เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ก.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธ เราคิดว่าเราเกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วเราก็มั่นใจว่าพุทธศาสนาเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ใช่! เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ดูทางโลกนะ อย่างเวลาเขาเล่นแชร์กัน แชร์ลูกโซ่มันมีความน่าเชื่อถือไหม?

แมดด็อกซ์นี่ดูสิกี่หมื่นล้าน แล้วคนที่ไปเล่นแชร์ของเขานี่นะ ธนาคารในญี่ปุ่น ธนาคารในยุโรปทั้งนั้นเลย ลงไปเล่นแชร์กับเขา แล้วถ้าเศรษฐกิจมันไม่ทรุด เรื่องมันยังไม่แดงขึ้นมา แล้วแมดด็อกซ์มีคนเตือนมาตลอดนะ ทางวิชาการก็บอกมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่คนเห็นผลประโยชน์ของมัน เห็นผลการตอบแทน เห็นผลที่ตอบแทนขึ้นมา เราลงทุนกับเขาไปมหาศาลเลย แล้วก็มีคนเตือนมาตลอด แต่เราก็คิดว่าผลประโยชน์ๆ ใช่ไหม? นั้นแชร์ลูกโซ่ทางโลกนะ

เดี๋ยวนี้มันมีแชร์ลูกโซ่ทางธรรม แชร์ลูกโซ่นะเป็นแชร์เลย เราไปลงทุนกัน ลงทุนแล้วถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงไหม? มันเป็นความจริงไปไม่ได้ แล้วก็มีคนเตือนอยู่นะ แต่เพราะอะไร? เพราะความโลภ ความโลภ เห็นไหม นี่ลัดสั้นแล้วมันทำได้ง่าย ทำได้ง่าย แต่ผลตอบแทนมันเป็นไปไม่ได้หรอก

ดูทางโลกนะ เวลาทำธุรกิจกันมันมีผลตอบแทนที่มันเป็นไปได้ พอมันมีผลตอบแทนที่มันเป็นไปได้ ทางวิชาการเขาพิสูจน์ได้ทั้งนั้นแหละ แล้วในการประพฤติปฏิบัติเราก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นทางธรรมนะ เวลาผลตอบแทนมามันต้องเป็นความจริง ผลตอบแทนที่เป็นความจริง!

ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม เราจะสอนได้อย่างไร? ทอดธุระเลยนะ แล้วเวลาจะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เช้าต้องเล็งญาณเลย เล็งญาณว่าจิตที่มันพร้อมที่จะรับธรรมะไหม? นี่จิตที่มีวุฒิภาวะที่จะรับธรรมได้ ถ้ารับธรรมะได้นะ ถ้าไม่ไปโปรดคนนี้ คนนี้จะเสียโอกาส ต้องไปเอาคนนี้ก่อน

นี่เขามีโอกาสได้นะ ไม่ใช่โอกาสได้แล้วจะได้ตลอดไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตไป เห็นไหม มันมีทุคตะเข็ญใจ ๒ คน เป็นคนขอทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตไป ผ่านไปแล้วยิ้มเลย พระอานนท์บิณฑบาต พระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะเดินตามไป พอเห็นเท่านั้นแหละ เห็นพระพุทธเจ้ายิ้มมันต้องมีเหตุผล

นี่พอเช้าขึ้นมาพระพุทธเจ้าเล็งญาณ สุดท้ายแล้วออกบิณฑบาต ตอนบ่ายก็สอนญาติโยม พอหัวค่ำเทศน์สอนพระ เวลาเทศน์สอนพระนี่พระอานนท์ถามว่า

“ตอนเช้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มเพราะอะไร?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เห็นไหม ทุคตะเข็ญใจ ๒ คนที่นั่งอยู่ตอนเช้า ที่เขาเป็นขอทานนั้นน่ะ นั่นแหละถ้าเขาได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อนนี้ อย่างน้อยเขาจะต้องได้เป็นพระอนาคามี”

