เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลามาฟังธรรม มาฟังเทศน์ใช่ไหมมันเป็นธรรมะ ธรรมะนี่ถูกต้อง แต่ธรรมะมันมีหลากหลายมาก คำว่าหลากหลาย เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม คำว่าหลากหลายนี่มันความหยาบ-ละเอียด

หลวงตาใช้คำนี้นะ ว่า “มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด”

คำว่ามรรคหยาบไง เรามีความดีอะไรปั๊บเราจะยึดความดีของเรา ถ้าเรายึดว่านี้เป็นความถูกต้อง เป็นความดีๆ ความดีที่มากกว่านี้เราทำไม่ได้ มันไม่มีใครเข้าใจ ถ้ามีคนเข้าใจนะมันจะเข้าใจ เวลาผู้ปฏิบัติ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค แล้วคนถ้าเป็นทางโลกฟังนะ บอกว่าทำไมพูดซ้ำๆ ซากๆ มรรคแล้วมรรคเล่า มรรคแล้วมรรคเล่า

เหมือนเงิน ๑ บาท เงิน ๑ บาทเราใช้ไปแล้ว เงิน ๑ บาทนั้นก็หมดไปใช่ไหม? เราต้องหาเงินบาทที่ ๒ ที่ ๓ มาใช้ต่อ ใช้แล้วก็หมดไป โสดาปัตติมรรคเป็นโสดาปัตติผล โสดาปัตติมรรคไม่ใช่สกิทาคามิผล อนาคามิผล ไม่ใช่

โสดาปัตติมรรคก็เป็นโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรคก็เป็นสกิทาคามิผล อนาคามิมรรคก็เป็นอนาคามิผล อรหัตตมรรคก็เป็นอรหัตตผล.. มรรคหยาบ มรรคละเอียด แม้แต่อริยภูมิมันยังมีระดับของเขา แล้วเราประพฤติปฏิบัตินี่ปุถุชนทั้งนั้นเลย เวลาศึกษาธรรมะไปแล้วว่าเข้าใจๆ เข้าใจอะไร?

มันเข้าใจนี่เป็นปริยัติทั้งหมด มันเป็นปริยัติทั้งนั้น เป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ใครเคยเห็นภาวนามยปัญญาคนนั้นต้องเป็นพระโสดาบันอย่างต่ำ แล้วถ้าคนไม่เคยเห็นภาวนามยปัญญา การอธิบายเรื่องปัญญาถึงอธิบายผิดหมดไง เวลาอธิบายปัญญา ถ้าอธิบายปัญญา อธิบายซ้ำขึ้นมาก็เป็นโลกียปัญญา เป็นโลกุตตรปัญญา

ทีนี้คำว่าเป็นโลกียปัญญา ทุกคนที่ปฏิบัติกลัวตัวเองจะผิดพลาด จะยึดตัวเองเป็นหลัก พอยึดตัวเองเป็นหลักปั๊บนี่ตัวภพ ตัวภพคือตัวโลก ตัวโลกถ้าเป็นปัญญาออกไปเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด ฉะนั้นตัวโลกนี่ มันจะดับตัวโลกนั้นได้ด้วยสมาธิ สมาธิคือกดตัวตนลง กดความเป็นตัวตนของเรา เป็นตัวโลกลง แล้วกดตัวโลกลงมันถึงเป็นอริยสัจ ถึงเป็นสัจจะ สัจจะอันนั้น “สัจจะ อริยสัจจะ”

นี่ไง นี้เราฟังธรรมๆ กัน เราฟังธรรมแล้ว เราจับประเด็นแล้ว พูดจนปากฉีกไม่มีใครรู้กับเราหรอก เป็นไปไม่ได้! ถ้าเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ทำไมทอดอาลัยเลย พระพุทธเจ้าฝึกฝนนะ พระโพธิสัตว์สร้างบุญญาธิการมา ปรารถนาจะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ พอตรัสรู้ธรรมผลัวะ!

“โอ๋ย.. จะสอนได้อย่างไร? จะสอนได้อย่างไร?”

