เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราสั่งเขา เขามาถามปัญหาเยอะมาก ตอนนี้เขาเอาเราไปในเว็บไซต์พระสงบไประรานเขาทั่ว เราบอกเขาไม่ต้องให้เราพูดหรอก ให้ไปดูเว็บไซต์ของเขา สมัยที่เขาเปิดเว็บใหม่ๆ แล้วก็มาช่วงกลางแล้วช่วงปลายไง มันจะมีขัดแย้งในตัวมันเอง แล้วเขาก็ไปดู แล้วเขาก็มาพูด เห็นไหม เขาบอกว่าเขาปรับแล้วไง บอกว่า

“สมาธิไม่ต้องทำ เพราะคนที่มีพื้นฐานมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว เช่นคนเดินอยู่ก็เป็นสมาธิ”

เห็นไหม คนที่เดินอยู่เป็นสมาธิ ฉะนั้น มันก็ขัดแย้งไง แล้วก็บอกว่า.. เราพูดเองบอกว่าคนเมา ในสมัยพุทธกาลนะคนเมาหยำเปเลยแล้วตายไป แล้วพระพุทธเจ้าบอกเป็นพระโสดาบัน พอว่าพระโสดาบันปั๊บชาวบ้านก็ติเตียนกันมากเลย คนเมา คนไม่ได้ปฏิบัติ คนไม่ถือศีล เวลาตายไปทำไมเป็นพระโสดาบัน

ทีนี้พอพระอานนท์ไปบิณฑบาต พวกลัทธิต่างๆ ก็โจมตีไง ว่าพระพุทธเจ้านี่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีหลักเกณฑ์ ศาสนาพุทธมั่วซั่ว คนที่ไม่มีศีล ไม่ได้ถือศีล ๕ คนขาดศีล ๕ เป็นพระโสดาบันได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าบอกเลย บอกคนตาบอด เขาตาบอดเขาไม่รู้หรอก แต่เวลาขณะที่เขาจะเสีย คนเราเวลาจะตายนี่นะมันจะย้อนกลับมาที่ตัวเรา

คือคนเราถึงเวลาจะตายปั๊บ มันจะทิ้งอย่างอื่นหมดเลยแล้วมาคิดถึงเรา แล้วพอปัญญามันหมุนขึ้นมาตอนนั้น มันน้อยคนมากที่จะทำได้ อย่างเช่นเรามีโอกาสปฏิบัติเยอะแยะเลย เรามีโอกาสมากเลย แต่เราก็โลเล เราก็ไม่แน่ใจของเขา แต่คนเรามันถึงเวลาวิกฤติของชีวิต มันทิ้งหมดแล้วมันย้อนมาที่วิกฤติของมัน มันพิจารณาของมัน

มันมีนะ ในสมัยพุทธกาลในพระไตรปิฎก มีชาวประมงเขาไปหาปลา นี่เป็นชาวประมงไปหาปลามันก็ลากปลามาทั้งลำเรือใช่ไหม? เวลาเข้าฝั่งเกิดพายุแรงมาก ชาวประมงนั้นอธิษฐานเลย “ข้าพเจ้าขอถือศีล ๕” พอข้าพเจ้าขอถือศีล ๕ ปั๊บ ตายเดี๋ยวนั้นนะไปเกิดเป็นเทวดาเลย นี่วิรัติศีลเกิดเดี๋ยวนั้นไง ไอ้สิ่งที่ทำมาผิดคือผิดใช่ไหม? แต่ขณะปัจจุบันที่จิตออกจากร่าง เราคุมของเรา เราทำของเราดี

นี่ก็เหมือนกัน แล้วอ้างว่าคนเมาหยำเป เราบอก เห็นไหม นักรบที่เป็นแม่ทัพออกไปรบแล้วกลับมา กลับมานี่กษัตริย์ให้ปกครองอยู่ ๗ วัน มีความสุขรื่นเริงมาก เมาหยำเปเหมือนกัน นี่แล้วพระพุทธเจ้าบิณฑบาตมายิ้มเลย บอกนักรบนี่ แม่ทัพนี่.. ชื่อจำไม่ได้ บอกว่านี่จะเป็นพระอรหันต์ พระก็งงกันหมดนะเป็นพระอรหันต์ ยังเมาเลย