นี่ไง เขามีโอกาสอยู่ แต่ถ้าเมื่อก่อนนี้ได้พบ เมื่อก่อนนี้! แต่ในปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าบิณฑบาตไป ผ่านเขาไปเหมือนกัน ผ่านเขาไป เห็นไหม แต่เขาเป็นทุคตะเข็ญใจเพราะอะไร? เพราะเดิมเขาเป็นเศรษฐี แล้วเขาติดเล่นการพนัน เขาโดนคดโกงจนหมดเนื้อหมดตัว พอหมดเนื้อหมดตัวเป็นทุคตะเข็ญใจมาขอทาน

จิตใจ! จิตใจตอนเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐี จิตใจมันมีความสุขของมัน มันพร้อมที่จะรับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พอเป็นทุคตะเข็ญใจ จิตใจคนเศร้าหมอง จิตใจคนทุกข์ระทมใจ ฟังธรรมะรู้เรื่องไหม? นี่ไงโอกาสของคน เห็นไหม ขณะที่พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่เห็นเวลาต่างกันมันยังไม่ได้ผลเลย แล้วนี่ผลตอบแทน ผู้ที่รับผลตอบแทน คนรับมันมีวุฒิภาวะจะรับไหม?

ในการประพฤติปฏิบัติธรรมของเรานี่จริง ถูกต้องนะ ทาน ศีล ภาวนา.. ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา ผลการกระทำแล้ว ถ้าพูดถึงการประพฤติปฏิบัติ การทำบุญกุศลทั้งหมด ผลของมันคือการภาวนา นี้การภาวนา เห็นไหม การภาวนาต้องให้มันเป็นจริง ผลตอบแทนต้องเป็นความจริง ข้อเท็จจริงอันนั้น ถ้าเป็นข้อเท็จจริงอันนั้นเราจะไม่เสียเวลานะ

นี่เวลาแชร์ทางโลกเขานะ ดูในข่าวสิน่าเห็นใจมาก คนเก็บออมมาทั้งชีวิตเลย ถึงเวลาแล้วไปลงทุนกับเขา พอลงทุนกับเขา เวลาเขาคดโกงไปนี่ ทั้งชีวิตเลยนะ เราสะสมเงินทองมาทั้งชีวิตเลย แล้วเราไปลงทุนกับเขาหมดเนื้อหมดตัวเลย แล้วจะดำรงชีวิตอย่างไร?

อันนี้เราเห็นอย่างนั้นเราก็น่าสังเวชแล้วใช่ไหม? แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นแชร์ทางธรรม เป็นแชร์ธรรมเราก็ไปกับเขา เราก็ลงทุนไปกับเขา แล้วก็ประพฤติปฏิบัติกับเขา ถึงเวลาแล้วนะหมดเนื้อหมดตัวเลย หมดเนื้อหมดตัวแล้วมันยังถอนรากถอนโคนในหัวใจนะ ทำให้เราเสียใจ ทำให้เราจนตรอก นี่ชีวิตทั้งชีวิตนี้หมดไปเลย

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันจะลงทุนลงแรง ดูสิทำธุรกิจการค้า เราลงทุนของเรา มันจะได้ผลตอบแทนตามข้อเท็จจริง ตามเนื้อหาสาระ ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเป็นสมาธิ มันจะเป็นปัญญาก็ให้มันเป็นไปตามความเป็นจริง ให้มันเป็นตามความเป็นจริง แต่นี้ส่วนใหญ่แล้วเราไม่เป็นความจริง เราลังเลสงสัย แล้วเราก็ให้เขาให้ค่ากัน นี่กระแสมันก็ชักนำกันไป มันชักนำกันไปแล้วเราไปตามกระแสนะ แต่พอข้อเท็จจริงนี่ลังเลสงสัยทั้งนั้น