ทั้งๆ ที่เตรียมมาพร้อมนะ จะสอนได้อย่างไรคือว่ามันลึกลับมหัศจรรย์จนที่พูดกันไม่รู้เรื่อง มันเป็นปัญญาคนละมิติๆ แม้แต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันคนละมิติกัน ถ้าไม่อย่างนั้นทำไมจิตที่สูงกว่าดึงจิตที่ต่ำกว่าขึ้นมาได้ จิตที่ต่ำกว่าจะไม่สามารถรู้จิตที่สูงกว่า อย่างเช่นเรานั่งอยู่นี่ แล้วบนหลังคานั้น เราจะไม่เห็นเลยว่าบนหลังคานั้นมีสิ่งใด ขี้นกมันขี้อยู่กี่กองๆ มองไม่เห็นหรอก แต่ถ้าคนขึ้นไปสำรวจบนหลังคาจะรู้ว่านกมันขี้ไว้กี่กอง ขี้ไว้ตรงไหน ซอกไหน เหลือบไหนบ้าง

นี่ไง ถ้าจิตที่ต่ำกว่า พอจิตที่ต่ำกว่าพูดออกมา มันก็พูดออกมาด้วยความรู้ของจิตที่ต่ำกว่าพูดออกมา จิตที่สูงกว่ารู้หมดใช่ไหม? เราอยู่ในศาลา เราจะมองเห็นเฉพาะในศาลานี้ คนที่อยู่บนหลังคา เขาเห็นบนหลังคาด้วย เห็นทั้งศาลานี้ด้วย ทีนี้เราอธิบายในเรื่องของศาลานี้.. นี่พูดถึงโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่หยาบนะ จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

นี่ไง เขาเอาไปออกในเว็บไซต์กัน เว็บไซต์นี่เราบอกแล้วไง เราบอกแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ตรงนี้ไง พูดถึงถ้าเราจะตั้งเว็บไซต์ของเรานี่ เราจะตั้งเว็บไซต์ของเราเพื่อ! เพื่อเสนอข้อมูล ๒-๓ ฝ่ายใช่ไหม? ข้อมูลฝ่ายของเรา เราเสนอข้อมูลฝ่ายของเรา มันอยู่ที่ปัญญาของคน ถ้าพูดถึงการปฏิบัติมันจะเป็นเหมือนการศึกษานะ ดูสิเวลาเราศึกษา เห็นไหม ยกชั้นๆๆ การปฏิบัติเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้

การปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น คนปฏิบัติเป็น คนรู้เป็น เพราะหลวงปู่มั่น! หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย “หมู่คณะให้ปฏิบัติมา การแก้จิตนี้แก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าตายไปแล้วไม่มีใครแก้นะ”

ไม่มีใครแก้! ไม่มีใครแก้! ฟังคำนี้สิ ไม่มีใครแก้ คนที่จะแก้จิตได้ คนนั้นต้องทำจิตของตัวเองให้พ้นจากความสงสัยไปให้ได้ก่อน ถ้าจิตของตัวยังพ้นจากความสงสัยไม่ได้ แก้ไขไม่ได้! แก้ไขไม่ได้! เพราะอะไร? เพราะความสงสัยของตัวเอง ทำให้ตัวเองสงสัย เช่นเราไม่รู้เรื่องสิ่งใด เราจะไปอธิบายให้คนอื่นฟัง เราจะอธิบายด้วยความมั่นใจไหม? ไม่มั่นใจหรอก เพราะความไม่มั่นใจ แต่ด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยความอยากให้เขายอมรับนับถือ ก็อธิบายออกไป ถ้าอธิบายออกไป

“อริยสัจมีหนึ่งเดียว”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมา ๒,๐๐๐ กว่าปีไม่เคยคลาดเคลื่อน แล้วพระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้อันนี้ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นท่านพูดประจำ “ต้อง! ต้อง! ต้อง! ต้อง!” การประพฤติปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น จิตต้องเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด! เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

