เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หนังสือนี้มันเป็นหนังสือหลวงตา หลวงตาเทศน์วันวิสาขบูชานี่ถูกต้อง หนังสือนี่หนังสือหลวงตาเขาพิมพ์แจกกัน แล้วเราเอง ขนาดเราทำวิทยุกระจายเสียงเทศน์ของหลวงตาเลย แต่หนังสือนี่เวลาเอามาแจกกัน ถ้าพูดถึงเราไม่กั้นไว้นะ เราไม่ปิดกั้นไว้ หนังสือนี่เขาฝากคนไว้เยอะแยะ แต่เราไม่อนุญาตให้เอาเข้ามา แล้วเราพูดกับคนของเราด้วยว่า

“ถ้าใครจะรับอะไรมา ให้รับเป็นเรื่องส่วนตัว”

สิทธิส่วนบุคคลทุกคนมีใช่ไหม? ใครจะรับอะไรกัน ใครจะแจกอะไรกันเรื่องของส่วนตัว เรื่องของโยมสิ มันไม่เกี่ยวกับวัดของเราสิ ถ้าใครจะฝากของเข้ามาในวัดนี้ มันก็ต้องมาถึงตัวเราก่อนสิ แล้วเราเป็นคนเคลียร์ เราเป็นคนจัดการว่าของที่ฝากมานี่สมควรทำอย่างใด

เพราะฝากกันมา ฝากกันมาให้เรา แล้วไปจัดการกันเองอย่างนี้มันไม่ถูก เพราะ! เพราะโยมรับมือกับเรื่องนี้ไม่ทันหรอก หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ หลวงตาท่านออกมาช่วยโลก เรื่องทุกอย่างมันเลยแบบว่าไปตามกระแส เมื่อก่อนหนังสือจะเข้าวัดหลวงตาไม่ได้หรอก หลวงตาท่านพูดกับพระเราประจำ ท่านบอกว่า

“เรามั่นใจว่าเราสอนถูก”

ตัวหลวงตาท่านพูดเอง ว่าท่านนี่สอนถูกไม่ผิดหรอก ไม่ต้องให้ทุกคนมาเบี่ยงเบนเรื่องธรรมะ หนังสือฝากเข้ามามันก็เป็นความเห็นของทุกๆ คน มันจะเบี่ยงเบนของมันไป แล้วพวกเรานี่รับมือไม่ได้ ด้วยความเกรงใจ มรรยาทสังคม ถ้ามีคนฝากอะไรเข้ามาก็จะรับๆ ถ้าเขาแจกกันเป็นเรื่องของชำร่วย เรื่องอะไร โยมก็รับเป็นเรื่องของโยมไป แต่จะเอาเข้ามาในวัดของเราต้องมาปรึกษาเราก่อน

มีเอาหนังสือมาทิ้งไว้ที่วัดเยอะแยะไปหมดเลย แม้แต่หนังสือสวดมนต์เรายังไม่เห็นด้วยเลย เพราะหนังสือสวดมนต์ เห็นไหม หนังสือสวดมนต์ก็ทำไป สังเกตได้ไหม ที่เวลาตั้งแต่ก่อนหน้านี้วันวิสาขบูชา สมเด็จญาณฯ เป็นผู้นำ เห็นไหม แล้วเอาพระป่ามาจัดงานวิสาขบูชา โอ้โฮ.. ท้องสนามหลวงเต็มพรืดไปด้วยการปฏิบัตินะ คนนั่งปฏิบัติเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวนี้นะมีแต่สวดมนต์กัน มีแต่สวดมนต์ มีแต่พิธีกรรมหมดเลย

