เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ส.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดเป็นคน เป็นสัตว์ประเสริฐ ในความคิดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่เวลาดูพวกสัตว์ พวกสัตว์มันอยู่ตามธรรมชาติของมัน มันก็ชีวิตหนึ่งนะ แต่เราไปเกิดเป็นคน เราก็ชีวิตหนึ่ง แต่ชีวิตหนึ่งของเรา เราจะแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณงามความดี

แล้วคุณงามความดี เราจะไปหากันที่ไหน?

เวลาพระพุทธศาสนาสอน “พุทธศาสนา” ครูบาอาจารย์บอกเลย “ศาสนาเดียวที่เป็นศาสนาสัจจะความจริง นอกนั้นเป็นลัทธิความเชื่อ” ลัทธิความเชื่อเพราะมันถึงที่สุดไม่ได้ มันไม่เข้าใจกระบวนการความคิดของมัน กระบวนการการเกิดและการตาย เพราะกระบวนการนั้นมันสิ้นสุดไม่ได้

แต่พระพุทธศาสนา “พุทธะ” พุทธะ คือความรู้สึก คือตัวพาเกิดพาตาย พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา การทำบุญกุศลขนาดไหนมันเป็นบุญกุศลของเรานะ แต่สิ้นสุดกระบวนการของมันคือการภาวนา ถ้าไม่มีการภาวนา เราทำบุญกุศลกันเพื่อปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ อันนี้เราถึงที่สุดไม่ได้ เราก็อาศัยบุญกุศลเป็นที่พึ่งอาศัยกันไป แล้วการทำบุญกุศลนี้มันเป็นอำนาจวาสนาเป็นบารมี

เวลามาประพฤติปฏิบัติบางคนประพฤติได้ยาก ปฏิบัติยากรู้ยาก ปฏิบัติยากรู้ง่าย ปฏิบัติง่ายรู้ยาก ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย “การประพฤติปฏิบัติ” ในการกระทำนั้นมันเกิดจากบารมีธรรม บารมีธรรมการสะสมมา.. ใช่ ทานน่ะมันสิ้นสุดกระบวนการของความทุกข์ไม่ได้ แต่เป็นการสร้างเชาวน์ปัญญา เชาว์ปัญญาเกิดจากการภาวนา เชาว์ปัญญาไม่ใช่เกิดจากการสละทาน

สร้างเชาวน์ปัญญาอย่างไร? สร้างเชาวน์ปัญญา ถ้าเราสละทานของเราจิตใจมันเปิดกว้าง จิตใจมันเสียสละ ความเสียสละมันเปิดกว้าง เปิดกว้างเป็นการรับรู้

การที่สังคมมีปัญหากันอยู่นี้ ก็เพราะไม่ยอมรับความแตกต่าง ไม่ยอมรับฟังฝ่ายตรงข้าม ไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ ทิฏฐิมานะว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียว นี่ไง สังคมเขามีปัญหาใช่ไหม แต่ถ้าเรามีการเสียสละทาน เรามีการเสียสละ เรามีการเปิดกว้าง เรามีการรับรู้ มีการรับฟัง เห็นไหม นี่มันเป็นการให้เกิดปัญญา

ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากการทำความสงบของใจ

“ปัญญาเกิด” สิ่งที่ปัญญาจะเกิด เกิดโลกียปัญญา-โลกุตตรปัญญา นี่ในพุทธศาสนาสอนอย่างนั้นไง เรื่องปัญญาๆ สอนเรื่องโลกๆ สอนเรื่องปัญญา เรื่องศีลธรรมจริยธรรม กตัญญูกตเวทีของมันเป็นกรอบ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมยังทำกันได้ยาก

