เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ มี.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาทำบุญกุศล เราตั้งใจของเรา ตั้งใจอันนั้นน่ะ เจตนานี่สำคัญมาก เจตนาที่บริสุทธิ์ ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะที่ได้มา ของที่ได้มา ขณะที่จะให้ ให้แล้วมีความบริสุทธิ์ มีความสุขใจ.. ผู้รับ ขณะก่อนรับ รับแล้ว ขณะก่อนรับ ถ้าผู้รับไม่บริสุทธิ์ ขณะก่อนรับมันเลือกเฟ้น อะไรดี อะไรไม่ดีมันจะเลือกของมัน ขณะรับก็ยังไม่บริสุทธิ์ รับเสร็จแล้วนะ ก็ยังไม่บริสุทธิ์ แต่ถ้าบริสุทธิ์ ปฏิคาหก ผู้ให้บริสุทธิ์ ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งคือแสวงหามา ขณะที่จะได้ ขณะให้แล้ว.. ขณะที่เราให้ แล้วเราให้แล้วเราไปวิตกกังวล มันด่างพร้อย แต่ถ้ามันบริสุทธิ์ ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ผู้รับรับด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นบุญกุศล มันระดับของทาน

เมื่อวานเขามา เขาจะมาถวายผลไม้ ถ้าเป็นชาวไร่ชาวสวน เขามีสิ่งใดเล็กน้อย เขาอยากถวาย ถ้าเขาถวายนะ เราต้องอธิบายให้เขาฟังไงว่าควรไม่ควร ดูสิ อย่างอัมพวาเขามา เขามาทิ้งไว้นี่ พวกผลไม้ เพราะอะไร เพราะอาชีพของเขา ถ้าอาชีพของเขา ส่วนที่เขาหามา เราจะให้วางไว้บนโต๊ะนี้ แล้วเราก็จะให้คนของเราเอาเข้าไปในครัว เราไม่เปิดอนุญาตให้ทั้งหมด เพราะถ้าเปิดอนุญาตให้ทั้งหมด อย่างพวกเรา เราไม่ใช่ชาวสวน เราไม่ใช่ชาวสวนใช่ไหม ด้วยเจตนาของเรา ด้วยประเพณีใช่ไหม เรามาเราก็อยากจะเอาของเข้าครัว เราก็ต้องไปซื้อ เราเสียเวลาไหม หนึ่ง.. เราต้องไปซื้อ ต้องแสวงหา ได้มาแล้ว นี่สิ่งที่เขาได้มาเขาต้องไปแสวงหาน่ะ

ถ้าพูดถึงทาน ศีล ภาวนา.. ระดับของทาน เรามีสิ่งใดเราก็ถวายสิ่งนั้น เรามีสิ่งใด เรามีกำลังขนาดไหน เราก็ทำบุญเราแค่นั้น.. ระดับของศีล จิตมันพัฒนาขึ้นตรงนี้ไง ระดับของศีลคือความปกติของใจ เราไม่มีสิ่งใดในมือของเราเลย เราก็สามารถทำบุญกุศลได้ เห็นเขาทำบุญกุศลกันน่ะ อนุโมทนาไปกับเขา ถ้าเราอนุโมทนาไปกับเขา ร่วมเห็นดีไปกับเขา เห็นไหม มันเป็นที่ค่าน้ำใจไง น้ำใจของเรานะ เราไม่ต้องแสวงหาเลย เราไม่ต้องทำสิ่งใดเลย แต่เพราะอะไร เพราะทำบุญกุศล มันมาจากไหน วัตถุนั่นมันเป็นบุญกุศลไหม ผักหญ้ามันเป็นบุญกุศลไหม ผักหญ้ามันเป็นธรรมชาติของมันใช่ไหม แต่คนที่มีเจตนา คนที่ปลูกผักปลูกหญ้า แล้วเรามีสมบัติเท่านี้ เราอยากทำบุญเท่านี้ นี่เจตนาของเขา อำนาจวาสนาของเขา สิ่งนั้นเป็นบุญกุศลโดยแท้ แต่ตัวผักตัวหญ้ามันเป็นบุญกุศลไหม นี่เหมือนกัน มันเป็นที่เจตนาใช่ไหม คนที่เจตนา คนที่ทำ คนที่อยากถวายนั่น นี่เหมือนกัน พอจิตมันยกขึ้น ยกอนุโมทนาทาน อนุโมทนาไปกับเขามันเป็นเรื่องของอะไร มันเป็นเรื่องของหัวใจใช่ไหม เป็นเรื่องของความคิดใช่ไหม ไม่ใช่เรื่องของวัตถุเลย