แม้แต่หนังสือสวดมนต์ เอาเข้ามานี่เราก็ดูของเรา เพราะพระเราก็สวดมนต์ แล้วพระเราเวลาสวดมนต์ พระเราดูหนังสือเอกเทศ เอกเทศออกจากมหามกุฏ มหามกุฏคัดลอกมาจากมคธอักษร นี่คัดลอกมาได้ถูกต้อง แล้วพิมพ์ต่อไป ถ้าหนังสือสวดมนต์ออกจากมหามกุฏ โรงพิมพ์ของมหามกุฏ พระพิมพ์กันเองออกมานี่มันอยู่ในหลักเกณฑ์

หนังสือสวดมนต์นี่ให้โยมพิมพ์ ให้โยมแก้ไข ให้โยมแต่ง ให้โยมทำไป แล้วก็โยมพิมพ์ให้พระสวด เราเอามานี่นะ ใครเอาหนังสือสวดมนต์มาเราให้กองไว้ โทษนะ เผาไฟทิ้งหมด อะไรเข้ามานี่เราเผาไฟทิ้งหมดเลย เพราะมันสมองของคฤหัสถ์กับมันสมองของพระ มันต่างกันอยู่แล้ว ฉะนั้นจะเข้ามาในวัดนี้ไม่ได้!

จำคำนี้ไว้นะ! ใครจะเอาอะไรเข้ามา คนใหม่เข้ามาจำไว้เลย ในวัดของเราหนังสือทุกอย่างเข้ามาไม่ได้ ถ้าเข้ามาต้องมาผ่านเราก่อน หนังสืออย่างนี้หนังสือหลวงตา ใช่หนังสือหลวงตา แต่มันมีเบื้องหลังเยอะแยะเลย.. แล้วฟังนะ ฟังเราพูด เรานี่สลดสังเวชมาก เวลาโยมที่มาประพฤติปฏิบัติกับเรา เวลาปฏิบัติคนมาถามปัญหา เราบอกว่าผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนั้น

“มันจะผิดได้อย่างไร? ก็ตำรามันบอก หนังสือมันบอก”

หนังสือนี่พอมันผิดมาแล้ว คนไปอ่านแล้วไปยึด พอยึดแล้วมาหาเรา เวลาเราพูด เราแก้ไข ยังยึดว่าหนังสือถูก บอกหนังสือมันถูก แล้วหนังสือใครมันพิมพ์ ใครมันเขียน

ในวงการปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิเวลาพวกโยมเราเอาอภิธรรมมา หนังสือภพภูมิของพุทธภูมิว่าเป็นพระพุทธเจ้า จะเอามาให้เราแจกเหมือนกัน เราบอก “ไม่แจก”

เขาว่า “ทำไมแจกไม่ได้ นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ ธรรมะของพระพุทธเจ้า”

เราบอก “ใช่ ธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่กูไม่แจกเพราะพวกมึงนี่แหละ พวกมึงเป็นคนไปพิมพ์ใช่ไหม? พวกมึงเป็นคนเอาไปจัดการใช่ไหม? ก็พวกมึงนี่แหละทำให้มันผิดจากธรรมะของพระพุทธเจ้าไป”

ฉะนั้น ไอ้พิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือนี่ สังเกตได้หลวงตาท่านบอกไม่ให้พิมพ์หนังสือ ทุกคนให้ปฏิบัติ ทุกคนให้นั่งสมาธิภาวนา แล้วท่านพูดเอง ดูสิประวัติหลวงปู่มั่น กับหนังสือปฏิปทากรรมฐาน แม่ของหลวงตาอ่านแล้วน้ำตาไหล ทุกคนอ่านแล้วร้องไห้หมดเลย ทำไมเขียนได้หยดย้อยอย่างนั้น นี่ไงแล้วท่านก็พูดเอง

“ถ้าไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้เขียนไม่ได้ ไม่รู้ทำไม่ได้”

