เทศน์บนศาลา

รื้อภพถอนชาติ

๑๓ ก.ย. ๒๕๔๒

 

รื้อภพถอนชาติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เกิดมาเป็นคนพบพระพุทธศาสนานี้ประเสริฐมาก เกิดมาทั้งชาตินะ ถ้าไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เกิดมาชาติหนึ่งก็ตายไปเปล่าๆ ความเห็นของโลกเขา ความเห็นความรู้ของโลกเขา เขาว่าสิ่งนั้นประเสริฐ สิ่งนั้นดีเลิศ มันจะประเสริฐตรงไหน ความเห็นของโลกนะ เปรียบเหมือนกับเราอยู่ในครรภ์ของมารดา ตั้งแต่ปฏิสนธิมาจนถึง ๙ เดือนออกมาจากท้องแม่ นั่นน่ะถือว่าเป็นภพชาติหนึ่งก็ได้ ในท้อง มันเจริญเติบโตไปตามธรรมชาติของมัน จากปฏิสนธิขึ้นมา ตั้งแต่วิญญาณปฏิสนธิจิตขึ้นมา กลายเป็นจุดเกิดของกำเนิดของชีวิต แล้วค่อยกำเนิดมาเป็นเด็ก เป็นแขนเป็นขาออกมา จนกว่าครบ ๙ เดือนแล้วคลอดออกมาไง คลอดออกมาจากช่องแคบนั่นน่ะ

ถ้ามันไปคาอยู่นั่นก็ตายเปล่า ถึงออกมาแล้วตายก็ยังมี แต่การอยู่ครบกำหนดในครรภ์ของมารดานั้น ๙ เดือน ทุกข์ยากขนาดไหน มันก็เหมือนกับภพภพหนึ่ง มาคิดถึงชีวิตเราในมนุษย์นี้ ชาติของมนุษย์นี้ตั้งแต่เกิดมาจากช่องคลอดของมารดา จนกว่าจะตายไปนี่มันก็เหมือนกับอยู่ในท้องของมารดาชาติหนึ่ง มันเป็นไปตามกำหนด กำหนดของธรรมชาติ กำหนดของความเป็นจริงว่าคนเกิดมาต้องตาย

ตายจากเทวดา ตายจากเปรตผี ตายจากสัมภเวสีมาเกิดปฏิสนธิในจิต ในครรภ์ของมารดา นั่นน่ะ จิตนั้นเกิดแล้ว เกิดมาในชาตินั้น เกิดมา ๙ เดือน คลอดออกมาถึงเกิดเป็นมนุษย์อีก ใน ๙ เดือนนั้นความทุกข์ความยาก ความ ๙ เดือนนั้นน่ะ นั่นคลอดผ่านออกไป พอมาเป็นเด็กขึ้นมาจนตายไปมันก็เหมือนกัน

แต่เวลาติดอยู่ในโลกไง มันอยู่ในโลกนี้ โลกนี้ประเสริฐ โลกนี้น่ารื่นรมย์ โลกนี้น่าจะเกาะเกี่ยวกันไปตลอดเวลา เห็นไหม โลกนี้ โลกของการเป็นมนุษย์ไง แต่มันไม่เป็นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงน่ะมันมีเกิดมันก็ต้องมีไม่เกิดสิ เห็นไหม จริงคือจริงแบบธรรมไง ธรรมอันนี้ ธรรมคืออะไร? ธรรมคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราทำวัตรกันน่ะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมคือสัจธรรมอันที่ว่าอริยสัจ ไม่ใช่ธรรมโดยธรรมชาตินี้ไง

ธรรม ธรรมชาตินี้ก็เคลื่อนไปเวียนไป จิตมันวนไปเวียนมาในวัฏวน วัฏวนนี้เป็นที่เกิดที่ตายของจิต จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวมา ทุกข์ยากมาจนไม่มีต้นไม่มีปลาย จนมาเกิดมาพบพุทธศาสนานี้ถึงว่าประเสริฐไง ความประเสริฐของเราคือเราพบสิ่งที่จะพาออก

มันเป็นความละเอียดอ่อน ละเอียดลึกซึ้งมากจนเข้ากันไม่ถึง เข้ากันได้แสนยาก แล้วเอาปัญญาหางอึ่งน่ะ ปัญญาความคิดของเราเข้าไปเทียบ ถึงว่า ศาสนธรรมจะเป็นอย่างที่เราคิด เป็นอย่างที่เราคิด เห็นไหม เราก็คาดหวังอนาคตกันว่าเกิดมาแล้วจะเป็นเศรษฐี จะเป็นผู้มั่งมีศรีสุข เกิดมาในมนุษย์นี้เราจะมีความสุขมีความเจริญ เราจะคิดไป จินตนาการมันคาดมันหมายไปแล้วก็หลอกตัวเองไปทุกข์ไปยากนะ เหมือนโค เหมือนวัว เหมือนควายที่เขาโดนเกี่ยวจมูกแล้วลากไป ลากไป มันไปตามสายที่ว่าเขาลากไปๆ

อันนี้ก็เหมือนกัน มันไปตามสัญชาตญาณไง เราก็คิดว่าเราจะมีความสุข มันจะเป็นไป ถ้ามีความสุขก็สุขแบบที่เห็นนี่แหละ สุขที่เราได้ประสบนี่แหละ แต่กิเลสมันต้องการคาดหวังไป ให้สุขแบบทิพย์สมบัติ ให้อยู่ในพรหม ในภพ ในสวรรค์ แล้วจะเอาสวรรค์มาไว้ในปัจจุบันนี้ สร้างวิมานสร้างอะไรกันของเรา นี่ความคิดไปนี่กิเลสพาไป

ความทุกข์ สิ่งที่เกิด ทุกข์ๆ ตายๆ อยู่นี่ เกิดมาจำเจกับในจิตของเรา ทีนี้มันถึงเป็นธรรมชาติที่ความคิดกันไป นี่ธรรมชาติคือการจิตนาการ เราคิดเอาความคิดหางอึ่งของเราเข้าไปเทียบธรรม ธรรมอันนี้มันประเสริฐเลอเลิศมาก มันลึกซึ้งมหาศาล ลึกซึ้งฝังอยู่ใน...มันมีอยู่ดั้งเดิม ดั้งเดิมอย่างไร เพราะมันมีของคู่ไง มีและไม่มี แต่ว่ามีและไม่มีนี้เป็นธรรมชาติ เห็นไหม ของคู่กัน สุขคู่กับทุกข์ ขาวคู่กับดำ มืดคู่กับสว่าง

วันคืนล่วงไปๆ กินเวลาของเราไปหมด กินเวลาของวันเวลาของภพชาติน่ะ ๙ เดือนคลอดออกมานี่เป็นมานั่งอยู่นี่ไง นั่งอยู่นี่มาพบพุทธศาสนา พบพระพุทธศาสนา ถึงว่าบัญญัติขึ้นมาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา บัญญัติขึ้นมาเพราะถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้น มันละเอียดอ่อนขนาดที่ว่า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาสยัมภู มาตรัสรู้ด้วยตนเอง ธรรมก็มีอยู่ นรกสวรรค์นี้พระพุทธเจ้าบอกมีอยู่ทั้งหมด มีอยู่ดั้งเดิม ของมันมีอยู่แล้ว วัฏฏะมันก็มีอยู่ดั้งเดิม แต่การสร้างบุญญาบารมี บุญญาธิการมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าน่ะ เป็นพุทธภูมิ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นผู้นำเขามาตลอด รื้อสัตว์ขนสัตว์เป็นหัวหน้าสัตว์ เป็นผู้ที่จรรโลง จะเอาพ้นออกไปจากทุกข์นี้ เป็นวงรอบหนึ่งๆ ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาก็มารื้อสัตว์ขนสัตว์ไป

เราก็เป็นสัตว์ สัตว์ข้องอยู่ สัตตะคือความข้องอยู่ในวัฏฏะนี้ แล้วเราเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้านะ แต่พระพุทธเจ้าก็บอกพระอานนท์ไว้แล้ว “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา” แล้วธรรมและวินัยนี้อยู่ในตู้พระไตรปิฎก มันยังเป็นของใหม่ๆ มา อุ่นๆ มา ของยังร้อนๆ อยู่เลย ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้ามาสะเทือนใจ ธรรมถ้าสะเทือนถึงหัวใจ ธรรมอันนี้ถ้าสะเทือนถึงหัวใจ หัวใจจะขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนหมด มันถึงว่าเป็นของที่ว่าสดๆ ร้อนๆ เป็นของสดๆ ร้อนๆ อยู่ เปรียบเหมือนพระพุทธเจ้าอยู่ใกล้ตัวเราเลย

เราปฏิบัติ เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกแล้ว “อานนท์ ผู้ใดอยู่ใกล้เรา จะไปนั่งมองเฝ้ามองอยู่ ไม่ถึงเราหรอก ผู้ใดอยู่ถึงแดนตะวันตกของประเทศ อยู่ถึงฟากฟ้าไกล แต่อยู่ในวัตรปฏิบัติไง อยู่ในวัตร อยู่ในปฏิบัติ เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอยู่ติดเรา อยู่ใกล้ๆ เรา”

มันถึงเข้ากับ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นพระพุทธเจ้า

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจะปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติ ธรรมและวินัย เราเชื่อธรรมและวินัยแล้วปฏิบัติอยู่ นั้นอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ธรรมและวินัยถึงเป็นอยู่ในหัวใจเรา เห็นไหม วัตร ๑๓ ธุดงควัตร อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร เรามีอยู่แล้ว ข้อวัตรวัดใจเรา นี่คือขอบเขต นี่ขอบเขตกันให้ใจเราอยู่ในขอบเขตของวัตรปฏิบัติ คือว่ามันจำกัดให้เราต้องทำตาม

เราเชื่อนี่ เชื่อธรรมและวินัย เชื่อธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็อยู่ใกล้ธรรม แล้วเราเอาธรรมนั้นเข้ามาสะเทือนใจเราได้ เห็นไหม นั่นน่ะ ใจมันสะเทือนใจ จิตยิ่งสงบเข้าไป มันยิ่งสะเทือนใจ ยิ่งหวั่นไหวเข้าไปใหญ่

ถึงว่าพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเราเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า กึ่งพุทธกาลพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เหลือแต่ธรรมวินัยไว้นี่ เราจะทำไม่ได้...ได้! ได้ตลอดเวลา ทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ ทุกข์ต้องดับไปจากใจแน่นอน อริยสัจกังวานอยู่แล้วในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันยังไม่กังวานในหัวใจของเรา กังวานในหัวใจของเราเมื่อไหร่มันก็จะรื้อภพรื้อชาติออกจากใจได้

แก้ภพแก้ชาติจะไปแก้กันที่ไหน ชาติการเกิด มันเป็นการเกิดมาให้ประสบ เป็นการว่าประสบทุกข์เหมือนกัน นี่เป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง เกิดมาแล้วต้องทุกข์แน่นอน แต่ในเมื่อการเกิดนี้เป็นเวียนว่ายตายเกิด แต่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วยังมีความศรัทธา ออกมาบวชเป็นพระสงฆ์ ในพระสงฆ์อยู่ในวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราเข้ามาอยู่ในวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาอยู่ในธรรมวินัย ธรรมและวินัยนี่เราเชื่อตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า เราเชื่อว่าเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า เชื่อปัญญาคุณ เชื่อเมตตาคุณของพระพุทธเจ้าว่าชี้ทางอันเอก ทางอันเอกที่จะพ้นออกไปจากวัฏฏะ ไม่ใช่ทางอันเอกที่เราจะข้องอยู่ในโลกอยู่ต่อไป

ข้องอยู่ในโลกก็เอาแต่ความเจ็บปวดแสบร้อนมาให้เราตลอดเวลา จะสร้างคุณงามความดีไป สร้างคุณงามความดีมาก็ผลของบุญสะสมไว้ที่ใจให้เป็นที่อุ่นใจของตัวเอง อุ่นใจนี่ อุ่นใจต่อเมื่อคิดถึงนี่ แต่ถ้ากิเลสเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้น ความทะยานอยากเกิดขึ้น หักห้ามไม่ได้ นี่มันมีอำนาจเหนือเราตรงนี้ไง

ถึงว่า กิเลสวัฏ กรรมวัฏ กิเลสเกิดขึ้นก่อนถึงมีการปฏิบัติ แล้วมีผลของมันจะให้ความเจ็บปวดแสบร้อนเราตลอดไป ความเจ็บปวดแสบร้อนนะ แต่ในเมื่อการแบ่งค่าไง การแบ่งค่า ถ้าใจมันพอใจสิ่งนั้น เราเห็นว่าเป็นความเป็นทุกข์ เห็นไหม เขาว่าอันนั้นจะเป็นความสุขของเขาได้...กิเลสมันหลอกไง การแสวงหาทางโลก การแสวงหามักใหญ่ใฝ่สูงในอำนาจวาสนาบารมีทั้งหมด นี่การแสวงหาอันนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ทั้งหมดเลย มันไม่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมนี่เป็นแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพุทธภูมิ รื้อสัตว์ขนสัตว์ ไม่หวังความดีไง ไม่หวังอำนาจ ไม่หวังวาสนา แต่สะสมบารมี “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ผู้ที่สร้างคุณงามความดี คุณงามความดีต้องมีอยู่แน่นอน สัจจะอันนั้นมันมีอยู่แล้ว แต่กิเลสคือการมักใหญ่ ทำแล้วต้องประกาศ ต้องโฆษณา ต้องให้เขารู้ อันนั้นมันถึงว่าเป็นทุกข์เราไง

ทุกข์นั้นคือกิเลส แต่การสร้างคุณงามความดีนี้เป็นกิเลสเหรอ? ไม่ใช่เป็นกิเลส มันเป็นมรรคอริยสัจจัง มรรคที่ทำให้เรารอดพ้นออกไปจากทุกข์ได้ นี่มันถึงว่าเราถึงเป็นผู้ประเสริฐไง ประเสริฐในเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ในโลกนี้มีเท่าไร แล้วมนุษย์ในโลกนี้มาศรัทธาในศาสนาพุทธมีเฉพาะในเมืองไทยของเรา หรือทางเอเชียเรานิดหน่อย แต่ในภาคปฏิบัติ เพราะอะไร

เพราะเราสละทิ้งทางโลกทั้งหมด เราไม่ต้องการแบกชีวิตแบบโลกเขา โลกเขาต้องปากกัดตีนถีบไปเพื่อจะเลือดตกยางออกไปในหัวใจไง มันกลิ้งมันหมุนไปในความทุกข์นั้นน่ะ ถ้าเปรียบเหมือนหนังมันก็มีแต่ทุกข์ยากไปตลอด เราสละอันนั้นทิ้ง เห็นไหม เราถึงประเสริฐ เราถึงว่า เข้ามาบวชเป็นพระเพื่อจะให้พ้นออกไปจากทุกข์ได้

เป็นพระนะ ธรรมและวินัยนี้ประเสริฐมาก แล้วถ้าเอาธรรมใส่ในหัวใจได้ เพชรเม็ดงาม ประดับในวงการศาสนา เห็นไหม ศาสนามีแต่ข่าว มีแต่ความเล่าลือเหรอ เล่าลือร่ำลือกันว่าศาสนานี้มีความประเสริฐ มีความจริง แต่มันประเสริฐที่ไหนน่ะ

ความเล่าลือ ความจำ เห็นไหม ความเล่าลือ ความจำมามันก็มีเล่าลือมา แล้วเราก็จินตนาการไป ความร่ำลือมามันก็เล่าลือมาในหัวใจของเรา หัวใจเราก็ยังเป็นเล่าลืออยู่ นี่ว่ามรรคหยาบๆ ความเห็นหยาบๆ จากภายนอก ความเห็นหยาบๆ ไง นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด พอเจอมรรคละเอียดเข้าไปมันต้องทุ่มเข้าไป ความละเอียดอ่อนจนจับต้องไม่ได้

ความจับต้องไม่ได้ สังโยชน์มันก็เป็นจับต้องไม่ได้ เจตนานี้เจตนาความคิด จะมีความเจตนา มีความขวนขวาย นั่นความเจตนา นี่เจตนาเกิดขึ้น เจตนามันก็ออกมาเป็นเจตสิก เห็นไหม เจตนาความจงใจความตั้งใจ นี่เจตนา เจตนาถึงการก่อเกิดขึ้นกับความคิด การก่อเกิดขึ้นกับความคิดคือการกระทำออกไป ถึงสร้างออกมาเป็นวัตถุทั้งหมดเลย สร้างออกมา

แต่สังโยชน์มันอยู่ข้างหลังเจตนานี่ สังโยชน์ไม่ใช่เจตนา สังโยชน์มันอยู่ในหัวใจ ถึงต้องทำให้จิตเราสงบลงไป จิตของเราต้องสงบเข้ามา สงบเข้ามา สงบเข้ามา อันนี้ก็เป็นเจตนา เจตนาก็คือเป็นเจตนา แต่เจตนาออกไป เจตนานี้มันเกิดจากจิต สติก็ต้องเกิดจากจิต การกระทำต้องมีสติยับยั้งความฟุ้งซ่าน

จิตของเราฟุ้งซ่านออกไป ฟุ้งซ่านออกไป ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์นะ ในความเห็นต่างๆ ในสังขาร ในความจำ ไม่ใช่จำแต่เฉพาะชาตินี้ ภพชาติต่างๆ ที่เวียนว่ายตายเกิดมา บุญกุศลสร้างอยู่ที่หัวใจ มันสะสมลงที่ใจ เห็นไหม ใจนี้ถึงไม่เหมือนกัน วาสนาบารมีของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน วาสนาบารมีบุคคลไม่เหมือนกัน การกระทำประพฤติปฏิบัติเข้าไปมันถึงไม่เหมือนกัน