แล้วเขาออกไปรบใช่ไหมก็ขอพร พอเขารบกลับมาแล้วให้เป็นกษัตริย์ ๗ วัน พอเป็นกษัตริย์ ๗ วัน คนไม่เคยเป็นก็เป็นเต็มที่เลย พอเป็น ๗ วัน พอถึงตกบ่ายวันนั้น ภรรยาเสียเดี๋ยวนั้น พอภรรยาตายต่อหน้ามันก็สังเวช พอสังเวชมันก็ย้อนกลับ ย้อนกลับ

ของอย่างนี้มีแต่น้อยมาก น้อยมากเพราะอะไร? เพราะเขาต้องมีบุญญาธิการของเขา ทีนี้คำว่าทำสมาธิ หลวงตาท่านก็พูด บอกว่าปัญจวัคคีย์ไปทำสมาธิที่ไหน? เวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์ธรรมจักร ต้องบอกให้ปัญจวัคคีย์ทำสมาธิหรือ? ไม่ต้อง เพราะปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี คนที่ภาวนาอยู่ ๖ ปีต้องสอนทำสมาธิไหม? นี่คนภาวนาอยู่แล้วสมาธิเรามีพื้นฐานแล้วใช่ไหม?

นี่พูดถึงสมาธินะ แล้วเมื่อก่อนเขาบอกว่าสมาธิไม่ต้องทำ สมาธิไม่ต้องทำใช้ปัญญาไปเลย แล้วใช้ปัญญาไปเลย นี่มันผิด ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่ง อุณหภูมินะจุดเดือด ถ้าไม่ถึงจุดเดือดน้ำเดือดไม่ได้ ถ้าไม่มีสมาธินะ อย่างอุณหภูมิการทำอาหาร ถ้าอาหารไม่ถึงจุดเดือดของมัน อาหารจะสุกไม่ได้ อาหารนี่นะ นี่ผลของสมาธิไง แล้วถ้าจิตของเรามันไม่มีสมาธิ มันไม่มีจุดเดือด น้ำมันจะเดือดขึ้นมาได้อย่างไร?

อันนี้เป็นอันหนึ่งนะ เราบอกว่าสมาธิมันขาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะสมาธิมันเป็นมรรค ๘ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นหน่วยกิต หน่วยกิตหนึ่งในมรรค ๘ มรรค ๘ นี่มันจะส่ง ๗ หน่วยกิต ไม่ส่งสมาธิ เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้เลย สมาธินี่ขาดไม่ได้ แต่สมาธิของใครเท่านั้นเอง สมาธิของที่เขาคิดเอาเองนั่นเป็นสมาธิของเขา นี่สมาธิของเขานะ

ประเด็นที่สอง! ผิดชัดๆ เลย บอกว่าถ้ามันเป็นสมาธิ มันมีปัญญาไปแล้วมันจะบรรลุธรรมไปโดยธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ อย่างนี้เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? ถ้ามันเป็นไปได้นะ ฤๅษีชีไพรทำสมาธิกันอยู่แล้ว ถ้ามีสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาไปโดยธรรมชาตินะ พระพุทธเจ้าไม่ต้องมาเกิด ฤๅษีชีไพรเขาทำสมาธิเขาได้ฌานสมาบัติ อาฬารดาบสได้สมาบัติ ๘ นี่ถ้ามีสมาธิแล้วจะบรรลุธรรมไปโดยธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้!

จุดเดือดนี่ ถ้าจุดเดือดมันถึงจุดเดือด ดูสิดูพลังงานดวงอาทิตย์สิ จุดเดือดมันร้อนขนาดไหน แล้วมันมีน้ำให้เรากินไหม? จุดเดือดหมายถึงว่าอุณหภูมิ แต่การทำอาหารมันต้องมีอาหาร มีทุกอย่าง เราต้องทำอาหารเป็น คือปัญญามันจะเกิดเองไม่ได้

นี่ไงถึงบอกว่ามีสมาธิแล้วไม่เกิดปัญญา.. ใช่! มีสมาธิแล้วเกิดปัญญาไม่ได้หรอก สมาธิเป็นพื้นฐานเฉยๆ สมาธิเป็นพลังงานเฉยๆ สมาธิเป็นอุณหภูมิเฉยๆ อุณหภูมิเขาใช้ประโยชน์ถึงเป็นประโยชน์ ถ้าเขาไม่ใช้ประโยชน์มันไม่เป็นประโยชน์หรอก เห็นไหม เขาบอกว่า “ต้องเป็นสมาธิแล้วมันจะบรรลุธรรม”

