เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพูดถึงธรรมะนะ ต้องคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงน้ำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาพุทธภูมิมานี่มหาศาล สร้างผลบุญญาธิการมาจนมีปฏิภาณไหวพริบ ปฏิภาณนะสร้างสมมา
นี่ถ้าพูดถึงเรื่องพุทธศาสนา ต้องคิดถึงน้ำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พยายามเสียสละมา สร้างสมบุญญาธิการมาจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยเพื่อให้เราเข้าถึงธรรมวินัยนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยทุกข้อนะ นี่เจริญศรัทธา คนที่เขาศรัทธาแล้วให้เขาศรัทธามากยิ่งขึ้น คนที่เขายังไม่ศรัทธา ให้เขาศรัทธาในพุทธศาสนา
แล้วพุทธศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบัญญัติธรรมวินัยทุกข้อเลย เพื่อให้มีความมั่นคงในความเจริญศรัทธาของเรา แต่เวลาศรัทธาขึ้นมานะ ดูสิอย่างเช่นเวลาเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เห็นไหม นี่เราขวนขวายกันมา เรามาทำบุญกุศลของเราเพื่ออะไร เพื่อปรารถนาสิ่งที่เป็นคุณงามความดีของเรา
ความดีของเรามันเกิดจากหัวใจนะ เราเจตนาทำสิ่งที่ดี มันคิดแต่เรื่องดีๆ ทำสิ่งที่ดีๆ ทุกอย่างจะดีไปหมดเลย แต่ถ้ามันมีอวิชชาครอบงำหัวใจของเรา เราคิดแต่ทำสิ่งที่เห็นแก่ตัว สิ่งที่เอารัดเอาเปรียบ สิ่งที่เป็นความชั่ว นี่ความดีความชั่วมันเกิดจากเจตนา เกิดจากความคิดก่อน เกิดจากเริ่มต้นของความรู้สึกอันนี้ก่อน ถ้าความรู้สึกอันนี้ ถ้าเจตนาสิ่งที่ดี เรามีศรัทธาความเชื่อนี่ทำสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ อันนี้มันจะตอบสนองสิ่งที่เป็นหัวใจเราเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเป็นทางโลก เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อของเขา เขาเชื่อของเขา เขาแสวงหาของเขา เขาทำของเขา
ความเชื่อของเขา เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตอกย้ำว่าให้ความเชื่อนี้มั่นคง ให้มีความมั่นคงในพุทธศาสนา ทีนี้ความมั่นคง นี่ความเชื่อของเรา เวลาเราเชื่อขึ้นมามีศรัทธาความเชื่อ นี่ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อมันต้องมีปัญญา มีการกลั่นกรอง เห็นไหม ดูสิเวลาเราเอาลูกเอาหลานมาวัด นี่มันต่อต้าน มันขัดแย้งทั้งนั้นแหละ ดูสิคนที่ไม่เห็นด้วย ไปชวนเขามาเขาจะบอกว่า คนไปวัดนี่โง่มากเลย หาเงินหาทองแล้วมาเสียสละทำไม ทำไมไม่เอาเป็นของส่วนตัว ทำไมไม่เอาไปใช้ประโยชน์
ประโยชน์ใช้สอยในเรื่องธาตุขันธ์ ประโยชน์ใช้สอยในชาติปัจจุบันนี้ นี่คนเราตกงานนะ รัฐบาลเขาให้เบี้ยยังชีพนะ รัฐสวัสดิการเขาหาให้ได้ ทุกอย่างเขาให้ได้ นี่การที่เราหาปัจจัยเครื่องอาศัยมามันก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม สิ่งที่เราจะยังชีพมานี่ สิ่งที่เราหามา แต่ถ้าเราเสียสละออกไปล่ะ เราเสียสละออกไปเพื่อใคร? ก็เพื่อหัวใจของเรา
การเสียสละออกไป นี่พุทธศาสนาไม่มีสิ่งใดได้มาโดยลอยมาจากฟ้า สิ่งต่างๆ ได้มาไม่มีของฟรี ทุกอย่างต้องมีการกระทำ มันมีเหตุมีผลของมัน.. เหตุไม่มี ผลมันมาจากไหน? เหตุไม่มี การกระทำไม่มี ทุกอย่างไม่เกิดขึ้นมาแล้วมันเอาผลมาจากไหน?