ในหัวใจของเรา.. นี่มือเราสกปรกนะ ถ้าเราไม่ได้ล้างมือเราสะอาด เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามือเราสะอาด จะให้ใครมารับประกันว่ามือเราสะอาด ถ้าเราไม่ได้ล้าง เขาจะรับประกันแล้วมือเราก็สกปรกอยู่วันยังค่ำแหละ เพราะเราไม่ได้ล้างมือของเรา ใครจะประกันไม่ประกันมันเรื่องของเขา ไอ้การล้างมือของเราคือการล้างมือของเรา มือของเรา เราต้องล้างของเราเอง ใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเราเอง

มันเป็นของเราเอง! ไม่มีใครรับประกันได้ ไม่มีใครมาตัดทอนให้มือเราสะอาดหรือสกปรกโดยความเห็นของเขา เป็นไปไม่ได้.. มันจะเป็นไปได้ด้วยการกระทำของเราเท่านั้น เป็นการชำระล้างของเราเท่านั้น สิ่งที่ชำระล้างของเรา แล้วเราไม่รู้หรือ? เราไม่รู้เพราะอะไร?

ดูสิเวลาเขาตกทองกัน สร้อยคอในคอเราแท้ๆ เลย ทำไมเราปลดจากในคอเราให้คนอื่นเขาไปล่ะ? เพราะความโลภใช่ไหม? เพราะความโลภอยากจะได้ทองเส้นใหญ่ สร้อยคอของเรา สร้อยคอมันเป็นทองคำแท้ แล้วอยู่กับคอเราเพราะเราเป็นคนหามา เราเป็นคนซื้อมา แสวงหามา มันเป็นของจริงเพราะเราแขวนกับคอเรามา เห็นสร้อยคอตกอยู่ข้างนอกเส้นใหญ่กว่าไง อยากได้เส้นใหญ่กว่า ถอดสร้อยคอของเราไปแลกกับของเก๊มา

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะความโลภ ในการประพฤติปฏิบัติเรา เห็นไหม ส่วนใหญ่เราจะบอกเลยว่า เราปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ของเรามันทำได้ยาก มันทำได้ยากมาก มันทุกข์ทรมานนัก เวลาไปทำอย่างนั้นมันสะดวกสบาย

ทองเก๊กับทองจริงนะ! ทองเก๊ที่ไหนก็ได้ เอามาชุบมันทำได้หมดแหละ เพราะมันลงทุนน้อย แต่ทองคำแท้กว่าจะได้มา ในเหมืองกว่าเขาจะขุดแร่มา เขาต้องมาหลอมของเขา กว่าจะได้ทองคำมาแต่ละออนซ์ แต่ละบาท แต่ละสตางค์ มันแสนทุกข์แสนยาก

ของจริงมันทำมาได้ยาก เพราะมันเป็นของจริง ชีวิตเราก็เหมือนกัน ชีวิตของเรา ในการประพฤติปฏิบัติเรา เราจะเอาจริงหรือเราจะเอาปลอมล่ะ? ถ้าเอาจริงมันก็ต้องจริงของเราสิ มันบอกว่ามันจะเอาจริงของคนอื่น เห็นไหม เขาบอกว่าของจริง มันก็ตกทองไง เอาทองมาวางไว้เส้นเท่าโซ่เลย ไอ้ทองในคอเราเส้นเท่าหนวดกุ้ง ใครก็อยากได้เส้นโซ่นั้นไง ด้วยความโลภไง ด้วยความโลภมันเป็นจริงไหม? มันไม่เป็นจริง

นี่เพราะเรามีความโลภ ถ้าเราทำตามข้อเท็จจริงของเรานะ เราปฏิบัติของเรา ทองคำจะหายากหาง่าย เราก็หาตามความเป็นจริงของเรา ตามความเป็นจริงของเรานะ ลงทุนโดยข้อเท็จจริง ผลตอบแทนมันตามเนื้อหาสาระ ในการปฏิบัติของเรามันต้องตามเนื้อหาสาระ จะวิธีการใด จะอะไรก็แล้วแต่ ไอ้วิธีการนี่เราไม่ได้คัดค้านตรงนั้น เราคัดค้านในการที่สอนผิด นี่คือหัวหน้ามันผิด