นี่ไงที่ว่ามันผิด ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือบอกว่า “เริ่มต้นสมาธิมันเป็นโดยธรรมชาติ มันมีของมันเอง แล้วคนมันมีอยู่แล้ว” เราบอกว่าโยมทุกคน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนมีสมาธิหมดนะ ดูเด็กมันเกิด เห็นไหม สมาธิสั้น สมาธิยาว เพราะถ้าเรามีสมาธิเราถึงระลึกรู้สึกตัว มีจุดยืนของเรา

นี้สมาธิของปุถุชน เวลาปฏิบัติขึ้นไป สมาธิของกัลยาณปุถุชน สมาธิของโสดาปัตติมรรค สมาธิของสกิทาคามิมรรค สมาธิของอนาคามิมรรค สมาธิของอรหัตตมรรคต่างกันหมด ลึก ตื้น หนา บาง หยาบ ละเอียด ต่างกันหมดเลย ทั้งพื้นฐานของสมาธิ อุณหภูมิก็ต่างกัน ใช้ปัญญาที่เอามาทำพิจารณาก็ต่างกัน

ทีนี้คนที่มันไม่เคยทำ เหมือนคนทำงานไม่เป็น คนทำงานไม่เป็นทำอย่างไรก็ผิด พอทำอย่างไรก็ผิดนะ เรื่องของสมาธิเป็นเรื่องของสมาธิอย่างหนึ่งนะ แต่เรื่องของมรรคญาณ เรื่องของมรรค ๘ รวมตัว เรื่องของการวิปัสสนา อันนี้พูดผิดหมดเลย พูดไม่มีถูกซักอันหนึ่ง ถ้าพูดถูกนะ เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔ นี่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มันเริ่มต้นอย่างไร?

“มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด”

หลวงตาพูดประจำ “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด” มรรคหยาบๆ คือความคิดพอเกิดขึ้นมาเราคิดว่านี่เป็นมรรคญาณ พอความคิดเกิด นี่เราถึงเน้นไงว่ามันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาของโลก ปัญญาของกิเลส ปัญญาของตัวตน ปัญญาพื้นฐานของความคิด.. ไม่ใช่! มันต้องทำสมาธิเข้ามา พอทำสมาธิเข้ามามันทำให้ตัวตนเราสงบตัวลง ตัวตนเรานี่ยุบลง แล้วเขาบอกว่าหินทับหญ้า หินทับหญ้า

ขอให้ทับเถอะ ขอให้มีหิน ขอให้มีทับ หินทับหญ้า หญ้ามันเกิดไม่ได้มันก็ดูสะอาดตานะ ถ้าไม่มีหินทับหญ้าเลย หญ้ามันก็รกไปทั้งปีทั้งชาตินั่นล่ะ แล้วหญ้ารกมีประโยชน์อะไร? หญ้ารกนี่ คือว่าถ้ามีสมาธิ สมาธิหินทับหญ้า จะทับหญ้าก็ขอให้ทับไปก่อน พอทับแล้วมันสะอาดสะอ้านใช่ไหม? แล้วพอเราเอาหินออกใช่ไหมคือมันเสื่อม หญ้ามันก็ขึ้นมา

อ้าว อ๋อ.. หญ้ารกกับหินทับไว้ที่มันสะอาด มันเป็นธรรมชาติที่สวยงาม นี่เราจะรู้จะเห็นว่าจิตเสื่อม จิตไม่เสื่อมเป็นอย่างไร? แล้วพอเราทับหญ้าไว้แล้ว หญ้ามันไม่เกิดใช่ไหม? เราจะทำอย่างไร? เราจะถอนเม็ดหญ้านั้น เราจะถอนรากหญ้านั้นออกมา เราใช้วิปัสสนาอย่างไร? มันจะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง นี่ถึงบอกว่ามีสมาธิ..