แล้วพวกเรารู้อะไรกัน? รู้แต่กิเลสตัวใหญ่ๆ รู้แต่ทิฏฐิมานะ รู้แต่จะเอาชนะคะคานกัน รู้แต่จะเอาหนังสือกูดีกว่าหนังสือมึง พิมพ์ให้มันสวยๆ มันมีประโยชน์อะไร? แล้วก็ไปยึดกัน พิมพ์ขึ้นมาหลอกตัวเองกัน แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นในความหลอกของตัวเอง แล้วพอไปพูดกับคนรู้จริง ก็ต้องเอาความหลอก หลอกตัวเองจนตัวเองเชื่อ พอตัวเองเชื่อแล้วตัวเองก็ยึดมั่นถือมั่นอันนั้น

นี่ไงพวกโยมไม่มีวุฒิภาวะ รับเรื่องกระแสสังคมไม่ไหว ทีนี้เรื่องกระแสสังคมเราเห็นใจนะ นี่เรายืนหลักไว้ ทีนี้ผู้ที่มาใหม่ไปทำอย่างนี้นะ ไล่ออกอย่างเดียวนะ ไล่ออกอย่างเดียว! เพราะคนๆ หนึ่งจะทำให้องค์กรทั้งองค์กรเสียไปหมด ไม่ได้ เรารักษาองค์กรนี้มาตลอด เราทำองค์กรนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น เราอยู่มาคนเดียว เราอยู่คนเดียวมาตลอด เราไม่ให้ใครเข้ามายุ่งกับเราเลย

นี่เราเอาหลักเกณฑ์อย่างนี้มาตลอด แล้วมาจากไหนเนี่ย มาจากไหน? แล้วจะมาทำลายองค์กร มันเหมือนเพลี้ยไง เหมือนเพลี้ย เหมือนด้วงไง มันทำลายสิ่งที่มันอาศัยไง ฉะนั้น จะเอาอะไรมาก็แล้วแต่ ถ้าฝากเรา ต้องเอามาให้เรา เขาฝากคนอื่นไม่ได้ คนอื่นทุกคนอยากเสนอ..

เราอยู่ที่นี่ เห็นไหม ไปหาหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะว่า

“มึงอยู่สององค์ใช่ไหม? มึงอยู่สามองค์ใช่ไหม?”

ไปหาหลวงตา หลวงตาบอก “อยู่อย่างนั้นใช่ไหม?”

มีคนไปรายงานตลอด มีคนจะเข้าไปสัมพันธ์ตลอด มีคนจะเอาชื่อเราไปขายกันตลอด

นี่ก็เหมือนกัน รับมาๆ มันโง่ไง ถ้ามันรับมา ทำไมคนที่เขาสนิทชิดเชื้อทำไมเขาไม่รับมา เพราะรับมาไม่ได้ไง รับมานี่ มาถึงเราเราต้องตรวจสอบของเราเอง มาถึงเราจะผ่านจากมือเราไปไม่ได้ ถ้าผ่านจากมือเราไปนะ ไม่ต้องผ่านหรอก ดูสิอริยวินัยเอาชื่อเราไปใส่ เห็นไหม บอกพระสงบเห็นด้วย เห็นด้วยอะไรไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้อะไรเลย ใครๆ ก็เอาชื่อไปใส่ ใครๆ ก็เอาชื่อไปใส่

นี่หลวงตาก็เหมือนกัน ที่วัดหลวงตาท่านบอกท่านสอนได้ ท่านสอนถูก ไม่ต้องให้ใครมายุ่งหรอก ทุกคนนะพิมพ์หนังสือเสร็จต้องบอก นี่หนังสือดี หนังสือดี ต้องให้ผ่านหลวงตาเอาเครดิตไง เอาเครดิต เอาความยอมรับ ก็มึงพิมพ์เองมึงก็แจกเองสิ มึงทำไมต้องมาแจกวัดกูด้วยล่ะ? มึงก็แจกของมึงสิ อ้าว.. มึงเก่งมึงก็แจกไป มึงก็ทำไปสิ

