เทศน์หลังฉันจังหัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้เดินอย่างกับหมาบ้าเลย เหงื่อซกเลย เพราะคนงานมันไม่รู้เรื่อง มันไปขุดต้นไม้แล้วไปขุดสายไฟ เฉพาะสายไฟตรงนี้ ๗ แสน แล้วไอ้หม้อแปลง ๓ แสน เฉพาะไฟจะเอาขึ้นไปวิทยุ เฉพาะไฟนะ สายไฟที่ลงไปนี่เป็นล้าน แล้วมันไปขุดของกูทิ้ง โอ้โฮ! เหงื่อซกเลย เห็นตั้งแต่เมื่อคืน โอ้โฮ! ช็อกเลย ตอนเย็นไปสรงน้ำไปเห็นเข้า อ้าว! ใครมาขุดต้นไม้ตรงนี้วะ คนงานไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่เมื่อคืนนอนไม่หลับ เมื่อกี้ให้ไปขุดดูเจอแผลหนึ่ง สะใจฉิบหายเลย
รักษานะ รักษาอยู่คนเดียว ลองให้เขาไปดูซิมันมีแผล มันเหมือนอันใน เณรหม่องมันไปขุดปลูกพริก มันก็ไปสับโดนเข้าเฉยๆ พอใช้ไปเรื่อยๆ ไฟดับหมด ก็ไปโทษเขาว่าต่อไฟให้ไม่ดี ให้สุชาติเขามาดู เขาบอกเขาขุดให้ดูเลยนี่แผล แล้วใครขุด เณรหม่อง
แล้วนี่ขุดอีกแล้ว สั่งแล้วสั่งอีกเลยนะ ไอ้ที่ปักแนวสายไฟ อย่าเข้าไปใกล้ อย่าเข้าไปใกล้ นี่ขุดลงไปเลย คร่อมลงไปเลย
เชาวน์ปัญญาของคน วุฒิภาวะ อย่างพวกเรา ดูสิ เราเป็นคนทำเอง เราถนอม โทษนะ ยิ่งกว่าลูกอีก กูไปเดินเฝ้าอย่างกับยามเลยนะ เช้าตรวจเย็นตรวจนะ เมื่อวานตอนเย็นไปเจอเข้า ช็อกเลย เมื่อคืนก็นอน ไอ้ยาอยู่ตรงนี้ไม่อยากไปปลุกมัน เมื่อคืนทั้งคืนนอนคิดว่าจะโดนไม่โดน เมื้อกี้ให้เอาออกเลย ให้เขาเอามือคุ้ยลงไป เจอแผล แต่ฉนวนมัน ๓ ชั้นไง
ท่อเอาไว้เวลาจำเป็น ท่อเป็นบางส่วน ตรงนี้มันฝังมา แล้วต้นไม้ก็ปลูกอยู่ แล้วคนของเรากันเองก็สั่งแล้วสั่งอีก ฝั่งนู้นคราวที่แล้วไปเจอไอ้สำรวยขุด แหม! ฟิวส์ขาดเหมือนกัน ไปเรียกมันมาซิ ใครขุด สำรวย หนูค่ะ แล้วขุดทำไม ก็นึกว่าขุดตื้นๆ...๗ แสนนะมึง กูนี่ต้องระวังเต็มที่เลย แล้วระวังไว้เพื่อใคร ถ้าวิทยุออกมาแล้วมันเพื่อใคร ก็เพื่อพวกมึงน่ะ เพื่อกูหรือ
เวลาเอ็ดเวลาว่าก็หาว่าดุๆ ก็มันไว้ใจไม่ได้ ถ้ามันไว้ไจได้นะ มันจะปล่อยได้ ดูสิ ทำอะไรไม่ปล่อยให้ใครเลย รับผิดชอบเอง เพราะเราสังเกตนะ จะใช้คน ไม่ใช่อวดนะ กับพระก็สังเกตดูอยู่ เขาตั้งใจดีอยู่ แต่พอบอกไปอย่างนี้เขาทำผิด รู้เลยว่าสติไม่ดี ถ้าพวกทำงานกับเรานะ ทำแล้วไม่ผิดเลย อันนี้ใช้ได้ ถ้าบอกว่าผิดครั้งหนึ่งก็พอทน สังเกต อย่านะ ระวังนะๆ จี้ตลอดนะ คิดดูขนาดเราจี้ตลอดมันยังผิด ถามว่าทำไม ลืมครับ ถ้าอย่างนี้ปั๊บ งานใหญ่ใช้ไม่ได้ งานที่ไว้ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ใช้ไม่ได้ แล้วมันเป็นอย่างนี้หมด เวลาใช้งานไปให้ทำอย่างนั้นน่ะ ไม่ผิด ไม่เป็นไร