แต่นี่เวลาถ้าพูดถึงโลกียปัญญาด้วยตัวตนของเรา เห็นไหม วันนี้รู้ได้ระดับนี้พูดได้อย่างนี้ พอเดือนหน้า ปีหน้านี่เปลี่ยนไปหมดเลย อริยสัจมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไอ้นี่มันนิยายธรรมะไง มันเป็นนิยาย มันไม่ใช่ธรรมหรอก ถ้าเป็นธรรมนะ เป็นธรรมนี่สัจจะอันนั้นไม่มีคลาดเคลื่อน อกุปปธรรม! กุปปธรรม อกุปปธรรม

กุปปธรรม เห็นไหม นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา สภาวะปัจจุบันที่ปรากฏ สภาวะปัจจุบันก็เป็นสภาวะปัจจุบัน สภาวะมันเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งไหนหรอก.. ธรรมไม่ใช่สภาวะ ธรรมไม่ใช่สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ธรรมคือธรรม แล้วสัจธรรมคืออะไรล่ะ? พูดไม่ถูก พูดไม่ได้ พูดไม่ได้หรอก คนไม่เป็นพูดไม่ได้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย

“คนไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้ พูดออกมาผิดหมด”

ทีนี้ผิดหมดนี่มันคนที่รู้จริง คนที่จะบอก โธ่.. เราอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาเราพูดแสดงธรรมออกไป คนรู้จริงมีนะ คนรู้จริงมี คนรู้จริงนี่เขารู้ แต่พวกเรามันรู้ไม่จริง พอรู้ไม่จริง ใครพูดอะไรมามันก็เออไปกับเขา

นี่ไงธรรมะ เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อว่าตรรกะ ไม่ให้เชื่อว่าสมดุลกัน ไม่ให้ว่าเป็นครูบาอาจารย์เราพูด ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้นเลย ไม่ให้เชื่อ! ไม่ให้เชื่อ! กาลามสูตรพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ไม่ให้เชื่อ แม้แต่พระสารีบุตร เห็นไหม เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว สอนลูกศิษย์นะบอกไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเลย

คำว่าไม่เชื่อนี่นะ ถ้าเราบอกว่าไม่เชื่อคือว่าเรานี่หลักลอย เราไม่มีที่ยึดหมายเลย ศรัทธาความเชื่อ เห็นไหม ทรัพย์นี่ศรัทธาความเชื่อ ถ้าโยมไม่มีความเชื่อถือ ไม่มีความศรัทธาเลย เราจะเข้าไม่ถึงศาสนาเลย ดูสิการอธิษฐาน นี่ว่าการอธิษฐานไม่เท่ากับการปฏิบัติ การอ้อนวอนขอไม่ได้ต้องเป็นการปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีการอ้อนวอน ไม่มีการตั้งเป้า มันไม่มีการปฏิบัติ

มันเป็นตัวเชื้อ มันเป็นสารตั้งต้น แต่มันไม่สามารถเป็นสิ่งที่จะประกอบขึ้นมาเป็นสิ่งที่เราปรารถนาได้ สารตั้งต้นไม่มี เราก็ทำสิ่งที่เราต้องการปรารถนาไม่ได้ สารตั้งต้นมี พอสารตั้งต้นมี ตัวศรัทธามี ตัวศรัทธานี้เราก็ต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ ตัวศรัทธามันต้องพัฒนาขึ้นไป

นี่ไงอริยทรัพย์นะ ความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ ถ้าไม่มีความเชื่อนะ พวกเราจะไม่สนใจในศาสนา เราจะไม่เข้ามาสนใจในการค้นคว้าของเรา ถ้าการค้นคว้าของเรา ความเชื่อนะพอค้นคว้า เอ๊อะ! เอ๊อะ! มันไม่เห็นเป็นเหมือนที่เราคาดคิดเลย ถ้าคาดคิดนะ..

“ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”

สมควรแก่ธรรมมันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรมคาดหมายธรรม ด้นเดาธรรม จินตนาการธรรม มันธรรมะอะไร? มันธรรมะอะไรเนี่ย? แล้วปัจจุบันจิตของคนมันมหัศจรรย์อยู่แล้ว แล้วยิ่งมีความรู้ขนาดไหนนะ หลวงปู่มั่นท่านสอนไว้ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือผู้ที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีการศึกษาเหมือนกับเราบวชมาเป็นพระป่า พระป่านี่ครูบาอาจารย์ท่านให้ประพฤติปฏิบัติ มันศึกษาโดยประสบการณ์

ศึกษา เห็นไหม อย่างเช่นธรรมวินัย นี่ไปอ่านสินวโกวาทบอกไว้อย่างนั้นๆ แต่เวลาอยู่พระป่านะ เวลาความผิด ผลัวะ! ผลัวะ! มันกินใจมากกว่าเยอะเลย ในพระไตรปิฎกเขียนไว้ ดูสิเวลาหลวงปู่มั่นออกมาเผยแผ่ธรรม เห็นไหม เขาบอกว่า ในพระไตรปิฎกนี่ไม้เจีย ไม้สีฟันยาว ๔ นิ้ว ไม้จิ้มฟันยาว ๔ นิ้วเราไม่เคยเห็นนะ แต่พอหลวงปู่มั่นควักออกมาจากกระเป๋า “นี่ไง นี่ไง”

เพราะเราประพฤติปฏิบัติ มันศึกษา มันค้นคว้าเพื่อให้มันสมจริงอันนั้น เพื่อให้เป็นความจริงอันนั้น ถ้าเป็นความจริงอันนั้นแล้วนี่ แล้วในพระไตรปิฎก เห็นไหม ดูสิเวลาพระฉัพพัคคีย์ เหลาไม้จิ้มฟันยาวเป็นศอก แล้วเอาที่ยาวเป็นศอกนี่เอาไว้ตีเณร เณรร้องไห้ นี่เวลาพระสมัยพุทธกาล พระที่ไม่ประพฤติปฏิบัติ หรือพระที่บวชเข้ามาแล้วไม่เอาไหนมันก็มี พอมีมันก็แถออกไปเรื่อยๆ

ธรรมวินัยบัญญัติไว้ๆ เราไม่เชื่อ เราไม่เคยเห็น ความคิดของคน กิเลสของคน ทิฏฐิมานะของคนทำได้ร้อยแปด ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งมีความอยากใหญ่ ทำได้ทั้งนั้นแหละ เห็นไหม นี่โจร มหาโจร โจรไปปล้นที่บ้านเขานะ มหาโจรต้องเอามาให้ถึงที่เลย

นี่ไงสิ่งที่เป็นจริง เป็นธรรมนะ คำว่าเป็นธรรมนี่โลกุตตระมันแตกต่างกัน โลกุตตรธรรมมันจะไม่มีมารยาสาไถย มารยาสาไถยนั่นล่ะคือตัวกิเลส แล้วประพฤติปฏิบัติธรรม เอามารยาสาไถยมาจากไหน? เวลาแสดงธรรมก็แสดงมารยาสาไถย เห็นไหม

นี่ไง ในเว็บไซต์เขาบอกว่า “พระสงบสอนถูก แต่เข้าใจผิด”

เอาวุฒิภาวะอะไรมาจับ.. เราไม่รับรู้เรื่องสิ่งต่างๆ นะ เพราะประสาเรา เราคนนอก แต่เราสงวนสิทธิของเรา สิทธิและจุดยืนของเรา เกลือกับน้ำตาล ถ้าใครชี้ว่าเกลือก็คือเกลือ เราบอกเกลือคือความเค็ม น้ำตาลคือความหวาน เรารักษาสิทธิของเรา ถ้าเขาบอกว่าถ้ามันยืนอย่างนั้นต้องให้เหมือนกัน คือว่าใครพูดสลับกัน เราก็ต้องเห็นด้วยเพื่อความไม่กระทบกระทั่งกัน