จิตนี้จะสงบ บางคนสงบได้ง่าย บางคนสงบได้ยาก บางคนสงบ ถ้ามันไม่สงบมันก็ฟุ้งซ่านอยู่ มันจะสงบเพราะมันปล่อยจากความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่าน เห็นไหม น้ำอยู่เฉยๆ นี่ไม่เห็นความกระเพื่อมหรอก เราไปคน เราไปกวนให้ขุ่น หรือลมพัดทะเล ลมพัดมาบอกให้เกิดพายุ เกิดน้ำกระเพื่อมขึ้นมา แล้วเราเห็นน่ะ นี่ฟุ้งซ่าน แต่จิตเวลามันคิดน่ะ มันความเคยใจไง มันคิดออกไป มันไหลออกมาเป็นเจตนา นี่มันเจตนาต่างหากทำให้จิตใจนี้ฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านออกไป

เจตนาจะมีคุณประโยชน์ต่อเมื่อเราศึกษาอยู่ข้างนอก หรือเราตั้งใจทำ ตั้งใจ สติ เจตนา สติ สัมปชัญญะ พร้อมเข้าเข้ามา แต่ความสงบเข้าไป คือจิตนี้ทำให้มันเงียบลง เงียบลง เจตนาให้นี้มันออกไป...เจตนานี้เป็นมรรค เริ่มต้นจากเป็นมรรค แต่มรรคหยาบ เห็นไหม มรรคหยาบคือความอยากความต้องการ เราถึงกำหนดพุทโธๆ เข้าไปให้มันเป็นสัจจะความจริง

ความจริง หมายถึงว่า เรากินข้าว เรากลืนคำข้าวไปในท้องเรา เราต้องรู้ว่าอาหารนี้ตกถึงท้อง อาหารตกถึงท้องจนพอแล้ว ท้องเราก็จะมีความสมบูรณ์ของมัน มันจะอิ่ม มันจะพอ ร่างกายก็พอ จิตกำหนดพุทโธๆๆ จนเราคำบริกรรมอยู่นั้นมันกินแต่อาหารของมันไง จิตนี้กินอารมณ์เป็นอาหาร อาหารของอารมณ์ แต่เจตนามันเกิดฟุ้งออกไป คือคิดออกไป นี่ทำให้ใจนี้ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านถึงเป็นความสงบไม่ได้

เรากำหนดพุทโธๆๆ การพุทโธของเราคือจิตมันก็กินพุทโธๆๆ อยู่ พุทโธอยู่ นี่เจตนามันอยู่ แต่กินพุทโธ กินจนบริกรรมไปเรื่อยๆ บริกรรมพุทโธจนจิตมันจะเริ่มเป็นอัตโนมัติ มันบริกรรมเอง เห็นไหม บริกรรมพุทโธๆๆ แต่ถ้ามันเริ่มต้นเราต้องพยายาม เจตนา เจตนาเข้าไป ขวนขวายขึ้นไปไง มันพุทโธแล้วมันจะออกข้างนอก เห็นไหม นี่ตัวเจตนา

ตัวเจตนากับตัวสังโยชน์ต่างกัน สังโยชน์มันไม่ต้องออกมาจากเจตนา มันเป็นธรรมชาติไง เหมือนกับเราเอาน็อตไปขันอะไรติดกันไว้ น็อตไปขันวัตถุต่างๆ ติดกันไว้ ไอ้ตัวนั้นมันขัน มันขันโดยธรรมชาติของมัน มันอยู่อย่างนั้นตลอดไป มันมีเจตนาไม่มีเจตนา มันมีเจตนาตัวคนเอาไปผูกไว้ก่อน เอาไปขันไว้ก่อน เอาไปล็อคไว้ก่อน แต่ล็อคแล้วมันก็อยู่ของมันอย่างนั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ว่าเกิดดับอย่างนั้น มันเป็นของตายตัวอยู่กับจิตมาตลอด การประพฤติปฏิบัติมันต้องประพฤติปฏิบัติให้ใจสงบเข้ามาแล้วมันถึงจะสงบเข้ามาๆ ต้องการความเป็นโลกุตระ เห็นไหม จิตนี้สงบ จิตนี้ควรแก่การงาน จิตนี้ยังไม่มีความสงบพอ

นี่ความส่งออกเห็นภาพ การเห็นภาพนิมิต การรู้อดีตอนาคต การรู้สิ่งใดๆ ในโลกนี้ ไม่มีประโยชน์ มันเป็นการหลอกลวงจิต ทั้งๆ ที่ว่าจิตเราสงบลงไปแล้ว จิตเราสงบไปนี่เราว่าอันนี้เป็นความสุข...มันเป็นความสุข ถ้าจิตมันสงบนี้เป็นความสุขแน่นอน แล้วจิตมันสงบนี่มันก็เวิ้งว้างเหมือนจินตนาการ เวิ้งว้างขึ้นไป ความสัมผัสอันนี้เพราะเราไม่เคยพบไม่เคยเห็นไง เราไม่เคยพบไม่เคยเห็นความสงบของใจมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ เห็นเงาของตัวเองไง เห็นเงาของตัวเอง แต่ยังไม่เห็นกายของตัวเอง

พอจิตสงบขึ้นไปนี่มันเวิ้งว้างจากความคิดของโลกียะต่างๆ มันก็ว่าอันนี้เป็นผล เห็นไหม ถึงจะเห็นนิมิตเข้าไปอีก พอเห็นนิมิตต่างๆ ขึ้นมานี่ นิมิตต่างๆ นั้นมันเห็นภาพมา มายาภาพน่ะ ภาพนี้เป็นมายาเพราะมันเกิดมาจากใจ ใจนี้สังโยชน์เกาะเกี่ยวไว้แน่นหนามาก เห็นภาพนั้นมีความภูมิใจ มีความดีใจ มีความรู้สึกตื่นเต้นไปกับภาพนั้น ภาพนั้นบอกคุณค่ามาว่าเราเป็นบุคคลสำคัญอย่างไร เห็นไหม มันถึงว่าชำระกิเลสไม่ได้ไง มันเป็นเจตนาอยู่

เจตนากับเจตนามันเข้ากันมันก็ไป คนชวนกันไปเที่ยว ชวนกันไปทำงานอย่างอื่น ถ้าชอบกัน คนนักพนันก็ชวนกันไปเล่นการพนัน คนจะเข้าป่า พวกพรานล่าสัตว์เขาก็ชอบเข้าป่ากัน ผู้ที่ต้องการความสงบ...ต่างไหม เพราะมันเกิดขึ้นจากที่ใจของเราเอง เจตนาเหมือนกัน แต่เจตนาอยู่กับที่ เจตนาถอยเข้ามาไง ถอยเข้ามาให้เป็นความสงบ

นิมิตเกิดขึ้นจากอะไร? จากสัญญาเดิม จากสังขารเดิม สังขารเดิมนั่นมันก็เกิดขึ้นมา มันมีเจตนาแอบแฝงมาด้วย มันถึงเห็นภาพนั้น มันถึงใช้ไม่ได้ นี่ครูบาอาจารย์ที่ยังไม่ถึงหลักเกณฑ์ ครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นหลักไม่เป็นเกณฑ์ ถึงจะไม่รู้ว่าอันนี้มันเป็นโทษได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่หลักไม่ใช่เกณฑ์ก็ว่าอันนี้มันเป็นคุณ อันนี้มันเป็นประโยชน์ ประโยชน์เพราะอะไร เพราะเราภาวนาของเราเอง เราภาวนาเอง แล้วเราเห็นเอง ความเห็นเอง เห็นเกิดขึ้นจากภายใน มันจะผิดไปไหน

แต่มันผิด ผิดเพราะกิเลสพาเห็นไง ผิดเพราะว่าสังโยชน์เบื้องเก่า สังโยชน์ในหัวใจลึกๆ มันเกาะเกี่ยวไว้ก่อนแล้ว แล้วส่งออกมาเป็นเจตนาให้เห็นไง ถึงว่าบุญญาบารมีที่ว่าสะสมมาถึงได้เห็นคุณงามความดีจากสิ่งที่เราเกิดขึ้นมา...อันนั้นมันเป็นอดีต อดีตอนาคตมันไม่ใช่ปัจจุบัน ถ้าเป็นอดีตอนาคตอยู่ มันก็ผูกกันไป อดีตอนาคต เห็นไหม วิปัสสนาไปแล้วปล่อยวางไป จะคิดของเก่า จะคิดของเดิมมามันก็ยังหลอก เห็นไหม ว่าเราเคยทำได้ แม้แต่จิตสงบลงไป พอสงบลงไปแล้ว เราก็เคยดื่มด่ำกับอารมณ์อันนี้ อยากให้ได้อีก นี่มันเป็นอดีตไปแล้ว มันเป็นอดีตมา

สิ่งที่เป็นอดีตมา สร้างอดีตมาเราถึงได้เป็นพระอยู่ในปัจจุบันนี้เพราะอะไร เพราะเรามีความอิ่มใจ เรามีความสุขพอสมควรในการประพฤติปฏิบัติมา มันมีพื้นฐานให้เรามีบุญกุศล มีอาหารให้เครื่องดื่มของใจได้ดื่มกินออกไป ปัจจุบันที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นความดี มันเป็นความสงบ...ถูกต้อง แต่พอมันผ่านมาแล้ว อันนั้นเป็นอดีตไปแล้ว อดีตที่เคยสงบ แล้วเราไปเกาะเกี่ยวอยู่ เราอยากได้อย่างนั้นอยู่ ทำให้ปัจจุบันนี้ฟุ้งไปหมดเลย เพราะมันไม่เป็นปัจจุบัน เอาปัจจุบันไปเกาะเกี่ยวไว้กับอดีต

เห็นไหม จาก ๑ แบ่งเป็น ๓ นึกถึงอดีต นึกถึงอนาคต แต่ตัวเองกำลังนึกแต่อยากอย่างเดียว นี่เจตนามันส่งออกไป เจตนามันส่งออกไป มรรคอริยสัจจังถึงวนเข้ามาจากภายใน ถึงพยายามต้องตรวจเช็คดูหัวใจของเรา เป็นผู้ปฏิบัติมันต้องซื่อสัตย์กับตนเอง อย่าให้กิเลสเล่ห์เหลี่ยมไอ้ความเคยใจอันนั้นมันหลอก

มันหลอก เราคิดเราว่าเราคิดถูก เราคิด เราเห็น เราปฏิบัติ เราว่าสิ่งนี้เป็นความถูกต้อง เพราะอะไร เพราะเกิดจากการปฏิบัติของเรา เห็นไหม แต่เราน่ะ มันมีกิเลสอยู่ข้างหลังเราอีกชั้นหนึ่งด้วย มีเราแล้วยังไม่พอนะ เรานี้เป็นมานะ เป็นสังโยชน์ที่ว่ามันไม่เป็นเจตนา สังโยชน์ความยึดมั่นถือมั่น ทุกคนต้องว่าตัวเองแน่ ตัวเองเยี่ยมหมด เพราะอะไร เพราะว่าเรานี่ โลกนี้มีเพราะมีเรา เราอยากใหญ่ เราอยากโต เราทั้งหมด เห็นไหม นี่สังโยชน์ มานะ ๙ เพราะเราแล้ว กิเลสมันอยู่ใต้นั้นอีก มานะ ๙ ยังมีอวิชชาอยู่หลังมานะอีก มันถึงหลอกเราไง

เราเข้าใจว่าเราทำคุณงามความดีแล้วมันจะราบรื่น ทำคุณงามความดีแล้วจะมีคนส่งเสริมขึ้นไป อย่าว่าแต่คนส่งเสริมเลย กิเลสมันยังหลอกอยู่ในหัวใจ กิเลสของเราเองควรจะส่งเสริมให้เรามีมรรคมีผลในหัวใจเป็นขั้นเป็นตอนให้พ้นจากภพจากชาติที่ความทุกข์อันนี้ ว่าเป็นทุกข์ๆ อยู่นี้สิ เราทำประพฤติปฏิบัติอยู่เพื่อจะรื้อภพรื้อชาติน่ะ แต่เราก็เวียนไปในการอยู่ในภพในชาติ เห็นไหม เวียนออกไปในอารมณ์ของตัว ในความผูกมัดอันนั้นโดยที่ไม่รู้เลย แล้วว่าอันนี้เป็นประพฤติปฏิบัติ นี่มันถึงได้น่าสลดสังเวชตัวเอง

สลดสังเวชว่า แม้แต่เราทำคุณงามความดีอยู่นี้ เราคิดว่าเราทำคุณงามความดีไง เราคิดว่า ขณะคิดนั่นเป็นเจตนาที่ถูกต้องที่ดี เราอยากทำความดี แต่ขณะทำขึ้นมาๆ นี่ ขณะทำขึ้นมาแล้วนี่ ไอ้กิเลสอยู่หลังเรานั่นน่ะ มันก็แบบ “ต้องเป็นอย่างนี้ๆๆ ไป”

สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา เห็นไหม สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญาคือการจินตนาการขึ้นมาจากใจของเราทั้งหมด แล้วใจของเรามันสะอาดแล้วหรือที่ว่าจินตนาการนี้ถูกต้องน่ะ

นักวิทยาศาสตร์ที่เขาใคร่ครวญกันนั้นเขาก็มีความตรึกอยู่ เขาลองทางทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ผู้ที่ริเริ่มขึ้นมาเป็นผู้ที่เริ่มพบทฤษฎีใหม่ๆ พบสสารตัวใหม่ๆ ขึ้นมานี่เขาก็ยังวางไว้ เพราะเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตหนึ่ง เฝ้ามองจนเกิดสสารตัวใหม่ขึ้นมาแล้วเขาก็ต้องตายไป มีนักวิทยาศาสตร์คนต่อๆ ไป เอาสิ่งนั้นมาประดิษฐ์ขึ้นมา เอาสิ่งนั้นขึ้นมาวิเคราะห์วิจัยขึ้นมา ทั้งชีวิตชีวิตหนึ่งนะ เขาทุ่มเทกันขนาดนั้น นี่นักวิทยาศาสตร์ เขามีความตรึก มันยังเป็นความถูกต้องตามหลักทฤษฎี ตามหลักวิทยาศาสตร์ มันไม่มีความถูกต้องตามหลักการรื้อภพรื้อชาตินี่ เพราะมันเป็นโลกียะมันเป็นวัตถุ เห็นไหม คิดออกมาถึงวัตถุ ยังให้รางวัลกัน ยังให้ความสรรเสริญเยินยอกัน แต่คนที่จะรื้อภพรื้อชาติจากหัวใจ รื้อภพรื้อชาติที่มันเป็นสสาร สสารที่เป็นนามธรรม ธาตุรู้นี้เป็นสสารอันหนึ่ง ธาตุรู้นี่ ธาตุของเรา แต่นี้มันออกมาผ่านอะไรมา? ผ่านขันธ์ออกมา เห็นไหม

เจตนาออกมาก่อน เจตนาก็ผ่านขันธ์ พอขันธ์คือความคิดของเรานี่มันหยาบมาก ถ้าวิปัสสนาเข้าไปจะเห็นความเริ่มต้นนี้เป็นสิ่งที่หยาบมาก แต่มรรคหยาบนี่ต้องมีก่อน ไม่มีมรรคหยาบๆ เราจะเข้าไปสู่มรรคละเอียดได้อย่างไร มรรคหยาบๆ เห็นไหม ความสงบตัวลง จิตมันสงบนี่ ไอ้ที่ว่าสิ่งที่ว่าเป็นมหัศจรรย์ๆ สิ่งที่เป็นเหนือโลกทั้งหมด อันนั้นเป็นแค่บาทฐาน เห็นไหม แค่บาทฐานทำจิตให้สงบเป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น

สมาธินี้เป็นพื้นฐาน เป็นแผ่นดินที่จะปลูกต้นไม้ ปลูกทุกๆ อย่างบนแผ่นดิน สมาธิเกิดขึ้นจะแบ่งจากว่าปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสให้ย้อนกลับมาเป็นกัลยาณชน เป็นกัลยาณชน เพราะพื้นฐานสิ่งนี้มันมีอยู่ก่อน ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกผนวชเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส สมาบัติ ๘ ทำความสงบของใจ นี่ไปเรียนอยู่มันต้องมีพื้นฐานอยู่ดั้งเดิม แต่พื้นฐานดั้งเดิมมันเกิดขึ้นมา มันก็เหมือนสัจจะความจริง เหมือนธรรมชาติที่มีอยู่แปรปรวนตลอดเวลา จิตที่ฟุ้งซ่านมันสามารถทำความสงบได้ มันเป็นพื้นฐานธรรมดาเอง ทั้งๆ ที่ว่าเราปฏิบัติแล้วเราว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ไง มันมหัศจรรย์เพราะมันมีความสุขไง

ความสุขของโลกียะก็เวียนอยู่ในวัฏวน มีความสุขก็เกิดขึ้นเป็นเทวดา ในเมื่อทำความจิตสงบตายไป จิตมันเป็นพื้นฐาน เกิดเป็นพรหมอยู่แล้ว เกิดเป็นพรหมโดยธรรมชาติ แล้วเป็นพรหมอยู่แล้วไปอยู่ในพรหมนั้น หมดจากชีวิตนั้นก็กลับมาเกิดอีก ได้ถอนภพถอนชาติออกจากหัวใจแม้แต่นิดหนึ่งไหม? ไม่ได้ถอนเลย