เวลาปกติของใจ ระดับของศีลมันไม่ทำให้เรา.. เวลาประพฤติปฏิบัตินะ เขาจะไม่คลุกคลี เขาจะไม่คลุกคลีกัน เขาจะไม่อยู่ในที่นั่น เขาจะออกวิเวก ทีนี้พอเราไปเรื่องของทาน ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้ว ท่านบอกเลย “พระที่เห็นแก่ปากแก่ท้องจะธุดงค์ไม่ได้” นี่เราไปติดกับเรื่องปากเรื่องท้อง แล้วเรื่องของหัวใจล่ะ เรื่องของการพัฒนาของจิตล่ะ ฉะนั้น ถ้าสิ่งที่เขามีความจำเป็น เรื่องระดับของทานก็ได้ ระดับของศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าระดับของศีล ระดับของภาวนา.. เรานั่งสมาธิภาวนา พุทโธๆๆ มันมีบุญกุศลมากนะ เพราะอะไร เพราะเราทำบุญกุศล เราทำสิ่งต่างๆ ขึ้นมา

ระดับของทานใช่ไหม ระดับของการเสียสละ ระดับของคุณงามความดี ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา แล้วถ้าภาวนาไป ปัญญามันจะเกิดตรงนี้ ถ้าปัญญามันเกิด เวลาภาวนา ปัญญามันเกิดมันเกิดตรงไหน ปัญญามันเกิดตรงที่เราควบคุมตัวเราเองได้ เรารู้ถูก รู้ผิด รู้ดี รู้ไม่ดี รู้ดี รู้ชั่ว รู้สิ่งต่างๆ คนมันพัฒนาไหม คนมันพัฒนา นี่ศาสนามันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด มีกระพี้ มีแก่น มีเปลือก สิ่งต่างๆ มันมี.. วิวัฏฏ์ นี่ความเชื่อมั่นของเขา

เมื่อวานเขามาน่ะ เขาละล้าละลัง เราเห็นแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าเพราะอะไรรู้ไหม คนของเรา คนนะ ถ้าเกิดมันติดไง มันติด มันว่าสิ่งนั้นถูกต้อง สิ่งนั้นดีงาม สิ่งที่ดีงามมันตายตัว สิ่งที่ศาสนาพุทธเราตอนนี้มันติดที่วิทยาศาสตร์ๆ วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้ ต้องตายตัว แต่ธรรมะมันเหนือวิทยาศาสตร์หลายร้อยหลายพันเท่า มันเหนือวิทยาศาสตร์เพราะอะไร เพราะกรรม กฎแห่งกรรมมันตายตัว ถ้ากฎแห่งกรรมนะ พระพุทธเจ้าเกิดไม่ได้ พระอรหันต์เกิดไม่ได้ เพราะเราเกิดมาจากกรรม เราเกิดมาจากการกระทำ เราต้องมีสิ่งนั้นตลอดไปใช่ไหม แต่ทำไมเราทิ้งได้ล่ะ นี่กรรมมันให้ผลนะ วิทยาศาสตร์มันตายตัว แต่ความตายตัวมันเป็นวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้

