ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คณะศรัทธา

๒๙ ก.ค. ๒๕๕o

 

คณะศรัทธาเช้า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานมีคนมาถามปัญหานะ ถามปัญหาผู้ปฏิบัติใหม่ เวลาปฏิบัตินี่ทำไมนั่งๆ ไปแล้วมันจะโงก มันจะโยกมันจะคลอน แล้วเวลานั่งไปน้ำลายมันจะออกไง พอปฏิบัติแล้วมันจะเป็นอย่างนี้หมดเลย ผู้ที่ปฏิบัติใหม่นี่ เราไปคิดกันเองว่าเราพยายามจะประพฤติปฏิบัติใช่ไหม แต่ไม่คิดเลยว่าขณะที่ปฏิบัตินี่กิเลสมันอยู่กับเราด้วย

เราถึงบอกว่า ให้ทำไป เราปฏิบัตินี่ เอาเรื่องของเราไปปฏิบัติ เพื่อเอาหัวใจ อย่าไปกังวลที่ร่างกายนะ แต่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ไปกังวลกันที่ร่างกายไง

๑.ต้องนั่งให้ตรง ไปกังวลว่าต้องนั่งให้ตรง

๒.ไม่ให้มีการตอบสนองไง คือไม่ให้มีอะไรมาตอบสนอง อย่างเช่น กาย ความรู้สึกมันจะไปตอบสนองสิ่งใด

เราบอกว่า เห็นไหม มันเป็นใจกับอาการของใจ ถ้าอาการของใจมันมีความรู้สึก มีความรู้สึกว่ามันโยกมันคลอน แล้วเหงื่อมันจะแตกบ้าง แล้วเวลาน้ำลายจะออกมาเต็มปากบ้าง แล้วจะคอยกลืนตลอดเวลา แล้วมันก็ไปรับรู้เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ถ้าแผ่นเสียงตกร่องนะเราไปรับรู้สึกตรงนั้นมากๆ เข้า ความรู้สึกนั้นมันจะขยายไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรากลับมาที่ตัวเราเองไม่ออกไปที่ความรู้สึก แล้วมันทำอย่างไรล่ะ

เราเปรียบเหมือนคนกลัวผี เวลาคนมันกลัวผีมันจะกลัวมากเลย อาการกลัวนั้นไม่ใช่ใจนะ อาการกลัวเกิดจากใจ ถ้าอาการกลัวจากใจ เวลาที่พวกเราปฏิบัติใหม่ๆ ทุกคนเพราะพระที่ปฏิบัตินี่นะก็มาจากคนนี่แหละ พอมาจากคน คิดดูสิ คนที่บวชพระใหม่จะกลัวผีไหม ทุกคนกลัวผีทั้งนั้น แต่เวลากลัวผีแล้วให้ไปเที่ยวป่าช้า เห็นไหมกลัวผีแล้วจะเข้าไปหาผีมันไม่ยิ่งกลัวไปใหญ่เลยหรือ

นี่ถ้าคิดทางโลกมันทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นทางธรรมนะ พอกลัวผี เพราะอะไร เพราะกลัวผี เพราะเรามีความลังเลสงสัย เพราะมันมีความสงสัย มันมีนิวรณธรรม สงสัยมันยิ่งกลัวมันยิ่งสร้างภาพใหญ่เลย ก็เลยเดินเข้าไปในป่าช้า เข้าไปป่าช้าแล้วนะไม่มีอะไรเลย ซากศพก็คือซากศพ ต้นไม้ก็คือต้นไม้ ใบหญ้าต่างๆ เห็นไหม แล้วพวกที่เขาทำเป็นที่ฝังศพ มันก็เป็นอิฐหินทรายปูนไม่มีอะไรเลย

แต่เรากลัวตัวเราเองเห็นไหม อาการอย่างนี้กับการกลัวผี การกลัวผีมันก็สร้างภาพอย่างนี้ ถ้าพอเราเข้าไปพิจารณาแล้วนะ ครูบาอาจารย์เข้าไปในป่าช้าแล้วนะ ไปเห็นสุนัข ไปเห็นหนู ไปเห็นสัตว์มันอยู่ในป่าช้า สัตว์มันยังไม่กลัวผีเลย ทำไมเรากลัวล่ะ มันทำให้เรานะ มันกลับละอายใจไง พอเราละอายใจ อาการกลัวผีเกิดจากเรา

เราจะบอกว่าเวลาเรานั่งแล้วโยกคลอน เวลาเราโยกเราคลอน เวลาน้ำลายเราออก ความรู้สึกนี่ จิตมันออกมารับรู้ไง พอจิตมันออกมารับรู้ เห็นไหม เหมือนกลัวผีเลย กลัวผีมันก็เกิดดับ เดี๋ยวก็กลัวเดี๋ยวก็ไม่กลัว

บางอย่าง ถ้าจิตเราปกติ จิตเราไม่คิดอะไร สิ่งนี้จะไม่มีนะ มันจะไม่ออกมารับรู้อาการจากข้างนอก แต่ถ้าเราเผลอปั๊บมันจะออกมารับจากข้างนอก แล้วมันเป็นเพราะเราปฏิบัติใหม่ด้วย พอปฏิบัติใหม่ด้วยความตั้งใจมันสูง พอตั้งใจสูง นึกว่านั่งแล้วมันต้องเหมือนพระพุทธรูป ต้องไม่ขยับเขยื้อนเลยแล้วจิตมันจะลง แต่ความจริงไม่ใช่

ความจริงเรานั่งเพื่อเอาใจไง เวลาเรานั่งเพื่อเอาใจ ร่างกายมันจะคลอนจะแคลนยังไง มันเรื่องของร่างกาย เวลาเราปฏิบัตินะเห็นไหมนั่งครึ่งชั่วโมงเอาชั่วโมงหนึ่ง แล้วมองนาฬิกานะ เวลานั่งอยู่เห็นไหมเราจะเอาใจเรา แต่เราไม่เอาใจเลยเราส่งใจเราไปดูตัวเลข ว่าเข็มกระดิกไปที่ไหน แล้วก็อยากให้มันไปเร็วๆ เห็นไหม มันส่งออกหมดเลย

แล้วพอมันเข้าใจสิ่งใดมันก็ว่ามันว่าง มันปล่อยวางเห็นไหม ความกลัวหายไป ความกลัวหายไปเป็นสมาธิหรือยัง ยังนะ ความกลัวเกิดจากใจ แล้วความกลัวหายไป จิตมันก็ปล่อยเฉยๆ แล้วตัวจิตมันเป็นสมาธิหรือยัง?

ถ้าตัวจิตมันเป็นสมาธิ มันต้องมีคำบริกรรมไง มันต้องมีคำบริกรรมหรือต้องมีปัญญาอบรมสมาธิ คือต้องมีการกระทำ จะบอกว่ามันต้องมีเหตุไง เรานั่งกันอยู่นี่นะเราคิดว่าเรามีสมบัติเต็มตัวกันเลย เรามีทุกอย่างพร้อมเลยแล้วมีจริงหรือเปล่า? ไม่มีหรอก

แต่ถ้าเราทำงานทำการนะ เราได้สมบัติมาเราได้เงินทองมา เงินทองเป็นของเราไหม เป็นของเราเลย ถ้ามันมีเหตุไง มีเหตุที่เรามีคำบริกรรมต่างๆ มันจะย้อนกลับเข้ามาในตัวของใจ มันไม่มีอะไร นี่ไงที่บอกว่าชาวพุทธ เห็นไหมที่ว่าชาวพุทธปล่อยวางๆ ทุกคนปล่อยวางหมดแล้ว ทุกคนเป็นคนดีหมดแล้ว ทำไมต้องไปวัด?

คำนี้จะพูดทุกคนเลย เราก็เป็นคนดีอยู่แล้วทำไมเราต้องไปวัด กิเลสมันอ้างว่าเป็นคนดีไงแล้วเราดีจริงหรือเปล่า?

ถ้าเราดีจริงนะ เราดีจริงเราต้องรู้จักตัวเราสิ นี่เราไม่รู้จักตัวเรานะ ทุกคนไม่รู้จักตัวเราเองเลยเพราะอะไร เพราะว่าธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของความรู้สึกมันส่งออกหมด มันส่งออกหมดมันเลยไม่เข้าตัวมันเอง แล้วพอเราศึกษาธรรมะไงเขาให้ปล่อยวางๆ เราก็ปล่อยวาง เพราะเราไปเข้าใจสิ่งต่างๆ ว่าเป็นสภาวะเราก็ปล่อยวางๆ ปล่อยวางเหมือนกลัวผีนี่แหละ กลัวผีแล้วหายกลัวผี พอหายกลัวผีจิตมันเป็นสมาธิไหม จิตไม่เป็นสมาธิเลย

ไอ้อย่างนี้นะ เวลาเราบอกเด็กขนาดไหนก็แล้วแต่ เราสอนเด็กสอนลูกสอนหลาน ต้องเป็นอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ลูกหลานมันก็ฟังไว้เฉยๆ เหมือนครูบาอาจารย์เราว่าเห็นไหม เวลาอ่านพระไตรปิฎกนี่ให้เชื่อไว้ครึ่งหนึ่ง แต่มันมีความรู้สึกในหัวใจว่ามันยังลังเลอยู่ แต่ถ้าเมื่อใดจิตเราเข้าไปสงบเอง จิตเราเข้าไปเห็นเอง ไม่ต้องมีใครบอกเลย

เวลาความสงบเงียบก็เหมือนกัน ถ้ามันเข้าไปสงบจริงนะมันจะไม่พูดอย่างที่เขาว่า ว่างๆ ว่างๆ อย่างนั้นเลย ไอ้สิ่งที่ว่างๆ นี่นะ เวลาครูบาอาจารย์เขาพูดกับลูกศิษย์มันเป็นผู้ที่รู้กับผู้ที่รู้ เหมือนเราคนทำงาน คนทำงานเป็นกับคนทำงานเป็นพอพูดคำเดียวกันมันเหมือนกัน

แต่คนทำงานไม่เป็นเห็นไหมฟังเขาเล่ามาแล้วก็ทำไป ถ้าทำไปอย่างนั้น มันจะไม่.. มันก็ว่างเหมือนกับว่างๆ ของเด็ก พอเด็กมันนั่งสงบ มันบอกมันว่าง ถ้าเด็กมันนั่งเรียบร้อยนี่นะ มันบอกว่ามันทำคุณงามความดีมหาศาลเลย ทั้งที่มันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่ถ้ามันซนอยู่นี่ เราบอกว่าเด็กนี่ซน ถ้าเด็กไม่ซนปั๊บ มันอยู่เฉยๆ แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ใจเราก็เหมือนกัน ถ้ามันอยู่เฉยๆ มันว่างเฉยๆ มันว่างอย่างนั้นมันว่างของอะไร

เราจะพูดบ่อยมากเลย ว่าความว่างของปุถุชนนะ เราเป็นปุถุชนเรามีสมาธิกันทุกคน ที่นั่งอยู่นี่มีสมาธิกันทุกคนเลยแต่สมาธิของปุถุชนไง ถ้าคนไม่มีสมาธินะ ดูเด็กสมาธิสั้นสิ วงการหมอจะรู้ดีว่าเด็กสมาธิสั้นมันจะคุมตัวเองไม่ได้ เพราะสมาธิมันไม่ปกติเห็นไหม ไปหาหมอหมอต้องพยายามฟื้นฟูขึ้นมา เพราะสมาธิของเราเป็นสมาธิของปุถุชน

แล้วพวกนักวิชาการเห็นไหม พวกนักวิทยาศาสตร์ เขาจะมีการทดสอบของเขา เขาทำวิจัยเขาต้องเพ่ง เพ่งอยู่นี่ สมาธิเขาก็เริ่มดีขึ้น พอสมาธิเขาเริ่มดีขึ้น เพราะอะไร ดูสิอย่างการศึกษา ถ้าเด็กคนไหนศึกษาดี เด็กคนไหนสมาธิดี มันจะเรียนของมันดี ถ้าเรียนของมันดีมันจะดีขึ้นของมันไปเรื่อยๆ