คนเรามันรู้จริงทั้งนั้นแหละ ทุกคนนี่ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องรู้จริงหมดแหละ เราปฏิบัตินะ เรานั่งกันอยู่นี่นะเราจะไม่แก่ไม่เฒ่าหรือ? ทุกคนต้องแก่เฒ่าชราภาพไปเป็นธรรมดา แล้วเวลาแก่เฒ่าชราภาพไป เห็นไหม มันแก่หง่อมไปโดยกาลเวลา มันกินไปเป็นธรรมดาทั้งนั้นเลย กิเลสมันอยู่ในใจ มันกัดหัวใจอยู่ธรรมดา

มันกัดหัวใจอยู่ธรรมดา ถ้ามีกิเลสในหัวใจ จะสอนอย่างไรก็แล้วแต่ กิเลสมันก็กัดใจอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เวลากัดใจแล้วมันไม่พูดตามความเป็นจริงไง ถ้าพูดตามความเป็นจริง นี่เวลาแก่เฒ่าเป็นธรรมดา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่.. วิหารธรรม ถ้าใจเป็นธรรมนะ ร่างกายก็คือร่างกาย

สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ ธาตุและขันธ์นี้เป็นเศษส่วน สะคือเศษทิ้ง พอเศษทิ้ง จิตที่มันหลุดพ้นแล้วนี่ มันหลุดพ้นนะ จิตมันหลุดพ้น มันอยู่ในซากเศษที่เหลือ แล้วซากเศษที่เหลือนี้จะไม่สามารถเข้าไปกระเทือนหัวใจดวงนั้นได้เลย ถ้าไม่เข้าไปกระเทือนหัวใจดวงนั้น ความคิดไง ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

นี่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.. สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้าสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิดนี่มันไม่มีอำนาจเหนือจิต พอไม่มีอำนาจเหนือจิต การกระทำแสดงออกมาของจิตดวงที่เป็นพระอรหันต์ มันจะไม่มีมารยาสาไถย ถ้ามีมารยาสาไถย เห็นไหม มารยาของจิตมันมี ถ้าจิตมันมี มันแสดงออกมาเป็นอย่างนั้น!

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาวนี่นะ เวลาท่านสั่งสอนของท่านเป็นเนื้อหาสาระ เป็นข้อเท็จจริง แต่ของเรานี่จิตเราเป็นกิเลส เห็นไหม พอฟังเข้านี่ธรรมเหนือโลก! ธรรมเหนือโลก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมกันนี่ธรรมเหนือโลก ในธรรมนั้นมันก็มีฆราวาสธรรม มันมีแก่น มีกระพี้ มีเปลือก มันต้องชักนำเข้ามา

พระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งแรกนี่เทศน์อนุปุพพิกถา คือเทศน์เรื่องของทาน เรื่องของการเสียสละ เรื่องของเนกขัมมะ เรื่องของสวรรค์ นี่แล้วก็หักลงเลยเรื่องอริยสัจ หักลงที่จิตมันพร้อมไง ไอ้ของเรานี่มือเลอะขี้ มือสกปรกอย่างนี้ จะเอามือนี้ไปจับนิพพาน มันจับนิพพาน นิพพานก็เปื้อนขี้ไง นิพพานเปื้อนขี้ไม่ใช่นิพพานของเรานะ นี่ถ้านิพพานความจริง ขี้มันจะไปจับได้ไหม? มือสกปรกอย่างนี้ไปจับได้ไหม?