นี่ไงมันต้องมาผ่าน ต้องมาผ่านไง ไอ้มาผ่านอย่างนี้ไม่ได้นะ ไม่ได้! ไม่ใช่ว่าเราอิจฉา ไม่ใช่ว่าเราตาร้อน ไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการให้คนอื่นมีส่วนร่วมในการเผยแผ่ศาสนา มันแผนที่ผิดมันจะไปไหนกัน? ฟังสิ มันสังเวชที่ใจนะ เด็กกรุงเทพฯ นี่มาเยอะมาก เวลาเราบอกผิดๆ

“มันผิดได้อย่างไรก็ตำราบอกอย่างนี้”

แหม.. มันอึดอัดมากนะ มันอึดอัดมาก ด้วยเด็กนะ ปัญญาชนใช่ไหม? ก็ว่าตำราก็ต้องถูกใช่ไหม? ก็ยึดเอกสารกันก่อนใช่ไหม? แล้วเอกสารคนเขียนนี่มันใครเขียนล่ะ? แล้วเขียนมันชี้ไปไหนล่ะ? เห็นไหม วิปัสสนาสายตรงๆ มันจะวิปัสสนาไปไหน? ในเมื่อจิตมันไม่สงบ อะไรมันวิปัสสนา?

ในการปฏิบัตินี่นะ ดูสิในสายปฏิบัติต่างๆ นี่ปฏิบัติมันหลากหลายกันทั้งนั้นแหละ แล้วเวลาใครมาว่า “เห็นกายๆ พิจารณากาย” แล้วมันพิจารณากายอย่างไร? ถ้าโยมพิจารณาเห็นกาย เราบอกว่าสมุฏฐานของการเห็นมันหลายหลากมาก เห็นด้วยอุปาทาน เห็นด้วยความเพ้อเจ้อ เห็นด้วยสมาธิมีเล็กน้อย เห็นด้วยสมาธิที่มั่นคง

ถ้าเห็นกาย นี่เห็นแล้ววิภาคะ คือแยกส่วน ขยายส่วนได้ นั้นคือการกรอง การกรองว่าความเห็น ความรู้ของเรานี่มันมีพื้นฐานสิ่งใดมา ถ้าพื้นฐานของเราเห็นจริง ความเห็นจริงนี่มันเป็นสเต็ปไง พอการเห็นขั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ มันจะส่งต่อเนื่องกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

การปฏิบัติมันมีศีล สมาธิ ปัญญา.. เก่งมากๆ ตัดทิ้งหมดเลย บอกสมาธิก็ไม่ต้องทำ สมาธิมันไม่มีประโยชน์ ศีลก็ไม่ต้องรักษามัน วิปัสสนาสายตรงๆ ก็ขี้ลอยน้ำไง แล้วมันไปเขียนตำรากันมา แล้วก็มาบอก.. ความเห็นนี่คนไม่เคยภาวนาไม่รู้หรอก เรานอนฝัน เวลาคนนอนฝันนี่ไปคนละทิศละทาง ฝันไปร้อยแปดพันเก้า การนอนฝันจับทิศทางไม่ได้เลย

การนอนฝันคือความคิด ฝันคือสังขาร สังขารนี่จิตมันทำงาน พอจิตมันทำงานไป มันไม่มีสติมันก็ไปตามธรรมชาติของมัน นี้เวลาฝันนะ แล้วเวลาไปเห็นกายล่ะ? เวลาเห็นขึ้นมานี่ใครเห็น? ใครควบคุมกายได้ ใครทำอะไรได้ ถ้าใครควบคุมได้ ใครเห็นได้ เงินของเรานี่เราเป็นคนทำงานขึ้นมา เราได้เงินอยู่ในกระเป๋าของเรา เงินนี้เราใช้จ่ายมันได้ไหม? เงินนี้เราจะพัฒนาได้ไหม?