แต่ถ้ามันทำจากหัวใจใช่ไหม แต่เราเป็นลูกกตัญญู เราเป็นลูกที่มีคุณธรรม เรารัก เราเทิดทูนบูชาของเรานะ มันออกมาจากหัวใจ มันทำด้วยความชุ่มชื่น มันทำด้วยความพอใจนะ สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน? มันเกิดมาจากบุญวาสนานะ เพราะบุญวาสนามันเปิดกว้างไง ใจเปิดกว้างจะมีกตัญญูกตเวที มันมีความรู้สึก มันละอายแก่ใจ

นี่กฎหมายแค่บังคับจากภายนอก ศีลธรรมจริยธรรมน่ะบังคับจากหัวใจของเรา มันมีความละอาย การกระทำ ทำผิดทำชั่วมันมีความละอายของมัน มันทำคุณงามความดีของมัน มันทำของมัน.. นี่เป็นเรื่องของศีลธรรมจริยธรรมนะ

“ทาน ศีล ภาวนา”

มีการฟังธรรม มีสัจจะฟังธรรม เวลาภาวนาขึ้นมาน่ะ “การภาวนา” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแทบทอดธุระนะว่ามันจะสอนได้อย่างไร มันเป็นความลึกซึ้งกับโลกนี้มากนัก ศีลธรรมจริยธรรมเป็นความคิดของโลกๆ เรายังว่าความคิดโลกๆ มันเป็นความละเอียดอ่อนนัก แต่เวลาจิตมันสงบเข้าไปนะ เวลาทำภาวนาจิตต้องสงบก่อน ถ้าจิตไม่สงบมันจะเป็นโลกียปัญญา คือปัญญาสามัญสำนึก ปัญญาพื้นฐาน แล้วก็เอาปัญญาพื้นฐานตีความธรรมะกัน

ไฟนะ ดูไฟ สมัยโบราณเขาใช้แสงสว่างจากไฟ จากไฟเทียน จากไฟต่างๆ ไฟจุด แต่ในปัจจุบันนี้ไฟเราใช้จากไฟฟ้า เห็นไหม ช่างไฟ ถ้าช่างไฟเขาทำของเขาเป็นนะ เขาจะเดินสายเป็น เขาจะดูแลสายไฟก็เป็น แล้วหมดอายุการใช้งานเขาจะเปลี่ยนของเขา เพราะไฟมันจะลัดวงจรเพราะเราจะไม่เห็นของมัน

แต่ช่างไฟที่ไม่เป็นนะ ดูสิ ดูเวลาฝนตกน้ำขึ้น เห็นไหม เขาให้ตัดไฟๆ เพราะกระแสไฟมันไปตามน้ำ มันเอาเราตายนะ มันทำให้เราถึงกับตายได้ นี่ไฟเหมือนกัน แต่ไฟคนละอย่าง ช่างไฟฟ้า ช่างไฟก็ต้องเป็น ถ้าช่างไฟเป็นเขาบริหารจัดการของเขาได้

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเหมือนช่างไฟ พลังงานของเรา ตัวจิตของเรา เราไม่เข้าใจของมันน่ะ เราไม่เข้าใจมันเลย แล้วเวลาไม่เข้าใจมันเลยก็บอกว่าไฟฟ้ามันเหมือนไฟแสงสว่างโดยไฟเทียน โดยไฟฟืน มันความเข้าใจผิดทั้งนั้นน่ะ มันคนละอย่างกัน แล้วมันให้ผลแตกต่างกัน

ดูสิ ไฟที่เขาจุดไว้ มันเผาไปเราเห็นมันน่ะ เราหนีมันได้นะ ไฟฟ้าเราไม่เห็นมันนะ มันสื่อมา เราไม่เห็นมัน ความคิดเราเห็นมันไหม? นี่แล้วบอกความคิดๆ แล้วตัวจิตเราเห็นมันไหม? เราจะควบคุมมันอย่างไร ถ้าเราควบคุมมันอย่างไร ถ้าคนเป็นเขามีเครื่องมือของเขา ไฟฟ้านะ เวลาเขาจะต่อไฟเขาต้องมีเครื่องมือของเขา เขาจะต่อสายไฟฟ้าของเขา นี่เราคิดของเราเองแล้วเราจะเอามือของเราไปต่อ เราจะไปทำของเราเอง ไปน่ะไฟดูดตายหมด

นี่ก็เหมือนกัน ในการภาวนาเวลาปัญญาว่าจะเกิดๆ ปัญญาอะไรของมัน? นี่ไง มันไม่เข้าใจ ไม่ใช่กระบวนการของมันเลย

จิต เห็นไหม จิตส่งออกคืออะไร?