แม้แต่ปุถุชนนะ แม้แต่คนที่ทำงานดี คนที่มีสมาธิดี เหมือนเด็กที่มันเรียนดี เพราะมันมีพื้นฐานของมันดี แล้วพอถ้าจิตมันเป็นอริยมรรค โสดาปัตติมรรค สมาธิมันต่างจากปุถุชนแล้ว ถึงว่าปุถุชน กัลยาณปุถุชนไง ถ้าปุถุชนมันยังมีความฟุ้งซ่านอยู่ ฟุ้งซ่านแล้วมันควบคุมไม่ได้

เหมือนเรานี่ เวลาปฏิบัติไปมันส้มหล่นได้นะ บางทีมันส้มหล่นได้ มันวูบได้ อย่างส้มหล่นอย่างนี้ มันไม่ชำนาญในวสีไง ถ้ามันไม่ชำนาญในวสี อย่างนี้มันทำไม่ได้ มันยกเป็นโสดาปัตติมรรคไม่ได้

แต่ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคจิตมันจะคงที่ของมัน คงที่ของมันเพราะเหตุใด? เพราะปุถุชนและกัลยาณปุถุชน คำนี้เราฟังบ่อย ฟังคนเทศน์บ่อย เวลาใครเทศน์มานี่ นักวิชาการเทศน์มานี่ โดยหลักแล้วต้องพูดถูกต้อง ถ้านักวิชาการที่ถูกต้อง นักกฎหมายต่างๆ โดยหลักนี่ ถ้าโดยหลักเขาแม่นนะ

เวลาเขาขึ้นว่าความเขาจะชักแม่น้ำทั้ง ๕ ไปไหนก็ได้ แล้วเขาจะย้อนกลับมาหลักกฎหมายของเขาไง เพื่อโน้มน้าวให้ทุกคนเห็นตามเขา ถ้าโดยหลักนะ ปุถุชนและกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนมันจะเห็น รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แต่ถ้าคนภาวนาไม่เป็นนะจะบอกเลย บอกว่ารูป รส กลิ่น เสียง เป็นอริยสัจ สรรพสิ่งนี้เป็นอริยสัจ มันจะเป็นอริยสัจได้อย่างไร มันไม่ได้เป็นอริยสัจหรอก มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

แต่เพราะอุปาทานของเรา เพราะความหลงของเราเห็นไหม บ่วงของมารมันล่อ รูป รส กลิ่น เสียงนี่ล่อนะ มันเป็นเครื่องล่อ ถ้าเรามีสติ เรารู้ทันของเรา อย่างเช่นอาหารที่เขามาวางกันนี่ ถ้าเราไม่เข้าไปตักก็ไม่ได้กินหรอก แต่เพราะเราเข้าไปตักอาหารมา เราไปกินมา นี่ปุถุชนเป็นอย่างนี้

ถ้าปุถุชนเป็นอย่างนี้ เห็นไหม ที่หลวงตาท่านพูด จิตมันหิวโหย ถ้าจิตมันหิวโหย อะไรเข้ามามันจะกินทันทีเลย จิตของพวกเรานี่หิวโหยมากนะ อารมณ์ผ่านเข้ามาไม่ได้เลย สิ่งใดกระทบไม่ได้เลย กระทบออก กระทบออก เพราะเราไปเอาเขา

แต่ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชน มันเห็นโทษไง เห็นโทษว่ารูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันเป็นเครื่องล่อ พอมีเครื่องล่อเราเข้าใจปั๊บ พอมันมาถ้ามีสติปั๊บเราจะไม่เอามันนะ เหมือนของที่เขามาวางไว้ เราไม่ไปหยิบนี่เราจะเป็นเจ้าของได้ไหม ถ้ารูป รส กลิ่น เสียง มันไม่เข้ามาหาเรา มันมานี่เราไม่ไปหยิบมัน นี่ไงกัลยาณปุถุชนเป็นอย่างนี้

ถ้ากัลยาณปุถุชนเป็นอย่างนี้ สมาธิเขาจะควบคุมได้ง่ายไหม? สมาธิของเขา จิตของเขาเขาจะควบคุมได้ง่าย เพราะเขาเห็นว่า อะไรเป็นเครื่องล่อ อะไรเป็นโทษ แล้วพอเห็นอะไรเป็นโทษมันไม่ไปหยิบเข้า พอไม่ไปหยิบ อันนี้พูดโดยสัจจะข้อเท็จจริงนะ แต่ในเมื่อเด็ก เด็กมันไม่รู้เรื่องของเขาหรอก จิตนี่จิตเด็กๆ นะ ถ้าจิตเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง เราถึงต้องใช้คำบริกรรมไง ถ้าคำพุทโธ พุทโธ พุทโธ คือไม่ต้องบอกเหตุผล

คือว่าให้พุทโธให้จิตมันเกาะพุทโธนี้ไว้ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมารนะ มันเป็นบ่วงมันเป็นเครื่องล่อ แล้วไปบอกมันมันก็ไม่เข้าใจ เพราะอะไรเพราะมันยังเป็นปุถุชนอยู่ ไม่เข้าใจพอไม่เข้าใจมันก็ต้องให้คำบริกรรมเกาะตรงนี้ไว้ ถ้ามันเกาะคำบริกรรมนี้ไว้มันพัฒนาของมันเข้าไป มันจะวนของมันเข้าไป ถ้าวนเข้าไปมันถึงจะเป็นสมาธิไง

ถ้าจิตเป็นสมาธิขึ้นมา มันเห็นไงว่า รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เราเห็นแล้วเราเข้าใจแล้ว เข้าใจด้วยรู้แจ้งนะ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ พูดอย่างนี้เราก็ฟังแล้วเข้าใจ แต่เข้าใจอย่างนี้มันเข้าใจชั่วคราว เข้าใจแต่พอมันมา มันก็หยิบ มันทนสิ่งเร้าในใจไม่ได้ มันทนกิเลสไม่ได้

แต่ถ้าเราไปเห็นโทษ เหมือนอย่างที่ว่าเหมือนเราจับ เราจับปลานึกว่าเป็นปลา แต่พอรู้เป็นงูเห่า เราจะปล่อยทิ้งเลย พอมันเห็นโทษอย่างนั้นมันจะเข้าอย่างนั้น พอมันขาดอย่างนี้ นี่กัลยาณปุถุชน พอเป็นกัลยาณปุถุชนนี่จิตมันจะคงที่ จิตมันจะรักษาได้ง่ายมากเลย พอรักษาได้ง่ายขึ้นมานี่พลังงานมันมีพร้อม มันย้อนไปโสดาปัตติมรรคสบายได้เลย

ถ้าย้อนไปโสดาปัตติมรรคสบาย มันจะทำของมันได้ มันจะยกขึ้นวิปัสสนาได้ แต่จะวิปัสสนาได้มันต้องมีตรงนี้ไง ตรงนี้เป็นพื้นฐาน แต่เวลาทำอย่างนี้มันไม่ได้อย่างนั้น มันทำตรงนี้ไม่ได้

พอทำตรงนี้ไม่ได้ ก็เพียงแต่ทำกันไปแล้วก็เทียบเคียงธรรมะไป ว่าธรรมะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นวิปัสสนึกไป ถ้ามันนึกของมันไปเรื่อยๆ มันก็เลยเป็นธรรมเพราะสภาวธรรม ทำๆ กันไป มันถึงไม่เข้าทางไง

พูดถึงเวลาเราเข้าใจหลัก ถ้าเข้าใจหลักแล้วเราก็อยู่กับหลักไป ทำไปเรื่อยๆ นะ เพราะการทำอย่างนี้เหมือนปลูกต้นไม้ เราปลูกต้นไม้นะมันอยู่ที่ดิน อยู่ที่อากาศ อยู่ที่น้ำ ถ้าเรารักษาอย่างนี้ต้นไม้จะงอกงาม เวลาเราปฏิบัติก็เหมือนกันตั้งสติไว้ แล้วพุทโธไปเรื่อยๆ ถ้าไม่พุทโธก็ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วใคร่ครวญไป

มันจะมากจะน้อยมันทำไป แต่ทุกคนจะคิดวิตกวิจารว่าเราทำนานแล้ว เราไม่ได้ จะทำอย่างไรให้สะดวกสบาย ให้เข้าถึงมรรคผล แล้วเวลาทำไปเราก็ไปดูสมบัติคนอื่นนะ เวลาสมบัติคนอื่น เห็นไหมสว่างโพลง สว่างโพลง พูดกันบ่อยนักเลย

แต่เราบอกว่า เวลาของหลวงปู่มั่นเรานะ ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น มันก็เหมือนสว่างโพลงนั่นแหละ ช้างกระดิกหูกับสว่างโพลงใครเร็วกว่ากัน งูแลบลิ้นแพล็บเดียวเท่านั้นกับสว่างโพลงเห็นไหม แต่ขณะที่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นนี่ ในเถรวาทเราในการปฏิบัติของครูบาอาจารย์เรา ขณะที่จิตมันมรรคสามัคคี ชั่วเสี้ยววินาที พั้บ! พั้บ! เป็นไปเลยนะ

แต่ขณะที่จะเป็น อย่างที่เราสร้างสมมานี่ เพราะอะไร หลวงตาท่านจะพูดบ่อย บอกว่าถ้าไม่มีกอไก่กอกาขึ้นมา ไอ้สว่างโพลงอย่างนั้นมันจะเป็นได้อย่างไร เพราะเรามีความต้องการอย่างนั้น พอเรามีความต้องการอย่างนั้น เราคิดอย่างนั้น เราก็จะว่าอย่างนั้นง่าย คือเราจะไปทิ้งรากกันไง ถ้าเราทิ้งรากฐานกันหมดเลย เราจะอยู่อย่างนั้นแล้วเราจะได้อะไร

เราต้องเริ่มต้นจากฐานนี้ไป ถ้ามันเป็นความจริงนะต้องเริ่มต้นจากฐานนี้ไป ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญาอย่างไรก็แล้วแต่ มันมั่นคง ถ้ามันสามเส้าเห็นไหม เราตั้งหม้อบนสามเส้า มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

นี่ก็เหมือนกันในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องมีหลักของเรา จิตคนเรานี่ เวลาปฏิบัติไปมันมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญตลอดไปนะ อาหารเราเกิดมาเรากินทานอาหารไปแล้วกี่รอบ การปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเจริญเดี๋ยวเสื่อม เดี๋ยวเจริญเดี๋ยวเสื่อม ถ้าเรารู้จักเจริญรู้จักเสื่อม ไม่ไปวิตกวิจารกับมันเลย อยู่กับเหตุผลเท่านั้น ตั้งสติไว้ แล้วพยายามตั้งตนไปและวิปัสสนาไป แล้วทำสมถะไปวิปัสสนาไป ของเราเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป

ฉะนั้นเน้นย้ำว่าในการปฏิบัตินี่ ปฏิบัติเอาหัวใจ ในเรื่องของร่างกาย มันจะมีปัญหาของมัน มันจะมีอะไรของมันเป็นเรื่องของร่างกาย ดูนะเวลาคนพิการเขาจะทำอย่างเราไม่ได้หรอก เพราะเขาเป็นคนพิการใช่ไหม ขนาดคนพิการเขายังปฏิบัติได้ เพราะยืน เดิน นั่ง นอนไง แล้วถ้ามันทำได้ มันเริ่มต้นจากความลังเลสงสัยของเรา ความลังเลสงสัยของปุถุชน

เพราะคำว่าปุถุชนนะ มันจะมีความลังเลสงสัยตลอด แล้วทำไปมันก็คาดหมายยิ่งไปเห็นผลงานนะ เวลาครูบาอาจารย์เทศน์เห็นไหม มันจะทำอย่างนั้นทำอย่างนั้นเราก็ทำตาม ถ้าทำตามโดยเหตุโดยผล เราก็ทำตามของเราไป ผลจะเกิดไม่เกิดมันหน้าที่ของผลนั้น แต่นี่เราทำตามไปเหมือนกับเราทำเลข นับเลข แล้วผลของมันต้องให้ได้อย่างนั้น นั่นมันเป็นการนับแต่ในการประพฤติปฏิบัติ