คนอ้างนี่อ้างไม่เป็นก็อ้างผิดๆ ว่าหนึ่ง เริ่มต้นสมาธิไม่ต้องทำ พอจนด้วยเหตุผลก็บอกว่า เออ.. สมาธิมันมีอยู่แล้ว ถึงสมาธิมีอยู่แล้ว มีสมาธิก็ทำอะไรไม่ได้ มีสมาธิก็ใช้ประโยชน์ไม่เป็น มีสมาธิแล้วนะ นี่บอกว่าทำสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาโดยธรรมชาติ.. เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! ถ้าเป็นไปได้นะศาสนาพุทธไม่ต้องมี ฤๅษีชีไพรเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว

พระพุทธเจ้าถึงบอกเลย พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา อาสวักขยญาณ นี่ศาสนาแห่งปัญญา.. ปัญญาของใคร? ปัญญาในภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี้นะ นี่เราคิดเก่งมาก ทุกคนเก่งมากนะ คอมพิวเตอร์ของมหาจุฬาฯ มหามงกุฏฯ เขาดีกว่าเราอีก กดผลัวะ! ออกหมดเลย คอมพิวเตอร์เราป้อนข้อมูลให้มันนะ ทางการวิจัยเขาทำ โอ้โฮ.. มันสร้างภาพ สร้างสถานการณ์ได้ดีกว่ามนุษย์มากมายมหาศาลเลย แล้วคอมพิวเตอร์มันได้อะไร?

ตัวคอมพิวเตอร์เดี๋ยวก็เป็นเศษเหล็ก เดี๋ยวมันก็จะหมดอายุขัย เดี๋ยวก็ต้องทิ้งเป็นขยะ แต่คนมีจิต ไอ้จิตตัวนี้มันมีคุณภาพมาก จิตตัวนี้มันมีความสุข ความทุกข์ ไอ้จิตตัวนี้มันมีพันธุกรรมของมัน คือทำดี ทำชั่วมา ไอ้ตัวจิตนี้ที่มันสร้างคุณงามความดีมา ทำความชั่วมา นี่แล้วคนทุกคนจะทำทั้งดีและชั่ว ทั้งดีและชั่วนะ คนเรามีผิดพลาดได้ คนเรามีความพลั้งเผลอได้

การกระทำอันนี้มันมีกับจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นถึงไม่มีคุณภาพเสมอกันทุกดวงใจ แม้แต่คู่แฝดออกมาจากไข่ใบเดียวกัน แม้แต่ไข่ใบเดียวกัน เกิดมาจากพ่อแม่ในท้องออกมาเวลาใกล้เคียงกันเลย แต่จริตนิสัย ความรู้สึกก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน มันเป็นไปไม่ได้ พอเป็นไปไม่ได้ปั๊บ การกระทำมันถึงเป็นปัจจุบันธรรมของจิตแต่ละดวงที่มันจะเป็นไปตามความเป็นจริง

ไม่มีสูตรสำเร็จ การทำที่เป็นสูตรสำเร็จมันเป็นอุตสาหกรรม นี่ไงอุตสาหกรรมการปฏิบัติไง อุตสาหกรรมนะ เป็นอุตสาหกรรมเลย การปฏิบัติต้องเหมือนกัน ต้องทำเหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้เพราะต้นทุนมันเหมือนกัน วัตถุดิบมาจากที่หลากหลาย ที่แตกต่างกัน ของที่มาจากที่หลากหลาย ที่แตกต่างกัน มันเข้ามาโรงงานแล้วทำออกมาให้เหมือนกัน มันเป็นไปได้อย่างไร?

แต่ถ้าเป็นช่างนะ เราทำด้วยมือ นี่เราดัดแปลง เราทำ เราแก้ไขให้มันดีได้หมด นี่การสอน ถ้าคนเป็นต้องสอนอย่างนี้ คนเป็นจะพูดอย่างนี้ แล้วสอนอย่างนี้ แล้วเฉพาะปัจจุบันแต่ละดวงจิตไม่เหมือนกัน แต่ละดวงใจจะไม่เหมือนกันเลย อยู่ที่อุปนิสัย อยู่ที่ตัวแปรของจิต อยู่ที่กิเลส ความผ่านของจิตมาหลากหลายมาก แต่หลากหลายมาก จิตทุกดวงใจกลั่นออกมาจากอริยสัจ

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เห็นไหม พอเป็นอนาคามี จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ถึงที่สุดแล้วต้องทำลายตัวจิต ถ้าจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมา คือยังมีตัวตนของจิตอยู่

อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ จิตต้องโดนทำลาย.. เข้านิพพาน นิพพานเข้าไม่ได้ แต่จิตเป็นนิพพานเอง ถ้าเราเข้านิพพานก็เหมือนอนาคามี เข้านิพพานก็ว่างหมดเลย อู้ฮู.. ที่นี่ดี เห็นไหม ใครมาวัดบอกว่า โอ้โฮ.. วัดนี้สงบมาก วัดนี้ดีมากๆ เลย ไอ้คนพูดนี่ตัวหนวกหู ไอ้คนพูดว่าดีๆ นั่นล่ะ ไอ้ตัวคนพูดนั่นล่ะทำให้วัดนี้มีเสียงขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ถึงที่สุดแล้ว อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ เห็นไหม เพราะเขาพูดเมื่อวาน บอกว่า “เดี๋ยวนี้ยอมรับว่าสมาธิต้องทำ สมาธิมันมีอยู่โดยพื้นฐาน แม้แต่คนเดินก็มีสมาธิ” เราถึงบอกว่าสลดสังเวชมาก นี่เวลาคนไม่เป็น เห็นไหม เวลายกตัวอย่าง เขายกตัวอย่างที่ต่ำ ความจะยกตัวอย่างมันต้องยกตัวอย่างพระอริยเจ้า ไม่ใช่ยกตัวอย่างปุถุชน ถ้ายกตัวอย่างปุถุชน เราก็ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าสิ เราขึ้นไม่ได้ เพราะเรายกตัวอย่างที่ต่ำ

หลวงตาท่านพูดนะ “เดินจงกรมถ้าไม่มีสติ ไม่ตั้งใจ สุนัขมันมี ๔ ขา มันเดินทั้งวันทั้งคืนเลย มันวิ่งด้วย” สุนัขมันก็เดินกับเรา เห็นไหม นี่ท่านพูดให้เราได้คิด หลวงตาเวลาท่านพูดท่านพูดให้เราได้คิด แต่นี้ไปเทียบไง เทียบว่ามีสติ มีปัญญาเหมือนกับคนเขาเดินกัน โอ้โฮ.. เราฟังแล้วเราสะเทือนใจมาก สะเทือนใจที่ตรงไหน? สะเทือนใจที่ว่านี่คนไม่รู้ เปรียบเทียบสิ่งที่ต่ำต้อย มันไม่เข้าอริยสัจว่าอย่างนั้นเลย เปรียบเทียบแต่เรื่องโลก โลกียะ โลกุตตระ

ถ้าเราเปรียบเทียบเพื่อจะเป็นธรรมนี่นะ มันต้องเปรียบเทียบถึงพระพุทธเจ้า ดูพระพุทธเจ้าทำสิ ดูหลวงปู่มั่นทำสิ ดูครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านทำอย่างไร? ฟากตาย แลกมาด้วยชีวิต ทุกอย่างแลกมาด้วยชีวิต ไม่ใช่ทำเรียบๆ ง่ายๆ นี่ไงเขาพยายามจะเปรียบเทียบว่าให้มันง่าย ให้มันเห็นว่าทำสะดวกสบายไง ทำสะดวกสบายมันก็เหมือนเด็ก

ลูกเรานี่ เวลาเราสั่งสอนคน เราจะเปรียบเทียบลูกเรา หรือเราจะเปรียบเทียบปู่ ย่า ตา ยายเรา ปู่ ย่า ตา ยาย เราผ่านโลกมา ทำทุกอย่างมาด้วยประสบการณ์จริง แล้วได้แบกหามมา ต้องเปรียบเทียบผู้ใหญ่ ไม่ใช่เปรียบเทียบเด็ก ไอ้นี่ไปเปรียบเทียบคนเดิน แล้วบอกว่านี่ไง เพราะอย่างนี้มันถึงเป็นปัญญา โอ้โฮ.. เวรเลย

นี่ถึงบอกว่าผิด ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งคือว่าสมาธิไม่ต้องทำ แต่เดี๋ยวนี้ยอมรับว่าทำ แล้วพอเวลาเปรียบเทียบก็เปรียบเทียบสิ่งที่ต่ำต้อย สิ่งที่ต่ำต้อยคือลดด้อยค่ากว่า คืออุณหภูมิที่มันไม่ถึงว่าอย่างนั้นเลย มันไม่ใช่อุณหภูมิจุดเดือด.. จุดเดือดนั่นคือสมาธิ ถ้ามีจุดเดือดแล้ว เขาบอกว่าเพราะมีสมาธิแล้วถึงได้บรรลุธรรม นี่ผิดอีกแล้ว เพราะเหมือนกับเวลาทำอาหาร คนทำอาหารไม่เป็นทำอย่างไรก็ผิด ถ้าคนทำอาหารเป็น สิ่งที่ประกอบเป็นอาหารขึ้นมามีอะไรบ้าง