นี่สิ่งที่มีบุญกุศล คนที่ประสบความสำเร็จของเขามา เขาสร้างด้วยบุญกุศลของเขามา เขามีบุญของเขามา ทำสิ่งใดนี่ ดูสิ กลิ่นของศีลหอมทวนลม คนดี เห็นไหม ดูสิลูกหลานของเรา คนนี้เป็นคนดี ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องจะรักคนนี้มากเลย ทำไมเขารักคนนี้ล่ะ คนนี้ทำไมเขาไม่รักล่ะ คนนี้เขาไม่รักเพราะอะไร เพราะพูดไปแล้วเขาไม่เชื่อฟังต่างๆ
นี่กลิ่นของความดีมันหอมทวนลม สิ่งที่เป็นคุณงามความดีมันหอมทวนลม เราทำสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆ มันเกิดจากไหนล่ะ นี่เราพยายามชักนำเขามา นี้ความศรัทธานะ ศรัทธาพอเข้ามาวัดแล้ว เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความคุ้นชิน ความคุ้นเคย นี่ดินพอกหางหมู เราถึงว่าเวลาเรากลับมาแล้วต้องมีความตื่นตัว
อยู่บ้านตาดนะ ท่านจะให้มีความตั้งใจ มีความจงใจ เพราะความตื่นตัว ไม่ให้ดินมันพอกหางหมู ถ้าดินพอกหางหมู หางหมูมันแกว่งไปแกว่งมามันหนักนะ จิตใจของเราถ้าไปจมอยู่กับความคิดสิ่งใด เรามีความเชื่อมั่นของเรา เรามีศรัทธา เราทำแต่คุณงามความดี ความดีของเรา มันดีของใคร?
มันดีของเด็กๆ เห็นไหม ถ้าเด็กๆ มันมีคุณงามความดีของมัน เด็กๆ มานี่มันไม่งอแง มันไม่อ้อนต่างๆ เด็กมันก็เป็นเด็กดีสิใช่ไหม แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปได้ไหม เป็นผู้ใหญ่มามันต้องรับผิดชอบใช่ไหม มันต้องมีปัญญาของมันใช่ไหม มันต้องทันโลกใช่ไหม มันอยู่กับโลกเขามันต้องรู้ทันกัน เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน เราเข้ามาในวัดในวาแล้ว ถ้าเราไปคุ้นชิน เรามาวัดแล้ว เราทำความดีแล้ว นี่ความคุ้นเคย ดินพอกหางหมูนะ เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา การตื่นตัว เห็นไหม มีสติสัมปชัญญะ มีสติของเรานี่ คุณงามความดีมันมีระยะห่าง เราจะไม่คุ้นชินกับมัน
ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเป็นความคิด ความคิด เห็นไหม เรามีศรัทธามีความเชื่อ มันเข้าข้างตัวเอง เรามาทำความดีแล้ว ความดีต่างๆ ใช่! เราทำความดีแล้ว เราสวดมนต์แล้ว แต่ความดีที่ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ยังมีอยู่ ความดีที่ดีกว่านี้ไปยังมีอยู่
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะนะ เรามีสติของเราอยู่นะ ความดีอย่างนี้มันมีอยู่ มันรักษาหางหมูไว้ไม่ให้ดินพอก มันรักษาใจไว้ไม่ให้สิ่งใดๆ มาคุ้นเคยกับมัน ไม่ให้ความคิดมาทับถมมัน พอความคิดมาทับถมมัน มาคุ้นเคย นี่ความคุ้นเคยจากภายนอก ความคุ้นเคยจากภายใน
ความคุ้นเคยจากภายในมันคุ้นเคย เห็นไหม เวลาพูดถึงเรื่องญาติโดยสายเลือด นี่มันญาติกันโดยสายเลือดนะ แต่ญาติกันโดยธรรมเราไปมาหาสู่กัน เราช่วยเหลือเจือจานกันนะ มันสนิท มันรักกันยิ่งกว่าญาติอีก ความคุ้นเคยนี้ความคุ้นเคยกันทางโลก
แต่ทางธรรมะ เราคุ้นเคยกับความคิดของเรา เราคุ้นเคยกับกิเลสของเรา มันคุ้นเคยไม่ได้ เพราะความคุ้นเคยมันทำให้เราชินชา พอทำให้เราชินชาการกระทำของเรามันจะเฉื่อยชา พอความเฉื่อยชาขึ้นมาการปฏิบัติมามันก็จะไม่ได้ผล
เรามาวัดนี่เรามีศรัทธาความเชื่อ เห็นไหม มันเป็นศรัทธา มันเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ให้เราเข้าไปค้นคว้าแสวงหา การค้นคว้าแสวงหาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ความรู้จริง ความเห็นจริงของเราขึ้นมา จิตมันสัมผัส มันเป็นความรู้จริง เป็นความรู้จริงขึ้นมา มันสัมผัสอย่างนั้น มันสัมผัสจากสิ่งใด? สัมผัสจากความมีสติสัมปชัญญะ ความตั้งใจ ความจงใจ ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ ถ้าเป็นความคุ้นชินมันจะไปนอนใจ มันจะไปนอนอยู่ต่างๆ