ดูสิเหมือนที่เราทำเห็นไหม วาดภาพนี่วาดเหมือนกัน แต่ภาพสวยไม่สวยต่างกันแล้ว เพราะมันอยู่ที่ฝีมือ นี่ก็เหมือนกันในการประพฤติปฏิบัติ ทำเหมือนกันแต่ผลไม่เหมือนกันนะ ผลไม่เหมือนกันเพราะอยู่ที่เรา เราทำได้มากได้น้อย ตั้งใจตรงนี้ว่าการปฏิบัติ มันทำแล้วมันจะไม่ได้ผล มันเป็นการเริ่มปฏิบัติใหม่นะหรือจะปฏิบัติเก่าก็แล้วแต่ ถ้ามันยังทำไม่ได้ผล

เพราะเวลาองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ ขอให้ปฏิบัติบูชา แล้วเราทำบุญกุศลกัน เรื่องของทานเรื่องของศีล เรื่องของการปฏิบัติ ปฏิบัติบูชา เพราะการปฏิบัติมันก็มีโอกาสแล้ว คนปฏิบัติเหมือนการเริ่มต้นทำงาน ถ้าคนเริ่มต้นทำงานมันมีผลงานนะ ถ้าไม่เริ่มต้นทำงานอะไร แล้วผลงานเอามาจากไหน

นี่ปฏิบัติบูชา เราปฏิบัติแล้วได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ จะทรมานขนาดไหนก็ทรมานไป เพราะเวลาปฏิบัติมันปฏิบัติยาก แล้วพอเราพูดถึงว่าปฏิบัติง่าย เราก็ไปคาดการณ์ว่าสิ่งที่ปฏิบัติง่ายนั้นคือการปฏิบัติได้ผล ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก มันปฏิบัติง่ายปฏิบัติยาก มันอยู่ที่ตนสร้างบุญกุศลมา ใครสร้างมาหรือไม่สร้างมาเท่านั้นเอง นี่พูดถึงเริ่มต้น

เริ่มต้นมันจะเป็นยังไงให้มันเป็นไป ร่างกายมันจะโยกคลอนขนาดไหนก็เรื่องของร่างกาย เอาหัวใจเท่านั้น

ถ้ามีปัญหาต่อไป ใครมีอะไรโต้แย้ง เพราะเราพูดถึงพื้นฐานไง ถ้าไม่มีปัญหา เวลาเราพูดจากพื้นฐานมันจะโดด มันจะเหินฟ้า เพราะมีพื้นฐานแล้วโดยการเทศน์ จากการปรับพื้นแล้วมันก็ขึ้นโครงสร้าง พอขึ้นโครงสร้าง มันก็ขึ้นตกแต่งภายในแล้ว โดยพื้นฐานอย่างนั้นถ้าใครถามพื้นฐานแล้วเราจะตอบประเด็นใหม่

ถามปัญหามา ตอนนี้ให้ถามแล้ว เวลาไม่ให้ถามนะก็อยากถาม

ถาม : หลวงพ่อครับ เวลาภาวนาไป บางทีนี่บางจังหวะ หมายถึงว่า อัตตาตัวตนมันขึ้น จนเราเอาไม่อยู่ บางทีมันเป็นความหลงแล้วเราจะแก้อย่างไรครับ? หลวงพ่อ:ขณะที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นไหม ตอนนั้นเรากำลังต่อสู้เหมือนนักกีฬา นักกีฬาเวลาแข่งขันเห็นไหม ตัวเองแข่งขันอยู่กับคู่แข่ง เราจะไม่รู้ว่าเราทำผิดทำถูกเพราะเราพยายามอยู่ แต่คนดูนะเห็น นี่จะบอกขณะปฏิบัติไง ขณะปฏิบัติเหมือนกับเรากำลังแข่งขัน เราจะไม่เห็นตัวเราเองเลย

แต่พอมันผ่านไปแล้วเห็นไหม นี่ไงพอพูดตรงนี้ปั๊บมันสะเทือน สะเทือนตรงไหนรู้ไหม ตรงที่พระพุทธเจ้าบอกว่าปัจจุบันธรรมไง แล้วกิเลสมันก็หลบอยู่อย่างนี้แล้วมันก็อยู่เหนือเรานิดเดียว แพ้ทุกที ปฏิบัติทีไร เดี๋ยวก็ลุกสู้ไม่ไหว พอลุกมาแล้ว เฮ้อน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้

แต่ในปัจจุบันเอาไม่ทัน แค่นี้นะมันก็ควบคุมเราได้ชาติหนึ่งแล้ว แล้วมันจะเกิดตายไปอีกกี่ชาติๆ มันก็แค่นี้ แค่ที่มันเหลื่อมเรานิดเดียว แล้วก็ชนะเราตลอดไปเลย มันรู้โดยที่ว่าออกมาแล้ว มันรู้เป็นอัตตา เวลาเราปฏิบัติอยู่มันขับดัน ขับดันนะเราเคยนั่ง พวกนี้มันเคยนั่ง

เราเคยนั่ง จิตมันเริ่มสงบมาก สงบจนตอนนั้นคุมได้ดีมากเลย แล้วบังเอิญเด็กมาเล่นอย่างนี้ ลุกพรวดเลยจะไปเอ็ดเขา ลุกพรวดเลยนะ นี่พอตัวเองทะลึ่งมาเลย นั่งอยู่นี่ทะลึ่งเลยนะ พอทะลึ่งขึ้นไปถึงประตูสติมันมาทัน

“มึงจะบ้าหรือ?” กลับมานั่งอย่างเก่าเลย ทะลึ่งไปเลยนะ เพราะตอนนั้นจิตภาวนามีขั้นมีตอนแล้วสูงมาก แล้วกำลังหมุนเต็มที่เลยนะ แล้วเด็กเล่นกันเสียงดังมาก มันประสาเรานะประสาเราด้วยสามัญสำนึกทุกคน ต้องคิดว่าเราทำดีทุกคนต้องส่งเสริม แล้วเวลาเราทำดีอยู่ในกุฏิเรานี่ ไม่มีใครรู้หรอกข้างนอก ว่าใครทำดีอยู่

เขาไม่รู้ของเขา เขาเล่นของเขา พอเล่นของเขาเราก็คิดว่า เอ๊ะ เราทำดีขนาดนี้ ทำไมคนเขายังมามีปัญหา มาทำให้เราเสียโอกาส แล้วก็โกรธ พอโกรธทะลึ่งไปเลยแต่มันเพราะปฏิบัติมันขึ้นไปแล้ว พอทะลึ่งไปนะสติมันมาทันเลย

ถ้าวันนั้นไป ธรรมดาเราเป็นพระแล้วเขาเป็นเด็กนี่ พระมันต้องเอ็ดใครก็ได้โดยที่ว่าสิทธิตามสังคมไง มันสามารถจะว่าใครก็ได้ แล้วก็ต้องออกไปว่าเขาเต็มที่เลย แต่พอสติมันมา พั้บ! นี่ มันถามตัวเองเลย “มึงจะบ้าหรือ?”

คือคำว่า “จะบ้าหรือ” คือเขาไม่รู้เรื่อง คนที่เอ็งไปบอกไปว่าเขานี่เขาไม่รู้อะไรกับเอ็งเลย เราต่างหากเห็นไหมเรานั่งอยู่ แล้วจิตเราเป็นสมาธิอยู่ แล้วเขามากระเทือนจิตเราอยู่ เรารู้ของเราอยู่เราโกรธของเราอยู่แต่เขาไม่รู้เรื่องเลย พอเขาไม่รู้เรื่อง ก็กลับมานั่งใหม่ อันนี้ก็เหมือนกัน เวลามัน อัตตามันเกิด อัตตามันเกิด เรารู้เราเข้าใจเพราะพอพูดปั๊บ เวลามันเกิดจากภายในมันดัน มันดันมันเหมือนกับภาษาโลกว่าอัดอั้นตันใจ

เหมือนกับเราเป็นเด็กแล้วโดนผู้ใหญ่เอ็ดนะ มันจะอัดอั้นตันใจในหัวใจของมัน มันจะระเบิด มันจะระเบิดมันก็ต้องหาทางออก หาทางออกก็กำหนดพุทโธก็ได้ ระบายมันไปทางใดทางหนึ่ง ไอ้อย่างนี้มันอยู่ที่เทคนิคนะ เทคนิคหมายถึงว่าคนเรานี่มันจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทุกๆ คน แต่มันจะเกิดในแง่ของอาการอย่างใด เพราะกิเลสอันเดียวกันนั่นล่ะ แต่มันอยู่ในหัวใจมันจะเกิดในแง่มุมอย่างใด

อย่างเช่นวันนี้ภาวนาแล้วดี ภาวนานี่นะ นั่งพุทโธอย่างนี้ มุมนี้ อากาศอย่างนี้ บรรยากาศอย่างนี้นั่งแล้วดีมากเลย แล้วพรุ่งนี้จะเอาบรรยากาศอย่างเดิมนี้ มานั่งตรงที่เก่านี้ไม่ได้เรื่องเลย เห็นไหมจะบอกว่าคนละแง่ ทั้งๆ ที่บรรยากาศเหมือนกัน เราเลือกชัยภูมิ เลือกทุกอย่างเหมือนกันเลย แต่กิเลสมันรู้ทันแล้วไง เมื่อวานนี้กิเลสมันไม่รู้ทันเพราะกำหนดอย่างนี้ปั๊บ แล้วมันลงได้

วันนี้จะกำหนดอีก หรือจะไปชำระกิเลสอีก กิเลสมันรู้ทันเลย มันพลิกกลับเลย พอพลิกกลับอาการถึงเกิด อึดอัดมาก อึดอัดทางใจไปหมดเลย โอ้เมื่อวานมันได้ เมื่อวานมันได้ ตรงนี้อย่างนี้ได้เลย แล้ววันนี้ทำไมมันไม่ได้ นี่ไงเหมือนกันเลยที่พูดเมื่อกี้ว่าปฏิบัติเอาจิตไม่ได้ปฏิบัติเอาร่างกาย แล้วบรรยากาศอย่างนี้ ใช่บรรยากาศอย่างนี้ แต่หัวใจที่มีกิเลส มันมีเล่ห์เหลี่ยมของมันแล้วมันสร้างภาพอย่างนี้

เราถึงบอกภาวนาไปนี่ลองผิดลองถูก นั่งอย่างนั้นได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เปลี่ยนอย่างนี้ เขาเรียกว่าอุบายไง หลวงตาท่านใช้คำนี้เราจำแม่น บอกว่าการประพฤติปฏิบัติ มันจะเอาแบบว่าซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่มีอุบายวิธีการคือปฏิบัติแบบไม่ใช้ปัญญาไง คำว่าปัญญานี่นะ ถ้าทางโลกมันเหมือนฉ้อฉล เหมือนกับเล่ห์เหลี่ยม

คำว่าปัญญานะคือเหมือนกับหลบหลีก แต่ถ้านักปฏิบัติ เพราะกิเลสมันเป็นเรา ไอ้การหลบหลีกอย่างนี้ เราไม่ใช่หลบหลีกเพื่อเรา เราจะหลบหลีกเอาชนะเรา อุบาย ทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำทำซาก ทำอย่างนั้นก็ได้ ทำอย่างนี้ก็ได้ เราหาแง่มุมของมันไง แล้วทำเหมือนกัน ลงไม่ลงต่างกัน บางทีอยู่ที่บรรยากาศ บางทีอยู่ที่จิต

คำว่าอยู่ที่จิต เราถึงเน้นเห็นไหม เพราะเราเห็นอาการอย่างนี้ เราเคยปฏิบัติมาอย่างนี้ ตีสามครึ่งเราจะปลุกพระทั้งหมดเลย ลงมาทำข้อวัตร พอทำข้อวัตรเสร็จประมาณสัก ๑๐ กว่านาทีเสร็จแล้ว พอเสร็จแล้วจากตีสามกว่า ตีสี่ ตีห้า หกโมงเช้า สองสามชั่วโมง ช่วงเช้าจิตใจยังไม่กระทบกระเทือนอะไร มันจะไม่มีแรงไม่มีอัตตาตัวนี้ไง