นิพพานเอามือไปจับไม่ได้ นิพพานนี่ใจสัมผัสเท่านั้น ใจเป็นสิ่งที่สัมผัส แล้วถ้าใจสกปรกมันจะสัมผัสสิ่งใด? มันสัมผัสไม่ได้ สิ่งนี้มันสัมผัสไม่ได้ เห็นไหม นี่ถ้าพูดถึงมันแชร์ธรรมะนะ มันเป็นเรื่องของธรรมะที่แบบว่าเป็นกระแส กระแสที่ดึงกันไป แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เราประพฤติปฏิบัติ มันต้องเป็นตามข้อเท็จจริงของเรา

นี่วิธีการสอนมันหลากหลายเยอะแยะไปหมด แต่หลากหลายขนาดไหน ผลของมันนะ ผลของการประพฤติปฏิบัติ ผลของมันคือสมถะทั้งหมด ผลของมันคือการปล่อยวางทั้งหมด แต่ผลของการปล่อยวาง การปล่อยวางมันมีสัมมากับมีมิจฉา ถ้าเป็นสัมมามันมีสติเข้าไป เพราะมีสติเข้าไปมันจะรู้ตัวเองตลอดเวลา เห็นไหม

วุฒิภาวะของใจ ใจที่มีวุฒิภาวะ ผลตอบแทนที่ได้มาจากการประพฤติปฏิบัติ มันให้ผลตอบแทนตามแต่กำลัง อำนาจวาสนาของตัวเองแต่ละบุคคล จังหวะและโอกาสของคนมันไม่เหมือนกัน จิตที่มันนุ่มนวล จิตที่มันควรแก่การงาน เห็นไหม จิตที่มันแข็งกระด้าง จิตที่มันโดนกระทบ อย่างเช่นเรามีผลอะไรกระทบที่รุนแรงกับหัวใจของเรา ความคิดเราจะฟุ้งซ่านมาก ความคิดเราจะแผ่กว้างไปไกลมาก เราจะต้องใช้สติปัญญาที่มีกำลังที่เข้มแข็งกว่า

การประพฤติปฏิบัติแต่ละครั้งแต่ละคราวมันจะไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันแม้แต่จิตดวงเดียวกัน การกระทำมันยังหลากหลายเลย แล้วเวลาหลากหลายนะ สงบบ้างไม่สงบบ้าง แล้วสงบแล้วจะทำอย่างไรควบคุมมันให้ได้บ้าง แล้วออกใช้ปัญญา ปัญญาออกใช้แล้วได้ผลหรือออกใช้แล้วไม่ได้ผล

เหมือนเราทำงาน นี่ทำงานจนมีความชำนาญนะ จนประมาทเลินเล่อ เขียนหนังสือหรือว่าดูอะไร บางทีมันก็ผิดพลาดได้ ความผิดพลาดนะ เราชำนาญมาก เราเขียนได้ทุกอย่าง เซ็นทุกๆ วันเลย แต่ทำไมเซ็นผิดเซ็นถูกล่ะ? เซ็นทุกๆ วันเรายังเซ็นผิดได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตเวลามันทำงานของมัน มันมีโอกาสผิดพลาดได้เป็นธรรมดา ถ้ามีโอกาสผิดพลาดได้เป็นธรรมดา สติ มหาสติ สติมันจะละเอียดลึกซึ้งเข้าไป มันจะแตกต่างกับการที่เราว่ากันโดยธรรมชาตินี้ไง สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ ความโกรธก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ การเกิดการตายนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติอย่างนั้น ธรรมะเป็นธรรมชาติ

ธรรมชาติมันทำให้เราไม่ขวนขวายไง ธรรมชาติมันทำให้เรายอมจำนนกับข้อเท็จจริงในชีวิตนี้ไง แต่ข้อเท็จจริงในชีวิตนี้มันก็โลกียปัญญา ปัญญาในวัฏฏะ เห็นไหม แล้วปัญญาที่มันจะถอดจะถอน มันจะรื้อถอนวัฏฏะล่ะ? วัฏฏะ วิวัฏฏะ แล้ววิวัฏฏะมันเป็นอย่างไร?

