตอันนั้นได้ต่างหาก วิธีการก็คืออาหารนั้นน่ะ สิ่งที่อาหารดำรงชีวิตน่ะ ของใครดีกว่าของใคร? แล้วใครอิจฉาใคร? มันอิจฉา เขากินอร่อย วัฒนธรรมของเขา เขาเข้าใจของเขา แล้วเราบอกว่าไม่ดีๆ เราจะเอาวัฒนธรรมของเราไปยัดเยียดให้เขา แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างไร เขาไม่มีความสุขหรอก แต่ถ้าเขาทำวัฒนธรรมของเขา แต่เราบอกทำวัฒนธรรมของเขาให้เขาถึงที่สุด ให้เขาถึงเป้าหมายนั้น...มันอิจฉาตรงไหน? มันอิจฉาตรงไหน? ไปอิจฉาใคร? โรงพยาบาลกูแน่นนะ เตียงกูไม่มีจะให้นอนหรอก ไม่ต้องมาหรอก ไม่ต้องมาอิจฉาเขา แล้วก็ให้เขามาทำบุญกับเรา...ไม่ใช่.. ไม่ใช่.. ไม่ใช่หรอก

สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่นะ มันเป็นอสรพิษ ปัจจัยเงินทองเป็นอสรพิษ “อานนท์.. อสรพิษมันกัดหัวใจคนที่ชั่วช้าลามก” คนที่ชั่วช้าลามกมันเห็นลาภสักการะแล้วมันโมฆบุรุษ มันโง่ มันตายเพราะเหยื่อ แต่ผู้ที่หัวใจเขาเป็นธรรม นี่อสรพิษ ใช้มันเป็นประโยชน์ ดูสิ ดูสภากาชาดเขาเอามาทำเซรุ่ม เอาอะไรมาทำเซรุ่ม ก็เอาพิษงูมาทำเซรุ่ม อสรพิษ เรารู้จักอสรพิษ เราใช้มันเพื่อประโยชน์กับโลก โลกเขาต้องการใช้ เราก็ใช้เพื่อประโยชน์ของมันใช่ไหม แล้วใครไปแสวงหา ใครไปเอาอสรพิษมากอดไว้เพื่อเป็นอันตรายกับตัว เงินเป็นอสรพิษนะ ลาภสักการะ “โมฆบุรุษตายเพราะลาภ” โมฆบุรุษ คนโง่ คนเขลา ตายเพราะเหยื่อ แล้วมึงจะไปกินเหยื่อทำไม คำว่า “เหยื่อ” ไม่ใช่ความจริงใช่ไหม แล้วพูดอย่างไรว่ามันอิจฉาตาร้อน แต่พูดถึงเป้าหมายต่างหากล่ะ พูดถึงเป้าหมาย พูดถึงสัจจะความจริง พูดถึงศาสนา

ศาสนาของเรามีคุณค่ามาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทอดธุระเลยนะ ครูบาอาจารย์บรรลุธรรมขึ้นมา มันวิมุตติไปแล้ว เหมือนคนบ้า.. เหมือนคนบ้า.. ฟังสิว่า เหมือนคนบ้า เพราะมันรู้สึกอันนั้นคนเดียว รู้อยู่คนเดียว พระพุทธเจ้านะ พอพระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ธรรม “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ! อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ!” ดีใจมากเพราะอะไร เพราะมันมีพยานไง เรารู้อยู่คนเดียว ไม่มีพยาน เราจะพูดกับใคร

เวลาพระโมคคัลลานะลงจากเขาคิชฌกูฏ เห็นเปรต เปรตมันลอยมา แล้วขนมันหลุดออกไป พอหลุดออกไปมันก็กลายเป็นหลาวกลับมาทิ่มตัวเองร้องโหยหวนที่เขาคิชฌกูฏ เห็นแล้วก็เฉย ยิ้ม

พระเห็นด้วย ไปด้วยกันก็บอกว่า “ท่านยิ้มอะไร”

“ไม่พูด ไปพูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

พอตกเย็นพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นก็ถามขึ้นมาว่า “พระโมคคัลลานะยิ้มนั้นเพราะอะไร”

“เพราะเราเห็นเปรต เปรตมันลอยอยู่กลางอากาศ เสร็จแล้วด้วยบาปของเขา มันจะขนหลุดออกไปเอง แล้วขนจะเป็นหอกกลับมาทิ่มตัวเอง”

พอพูดต่อหน้าพระพุทธเจ้า ถ้าพูดต่อหน้าพระพุทธเจ้า ถ้าไม่จริง พระพุทธเจ้าจะยอมให้ผ่านไหม พระพุทธเจ้าก็บอกว่า “เออ.. เราก็เห็นอยู่ เราเห็นมานานแล้ว แต่เราไม่พูดเพราะมันไม่มีพยาน แต่ปัจจุบันนี้พระโมคคัลลานะเห็นด้วย” เห็นไหม มันจริงตามพระโมคคัลลานะเห็นน่ะจริงๆ แต่เพราะคนมันตาบอด มันไม่มีใครเห็น คนตาดีเห็นอยู่คนเดียว แต่พระโมคคัลลานะ พอตาดีขึ้นมา เป็นพยานกัน

นี่ก็เหมือนกัน รู้อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า แต่ถ้าผู้ที่วิมุตติด้วยกันนะ พูดไม่มีผิดเลย ไม่มีผิดพลาดเลย แต่ถ้าไม่จริง ผิดหมด! ผิดหมด! พอผิดหมดแล้วมันให้ยาก็ให้ยาผิดๆ แล้วศาสนาไปไหนกันล่ะ แล้วพูดอย่างนี้มันผิดที่ตรงไหน

เวลาเราพูดนะ เรายืนยันกับโยมประจำ ยืนยันกับทุกๆ คนเลย เวลาพระพุทธเจ้าพูดนะ “มารเอย.. เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน”

จนวันมาฆบูชา “มารเอย.. บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีความเข้มแข็ง กล่าวแก้คำจาบจ้วง คำติฉินนินทาในลัทธิต่างๆ ในศาสนาพุทธได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

เห็นไหม พระพุทธเจ้าฝากไว้หรือเปล่า อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี ให้สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ กล่าวแก้ กล่าวสิ่งที่กระทำ เขาจาบจ้วงทำลายศาสนา กล่าวแก้...พระพุทธเจ้าฝากกูไว้! เอวัง