คือนอนตื่นขึ้นมาไม่มีอะไรกระทบเลย แล้วเราดึงขึ้นมา ดึงขึ้นมาให้ทำข้อวัตร แล้วตอนนี้อยู่ที่อำนาจวาสนา ใครจะมุ่งมั่นใครจะหาวิธีการอย่างไรเพื่อเอาชนะตัวเอง แล้วถึงเวลาบิณฑบาตออกบิณฑบาต พอบิณฑบาตกลับมาเสร็จแล้ว ไปแล้ว อยู่ที่โอกาสละ

นี่ไง พิสูจน์ทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมงให้ปฏิบัติตลอด เว้นไว้แต่ตอนเช้า ถ้าฉันอาหาร แล้วมาฉันน้ำร้อน แล้วทำข้อวัตรแล้วนั่นตลอดเลย เพราะเราปฏิบัติมา เราต้องการโอกาสอย่างนี้ เราอยู่ที่วัดไหนนะ ถ้าเขามีโอกาสให้เราภาวนา เราอยู่ที่นั่นนาน ถ้าวัดไหนเขาพาทำงาน เขาพานอกเรื่องนะ เราอยู่ไม่นานเดี๋ยวเราเก็บของไป

ฉะนั้นพอเรามาเป็นหัวหน้าเอง เราต้องการให้ทุกคนมีโอกาสไง นี่ให้มันมีโอกาสให้สิ่งที่ว่า เวลาปฏิบัติไปนี่ แรงขับอย่างนี้ ความเป็นไปอย่างนี้ จำไว้เลย หลวงตาพูดบ่อย ขณะปฏิบัติไปนี่นะ อย่านึกว่าปฏิบัติแล้วธรรมะจะได้ปฏิบัติตลอดไป กิเลสมันอยู่กับธรรมะนั้นด้วย กิเลสเรานี่

ถ้าไม่อย่างนั้นนะ เวลาคนเราทุกยากนะมีคนบวชมาก พอเวลาบวช บอกตลอดชีวิต ตลอดชีวิต ฮึกเหิมมากเลย บวชแล้วต้องเป็นพระอรหันต์ นี่ไงเพราะขณะที่จิตมันดีเห็นไหม แต่พอไปทำปั๊บ กิเลสมันเกิดนะ พอกิเลสมันเกิด เล่ห์เหลี่ยมมันออกแล้ว ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำอะไรก็ไม่ได้ พอทำไม่ได้ปั๊บ แปลกนะถ้าคนมีวาสนานะ มันยังพยายามรักษาใจไว้

เราถึงบอกพระตลอด บอกธรรมวินัยเหมือนกับอาวุธ เอาไว้รักษาตัวเอง อาวุธนี้อย่าไปทำลายคนอื่น ขณะที่จิตมันตกนะ เพราะธรรมวินัยมันเป็นกฎหมายใช่ไหม มันก็ไปว่า พระองค์นั้นขาดตกบกพร่องอย่างนี้ พระองค์นั้นบกพร่องอย่างนี้ พระองค์นั้นบกพร่องอย่างนั้น ทุกคนบกพร่องหมดเลย นี่ไงไปทำลายเขาแล้ว แต่ความจริง ธรรมวินัยนี้เพื่อเรา

พอเห็นคนนู้นก็บกพร่องคนนี้ก็บกพร่อง เราดีคนเดียว แล้วเราดีคนเดียวก็อยู่ไม่ได้ สึกไปซะ แต่ถ้ามันไว้ดูแลเราเห็นไหม รักษาเรา รักษาเรา เรื่องของเขา เขาทำดีก็มี เขาบกพร่องก็มี ถ้าเรื่องของเราเราต้องดูแลของเรา อย่าให้เราเอาธรรมวินัยมาทำลายตัวเอง

ตั้งแต่ถ้าเริ่มบวชใหม่ๆ เราจะบอกว่าจิตมันดี มันดีไปหมดแต่เวลาจิตมันตก ขณะที่จิตตกเพราะอะไร เพราะในใจเรามีกิเลส ขณะที่ปฏิบัติ กิเลสมันไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครปฏิบัติเลย ขณะที่เราปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อจะชนะกิเลสต่างหาก แต่กิเลสไม่เคยเปิดโอกาสให้เลย เพียงแต่มันยังไม่มีช่อง แล้วจิตเรากำลังดีอยู่ จิตเรายังมีศรัทธาอยู่ มันยังแสดงตัวไม่ถนัดไง แล้วมันว่าปฏิบัติ เออ มันได้ผลบ้าง สงบบ้าง ดีบ้าง

แต่ถ้ามึงเผลอนะ นี่แก่นกิเลสแล้วมันเอาคนอยู่ในอำนาจของมันตลอด จะต้องหลวงตาพูดบ่อยนะ งานอะไรทุกข์ยากเท่าชำระกิเลสไม่มี มันเผลอไม่ได้ เราอยู่ด้วยกันนะ เขาจะทำร้ายเรา เขายังทำร้ายเราเลย ไอ้นี่มันความรู้สึกเลย มันคิดอยู่นี่ แล้วมันทำร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว นี่อวิชชาไง มันอยู่กับจิตนะแล้วมันทำลายเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย

อย่างเช่น ที่ปฏิบัติแล้วมันไม่ลง แล้วทำไมไม่ลงถ้าปฏิบัติไม่ลง คือสมาธิไม่ลง แล้วทำไมมันเคยลงล่ะ ถ้ามันเคยลงแสดงว่ามันลงได้ใช่ไหม แล้วทำไมคราวนี้มันไม่ลงล่ะ ไม่ลงมันก็ต้องมีเหตุสิ มันก็ต้องมีเหตุที่กิเลสมันเป็นตัวขัดขวางสิ ถ้ามีกิเลสเป็นตัวขัดขวาง นี่ไงเราถึงจะต้องขัดเกลากิเลส

ธุดงควัตรนี่เป็นการขัดเกลากิเลส ขัดเกลาให้มันเบาลง เช่นผ่อนอาหาร คนง่วงนอนอดนอนมันจะแก้ง่วงนอนได้อย่างไร? ได้ คนง่วงนอนแล้วยิ่งนอนนะ นอนแล้วนอนเล่าไปนอนเถอะ ไม่เคยอิ่ม นอนแล้วนอนอีก นอนแล้วนอนอีก มันก็จะนอนต่อไป เอาไว้ไปลองดูได้ แล้วบอกอดนอนมันแก้ง่วงนอนได้อย่างไร อ้าว ลองดูสิ อดนอนแก้ง่วงนอนได้ มันง่วงไม่นอน ไม่นอน

อดนอน ผ่อนอาหารไง คือขัดเกลากิเลสคือไม่ให้กิเลสมันตัวอ้วนเกินไป แล้วมันคอยทำอย่างนี้ แต่เราไม่คิดเลยว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี่มันเป็นการขัดเกลากิเลส คือไม่ให้กิเลสมันเข้มแข็งไง ไม่ให้กิเลสมีอำนาจเหนือใจไง ไม่มีอำนาจเฉยๆ นะ แต่ทำอะไรมันไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีมรรคญาณ

อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าไม่มีมรรคญาณ เข้าไปทำลายกิเลสทำลายไม่ได้หรอก กิเลสเนี่ย อาวุธอย่างนี้ ธรรมวินัยอย่างนี้ที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เป็นธรรมและวินัย เป็นอาวุธเห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านบอกว่า “เอ๊ะ! แล้วจะสอนใครได้หนอ” เห็นไหม นี่ข้อวัตรปฏิบัติไง ปฏิปทาเครื่องดำเนิน ที่พระพุทธเจ้าวางไว้ แล้วครูบาอาจารย์เราไปปฏิบัติไว้ วางไว้ให้เราใช้ นี่เราเอามาใช้ แต่มันใช้ขึ้นมาเพื่อจะเสริมไง เหมือนกับเรา ทุกๆ คนนะพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า

“เราไม่สามารถทำใจให้ใครบริสุทธิ์ได้ แต่เราสามารถบอกทางได้”

ทีนี้เราข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นทาง พอเป็นทางเห็นไหม อย่างเรามานี่ ทางรัฐบาลเขาทำทางให้เรามา ขับรถมาตามทางนั้น แต่ทางในใจล่ะ ทางในใจที่ก้าวเดินไปอยู่ที่ไหน ข้อวัตรปฏิบัตินี่เห็นไหมเราถึงต้องสร้างทางไง สร้างทางเพื่อสร้างสมาธิ สร้างสตินี่ไง

เราจะบอกว่าเวลาเราทำงานก่อสร้างนะ เรามีพิมพ์เขียว เราไปสั่งวัสดุได้เลย วัสดุอะไรก็ได้สั่งได้เลย แต่ในใจนะสั่งวัสดุไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญาสั่งไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญาต้องเกิดขึ้นเองหมด งานประพฤติปฏิบัติไม่มีการสั่งจากใครทำให้ได้เลย วัสดุทุกตัวต้องตั้งโรงงานผลิตเองหมด ถนนหนทางทุกสายต้องสร้างเองหมด

แล้วเดินได้คนเดียวด้วย จิตดวงนั้นดวงเดียวเดินไป แล้วจบแล้วเห็นไหม โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค ทำไมโสดาปัตติมรรคกับสกิทาคามิมรรค ต่างกันอย่างไร สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรคต่างกันอย่างไร อนาคามิมรรค อรหัตมรรคต่างกันอย่างไร

มรรค ๔ ผล ๔ แล้วเป็นของบุคคลคนเดียว บุคคล ๘ จำพวก บุคคลคนเดียวเปลี่ยนเป็นได้ ๘ บุคคล โสดาปัตติมรรคเป็นบุคคลที่ ๑ โสดาปัตติผลเป็นบุคคลที่ ๒ สกิทาคามิมรรคเป็นบุคคลที่ ๓ สกิทาคาผลเป็นบุคคลที่ ๔ มรรค ๔ ผล ๔ เราสร้างเองนะ เราต้องสร้างเองทุกอย่าง แล้วเป็นคนเดินเองแล้วเป็นคนได้ผลเอง แล้วเราก็จำทางของเรา

เวลาจำทางเวลาเทศนาว่าการ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านคุยกันทางตรงนี้ คุยกันเรื่องถนนหนทาง ถนนของใคร หนทางของใคร ถนนของใครตัดผ่านไปทางไหน จะลงเหวหรือบ่อนะ ลึกตื้นอย่างไร อยู่ที่อำนาจวาสนา

ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนสมบุกสมบั่น ผ่านป่าเขาแบบ สมบุกสมบั่น ลงทะเลลงเหวขนาดไหน ครูบาอาจารย์องค์นั้นจะมีประสบการณ์มาก ครูบาอาจารย์องค์นั้นจะสามารถแก้วิถีจิตของลูกศิษย์ได้มหาศาลเลย ครูบาอาจารย์องค์ใดไปเรียบๆ นะ ไปแบบเรือเดินบนทะเลถึงฝั่งเลย

เวลาลูกศิษย์ไปประพฤติปฏิบัติ ลูกศิษย์เรือไปชนหินโสโครก ครูบาอาจารย์ไม่เคยชน อ้าว แล้วอย่างนี้เป็นอย่างไร อย่างนี้เป็นอย่างไรเห็นไหม นี่อยู่ที่อำนาจวาสนา ประพฤติปฏิบัติง่าย มันเป็นประสบการณ์ทางจิตทั้งหมด แล้วจิตมันจะกระทบมันจะรู้ไปหมดมันจะมีปัญหาไปหมด แล้วทุกดวงจิตต้องมีปัญหาหมด เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญาเท่านั้น ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย

แล้วถ้าย้อนกลับสิ เวลาเราเห็นว่าขิปปาภิญญาปฏิบัติง่ายรู้ง่ายนะ ย้อนกลับไปดูเวลาสร้างมานะทุกข์น่าดูเลย เพราะเขาทุกข์