บอกจิตส่งออกไม่ได้ๆ จิตมันเป็นวิญญาณขันธ์ส่งออกไม่ได้ ผลของการส่งออกต่างหากมันถึงเป็นทุกข์.. ไฟฟ้าถ้าเขาเดินสายไฟเสร็จแล้ว เขาไม่จัมพ์ไฟเข้าไป มันไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีความหมายหรอก ความคิดก็เหมือนกัน ความคิดมันคิดคิดมาจากไหน คนตายคิดได้ไหม.. คนตายคิดไม่ได้หรอก แล้วความคิดมันมาจากไหน? ความคิดมันมาจากจิต แล้วจิตมันมาจากไหน? แล้วจิตมันเป็นวิญญาณขันธ์

ขันธ์ก็ไม่รู้จัก ความคิดก็ไม่รู้จัก วิญญาณก็ไม่รู้จัก จิตก็ไม่รู้จัก พูดออกมาผิดไปหมดเลย

ช่างไฟอย่างนี้จะต่อไฟได้อย่างไร ต่อไฟใช้ไม่ได้หรอก นี่เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเราว่าเป็นปัญญาๆ เป็นปัญญาของใคร โลกุตตรปัญญา-โลกียปัญญา นี่อยู่ในพระไตรปิฎกนะ แล้วเราประพฤติปฏิบัติกัน เราจะเอาปัญญาของเรา เอาความรู้ความเห็นของเราไปแก้ไขกิเลส มันแก้ไขกิเลสได้อย่างไร มันเป็นของชั่วคราวนะ

เวลากตัญญูกตเวที มีความละอาย มีความเกรงกลัว เราจะมีความสลดพักหนึ่ง เราจะมีควบคุมใจได้พักหนึ่ง แล้วมันอยู่ได้ไหม? คนเราคิดดีปรารถนาดีทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเกิดวิกฤติขึ้นมาในชีวิตทำไมมันทนไม่ไหว ทำไมมันต้องไปกับแรงกระตุ้นของจิต ทำไมแรงกระตุ้นของกิเลส กิเลสมันกระตุ้นไปน่ะ มันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น พัฒนาการความจริงของมันเป็นอย่างนี้

ดูสิ ฝนตกแดดออกธรรมชาติมันเป็นแบบนี้ ความคิดของคนก็เป็นแบบนี้ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว เดี๋ยวคิดดีคิดชั่วคิดร้าย มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ สิ่งนี้เป็นธรรมชาติอยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ แล้วเราไปอยู่กับธรรมชาติว่าธรรมชาตินี้เป็นธรรมๆ ธรรมชาติเป็นธรรม.. เกิดมาก็เป็นธรรม การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติอันหนึ่งทั้งนั้นน่ะ

นี่ไง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงท้อใจว่าจะสอนอย่างไร เพราะว่าความที่ว่าเป็นปัญญาๆ ในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ปัญญารอบรู้ในกองความคิด ปัญญามันไล่ความคิดเข้าไป ไปถึงตัวจิต แล้วมันพลิกแพลงไปทำลายจิต แล้วความคิดมันเกิดจากไหน? ความคิดมันเกิดจากจิต แล้วจิตมันมาจากไหน? จิตมันมาจากไหน? ปฏิสนธิจิต จิตมันมาจากไหน? บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไปมันย้อนไปถึงที่ไหน? มันไปสิ้นสุดกระบวนการของมันที่ไหน? มันมีกระบวนการของมันทั้งนั้นน่ะ นี่มันเป็นเรื่องสัจธรรม เป็นเรื่องธรรมดาของมันนะ