สมาธิที่มีพื้นฐานขึ้นมา ถ้าไปเห็นกายขึ้นมา กายที่มันเห็นของมัน โดยธรรมชาติของมัน โดยจิตเห็น โดยจิตที่มีสติสัมปชัญญะควบคุมมัน ทำไมสติสัมปชัญญะมันจะให้วิวัฒนาการของมันไปไม่ได้ ถ้าวิวัฒนาการของมันไปไม่ได้ก็มึงเห็นปลอมไง พิจารณากายสิ เห็นกาย พิจารณากายสิ.. เพ้อเจ้อ!

นี่ทางวิชาการมันเจริญนะ แล้วก็เขียนกัน พิมพ์กัน พระมาหาเยอะมาก เขาอยู่กับอาจารย์เขา แล้วเขามาหาเรา อาจารย์บอกพิจารณากาย.. เรารู้ พูดอย่างนี้คนโง่ เราถามบอกให้เอ็งถามกลับอาจารย์มึง บอกว่าอาจารย์มึงพิจารณาอย่างไร? ให้พิจารณากายก็สอนวิธีพิจารณาสิ

อย่างเรานี่จะสอนลูกทำกับข้าว เราจะสอนลูกทำอาหาร เราจะสอนมันไหมว่าเครื่องผสมประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แล้วเราจะหั่น เราจะล้าง เราจะทำความสะอาดอย่างไร? แล้วเราจะผสมอย่างไร? เราจะต้มอย่างไร? เราจะแกงอย่างไร? เราบอกได้หมดใช่ไหม?

นี่มึงจะพิจารณากายก็บอกวิธีการมาสิ แล้วก็ว่า

“ก็พิจารณากายสิ จิตสงบแล้วพิจารณากาย”

แล้วพิจารณากายอย่างไรล่ะ? แล้วก็เขียนหนังสือกัน อู๋ย.. พิจารณากายไปนะ ไปนอนฝันมามันก็เขียนแล้ว อู้ฮู.. พิจารณากายแล้วเป็นอึ่งอ่าง อึ่งอ่างมันพองเป็นวัว ก็ว่ากันไป

เราจะบอกว่าโยมนี่นะมันไม่มีวุฒิภาวะ แล้วมันรับกระแสของสังคมอย่างนี้กันไม่เป็น แล้วกระแสสังคมมันโหมมา แล้วเราไปรับไม่ทัน พอไม่ทัน เราจะรับได้มากได้น้อย มันอยู่ที่เวรที่กรรมของสัตว์

ทีนี้ขอเถอะ ขอไว้วัดหนึ่ง เราจะไม่ให้ใครยุ่งวัดหนึ่ง วัดนี้ไม่ให้ยุ่งกับใครทั้งสิ้น ให้มันเป็นไปตามข้อเท็จจริงของมัน ใครจะเอาอะไรมาต้องมาผ่านเราก่อน เราเป็นคนสร้างมา เราเป็นคนทำมา เราตั้งแต่มาสร้างวัดที่นี่นะ ฝ่ายปกครองเขาขอเลย ขอให้สร้างโบสถ์ ขอให้มีการเรียนหนังสือ เราบอกเขาเลย ถ้าจะสร้างโบสถ์ ถ้าจะเรียนหนังสือ ถ้าจะเรียนทางวิชาการให้เอาวัดนี้ไปเลย เราเก็บของไปเลย

เรามาลงทุนลงแรงเพื่ออะไร? เรามาลงทุนลงแรง เรามาก็เพื่อสำนักปฏิบัติ ปฏิบัตินี่ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอมาบีบคั้นเรามาก ให้เราส่งพระไปเรียน ส่งไปเรียน เอ็งจะเรียนนี่มหามกุฏ มหาจุฬามีที่ว่างให้คนไปเรียนเยอะแยะเลย แต่ไอ้ที่ปฏิบัติจริงรู้จริงมันจะมีสักกี่คน แล้วการประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ ที่ทำตามความเป็นจริง มันจะชี้นำกันได้อย่างไร?