ดูอย่างพระพุทธเจ้าสิ เพราะอ่านพระไตรปิฎกนะเป็นกระต่าย เห็นนายพรานเขาหลงป่ามา นายพรานเขาอดอยากอยู่ หนาวมากจุดไฟ ก่อไฟผิงอยู่ พระโพธิสัตว์เป็นกระต่ายโดดเข้ากองไฟเลย สละชีวิตนี้ เลือดเนื้อนี้ให้กับนายพราน ๒ คนนั้นได้กิน นี่พระโพธิสัตว์ สละชีวิตขนาดนี้นะ สละมาตลอดเลย

แต่เวลามาปฏิบัติเข้ามันก็ได้ผล ก็ขิปปาภิญญาว่าปฏิบัติง่ายรู้ง่าย แต่ลองย้อนกลับไปอดีตชาติสิ ชาติที่จะมาเป็นขิปปาภิญญา เขาต้องสมบุกสมบั่นมาขนาดไหน เขาต้องเสียสละมาขนาดไหน ไอ้เราถ้าพูดถึงเราเสียสละมาเราจะมีโอกาสตรงนี้ ถ้าไม่เสียสละมานะ การเสียสละมาปั๊บมันจะเปลี่ยน เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนจิต

จิตมันเคยกระทบมันเคยเสียสละ มันจะเปลี่ยนความรู้สึกนั้น พอมันเป็นจิตตรงนี้ พอมีอะไรกระทบ เชาวน์ปัญญามันเกิดไง แต่ถ้าเราไม่เคยเสียสละเลยนะ จิตนี้มันจะซื่อบื้อเพราะมันไม่เคยมีอะไรกระทบเลย เห็นอะไรก็ซื่อบื้อ ซื่อบื้อไปหมดแต่ถ้าเชาวน์ปัญญามันเกิดนะ

การเกิดเชาวน์ปัญญาดูสิ ดูอย่างเราประสบอุบัติเหตุหรือเราไปเกิดวิกฤตเราผ่านมานี่จะใช้อะไรผ่านมา ถ้าไม่ใช้ปัญญา แก้ไขเหตุการณ์นั้นมา การแก้เหตุการณ์นั้นมาเห็นไหม ฝึกจิตมา จิตได้สะสมอย่างนี้ สะสมมาสะสมมา มันจะลงไปที่จิตได้หมด แต่พอมันเจอเหตุการณ์วิกฤต มันไม่ตื่นเต้น

มันแก้เหตุการณ์นั้นไปได้เหตุการณ์นั้นไปได้ เราไม่ได้คิดกันอย่างนี้นี่ เราคิดกันแต่ปัจจุบันนี้ไง เพราะมันมีอย่างนี้ จะพูดว่าเพราะมันมีอย่างนี้ ย้อนบุพเพนุวาสานุสติญาณ เพราะย้อนอดีตชาติ ย้อนกลับไปๆ กลับไปๆ มันเคยเห็นอย่างนี้ไง มันเห็นอย่างนี้มันเป็นอย่างนี้ มันถึงยืนยันได้อย่างนี้ ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ เพียงแต่คนไม่มีตรงนี้ คนไม่เชื่อตรงนี้มันก็มองภาพไม่ชัด

ถ้ามองภาพชัดมันจะย้อนกลับได้หมด ตัวจิตนี้ไม่เคยตาย มันจะไปของมันอย่างนี้แล้วในปัจจุบันนี่จิตไม่เคยตายด้วยนะ แล้วเวลามันเกิดตายเกิดตาย มันผ่านจากโอกาสนี้ไปแล้วนะ โอกาสกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ทีนี้มันมีแต่ซื่อบื้อกับซื่อบื้อมาเจอกัน มันผ่านโอกาสไปแล้วนี่ มันไม่มีใครบอก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มานี่ มาบอกมาสอนนี่ แล้วดูสิ องค์ที่ ๔ และจะองค์ที่ ๕ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาอีก มันจะหมุนไปอย่างนี้ แล้วเรามาเกิดกึ่งพุทธกาลเราเจอตรงนี้ แล้วจะเอาหรือไม่เอา จะทำหรือไม่ทำ แล้วทำพอเวลาทำขึ้นมา ตั้งใจทำแล้ว

พอตั้งใจทำประสาเรา เราจะพูดอย่างนี้เลยนะ พวกโยมนี่ปฏิบัติ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ โดนกิเลสเอาไปกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ โยมทำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ในความเห็นเราโยมทำได้แค่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะโยมไม่ได้ทุ่มเท แล้วทุ่มเทไม่ได้ มันทุ่มเทไม่ได้เพราะมันแบกรับภาระ ๒ ส่วนไง

ส่วนหนึ่งคืออาชีพ ส่วนหนึ่งความรับผิดชอบ พอส่วนความรับผิดชอบปั๊บมันต้องแบกรับภาระส่วนนี้ไว้ แล้วมาอีกส่วนหนึ่งคือส่วนมาปฏิบัติ นี่พูดถึงธรรมะแบกรับนะ เพราะโดนแบกรับนี่ไงมันถึงโดนหลอก

โดนหลอก เพราะอะไร โดนหลอกเพราะเราต้องทำอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ปั๊บ เราหน้าที่การงานเราจะเสียหาย โดนหลอกแล้ว แต่พระไม่มีตรงนี้ ถ้าพระมีตรงนี้ปั๊บนะ อดอาหารจนเดินไม่ได้คลานไปก็ไม่เป็นไร แต่โยมอดอาหารไม่ได้เลย เพราะมันจะไปเสียงาน มันลงหลักไม่ได้เหมือนกัน

แต่ถ้าเป็นพระ เป็นพระนะเราเป็นพระ เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ปกป้องดูแลรักษา อย่างอยู่บ้านตาดอย่างนี้ ท้าตัวเองได้เลยนะ หมออยู่นี่จะรักษามึงทั้งหมดเลย รักษาทั้งไข้กายไข้ใจเลย แล้วรอเอ็งด้วย เอ็งสามารถหาโรคมาสิ คือปฏิบัติมาให้ติดสิ ปฏิบัติมาให้มีเหตุมีผลสิ นี่หมอรักษาเลย

คำพูดคำนี้นะมันเหมือนกับเราทำแล้วสบายใจไหม เราจะมีคนแก้ไขตลอด แล้วมันสบายใจตรงที่ว่าเลี้ยงกายเลี้ยงใจ เลี้ยงกายคือว่าอยู่ในวัดนี่นะ ในวัดนี่เพราะทุกอย่างมันสมบูรณ์ ในวัดอาหารก็มี น้ำปานะก็มี อะไรมีหมดต้องทุกข์ร้อนไหม คือมันตายใจปฏิบัติได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ไม่ต้องห่วงอะไรเลย

ถ้าขาดแคลนปั๊บ เหมือนกับเราอยู่ในโรงพยาบาลเลย พอช็อกหมอให้ออกซิเจนได้เลย มันไม่ตกใจเลยเห็นไหม ถ้าเอ็งช็อกเดี๋ยวนี้ เอ็งจะตายเดี๋ยวนี้นะ หลวงตาอยู่ตรงนั้นนะ รักษาเอ็งได้หมด เรามีความรู้สึกอย่างนี้ตอนอยู่บ้านตาด

นี้พอเห็นพวกโยมมาถามปัญหานี่เห็นไหม นั่งแล้วเป็นอย่างนั้น นั่งแล้วเป็นอย่างนี้มันเพราะอะไร เพราะ ๑.ปฏิบัติเอง เหมือนกับอยู่ในป่าห่างจากโรงพยาบาลหลายร้อยกิโล พอกลัวว่าเจ็บไข้ได้ป่วยจะไปโรงพยาบาลไม่ทัน ไปถึงหมอจะอยู่ไม่อยู่ก็ไม่รู้ โอ๊ย วิตกกังวลไปหมดเลย อาหารก็ต้องหากินเอง ทุกอย่างก็ต้องทำหมด

นี่ไงเราถึงบอกว่าปฏิบัติ เรานี่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราอยู่กับครูบาอาจารย์ลุยไปเลย จะเป็นจะตายเดี๋ยวอาจารย์จัดการให้ จะตายเดี๋ยวเผาศพไปเลย มันทำได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เห็นไหม แต่โยมทำ เราถึงบอกว่าเวลาการประพฤติปฏิบัติไปการต่อสู้กับกิเลส ไม่ให้มันมีช่องเลย ไม่ให้มีเปอร์เซ็นต์แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียวที่บอกว่า “อย่างนี้ก็ได้” ไม่ให้มีเลย ไปเต็ม ๑๐๐ ใส่เลยไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจะเป็นอย่างนั้นไม่มี ลุยไปอย่างเดียว

ทีนี้โยมไม่ได้ เพราะอย่างที่ว่านี่ เริ่มต้นก็ภาระรับผิดชอบแล้ว ภาระทุกอย่างพร้อมแต่ก็ยังดี เห็นไหมเวลาหลวงตาท่านพูดบ่อย อย่างน้อยก็ขอปฏิบัติวันละ๕-๑๐นาที มันจะเป็นจริตนิสัยไปไง แต่ถ้ามันปัจจุบันนี่จนสิ้นกิเลสได้มันก็สุดยอด จะบอกว่าถ้าอย่างนั้นโยมก็ต้องปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อเป็นจริตนิสัยไปอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่

ดูสิเราไปร้านอาหารที่ไหนอร่อย เราไปกินอาหารเขามันติดในรสชาติไหม จะขับรถกลับไปกินอีกไหม? อยากเต็มที่เลยเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว ถ้าจิตมันสงบ มันมีจริตนิสัยมันฝังลงที่ใจ เหมือนเราเคยได้กินอาหาร ได้กินอาหารที่ดีมันก็อยากกินอาหารอย่างนี้อีก

ถ้าจิตมันลงสมาธิ จิตมันมีหลักฐานนะ แล้วมันก็อยากทำอย่างนี้อีก ถ้าอย่างนั้นมีอย่างนี้นะ เวลาใครปฏิบัติมานะ ถ้าจิตมันมีพื้นฐานโดยที่เป็นสมาธิ เราสบายใจคือมันพูดง่าย มันพูดง่าย หมายถึงว่ามันพูดไปแล้ว เหมือนเราพูดเรื่องอาหารนี่แล้วคนคนนี้เคยกินอาหารมาแล้ว เห็นไหม พูดไป ประสบการณ์ที่เขาเคยกินมานี่เขาจะรับรู้ได้ง่าย แล้วเราอธิบายมันก็ง่าย

ถ้าจิตเราเคยได้สัมผัสตรงนี้ นี่ปัจจัตตัง ๑. ทุกคนที่นั่งปฏิบัติกันอยู่นี่ ทุกคนต้องสงสัย สมาธิจะเป็น อย่างไร ปัญญาจะเป็นอย่างไร ทุกคนสงสัยหมดนะ แล้วเวลาสงสัยกับสงสัยคุยกัน มันก็งงสิ แต่คนเรานี่นะ เราเคยไปเจอ เราไปสัมผัสมาแล้วใช่ไหม นี่ปัจจัตตัง สงสัยไหม สงสัย แต่ก็เคยเห็น พูดกัน เอ้อๆ น่าจะรู้ น่าจะเข้าใจเห็นไหม นี่คำว่าพูดง่าย

ถ้าหากเขาได้สมาธิมา อะไรมา เอ้อ พูดง่ายๆ ใช่ครับๆ จะเป็นอย่างนั้นครับ จะเป็นอย่างนั้นครับแล้วจะฟังไป เพราะอย่างนี้นะเวลาพระพุทธเจ้าบอกเห็นไหม เราจะสอนเขาได้อย่างไร เพราะอะไร เพราะรู้อยู่คนเดียว แต่พอพระอัญญาโกณฑัญญะรู้ พระโมคคัลลานะรู้เห็นไหม เรามีพยานแล้ว เรามีพยานแล้ว แล้วพูดออกมาได้เลย เพียงท่านพูดออกไปบางที

เมื่อวานพวกน้องๆ พวกหลานๆ มาเยอะ เมื่อวานเขามาถวายเทียนกัน แล้วเราบอกเลยนะเราพูดอะไรนี่ เราจะโกหกอย่างไรก็ได้ พวกเอ็งไม่รู้หรอก เราจะโกหกอะไรก็ได้เพราะเขาไม่รู้หรอก เราถึงบอกว่าถ้าเราโกหกอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่า ถ้าเขาศึกษา เขาสัมผัสแล้วมาจับผิดเรา เราจะพูดถึงวงการพระไง