นี่ไงมันผิด ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือว่าเริ่มต้นจากวัตถุดิบไม่รู้จัก จากสิ่งที่เป็นมรรค ๘ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นปัญญา อะไรเป็นสมาธิ อะไรเป็นสติ อะไรเป็นงาน งานนี่งานชอบ อะไรเป็นความเพียร สัมมากัมมันโต ถ้าทำงานผิด เขาสั่งอย่างหนึ่งไปทำอย่างหนึ่ง งานจะจบไหม?

ในมรรคมันมีหมดนะ มีงานชอบ แล้วชอบที่ไหน? ชอบที่กลางหัวอก ชอบที่ภวาสวะ ชอบที่ภพ เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ งานมันเกิดตรงนั้น ถ้างานมันไม่ตรงประเด็น งานมันไม่ใช่งาน งานนั้นไม่มีวันเสร็จ ทำงานนั้นผิดหมด นี่ไงนี่พูดถึงวัตถุดิบนะ วัตถุดิบคือมรรค ๘ แล้ววิธีการกระทำมันก็พูดผิดอีก ผิด ๒ ประเด็น ๓ ประเด็นนะ

นี่ถึงบอก เมื่อวานเขามาถามนะ โอ้โฮ.. เราก็แบบว่าเสียงดังเลยล่ะ เขาก็ตกใจ ไอ้บอกว่าเสียงดังนี่มันเป็นเพราะว่าเวลาโยมไปดูกัน โยมก็ทึ่ง โยมก็เข้าใจ แล้วเวลาให้เราพูด เราบอกถ้าให้เราพูดมันแบบว่าเราสะเทือนใจมาก สะเทือนใจที่ว่าข้อมูลมันผิดหมด แล้วโยมที่พยายามจะหาปัญญากัน พอไปอ่านข้อมูลนี้ ไปเห็นข้อมูลแล้วทึ่งไง

เราถึงบอกว่า นี่ถ้าให้เราพูดออกไป ความเห็นของเรา คือถ้าประชาธิปไตยนี่เราแพ้ทุกทีแหละ เพราะเรามีอยู่เสียงเดียว แต่พวกโยมนี่นะมีทุกเสียงเลย เป็นล้านๆ เสียงเลย ยกมือกันนี่เราแพ้ทุกทีเลย เพราะมุมมอง ทิฐิมันต่างกัน ฉะนั้น พอเราเห็นอย่างนี้ปั๊บ เราพูดไปเท่ากับเราสะเทือนโลกธาตุ คือเรามีความเห็นต่างกับสังคมทั้งหมด

ถ้าเราเห็นต่างกับสังคมทั้งหมด เราพูดออกไปก็เหมือนกับคนพาล เราไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับมุมมองที่เขาเห็นกัน เราถึงต้องเก็บเอาไว้ เราถึงไม่พูดออกมา แต่ถ้าโยมจะเอาความจริงนี่ ถ้าโยมจะให้เราพูด เราพูดอย่างนี้แหละ มันผิดหมด! มันผิดหมด! แต่ผิดอย่างไรล่ะ? ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้..

เราถึงบอกว่าไม่มีใครรู้หรอก แล้วเราก็พูดนะบอกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของโยม คือเขาพูดเมื่อวาน เขาพยายามจะหาข้อมูล เขาจะแบบว่า ประสาเรานะ เราก็เป็นอย่างนี้แหละ ตอนที่เราภาวนาใหม่ๆ เราภาวนาไม่เป็น เราเอาหนังสือ “ธรรมะชุดเตรียมพร้อม” ของหลวงตาอ่านวันละหน้า พระอรหันต์พูดอย่างนี้ แล้วเราคิดว่าปัญญาของเราจะคิดเหมือนพระอรหันต์ หรือทันพระอรหันต์ไหม? แล้วเราพยายามใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นไป