การประพฤติปฏิบัติต้องมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วมันมีอยู่คนสองคนที่จะมาชี้นำ ก็จะเอาหนังสือเข้ามา ก็หนังสือกูก็ดูมาแล้วน่ะ พระไตรปิฎก ๒ รอบ ๓ รอบค้นมาหมดแล้ว มันจะมีหนังสืออะไรอีกล่ะ? หนังสือในใจ หนังสือในหัวใจทำไมไม่รื้อค้น?

ไม่ต้องฝาก ของที่เขาจะฝากมา ถ้าเขาฝากมา แล้วเราจำเป็นต้องรับมาก็เอามาให้เราสิ ถ้าเอามาให้เรานะเอ็งก็โดนด่าก่อน ทีนี้ก็ไม่กล้าเอามาให้ ก็หน้าบางไปรับเขามา ก็ไปกินเหยื่อเขาแล้วนั่นน่ะ เขาตกเบ็ดก็กินเหยื่อ พอกินเหยื่อเสร็จแล้วไม่รู้จะคายอย่างไรนะ ดิ้นพราดๆ อยู่ เอามาแล้วก็ไปแอบแจกกัน

เอามาให้เราสิ ถ้ารับมาน่ะ เอามาให้เราเราก็จะสอน นี่โยมที่มาที่นี่หลายคนมากเขาจะรับมา หนังสือนี่เขาฝากมาทั้งนั้นแหละ หนังสือนี้เราได้รับหมดแล้ว เขาฝากโยมของเรามา แต่โยมของเราเขากลัว เขาก็รับมาแค่ ๕ เล่ม ๑๐ เล่ม เขาเอามาให้เรา เราก็เก็บไว้ หนังสือในห้องเรานี่นะ ปฏิปทากรรมฐานยังอีกเป็นตั้งๆ เลย เล่มพิมพ์ใหม่น่ะ

ของเราในห้องเต็มไปหมดเลย ใครเอาหนังสือยัดเข้ามา ยัดเข้ามา เราก็เก็บของเราไว้ แล้วเขามาถามว่าแจกได้หรือยัง? ยัง เพราะเราไม่มีเวลาดู เพราะอะไร? เพราะเขาไปแก้ไข เรียบเรียง เราไม่ไว้ใจ ถ้ามันซื่อสัตย์นะ ท่านเขียนอย่างไรพิมพ์อย่างนั้นมา เราจะแจกเลย ไอ้นี่คำนำมันฟ้องไง แก้ไข เรียบเรียง แล้วมึงเอาวุฒิภาวะอะไรไปแก้ไข ไปเรียบเรียงล่ะ? วุฒิภาวะของมึงมีแค่ไหน? แต่คนมันก็อยากมีส่วนร่วม ไม่รู้เลยนะว่าทำบุญหรือทำบาป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ารับมาเราก็จะบอกว่าไม่ได้ บอกเขาบอกว่าเราไม่รับ ถ้าเรารับนะเขาเอามาให้เราเองแล้ว หนังสือถ้าใครเอามา เขาเอามาถึงเรานี่หงายท้องหมดแหละ วันนั้นมา เห็นไหม ที่มาจากปทุมฯ อะไรนะ “พระไตรปิฎกจากพระโอษฐ์” นั่นน่ะ เขาบอกเขาคัดลอกแล้ว ไม่มีอรรถกถาเลย เราบอกที่มึงคัดลอกนี่ก็อรรถกถาอันหนึ่งนะ

เขาบอกว่า “...เป็นอรรถกถาเขียนมา อันนี้ตัดทิ้งหมดแล้ว อันนี้พระไตรปิฎกสายตรง”

“อ้าว.. ก็มึงคัดลอกนี่ก็อรรถกถาของมึงไง”

เกลียดตัวกินไข่ เกลียดคนอื่นทำผิด แต่ตัวเองทำซะเอง แล้วพอตัวเองทำไม่เห็นนะ ขี้นกบนหัวคนอื่น อู้ฮู.. เลอะๆๆ สกปรก เวลามันขี้บนหัวตัวเองมองไม่เห็นนะ มองไม่เห็น แล้วจะมาให้เราแจก เห็นไหม เรายันกลับไปเลย เงียบ