จิตที่สงบแล้วเห็นภาพนั้นก็ไม่เห็นได้ถอนอะไรออกไปจากใจแม้แต่นิดหน่อย เพราะว่ามันเป็นเปลือกของใจ มันเป็นอารมณ์ของใจ มันเป็นอาการของใจที่ทำใจให้สงบ ใจสงบขนาดไหนมันก็เป็นอาการ แต่ถ้ามันคิดออกมา มันฟุ้งซ่าน มันไม่เป็นความสงบ แต่สงบเข้าไป ละเอียดเข้าไปๆ จนถึงฐีติจิต เห็นไหม ฐีติจิต จิตเดิมแท้ อันนั้นถึงว่ามันเป็นจิตล้วนๆ แต่อวิชชาก็ยังอยู่ในนั้นเต็มๆ เลยน่ะ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตปฏิสนธินี่ผ่องใส จิตปฏิสนธิมันถึงลึกเข้าไปกับสัง¬ขาร สัญญาเดิมที่ปรุงแต่งอยู่นี้ ความจำได้ภพชาติถึงไม่มี นี่จิตปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา เกิดมาเป็นภพชาติหนึ่ง ในเมื่ออยู่ในครรภ์ของมารดามันก็เป็นธรรมชาติของมันที่มันต้องเจริญเติบโตไป เว้นไว้แต่มันแท้งกลางครรภ์นั้นก็ว่ามีบาปอกุศลอยู่ถึงได้แท้งกลางครรภ์ ต้องตายไปในภพชาตินั้น

นี่ก็เหมือนกัน เรามีบุญกุศลเราถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วยังเชื่อในหลักการของพระพุทธศาสนา แล้วยังได้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ถึงตรงนี้ต้องข้ามพ้นให้ได้ไง อย่าชะล่าใจ อย่านอนใจกับความว่าจิตนี้สงบแล้วนี่เป็นรากฐานของเรา รากฐานของเรามันตกอยู่ในไตรลักษณ์ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เราอยากเห็นกิเลสเป็นไตรลักษณ์ เราอยากเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นไตรลักษณ์ให้เราเห็น ไตรลักษณะ พระไตรลักษณญาณนี่สามารถทำให้เราปล่อยชำระกิเลสได้

แต่นี้เราปฏิบัติอยู่ มันก็วนเวียนอยู่ในไตรลักษณ์นั้น ไตรลักษณ์นั้นเป็นการปฏิบัติของเรา กินข้าวเข้าไปแล้วก็อิ่ม เสร็จแล้วมันย่อยหมดไปมันก็ต้องหิว ต้องหามาเพิ่มอีก นี่เราก็สร้างสมขึ้นมาเหมือนเรากินข้าวขึ้นมาอิ่ม มันถึงว่าน่าสลดสังเวช ถ้าทำใจให้สงบได้แล้วไปตื่นเต้นกับความสงบนั้นไง ปล่อยให้หลุดจากมือไป

อาจารย์บอกว่า จากมือหนึ่ง จากมือของครูบาอาจารย์ยื่นให้อีกมือหนึ่งใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้ารู้ธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็เทศน์สอนปัญจวัคคีย์ ๕ ดวงใจ จากใจดวงหนึ่งเพิ่มดวงใจอีก ๕ ดวงใจเป็นพระอรหันต์ตามมา นั่นน่ะ จากดวงใจดวงหนึ่งเพราะอะไร เพราะเขามีความสงบ เขามีความเจตนาต้องการหลักทฤษฎีหรือเทคโนโลยีที่ให้ออกจากใจ คือเขาต้องการมรรคอริยสัจจัง

เราอยู่ในธรรมอยู่ในวินัย เป็นนักบวช พร้อมหมดเลย มรรคก็อ่านอยู่ทุกวัน มรรค ๘ เห็นไหม ดำริชอบ ความเพียรชอบ มรรค ๘ เห็นอยู่ตลอดทุกวัน แต่เห็นในตำรา แต่มันไม่สามารถสร้างขึ้นในหัวใจ

มรรคในตำราเป็นมรรคในตำรา อริยสัจในตำราเป็นอริยสัจในตำรา แต่ความเกิดขึ้นจากใจ ความสัมผัสกัน มันต่างกันราวฟ้ากับดิน ความเป็นตำราเราอ่านมามันก็สะเทือนใจ “อ้อ! มรรคเป็นอย่างนี้นะ ทฤษฎีเป็นอย่างนี้” จนทางยุโรปเขายังทึ่งเลยในหลักศาสนาของเรา ว่ามันเป็นหลักเหมือนหลักวิทยาศาสตร์ แล้วมันเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ข้างนอก มันเป็นวิทยาศาสตร์ในหัวใจ มันเป็นนามธรรมในหัวใจ นามธรรมที่เกาะเกี่ยวกับกิเลสอยู่ ที่สังโยชน์ที่มันมองไม่เห็นเลย มันลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น มันถึงต้องการพื้นฐานของใจ เอาใจแก้ใจ ใจถ้ามีพื้นฐาน เห็นไหม มันถึงว่า ยกขึ้นพยายามเฝ้ามองใจของตัวไง

เณรน้อยสอนพระโปฐิละให้ดูใจเหมือนกับจอมปลวกไง ปิดรูทั้ง ๕ รู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดให้หมด รอตัวเหี้ย สัตว์อยู่ในจอมปลวกนั้นจะออกมา แล้วเราจะเฝ้ามองคอยตะปบเหี้ยนั้นไง นั่นน่ะ รออวิชชา ไอ้ความผลักไสให้เราทุกข์มาตลอดในวัฏฏะที่เราวนมาน่ะ มันอยู่ข้างใน เห็นไหม ถึงจิตสงบแล้วนี่มันถึงจะมีผู้ที่เข้าไปมองไอ้จอมปลวกนั้น จอมปลวกนั้นคือกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็นไหม นี่พอจิตมันสงบขึ้นไป มันถึงจะทันกับใจไง ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือใจไว้ช่องเดียว “ใจ” เหลือใจไว้ช่องเดียว ดูใจเกิดใจดับไง ดูความพลิกแพลง ดูความปลิ้นปล้อนของกิเลสที่อยู่ในใจนั้นไง

พอจิตเราสงบ พอควรแก่การงาน พักให้ได้ฐาน พยายามถึงอัปปนาสมาธิจะดิ่งเข้าไปเลยจนถึงฐีติจิต เห็นไหม นี่ถอนออกมา ถอนออกมาหมายถึงว่า ออกมามีความคิด ถ้าจิตสงบ มันสงบ มันมีความคิดได้เล็กน้อย แต่มันไม่สามารถ ไม่มีสติสัมปชัญญะจะคอยดูไอ้ตัวที่ออกมาจากจอมปลวกได้ ถอนขึ้นมานะ อุปจารสมาธิ มันวนรอบ อุปจาระคือความรู้ของใจที่มันจะส่งออกไป

จิตนี้อ่อนควรแก่การงาน แล้วจิตที่อ่อนควรแก่การงานน่ะยกดู จิตดูจิต จิตดูความเคลื่อนไหวของจิตไง จิตดูความคิดพลิกแพลงที่จิตมันคิดออกมาเป็นอารมณ์ เป็นความทุกข์ยากอันนี้...นี่ความเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจตัวนี้ ถึงเห็นจิตจริงไง

ไอ้แสงธรรมชาติอย่างเดียวน่ะ สสารตัวที่มันจะรู้ตัวมันเองมันไม่มี ทีนี้สสารตัวนี้มันเป็นสมาธิอยู่แล้ว มันวนกลับมา ความวนกลับมาคือการคอยดูใจไง ความสงบแล้วคอยดูใจ สติสัมปชัญญะพร้อม คอยมองออกมาว่าสิ่งใดที่มันเป็นตัวริเริ่มให้เป็นความคิดของเราออกมา ที่มันหลอกเราอยู่ปัจจุบันนี้ นี่เฝ้ามองอยู่ จนเห็น เห็นการเกิดขึ้นไง รู้เห็นตามความเป็นจริง รู้เห็นจากใจว่าอาการที่คิดออกมานี่ อาการที่กลัว อาการที่เห็น อาการที่รู้นิมิต รู้ภาพ เห็นไหม ภาพนิมิตทุกอย่างมันเกิดจากตรงนี้ สิ่งที่รู้ที่เห็นที่ว่าเราไปรู้ไปเห็นนี่มหัศจรรย์ นี่มันเกิดจากตรงนี้

ดูสิว่ามันหลอกกี่ชั้น เกิดจากตรงนี้แล้วก็หลอกเรา ทั้งๆ ที่จิตมันสงบไปตามธรรมชาติของมัน แล้วมันส่งออกไปเห็นนิมิตไง ส่งออกไปเห็นอาการของใจ ส่งออกไปเห็นหมด ส่งออกไปเห็นแล้วทำให้ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น เกิดขึ้นตรงไหน? เกิดขึ้นจากการดีใจ เกิดขึ้นจากขนพองสยองเกล้า เกิดขึ้นจากการเห็นแล้วสะสมเข้ามาให้ใจนี้มันตื่นเต้น เห็นไหม ทั้งๆ ที่ว่าเราปฏิบัติอยู่ ถ้าจิตมันเห็นแล้ว ความเห็นนั้นมันบังคับกันไม่ได้ เพราะวาสนาบารมีของคนมันไม่เหมือนกัน

การเห็น คนที่เห็นนิมิตก็เห็นไป แต่เห็นแล้วต้องปฏิเสธไง เห็นแล้วต้องให้วางไว้ นิมิตเป็นนิมิต ความเห็นเป็นความเห็น แต่การดูอาการของใจ เว้นไว้แต่การเห็นกาย ถ้าเห็นกายขึ้นมา เห็นกายขึ้นมาจากตาของใจ เห็นกายขึ้นมาก็เห็นอาการของใจ อาการของใจที่ขยับขึ้น ใจที่คิดขึ้นมาน่ะใจมันเห็น โอ้โฮ! มันจะตื่นเต้นมาก “นี่หรือใจ ไหนว่าใจนี้มันเป็นนามธรรมไง สิ่งที่เป็นนามธรรมมันควรจะไม่มี”

มันจะไม่มีได้อย่างไร มันไม่มีแล้วมันจะเกิดมาเป็นคลื่น เป็นความรู้สึก ความคิดออกมาหรือ พระพุทธเจ้าถึงให้แบ่งเป็นขันธ์ ๕ ไง ขันธ์ ๕ เห็นไหม รูปที่เกิดขึ้นที่การคิดขึ้นมานั่นน่ะ มันเป็นรูปของจิตแล้ว เวทนานี่มันรับรู้ที่มันดีใจหรือเสียใจ ดีใจ อู้ฮู! เห็นนู่นเห็นนี่ เห็นดี เห็นอาการที่เราเศร้าหมองอยู่นี่ มันมีเวทนาเกิดขึ้น สัญญามันจะเกิดขึ้นมันต้องแว็บขึ้นมา แว็บขึ้นมา มันต้องมีเชื้อมา มีเชื้อมา มีวิญญาณรับรู้ สังขารปรุงไป ปรุงไปเรื่อย ปรุงไปเรื่อย ความคิดความปรุง แม้แต่แว็บเดียวของในใจ มันอาการมีครบ นี่คือตัวสสารไง นี่คือตัวการคือเคลื่อนไป อาการของใจที่หมุนออกไป ที่ว่าเป็นทุกข์เป็นยาก ที่ว่ามันเป็นความที่ให้เราฟุ้งซ่านอยู่นี่ นี่การพิจารณา พิจารณาไอ้ตัวที่ว่าอยู่ในจอมปลวกนั้น

มันร้ายกาจมาก มองไปก็เห็นแต่จอมปลวก ไม่เห็นตัวเหี้ยที่ซุกอยู่ในจอมปลวก เห็นแต่จอมปลวกไง จอมปลวกอยู่ นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ เรามีร่างกาย ก็มองเห็นกัน ร่างกายนั้นสวยหรือไม่สวย มองข้างนอกมันกายนอก กายนอกก็มองเข้าไปเถอะ มองอย่างไรก็มองแล้วมันเกิดอารมณ์ทางโลกหมด เห็นไหม “โอ้! คนนั้นมีวาสนานะ โหวงเฮ้งดีนะ คนนี้ไปทำงานแล้วประเสริฐ”

แต่ถ้าเห็นกายภายใน จิตนี้สงบขึ้นมาเห็นกาย พอเห็นกายภายใน มันเห็นจากนิมิตนั้นน่ะ นิมิตว่าสิ่งที่ผิดๆ แต่นิมิตที่เห็นกายนี้มันถูก เพราะนิมิตเห็นกายนี้มันเห็นตรงตัว เห็นเป็นนิมิตความเคลื่อนไป ภาพต่างๆ ที่เห็นในนิมิตนั้น นิมิตนั้นเป็นนิมิต เป็นรูปเทวดา ธรรมจักร รูปอะไรก็แล้วแต่ บอกว่าเราจะมีวาสนา เห็นไหม เห็นเป็นวิมาน เห็นเป็นอะไร อันนั้นมันเห็นเหมือนเห็นอาการที่เราเห็น เห็นเหมือนกับเราเห็นอำนาจวาสนาของตัว

แต่ถ้าเห็นกายขึ้นมา ทำไมมันสลดสังเวชล่ะ ถ้านิมิตเห็นกายคือตาใจมันเห็นกาย กายตัวนี้มันก็สะเทือนถึงจิตไง เพราะกายกับใจนี้มันสะเทือนถึงอันเดียวกัน เกิดเป็นเทวดามันก็เป็นรูปนิมิต เป็นรูปของเทวดา มันเป็นนามธรรม แต่นี้เราเห็นกายขณะที่ว่า เหมือนกับเราอยู่ในอีกสภาวะหนึ่ง สภาวะของธรรมไง สภาวะของการทวนกระแสเข้าไป ไม่ใช่สภาวะที่เห็นเราเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในครรภ์ของมารดา เป็นธรรมชาติของโลกไง สภาวะของโลกียะไง

สภาวะของโลกียะ คือมนุษย์เกิดขึ้นมาแล้วก็เจริญเติบโตขึ้นไป มีสติปัญญาใคร่ครวญตัวเข้าไปแล้วก็ต้องตายไปชาติหนึ่ง แต่สภาวะเห็นจากการทวนกระแส มันเป็นสภาวะของมนุษย์...

...ภาพของกายเป็นภาพความจริง ภาพของนิมิตเป็นภาพของอดีตอนาคต เป็นภาพของการสะสมบารมี แต่ภาพการเห็นกาย เห็นตามความเป็นจริงอันนั้นมันจะรื้อภพปัจจุบัน เห็นไหม ภาพปัจจุบันกับภาพอดีตอนาคต ภาพปัจจุบันมันสะเทือนลงหัวใจ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณาให้ปล่อยให้วางไง ปล่อยให้วาง ทำใจให้สงบขึ้นมาก็เพื่อสร้างมรรคอริยสัจจัง สร้างฐานของตัวเองขึ้นมา สร้างขึ้นมาจนเริ่มทวนกระแสเข้าจะไปรื้อภพรื้อชาติ

ภพของกุมารในครรภ์ของมารดา ภพของเด็ก ภพของความเจริญเติบโตของการเป็นมนุษย์ แล้วนี่จะรื้อภพรื้อชาติ รื้อภพรื้อชาติที่ว่าให้ภพชาติของใจนี้สิ้นไป ให้ดับไป นี่เริ่มต้น ขนาดเริ่มต้นมันก็ว่ามหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ในศาสนานี้มีมหาศาลเลย ถึงว่ามันลึกซึ้ง มันกว้างขวาง มันเอาทางวิชาการมาจับต้องไม่ได้

ทางวิชาการมาจับต้องมันต้องใช้วัตถุ เห็นไหม ใช้วัตถุการจับต้องกัน แต่การเห็นความอัศจรรย์ของศาสนา เห็นความอัศจรรย์ของภาวนามยปัญญาที่จะเกิดขึ้น ถ้าใครเห็นจอมปลวก หรือเห็นตัวเหี้ยในจอมปลวกนั้น นี่คือการเริ่มต้นวิปัสสนา หมายถึงว่า ยกขึ้นได้ จิตมันสงบควรแก่การงานแล้วมันต้องเฝ้ามองระหว่างจอมปลวกกับเหี้ยในจอมปลวกนั้น

จอมปลวกกับสัตว์ในจอมปลวก เห็นไหม จอมปลวกนี้มันก็เป็นจอมปลวก จอมปลวกนี้มันเป็นดิน สสารร่างกายของเรานี่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ก็เป็นดิน เป็นจอมปลวก ไอ้ตัวสันดาน ตัวไม่ดีของเรา คือในความคิดน่ะ เหี้ยอยู่ในจอมปลวกนั้นคือหัวใจของเรานี้ยังเป็นหัวใจที่สกปรก สกปรกไปเพราะสังโยชน์ ๑๐ มันร้อยรัดไว้ เพราะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ทำให้สกปรก ความสกปรกของมันคือหมุนตามออกไป นี่คือความสกปรก นี่ถึงว่าทำไมต้องชำระล้างภพ ชำระล้างชาติไง ภพชาติทำให้เราเกิดตายๆ สิ่งนี้มันหมุนเวียนว่ายตายเกิดไป เห็นไหม ภพชาติ ถึงต้องชำระล้าง ชำระล้างจากความเข้าใจผิดไง

เราว่าเราเป็นชาวพุทธ แล้วเราบวชเป็นพระเป็นสงฆ์อยู่ในศาสนา เราได้มาแล้วนี่ในตำแหน่งในหน้าที่ในเครื่องหมายของชาวพุทธไง แต่เรายังไม่ได้ชำระล้างไอ้สิ่งที่หัวใจของเรา ให้มันเป็นพุทธะรู้จริงตามความเป็นจริง เห็นไหม จริงในสัจจะ จริงในอริยสัจจะ ถึงเห็นความสกปรกโสโครกในหัวใจอันนี้ มันถึงไม่จริง เพราะมันมีความสกปรก มันโสโครก มันมีความเคยใจอยู่ มันถึงคิดออกมาตามความเป็นจริงของกิเลสที่มันคิดออกมา