เรื่องความกระทบกระทั่ง เรื่องความเห็นของเขา นั่นมันเรื่องกรรมของสัตว์ แต่เรื่องความเห็นของเรา สิทธิของเรา ความรู้ของเรา เราสงวนของเรา เราไม่รับรู้สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้น เราถึงบอกไว้แล้ว เห็นไหม ถ้าเราทำของเรา.. เขาห่วงมาก ห่วงว่าพระจะทะเลาะกันอะไรนี่ ถ้ามันทะเลาะกันคือเขาทะเลาะกับเรา เราไม่ได้ทะเลาะกับเขา

เวลามาหาเรานี่ เราชี้ถูกชี้ผิด เกลือ! น้ำตาล! เราไม่ได้ว่าใคร เขาถามปัญหาใช่ไหมว่านี่คืออะไร? ก็บอกตามข้อเท็จจริงเท่านั้น ก็เท่านั้น! ถ้าไม่บอกตามข้อเท็จจริง เห็นไหม ศาสนานี้เอาอะไรเป็นจุดยืน จุดยืนของศาสนามันอยู่ที่ไหน? ศาสนาคืออะไร? นี่ศาสนาคืออะไร? แล้วว่าศาสนาก็คือพระไตรปิฎก

เวลาเขามาพูด เห็นไหม เราบอกว่าเราไม่ค้านเลยนะอภิธรรม ไม่ค้านพุทธพจน์เลย เราค้านคนพูดพุทธพจน์ ไอ้คนที่พูดพุทธพจน์ มึงอมพุทธพจน์มาพูด พุทธพจน์กูก็ดูเป็น กูก็กราบไหว้ได้.. นี่ไงเวลาอ้าง อ้างพุทธพจน์ อ้างธรรม แล้วอย่าทะเลาะกัน อย่ามีปัญหากัน แล้วทำไมไม่เคลียร์ความเห็นอันนั้น อันที่ว่ารู้จริงเห็นจริงนั่นน่ะ

นี่ว่าพระทะเลาะกัน ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เราสงวนสิทธิของเรา ใครจะทะเลาะกันมันเรื่องของเขา หลวงตาท่านสอนบ่อยมาก แล้วตอนเช้าเราบอก “ธรรมและวินัย” ธรรมมันสูงส่งกว่าวินัยมาก วินัยคือกฎหมายข้อบังคับ ถ้าคนมันมีวิกฤติผิดพลาดขึ้นมา โดยวิกฤติผิดพลาดขึ้นมา เห็นไหม อันนั้นผิดพลาดขึ้นมาแล้วมันกระทบกระเทือนกันไหม?

อันนั้นคือธรรมไง ถ้าเราไม่กระทบกระเทือนนั่นคือธรรม แต่! แต่ถ้ามีคนเขาทำเพื่อความเสียหายทั้งหมดเลย ความเสียหาย เห็นไหม ดูสิมันเป็นแบบว่าอุปาทานหมู่ ให้เป็นอุปาทาน เป็นกระแสไปเลย แล้วออกนอกทางไปเลย อันนั้นมันเรื่องของเขานะ

นี่เวลาเราดู เราดูตรงนี้ ดูที่กระแสมันจะเกิดขึ้น สร้างกระแสขึ้นมา แล้วกระแสนั้นก็ชี้กันไป แล้วก็ให้ค่ากันไปนะ เหมือนประกาศนียบัตรเลย กูเป็นคนแจก แจกประกาศนียบัตร แล้วทำไมมึงต้องแจกด้วยล่ะ? กูทำเองเสร็จก็จบแล้ว ปัจจัตตังรู้จำเพาะตนเว้ย ใครต้องมาค้ำประกัน ใครจะต้องมาบอก มารับประกัน

ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน แต่ความรู้อันนั้นมันออกมาแล้วนี่อริยสัจมีหนึ่งเดียว มันเหมือนกันหมด วิธีการต่างกัน เวลาบอก นี่จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน อะไรไม่เหมือนกัน เห็นไหม เมื่อก่อนบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ดูจิตกันไป ดูจิตกันไป.. ถ้าดูจิตกันไป มันก็เหมือนโจรมันปล้นมา พอมันปล้นมาแล้วนี่ของนี้มาจากไหน?