พอมันผิด ผิดเพราะอะไร บางทีสั่งแล้วทำไมไม่ทำ ลืมครับ จบเลย มันถึงพูด มันดูคนไง ตรงนี้คือการพิสูจน์คนว่าคนนี้มันใช้ได้ไม่ได้ มันจะพร้อมหรือไม่พร้อม ถ้าพร้อม เราก็ค่อยๆ ปล่อยมือมาเรื่อยๆ เหมือนกับให้รับผิดชอบไปเรื่อยๆ ใช่ไหม แล้วก็ปล่อยให้เขารับผิดชอบมาเรื่อยๆ ใช่ไหม
นี่มันปล่อยไม่ได้ ลืมครับ โอ้โฮ! ถ้ากูปล่อยก็พังน่ะสิ ก็ปล่อยไม่ได้ ต้องดูแลเอง ถ้ามันปล่อยได้มันก็จะปล่อย นี่ฝึกคน
แล้วบางคนก็พูด โทษนะ พระเต็มวัด ดูสิ โยมเต็มไปหมดเลย แล้วให้มันไปทำมันก็คอยหาตังค์มาแก้ คอยหาตังค์ไว้เลยนะ เอาไปซ่อม แล้วเวลาคนมา ทุกคนจะมาช่วยเหลือๆ ช่วยเหลืออะไร นี่ขนาดเฝ้านะ เราเฝ้าเอง แล้วคอยดูเอง แล้วสั่งแล้วสั่งอีก สั่งจริงๆ แล้วถ้ามันผิดนะ อย่างถ้าน้ำเขาไปทำแตก เราให้อภัย เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะท่อเอสลอนมันไม่กี่ตังค์ แล้วมันทำได้ง่ายๆ แต่สายไฟนี่มันไม่ได้ เพราะไฟมันกระตุก ถ้ามีการต่อแล้วไฟมันกระตุกแล้วคอมพิวเตอร์ใช้ไม่ได้ เพราะคอมพิวเตอร์ตัวที่แล้วพังไปแล้วเพราะไฟมันตกไง
เวลาเราพูดนี่นะ พูดจริงๆ แล้วเรามีเหตุมีผลอยู่ แต่เราอธิบายไม่ไหว บอกอย่าก็ต้องคืออย่า ทีนี้คนเรานะ ไม่เป็นไร ยิ่งใกล้ชิดนะ โอ๊ย! ท่านเมตตา กูปวดหัวฉิบหาย ท่านเมตตา ท่านไม่ว่า ท่านเมตตา มึงเอาขี้มาป้ายกูอีกแล้วนะ แต่ไม่รู้นะว่ามึงเอาขี้มาป้ายกูนะ ท่านเมตตา ท่านยิ่งมีคุณธรรมท่านยิ่งต้องเมตตาใหญ่ มึงไม่รู้หรอกว่ากูกำลังจะบ้า มึงไม่เห็นหรือนี่ ฟิวส์กูจะขาดอยู่นี่มึงรู้ไหม
ท่านเมตตา มันคิดมุมกลับ ที่ว่าพระต้องเมตตาหมด แล้วเมตตาก็ต้องเมตตาสิ่งที่ถูกต้องสิ เมตตาในสิ่งที่ดีสิ ไม่ใช่เมตตาสิ่งที่เสียหายสิ เราเองต่างหากเราต้องฝึกต้องฝน เราพูดให้ฟังว่าบางทีมัน โอ้โฮ! เสียงดัง ก็มันห่วงตรงนี้ มันพลาดได้ พอพลาดก็เหมือนเด็กเลย เด็กมันจะมีอุบัติเหตุ เราพูดกับมัน เฮ้ย! หนูอย่าไป มันไม่ฟังหรอก ต้องเสียงดังๆ ต้องตะคอกมัน มันจะได้หยุด ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ขนาดเบรกขนาดนี้ เฝ้าแล้วเฝ้าอีก เสียใจ เสียใจมาก เพราะมันของอยู่ ไม่ใช่ว่ามันอยู่ลึกลับนะ ก็อยู่หน้ากูนี่ แล้วขุดตรงนี้
ทีนี้เพียงแต่มาย้อนถึงความรู้สึกเขา คือคนหยาบคนละเอียดไง ดูการเกิด เราพูดบ่อยนะ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ไปเกิดที่ไหน เกิดในชายทุ่งชายป่าทั้งนั้นเลย ทำไมไม่เกิดในเมือง เกิดชายทุ่งชายป่า เพราะเกิดแล้วมันประเทศอันสมควรไง เพราะพ่อแม่อยากให้บวชอยู่แล้ว พอพื้นฐานสัมมาทิฏฐิ ดูสิ บางทีอ้อนวอนให้ลูกบวชเลย นี้มันก็เป็นบุญเป็นกรรม