แต่ความเป็นจริงของธรรมที่เราสะสมขึ้นมานี่จากไหน? จากความเพียรของเรา จากการค้นคว้า จากการมุมานะของเราสร้างขึ้นมาจนเห็นเป็นความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้นกิเลสหลอกอันหนึ่ง เราก็ไม่เชื่อ เราก็ผ่านจากภาพนิมิตต่างๆ เข้ามาจนเห็นจอมปลวกและเห็นเหี้ยในจอมปลวกนั้น เห็นไหม ดูสิว่ามันแปรสภาพไหม จิตนี้มันคิดว่ามันจะไม่ตายไง มันจะอยู่ยั่งยืนอยู่ค้ำฟ้าไง แต่พอมันเห็นความเป็นจริงว่ามันแปรสภาพในปัจจุบันนั้น กายนี้ต้องแปรสภาพไปเป็นไตรลักษณ์

เห็นไหม เกิดขึ้นเพราะเรามีความมุมานะสร้างสรรค์ขึ้นมา เราพยายามทำขึ้นมาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ให้เราวิปัสสนา แล้วมันก็ต้องแตกสลายไปตามความเป็นจริง นี้เป็นไตรลักษณ์ ในตัวของมันเองก็เป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว แต่ในความยึดมั่นของเราต่างหากไม่เห็นเป็นไตรลักษณ์ไง ไม่เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา

อนัตตาคือไตรลักษณ์ ตัวอนัตตาคือตัวสำคัญที่สุด อนัตตาเห็นอนัตตาตามความเป็นจริง ความเห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป จากปัจจุบัน จากสัจจะ จากเดี๋ยวนั้น จากไม่มีมิติมาขัดข้อง จากความเป็นไปของมัน ความเห็นมันหลุดพั้บเลยนะ หลุดออกไป ว่าง โล่ง สบาย เห็นไหม นี่เพราะว่าอันนี้เป็นความปลอม สัจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง แต่ความยึดมั่นถือมั่นในหัวใจเรามันเป็นความปลอม แล้วมันก็จะปลอมออกมาให้เคลื่อนออกไปเป็นจอมปลวก อยากให้จอมปลวกนี้ยั่งยืนยงอยู่ตลอดไป อยากให้กายของเราไม่แปรสภาพไป

ยัง เพราะตอนนี้ยังมีกำลังวังชาอยู่ ยังสามารถประพฤตปฏิบัติได้ มันยังไม่จนตรอกไง จนเวลาใกล้ตายขึ้นมา หรือเวลาชราภาพขึ้นมา อายุมากขึ้นมา ร่างกายนี้มันเสื่อมไปตามความเป็นจริงของมัน ตรงนั้นถึงมีความสลดสังเวชอยากจะออกไปจากนี้ก็ออกไม่ได้ เห็นไหม เบื่อหน่ายในร่างกายก็เบื่อหน่ายในแบบโลกเขา เบื่อแบบผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยจนเกือบจะสิ้นชีวิต เห็นไหม เบื่อหน่ายมาก เบื่อหน่ายกายนี้มาก ทำไมทำให้เราทุกข์ยากขนาดนี้ อยากจะตายๆ ไปให้พ้นจากความทุกข์นั้น เห็นไหม กับที่เราเห็นตามความเป็นจริงในความเป็นจริงมันไม่ใช่เป็นอย่างนั้นน่ะ

ในความเป็นจริงมันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์คือว่ามันจะแปรสภาพอยู่ตามสัจจะอยู่แล้ว แต่เราเห็นก่อนไง เราเป็นผู้ที่มีวาสนาบารมี เรามีวาสนาบารมี เราสร้างสม เราเดินตาม เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราวิปัสสนาของเราจนเห็นเป็นไตรลักษณ์ คือปัจจุบันที่มันแปรสภาพเดี๋ยวนั้นไง ความแปรสภาพจากภายในซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นไหม ปล่อยว่างโล่งๆ ว่างโล่งขนาดไหนมันก็ต้องซ้ำไปๆ

เราไถนา เราไถนาเราคราดนาจนดินนี้ควรแก่การงานตลอดเวลา แต่ควรขนาดไหนในดินนั้นมันก็ยังมีหญ้ามีวัชพืชอยู่ ถ้าไถแล้วเราปักหว่านลงไปเลย หญ้ามันจะขึ้นมา ข้าวเราจะเจริญเติบโตไปไม่ได้ เราไถออกไปแล้วมันก็โล่ง เราเห็นข้างหน้ามันโล่งๆ แต่มันยังไม่เห็นสิ่งใดหลุดออกไปจากใจ มันไม่สามารถคราดไถเอาจนพวกหญ้า พวกหญ้าคา พวกอะไรออกมา ยกขึ้นมาแล้วสลัดทิ้งออกไป

พิจารณากายก็เหมือนกัน พิจารณาเหี้ยในหัวใจก็เหมือนกัน เหี้ยในหัวใจคืออาการที่มันเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ในจอมปลวกนั้น อาการของจิตที่มันขยับไปมันสะสมความทุกข์มาให้เรานั่นน่ะ สะสมมาอย่างไร? สะสมขึ้นมาที่ว่า แม้แต่เราไม่ต้องการ เราต้องการความสงบมันก็เกิดขึ้น มันเห็นสัจจะจริงๆ ความเห็นสัจจะเพราะจิตมันสงบ พอจิตมันสงบเราอยากให้ความสงบนั้นยืนยงอยู่กับเราตลอดไป แต่ทำไมมันตั้งอยู่ไม่ได้ล่ะ

เห็นไหม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายในวัฏฏะนี้ ทุกอยากนี้ เวียนว่ายตายเกิด หมุนไปเป็นไตรลักษณ์อยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะคนมันรู้จากสัญญา คือสุตมยปัญญ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราว่าเรารู้ไง รู้แบบเปลือกกับเปลือกมันเข้ากัน รู้แบบหลอกๆ รู้แบบเชื่อคนอื่น สัจจะความจริงมันตรงหน้า ปัจจุบันตรงนี้ รู้เห็นตรงหน้า รู้เห็นแบบไม่มีสิ่งใดมาบังเลย พอรู้เห็นน่ะ นี่คือการสอนใจไง ให้ใจมันฉลาดขึ้นมา ความฉลาดคือความรู้เท่าตนเอง

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนรู้ของตน แต่ตนมันพึ่งตนเองไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้เพราะความเห็นของเราเป็นความเห็นผิดไง เราว่าเรานี่ความเห็นถูก เห็นถูกนี้เป็นอดีตอนาคต อนาคตคือไปหยิบยืมของพระพุทธเจ้ามา ถ้าเห็นจริงตามความเป็นจริงมันเดี๋ยวนั้น มันแว็บเดียว มันเร็วมาก กระแสจิตมันจะเร็ว มันจะเห็นแล้วมันจะปล่อย ปล่อย อย่างที่ปล่อยนี้มันก็ปล่อย ปล่อยก็รู้ว่าปล่อย แต่ปล่อยแล้วมันไม่หลุด ไม่ขาด ปล่อยไปเรื่อย คราดไปเรื่อย ไถไปเรื่อย คราดไปเรื่อย ไถไปเรื่อย ลงอยู่ที่จอมปลวก และเหี้ยในจอมปลวกนั้นน่ะตลอดเวลา ตลอดเวลาที่ในการประพฤติปฏิบัติต้องมีสติมีสัมปชัญญะตลอดๆ ซ้ำอยู่ตรงนั้น ซ้ำอยู่ตรงนั้น

ซ้ำลงไปจนเห็น เห็นไหม เห็นอะไร? เห็นว่าขันธ์นี้ไม่ใช่เรา เรานี้ไม่ใช่ขันธ์ ทุกข์นี้กระเด็นออกไปจากใจ กระเด็นออกไปเลยนะ ออกไปจากตัวเหี้ยที่ว่าสกปรกๆ อยู่นั่นน่ะ มันถึงว่าเราเป็นเหี้ย เราเป็นตัวเหี้ย ความคิดน่ะ ความคิด ความปรุง ความแต่งอันนี้มันเป็นเหี้ยอยู่ สังขารเป็นเหี้ยอยู่ เพราะความสกปรก สกปรกที่ว่ามันไม่ยอมรับความเป็นจริงมันถึงเกิดทุกข์

พอมันเห็นเข้าๆ ตัวเหี้ยมันเว้นจากการหากินได้ มันปล่อย มันไม่หากินตามขันธ์ไง มันไม่ไปตามสัญญา ไม่ไปตามสังขาร ไม่ปรุง ไม่แต่ง มันปล่อยอาหารของมันออกหมด จำศีลภาวนาหลุดออกไป ทุกข์นี้เป็นทุกข์ จิตนี้เป็นจิต ขันธ์นี้เป็นขันธ์ เห็นตามความเป็นจริง นี่สังโยชน์ความผูกมัดไว้จากธรรมชาติของมันที่มันผูกจิตกับอวิชชาไง ผูกติดเอาไว้ระหว่างจิตกับความหลงงมงายของใจนี่ ขาดออกไปน่ะ

สิ่งที่มันมัดไว้ มันขันไว้ ขันเอาไว้ว่าทุกข์นี้ไม่ใช่เรา มันก็ขึ้น มันเป็นเองโดยธรรมชาติ ฟังสิ มันถึงว่าไม่ใช่เจตนา มันเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกข์กับใจมันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นอริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่อริยสัจที่มันเกิดดับในหัวใจ มรรคก็มีอยู่ แต่เราสร้างไม่เป็น นิโรธมันก็เกิดดับโดยธรรมชาติของมัน มันทุกข์แล้วก็ดับไป สมุทัยก็ความไม่รู้เท่านี่เป็นอาการทั้งหมด แล้ววิปัสสนาเราหมุนเข้าไปนี่

“ทุกข์” รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้วิธีกำจัดทุกข์ กำจัดด้วยมรรคอริยสัจจัง สร้างขึ้นมาจากการทวนกระแส จากการเกิดจากครรภ์มารดามาแล้วมาบวชเป็นพระเป็นสงฆ์ แล้วมาวิปัสสนา เห็นไหม นี่มันจะเห็นจริงในปัจจุบันทั้งหมด มันปล่อย พรึ่บ! ขาด สังโยชน์ขาดออกไปเลย นี่ความขาดออกไปอันนี้ ถึงว่าถอนภพถอนชาติของอบายภูมิไง

ถ้าถึงธรรม เห็นสัจจะ ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ ความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นเป็นธรรมดา อย่างนั้นต้องดับทั้งหมด ความรู้ ความหลงงมงายอยู่ในความเป็นไป มันหลุดออกไปทั้งหมด ความหลงงมงายหลุดออกไป จิตก็เป็นอิสระ อิสระจากสังโยชน์ ๓ ตัว เห็นไหม สังโยชน์ ๓ ตัวถอนออกมา ปิดอบายภูมิไง นี่คืออจลศรัทธาแท้ ไม่ตกต่ำ ไม่ตกต่ำนี่ถอนภพถอนชาติไง รื้อภพรื้อชาติของเรา รื้อภพรื้อชาติของนามธรรม

จิตนี้อยู่ในวัฏฏะ มันวนไปตลอดนะ มันวนไปจนเกิดในนรก ในนรกก็เคยเกิด อบายภูมิเป็นเปรตเป็นผี เคยเป็นมาหมดนี่จิตดวงนี้ พอมันสละตรงนี้ออก มันไม่สามารถรื้อกามได้ แต่มันก็สามารถไม่ตกต่ำ จิตนี้เป็นจิตที่ประเสริฐ เป็นจิตที่ประเสริฐขึ้นมาแล้ว ประเสริฐขึ้นมาเพราะมันจะมีพื้นฐานจากการที่ว่า เมื่อก่อนจะประพฤติปฏิบัติมันแสนทุกข์แสนยาก มันต้องถูต้องไถนะ ต้องพยายามดันตัวเองขึ้นไป แต่เดี๋ยวนี้มันเจอสิ่งสัจจะความจริงเกิดขึ้นจากหัวใจ มันกังวานในหัวใจนะ กังวานในหัวใจ กังวานตามความเป็นจริง ปล่อยออกไปแล้วนี่ นี่การประพฤติปฏิบัติมันก็มีขั้นตอนที่จะคลำได้ง่าย เห็นไหม

คนมันเคยจับงานแล้ว คนเคยทำงานอยู่แล้ว เห็นผลขึ้นมามันมีความสุขมหาศาลนะ ปล่อยว่าง ว่างไม่ใช่ปล่อยธรรมดา ไอ้ว่างแบบที่เห็นนิมิต เห็นเป็นความว่างอันนั้นมันเป็นความว่างเพราะมันสุขใจ สุขใจกับว่าเราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้รู้ แต่ว่างอันนี้มันว่างจากทุกข์ไง ทุกข์มันปล่อยหมดเลย ทั้งๆ ที่ว่าเมื่อก่อนว่างเฉยๆ นะ

ว่างอันนี้มันละเอียดอ่อนมาก ละเอียดอ่อนกว่าความว่างที่ว่างจากเห็นนิมิต ความว่างจากเป็นสมาธิธรรม เพราะความว่างนี้มันว่างแล้วมันสะอาดด้วยไง...ว่างสกปรก ว่างไว้เฉยๆ ว่างแบบเอากิเลสซุกไว้ใต้พรม หินทับหญ้าไว้ กับความว่างที่ว่าหินก็ไม่มี หญ้าก็ไม่มี มันว่างโดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม นี่สังโยชน์ขาดมันต้องขาดอย่างนั้น พอขาดออกไปนี่อบายภูมินี้เป็นอันว่าเลิกกัน

วัฏฏะนี้ เห็นไหม วัฏฏะนี้เริ่มบิ่นไป คลอนแคลนไป ไม่ครบองค์ของมันแล้ว สิ่งที่ในกามภพข้างล่าง จิตนี้จะไม่ไปสัมผัสมันอีกแล้ว เพราะจิตนี้ได้ชำระเชื้อของมันออกไป พอจิตนี้ชำระเชื้อออกไป จิตนี้ก็อยากจะเอาตัวให้พ้นให้ได้สิ เพราะรู้อยู่แล้ว มันยืนยัน ขณะปัจจุบันนี้มันยืนยันตัวเองว่า อ้อ! รู้จริงเห็นจริง ศาสนานี้มีจริง นรกสวรรค์นี้มีจริง จิตนี้จะไปเกิดอย่างนี้มันไม่ไปอีกแล้ว เห็นไหม นี่ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ

แต่ก่อนต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งครูบาอาจารย์เป็นผู้การันสัจจะความจริง แต่เดี๋ยวนี้ใจมันการันตีว่าศาสนาหรือมรรคผลนิพพานนี้มันมีจริงในหัวใจ แน่นอน! ถึงว่าไม่ลังเลสงสัยในธรรม ไม่ลูบคลำในสัจจะ ในศีล ในการจะอยู่ในขอบเขตของธรรมและวินัย นี่มันยิ่งมั่นคงเข้ามานะ ความมั่นคงของใจอันดวงนี้มันกัดเพชรขาด พอกัดเพชรขาด เสวยสุขอยู่ในขณะที่ว่ามันปล่อยออกไปแล้วก็เริ่มวิปัสสนาต่อ เห็นไหม ยกขึ้นอีก ยกจากใจขึ้น ยกใจขึ้นน่ะ

จอมปลวกนั้นน่ะทำลายมัน ทำลายจอมปลวกนั้นแล้ว ทำลายจอมปลวก ทำลายเหี้ยในจอมปลวกนั้นแล้ว ทำลายที่ว่ามันหลงตัวมันเองไง นี่ทำลายกายนอก ทำลายแล้วไง วิปัสสนาเข้าไปอีก ต้องวิปัสสนาเพราะว่าความสุขอันนี้มันเสวยแล้วมันยังมีความยอกใจอยู่ ความยังไม่พ้นจากภพจากชาติโดยความเป็นจริง มันพ้นจากอบายภูมิเท่านั้น แต่ยังเกิดในกามภพอยู่ เห็นไหม วิปัสสนาลงไป ดูใจนั่นน่ะ มันจับต้องได้ อุปาทานในใจยังมีอยู่ไง

อุปาทานของใจ มันอุปาทานของกาย นี่พิจารณากาย พิจารณากายเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นไตรลักษณ์อยู่ มันเป็นไตรลักษณ์นะมันเป็นไปต่อหน้า แต่ถ้าทำจิตให้สงบ สงบอีกนะ เพราะมันเป็นมรรค ๔ ผล ๔ ความสงบอันนี้มันต้องเป็นความสงบปัจจุบัน ความสงบที่ว่ามันเป็นข้างหน้าที่มันผ่านมานั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว เพราะมันใช้หมดออกไปแล้ว มันกำจัดทุกข์ออกไปได้ส่วนหนึ่ง จนเราปิดอบายภูมิทั้งหมดเลย

แต่ความกำหนดเป็นสมาธิ เป็นปัจจุบันสมาธิ ทำสมาธิคือความทำจิตให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่านในสิ่งที่เห็น ไม่ฟุ้งซ่านสิ่งที่หลอกลวง เห็นไหม สิ่งที่หลอกลวง นิมิตที่เห็นต่างๆ มันจะละเอียดเข้าไปอีก ละเอียดกว่าจิตที่เคยมอง จิตที่เคยเห็นนั้น แต่นี่มันละเอียดเข้าไป จิตมันมีวาสนาบารมี มันก็เห็นเข้าไป ความเห็นอันนั้นไม่เอาอยู่อย่างเดิม เพราะมันรู้วิธีการแล้วด้วย ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ เห็นนั้นก็สักแต่เห็นไป ปล่อย ไม่เสียดายในอารมณ์ ไม่ดีใจในอารมณ์ ไม่พอใจกับสิ่งที่มันเคยเกิด เคยเห็นไง ปล่อยไว้ เพราะมันเป็นอดีตอนาคต ให้อยู่ในปัจจุบัน ทำใจให้สงบเข้ามา

งานในวิปัสสนา “งาน” ขึ้นชื่อว่างาน กับขึ้นชื่อว่าเที่ยวสนุก เห็นไหม เห็นไป ปล่อยใจลอยไปนี่เที่ยวสนุกไป ไปกับเขา เที่ยวสนุกไปมันก็เป็นไตรลักษณ์โดยตัวมันเองอยู่เหมือนเดิม แต่เราก็ยังไปกับเขา เพราะจิตมีพื้นฐาน แต่พยายามหักใจเข้ามา “ควรแก่การงาน” งานของการรื้อภพรื้อชาติ เห็นไหม งานอันนี้มันต้องทุ่มทั้งชีวิต การทุ่มทั้งชีวิต ขึ้นชื่อว่างาน มันถึงได้เหนื่อยยากไง ความเหนื่อยยาก...