นี่ไง “ธรรมะเป็นธรรมดา”

..มันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นน่ะ แล้วฆ่ากิเลสได้หรือเปล่าล่ะ ฆ่ากิเลสทุกตัวไหม แล้วบอกเป็นการฆ่ากิเลสๆ

เวลาเราบอกทำสมถะกัน เขาว่า “หินทับหญ้าๆ” ..ไอ้หินมันก็ไม่รู้จัก หญ้ามันก็ไม่รู้จัก จิตก็ไม่รู้จักนะ ความคิดก็ไม่รู้จัก

“ความคิดก็ไม่ใช่จิต” นี่ไง ความรู้สึกเป็นรูป จิตเป็นรูป ความคิดเป็นนาม

เพราะมีรูป มันถึงมีนาม.. ไม่มีรูป นามเกิดขึ้นจากอะไร? นามจะเกิดขึ้นมาจากไหน?

ไฟฟ้าไม่มีที่มา ไฟฟ้ามันมาจากไหน สื่อไฟฟ้า สายเดินไว้น่ะถ้าไม่จัมพ์ไฟ ไฟมันมาจากไหน? แล้วปฏิสนธิจิตใครไปตามรู้ทันมัน เวลามันไปเกิดในเทวดา อินทร์ พรหมมันเกิดอย่างไร? แล้วเวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดต่างๆ

เขาบอกว่า “จิตมันเป็นนิรันดร์ไม่ได้ ถ้าจิตมันตายตัวมันก็เป็นนิรันดร์”

ถ้าตายตัว มันจะเกิดโสดาบันได้อย่างไร?

ถ้าตายตัว เกิดโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีได้อย่างไร?

ถ้าตายตัว มันเกิดเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร?

เอ้า.. ตายตัวนะ กรรมนี่กฎตายตัวนะ กฎตายตัวเรา เราก็ต้องตายตัวไปอย่างนี้ เกิดเป็นคนก็ต้องเกิดเป็นคนตลอดไป มีกรรมก็ต้องมีกรรมตลอดไป แก้ไขอะไรไม่ได้เลย..

ไม่มีหรอก! มันเป็นมรรคญาณ อริยสัจมันเข้าไปเปลี่ยนแปลง มันเข้าไปแก้ไข มันเข้าไปทำลาย.. แล้วเข้าไปอย่างไร? แล้วเข้าไปทำลายกันที่ไหน? แล้วมันจะไปดับไฟ ไปดับที่หลอดไฟหรือ จะดับไฟไปดับที่พลังงานไฟฟ้านั้นหรือ ดับไฟเขาไปดับเครื่องโน่นน่ะ ดับไฟเขาไปดับโดยต้นเหตุ ดับที่เครื่องยนต์นั่นน่ะ เครื่องยนต์ที่มันปั่นไฟออกมามันจะไปดับกันที่นั่นน่ะ แล้วที่นั่นมันอยู่ที่ไหนล่ะ?

แล้วพอที่นั่นขึ้นมา.. บอกว่าจิตมันเป็นนิรันดร์ขึ้นมา เข้าใจว่าจิตเป็นนิรันดร์-จิตไม่เป็นนิรันดร์ จิตเป็นสันตติ

สันตติแล้วเป็นอย่างไรล่ะ? มันเป็นอย่างไรถึงเป็นสันตติ ..คำพูดอย่างนี้มันเป็นคำพูดบอกว่า คนๆ นี้ไม่เคยรู้เคยเห็นอะไรเลย คนที่เคยรู้เคยเห็นไม่กล้าพูดออกมาอย่างนี้ เพราะการพูดอย่างนี้.. เหมือนช่างไฟ ช่างไฟไม่เป็นเลย เวลาบอกว่าเปิดไฟมาเลย เขาจะต่อไฟด้วยสายไฟเปลือย เขาจับได้ ทำได้หมด.. มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ คนที่เป็นนะ เขาจะมีคัทเอาท์ มีสวิตช์ของเขา เขาจะต่อ เขาจะไปกดไปดับที่นั่น