ดูอย่างหลวงมั่น หลวงปู่มั่นบวชเป็นเณรแล้วพ่อแม่มาขอให้ออกไปก่อน ไปช่วยทำงานอยู่ ๒-๓ ปี แล้วก็มาบวชใหม่ แต่หลวงตาท่านไม่ยอมบวช มันเป็นเวรเป็นกรรมตั้งแต่ของเดิมด้วย แล้วมาปัจจุบันนั้นน่ะ หมอลำมันร้องวันนั้นน่ะ เราเห็นเลย หมอลำมันไปร้องอยู่นั่นน่ะ บอกว่าเพื่อนอยากบวช แต่ไม่ได้บวช แต่ท่านไม่ยอมบวช ต้องบวช แล้วไม่บวชเพราะอะไร เพราะกำลังรักสาว หมอลำมันร้องแล้วท่านก็ฟังด้วย โอ๋ย! ขายหน้ากันอย่างนี้เลยนะ ท่านพูด เราดูในทีวี
สุดท้ายแล้วถ้าพูดถึงนะ ถ้าไม่มีบุญมีกรรมมันก็ต้องมีครอบครัวไป แต่เพราะนี่หนึ่ง เพราะพ่อขอให้บวช แล้วก็ไปคิดอยู่ ๓ วัน สุดท้ายแล้วท่านถึงบวช พอบวชก็บวชว่า ๒ ปีจะสึก วางเป้าหมายว่า ๒ ปีสึกไง พอไปอ่านพระไตรปิฎกเข้ามันสะเทือนใจ เพราะของเดิมมันเต็มที่อยู่แล้ว มันสร้างมาเต็มอยู่แล้ว ถ้าอะไรสะกิดแล้วมันจะออก ก็เลยตัดสินใจว่าอยากปฏิบัติไปสวรรค์ทีแรก ท่านพูดเอง พออ่านๆ ไป อยากไปนิพพาน นี่เราไปเกิดชายป่าชายเขา ประเทศอันสมควร
มุมกลับ เวลาพรานป่าอยู่ในป่าออกล่าสัตว์ ออกฆ่าสัตว์ ออกหาสัตว์มาเป็นอาหาร เวลาสัตว์มันโดนยิงมันอาฆาต มันอาฆาตมาดร้ายนะ มันก็ตามมาเกิดในท้อง พอมาเกิดในท้อง พวกนี้พวกภูมิต่ำๆ มันมาเกิด พอเกิดขึ้นมามันก็ทุกข์ยาก แล้วภูมิปัญญาอย่างนั้นน่ะ เหมือนกัน เราดูสิ เราเกิดกันในเมือง คนที่มีปัญญาก็มี แต่บางคนทำไมสมองทึบนัก อันนี้มันของเดิม เราถึงย้ำบ่อยว่าพันธุกรรมทางจิต การตัดแต่งพันธุกรรม การสร้างบุญกุศล แล้วจิตดวงหนึ่งมันก็มีอย่างนี้ มันมีเกิดมีตาย มันเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา
แล้วพออย่างนี้มันซื่อบื้อ คือคิดอย่างเดียวว่าเราปรารถนาดี แต่มันไม่มีข้อมูลไง ไม่รู้ว่าปรารถนาดี เราจะทำถูกทำผิด แล้วใช้แต่คำว่า ปรารถนาดีๆ เจตนาดีมันผิดได้ เจตนาคนดี ดูสิ ขับรถ เราตั้งใจขับรถจะตาย เวลาหลับในวูบเดียวไปเลย พอหลับในวูบเดียวไป ชีวิตเรานะ เพราะมันวูบเดียว ไอ้นี่ก็ปรารถนาดีๆ
เรามองตรงนี้ นี่เป็นบทเรียนอย่างมาก แล้วตานี่ก็ดื้อมาก เพราะไอ้ยามันบอกไงว่าสั่งอะไรไปก็ทำประสาเขานั่นแหละ ซื่อบื้อไปอย่างนั้นน่ะ แต่เขาไม่คิดถึงความเสียหาย ถ้าใครรู้สึกว่ามันเสียหาย เขาจะไม่ทำอย่างนั้น มันพลาดไปทำไม
ทีแรกเราจะว่าเป็นไอ้ยา เราจะบอกมัน ต้นไม้ ๒-๓ ต้นน่ะ เอ็งมาแลกได้อย่างไรกับสถานีวิทยุ แล้วประโยชน์มันขนาดไหน ต้นไม้มันก็มีประโยชน์นะ ยอมรับว่าเราก็รักต้นไม้ เรารักต้นไม้มาก เห็นต้นไม้แตกใบอ่อนนี่ชื่นใจนะ เวลาไปดูต้นไม้ชอบดูเวลามันแตกใบอ่อน เหมือนชีวิตใหม่ เวลามันผลิใบอ่อน แหม! สุขมาก ชอบมาก เวลามันแตกใบอ่อน แล้วเวลามันหลุด ใบอ่อนบางทีมันก็ติด บางทีมันก็หลุด ไอ้หลุดมาก็ แหม! เสียดาย