...ทุกข์ตามความเป็นจริงคือความทุกข์ที่ฝังอยู่ที่หัวใจ แต่ความทุกข์ในการประพฤติปฏิบัติ อันนี้มันทุกข์เด็กๆ ความเป็นความทุกข์ในการประพฤติปฏิบัตินะ คำว่า “เด็กๆ” เพราะมันหมายถึงว่า มันเป็นความทุกข์ที่ว่า เรามีปัญญา มีความสามารถที่จะแก้ไขได้ไง เรามีความสามารถแก้ไขคือว่า เรารู้กาลรู้เวลาของเรา กาลไหนเวลาไหนที่จิตใจ หรือความมุมานะ ความใจที่มันจะเอาออกจากทุกข์ได้ เราก็ทุ่มเข้าไป กาลไหนที่มันไม่อยากทำนี่ นี่การที่ไม่อยากทำ กาลที่ทำแล้วมันเป็นความเหนื่อยยาก มันเป็นการท้อถอยท้อทอดใจนี่ นี่ว่า “ทางนี้มันทางยากมันจะไปไหวหรือ” เห็นไหม นี่มันถึงว่าเป็นทุกข์เด็กๆ เพราะว่าอะไร

เพราะมันเกิดขึ้นต่อเมื่อเราเข้าไปผจญทุกข์มันถึงทุกข์ใช่ไหม เราผจญกับความเพียรมันถึงเป็นความทุกข์ ความเพียรเราต้องพยายามเอาใจของเราไสเข้าไปในหน้าที่การงานนั้น ไสเข้าไป ไสเข้าไปให้เห็นกาย ให้เห็นความเป็นไป ความอุปาทานในหัวใจนั้น นี่ไสใจเข้าไปในการงาน ไสใจเข้าไป ไสกายเข้าไปในทางจงกรม เห็นไหม ไสกายเข้าไปตรงนั้น นั่งสมาธิภาวนา ทุกข์มันจะเกิดต่อเมื่อเราไปเผชิญเหตุทุกข์ นี่มันถึงว่าทุกข์เด็กๆ

ทุกข์เด็กๆ หมายถึงว่า ทุกข์ในรูปธรรม ทุกข์ในนามธรรม ทุกข์เพราะใจมันมีกิเลสอยู่ แต่ความทุกข์ที่มันยอกอยู่ในใจคือสังโยชน์ที่มันผูกใจอยู่น่ะ มันเป็นสัจจะทุกข์โดยธรรมชาติของมัน แล้วอันนั้นมันยังพาเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี่ เราจะเอาสิ่งนี้จะไปชำระมัน มันถึงว่าทุกข์แก้ทุกข์ไง

ทุกข์อันนี้ ทุกข์อันที่ว่าเราทุกข์อยู่นี้มันยังประเสริฐ ทุกข์เด็กๆ เพราะว่ามันเป็นสิ่งข้างนอก มันเป็นว่าเกิดดับได้ แต่ทุกข์ของสังโยชน์ที่ปลูกฝังอยู่ที่ใจนี้มันทุกข์จริงๆ มันเป็นทุกข์ผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เพราะมันเป็นสัจจะความจริง ที่เข็นไสหัวไป เห็นไหม ไสหัวให้จิตดวงนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิด จะปฏิเสธว่าไม่ไป จะปฏิเสธอย่างไรไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของมันที่มันอยู่เนื้อเดียวกับจิต นั้นมันเป็นถึงความทุกข์จริงไง นี่อริยสัจ ถึงว่าทุกข์นี้เป็นความจริง มันเป็นอริยสัจที่ผูกอยู่กับใจ มันเป็นเนื้อเดียวกันไป ถึงว่า เราเกิดเจตนา เราเกิดความมุมานะ อันนี้เป็นมรรค เห็นไหม ทุกข์ สิ่งที่เราว่าเป็นทุกข์ๆ อยู่ มันเป็นทุกข์จรมาไง ทุกข์จรมาเมื่อเราเผชิญกับมัน ถึงเจอมัน

หน้าที่การงาน งานที่ทำให้ใจนี้อยากกระทำ กิเลสถึงไม่อยากให้ทำ มันอยากสะดวก อยากสบาย คนอยากสะดวกอยากสบาย มันถึงได้ต้องเวียนว่ายตายเกิด คนยอมสละความสะดวกความสบาย ทุ่มทั้งชีวิต ทุ่มทั้งความเพียรความสามารถของเราเข้าไปในวงอริยสัจ ในกาย ในจอมปลวก และตัวเหี้ยในจอมปลวกนั้น เห็นไหม นี่ทุ่มเข้ามา การวิปัสสนากายช่วงนี้มันจะวิปัสสนากายเป็น นี่แตกออก การแตกออกแบบไตรลักษณ์ มันแยกส่วน ดิน น้ำ ลม ไฟ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ มันจะแยกออกจากกัน จิตนี้ปล่อยทันทีเลยนะ ปล่อยออกมาๆ เพราะว่ามันไม่มีที่จะให้จิตนี้หรือความรู้สึกนี้เป็นที่รองรับไง เพราะกายมันแปรสภาพออกหมด

จิตก็เหมือนกัน พิจารณาดูจิต จิตว่าทำไมมันเกาะเกี่ยว อุปาทานในจิตนั้นมันเกาะกาย เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เราอยู่แล้ว เรานี้ไม่ใช่กาย แต่ทำไมมันยังมีอารมณ์ความคิดไปในกายนั้นน่ะ กายนั้นก็มีความคิด เห็นไหม มันอุปาทาน ยังหมายไว้ไง ทั้งที่มันปล่อยแล้วนะ ปล่อยจากความเป็นจริง สังโยชน์หลุดออกไปแล้ว แต่มันหมายกันอยู่ มันถึงพิจารณาย้อนกลับเข้าไป ย้อนกลับเข้าไปในดวงใจนั้นน่ะ ในตัวเหี้ยที่มันอาศัยอยู่ในจอมปลวกนั้นน่ะ มันปล่อยออกมาจากจอมปลวก มันแยกแล้ว แต่มันก็ยังอยู่ในจอมปลวกนั้น

ถึงว่า ต้องปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดูความเคลื่อนไหวของใจนั้นอีกต่อไป พิจารณากาย พิจารณาเห็นภาพนิมิตของกาย พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์ ธรรมชาติของมันก็เป็นไตรลักษณ์อยู่แล้ว ธรรมชาติของมันเป็นไตรลักษณ์เพราะว่า สิ่งนี้ธรรมของพระพุทธเจ้ามีอยู่เป็นความจริง สัจจะความจริงของพระพุทธเจ้า ที่ว่าเข้าไปรู้ธรรม ธรรมนี้มีอยู่ในโลกนี้อยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเข้าไปรู้เท่านั้นเอง เข้าไปรู้เข้าไปเห็นไง นี่สัจจะนี้ก็มีอยู่

เราก็ต้องพิจารณาดูอยู่ให้เห็น พิจารณาดูนะ ดูด้วยปัญญา ไม่ใช่ดูด้วยการเพ่งเห็นภาพนิมิตนั้น ดูด้วยปัญญา คือปัญญามันจะเคลื่อนไปหมุนไป ตั้งภาพไว้ แล้วมันแปรสภาพให้เราดูนี่ ดูด้วยปัญญาไง แปรสภาพให้ดู ถ้าไม่แปรสภาพก็ต้องน้อมนึก เห็นไหม ใจน้อมนึกเหนี่ยวรั้งไป นี่มันจะแปรสภาพ ดินมันจะกลายเป็นดิน กลับกลายเป็นดิน น้ำจะกลายเป็นน้ำ ไฟจะกลายเป็นไฟ ลมเป็นลม แยกออกจากกัน แยกออกจากกันนะ

จากที่ว่าเห็นมันแปรสภาพ กับเห็นมันหลุดออก มันแยกส่วนออกไง พอสมาธิเราเข้มขึ้น ฐานเราดีขึ้น พลังงานในใจนั้นมันมีมากขึ้น เวลามองออก มองในวัตถุคือมองออกในภาพของกาย ในวัตถุ ในเนื้อ ในก้อนเนื้อ ในแขน ในขา ในกะโหลกก็แล้วแต่ มันจะแปรสภาพออก เห็นไหม สิ่งที่เป็นดินมันจะกลับกลายเป็นดิน สิ่งที่เป็นน้ำเป็นเลือดมันจะออกไปเป็นเลือด สิ่งที่ว่าเป็นไฟ ความอุ่นความเผามันจะออกไป ออกไป แยกออกไป ลมส่วนลมออกไป ลมในโพรงกระดูก ลมแยกออก แยกออกๆ พอมันแยกออก มันแยกออกแบบคืนตัวนะ

สิ่งนี้เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา ธาตุ ๔ มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน แล้วมันกลับไปสู่ธาตุเดิมของมัน ใจมันก็ปล่อย ปล่อยก็เวิ้งว้างหมด เวิ้งว้างๆ หมดเลย ดูความปล่อย ถ้าพิจารณาดูจิต เหมือนกัน พิจารณาดูจิต จิตนี้มันเกาะเกี่ยวในอะไร อุปาทานอยู่ในจิตอยู่ตรงไหน จิต ในจิตดวงนั้นมันจะปล่อยออกไป มันจะปล่อยออก ปล่อยออกไปเลยนะ ปล่อยให้ตัวมันเองเป็นอิสระนะ

จิตนี้เป็นจิต กายนี้เป็นกาย แยกออกจากกัน ความแยกออกจากกัน ความขาดออกจากกัน เห็นไหม สังโยชน์ขาดออกไปอีก ๒ ตัวไง ในกามราคะ ปฏิฆะจะอ่อนลง อ่อนลงนะ สังโยชน์ ๒ ตัว พอสังโยชน์มันขาดออกไป จิตมันจะทิ้งออกมา โอ้โฮ! ร่างกายกับจิตที่มันอยู่ด้วยกัน ร่างกายนี้ไม่มีค่า ร่างกายนี้กดถ่วง จอมปลวกนี้มันเหมือนปิดครอบตัวเหี้ยไว้ข้างในไง ครอบเหี้ยไว้เฉยๆ มันไม่เป็นอิสระต่อกันด้วยสัจจะความจริง มันรู้แต่ทิ้งไว้เฉยๆ ขาดกาย เพราะว่าตัวเหี้ยกับจอมปลวกมันเป็นคนละส่วนอยู่แล้ว มันทิ้งกันไปโดยธรรมชาติ

แต่ถ้ามันยังครอบกันไว้ ความอุปาทานว่านี้คือบ้านของเรา นี้คือตัวเรา คือว่าจอมปลวกนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของจิตดวงนั้น นี่ความกังวลความติดอันนี้ไง มันทิ้งหมดเลย พอทิ้งออกหมด เห็นไหม กายนี้ไม่มีค่า จอมปลวกนี้ไม่มีค่า ถ้าไม่มีจอมปลวกจิตนี้มันก็อยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่มันเกาะเกี่ยวกันด้วยสังโยชน์เท่านั้น สังโยชน์มันคล้องไว้เฉยๆ

พอสังโยชน์ขาด มันไร้ค่าไง ถึงว่า อ้อ! อุปาทานของจิตที่เคยคิดว่าไง มันฝังไว้ในใต้ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นทุกข์ความเป็นจริง ฝังว่าไอ้กายกับจิตนี้มันต้องอาศัยเนื่องกัน เพื่อคนนี้อยู่ด้วยร่างกายไง มันไม่ได้คิดว่าใจมันก็อยู่ของมันเองได้...ทิ้งหมดนะ ไร้ค่าเลย ใจนี้ไร้ค่า จิตนี้เป็นจิต กายนี้เป็นกาย แยกออกจากกัน โล่งว่าง โล่งโถงไปหมดเลย นั่นน่ะปล่อย นี่ขาดจริง นี่ความขาดจริงของการรื้อภพรื้อชาติไง การรื้อภพรื้อชาติออกมาเป็นชั้นๆ เข้ามาไง นี่ขาดจริงออกไปเลยนะ จิตนี้เป็นจิต กายนี้เป็นกาย เวิ้งว้างมาก ลุ่มลึก อันนี้ลุ่มลึกมาก จิตมันจะสงบไปอยู่อย่างนั้นน่ะ

ตอนปฏิบัติขึ้นมานี่เป็นสติปัญญา สติปัญญาควบคุมจิตเข้ามา เพราะจิตนี้มันยังกระทบกับกาย มันจับต้องได้ แต่นี้จิตมันเป็นอิสระ หลุดออกไปแล้ว หลุดออกไปเลยนะ จิตออก หลุดออกไปเลย กายก็แยกออกไปเลย นี่มันจะว่างมาก ความว่างอันนี้จะทำให้ผู้ปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติ เห็นไหม หาครูหาอาจารย์น่ะ ถ้ามีครูมีอาจารย์อยู่ จะคอยบอก คอยบอกว่า สิ่งที่เราประสบอยู่นี้ เราเข้าใจว่ามันถึงที่สุดของการรื้อภพรื้อชาติไง แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัติผ่านไปแล้ว หรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยว่า จิตที่มันปล่อยกายเข้ามานี่มันยังมีตัวมันอยู่เต็มๆ เห็นไหม จิตที่เป็นจิตนี้ มันยังหลงในตัวมันเอง หลงอยู่ในตัวของมันเอง จิตที่เป็นจิตนี้

การจะเข้าหา เห็นไหม เพราะอยู่ที่จิตนี้มันก็ต้องย้อนกลับไป นี่งาน งานในวิปัสสนา งานของนักรบไง งานของผู้ที่รื้อภพรื้อชาติเป็นงานที่ยิ่งใหญ่นะ เป็นงานที่ว่า ในศาสนธรรมของเรานี่เป็นเทคโนโลยีที่พาใจนี้ออกไปเป็นอิสรเสรี อิสระตามความเป็นจริง เป็นความอิสระที่ว่ายืนยงมั่นคงอยู่ในหลักธรรมอันนั้น นี่ธรรมแท้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทเจ้า เอโก ธัมโมไง

แต่ที่เราปฏิบัติอยู่นี้ คือว่าเทคโนโลยีที่ก้าวออกไป คือจิตที่ว่า วิธีการไง คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกริยาของธรรมไง มันเป็นอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค...มรรคนี้ก็เป็นอริยสัจ แต่จิตที่มันพ้นออกมานี้มันพ้นออกมาจากอริยสัจ มันถึงต้องพยายามขวนขวาย พยายามจับต้อง พยายามสร้างขึ้นมา ทำจิตเข้ามาให้มันเวิ้งว้างอยู่ในความว่างอันนั้นก็จริงอยู่ แต่ตัวมันเองต้องย้อนกลับ

การย้อนกลับอันนี้ไง ถึงว่าการจับจิต ช่วงนี้เป็นการจับจิตได้ยากมาก การพิจารณากายก็พิจารณาไม่ได้ จะพิจารณาได้อย่างไร เพราะจิตนี้มันว่างหมด จิตนี้ไม่มีเลย ความไม่เห็นกายแล้วมันจะพิจารณากายได้อย่างไร มันพิจารณาอย่างไร มันพิจารณาไม่ได้ พอพิจารณาไม่ได้ มันจับต้องไม่ได้ไง มันเลยหลงตัวมันเอง เห็นไหม พอมันหลงตัวมันเองขึ้นมานั่นน่ะ นั่นน่ะคือความหลง

ความหลงนี้เป็นอะไร? เป็นกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ แล้วจะทำอย่างไรให้เห็นความหลงอันนี้ได้ล่ะ ให้เห็นความหลงนั้นได้ก็ต้อง...รู้อยู่ไง ให้ย้อนกลับเข้ามา ความหลงอันนี้มันจะหลงออกไป ความหลงออกมานั้นน่ะมันเป็นความหลง เพราะมันเป็นอวิชชาอยู่ที่หัวใจ จิตมันถึงย้อนกลับ ความสงบนั้นเป็นความสงบ ความเวิ้งว้างขนาดไหนนั้นก็เป็นอาการของใจทั้งหมด แต่ไอ้สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ใจนั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ใจ เราต้องค้นคว้าลงไป นี่มันเป็นการรื้อภพรื้อชาติ รื้อภพรื้อชาติ สังโยชน์ที่มันไม่มีเจตนา มันอยู่ลึกขนาดนั้นเข้าไป ลึกเข้าไป นี่ถึงต้องจับให้ได้ จับกายให้ได้ไง