แต่ดูเจตนาสิ แรงอาฆาต เวลาทำผิดอันเดียวกัน อย่างเราเป็นคนวางแผน เราจะเป็นคนทำร้ายคนหนึ่ง แล้วเราไปปลุกระดม ไอ้คนที่ปลุกระดมให้คนนั้นบอกเข้าใจผิด ดูสิ .....น่ะ ไอ้พวกนี้มันพวกญวน ไม่ใช่คนไทย ฆ่ามันๆๆ น่ะ ไอ้พวกเนไม่รู้เรื่องน่ะ มันก็นึกว่าญวน มันก็ยิงเอาๆ เห็นไหม คนหนึ่งทำด้วยอาฆาตมาดร้าย คนหนึ่งวางแผน อีกคนไม่รู้เรื่องเลย ทำไปโดยที่ความเข้าใจผิด...กรรมมันเท่ากันไหม? ไม่เท่ากันหรอก เพราะอะไร เพราะแรงอาฆาต แรงผูกโกรธของใจอันนั้น

สิ่งที่เป็นธรรมมันไม่เท่ากัน การทำไม่เท่ากัน ลูกหลานเราถึงความคิดหลากหลาย ไม่เท่ากัน ไม่เสมอกันเพราะอะไร เพราะจิต การกุศล อกุศลของเขาที่ทำมามันไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน นี่ธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันหลากหลายไง ธรรมะมันเหนือวิทยาศาสตร์มากมายมหาศาล พอทำอย่างนั้นปั๊บ เอ้า.. พระทำไมไม่ตอบให้มันเด็ดขาดไปเลยล่ะ.. มันเด็ดขาดของผู้ที่กระทำนะ อย่างเรา เรานักภาวนา เราต้องเด็ดขาดกับตัวของเราเอง เด็ดขาดเพราะอะไร เพราะธรรมะมันอยู่ฟากตาย เวลาทุกคนปฏิบัตินะ คนที่อ่อนแอ ทำอะไรอ่อนแอ กิเลสมันก็อ้างไปทำนองนั้น คนที่เข้มแข็งมาก กิเลสมันก็อ้างไปนั้นน่ะ อ้างว่าจะเจ็บจะปวดจะไข้ จะไม่มีเวลา เราจะต้องมีชีวิตยืนยาว.. มันอ้างไปหมดเลยนะ หนาวนัก อ้างว่าหนาวก็ไม่ทำงาน ร้อนนักก็อ้างก็ร้อนไม่ทำงาน เจ็บไข้ได้ป่วยก็อ้าง หิวกระหายก็อ้าง ทุกข์จนเข็ญใจก็อ้าง

สิ่งที่เป็นอยู่นี้เป็นเพราะเวรเพราะกรรม เราสร้างของเรามานะ คนน่ะ ความคิดหลากหลาย คนหนึ่งเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคมหาศาลเลย แต่คนที่เข้มแข็งนะ เขาบอกทำไมของแค่นี้ ทำไมคนพวกนี้ทำกันไม่ได้ ของมันเล็กน้อย มันอ้างเพราะอะไร เพราะกิเลสเรามันอ้าง พอกิเลสเรามันอ้าง เราเวลาเด็ดขาด เด็ดขาดที่กิเลสของเรา เด็ดขาดที่เรา เราจะต้องมีความเข้มแข็งกับเรา มันอยาก มันต้องการสิ่งใด ต้องฝืน คำว่า “ฝืน” ฝืนใคร คือฝืนกิเลส แต่ความเป็นทางโลก ฝืนก็ฝืนเรา ถ้าฝืนเรา เราฝืนเรา เราทำไม่ได้แล้ว เพราะเราต้องการความสุข เราต้องการความสะดวกสบาย พอฝืนมันก็เท่ากับฝืนเรา แต่ความสุขความสบายนั่นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด

คนมักง่ายจะได้ยาก คนที่มุมานะบากบั่นจะได้ดี คนที่มีความเพียรชอบวิริยอุตสาหะ คนทำความดีจะได้ดี ทีนี้ถ้าจิตใจทิฏฐิมานะของคนเขายึดว่าสิ่งนั้นถูกต้อง เราถึงนั่งดูไง เรามองเขาว่าเขาจะมีดุลยพินิจอย่างไร ถ้าดุลยพินิจของเขานะ เรื่องอย่างนี้มันคุยได้ไง มันคุยได้ มันปรึกษาได้ มันทำได้ สิ่งใดถ้าเขาไม่มีเจตนา เขาไม่มีทิฏฐิมานะ สิ่งนั้นเราก็ควรให้อภัยกัน เราก็ควรตอบสนองเขา แต่ถ้าเขามาด้วยความทิฏฐิมานะ ว่าของฉันถูกๆ นี่ทิฏฐิมานะไง ทิฏฐิไม่เสมอกัน ความเห็นไม่เสมอกัน จะมีความขัดแย้งกัน ถ้าทิฏฐิของใครเข้ม ทิฏฐิของใครแข็ง แต่ทิฏฐิของเรา ทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ-สัมมาทิฏฐิ ถ้าทิฏฐิของเรามันผิดพลาด เราก็ต้องแก้ไข นี่การพัฒนาของจิต

นี่วัด เราไปวัดไปวากัน ถ้าเราไปทำบุญกุศล วัดไหนก็ว่าต้องเป็นความดีๆๆ เราก็ติดตรงนั้นใช่ไหม แต่ความดีของใคร ความดีระดับของทาน ความดีระดับของศีล ไปวัดนี่ไม่เห็นมีอะไรเลย เงียบนะ สงบสงัด ไม่เห็นมีอะไรเลย นั่นน่ะ วัดของพระพุทธเจ้าจะเริ่มมีขึ้นแล้วนะ จะหลีกเร้น เหมือนกับคนไม่มีปฏิสันถาร...มี ปฏิสันถารด้วยธรรมวินัยเลยล่ะ ปฏิสันถารของคนน่ะ มันพัฒนาของเขา เราจะดูคนที่เข้ามาในระดับของหยาบขนาดไหน คนนี้ละเอียดขนาดไหน คนนี้เขามีความมุ่งมั่นอย่างไร ทิฏฐิมานะมันหลายหลาก ฉะนั้นความเห็นมันหลายหลาก

ธรรมะ ดูสิ กรรมฐาน ๔๐ ห้องน่ะเพื่อใคร กรรมฐาน ๔๐ ห้องน่ะ เพื่อจริตนิสัยของคนที่มันไม่เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ อาหารมีให้เราเลือก ๔๐ อย่างเลย อะไรก็ได้ที่จะทำให้จิตสงบได้ แต่พอพวกเราปฏิบัติขึ้นไปนะ ผิดหมดๆ เหลือไว้อันเดียว เวลาเราบอกผิดๆ มันผิดที่ไหน

เราพูดประจำ พุทธพจน์ ไม่เคยเถียงพุทธพจน์ เราไม่เคยเถียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เราเถียงคนที่จำพุทธพจน์มา คนที่เอาพุทธพจน์มาสอน สอนโดยหลักตายตัว สอนโดยหลักวิทยาศาสตร์ว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆ...เราคัดค้านตรงนี้ เราคัดค้านที่ว่ามันไม่เป็นอย่างที่เอ็งคิด เพราะอะไร ดูสิ ของที่หยาบ เวลาเขาต้องการทรายที่เขาจะฉาบ เขาต้องการทรายละเอียด เขาต้องร่อนทราย ทรายหยาบ ทรายละเอียดมันยังมี หัวใจเราหยาบ แล้วหัวใจเราจะพัฒนาขึ้นไปละเอียดน่ะ แล้วบอกต้องเป็นอย่างนี้ คือต้องหยาบอย่างนี้ตลอดไป ถ้าละเอียดก็ต้องละเอียดอย่างนี้ตลอดไป แล้วเวลาเขาใช้งาน เวลางานปูนเขาต้องใช้ทรายปกติของเขา งานฉาบเขาต้องใช้ทรายละเอียดของเขา งานที่ละเอียดเข้าไป นี่จิตใจเรามันจะพัฒนาอย่างนี้ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ มันจะพัฒนาไปได้อย่างไร มันพัฒนา มันจะพัฒนาของมันไป