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันสงบเข้ามาได้อย่างไร ปัญญาจะเกิดขึ้นอย่างไร เพราะปัญญาเกิดขึ้น คนที่ภาวนาเป็นมันจะรู้จักโลกียปัญญา ปัญญาที่เราใช้กันอยู่ แล้วโลกุตตรปัญญาที่มันฆ่ากิเลส มันแตกต่างกันอย่างไร ถ้ามันแตกต่างกัน คำว่าแตกต่างนะ นี่ช่างไฟจะรู้ว่าความแตกต่างเป็นอย่างไร

แล้วพอความแตกต่างของครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาแก้ไขลูกศิษย์ “แก้จิตนี่มันของยากนะ หมู่คณะภาวนามา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าตายไปแล้วหาคนแก้ไม่ได้นะ”

คนแก้มันต้องคนเป็นน่ะ! แล้วคนไม่เป็นเอาอะไรไปแก้ ก็คนไม่เป็นกับคนไม่เป็นก็คุยกันไป นี่ไง “เป็นธรรมดาๆ” ..ก็ธรรมดาๆ คุยกันไปก็โลกๆ ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นความสามัญสำนึกทั้งนั้นน่ะ มันเป็นปัญญาตรรกะแล้วก็ว่ากันไป แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันแยกได้ มันแยกว่าอะไรเป็นโลกียะ อะไรเป็นโลกุตตระ คำพูดนี่มันฟ้องหมด คำพูดของคนไม่เคยไปเห็นนะ

ดูสิ ดูอึ่งอ่างมันอยู่ในกะลา เราก็เห็นแต่กะลาไง กะลามันครอบไว้ เอ้า.. ก็กะลาๆๆ มึงเปิดมาสิ มันมีอึ่งอยู่ในนั้นนะมึง มึงเปิดความคิดมาสิ มีจิตนะเว้ย! จิตมันอยู่ไหน?

แล้วบอกว่าจิตมันเป็นนิรันดร์ แล้วถ้าเป็นนิรันดร์ เป็นนิรันดร์ ..เขาบูชากันไง ต้องเป็นอย่างนั้นๆ..

ไม่ใช่หรอก มันเป็นบารมี มันเป็นบารมีของคน บารมีของคนถ้ามันสงบเข้ามามันไปรู้ไปเห็นของมันนะ พอไปรู้ไปเห็น ความรู้ความเห็นโดยอริยสัจ สัจจะความจริงเป็นสัจธรรม

ถ้าเป็นสัจธรรมนะ มันสะเทือนถึงขั้วหัวใจ เพราะไดโนเสาร์ อวิชชา ตัวพญามารมันเป็นปู่ ครูบาอาจารย์ พระกรรมฐานจะบอกเลย “ปู่ของมาร พ่อแม่มาร ลูกหลานมาร ลูกมาร หลานมาร” ทำไมมันมีปู่ มีย่า มีตา มียายล่ะ? ทำไมกิเลสมีหยาบมีละเอียดล่ะ? ทำไม.. โสดาบันมันฆ่ากันอย่างไรล่ะ? แล้วเราไปถึงพญามาร ไอ้ปู่ของมารนะ

ดูพระพุทธเจ้าเยาะเย้ยมารสิ “เรือนยอด ๓ หลัง” เรือนยอดไง เรือนยอดของโลภะ โทสะ โมหะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเรือน ๓ หลัง เรือนยอดของมัน ยอดมาประสานกันมาเป็นอวิชชา เป็นพ่อแม่ของมาร พ่อมาร เห็นไหม

แล้วบอกว่า “จิตมันไม่มี..”