ความจับกายนี้มันจับกายของจิตไง จิตนี้มันเป็นกาย กายในกาย กายของจิตเองเลย เพราะกายของจิต เห็นไหม เพราะว่ากายในกายมันเป็นกาม ความจับกามอันนี้ ความจับจิตอันนี้ไง ความเห็นนี้มันตื่นเต้น ถึงว่าการขุดคุ้ยหากิเลส การขุดคุ้ยหาเศษหาเชื้อของภพชาติ การขุดคุ้ย เห็นไหม การที่เราเป็นไข้ เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราต้องไปหาหมอไง หมอต้องวินิจฉัยโรค การวินิจฉัยโรคนั้นน่ะเขาต้องเอาเลือดของเรา เอาสิ่งต่างๆ ในร่างกายนี้ไปวิเคราะห์ไงว่ามีเชื้ออะไรอยู่ในเม็ดเลือดนั้น อยู่ในเลือดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องวิเคราะห์ว่า ในหัวใจที่ว่า มันใสมันสว่างอยู่นั่นน่ะ อะไรเป็นเชื้ออยู่ในนั้นไง ความเป็นเชื้อของมัน ความเป็นสังโยชน์ของมัน การจับได้ไง การค้นคว้าเห็นกาย การเห็นกายนี่มันเป็นภาพปัจจุบัน ความเห็นปัจจุบัน ความละเอียดของระยะห่าง ระยะห่างของกิเลสกับของใจ แล้วระยะห่างของอดีตกับอนาคต ถ้าอยู่ส่วนนอกนี่มันจะอยู่ห่าง ความอยู่ห่างนี้มันก็จับต้องได้ เพราะมันอยู่ห่างให้เราจับ แต่ความสนิทกับใจเลย จับกันเป็นเนื้อเดียวกัน มันจะจับต้องได้ยาก ความที่อยู่ในตัวของเราเอง

ศัตรูอยู่ภายนอก ศัตรูนอกประเทศนี่เราสามารถสร้างกองทัพไปสู้ได้ โจรภัยที่อยู่นอกบ้านเรา เราก็พยายามป้องกันโจรภายในบ้านเรา แต่ในเชื้อนั่นน่ะ ในเชื้อของเรา คือว่าในญาติพี่น้องในวงศ์ตระกูลที่อยู่ในบ้านของเรา เป็นศัตรูกับเราเอง เห็นไหม ศัตรูคือความหลง ศัตรูข้างนอก ศัตรูของโลกเขาคือศัตรูของโลกเขา ศัตรูของความหลงไง ศัตรูที่ทำให้ใจนี้ยังตายยังเกิดอยู่ ศัตรูที่พาให้ใจนี้ยังตายยังเกิดอยู่ แต่เราไม่สามารถเห็นได้เพราะมันใกล้

การย้อนจิตกลับเข้ามา เห็นไหม การย้อนจิตกลับเข้ามา พยายามหาให้ได้ไง เป็นความสามารถนะ ผู้ที่มีวาสนาบารมีนี่ถึงจะสามารถจับเชื้อโรคตัวนี้เจอ จับเชื้อโรคตัวนี้เจอ ถ้าเห็นกายก็เป็นกายอสุภะอสุภังภายใน แค่เห็นความเป็นอสุภะกับความเป็นสุภะนะ ความเป็นอสุภะเป็นความสกปรกโสโครกอยู่ในหัวใจ ความสกปรกโสโครกมันเป็นสิ่งที่เกิดของบูดของเน่า ของบูดของเน่าเสีย พวกสัตว์ พวกเชื้อ พวกหนอนชอบอยู่ในมูตรในคูถ อันนี้ก็เป็นอสุภะความสกปรกที่อยู่ที่ใจ ความสกปรกของใจเป็นอสุภะอสุภัง นี่ความเห็นอสุภะอสุภัง

การเจออสุภะอสุภังในหัวใจจะตื่นเต้นมาก ถ้าจิตมันสงบ เราสร้างมรรคอริยสัจจังขึ้นมานะ เป็นบุคคลที่ ๕...บุคคล ๘ จำพวก การสร้างมรรคอันนี้ขึ้นมามันเป็นบุคคลจำพวกที่ ๕ จำพวกที่ ๕ จะหมุนเข้าไปเป็นบุคคลจำพวกที่ ๖ นี่การพิจารณาอสุภะ อสุภะที่อยู่ในหัวใจ แล้วอสุภะอยู่ในหัวใจ พิจารณาความเป็นอสุภะให้เห็นว่าเป็นอสุภะ ให้ใจมันเห็นความเป็นอสุภะ เห็นเป็นเลือด ร่างกายนี้ก็ปิดเอาไว้ด้วยหนัง ลอกหนังออกมานี้เป็นเลือดสดๆ มันน่าขยะแขยง แต่ทำไมมันติดกันน่ะ โลกนี้ติดกันด้วยกาม

การเสพสัมพันธ์กันเพราะอะไร เพราะความเห็นว่าสวยเห็นว่างาม เห็นว่ามันเป็นของชอบ ความชอบใจอันนั้นไง จิตมันเคยติดเกี่ยวมา มันรื้อยาก กามภพนี้มันรื้อยาก เพราะว่าจิตนี้เราก็เกิดมาจากกาม ทุกคนนี้เกิดมาจากกามของพ่อของแม่ทั้งนั้น การสัมพันธ์กันมาถึงเกิดจิตปฏิสนธิขึ้นมา จิตที่เป็นกาม กับจิตที่เขาเสพกามกันอยู่ มันถึงได้เป็นจิตปฏิสนธิ เห็นไหม วิญญาณในขั้นนี้เป็นวิญญาณละเอียดเข้าไปแล้ว เป็นวิญญาณที่ละเอียดเข้าไป

วิญญาณที่ละเอียดเข้าไปมันไม่ใช่เป็นวิญญาณนอก วิญญาณในขันธ์ ๕ ไง วิญญาณนอก อันนี้เป็นวิญญาณของจิต ก็เป็นขันธ์มาไง ขันธ์ในขันธ์ เวทนาในเวทนา จิตในจิตไง จิตในจิตเพราะว่าจิตนี้มันติดกาย ทิ้งกายเข้ามา จิตเป็นตัวของมันเอง การเป็นตัวของมันเองอันนั้นน่ะ ถ้าพิจารณาซ้ำลงไปตรงนี้มันจะเป็นอสุภะ เห็นไหม ถ้าพิจารณาจิต จิตนี้เป็นกาม ความหลงของจิตที่เป็นกามของมันเอง ความเป็นกามอันนี้ต่างหากล่ะ มันถึงเป็นกามภพไง

กามภพ กามที่มันเป็นตัวมันเอง มันถึงได้เป็นเสพส่วนคนอื่น เห็นไหม เวลามันจินตนาการถึงความสวยความงามของฝ่ายตรงข้ามหญิงและชาย ถึงว่าตรงนี้มันเป็นศัตรูของพรหมจรรย์ ความเป็นพรหมจรรย์คือจิตนี้เป็นหนึ่ง จิตนี้มันไม่เป็นหนึ่งเพราะมันอยากหาคู่ หาคู่คือหาอารมณ์มาเสพไง จิตที่มันเสพในตัวมันเอง จิตที่เป็นอารมณ์มันก็เสพในตัวความคิดของมันเอง เห็นไหม นี่มันจะเกิดขึ้นหมุนออกไป นี่กามภพ

การหาตัวนี้ขึ้นไปมันถึงหายาก การหายาก เห็นไหม การหายากเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นเชื้อไขในวงศ์ตระกูลของใจตัวนั้น ใจดวงนั้นเกิดตายๆ มา มันสร้างญาติสร้างวงศ์ตระกูลอยู่ เห็นไหม นี่กิเลสจากหลาน จากเหลน จากโหลน นี่คือพ่อของกิเลสไง นางราคะ นางตัณหา นางอรดีเป็นลูกของอวิชชา นี่มันใกล้เข้ามา

จากหลาน จากเหลนนี่มันห่างออกไป ไอ้นี่มันจากลูก ลูกกับพ่อมันอยู่ด้วยกัน ลูกกับพ่อ เห็นไหม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นางตัณหา นางราคะ นางอรดี นี่มันอยู่ตรงนั้น เรากำจัดเข้ามา มันเริ่มเข้ามา เกือบจะถึงจุดสุดยอดของอวิชชาแล้ว นี่มันถึงค้นคว้าได้ยาก การค้นคว้าอันนี้มันถึงเป็นนักรบ ยอดของนักรบจะออกจากวัฏฏะ จะรื้อภพรื้อชาติที่ให้มันตายเกิดอยู่ในวัฏฏะนี้ รื้อภพรื้อชาติของใจที่มันสะสมมา ที่มันมาเกิดในครรภ์มารดา ที่เกิดเป็นกุมาร ที่เกิดเป็นเด็กอยู่ในท้องนั่นน่ะ นั่นก็ภพชาติหนึ่ง แล้วจะมาลบภพชาติที่ว่าเราจะตาย...

...พิจารณาซ้ำๆ เข้าไป เพราะมันเป็นอารมณ์ที่รุนแรงมาก การรื้อภพรื้อชาติข้ามกามนี้เป็นสิ่งที่รุนแรงที่สุด ความที่รุนแรงเพราะอะไร เพราะเป็นเนื้อของจิต จิตมันเสพใจมันเอง จิตมันอยากไง ความอยาก ความข้องของใจ ติดนี่มันติดอยู่แล้ว ความติดที่เป็นเนื้อของจิตเป็นสังโยชน์ที่ควบคุมกันอยู่ มันเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นกาม เป็นโอฆะที่อยู่ที่ใจเลย เพราะใจมันต้องเสพก่อนมันถึงจะออกมาข้างนอกได้ ใจมันคิดก่อนมันถึงมีการเสพกันขึ้นมา พอการเสพกันขึ้นมาอันนี้ เห็นไหม การสร้างภพสร้างชาติ สร้างเด็กสร้างครอบครัว สร้างทุกอย่าง สร้างโลกนี้ขึ้นมาไง นี่รื้อตรงนั้น นี่เป็นมหาสติ มหาปัญญา

สติปัญญานี้มันต้องเป็นมหาสติ มหาปัญญา เพราะมันเป็นสิ่งที่คลุกฝุ่นกันอยู่ในวงใน อยู่ในจอมปลวกนั้น มันไม่ใช่ว่าเราเห็นจอมปลวก ออกมาดูจอมปลวกอีกแล้ว มันเหมือนกับว่าเราส่งเทคโนโลยีเข้าไปในจอมปลวกนั้นไง เราฉีดเชื้อฉีดยาเข้าไปในจอมปลวกนั้นเพื่อจะไปทำลายตัวเหี้ยในจอมปลวกเลย ไม่ต้องออก คอยจังหวะ ให้รอว่าจอมปลวกนี้ออกมา เราเข้าไปทำลายในจอมปลวกนั้น เห็นไหม นี่เราเข้าไปทำลายไอ้ตัวเชื้อนางตัณหาตัวนี้ ตัวตัณหา ตัวราคะ

ตัณหาราคะมันถึงว่า มันเป็นสิ่งที่ว่าข้ามได้ยาก มันเป็นสิ่งที่ว่าทำให้เรานี้เป็นขี้ข้ามันมาตลอด นี่มรรคอริยสัจจัง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางไว้ ที่ประทานไว้ ถ้าไม่มีมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีครูบาอาจารย์มาคอยชี้นี่มันจะเคลิบเคลิ้มหลงใหลกันไปสิ่งนี้อยู่แล้ว แต่นี่เราไม่เคลิบเคลิ้มไม่หลงใหล ไม่เคลิบเคลิ้มและไม่หลงใหล แล้วยังเข้าไปเผชิญหน้าไง

การเผชิญหน้ากามภพซึ่งๆ หน้าไง การเผชิญกาม การเผชิญสิ่งที่มันเป็นไปอยู่ซึ่งๆ หน้านั้น นี่เราถึงเป็นนักรบไง ความรบอย่างนี้ต่างหากมันถึงว่าการจะรื้อภพรื้อชาติจริง การจะรื้อภพรื้อชาติตัวนี้มันถึงว่าเป็นนักรบ ถ้าการรื้อภพรื้อชาติจากข้างนอกนี่ไร้สาระ รื้อไม่ได้ จะไปลบทะเบียนบ้านที่ไหน จะไปลบตระกูลไหนมันก็ลบไปเถอะ มันเป็นกระดาษ การเกิดมาแล้วไม่ได้ลงทะเบียนเป็นคนเถื่อนอีกมหาศาล ที่ว่าไม่มีเข้าบัญชีไว้ในส่วนเกินของโลกเขา

อันนี้มันเกิดขึ้นมาจากเราเอง มันเกิดขึ้นมาจากเราเอง เราก็เป็นเอง แล้วเราจะสืบต่อคนอื่นต่อไป แล้วเราก็ตายไป แล้วก็เกิดมาในวงศ์ตระกูลนั้นก็ได้นะ ทั้งๆ ที่เราสร้างตระกูลไว้แล้วเราตายไป แล้วเราก็มาเกิดเรียงลำดับอยู่ในตระกูลนั้น เห็นไหม ดูว่าไอ้จิตดวงนี้มันโสโครกขนาดนั้น อสุภะอสุภังมันถึงว่าเป็นอสุภะจริงๆ ไง

อสุภะตั้งแต่เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นหนองอยู่ที่เราเห็น...เห็นจากตาในนะ ไม่ใช่เห็นจากความคิด เห็นจากมโนภาพ...ไม่ใช่ เห็นมโนภาพมันก็ให้เห็นไปเถอะ มันรื้อภพรื้อชาติไม่ได้ จากตาในมันถึงตาในตลอด นี้เป็นตาในตลอด ตาของธรรมตลอด ธรรมเห็นจริงตลอด ความเห็นจริงของธรรมสะสมมาตลอด

พิจารณาจิตก็เหมือนกัน พิจารณาจิตก็เป็นจิตตลอด จิตมันเสพมันเองอยู่แล้ว เห็นจิตเห็นการเคลื่อนไป เห็นไหม นึกว่ามันไม่มีไง พอจับได้ ฟันออก จับได้ เห็นไหม ความซึ่งๆ หน้ามันจับกัน มันเห็นกันแว็บเดียว ซึ่งหน้ามันก็ทลายครืนหมดน่ะสิ โลกธาตุนี้ไหวไปหมดเลยนะ เวลามันปล่อยออกจากความเป็นจริง มันจะปล่อยมาเรื่อย มันจะหลงมาตลอด ความหลง ความวิปัสสนามันจะหลง มันจะหมุนรอบหมุนไปแล้วว่าอันนี้ปล่อยแล้ว อันนี้ปล่อยแล้ว เข้าใจไง เพราะมันเป็นความละเอียด ละเอียดจนแบบว่ามันสุดวิสัยของผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ แต่มันทำได้

มันทำได้เพราะว่าอะไร มันหมุนไปเพราะธรรมจักร เพราะภาวนามยปัญญาไง ภาวนามยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงประเสริฐมาก แล้วประเสริฐขึ้นมาจากเป็นภาวนามยปัญญาของผู้ที่ปฏิบัติ ดวงใจของการสร้างธรรมจักรขึ้นมา ธรรมจักรของผู้ที่ปฏิบัตินั้น ดวงใจดวงนี้ภาวนา ธรรมจักรนี้มันเคลื่อนไป เคลื่อนออกมาจนชำระล้างกามภพออก ระเบิดออก แตกออก โลกธาตุนี้ไหวหมดเลยนะ เห็นไหม

เห็นไหม จากผู้ที่ว่าไม่มีวาสนา ไม่มีบารมี จากผู้ที่คลุกคลานมา จากผู้ที่กระเสือกกระสนมา มันหลุดออกไปจากใจผู้ที่ปฏิบัตินั้นไง โลกธาตุนี้ไหวไปหมดเลยนะ เอ้อ! กามนี้ไม่มีในหัวใจดวงนั้นอีกแล้ว กามนี้ไม่มี กามภพไง กามภพ ภพของกามภพไม่มีอีกแล้ว โลกธาตุขาดออกไป โลกธาตุนี้ การมาเกิดอีกไม่มีอีกแล้ว จะเกิดอีกก็เกิดบนพรหมเท่านั้นไง ตั้งแต่สุทธาวาสขึ้นไป เห็นไหม นี่มันก็ยังมีเป้าหมายอยู่ นี่ทำลายออกไป นี่คือผลของผู้ปฏิบัติ ผลของเราพระสงฆ์ไง

พระสงฆ์จากภายนอก จากได้จตุตถกรรมขึ้นมาเป็นพระสงฆ์ ตอนนี้ใจก็เป็นพระ กายก็เป็นพระ แต่มันยังมีส่วนลึกซึ้งอยู่อีกอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งคือว่าตัวเรือนยอดของอวิชชาไง ปล่อยออกไปขนาดไหน ว่าเราเป็นพระสงฆ์ขึ้นมาแล้วน่ะ เป็นพระสงฆ์เพราะว่ามันพ้นจากกามนี้ มันเป็นความประเสริฐ ใจมันมีความเป็นอยู่ จะอิ่มบุญอยู่ตลอดเวลาไง จิตนี้อิ่มเอิบไปด้วยบุญด้วยกุศลนะ จิตนี้มันพ้นจากเป็นขี้ข้าไง เป็นขี้ข้าไอ้เรื่องใหญ่เรื่องโตของโลกเขา มันถึงว่าเป็นพรหมจรรย์แท้ไง เป็นพรหมจรรย์เพราะว่ามันเป็นพรหม พรหมจรรย์กับพรหมนี้มันเข้าด้วยกันไง นี่ถ้าดับตรงนี้ เชื้อไขไม่มี มันดับทั้งข้างนอก ดับทั้งข้างในนะ

จากการลังเลสงสัยว่านรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่านี่ เพราะขันธ์อันนี้หลุดออกไป ขันธ์ของใจ ใจที่เป็นขันธ์ไง เป็นเวทนา เป็นรูป เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ นี่ขันธ์เหล่านี้มันเป็นกามทั้งหมด มันหลุดออกไป ขันธ์ เห็นไหม ความจะมีกามก็ต้องมีสัญญาก่อน สัญญาความคิดที่มันละเอียดอยู่ในหัวใจ แล้วก็คิดออกมา มันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากชอบ ความไม่ชอบ ความเห็นสวยเห็นงามนั่นน่ะ มันขาดออกไปหมด สิ่งนี้ขาดออกไปคือเหตุไง เหตุจะเกิดบนสวรรค์บนอะไรขาดออกไปหมดเพราะมันไม่มี สิ่งที่ว่าเป็นทิพย์หลุดออกหมด มันเป็นพรหมอยู่อย่างเดียว เป็นผัสสะอย่างเดียวแล้ว