ต้องเป็นอย่างนี้คือเราต้องเกาะอย่างนี้ เกาะศีลของเรา เกาะข้อวัตรปฏิบัติของเรา ต้องเป็นอย่างนี้ คือจิตไม่ให้มันเหลวไหล แต่เวลาจิตมันพัฒนาไปนะ โอ้โฮ.. ขณิกสมาธิเป็นอย่างนี้! อุปจารสมาธิเป็นอย่างนี้! อัปปนาสมาธิเป็นอย่างนี้! นี่มรรค ปัญญาของขั้นปุถุชน ปัญญาของขั้นกัลยาณปุถุชน ปุถุชน-กัลยาณปุถุชนก็มีความเห็นต่างกันแล้ว เถียงกันปากเปียกปากแฉะเลยนะ

เวลาปุถุชนก็ต้องเป็นอย่างนี้ วิทยาศาสตร์

กัลยาณปุถุชนบอกว่า รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

ปุถุชนบอกต้องเป็นวิทยาศาสตร์

กัลยาณปุถุชนบอกไอ้นั่นน่ะมันหลอกใจ ไอ้วิทยาศาสตร์มันหลอก เพราะเรายึดมัน ยึดมั่นถือมั่น มันทำให้เราฟุ้งซ่าน ทำให้เรายึดตายตัว แต่ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นบ่วงของมาร ล่อ บ่วงคือการล่อ พวงดอกไม้แห่งมาร นี่มันล่อมันลวงออกมา แล้วถ้าเราไม่ตามไป..

แม้แต่ปัญญาของปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล.. หลากหลาย หยาบ ละเอียด ลึกซึ้งเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นี่ไง จิตมันพัฒนาขนาดนี้ เวลาการกระทำของเรา คนที่มาวัดมาวา เขาควรพัฒนา ถ้าเขาไม่พัฒนาของเขา เขามีทิฏฐิมานะของเขา แล้วเราบอกว่าไอ้อย่างนั้นผิดๆ เพราะเขาติด เขาทิฏฐิ เขาวิทยาศาสตร์ไง เขายึดมั่นของเขา มันต้องดูคน คนเรานี่ไม่ใช่แก้กันไปได้หมดทุกๆ คนหรอก แต่ถ้าคนเราขึ้นมา ถ้าเขาเปิดรับ เขามีปัญญาของเขา เขามีการแสวงหา เขามีการแลกเปลี่ยนกัน นี่มันจะพัฒนา ถ้ามันไม่แลกเปลี่ยนกัน มันยึดของมันโดยหลักตายตัว มันจะพัฒนากันอย่างไรล่ะ

หลักศาสนา ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะสอน ท่านสอนอย่างนี้ไง สอนต้องดูเจตนา ดูความมุ่งมั่นของเขา เขาพอใจไหม เขาเปิดใจไหม ถ้าเขาเปิดใจนะ เราก็คุยกัน พยายามป้อน เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าพระองค์ไหนมีความมุ่งมั่น มีความต้องการมากนะ ท่านจะสอน ท่านจะคอยดูแล ถ้าพระองค์ไหน จริตนิสัยของเขาได้ขนาดนั้น เขาอยู่ได้ขนาดนั้น ก็เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อบุญบารมีของเขา เขาทำเพื่อสร้างบุญกุศล เพื่ออำนาจวาสนาบารมี แต่ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราจะทำของเราถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของใจได้เลย แล้วความสะอาดบริสุทธิ์ของใจมันทำอย่างไร เพราะคนเป็นกับคนเป็นพูดรู้เรื่องหมด นี่ความพัฒนาของใจ วุฒิภาวะๆ เราพูดเรื่องนี้บ่อยมากเลย เพราะเราเห็นมันหลากหลายไง มันหลากหลาย มันมีการพัฒนาของมัน