เมื่อวานเขามาถวายเทียน แล้วเราบอกเลยนะ เราบอกเห็นไหมถ้าเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริง ธรรมมันจะเหนือโลก คือมันจะเหนือผลประโยชน์ ธรรมะนี่นะเหนือผลประโยชน์ทั้งหมดเลย ผลประโยชน์นี่เหยื่อ เหยื่อของกิเลส ลาภสักการะ โมฆะบุรุษตายเพราะลาภ ตายเพราะเหยื่อ แล้วไอ้ผลประโยชน์นี่คือเหยื่อ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ที่มีธรรมะแล้วนี่ยังกินเหยื่ออยู่นี่นะ มันจะเป็นธรรมะเหนือโลกได้อย่างไร

เราบอกแล้ว เอ็งเห็นไหมข้างทาง เขาจะมีคัตเอาท์ไปหมดเลย นั่นล่ะประกาศจับ ประกาศจับหมดเลย มีรูปหมดเลย ประกาศจับเพราะอะไร? เพราะเขาเอาสิ่งนั้นมาหาลาภสักการะ เพราะให้ไปเอารูปนั้นไปแลกอย่างนั้น ไปแลกอย่างนั้น นี่มันผลประโยชน์ทั้งนั้น

แล้วเอ็งเอาธรรมะของพระพุทธเจ้านี่นะมาหาผลประโยชน์กัน แล้วธรรมะมันจะเหนือโลกได้อย่างไร มันต่ำกว่าโลกนะ เพราะเอาธรรมะ เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาหาผลประโยชน์กันนี่มันจะธรรมเหนือโลกได้อย่างไร

พอพูดอย่างนั้นไป เอ้อ เขาพึ่งเช่าจตุคามมาให้แม่เขาเหมือนกัน เราก็บอกใช่ไหมโคตรรวยเลยใช่ไหม เอ็งเอาเงินไปให้เขา เขารวย เอ็งได้กระเบื้องมาใช่ไหม ทุกรุ่นรวยหมดเลย คนทำมันรวย

เด็กๆ เมื่อวานเด็กๆ หลานๆ มาเด็กๆ พยายามพูดให้เขาสนใจไง พูดให้เขาสนใจ เพราะธรรมดาสายเลือด สายเลือดไม่ค่อยฟังกันหรอก ทีนี้เมื่อวานมาครบเลย มาถวายเทียนเยอะมาก บอกเลย กูจะหลอกอย่างไรก็ได้ เอ็งจับกูไม่ได้หรอก จะพูดอย่างไรให้เอ็งฟัง แนะเขาไปเรื่อยๆ ก็หลาน ลูกของพี่ชายลูกของน้องชายเขารวมๆ กันมา มาถวายเทียน อย่างน้อยให้เขาได้ฉุกคิด ให้เขาได้ฉุกคิดนะ

เวลาหลวงตาท่านจะพูดอย่างนี้ ให้ถามว่า ชีวิตนี้คืออะไร ให้ถามว่าทุกข์นี้คืออะไร คือเราให้ตั้งปัญหาถามตัวเอง พอตั้งปัญหาถามตัวเองปั๊บ ตัวเองมันจะหาคำตอบไง เหมือนกับทางวิทยาศาสตร์เห็นไหม เด็กมันจะถามทุกเรื่องเลย มันอยากรู้อยากเห็นไปหมด เราก็ต้องพยายามให้มันมีปัญญาขึ้นมา ถ้าเด็กมันไม่ถามเลยไม่ศึกษาเลยไม่ค้นคว้าเลย เด็กมันก็จะไม่มีปัญญา

แต่เราไม่ถามอย่างนั้น เราเป็นผู้ใหญ่แล้วเราถามเลย ถามตัวเองนี่ ชีวิตนี้คืออะไร ทุกข์นี้มาจากไหนแล้วจะหาของเราเอง หาจากภายในนี่มันแก้จากภายใน ไม่งั้นเราจะไปหาจากภายนอก โลกเป็นเรื่องข้างนอกนะ เรื่องของโลก คือเรื่องของการสัมผัส เรื่องของธรรมคือเรื่องของภายใน

พระพุทธเจ้าพูดซึ้งมาก ในสโมสรสันนิบาต ทุกดวงใจว้าเหว่

ในสโมสรสันนิบาตนะ ไม่ใช่ในบ้านเรานะ ในห้องในหับเราเหงาๆ เออ น่าจะทุกข์อยู่ ไอ้นี่ในสโมสรสันนิบาตเลย กำลังชนแก้วกันนี่แหละ แต่ทุกดวงใจว้าเหว่ โลกนี้เกิดมาว้าเหว่หมด ไม่มีดวงใจดวงไหนเลยที่มีความสุข ไม่มี

พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้พระพุทธเจ้ากล้าประกัน แล้วเราก็เชื่อ แล้วเราเอาคำนี้มาพูดบ่อย แล้วประกันกับพวกโยมๆ โยมๆ หลายคนมากมาหาเรานะไม่เคยรู้จักทุกข์ เราไล่จนจนหมด

มันมีมาคู่หนึ่ง (โทษนะ) วัยรุ่นกำลังมีความรักมากเลย ไม่รู้จักทุกข์หรอก ๒ คนมาคุยกัน ไม่รู้จักทุกข์ บอกเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ไล่ไปไล่มา ยอม เพราะเขามากันเยอะแล้วพรรคพวกเพื่อนมาจากนครปฐม สงสัยเขาคงจะเป็นแบบว่า ๑.มีฐานะด้วย ๒.กำลังรักกันนะ

แล้วเพื่อนเขาคุยกันว่ามีความทุกข์ เขาไม่เชื่อ มาหาเราเขาก็เถียง ๒ คนช่วยกันเถียง ไม่ทุกข์หรอก ทุกข์ไม่มี ไม่รู้จักทุกข์ ไล่ไปเรื่อยไล่ไปเรื่อยไล่ไป เป็นไปไม่ได้

แม้แต่อาหารเรานะ มาไม่ทันใจ เราก็ทุกข์แล้ว สั่งอาหารนะ ถ้าอาหารมาไม่ทันใจนะ ยิ่งปัจจุบันนี้ ดูสิ รถติดนะ รถติดแล้วปวดท้องทุกข์ไหม แล้วบอกว่าไม่ทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แค่ขับถ่ายก็ทุกข์จะตายแล้ว บอกไม่ทุกข์เป็นไปไม่ได้เลย คนไม่ทุกข์ไม่มีหรอก

ทุกข์แต่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ยอมรับความจริงแล้วไม่เห็นอริยสัจ ไม่รู้พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยสัจนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์เป็นความจริง นี่วิทยาศาสตร์เห็นไหม บอกศาสนาพุทธนี่ทุกข์นิยม ไม่ใช่สัจจะนิยม มันเป็นความจริงนะ

ดูสิ ทางตะวันตก เขาพยายามรัฐสวัสดิการ แล้วคนเฒ่าคนแก่ว้าเหว่มาก เหงามาก ทุกข์มาก รัฐสวัสดิการฟังสิ ทุกอย่างพร้อมหมด ทุกอย่างมีบริการหมดเลย ในการดำรงชีวิตนี้ไม่ทุกข์เลยนะ เขาดูแลรักษาหมดเลย แต่นอนโอดโอยนะ

เช่นหลวงตาท่านว่าเห็นไหม ตึกร้อยชั้นไปนอนโอดโอยอยู่บนตึกชั้นที่ร้อยนั่น สวัสดิการมีพร้อมหมดแต่หัวใจมันทุกข์ คือเอาเรื่องสวัสดิการเรื่องโลกช่วยเหลือกันได้นะ แล้วทางตะวันตกนี่ เขาศึกษามาเขามีปัญญามา เขาพยายามจะคิดไง คิดว่าให้เราดำรงชีวิตไปกันให้ได้ และดำรงชีวิตกันแบบทุกข์นี่ไง

แต่ในศาสนาเราเห็นไหม ถ้ามองนะขาดแคลนเห็นไหม ดูสินี่ก็ไม่สมประกอบ นี่ก็ไม่สมประกอบแต่สุขนะ ทำไมบริขาร ๘ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ สมบัติมีบริขาร ๘ หาเงินเข้าคลังหลวงเป็นหมื่นๆ ล้าน มีอะไรมีบาตร มีจีวร มีสังฆาฏิ มีอะไรเป็นสมบัติ ไม่มีสมบัติส่วนตัวเลย เพราะอะไร เพราะสมบัติมันสมมุติ ตายตูมทีเดียว

ดูอย่าง โตเทยยพราหมณ์ ฝังไว้เต็มเลย เกิดเป็นสุนัขไปเฝ้าอยู่ เพราะอะไร เพราะจิตมันผูกพัน โตเทยยพราหมณ์ เป็นโยมก็ตระหนี่ ตายไปเกิดเป็นสุนัขก็ตระหนี่ แล้วพิสูจน์กัน ไปขุดเอานะ ขุดมาเลย ทองคำทั้งนั้นเพราะสมัยนั้นไม่มีธนาคาร เศรษฐีใส่ไหฝังดินหมดล่ะ แล้วฝังดินเป็นคนฝังไว้ไม่บอกใคร ตายไปแล้วตัวเองก็ยังจะสัมพันธ์อยู่ มาเกิดเป็นสุนัขเฝ้ามัน

พระพุทธเจ้าบอกเลยนี่โตเทยยพราหมณ์ บอกลูก ลูกไม่เชื่อ ลูกไม่เชื่อก็ให้เรียกมันว่าพ่อ แล้วเลี้ยงอาหารมัน รับรองให้ดี แล้วขอ พอขอไปตะกุยนะ เอาคนใช้ขุด คนใช้ขุดเจอไหทองคำเลย เราคิดนะมันน่าสลดใจนะ มันเป็นโทษไง ถ้าใช้เป็นประโยชน์มันจะเป็นประโยชน์ นี่เราเป็นเจ้าของมันนะ พอเป็นเจ้าของเพราะความผูกพัน ตายไปควรจะไปดีกลับต้องมาเฝ้ามัน

แล้วพอเฝ้ามัน มันเป็นทาสนะ เราทำตัวเป็นทาสไม่ได้ใช่ไหม เราทำตัวเป็นทาสไม่ได้ เราเกิดได้เป็นเพราะจิตเป็นธาตุรู้ เป็นสิ่งที่มีชีวิต นี่ถ้าเกิดขึ้นมา เกิดเป็นตุ๊กแก จิ้งจก เกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิตไปเฝ้ามัน แต่นี่เกิดเป็นสุนัข ใจนี่สำคัญมากเลย ไปผูกพันมันไง

แต่ถ้าเราเสียสละไป เราทำผลประโยชน์ขึ้นมา โอ้โฮ จากใจดวงนี้ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เพราะการเสียสละอันนั้นแต่กิเลสมันทำไม่ได้ แต่ถ้าเห็นโทษอย่างนั้น พอเห็นโทษอย่างนั้นปั๊บ ถ้าเราเป็นเจ้าของมันหรือเราบริหารมันเห็นไหม อย่างที่ว่า ถ้าเราไม่มีจิตที่เป็นสาธารณะนะ

เนี่ยไม่กล้าพูดหรอก อย่างของนี่บางทีนะ วันนั้นมาจากโพธารามโกรธมาก มาถึงเสียงดังมากเลย เสียงดังมากมาจากไหนไม่รู้ แล้วเอาของมาถวายไง เราบอกนะไอ้นี่ไอ้ที่โกดังที่คลองเตยมีมากกว่านี้อีก แต่มันทำบุญไม่ได้ โยมเป็นคนเอามันมานะ เราบอกว่าของแบบนี้มันไร้สาระนะ ไม่ใช่เอาของมาทำบุญแล้ว คิดว่าเอาของมามากมาน้อย แล้วคิดว่าตรงนั้นจะเป็นประโยชน์นะ