การผัสสะอย่างเดียวของใจ ใจที่ผัสสะธรรมดา ผัสสะคือว่ากระทบตัวมันเองอยู่ในใจนั่นน่ะ อันนั้นน่ะเป็นสิ่งที่หายากที่สุด การจะเข้าหาถึงการจะรื้อภพรื้อชาตินี่ ไอ้ตัวนี้มันเป็นตัวภพ เป็นพรหมจรรย์ เป็นภพ เป็นที่อยู่ เป็นที่ตั้งพื้นฐาน นี่คือภวาสวะ นี้คืออวิชชาสวะ นี้คือกิเลสสวะไง ก็เหมือนกับว่าพลังงานทั้งหมดเกิดขึ้นจากต้นของพลังงานอันนี้ไง

พลังงานทั้งหมดของในโลกนี้เกิดขึ้นมาจากดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์สร้างพลังงานขึ้นมา โลกทั้งโลกมีพลังงาน มีแรงดึงดูดทั้งหมดอยู่ที่ดวงอาทิตย์นั้นไง ไอ้ตัวภพตัวนี้ก็เหมือนกัน พลังงานของดวงอาทิตย์นี่ไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปสำรวจดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันมีพลังงานมาก มันร้อนมาก จะใช้สิ่งใดเข้าไปมันจะโดนเผาผลาญจนละลายหมด

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเป็นจุดของอวิชชานี่ สิ่งใดจะเข้าไปหามัน เพราะตัวมันเองเกิดขึ้นจากความคิดของมันเอง เกิดขึ้นทั้งหมดเลย มันต้องเกิดขึ้นคือว่ามันเป็นกองบัญชาการใหญ่ มันเป็นจุดศูนย์กลางของการเป็นภพเป็นชาติไง การเป็นมนุษย์ การเป็นเทวดา การเป็นพรหม ก็เริ่มต้นจากตรงนี้ไง แต่เราทำลายจากกามทั้งหมด เห็นไหม ทำลายเทวดา ทำลายอบายขึ้นมาก่อน ทำลายอบาย ทำลายตั้งแต่กามภพทั้งหมด ตัวมันเป็นพรหมจรรย์ นี่การจะวิ่งเข้ามาหา การจะย้อนกลับมา สัมมาสมาธิมันเป็นธรรมชาติของมันเลยนะ

ความเวิ้งว้างไง ถ้าผู้ที่ไม่พบครูบาอาจารย์ ไม่มีวาสนา ก็ว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่สิ้นสุดของการชำระภพชำระชาติ เพราะมันว่างตลอด เห็นไหม ความว่างนี้เป็นพื้นฐาน มันว่างโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้วด้วย “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” นี่มันเป็นเดิมแท้เลย จิตเดิมแท้ที่มีกิเลสอยู่ล้วนๆ เลย มีกามสวะ ภวาสวะ มีอวิชชาสวะอยู่ของมันเอง เป็นอันเดียวกัน แต่นี้พอแบ่งถึง ๓ ก็ดูว่ามันน่าจะจับต้องได้ง่าย มันจับต้องไม่ง่ายหรอก มันจับต้องไม่ได้เลย เพราะตัวมันเองมันส่งพลังงานมาทั้งหมด นี่จะจับได้อย่างไร ทุกคนถึงได้ต้องมาคาอยู่ตรงนี้ไง เห็นไหม คาใจ

ใจคาใจ ใจเป็นขื่อคาขวางมันไว้ นี่ถึงว่าภาวนามยปัญญานี่ มรรคอริยสัจจัง มรรคที่ ๗ สำคัญที่สุด อรหัตตมรรค อรหัตตผล...อรหัตตมรรคนี้ ความจะสร้างขึ้นอรหัตตมรรคได้ มันไม่สร้างเพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นความว่างอยู่แล้ว มันเป็นความว่าง มันไม่มีกามไม่มีอะไรมันก็ว่าว่างอยู่แล้ว มันถึงไม่สร้างตัวนี้ขึ้นมา

จนกว่าความเข้าใจ เหตุที่จะสร้างขึ้นมา ต้องให้เห็นว่า เห็นโทษของมันไง เห็นโทษของความไม่เป็นอิสระแท้ มันยังเศร้าหมอง ยังอุ่นอยู่ ความเศร้าหมองเหมือนแกลบไง เหมือนกับไฟสุมแกลบ ไฟสุมขอน ขอนนั้นยังไหม้อยู่ เพราะว่าขอนนั้นยังไหม้อยู่ ไฟไหม้ขอน ถึงมันจะเป็นไฟเย็น เห็นไหม เขาเรียกไฟเย็นๆ ที่ใส่เท้ากันนั่นน่ะ จุดไฟเย็น มันร้อนขนาดไหน ไฟเย็น

อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อยังมีกิเลสสวะอยู่ มันจะว่างขนาดไหนมันก็คือไฟเย็น มันสุมขอนอยู่นั่นไง ความสุมขอน ความเฉาของมัน ความสว่างไสว ความว่างคู่กับความไม่ว่าง ความว่างที่ต้องทรงตัวไว้ กับความว่างโดยธรรมชาติต่างกัน อันนี้ก็เป็นความว่าง แต่ต้องรักษา ความว่างที่ความว่างโดยธรรมชาติของมันนี่ มันว่างอยู่ได้เพราะมันมีกาม แต่มันต้องรักษาไว้นี่ รักษาไว้เพราะว่าไฟสุมขอน ต้องรักษาพลังงานไว้ กลัวมันจะดับ กลัวมันจะไม่เป็นความว่างจริง

นั่นน่ะ ถึงว่า เกิดมรรคอริยสัจจังขึ้นมานี่หมุนเข้าไป ถ้ามันเข้าใจมันถึงจะเกิดมรรคได้ ถ้าไม่เข้าใจ มรรคมันไม่เกิด มันคิดว่าเป็นความว่างทั้งหมด มันคิดว่าตรงนี้ไม่มีเชื้อ มันคิดว่าตัวมันเองสะอาด มันคิดว่ามันจะไม่ตายไง มันคิดว่ามันจะไม่เกิดไม่ตายเพราะมันชำระภพชำระชาติแล้ว แต่ถึงที่สุดถ้ามันตายไป เห็นไหม เชื้อที่อยู่นั้นต้องไปอยู่ที่ตั้งแต่สุทธาวาสขึ้นไป มันก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐเพราะมันจะสุกไปข้างหน้า แต่ความประเสริฐนั้นมันช้า มันเนิ่นนาน เป็นพรหมนี่มันเป็นตั้งกี่หมื่นปีนั่นน่ะ กับถ้าสิ้นเดี๋ยวนั้นน่ะ

การที่ว่ารู้จริง หรือความละเอียดรอบคอบของใจนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ความละเอียดรอบคอบของใจถึงได้หมุนกลับมาหาไง ความว่างจับความว่าง ธาตุขันธ์จับธาตุขันธ์ สสารจับสสารได้น่ะ สิ่งที่เป็นธาตุขันธ์ที่เป็นวัตถุที่ไม่มีชีวิต มันสามารถจับตัวมันเองได้ สสารที่ว่ามันเป็นอวิชชาอยู่นี้มันเหมือนกับธาตุอันหนึ่ง แต่เป็นธาตุอวิชชา ธาตุไม่รู้ เห็นไหม

ความไม่รู้เหมือนกับก้อนหินก้อนหนึ่ง ก้อนหินนี่มันไม่รู้ตัวมันเอง แต่มันเป็นก้อนหิน เพราะคนอื่นว่ามันเป็นก้อนหิน ไอ้ตัวจิต ตัวพรหมจรรย์นี้ก็เหมือนกัน มันว่ามันเป็นพรหมจรรย์อยู่ มันไม่รู้ตัวมันเอง แต่มันเป็นพรหมจรรย์อยู่ มันเป็นสสารอันหนึ่ง มันเป็นธาตุรู้อันหนึ่ง ธาตุ ๖ ตัวนี้คือตัวต้น ตัวอวิชชาไง นี่ถ้าจับต้องได้ มันมหัศจรรย์เหนือมหัศจรรย์จริงๆ นะ จับต้องได้นี่ขนพอง โอ้โฮ! มันเป็นสิ่งที่ว่าเซ่อ เป็นสิ่งที่ว่าเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมมันอยู่ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ อยู่ในธรรม อยู่ในที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขียนบัญญัติเอาไว้หมดแล้ว บัญญัติเอาไว้แล้วว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันไม่รู้ตัวมันเอง มันรู้แต่อย่างอื่น มันเป็นสสารที่ส่งออกไป นี่คือธาตุรู้ ธาตุรู้คือตัวอวิชชา

ธาตุรู้ เห็นไหม นี่ธาตุรู้ถึงเป็นกิเลสไง ธาตุรู้ตัวรู้นี่ตัวสำคัญที่สุดเลย รู้ตัวมันเอง สิ่งที่ปฏิบัติขึ้นมา ไอ้รู้หยาบๆ ไอ้คุยกัน ไอ้สื่อสารกันนั่นน่ะมันอาศัยขันธ์ อาศัยอายตนะ โอ๋ย! มันหยาบมาก ถึงว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นวงรอบที่มันรู้กันเองในกลุ่มของมัน ในกลุ่มของพรหมจรรย์นั้น ในกลุ่มของอวิชชานั้นน่ะ ในกลุ่มของปฏิจจสมุปบาทนั้นเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้กันอยู่นั่น มันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าการที่มันรู้สื่อจากอายตนะ สื่อจากสัญญา สื่อจากสังขารปรุงแต่ง...หยาบมาก

ความหยาบๆ นั้นยังฆ่าขึ้นมาเป็นชั้นๆ ตอนๆ ขึ้นมา ความหยาบๆ อย่างนั้นเรายังต้องประหัตประหารขึ้นมา เรายังรื้อภพรื้อชาติ รื้อถอนจากใจเราออกมา ทำไมไอ้ต้นขั้วของความหยาบอันนี้ ต้นขั้วของอวิชชาตัวนี้ทำไมจะถอนไม่ได้ มันจะเหนือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้อย่างไร

ถ้ามันเหนือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมตรัสรู้ได้มาก่อน ทำไมพระอัสสชิตามมา ปัญจวัคคีย์ตามมา ทำไมครูบาอาจารย์ตามมาๆ ได้ มันต้องเป็นสิ่งที่คู่ควรกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ประเสริฐ ประเสริฐมาก ประเสริฐจนสามารถเข้าไปจับต้อง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัวนี้ได้ จับต้องได้ถึงได้หมุนมรรคที่ ๗ ขึ้นไปไง

มรรคที่ ๗ หมุนเคลื่อนออกไปแล้ว เคลื่อนออกไป เคลื่อนออกไป ถ้าจับต้องได้แล้วเคลื่อนออกไป เฝ้ามองมันอยู่ การเกิดการดับ การเกิดและการดับของอวิชชา การเกิดการดับของภวาสวะ ภพที่ใจ ภพของใจไง ภพที่ใจมันเกิด มันมีภพอยู่ มันถึงจะส่งออกมาเป็นความรู้ได้ อวิชชานี่มันไม่รู้ตัวมันเองเลย มันส่งกระแสเป็นคลื่นออกมาได้ ตัวอวิชชาตัวนี้ เห็นไหม ตัวอวิชชา ตัวภวาสวะไง ตัวอนุสัย ตัวภวาสวะ นี่อาสวะ ภพ มีภพ มีอาสวะ มีอวิชชา แล้วแยกออกมา

เห็นไหมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ปัญญาขนาดไหน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เลอเลิศขนาดไหน จับต้องได้ พอจับต้องได้ ทำลายที่การจับต้องได้ จากของหยาบๆ ขึ้นมามันยังตื่นเต้นขนพองสยองเกล้า แต่จับต้องได้อันนี้ สสารจับสสารนะ ธาตุรู้จับธาตุรู้นะ จิตจับจิตนี่ มันไม่มีอาการที่จะตื่นเต้นอะไรทั้งสิ้นอีกแล้ว เพราะว่ามันไม่มีการเคลื่อนไหวเลย จับแบบจับคั้น จับให้มั่นคั้นให้ตาย มือจับมือ เห็นไหม มันจะมีอาการรู้สึกกันได้อย่างไร อะไรส่งต่อมัน มันถึงได้เซ่อไง มันถึงได้ว่าเบลอไปเลยน่ะความเห็นอันนี้ เห็นแบบว่าไม่มีใครเคยเห็น ไม่มี ไม่มีหรอก

แม้แต่พระอนาคามียังไม่เห็นอันนี้เลย พระอนาคามีไม่เคยเห็นตรงนี้ ถึงได้เป็นพระอนาคามีอยู่ ถ้าใครเห็นตรงนี้นี่ พระอนาคามีเห็นตรงนี้ได้ พระอนาคามีถึงจะเริ่มต้นเดินอรหัตตมรรค แล้วผู้ที่ปฏิบัติ แล้วปุถุชนอย่างผู้ที่ปฏิบัติมันจะเห็นตรงนั้นได้อย่างไร แล้วถ้าใครไปเห็นตรงนั้น ทำไมจะไม่มั่นใจ ทำไมจะไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่ามันจะได้รับธรรม รับวิธีการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาชำระกิเลส แล้วมันศาสนาไหนบ้างมันสอนอย่างนี้ มีครูบาอาจารย์ที่ไหนเขาจะสอนอย่างนั้น มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อนนะ

หลวงปู่มั่นเป็นผู้ริเริ่มมาในปัจจุบันของเราไง ครูบาอาจารย์ หลวงปู่แหวน หลวงปู่พรหม ตามกันไปๆ ตามกันไปได้ขนาดนี้ทำไมมันถึงจะไม่ประเสริฐ มันถึงประเสริฐ มันถึงทำให้พวกเราชาวพุทธยอมละชีวิตออกมาประพฤติพรหมจรรย์ ออกมาบวชเป็นพระสงฆ์ แล้วจะย้อนกลับขึ้นไปให้ได้เป็นพระในใจไง เป็นพระสงฆ์ในหัวใจ เป็นพระสงฆ์ทั้งหัวใจ เป็นพระสงฆ์ทั้งรูปแบบสมมุติว่าเป็นสงฆ์โดยจตุตถกรรม เห็นไหม สงฆ์สมมุติกับสงฆ์จริงไง

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่ที่ใจ รวมเป็นเนื้อเดียวกัน รวมเป็นเนื้อเดียวกันเพราะได้รับวิปัสสนาญาณอันนั้น มรรคญาณเกิดไง มันถึงเป็นเนื้อเดียวกับญาณอันนั้น มรรคญาณ จกฺขํ อุทปาทิ ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิ

มรรคญาณเกิด ปัญญาเกิด จกฺขุํ อุทปาทิ ความเห็น ตาธรรมเห็นก่อน เห็นไหม ตาธรรมเห็นก่อน ปญฺญา อุทปาทิ ปัญญาเกิด ปัญญาทำไมเกิดก่อนล่ะ ปัญญาเกิด ญาณเกิด วิชชาเกิด ความว่าง ว่างจริงเกิดไง ความว่างจริงเกิดอันนั้นน่ะมันว่างจริงโดยธรรมชาติ ไม่ต้องให้ใครบอกว่าเป็นความว่างนะ มันว่างในตัวมันเองแล้วมันไม่พูดด้วย ถ้ามันยังพูดอยู่ว่ามันเป็นความว่าง อันนั้นมันพูด เห็นไหม ใครเป็นคนบอกว่าเป็นความว่าง ใครเป็นคนรับรู้สิ่งต่างๆ ขึ้นมา ขนาดเจอตัวมันยังสื่อกันไม่ได้

ความสื่อไม่ได้ การเจอ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันสื่อไม่ได้เพราะอวิชชาเจออวิชชาเอง คือเราเจอเราไง เราทุจริต เราโกงโดยเราไม่รู้ตัว แล้วเราไปจับได้ว่า อ้อ! อันนี้เราโกง เราจะไปบอกใคร แต่ทางโลกสมมุติเขาบอกได้ใช่ไหม เราไม่รู้ตัวเลย เราเอาเงินเขามาแล้วเราลืม ซ่อนเงินไว้ แล้วเราไปทำบัญชีอื่น เวลาเรามารู้เข้าเราก็ไปบอกเขาว่าเรานี่ทำบัญชีผิด เราโกงเงินเราเอง อันนี้ก็เหมือนกัน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันถึงไม่ได้สามารถสื่อออกมาถึงความสุข ความตื่นเต้นอันใดไง มันถึงเซ่อไง

ความเซ่อของการเจออวิชชา คือเจ้าตัวโกงนั้นเห็นตัวโกงของมันเอง แล้วก็เดินอริยมรรค เดินอรหัตตมรรคอยู่ตรงนั้นไง อรหัตตมรรค อรหัตตผลเกิดขึ้นไง มันขาดพั้บออกไป มันพลิกฟ้าคว่ำดินออกไป อรหัตตมรรคเกิดขึ้น อรหัตตมรรคเต็มตัวอิ่มตัวจนมรรคญาณเกิดขึ้น มรรคญาณเกิดขึ้นทำลายอวิชชาออกไป

ทำลายไอ้ที่ว่าโกงๆ ไอ้ที่ว่าความทุจริต นั่นคือความรื้อภพรื้อชาติตามความเป็นจริง สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง รื้อภพรื้อชาติ ถอนภพถอนชาติออกจากใจ ถอนออกหมด ออกจากใจหมดเลย จากมหาสติ มหาปัญญา ถอนใจออก ใจนี้เป็นอิสระ สมควร อาสเวหิ อาสวะนี้สิ้นไป จิตฺตานิ จิตดวงนี้เป็นผู้พ้นออกไป อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ วิมุตติออกไป สุขในวิมุตตินั้น