ดูสิ ธรรมของพระพุทธเจ้า มีบุรุษอยู่ ๒ คนไปด้วยกัน คนหนึ่งโง่ อีกคนฉลาด ไปด้วยกันก็ไปเก็บปุ๋ย ปุ๋ยคือมูตร คืออุจจาระ ปุ๋ยคือมูลสัตว์ นี่แบกมา คนหนึ่ง พอเขามาเจอเงิน เขาทิ้งมูลสัตว์ เขาเอาเงิน พอไปข้างหน้าเขาไปเจอทอง เขาทิ้งเงินไปเอาทอง นี่เขากลับบ้าน เขาได้ทองคำไป แต่ไอ้คนเอาที่มูลสัตว์มา มูลสัตว์นี้เป็นประโยชน์ไปใส่ปุ๋ยได้ มูลสัตว์ เวลาเดินกลับไปด้วยกัน ฝนตก พอฝนตกเท่านั้น น้ำมันชำระมูลสัตว์ไหลเลอะตัวไปหมดเลย กลับไปที่บ้าน มีแต่มูลสัตว์ไปให้ภรรยา ภรรยาเอ็ดเอาด้วย นี่ทิฏฐิมานะที่คนปล่อยกับไม่ปล่อยไง ถ้าคนปล่อย มันเปลี่ยนจากมูลสัตว์ เป็นเหล็ก เป็นเงิน เป็นทอง มันเปลี่ยนของมันไป ไอ้ทิฏฐินี่ไม่เปลี่ยนเลย มันได้แต่มูลสัตว์ มูลสัตว์เลอะตัวมันไปตลอดเลย

ทิฏฐิมานะของคน ครูบาอาจารย์น่ะต้องดู ต้องเป็น แล้วค่อยเข้าใจไง เพราะเราเป็นมาก่อนใช่ไหม ดวงใจทุกดวงเหมือนกันหมดล่ะ ทุกคนจะมีทิฏฐิมานะ แต่ทิฏฐิมานะเป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข.. เปลี่ยนแปลงแก้ไข.. เราจะพัฒนาของเรานะ

วัดเหมือนกัน วัดมันก็มีหลากหลาย เขาไปวัดนั้น ทำอย่างนั้นดีๆๆๆ แล้วพอไปวัตรปฏิบัติ ทำไมสิ่งที่ดี ทำไมมันผิดหมดเลยล่ะ...มันไม่ผิดระดับหนึ่งนะ คนเราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เราอาศัยเพื่อปากเพื่อท้อง แต่เรามีมุ่งมั่น ต้องการศีล สมาธิ ปัญญา เรามีเป้าหมายที่ลึกซึ้งกว่า เรามีเป้าหมายที่ต้องการความสงบสงัด เรามีเป้าหมายที่จะหลีกเร้นกัน เพื่อรักษาดวงใจของแต่ละดวงใจ ถึงดวงใจมันพัฒนาขึ้นมาแล้วนะ อาหารการกินมันก็แค่เลี้ยงปาก มันมีความจำเป็นระดับหนึ่ง แต่ความจำเป็นที่มากกว่านั้น ความจำเป็นที่สูงกว่านั้น เราจะรักษาสิ่งนั้น วัดของเราเลยหลากหลาย ให้พัฒนาขึ้นมา ถึงไม่มีกฎตายตัว อยู่ที่ว่าคนจะพัฒนาได้มาก พัฒนาได้น้อย แล้วทำกัน เพื่อความดีของเรา...เข้าใจไหม ที่พูดกับเขาหรือไม่พูดกับเขา อยู่ที่ตรงนี้ไง