นี่ความดีงามต่างๆ มันมีเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วพอมีความปัจจัตตัง มีความสันทิฏฐิโกขึ้นมา เห็นไหม เพราะด้วยความไม่รู้ของเขา เพราะด้วยความเห็นของเขามันเป็นแม่แบบ มันเป็นการพิมพ์ออกมาเป็นรูปแบบสำเร็จรูป พอปฏิบัติไปแล้วนะ พอปฏิบัติไป พอความเข้าใจนะ พอมันเบื่อหน่ายนี่เป็นบรรลุโสดาบัน โสดาบันก็ไม่รู้จักตัวเอง ตัวเองก็ไม่รู้ว่าโสดาบันนะ ไม่รู้จักโสดาบันหรอก ถ้ารู้จักโสดาบันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว ผู้ปฏิบัติไม่มีใครรู้หรอก โสดาบันก็ไม่รู้จักตัวเองว่าเป็นโสดาบัน แต่มันเบื่อหน่ายอย่างนั้นเองเฉยๆ
ถ้าไม่รู้แล้วมันจะเป็นโสดาบันได้อย่างไร? ถ้ามันไม่รู้มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร? เพราะอะไร? ก็เพราะนี่ไง เพราะว่าทฤษฎีมันผิด ความเห็นมันผิด เพราะผิดมันไม่มีผล พอไม่มีผลขึ้นมาเราจะเอาผลขึ้นมาบอกว่า อ้าว.. ผลขึ้นมาก็อ้างไง อ้างแม่แบบ อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
เวลาพูดนี่พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นปัญญา เป็นอุจเฉท มันว่ากันไปตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ.. คนฟังมันละเอียดลึกซึ้งนะ แต่มันเป็นแม่แบบ แม่แบบคือแม่พิมพ์ แม่แบบคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เรารู้อะไร เราเป็นอะไร? เพราะมันไม่รู้อะไร
แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเรา แม่พิมพ์ส่วนแม่พิมพ์ แต่เราประกอบของเราขึ้นมา เราจัดการของเราขึ้นมา นี่เราทำของเราขึ้นมา มันสำเร็จขึ้นมาจากการกระทำของเรา สำเร็จเมื่อไหร่ งานชิ้นสุดท้ายที่โครงการนี้สำเร็จ โครงการนี้จะจบไม่ได้ด้วยมือของเราหรือ ถ้าโครงการจบด้วยมือของเราได้ โสดาบันทำไมไม่รู้จักโสดาบันได้อย่างไร ไม่รู้จักผลที่ตอบแทนขึ้นมาได้อย่างไร?มันต้องรู้หมดแหละ!
รู้หมดอันนั้น นี่ความจริงมันอยู่ตรงนี้ไง ความจริงนี่ผลมันเกิด ผลมันไม่มี พอผลมันไม่มีขึ้นมาก็บอกว่านี่อ้างแม่แบบ อ้างแม่พิมพ์ไง พวกเราไปอิงกันที่แม่พิมพ์ แล้วบอกว่านี่เป็นพุทธพจน์นะ ห้ามโต้แย้ง ห้ามขัดขืนนะ นี่พุทธพจน์.. ใช่ พุทธพจน์ สาธุ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ของเราไม่รู้อะไรนะ
ธรรมะมันมีอยู่แล้วโดยดั้งเดิมเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ปฏิเสธหมดแล้วไม่มีอะไร นี่สมบัติเราหามาบอกไม่มีอะไรเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่เป็นไปได้ เห็นไหม เราไม่ไปคุ้นชินกับมัน เราพยายามแสวงหา พยายามกระทำ มันจะเกิดขึ้นมานะ สติก็เกิดกับเรา สมาธิก็เกิดกับเรา แล้วถ้าปัญญาเกิดกับเรานะ คนที่ปัญญามันเกิดขึ้นมาแล้วนี่มันจะซึ้งใจมาก ซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ดูครูบาอาจารย์ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ
ถ้าเราคิดว่าเรามีปัญญา เราคิดว่าเรามีความรู้ นี้ปัญญาของกิเลส นี้ปัญญาโดยสามัญสำนึก นี้ปัญญาโดยสัญชาตญาณ นี้ปัญญาโดยเป็นข้อมูลดิบ มันเป็นปัญญาโดยโลก ปัญญาโดยการกระทำเกิดมาจากใจ แต่เวลาจิตสงบขึ้นมาแล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากการวิปัสสนา เกิดจากการกระทำ เกิดจากสัจธรรม ไม่ใช่เกิดจากการคาดหมาย เกิดจากตั้งกระทู้ เกิดจากการมันเป็นของเรา