นี่ไงที่บอกผิดมันผิดตรงนี้ไง ผิดตรงนี้ เวลาว่าปัญญาๆ ปัญญาวิทยาศาสตร์ เป็นปัญญาที่เราไตร่ตรองกันได้ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกลับกว่านี้หลายชั้นนัก แต่เริ่มต้นพื้นฐานมันก็มีโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา พอพื้นฐานแล้วมันก็มีปัญญาในขั้นของโสดาบัน ขั้นของสกิทาคามี ขั้นของอนาคามี ขั้นของพระอรหันต์

ขั้นของโสดาบันกับสกิทาคามี มันก็ใช้ปัญญาแตกต่างกัน มรรคแตกต่างกัน ความเห็น ความรู้แตกต่างกันมาก ถ้ามันเป็นอันเดียวกัน ถ้าโสดาบันก็ต้องเอาโสดาบันนั้นทำลายกิเลสไปได้ตลอดรอดฝั่งสิ มรรคของโสดาบันมันก็แก้ได้แค่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ทำไมมันต้องมีสกิทาคามิมรรค โสดาปัตติมรรคล่ะ? ทำไม่เป็นโสดาปัตติมรรคแล้วก็ฆ่ากิเลสได้หมดเลย ถ้าได้เป็นมรรคฆ่ามันหมดเลย กิเลสฆ่ามันเกลี้ยงไปหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้!

มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม นี่ปัญญาที่มันหลากหลาย ปัญญาที่มันลึกซึ้งแตกต่าง นี่มันจะเข้ากับสิ่งที่เขาพูด มันเป็นแชร์ลูกโซ่ มันเป็นแชร์ธรรมะ เพราะมันพูดเป็นวิทยาศาสตร์เป็นอันเดียวกัน ใครมีปัญญาแล้วฆ่ากิเลสได้หมดเลย.. เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้!

ปัญญานะ ปัญญาแต่ละชั้นแต่ละตอน นี่ครูบาอาจารย์ เวลาท่านธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง ออกจากป่ามาแล้วคุยธรรมะกัน มันฟังออกเลยนะ ปัญญาระดับนี้ขั้นนี้ ปัญญาระดับนี้ขั้นนี้ ปัญญาระดับนี้ขั้นนี้ ปัญญาที่มันฆ่ากิเลส ปัญญาแต่ละชั้นแต่ละตอน มันฟังออกหมด คนเคยเป็นเคยผ่านมันต้องฟังออก พอฟังออกแล้วนะ ดูสิค่ายกลในใจมันมีกี่ค่ายกล เวลาเราจะผ่านไปแต่ละชั้น แต่ละตอน แต่ละค่ายกล จะเข้าไปทำลายวัฏจักร ทำลายมาร ทำลายจักรพรรดิ ทำลายผู้ที่ครองเรือน เห็นไหม เรือนยอด ๓ หลัง ปู่ ย่าของอวิชชา นี่เราต้องไปหักเรือนยอดของมัน ไปทำลายมัน

อู๋ย.. ฟังครูบาอาจารย์เราเทศน์นะมันซึ้งใจมาก ดูสิเวลาหลวงตา เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์นะ พวกเราบอกว่าเหมือนเครื่องบินเลย เทคออฟแล้วมันขึ้นนะ มันจะเหินขึ้นเลย ไปเป็นชั้นๆๆ เข้าไปเลย มันจะดื่มด่ำ มันจะเข้าไปชำระกิเลสในหัวใจ มันไม่ใช่แชร์ธรรมะอย่างนี้หรอก พูดกันไปๆ สักวันหนึ่งมันต้องล่ม ถ้าผลตอบแทนมันหาไม่ได้ มันต้องล่มแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่เวลาล่มตอนนั้นแล้ว มันสะเทือนถึงชาวพุทธเราไง ชาวพุทธเราจะสะเทือนหวั่นไหว อีกรอบหนึ่งแล้วหรือ? อีกรอบหนึ่งแล้วหรือ? นี่เพราะอะไร?