ไม่ใช่ว่าคนมาก็ต้องรับหมดเลย รับหมดเลย เขาก็ไม่ได้พัฒนาของเขา เขาไม่เข้าใจว่าอะไรผิด อะไรถูก ก็เขาเคยทำ เขามีทิฎฐิอย่างนี้ เราบอกต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ตอบสนองเขา แต่จะตอบสนองเขา เมื่อวานถ้าเขามาคุยกับเรา เราก็จะบอกเขา บอกว่าที่มานี่เห็นด้วย รับได้เพราะเจตนาบริสุทธิ์ เจตนาเขาดี เราก็รับไว้ แต่มันเป็นภาระ แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ กำหนดลมหายใจมันจะดีขึ้น

แต่ที่เราห้ามไว้ก็เพราะพวกเรานี่แหละ พวกเรานี่ไม่ใช่อาชีพชาวไร่ชาวสวน จะต้องไปแสวงหามาไปอะไรมา ไอ้นั่นมันก็เป็นทาน แต่ถ้าเรามีตั้งใจแล้วเจตนาแล้ว เรากำหนดพุทโธเลย มันก็เป็นสิ่งที่มันเป็นการภาวนา มันมีบุญมากกว่าไง เราจะต้องการ บังคับ โดยโยมจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็แล้วแต่ ให้ทุกคนได้พัฒนา ให้จิตเข้าถึงหลักของธรรม

ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ในใจของเรา มันอยู่กับเราแท้ๆ เลยน่ะ แต่โดนกิเลส โดนอวิชชาปกคลุมไว้ แล้วเราก็จะไปเห็นผักเห็นหญ้าเป็นคุณประโยชน์ ทำเอาผักเอาหญ้ามาถวายวัดแล้วจะได้บุญ แล้วไอ้ที่หัวใจที่มันโดนอวิชชาปกคลุมไว้น่ะ ถ้ามันเพิกออกมา อันนั้นน่ะยอดเพชรเลย ดาบเพชร ยอดคุณธรรมในใจของเราเลย เราไปมองข้ามมันได้อย่างไร เราไปมองแต่สิ่งวัตถุภายนอกมีคุณค่า แล้วสิ่งที่มีคุณค่าในใจของเรา เหยียบย่ำมัน แล้วไม่เข้าใจมัน แล้วเวลาไปทำบุญก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นบุญ สิ่งที่เป็นวัตถุเป็นบุญ แล้วใจที่เป็นบุญ ใจที่เป็นกุศล แล้วใจที่พัฒนาขึ้นไปเป็นมรรค เป็นผล เป็นสมบัติของเราน่ะ เราเอาไหม เราทำไหม

นี่เป็นอาจารย์เขา ถึงต้องสอนเขา บอกเขา อยู่ที่วุฒิภาวะ ไม่ใช่หลักตายตัว ทุกคนจะเป็นอย่างนั้นเสมอกัน เอ็งจะเห็นมองอย่างนั้นน่ะ ต้องเป็นอย่างนั้นๆ เห็นไหม อยู่ที่คน อยู่ที่การพัฒนา อยู่ที่คุณงามความดี มันหลากหลาย มันเป็นปัจจุบันน่ะ ไม่ใช่หลักตายตัว ต้องทำอย่างนั้น หลักตายตัวอย่างนั้นมันก็เหมือนเครื่องจักร เป็นวิทยาศาสตร์อยู่ดี ธรรมะนี่มันพลิกแพลง ตาสับปะรด เรามี ๒ ตา สับปะรดมีตารอบตัวนะ ธรรมก็เหมือนกัน มีตารอบตัว เป็นประโยชน์อย่างไร จะใช้อย่างนั้น เอวัง