แต่มันเกิดจากการที่เราฝึกหัด ปัญญาเกิดจากการฝึกหัด เกิดจากการกระทำ แต่พอฝึกหัดจนมันคล่องชำนาญตัวของมัน แล้วมันก้าวเดินไปตามสัจจะความเป็นจริงของมัน เราเห็นการกระทำของมัน เพราะปัญญามันหมุนของมันไป มรรคญาณมันหมุนเข้าไป สัจธรรมมันหมุน มรรคญาณมันหมุน มันเข้ามาทำลายนี่ มันรู้จริง เห็นจริง มันจะซึ้งใจมากว่า
อ๋อ! ที่ว่าภาวนามยปัญญาๆ มันเป็นอย่างนี้ ปัญญาที่เกิดจากจิต ปัญญาที่ไม่ใช่เกิดจากสัญญา ไม่ใช่เกิดจากสิ่งใด แต่มันอาศัยจากการกระทำที่เกิดจากสัญญานั้นขึ้นมาก่อน แต่พอเวลามันเป็นจริงขึ้นมานี่มันเป็นจริงของมันขึ้นมา พอเป็นจริงขึ้นมา นี่ผลตอบตรงนี้! ถ้ามีผลตอบ มันมีการกระทำอย่างนี้ มันเสร็จสมบูรณ์ด้วยการกระทำของเรา มันเสร็จสมบูรณ์ด้วยการกระทำอย่างนี้ นี่ไงโสดาบันเป็นเพราะเหตุนี้ นี่ผลที่เป็นมันเป็นอย่างนี้มันถึงตอบได้
นี้ตอบกันไม่ได้ ตอบกันไม่ได้ เบื่อไง มีความเบื่อหน่าย มีคลายกำหนัด ไปเอาแม่พิมพ์เอาแม่แบบ คือเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง แต่ความเป็นจริงนะ เวลาพูดถึงสัจธรรม พูดถึงความเป็นไปนะ เวลาอธิบายถึงการกระทำ
เวลาหลวงตาท่านพูด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกเป็น ๓ ทวีป มันจะกลับมารวมกันอีกไม่ได้เลย มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง
เวทนาจริงตามเวทนา ความจริง เห็นไหม ดูสิเราเวทนาเราก็ไม่จริง ปลอมนะ เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวยาก ก็โอดโอยกันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่พอเป็นความจริงมันอยู่เป็นเอกเทศของมันเป็นความจริง จิตเป็นความเป็นจริงของจิต ทุกข์เป็นความเป็นจริงของทุกข์ มันต่างอันต่างจริง เป็นความจริงกับความจริงที่มันแยกส่วนกัน หลวงตาบอกมันแยกออกเป็น ๓ ทวีป จิตมันรวมลง ความรับรู้มันรวมลง นี่โสดาบัน พอรวมลงแล้วมันรู้สิ่งใด มันตัดสังโยชน์ขาด ๓ ตัว ขาดอย่างไร? ความเป็นจริงมันมีของมัน แล้วรู้จริงของมันตามความเป็นจริงของมัน
เบื่อหน่าย คลายกำหนดนี่ไม่มีใครรู้ได้หรอก ไม่มีใครรู้ได้ โสดาบันตรวจสอบกันไม่ได้ไง โสดาบันตรวจสอบกันไม่ได้ก็กลายเป็นธรรมะในกะลาของเขาไง ครอบกะลากันไว้แล้วก็เป็นธรรมะ นี่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มีมรรคมีผลไปเยอะแยะเลยนะ อู้ฮู.. โสดาบันเดินชนกันทั่วประเทศไทย แต่ไม่ได้ผลนะ
นี่พูดถึงสัจจะความจริง เราเป็นชาวพุทธ พูดถึงน้ำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำเพื่อเราจะให้มีเหตุมีผล ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมรรคมีผล มีเหตุมีผล มีผลของการกระทำความจริงนั้น แต่ผลที่การกระทำอันจริงนั้นมันจะต้องละเอียดลึกซึ้ง
เพราะการทำงานของเรา เห็นไหม กรรมกรแบกหามเขาใช้แรงงานของเขา ผู้มีอำนาจทางการบริหาร เขาบริหารกำหนดนโยบายของเขา เครียด มีความตึงเครียดมากเลย แต่คนที่ใช้กำลัง กรรมกรเขาแบกหาม เขาเหนื่อยยากของเขานะ แต่เขาใช้แรง แต่ผู้บริหารเขาต้องใช้ปัญญา ใช้ต่างๆ เห็นไหม มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ แล้วผู้ที่เป็นเจ้าของ ผู้ที่รับรู้ ผู้ที่เป็นเจ้าของลงทุน แล้วใครเป็นเจ้าของล่ะ?