“นี่ของพระพุทธเจ้านะ นี่ธรรมะจากพระโอษฐ์นะ”

ธรรมะจากพระโอษฐ์นี่พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเป็นหลักเป็นเกณฑ์ พระไตรปิฎกเป็นสมบัติสาธารณะ ใครก็รื้อค้นได้ แล้วมันจะพระโอษฐ์จากไหนล่ะ? ถ้ามึงพลิกแพลงไปจากนั่นก็เป็นความเห็นมึงไง

นี่มีคนมาทำอย่างนี้เยอะ กรณีนี้คือกรณีไปตกหลุมพราง แล้วเราไม่พอใจ เพราะตกหลุมพรางแล้วเอามาแอบซ่อนเร้น แอบทำกันที่นี่ อันนี้ผิดมาก เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเหมือนกับว่าเรานี่เอาเชื้อโรค เอาสิ่งที่ไม่ดีมาแจกกัน แล้วทำให้คนอื่นติดเชื้อกันไปด้วย แล้วนี่มันเชื้อที่ไหนล่ะ? มันเป็นธรรมะของหลวงตา

ใช่ ของหลวงตานะ ถ้าเป็นหลวงตาพิมพ์นะ นี่มันสอดแทรกมา เราเปิดดูเมื่อวานนี้ ไปเปิดดูทีหลัง พอเปิดก็เห็นหมด อ๋อ.. มีจุดมุ่งหมายเยอะมาก นี่ไงมันไม่ผ่านมือเราไง ไปแอบทำกันก่อนไง แล้วเหลือเศษแล้วค่อยมาให้เรา แล้วเราไปเปิดดูมันก็เสียหายไปแล้ว มันก็เสียหายไปแล้ว! เห็นไหม

แล้วเราทำของเรามา ดูสิเราทำของเรามา เรามาอยู่โพธาราม ๒๐ กว่าปีแล้วนะ เราอยู่คนเดียวมาตลอด เราไม่เคยไปไหนเลย นี่เรามั่นใจในการกระทำของเรา แล้วอย่างอื่น นี่มันเป็นเพราะโยมเหมือนกับว่าวุฒิภาวะต่ำมาก รู้อยู่ว่ากลัวเราจะเอ็ด กลัวเราจะเอ็ดก็อย่าทำสิ แต่พอทำก็ไปรับเขามาแล้วทำอย่างไรล่ะ?

นี่ไงเขาหลอกกันแค่นี้แหละโลกน่ะ หลอกกันแค่นี้ ขอให้รับปากไปแล้วเอ็งไปแก้ไขเอาข้างหน้า แล้วพอมันเสียหายนะ มันเสียหาย นี่ตำรา เห็นไหม ตอนนี้หลวงตาเครดิตดีมาก ใครจะต้องหน้าปกนี่เป็นหลวงตา เทศน์ของหลวงตา แต่เนื้อหาสาระเดี๋ยวชี้ให้ดู มีซ้อนเข้ามา ซ้อนเข้ามา แล้วเราทันไหม? เราไม่ทันหรอก เราเป็นเหยื่อหมดนะ

ฉะนั้น ไอ้อย่างนี้เราพยายามทำของเรา แต่คราวนี้มันสะเทือนใจมาก เพราะมาทำต่อหน้า แล้วก็แจกกันต่อหน้า แล้วเหลือค่อยมาให้เรา แล้วบอกฝากมาให้เรา ทำไม่ถูกนะ นี่เพราะอะไร? เพราะถ้าคนอยู่กับเรามาเก่าๆ เรื่องอย่างนี้ทุกคนจะถือมาก แล้วเขาจะรู้ว่าควรหรือไม่ควร เรานะเรื่องทุกๆ อย่างเป็นเรื่องรอง เรื่องอันดับหนึ่งคือเรื่อง “จิตตภาวนา”

พุทธศาสนาเกิดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาวนาโดยจิต จิตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วหลักศาสนามันถึงมาที่นี่ แล้วนี่สิ่งที่มันชี้เข้ามาที่ภาวนา ตรงนี้เราสงวนมาก ไอ้เรื่องอย่างอื่นนะยังเป็นอันดับรอง เรื่องสิ่งที่ชี้เข้าไปที่ใจ แล้วการภาวนา อันนี้มันหัวใจศาสนานะ

ที่หลวงตาบอกว่าศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาประเสริฐ ศาสนาที่เลิศ เลิศตรงนี้ไง เลิศที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ลัทธิศาสนาอื่นไม่มีใครกล้าปฏิญาณตน พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็เผยแผ่ธรรม แล้วให้ทุกคนโต้แย้ง พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตไปตามลัทธิต่างๆ ให้เขาโต้แย้งๆ

ศาสนาพุทธมันสำคัญที่นี่ สำคัญที่ “จิตตภาวนา” แล้วตำราที่ชี้ไปที่จิตตภาวนานี่อย่าเอาเข้ามา ถ้าเขาดีของเขานะ เขาต้องรอให้เราไปขอเขา ถ้าของเขาดีนะ เขาจะรู้เลยว่าเรานี่จะไปขอเลย แต่นี้มันยัดเยียดเข้ามามันดีตรงไหน? มันยัดเยียดเข้ามามันดีตรงไหน? แล้วหนังสือเรานี่เราเคยไปยัดเยียดใคร? ซีดีเราเคยไปยัดเยียดใคร? ไม่เคยเอาไปยัดเยียดใครเลยนะ เราวางไว้นี่แหละ ซีดีใหม่หยิบเอาเลย

เราไม่เคยไปยัดเยียดให้ใครเลยนะ ของดีทำไมต้องยัดเยียด? ของดีทำไมต้องโฆษณา? ถ้าของเอ็งดีก็เก็บไว้วัดมึงสิ ของดีเก็บไว้นะอย่าเอามา เอาไว้ที่บ้าน ของใครดีเก็บไว้ใส่ตู้เซฟไว้ เดี๋ยวจะหาย ของดียัดเยียดให้ทำไม? ไม่ต้องนะ

นี่พูดถึงเราสงสาร สงสารเวลาคนที่ภาวนาหลงทาง แล้วก็ไปยึดตรงนั้น แล้วก็มาหาเรา นี่เราแก้เรื่องอย่างนี้มาเยอะ บางทีเราเล่นแรง เราพูดแรงนะ พูดแรงเพื่ออะไร? เพื่อให้กระเทือนหัวใจของเขา ให้เขาได้ปล่อยความรู้สึกอันนี้ เขาจะได้พลิกเปลี่ยนแปลงโปรแกรม เขาจะได้เปลี่ยนจากผิดเป็นถูก แต่ถ้ามองว่าเรานี่โอ้โฮ.. เหมือนนักเลงเลย เหมือนคนพาลเลย

ใช่ ความเสียงดังชัดเจนนี่ ใช่ แต่เนื้อหาสาระต้องพิสูจน์กันก่อน ว่ามันจะได้ประโยชน์หรือมันจะได้โทษ แล้วประโยชน์ข้างหน้า ถึงเวลาแล้วนะทุกคนจะเข้าใจประโยชน์ตรงนั้น ประโยชน์ที่ว่าได้มาจากที่ว่าท่านเตือน แล้วเราเสียใจ เรากระเทือนใจ แล้วเราไปพิจารณาดูว่ามันถูกหรือผิด ถ้าถึงเวลาแล้วนะ

นี่ไงวุฒิภาวะของจิตมันต่างกันอย่างนี้ มันไม่ทันกันหรอก มันไม่ทันกันเราก็จะเป็นเหยื่อของเขาไปนะ เอวัง