นี่เขาก็ไปทำของเขามา แล้วเขาจะมาเสนอไง เสนอว่าให้เราเห็นด้วย ฉะนั้น เราถึงเสียงดัง บอกผิดหมดเลย แล้วผิดที่เราอธิบายได้ด้วย แล้วพอพูดจบแล้วเราบอกว่า ที่พูดนี่มันไม่ใช่ว่าเราโกรธ หรือเราจะอาฆาตมาดร้าย เพียงแต่เราสลดใจไง สลดใจว่าเวลามาหาเรานี่มาหาเราบ่อยมาก แล้วเราพยายามเคลียร์ให้เขาฟังตลอด แล้วเขาก็ว่าเขาเข้าใจ แต่พอไปอ่าน.. เพราะเขาบอกว่า เราบอกว่าพอใครไปอ่านแล้วก็ทึ่ง เขาบอกเขาไม่ได้ทึ่งหรอก เขาไม่ได้เป็นไปด้วย

ไม่ทึ่งจะฝังใจทำไม? เพราะเราบอกไว้หมดแล้ว แล้วมันเป็นความเห็นของเขา ฉะนั้น เราถึงบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของโยมหรอก.. เราเข้าใจ เข้าใจว่ามันเป็นปรัชญา แล้วเรานี่ คนเรานะ โยมนะภาวนาไม่เป็น ถ้าภาวนาเป็นนะโสดาบันมันจะมีหลักใจ ไอ้ตัวหลัก ตัวจุดยืนนี่ใครโยกคลอนมันไม่ได้ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี ตัวหลักตัวนี้มันเป็นตัวหลัก พอตัวหลักนี้มันจะกรองอย่างอื่นได้

แต่ถ้าเราไม่มีหลักเลยเราก็เหมือนกับอากาศ ลมพัด เวลาลมพัดเราเป็นส่วนหนึ่งของลมใช่ไหม? เพราะเราเป็นอากาศ มันก็พัดเราไปด้วย นี่ไงกระแสของโลกมันเป็นอย่างนี้ไง คือไม่มีจุดยืน ไม่มีธรรมในใจ แล้วบอกว่านี่สภาวธรรมที่เกิดเป็นปัจจุบัน สภาวธรรมที่เกิดในปัจจุบัน มันก็เป็นสภาวะ มันก็เป็นอารมณ์ มันก็เป็นความรู้สึก มันเป็นธรรมได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้หรอก!

นี่พูดไม่ได้ พูดแล้วมัน.. เพราะคำพูดของเขา เขาจะพูดให้เหมือน พูดให้เป็นธรรมไง แต่มันไม่ใช่! ถ้ามันไม่ใช่ขึ้นมา แล้วคนก็ไปยึด ไปติดกัน นี่สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบันต้องเป็นปัจจุบัน.. สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบัน เราอธิบายบ่อยนะ สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบัน เห็นไหม ภวาสวะ ภพ ความคิดเกิดจากภพ เกิดจากจิตของเรา แล้วความคิดมันส่งออกมาไปที่สมอง สมองเริ่มทำ มันออกมาเป็นอนาคตมากี่รอบแล้ว ปัจจุบันตรงไหน? ปัจจุบันตรงไหน?

มันเป็นปัจจุบันไปไม่ได้หรอก แต่ตัวเองจะเคลมให้เป็นปัจจุบัน แล้วก็พูดว่านี่สภาวะที่เกิดปัจจุบัน รู้ธรรมปัจจุบัน นี่เป็นปัจจุบัน.. ปัจจุบันของโลกไง โลกียปัญญา ถ้าไม่ได้กลับมาทำที่สมาธิ เพราะปัจจุบันต้องเกิดที่จิต จิตเกิดเดี๋ยวนั้น ปัญญาเกิดเดี๋ยวนั้น ทำลายกันที่จิตเดี๋ยวนั้น ไม่ออกมาเป็นถึงความรู้สึกอย่างนี้ นี่สภาวธรรม สภาวะของกิเลสทั้งหมด นี้เวลาพูดธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเราคาดหมาย แต่ไม่เป็นความจริง

นี่เวลาพูดมันผิดหมดเลย แต่นี่เราบอกว่าหยุด เอาไว้ให้ถึงเวลา แล้วเราก็ไม่ไปโต้แย้งกับใครนะ เราจะทำของเราเพื่อประโยชน์กับศาสนา เอวัง