ถ้าคนเห็นจริงรู้จริง พูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก! พูดอย่างนี้ไม่ได้! นี่คนรู้จริงมันมี เห็นไหม มันมีพญามาร มีแม่ทัพ แม่ทัพคือความโลภ ความโกรธ ความหลง มันมีเสนาอำมาตย์ของมัน

นี่มาบอกอย่างนี้ว่า “เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นนิทาน..”

เป็นนิทาน มึงเคยเห็นไหมล่ะ? ถ้าเป็นนิทานมึงจะรู้ มึงจะฆ่าลูก ฆ่าหลาน ฆ่าพ่อ มึงจะฆ่าอย่างไร แล้วจะไปเจอตัวอย่างไร? ไอ้นี่ตัวก็ไม่เคยเจอ ถ้าเจอตัว เพราะอะไร เพราะหลานมารกับปู่มารมันคนละคนใช่ไหม พ่อของมารกับปู่ของมารมันคนละคนไหม? กิเลสมันคนละตัวไง กิเลสของโสดาบัน กิเลสของสกิทาคามี กิเลสของอนาคามี กิเลสของพระอรหันต์มันคนละกิเลสทั้งนั้นน่ะ กิเลสอันเดียวกันมันเป็นสายสืบตอนมา แต่กิเลสมันคนละกิเลส

ถ้าอย่างนั้น เวลามรรค ๔ ผล ๔ มันถึงว่ามหาสติ-มหาปัญญา สติปัญญาอัตโนมัติ ทำไมปัญญามันมีคนละขั้นตอน ปัญญามันหยาบละเอียดต่างกันอย่างไร นี่พลังงานสายไฟมันมาอย่างนั้น ถึงบอกว่า นี่พูดถึงปัญญาของโลกนะ ถึงบอกว่าเป็นอำนาจวาสนานะ

เวลาทำบุญกุศลกัน เราก็เพื่อบุญกุศล เพื่อความสุขสงบร่มเย็นในชีวิต แต่เวลาประพฤติปฏิบัติมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติน่ะนะ คนจน คนทุกข์จนเข็ญใจนะ เวลามาปฏิบัตินะมีค่าเท่ากันหมดเลย ต้องลงไปที่ทางจงกรม ต้องนั่งสมาธิภาวนา

ไม่ใช่คนที่มั่งมีศรีสุขมานะ เอ้า.. ไม่ต้องทำอะไรเลย จะเป็นพระอรหันต์ ไอ้คนทุกข์คนจนมา เอ็งต้องมาเดินจงกรม

ไม่ใช่! จะมั่งมีศรีสุข จะทุกข์จนเข็ญใจ เหมือนกัน มีค่าเท่ากัน มีค่าเท่ากันเพราะเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีหัวใจกับร่างกายเหมือนกัน มีกิเลสในหัวใจเหมือนกัน ต้องปฏิบัติ! นี่ไง “สันทิฏฐิโก” รู้จำเพาะในหัวใจของผู้ประพฤติปฏิบัตินั้น

นี่เวลาทำไปแล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นอย่างนี้แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์จะคอยแก้ไปๆ มันไม่มีใครปฏิบัติแล้วไม่มีอุปสรรคหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างปรารถนามามีอำนาจวาสนาที่สุด ปฏิบัติอยู่ ๖ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์นะ พุทธวิสัยนะ เป็นผู้มีปัญญามหาศาล เวลาปฏิบัติมายังต้องต่อสู้ขนาดนั้น

ไอ้อย่างเรานี่นะ พวกสาวก-สาวกะ สาวกไง สาวกก็ได้ยินได้ฟัง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังก็เป็นแพลงตอนไง เป็นเหยื่อของปลา เวลามาฟัง สนใจขึ้นมา บอกว่า “ปฏิบัติลัดสั้น รู้ง่าย..”

พระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้เลย พระพุทธเจ้ายังไม่มีโอกาสเลย.. แล้วใครมันจะมีโอกาส? นี่ว่ากันไป นี่ปัญญาทางโลก แล้วมันก็เป็นเหยื่อ แล้วก็เชื่อกันไป

เราต้องมีสติปัญญานะ “สติ” แล้วยับยั้งไว้.. มันเป็นจริงอย่างนั้นไหม? มันเป็นจริงได้ไหม? ถ้ามันเป็นจริงไม่ได้ เราต้องการความจริงไหม? ชีวิตของเราต้องการความจริงหรือชีวิตของเราต้องการความจอมปลอม เกิดมานี่ก็ปลอมแล้ว จริงตามสมมุติเกิดมาชีวิตก็ปลอมอยู่แล้ว เพราะมันต้องตายไป แต่หัวใจไม่ปลอม หัวใจเป็นของจริงอันหนึ่ง เพราะมันไม่เคยตาย ถ้ามันตายจากเรานะ มันจะไปเกิดต่อไปข้างหน้า

ถ้ามันเกิดไม่ได้ ทำไมวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติที่เกิดมา ปัจจุบันคือเจ้าชายสิทธัตถะ อนาคตถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์มันจะต้องไปเกิดข้างหน้า นี้เป็นวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครปฏิเสธว่ามีหรือไม่มี มันเป็นความปฏิเสธจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก.. ความจริงคือความจริง! แล้วใครเข้าไปเจอความจริงอันนี้ เป็นความจริงอันเดียวกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รู้จริงแล้ว แล้วเราเข้าไปเห็นความจริงอันนี้มันจะต่างกันตรงไหน

อริยสัจมีอันเดียว! ไม่มีสอง! มีอันเดียว!

แล้วเราเป็นเจ้าของศาสนา เป็นอุบาสก - อุบาสิกา แล้วศาสนาพระพุทธเจ้าฝากไว้กับเราอยู่แล้ว เราจะรื้อค้นไหม?

เวลาพูดเรื่องทานนะ เรื่องบุญกุศล เราก็จะพูดอย่างนั้น แล้วคนก็เบื่อ อะไรก็นิพพานๆ คำว่า “นิพพาน-ไม่นิพพาน” มันเป็นเป้าหมายของศาสนาไง ในศาสนามันก็มีมรรคผล มีเหตุมีผลมหาศาล เรื่องของทานก็เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของการภาวนาก็เรื่องของการภาวนา การภาวนาแล้วยังมีหลากหลายแตกต่างไปอีกมหาศาลเลย นี่ศาสนามันลึกซึ้งละเอียดอ่อนมาก ฉะนั้นเวลาพูดถึงให้มันมีค่าไง

เวลาเงินทองเราอยากมีเงินทองกองใหญ่ๆ เวลาพูดถึงธรรมะน่ะ พอพูดธรรมะจะบอกเอาเงินทองน้อยๆ ไง ศีลเอาศีล ๕ ศีล ๒๒๗ ไม่เอาไง เวลาเงินทองจะเอาทองคำกองใหญ่ๆ เวลาธรรมะก็เหมือนกัน เวลาธรรมะที่ปฏิบัติพอบอกนิพพานมันก็เหมือนสุดเอื้อม มันก็เงินเหมือนกันน่ะ เงินบาทหนึ่งเราก็มีบาทหนึ่ง เงินร้อยล้านมันก็เงินจากบาทนั้นน่ะ มันมีมากมีน้อยเราก็ทำของเรา เพราะหัวใจมีคุณค่าตรงนี้ เราสะสมตรงนี้เพื่อประโยชน์กับเรา เราเน้นต่อศาสนา ศาสนามีคุณค่าอย่างนี้ เราจะพูดแบบว่าไม่ให้มีคุณค่าเลยไม่ได้ เอวัง