ไปดูโกดังสินค้าที่คลองเตยสิมันเป็นโกดังๆ เลย มันเป็นประโยชน์ไหม มันเป็นประโยชน์เพราะคนมีใจศรัทธาแล้วเอามันมานะ ของนี่ไม่มีประโยชน์เลยมันเป็นแร่ธาตุนะ แต่หัวใจของมนุษย์นี่มันเสียสละแล้วมันหามา แล้วเอามาถวายนะ ถวายสิ่งนี้สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศล

เสียงดังมากมาถึงเสียงดังมาก เราจะบอกว่าคนไม่เคยทำบุญไง คนไม่เคยทำบุญ เสียสละอะไรหน่อยหนึ่งมันเรื่องใหญ่มาก ต้องเสียงดังหน่อย ใครเสียงดังมาจะบอกเลย ในคลังสินค้ามีมากกว่าเอ็ง ไปดูโลตัสสิ มันเต็มบริษัทเลย มันไม่มาหากูหรอก มีแต่คนไปซื้อมาถวาย หัวใจคนยิ่งใหญ่ สมบัติเป็นแค่สมบัติเท่านั้น

นี่จะบอกว่าถ้ามีจิตใจสาธารณะมันกล้าพูดอย่างนี้ แล้วใครมานี่เอ็ด ถ้ามานี่เอ็ด แล้วเวลาโทษนะ บางทีคนทุกข์คนยากนะ บอกมาเลยอยากทำบุญไม่ทำบุญ ข้าวทัพพีเดียวทำไมทำไม่ได้ ข้าวทัพพีเดียวเห็นไหม นี่ที่ใส่บาตรพระสารีบุตร คนจนทุคตะเข็ญใจ แล้วเคยใส่บาตรพระสารีบุตรแค่ทัพพีเดียว เวลาจะมาบวช ไม่มีใครบวชให้ คนจนน่ะ ทุกคนเมินหน้าหนี

พระพุทธเจ้าเล็งญาณเห็นว่าจะมีบารมีเป็นพระอรหันต์ไง ประกาศถามเลย

“ทุคตะคนนี้เคยมีบุญคุณกับใคร?”

พระสารีบุตรยกมือเลย “เคยมีบุญคุณกับเกล้ากระผมครับ”

“มีบุญคุณอะไร?”

“เคยใส่บาตรผมหนึ่งทัพพี”

เพราะใส่บาตรทัพพีนั้น “อย่างนั้นพระสารีบุตรบวช”

พอบวชขึ้นมานี่ โห ผู้เฒ่าแล้วเป็นคนที่มีความพยายาม ในพระไตรปิฎกนะ ภิกษุบวชผู้เฒ่านี่ยากมากเลย ปฏิบัติยากแล้วก็สอนยาก แต่ยกเว้นภิกษุผู้เฒ่าองค์นี้ เพราะพระพุทธเจ้าถามพระสารีบุตร

“สารีบุตร สัทธิวิหาริกของเธอ สอนดี สอนได้ง่ายหรือไม่”

“ง่ายครับ ได้ครับ”

สำเร็จพระอรหันต์ นี่ถึงบอก จะมาคิดว่าเราไม่มีข้าวของ แล้วจะมาทำบุญไม่ได้ ไม่ต้องหรอก เพราะพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ อนุโมทนาทานก็ได้ เห็นเขาทำบุญกุศล ดีใจกับเขาได้บุญแล้วนะ

ทีนี้กิเลสนี่มีบุญตรงไหน กิเลสของเรานี่นะไม่ค่อยยอมรับใครใช่ไหม อยากจะแข่งขัน แต่ถ้าเราเห็นคนทำคุณความดีแล้วสาธุกับเขา นี่บุญแล้ว บุญนี่หาได้ง่ายๆ หาได้ทั่วไปหมดเลยถ้าคนรู้จักหา แต่คนไม่เข้าใจหามันจะหาแต่กิเลสไง หาที่กิเลสว่าเขาทำบุญ พวกกูจะทำมากกว่ามึง มึงเท่าไหร่ กูจะทำเท่านั้น หากิเลสกัน

ทั้งๆ ที่จะทำบุญนี่แหละ แต่ถ้าเขาทำบุญนะ สาธุ สาธุ สาธุจริงๆ นะ อย่าสาธุที่ปากนะ สาธุจริงๆ ด้วย ถ้าสาธุออกมาจากใจทุกอย่างออกมาจากใจ ถ้าออกมาจากใจแล้วไม่กลัวผี ไม่กลัวอะไรเลย เพราะออกมาจากใจ ใจคิดอย่างอื่นไม่ได้ แต่นี่ออกมาจากอาการของใจไม่ใช่ใจ

ส่วนใหญ่ออกมาจากกิเลส กิเลสมันตบแต่งแล้ว กิเลสมันอนุญาตแล้วถึงพูดออกมาได้ ถ้ากิเลสไม่อนุญาตพูดไม่ได้ ถ้ากิเลสไม่อนุญาตนะ จะพูดอย่างนั้นไม่ได้ มันขัดใจมันไม่ยอมเลย แต่กิเลสอนุญาตค่อยๆ พูดออกมาหน่อยหนึ่ง ไม่อย่างนั้นไม่ยอมกิเลสมันคุมหัวอยู่ (อย่าหัวเราะเอ็งด้วย)

ถ้าปัญญาวิมุตติมันจะเห็นอย่างนี้ เพราะมันจะเห็นธรรมารมณ์ เห็นธรรมารมณ์ เห็นอาการของใจ ระหว่างใจกับอาการของใจมันจะปล่อยวางกันอย่างไร แล้วเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วมันปล่อยมันขาดอย่างไร มันทำลายอย่างไร นี่ไงพระอรหันต์ถึงบอกว่าคิดอกุศลไม่ได้ไง เพราะความคิดเกิดจากใจ แล้วมันคิดเป็นอกุศล มันคิดเป็นกิเลส คิดเอาไฟเผามันมันจะคิดได้อย่างไร มันคิดไม่ได้หรอก

อยู่ดีๆ เอาไฟจี้เราเป็นไปไม่ได้หรอก เว้นไว้แต่เผลอมองไม่เห็นเดินไปชนมัน แต่คนเอาไฟมาจี้เราโดยที่รู้สึกตัวนี่ไม่มีใครทำนะ ใจก็เหมือนกันถ้ามันสะอาดแล้วนะ แต่นี่เพราะเราไม่รู้ เราไม่รู้ว่าไฟนะที่เราจี้กันอยู่นี่ ไม่รู้ว่าไฟ จี้ทุกวันเลย อ้าว ไม่จี้ คิดขึ้นมาทุกข์ทั้งนั้น คิดขึ้นมาก็จี้ทีหนึ่งๆ เอาไฟเผาตัวตลอด ไม่รู้

แล้วถ้ามันรู้นะ ไม่มีใครทำได้หรอก แต่มันกว่าจะรู้กับไม่รู้นี่ต่างกัน ไม่รู้นี่คือมันเป็นสัญชาตญาณไปกับมันหมดเลย รู้คือมันคิดแล้วมันทัน นี่ไงที่ว่าสติเป็นอัตโนมัติไง สติเป็นอัตโนมัติหมด คิดอะไรรู้ทันหมดเลย รู้ตลอดเพราะอะไร? เพราะมันเสวยอารมณ์ จิตกระเพื่อมรู้ทันหมด น้ำอยู่ปกติแล้วน้ำไหวตัวนี่ทำไม่จะไม่รู้

น้ำไหวตัวคือความรู้สึก ความคิดเกิดไง ถ้ามันความคิดอยู่โดยธรรมชาติของมัน เหมือนมันไม่คิดเห็นไหม อย่างที่หลวงตาบอกว่า เวลาเดินไปมันไม่ออกรับรู้นะเดินตก พลั่ก!ไง เดินไปเดินโดยสัญชาตญาณไม่รับรู้อะไรเลยนะ ที่ว่าเผลอๆ ไม่เผลอหรอก ไม่เผลอในอริยสัจแต่เผลอในขันธ์ เผลอในสัญญา เผลอในข้อมูล

เพราะข้อมูลมันอาการของใจ ต้องเอาใจออกมารับรู้มัน แล้วถ้ามันถอนกลับมาอยู่ในตัวมันเอง อยู่ในนิพพาน มันจะไม่รู้อะไรเลยอยู่ของมันอย่างนั้น นี่น้ำนิ่ง แต่เวลามันจะออกรับรู้นี่มันต้องกระเพื่อม มันต้องเสวยอารมณ์ ต้องรับรู้เพื่อจะสื่อความหมายกันอยู่ในขันธ์ แล้วออกมานี่ สติพร้อมหมด

ทีนี้ท่านบอก ท่านอยู่ของท่านเฉยๆ เผลอไม่ได้เพราะท่านไม่คิดเอง ท่านไม่คิดไม่ออกมากินเหยื่อ ท่านอยู่ของท่านเฉยๆ แต่ไม่เผลอหรอก นั่นอัตโนมัติ เวลาถ้าจบกระบวนการแล้วจะเป็นอย่างนั้น จิตมันเป็นอิสระ อิสระอย่างนั้น แต่ของเราไม่อิสระ ของเรามันเหมือนกับคัตเอาท์มันสับแล้ว ไฟมันจะวิ่งตลอด แล้วมันจะวิ่งเข้าไปในเหตุการณ์ต่างๆ มันจะหมุนของมันไป

(สมควรแก่เวลาไหม อ้าว มา)

โยม : ถ้าเกิดเรา คือกิเลสนี่มันยิ่งใหญ่มาก เวลาเราพลาดท่ามันนี่ เกิดว่าเราไม่ทันชาตินี้เนี่ย เราจะสามารถไปปฏิบัติธรรมในภพอื่น สมมุติถ้าเกิดเราอยู่ในภพที่ภูมิมันต่ำลงไป มันจะทันได้ไหมครับ

หลวงพ่อ : กิเลสมันยิ่งใหญ่มาก มันควบคุมใจไว้ใช่ไหม แต่อย่างนี้ถ้าเราทำอย่างนี้ มันก็ต้องอธิฐานนะ เราพูดบ่อย บางทีเราก็กลับมา เราเดินจงกรมนะ เราก็สลดใจเหมือนกัน เพราะเราสบประมาทพวกนี้ไปเยอะ บอกว่า

“พวกเอ็งจะไปเกิดยุคพระศรีอริยเมตไตรยนี่ เอ็งคิดว่าเอ็งจะไปได้ไหม? เอ็งไม่ได้ตีตั๋วแล้วเอ็งจะไปหาเขาได้ไง”

นี่ไงเราไม่ได้อธิฐานไว้ ไม่ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลถึง คือไม่ได้ตั้งปรารถนาไง ถ้าเราตั้งปรารถนา มันต้องปรารถนานะ แล้วเราทำบุญถึง ดูสิ ถ้าเราไม่ตั้งปรารถนา หลวงตาท่านทำบุญกุศล เราก็นั่งนอนจมกันอยู่นี่แล้วเราจะได้อะไรด้วยล่ะ ถ้าเราไปทำบุญกับท่าน เราไปขวนขวายกับท่าน เราร่วมบุญกับท่านไป นี่ถึงกัน

นี่ก็เหมือนกันถ้าจิตมันมีอำนาจเหนือนะ ใช่มันมีเหนือนะ เราก็ปฏิบัติอย่างนี้ แล้วเวลาต้องฝึกไง นี่เวลาฝึกนะสังคมโบราณของชาวพุทธไงให้คิดถึงพระตลอดเวลา เวลาเราจะตาย คิดถึงพระมันไปดีไง สำคัญมากเลยออกจากบ้านแต่งชุดอะไร นี่วัวปากคอกหลวงตาท่านพูดอย่างนั้น

เวลาเปิดคอกวัวออกก่อน อารมณ์ความรู้สึกสุดท้าย เวลาเราตายไปเราอยู่กับอารมณ์อะไร มันจะเกิดตรงนั้น ถ้าเราอยู่กับอารมณ์ที่ดีจะเกิดดี เกิดดี เกิดดี แล้วพอดีไปนี่ เราเปรียบอย่างนี้นะ เราเปรียบเหมือนเกลืออยู่ในภาชนะ ถ้าใส่น้ำมากเกลือมันก็เจือจาง ถ้าน้ำน้อยเกลือมันก็เข้มข้น นี่ก็เหมือนกัน กรรมมันมีอยู่แล้ว ดีและชั่ว