เห็นไหมว่า พระแท้จริงนั่นน่ะ พระในหัวใจต้องเป็นพระอย่างนั้นสิ นั่นน่ะคือพระที่แท้จริงในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้ ธรรมและวินัย อยู่ในขอบเขตของธรรมและวินัย เราอยู่ในขอบเขตของธรรมและวินัยแล้วสร้างตัวขึ้นมา จากไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ภพภูมิของใจสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปจนพ้นออกไป นั่นน่ะคือพระแท้

เราเป็นพระโดยสมมุติ เราก็เป็นพระโดยสมมุติกัน เราก็ตั้งเป้าหมายอยากให้เป็นพระแท้ในหัวใจขึ้นมาพร้อมกัน เราต้องตั้งเป้าหมายให้เราเป็นพระแท้ขึ้นมาด้วย พระจากข้างนอกเป็นพระจากข้างนอก พระจากข้างใน ใจนี้เป็นพระไปด้วย เห็นไหม นี่เราจะรื้อภพรื้อชาติพร้อมกันไป มันเป็นขึ้นมาพร้อมกับการรื้อภพรื้อชาติ พร้อมกันไปหมด พร้อมเป็นอันเดียวกัน หลุดพ้นออกไปจากตรงนั้นเป็นวิมุตติสุข

วิมุตติตามความเป็นจริง วิมุตติอันนี้ตามความเป็นจริง ใจที่ปฏิบัติ ใจของผู้ที่สัมผัสกับวิมุตติดวงนั้น จับวิมุตติอันนั้น เป็นเอโก ธมฺโม อันเดียวกันนั้น ใจเป็นเอก ใจเป็นธรรม จากว่าเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ ธรรมะนี้ก็เป็นธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติแบบนามธรรม ธรรมชาติซ้อนธรรมชาติไง ธรรมชาติที่เป็นวัตถุ ธรรมชาติที่เป็นสิ่งที่เป็นอวกาศๆ เป็นสิ่งต่างๆ เป็นสสารต่างๆ นี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นธรรมแบบนามธรรมไง คือว่าธรรมซ้อนธรรมอีกชั้นหนึ่งไง ธรรมซ้อนธรรมชาติ รู้จักทฤษฎีกฎของธรรมชาติทั้งหมด แล้วปล่อยธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง รู้จักทฤษฎี เห็นไหม ธรรมชาติคือการเวียนการเปลี่ยนแปลงของมันออกไปจากวัตถุที่เห็นเคลื่อนออกไป แล้วรู้ทฤษฎี ทฤษฎีอันนั้น ทฤษฎีที่ว่าเรารู้ เราจะสร้างสถานการณ์อย่างไรก็ได้ให้ขึ้นมาให้เป็นเหตุการณ์อย่างนั้น นั่นคือทฤษฎี นี่สุตมยปัญญา ธรรมชาติทั้งหมดเลย

สุตมยปัญญา ปัญญาที่โลกเขาเรียนกันมา ทฤษฎีนั้นคือจินตมยปัญญา จิตมยปัญญาที่ว่ามันเป็นกฎทฤษฎีนั้น นามธรรมที่รู้จักทฤษฎีนั้น ความรู้ไม่ใช่ใส่บ่าแบกหาม มันเป็นความรู้ของจิตดวงนั้น อันนี้มันยังเป็นสังขาร ที่ว่าเป็นนามธรรม เป็นสังขาร แต่ธรรมดวงนั้นเหนือนี้อีกน่ะ เหนือสิ่งรู้ที่รู้ทฤษฎีธรรมชาติ รู้ธรรมชาติทั้งหมด เห็นไหม ถึงว่า รู้ธรรมชาติแล้ววางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง ต้องรู้ทั้งหมด ปล่อยทั้งหมด วางทั้งหมด

ถ้ารู้ปลอม ถ้ารู้แบบแบกไว้ ความรู้หนักอก ความรู้หนักให้เป็นทุกข์ ที่เราเป็นทุกข์ๆ กันอยู่นี่ ความรู้หนักอก กับความรู้ที่ความเป็นจริงอันนี้ ความรู้คือวิชชา มันไม่ใช่อวิชชา มันเป็นวิชชา ถึงว่า ถ้าใจเป็นพระตามความเป็นจริงนี้ มันถึงได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามๆ ประดับในศาสนาไง ประดับในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ถึงว่าศาสนานี้ประเสริฐ ศาสนานี้รุ่งเรือง รุ่งเรืองในการประพฤติปฏิบัติของหมู่สงฆ์เราไง หมู่สงฆ์ควรประพฤติปฏิบัติให้ดวงใจดวงนี้เป็นเพชรเม็ดงามๆ ประดับไว้ในศาสนาไง ในศาสนาที่ว่าเราเชื่อ เราเข้าใจ เราเชื่อแล้วเราศึกษาจนเข้าใจ เข้าใจในธรรมและวินัย ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเรา เราเคารพธรรม เคารพวินัย แล้วเราก็ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมและวินัยให้สมควรแก่เราประพฤติปฏิบัติธรรมและวินัยให้เข้าไปถึงเป็นเพชรเม็ดงามๆ

จากเม็ดงามๆ นี้ จากการก้าวเดินของใจ เห็นไหม ใจปัจจุบันนี้มันไม่ก้าวเดิน มันไม่ก้าวเดิน ไม่ก้าวหน้าออกไป เพราะว่ามรรคผลนี้มันเป็นความจริงอยู่ มรรคผลมีอยู่จริงตามสัจจะ อริยสัจจะจริงอยู่ แต่ในเมื่อใจยังไม่ได้เสพ ยังไม่ได้จับต้อง ใจเรายังไม่ได้เสพสัมพันธ์กับธรรมอันนั้น มันก็เลยคลอนแคลนๆ เห็นไหม ถ้าเรามั่นคง เราเชื่อแล้วเราปักใจเชื่อ ศรัทธาอันนี้ให้เป็นอจลศรัทธา อจลศรัทธาคือความเชื่อจริงไม่คลอนแคลน ตั้งแต่เห็นกายหลุดออกไปแล้วก็ก้าวเดินขึ้นไป

ทุกข์มากนะ ความประพฤติปฏิบัตินี้ทุกข์มาก มันทุ่มทั้งชีวิต ทุ่มทั้งความเห็นทั้งหมด ความเห็นจากภายในนี้ไม่คิดอะไรแยกมาข้างนอกเลย การเดินจงกรม การวิปัสสนา เหมือนน้ำป่า เหมือนความเห็น ความคิดความเห็นจากมหาสติ มหาปัญญา มันจะรุนแรง รุนแรงเพราะว่ามันเกิดกับใจจากภายใน เกิดเดี๋ยวนั้นๆ แล้วเราบริหารความคิดอันนี้ไม่เป็น มันจะไหลไปโดยธรรมชาติของมัน น้ำป่านี้จะไหลรุนแรงมาก ปัญญานี้มันจะหัวปักหัวปำ การประพฤติปฏิบัติมันถึงได้ดำเนินก้าวหน้า การดำเนินก้าวหน้า ความคิดดำเนินก้าวหน้าไปเพราะว่าธรรมจักรมันหมุน พอหมุนขึ้นไป นี่ทำให้ผู้ปฏิบัติให้พระสงฆ์เรามีกำลังใจทำ มันทำไปทำเหมือนกับเคลื่อนไปเลย เหมือนกับความเห็นเรานี่เป็นแรงโน้มถ่วงอันหนึ่งในโลกนี้ แล้วมันโน้มถ่วงกันไป ดึงกันไปๆ นี่ภาวนาติดแล้วมันจะหมุนไปอย่างนั้น ดึงไปหมุนไป หมุนไปจนแบบว่าเป็นอุทธัจจะ

รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ความหมุนโน้มถ่วงความหมุนกันไป แต่อันนั้นให้เป็นความจริงเถิด จะรู้ว่าสังโยชน์มันเป็นอย่างไร สังโยชน์แต่ละตัวนี้มันน่าขยะแขยงอย่างไร นี่ทั้งๆ ที่ว่าเราข้างล่างนี่เป็นคุณ คิดว่าเราเป็นคุณ ความเป็นคุณ เป็นคุณ ถึงว่าต้องมีมรรคหยาบขึ้นไปก่อน จะไปติเตียนความละเอียดลอออันนั้นไม่ได้ ต้องก้าวจากมรรคหยาบขึ้นไป มรรคหยาบๆ ก้าวเดินขึ้นไป แล้วพอถึงมรรคละเอียดแล้ว มันรู้มรรคละเอียด แล้วทิ้งมรรคละเอียดไปเรื่อยๆ จากมรรคหยาบ รู้มรรคหยาบ รู้ตามมันปล่อยมรรคหยาบไป ขึ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ เห็นไหม

ถึงว่า บุคคล ๘ จำพวก เกิดจากพระสงฆ์ ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลูกศิษย์ตถาคตไง พุทธชิโนรส ลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก้าวเดินตามขึ้นไป จากลูกไง จากลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมั่นในธรรมที่มีอยู่จริง ที่เป็นนามธรรม เป็นนามธรรมที่เข้าไปชำระกำจัดทุกข์ได้จริง ทุกข์ในหัวใจไม่มีเลย

จากที่ว่าทุกข์นะ ทุกข์มาตั้งแต่กำเนิด ทุกข์มาตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจบวชเป็นพระสงฆ์ บวชเป็นพระสงฆ์แล้วคิดว่ามันจะพ้นจากทุกข์เลย มันทำไมทุกข์มากกว่าเก่าอีก ๒ เท่า ๓ เท่า...ทุกข์ ทุกข์ด้วยวิธีการ ทุกข์ด้วยวิธีการสัจจะความจริงที่เข้าไปจะไปเอาความจริงอันนี้ไง ถ้าจะเข้าไปเอาความจริงอันนี้ จากหัวใจที่เป็นเลือดเป็นเนื้อ ที่มันเป็นน้ำเป็นหัวใจนี่ ห้องสูบฉีดเลือดนี่ ทำให้กลายเป็นเพชรทั้งอันขึ้นมา ทำไมมันถึงจะไม่ต้องทุกข์ล่ะ แล้วพอทุกข์อันนี้มันไปชำระในการเกิดและการตาย มันชำระภพชำระชาติทั้งหมดเลย ชำระภพชำระชาติของผู้ที่ปฏิบัติทั้งหมด ทำไมถึงต้องไม่ใช้วิธีการหรือความเข้ม ความอุตสาหะที่ว่าทุ่มทั้งชีวิต ทุ่มทั้งชีวิต เหลือจากความตายมาแล้วถึงจะได้ว่าเข้าถึงธรรมดวงนั้นไง

แล้วมันก็ตายจริงๆ นะ เพราะกิเลสมันตายไปต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่หลานกิเลสตายมาเป็นชั้นๆ นะ หลานกิเลส ลูกของกิเลส จนอวิชชาก็ต้องหลุดออกไป อวิชชาหลุดออกไปจากใจทั้งหมดเลย จากอวิชชาเป็นอาสวะทั้ง ๓ หลุดออกไป จนว่างจนหมดออกไปจากอวิชชาทั้งหมดเลย นี่พอว่างออกไปจากอวิชชาแล้วนี่สิ นี่พอหลุดออกไป ถึงว่าสิ่งที่เกาะเกี่ยวอยู่ในใจ เกาะเกี่ยวอยู่ในใจ จนที่ว่ามันออกมาพร้อมกัน จากออกมาเป็นขันธ์ ออกจากนั้นมาเจตสิก เป็นขันธ์ ถึงบอกว่า เป็นมโนสัญเจตนาหาร เจตนากับมโน อันนั้นมันเหนือมโนเข้าไป

มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ มโนคือหัวใจยังต้องเบื่อหน่าย ความที่เป็นมโนยังต้องเบื่อหน่าย ความสัมผัสนี่ยังต้องเบื่อหน่าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะชำระ ก่อนที่ประพฤติปฏิบัติมา ถึงได้เยาะเย้ยมารไง “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” เธอเกิดจากความดำริ นี่ความดำริของเรา มโน มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ นี่มโน เห็นไหม เป็นมโนก่อนมันมีอวิชชาอยู่ ความสัมผัสอันนั้นน่ะ นี่กิเลสมันเกิดพร้อมกันไง พอความคิดจะเริ่มขยับปั๊บ กิเลสมันออกมาด้วย กิเลสออกมาด้วย ความเคยใจออกมาด้วย นิสัยสันดานของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน การแสดงออกมาถึงไม่เหมือนกัน

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เดี๋ยวนี้เราเห็นแล้ว มารเอย เธอจะเกิดอีกไม่ได้เลย”

ความสัมผัสของมโนกับความสัมผัสของขันธ์ หรือความสัมผัสของความรู้สึกนี่จะไม่มีอีกเลย พระพุทธเจ้ารู้ทันหมด พระพุทธเจ้ารู้ทันหมด ผู้ที่ถึงวิมุตติจะรู้ทันหมด ความคิดที่เศร้าหมอง ความคิดที่อ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ ความคิดแบบไฟสุมขอนในหัวใจถึงไม่มีไง มันขาดออกไป ความขาดออกไปนั่นน่ะภพชาติไม่มี อวิชชาไม่มี มีวิชชาล้วนๆ วิชชานี้ไม่พาเกิดในอะไรอีกเลย วิชชาไม่เคยพาใครไปเกิดอีกที่ไหน วิชชามันรู้เท่าตัวมันเอง ความรู้เท่าของวิชชาอันนั้นน่ะ เพราะวิชชารู้เท่าหมดก็ดับหมด นี่ไงนิพพาน ๑ ไง

อรหัตตมรรค อรหัตตผล ทำไมถึงมีนิพพาน ๑ ล่ะ

เพราะนิพพาน ๑ มันอิ่มตัวมันเอง มันไม่เคลื่อนไหวไปไหนอีกแล้ว เห็นไหม นี่ถึงว่าอรหัตตผล กับนิพพาน ถึงได้ขยับอีกชั้นหนึ่ง แต่มันก็อันเดียวกันก็ได้ ถ้าจะพูดว่าอันเดียวกันเพราะว่ามันเป็นธรรมชาติที่ต้องเป็นไปอันนั้นอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้ายังบัญญัติอีกไว้ เห็นไหม อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๘ จำพวก นิพพานเป็นอีกบุคคลที่ ๙ นี่พ้นออกไปไง ถึงได้กลับมาเยาะเย้ยความสัมผัสของมโน มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ นี่ไง มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ ตัวมันเอง ตัวมันเองคือตัวอวิชชา แล้วก็สัมผัสกันๆ แล้วพอพระพุทธเจ้ารู้เท่า ถึงได้เย้ยมารไง การเย้ยมารอันนี้ถึงว่ามันซึ้งใจผู้ปฏิบัติมาก

“มารเอย เธอเกิดอีกไม่ได้แล้ว” เกิดจากใจของผู้ที่ปฏิบัติปฏิบัติถึงตรงนี้ นี่ไม่ได้อีกแล้ว นี่คืออวิชชาสิ้นไปโดยความเป็นจริง เห็นไหม พอสิ้นไปชาติภพก็ไม่มีจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นหลุดออกไปจากวัฏวน กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่มี การท่องเที่ยวของใจดวงนั้นถือเป็นอันว่ายุติ ยุติแบบอิ่มเอมในตัวเอง ในวิมุตติสุข กับพวกเราที่หมุนเวียนว่ายตายเกิดมา

นี่เกิดมาในภพนี้ถึงว่า เรามีชีวิตอยู่นี้ก็เหมือนนั่งอยู่ในครรภ์ของมารดา เขาอยู่ในครรภ์ของมารดานี่ ๙ เดือนเจ็บปวดแสบร้อน นี่ก็เหมือนกัน อยู่ในภพของมนุษย์ไง การที่เขาเอาศพที่ตายนั้นไปเผาที่เชิงตะกอน นั่นน่ะสิ้นสุดของการคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา นี่วัฏวน การจุติ การตาย การเกิด เป็นโอปปาติกะตายแล้วเกิดทันทีบนสวรรค์ การเกิดในครรภ์ของมารดา การเกิดในไข่ นี่มันจะไม่เกิดอีกจากใจดวงนี้ เพราะมันเป็นวิชชา มันไม่ไปหรอก แต่ถ้าอวิชชายังมีอยู่ มันยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนั้น

การรื้อชาติ รื้อภพรื้อชาติ การถอนภพถอนชาติ มันถอนด้วยสัจจะความจริง มันถอนด้วยมรรคอริยสัจจัง ถอนด้วยมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอนจริงนะ ถอนตามความเป็นจริง ถอนออกหมด รื้อภพรื้อชาติ ทะเบียนบ้านจะมีอีกกี่ร้อยทะเบียนบ้านจดไว้ นั่นเรื่องของมัน นั่นเรื่องของสมมุติ เรื่องของวิธีการการปกครองของเขา แต่หัวใจที่พ้นแล้ว พ้นออกไปเลย เป็นอิสระในใจดวงนั้น เป็นเอโก ธมฺโม เป็นหนึ่ง เป็นผู้รู้เท่าทุกๆ อย่าง รู้แจ้งในโลกธาตุหมด รู้แจ้งในโลกของตัวเอง รู้แจ้งหมดแล้วมันจะหลงอะไร

นี่ไง เพราะความไม่หลง มันถึงไม่มีอวิชชา ความที่ไม่รู้แจ้งมันถึงจะหลง ถ้ารู้แจ้งแล้วมันจะหลงตรงไหน รู้แจ้งตัวเอง รู้แจ้งความคิด รู้แจ้งจนแบบว่า ดำริอีกไม่ได้แล้ว ดำริออกมาเป็นความคิดอีกไม่ได้แล้ว ถึงได้ออกมาถึงว่าเป็นมโนสัญเจตนาหาร (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)