แต่พวกเราทำมาหากินมา ทำมาหากินก็ต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เราสร้างมาใช่ไหม? พอโจรมันปล้นมา พอได้ธรรมมาเหมือนกัน แล้วธรรมนี้มาจากไหนล่ะ? อ้าว.. มาจากไหน? ถ้ามาปั๊บมันก็ต้องมีพร้อมใช่ไหม? มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็ยอมรับว่าต้องกลับไปทำสมาธิไง เห็นไหม แล้วที่ได้มาล่ะ? ที่ได้มานั่นคืออะไร? ก็คือโกหกไง ได้สิ่งที่โกหกมา แล้วเขาย้อนกลับไปยอมรับไง

แต่ถ้าของครูบาอาจารย์เรานี่ไม่อย่างนั้น มันได้มาโดยข้อเท็จจริง โดยการกระทำใช่ไหม ถึงบอกว่าศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องเป็นขั้นตอนมา แล้วอะไรผิด อะไรถูกล่ะ? มันถูกเพราะสิ่งที่ได้มานี่มันโกหก!

มันโกหก! มันทำผิด! แล้วสุดท้ายแล้วพยายามจะหาเหตุผลมารองรับเอาความถูกนั้นไง สุดท้ายมายอมรับใช่ไหม? สติก็ไม่ต้องทำ สมาธิก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวนี้กลับไปทำหมดเลย ทำหมดเพราะอะไร? เพราะต้องไปอ้างเหตุผลมาเพื่อมารองรับธรรมะของกูนี่ไง แต่เมื่อก่อนทำไมบอกไม่ต้องทำ? เหมือนโจรปล้นมาเลย พอเขาจับได้นะ อู๋ย.. อันนี้ไม่ได้ปล้น อันนี้ได้ทำมาหากินมา ก็ย้อนกลับไปยอมรับสมาธิไง ยอมรับสติไง กลับไปยอมรับไง นี่ไงมันทุจริตมาแต่แรก

นี้พูดถึงว่าเขาเอาไปออกในเว็บไซต์ไง เราไม่อยากยุ่งนะ จริงๆ เราไม่อยากยุ่งเลย เราคิดของเราแล้ว เราคิดของเราว่าถ้าต่อไปเราค่อยทำของเรา คือเราจะเสนอข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่ง เสนอข้อมูลข่าวสารอีกข้อมูลหนึ่งให้สังคมได้ฉงนสนเท่ห์ ให้เขามีตัวเลือกไง แต่สิ่งที่เป็นไปแล้วก็คือเป็นไปแล้ว เราไปย้อนกลับสิ่งใดๆ ไม่ได้หรอก สิ่งใดย้อนไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราซื่อตรง เคารพ ศรัทธาในธรรม

เราต้องซื่อตรง เคารพศรัทธาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เขาเสียสละกันมานะ เสียสละกันมา แล้วเราเคารพศรัทธาไหม? ถ้าเราเคารพศรัทธา ถ้าเป็นความจริงเราจะกล้าพูดไหม? แต่พูดเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกัน มันเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะไง

ดูสิ “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า”

พระอริยเจ้ารู้ทันนะ แต่พูดออกไปแล้วกระทบกระเทือนกันไหม? พูดออกไปแล้วเป็นประโยชน์ไหม? พระอริยเจ้านี่ไม่พูด หลวงตาท่านรู้หมดแหละ ท่านเก็บไว้ในหัวอกนะ แล้วเห็นไหม ท่านบอกว่า “ต้องหลับตาเดินไป” มันขยะแขยง มารยาสาไถย มีแต่เรื่องมารยาสาไถย หมกเม็ดกันทั้งนั้นแหละ มันหมกเม็ดซ้อนเร้น แต่คนไม่ทันก็คิดว่าเป็นธรรมะๆ ก็อมพุทธพจน์มาพูด พูดออกมานี่พุทธพจน์ทั้งนั้นแหละ แต่ความรู้สึกของตัวเองคิดอะไรกันอยู่

นี่พูดถึงนะ นี่รอบแรก เดี๋ยวจะมีรอบสองเนาะ เอวัง