ถ้าเราเพิ่มน้ำมากๆๆๆ ขึ้นไป มันก็เจือจางไปๆ เราจะบอกว่า ถ้าเราตายไป เราตั้งสติไว้ มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมแล้วแต่ เราก็ปฏิบัติของเราไปเรื่อยๆ ถ้าเราสร้างวาสนาตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเรามีคุณสมบัติอย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็ลงมาฟังเทศน์ พระอริยบุคคลถึงที่สุดได้

ถ้าเราไม่มีความคิดอย่างนี้เกิดเป็นเทวดาเหมือนกันนะ แล้วไปเสพสุขรอหมดชีวิต เทวดาก็ไปฟังเทศน์กัน นี่ก็เหมือนที่เราว่านี่ พวกนี้มีปัญหาไปวัด เขาโอ๊ย พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง มันนอนกันอยู่บ้าน ปล่อยวางหมดเลย แล้วตายก็ตายไปเฉยๆ นะ เทวดาก็เหมือนกันถ้าเขามีวาสนาเขาไม่สนใจหรอก แต่ถ้ามีวาสนาเขาได้สร้างบุญกุศล

ดูสิ หลวงปู่มั่นรับทุกคืนเลย นี่ลงมาๆ ถ้าเราตั้งเป้าเราไว้ เราฝึกใจเราไว้ เราใฝ่ดีไง เราไปเกิดสถานะไหนๆ มันก็ใฝ่ดี แต่เรื่องพลาดพลั้งไปข้างล่างนี่นะ ไปตกนรกอเวจีนี่ อย่างนี้มันอนันตริยกรรม มันพวกทำกรรมหนักๆ ดูอย่างเทวทัตมันไปอย่างนั้น ถ้ามันไม่อย่างนั้น ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก

เราตั้งใจไว้นี่ฝึก ทุกอย่างอยู่ที่การฝึก เราฝึกดูจิตเรา ดูที่ใจ อย่าไปตกใจไง ตกใจนี่เวลาตกใจ ไปหมด เราฝึกไม่ให้ตกใจ มีอะไรเรามีสติ ถ้าตายตายพร้อมกับสตินี่ ไม่ไปไหนหรอก ต้องฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ พยายามฝึกของเราไว้ เพราะอะไร เพราะมีครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องการันตียืนยัน

โยม : คือหมายถึงว่าเราพยายามฝึกให้เป็นนิสัย เป็นความเคยชิน เป็นอะไรที่ฝังอยู่อย่างนี้...

หลวงพ่อ : ถูกต้อง มันมีนะ พูดเรื่องกรรมนะ ที่ว่าเวลาใกล้ๆๆ ถ้าไม่ได้ฝึกไว้ แล้วถ้ามีกรรมถึงที่สุดแล้ว มันตอนสุดท้ายนี่กรรมนิมิตมา มีมานะตอนอยู่โพธาราม ลูกศิษย์เป็นทหารนะ แม่หลับตาไม่ได้เลย หลับตาไปมีแต่อู้หูนอนไม่ได้ กลัวจนตัวสั่น แล้วคนไม่ได้นอนทุกข์ไหม?

เขาพามาหาเรา พอพามาหาเรานี่เราก็บอกว่า เขาเล่าให้ฟังก่อนใช่ไหม แล้วพอฟังไปลูกอาย ลูกบอกแม่คิดเพ้อเจ้อไปเอง เราบอก “เอ็งอยู่เฉยๆ สิ คนเพ้อเจ้อได้ไงกลัวขนาดนี้เพ้อเจ้อได้ยังไง” เราบอกอยู่เฉยๆ เราบอกให้โยม ให้แม่ถวายสังฆทานให้แม่ตั้งใจถวายสังฆทานเรา

แล้วเราสั่งนะ คำพูดคำนี้ใครฟังแล้วคิดว่าเราพูดโอ้อวด แต่ไม่ใช่นะ คำพูดนี่เราจะพูดต่อเมื่อมันจำเป็น ต่อเมื่อคนไม่มีทางออก โยมจำไว้ให้ดีนะ โยมขนลุกโยมทำบุญกับเรานะแล้วเวลาถ้าโยมหลับตาลงเห็นอะไรนะ บอกว่าทำบุญกับเราให้มาเอาที่เรานี่ คือคนมันถึงตอนนั้นไม่มีทางออกไง

พอเห็นอะไรเข้ามาเห็นผีเห็นจะเข้ามาทำร้ายนี่ บอกว่าทำบุญกับเรา แล้วให้ผีนั้นทุกๆ อย่างนั้นมาเอาที่เรา อุทิศส่วนกุศลมาให้เรานี่ ทำบุญปั๊บกลับไปเงียบเลย ที่วัดโชคนั้น มีอยู่คนหนึ่งไม่เอ่ยชื่อ นุ่งผ้าไม่ได้ร้อนหมดเลย แล้วลูกหลานอายกั้นฉากไว้ แล้วก็มาหาเรา

เราบอก เอ็งกลับไปนะ ตอนเช้าเราบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านเขา เอ็งบอกเอ็งเอาข้าวไปให้ผู้ใหญ่ของเอ็งอธิฐาน แล้วเอ็งมาใส่บาตรกู แล้วเราก็บิณฑบาตไป เช้าเขามาใส่บาตรเขาก็รับรู้กัน เพราะคุยกันแล้วเขาก็มาใส่บาตร ไม่เกินอาทิตย์หายปกติ

จากเดิมที่ใส่เสื้อผ้าไม่ได้นะ ใส่เสื้อผ้าร้อนหมดเลยเหมือนกับห่มไฟ ต้อง(โทษนะ)เปลือยกายแล้วเขาก็เอาฉากกั้นไว้ นั่นเวลากรรมมันมา เราจะบอกว่าถ้ากรรมนิมิต คนไม่เชื่อนะ คนไม่ได้ทำอะไรไว้ไม่เชื่อหรอก เวลาตัวเองโดนแล้วจะรู้จัก

เหตุการณ์อย่างนี้เราเจอมาเยอะ แล้วก็แก้มาเยอะ เราแก้ของเรามาเองเรื่อยๆ เพราะ เรามั่นใจเรื่องใจของเรา แต่นี้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องความทุกข์ของคนไง เป็นความทุกข์ส่วนตัว เป็นความทุกข์ของเขา แล้วเรามีปัญหาเราจะแก้ของเราไป มีมาหาเรื่อยอย่างนี้

...มันพามานะ มาจากมหาชัย ทีแรกเขาไม่บอกหรอก เขาเป็นนักเข้าเจ้าเข้าทรงใหญ่เลยนะ แล้วเขาไปเที่ยวป่า แล้วก็ไปล้มตึงมันโดนทับอีกทีหนึ่ง แล้วช่วยตัวเองไม่ได้ มาหาเราไง ทำอย่างไรก็เถียง ทำอย่างไรก็เถียง เราใส่ๆ พอถึงบอกทำอย่างนี้หักปั๊บ เขาก็หักคอเดี๋ยวนั้นล้มเลยก็ออกไง

มันมีผีทับอีกทีหนึ่ง แล้วก็กลับไป แล้วอีกไม่กี่วัน พวกที่พามาก็กลับมาหาเรา หลวงพ่อรู้ไหมที่พามาในวันนั้นนะ นั่นเป็นเจ้าพ่อศาลใหญ่เลย เป็นเจ้าพ่อศาลใหญ่เลยนะลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะเลย ถึงที่สุดแล้วตัวเองโดนผีเข้าอีกทีหนึ่ง แก้ไม่ได้ วิ่งมาหาเราทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นเจ้าพ่อใหญ่ ไปเจอโดนทับอีกทีหนึ่ง ...มันพามา

เห็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่ฝึกไว้ อะไรไว้ เราทำของเราไว้ได้ เพราะประสาเรานะพวกเรานี่ เรานี่๕๐ : ๕๐ กัน เพราะเราทำ เราก็ไม่สร้างอะไรวิกฤตไง ถ้าคนสร้างอะไรวิกฤตไว้ เวลากรรมนิมิตมันมา มันมาเองเลย นี่ไง กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ กรรมมันเป็นเผ่าพันไง เราสร้างเองเราทำเองทุกอย่างเราทำของเราเองนะ ดีเราก็ทำ ชั่วเราก็ทำ แล้วมันจะให้ผลกับทุกๆ คน

อย่างนั้นถ้าพูดอย่างนี้เรามั่นใจตรงนี้แล้วนะ เวลาเราปฏิบัติเราจะองอาจกล้าหาญเพราะในการทำความดีในโลกนี้ไม่มีอะไรดีเท่านี้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ ดีเท่ากับปวดๆๆๆ ไอ้ปวดๆๆๆ นี่ดีที่สุดในโลก แต่มันหายได้นะ มันสู้ได้มันชนะได้มันผ่านได้แล้วมันสิ้นสุดกันได้ แต่ถ้าเราไม่เผชิญกับมัน เราไม่สู้มัน เราไม่ต่อสู้มันเราจะแพ้ตลอดไป

เราต้องสู้กับมันผ่านมันจนชนะมัน เหยียบย่ำมันไปเลย เหยียบหัวมันไปเลย ถ้าเราไปเผชิญหน้ากับมันแล้วไม่สู้มัน แพ้มันจะแพ้อย่างนี้ตลอดไป แล้วจะต้องเกิดตายตลอดไป แต่ถ้ามีกำลังใจแล้วต่อสู้มันเหยียบมันย่ำมันไปเลย แล้วเราจะชนะมัน

แล้วชนะได้ด้วย ยืนยันได้จากครูบาอาจารย์ ดูสิหลวงตาท่านพูดนะ ตัวเองเป็นเหมือนหัวตอ ไฟเผาหัวตอคิดดูสิเหมือนไฟลุกท่วมตัว มันทุกข์ขนาดไหนสู้มันได้ยังไง นั่งอย่างนี้ แล้วเหมือนเอาไฟสุมตัวเราเลย แล้วท่านก็ผ่านมาแล้ว

มันต้องเด็ดขาดอย่างนั้น องอาจอย่างนั้น มันต้องผ่านมาอย่างนั้น แล้วเวลาคนทำเข้าไปทำมันถึงจะรู้ เวลาท่านพูดเราฟัง ไปดูแต่ตัวเลขธนาคารเขาไง แต่ตอนที่เขาหาเงินมาฝากไม่เห็น เห็นแต่ตัวเลขของเขา แต่เขาทุกข์ยากมาขนาดไหน เขาทำงานมาขนาดไหน กว่าจะได้เงินมาขนาดนั้นแล้วเอามาฝากธนาคาร

แล้วเราก็ไปดูแต่ตัวเลขธนาคาร เปิดธนาคารเขาดู แล้วเขาทุกข์ขนาดไหน เห็นตัวเลขก็อยากได้ตัวเลข ทำแต่ตัวเลข ก็เพ้อฝันกันเอาตัวเลข แต่ไม่รู้เลยว่าหาเงินกันอย่างไร ทำกันอย่างไร เองเงินนั้นมาฝากธนาคารอย่างไร

แล้วตอนนี้ท่านเอาแต่ตัวเลขมาโชว์ เท่ห์ทุกวันๆ คนก็โอ้โฮฮือฮาตัวเลขใหญ่เลย แต่วิธีการที่ต่อสู้ที่พยายามต่อสู้มา เราต้องกลับไปตรงนั้นเราถึงจะทำของเราได้ เราต้องกลับไปที่วิธีการ กลับไปหาเงินหาทองของเราแล้วตัวเลขมันมีเอง ไม่งั้นเงินมันมีอยู่แล้ว ตัวเงินมันมีอยู่แล้วตัวเลขทำไมมันไม่ขึ้น

ไอ้นี่เงินมันว่างเปล่าแต่จะเอาตัวเลขมันก็เป็นอยู่เป็นเลขแดง เนาะแค่นี้เนาะ เออ เอาละ