ใช่! กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมมันจำแนกสัตว์ ดูสิมันเข้ากันโดยธาตุ เห็นไหม ในธรรมวินัยนี้มันจะพัดซากศพเข้าสู่ฝั่ง สิ่งที่จอมปลอมมันอยู่ในธรรมวินัยนี้ไม่ได้ มันต้องซัดเข้าสู่ฝั่ง กาลเวลามันจะพิสูจน์ มันจะซัดเข้าฝั่ง แต่ขณะที่พิสูจน์เข้าฝั่ง ในปัจจุบันนี้เรามีผลประโยชน์ตอบแทนกันอย่างไร? เรามีความเห็นอย่างไร?

เวลาเราต้องการผู้นำ ต้องการผู้รู้ ต้องการผู้ที่ชี้แนะให้เราใช้ชีวิต หรือเราประพฤติปฏิบัติโดยถูกต้องตามความเป็นจริง แต่นี้ถ้ามันรู้มันจะชี้แนะ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาชี้แนะนี่ชี้แนะในวงแคบ หลวงตาท่านบอกว่า “ในวงกรรมฐาน”

ธรรมยุตินี่ในวงกรรมฐาน คือในวงของครูบาอาจารย์ของเราที่ปฏิบัติ มันพูดภาษาเดียวกัน มันมีทัศนคติ มีความรู้ มีความเห็นที่ใกล้เคียงกัน คุยกันนะ ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยความรู้มันจะเข้าใจกัน พอวงกว้างออกไปนี่หลากหลายแล้ว พอวงกว้างออกไปมันก็มีมุมมอง เห็นไหม

ปริยัติ ปฏิบัติ.. ปริยัติก็คือทางวิชาการ ปริยัติคือทางวิชาการ ในภาคปฏิบัติ วิชาการก็คือวิชาการนะ ในภาคปฏิบัติมันไม่เหมือนวิชาการหรอก มันมีเทคนิคของมัน มันมีการกระทำของมันในภาคปฏิบัติ

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ! ผลของมันที่เกิดขึ้น ที่มันออกมานี่ แต่เวลาเขาพูดธรรมะกัน แชร์ธรรมะนะมันพูดเหมือนกันหมดเลย เหมือนกันหมดเลย ไม่มีอะไรแตกต่างกับอะไรเลย แล้วธรรมะก็คือธรรมะ ต้องเถียงกันด้วยทางวิชาการ แล้วต้องว่าอ่านหมดหรือยัง? ได้อ่านหมดหรือยัง? โฮ้.. นิยาย! นิยาย! นิยายไม่ต้องอ่านเสียเวลา เอาเหตุเอาผลมันก็พอ เราจับเหตุจับผลได้แล้วมันก็จบแล้ว ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่เว้ย รู้แล้วจะต้องส่งต่ออีกร้อยคน ร้อยส่งเป็นพัน พันเป็นแสน

นี่ไงแชร์ธรรมะ มันเป็นแชร์นะ แล้วสุดท้ายแล้วผลตอบแทนมันให้ไม่ได้นะ แล้วมันก็จะล้มลง พอล้มลงแล้วมันจะเป็นอย่างใด? มันสะเทือนไหม? ถ้ามันสะเทือนนะ นี่เวลาพูดอย่างนี้แล้วเราสะเทือนใจอันหนึ่ง สะเทือนใจว่าในวงการของพระ ถ้าพูดถึงว่าการประพฤติปฏิบัติแล้วมันดีหมด ทำไมพระเรา พระที่ไม่ใช่พระปฏิบัติ หรือวงพระที่เขาอยู่กันโดยธรรมชาติ ทำไมเขาทำตัวให้สั่นคลอนศรัทธาของชาวพุทธล่ะ?