จิตของเราเป็นเจ้าของ ปฏิสนธิจิตที่พาเกิดพาตายเวียนตายเวียนเกิดนี่ เรามาคิดว่าสัญชาตญาณ ความปัจจุบัน ชีวิตเราเป็นเจ้าของ แต่ตัวจิตจริงๆ มันไม่เห็น ตัวจิตจริงๆ นี่เราไม่รู้จักตัวเราเอง เราไม่รู้จักอะไรทั้งสิ้นเลย เรารู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้า เราไม่มีสติปัญญาไล่เข้าไปถึงต้นขั้วตามความเป็นจริงอันนั้น ถ้าความเป็นจริง ตัวจริงอย่างนี้ออกมาใช้ปัญญาอย่างนั้น มันจะแยกความจริงออกจากกันว่าจริงเป็นจริง เวทนาจริงตามเวทนา ทุกข์เป็นทุกข์จริง ต่างอันต่างจริง
ความจริงเพราะจิตมันจริง เพราะเรารู้จริง เราเห็นจริง เราเริ่มต้นจากการกระทำจริงๆ ของเรา ไม่ใช่แบบสำเร็จรูปจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สำเร็จรูปมามันเป็นแม่แบบ มันเป็นแม่พิมพ์ แล้วเราก็อ้างอิงตรงนั้น นี่แม่พิมพ์ก็เป็นแม่พิมพ์ แต่แม่พิมพ์นั้นเราหาของเราได้ไหม ถ้าเราทำของเราขึ้นมาเองได้ มันเป็นของเราได้ มันจะประสบความสำเร็จของเราได้
จากศรัทธาความเชื่อนะ จากศรัทธาความเชื่อต้องมีปัญญาด้วย มีปัญญาแล้วเราต้องตรวจสอบด้วย เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อสิ่งต่างๆ เลย แต่ถ้ามันเป็นจริงแล้วนะ ตรวจสอบทองคำนะ มันเจอไฟนี่ยิ่งหลอมมันเท่าไหร่ ยิ่งพิสูจน์เท่าไหร่ มันยิ่งสุกเปล่งปลั่งของมันเท่านั้น.. จิตใจของเรา เราต้องตรวจสอบ นี่ไม่ตรวจสอบ นี้ปิดบังไว้ เราอ้างแม่แบบ อ้างแต่พุทธพจน์ๆ แต่ตัวจริงเป็นอย่างไรบอกไม่ได้ ไม่มีใครรู้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
สิ่งที่เป็นไปได้อยู่กับเรา เราต้องพิสูจน์เรา ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน สันทิฏฐิโก รู้ที่เรา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พิสูจน์ได้ การศึกษาเขาพิสูจน์ทันกันได้ การปฏิบัติก็พิสูจน์ทันกันได้ ลูกศิษย์ไปแก้ครูบาอาจารย์เยอะแยะไป ลูกศิษย์ปฏิบัติไปแล้วล้ำหน้าอาจารย์ไปอีก พิสูจน์อาจารย์ได้เลยว่าอาจารย์จริงหรืออาจารย์ปลอม แล้วสุดท้ายลูกศิษย์ก็ไปแก้ครูบาอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ก็ไปด้วยกัน
นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อการประพฤติปฏิบัติกับเรา เราตั้งใจจริง มีศรัทธาด้วย แล้วอย่าไปคุ้นชินกับกิเลส เราจะทุกข์จะยาก เราจะตั้งสติของเราตลอดเวลา ให้เผชิญกับความจริงตลอดเวลา เพื่อประโยชน์กับเราคนเดียวนะ เพื่อประโยชน์กับเจ้าของ เพื่อประโยชน์กับผู้คิด เพื่อประโยชน์กับผู้กระทำนั้น เอวัง