พระเราเองมันก็ทำกันนะ แล้วพอเวลามามองปฏิบัติเราก็ว่า “ปฏิบัติแล้วก็ดีขนาดนี้แล้ว เป็นชาวพุทธแล้ว ปฏิบัติแล้ว หลวงพ่อยังจะเอาอะไรกันนักกันหนาล่ะ?”

เราไม่ได้เอาอะไรกันนักกันหนานะ เราเอาข้อเท็จจริง เอาข้อเท็จ ข้อจริง อะไรเท็จ อะไรจริง เราต้องคุยกัน ไม่อย่างนั้นธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง เป็นมงคลชีวิตมีไว้ทำไม? พระพุทธเจ้าบอกมงคลชีวิตนะ เห็นไหม ดูสิเราให้ทางวิชาการ ให้ปลาเขากิน กับสอนเขาจับปลา สอนเขาจับปลาเขาดำรงชีวิตได้นะ

นี่ก็เหมือนกัน เราบอกทางวิชาการ ให้ธรรมะเป็นทาน แล้วให้เราได้คิด ให้เราได้สติ ให้เราเห็นคุณค่า ให้มีสติว่าใครก็ชักนำเราไม่ได้ แชร์ลูกโซ่ ผลประโยชน์ตอบแทนที่จะมาชักนำเราไปว่าลัดสั้นแล้วจะเข้าถึงได้ง่าย เราเอามาใคร่ครวญให้ดีๆ ใคร่ครวญให้ดีๆ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอน? ถ้ามันเป็นอย่างนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นผู้บุกเบิก ทำไมท่านไม่สอนให้เราง่าย ให้เราไปกันได้ง่ายๆ ล่ะ?

นี่ครูบาอาจารย์ของเรามีอำนาจวาสนาขนาดไหน ท่านยังให้เราต้องลงทุนลงแรง เหมือนพ่อแม่เลย รักลูกมาก ลูกต้องเรียนหนังสือ ต้องมีหน้าที่การงาน ต้องยืนในสังคมให้ได้ ไม่ใช่ลูกเรานะเอาสบายๆ นะ แล้วโตขึ้นมาทำอะไรไม่เป็นเลย พอทำอะไรไม่เป็นแล้วมันจะดำรงชีวิตของมันอย่างไร?

จิตของเราไม่มีพื้นฐาน ฐีติจิต พื้นฐานของจิต นี่ฐีติจิต กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามีฐาน มีที่ตั้ง เวลามีสิ่งใดนี่มันมีที่หลบภัยของมัน.. ไอ้นี่ไม่มีอะไรเลย ว่างๆ ว่างๆ ปวดหัวนะ มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ ตัวเราไม่มีจุดยืน จิตเราเองไม่มีจุดยืน ไม่มีที่พัก ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเราเลย ให้เขาจูงจมูกกันไปตลอดเลย วันไหนโซ่ขาดนะ โซ่ที่มันจูงจมูกอยู่นี่มันขาดนะ เราไม่มีใครจูงนะ เราจะเคว้งคว้าง เราจะไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ให้เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สันทิฏฐิโก รู้จากจิต รู้จากข้อเท็จจริง มันจะยืนที่ไหนก็ได้! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ภิกษุอยู่ภาคตะวันตกของประเทศของชมพูทวีป ทำเหมือนเรา ปฏิบัติเหมือนเรา เหมือนอยู่ใกล้เรา ภิกษุจับชายจีวรเราไว้เลย แต่ไม่ปฏิบัติเหมือนเรานะ เหมือนอยู่ห่างไกลกับเรา”

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริง เราอยู่ไกลขนาดไหน เราเหมือนกับกอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เลย

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

นี่เรากอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะในหัวใจของเรา ทำไมมาให้คนอื่นเหยียบย่ำหัวใจของเรา ชักจูงหัวใจของเราออกนอกลู่นอกทางล่ะ? เราต้องรู้ตัวเราเอง ยืนที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องให้ใครชักนำ มันจะเป็นความจริง เป็นสันทิฏฐิโกกลางหัวใจของเรา เอวัง