แต่เราคิดว่าต้นไม้ ๒-๓ ต้นกับคนน่ะ วิทยุมันออกไป เสียงธรรมที่หลวงตาว่า แม้แต่เงินยังไม่มีค่าเท่าธรรมะเลย ธรรมะมันออกไปทางวิทยุ อันนี้เราต้องรักษา ประโยชน์มันมากกว่าเยอะนัก พอประโยชน์มันมากกว่าเยอะนัก เราก็ต้องดูแลตรงนี้ เข้ามาใกล้มันไม่ได้ ไอ้นี่เข้ามาเพื่อจะแลกกับต้นไม้ ๒-๓ ต้น ไปขุด ไปปลูก ไร้ประโยชน์เลย ไร้ประโยชน์มากๆ ถ้าคนคิดเป็นมันจะไม่เข้าไปยุ่งอย่างนี้
ลงทุนลงแรงนะ เวลาไปเที่ยวไปธุดงค์กัน เวลาอยู่ด้วยกันมันเป็นภาระ มันเป็นภาระ มันเป็นความกังวล ต้องคอยดูคอยแลคอยอะไร ก็อยากจะให้มันดี ปัญหามันจะเกิดไปตลอดไป เพราะอยู่กับคน แล้วเวลาคนเข้ามาก็ต้องฝึกใหม่ เหมือนบ้านโยมเลย ได้คนใช้ใหม่ต้องฝึกมันหน่อย แล้วพอมันเป็นมันก็ออก คนใช้ใหม่ก็มาอีกแล้ว ไอ้นี่ก็คนงานใหม่เข้ามาก็ปวดหัวทุกทีเลย
วัดมันใหญ่ เรื่องข้างนอกนะ แล้วถ้าเรื่องข้างในอีกล่ะ เรื่องข้างในก็สัปปายะ ทำให้มันสมควร แล้วประสาเรา เมื่อก่อนเราจะไม่เอาอะไรเลย ถามไอ้โตสิ เมื่อก่อนน้ำก็จะใช้รอกดึงเองอะไรเองหมด เพื่อจะให้มีข้อวัตร เพราะเรารู้ว่าข้อวัตรมันฝึกคน
ทีนี้พออยู่มาๆ เพราะเราดูเลย ดูหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นอยู่ในกรอบตลอดเลย แล้วพอมาหลวงตา หลวงตาท่านพยายามจะรักษากรอบไว้ อยู่ในกรอบตลอด พระป่านี่ แล้วสุดท้ายท่านพูดอย่างนี้ บอกว่าไอ้โทรศัพท์มือถือ ไอ้วิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์จะฆ่าพระ แต่ก็มีข้อยกเว้น วัดเรามีไว้อันหนึ่งเอาไว้ประสานงาน คือมันปฏิเสธเทคโนโลยีไม่ได้ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันเจริญ ในวัดเราก็มีไว้ตัวหนึ่ง เอาไว้ประสานงาน นี่หลวงตาท่านพูดบ่อย มันก็ระดับหนึ่งแล้ว
หลวงปู่มั่น แล้วมาหลวงตา แล้วท่านพูดบ่อยมากเลย บอกว่าเขาดูเว็บไซต์ที่อเมริกาแล้วเขาเขียนถามมา บอกว่าแต่เดิมก็เห็นพฤติกรรมของพระ เขาหมดอาลัยตายอยากแล้ว ศาสนามันหมดมรรค หมดคราวแล้ว พอมันได้ฟังเว็บไซต์ เทคโนโลยีมันก็ได้ประโยชน์ตรงนั้น
แต่มันก็มีผลเสีย ผลเสียนี่เราดูตลอด เวลาถามปัญหาเข้ามา คนถามปัญหาเข้ามานี่ เพราะอะไร เหมือนกับเขียนจดหมาย พอเขียนจดหมายมันจินตนาการอย่างไรก็ได้ ดูอย่างเว็บไซต์ ดูที่เขาเล่นกัน ถ้าต่อหน้าเราไม่กล้าคุยกันนะ มันอาย มันมีมารยาทนะ แต่ถ้าเล่นในเน็ตเนาะ มันพูดได้หมด มันไม่เห็นหน้ากันใช่ไหม มันก็พูดได้หมด
แล้วนี่พอคำถามอย่างนี้มา มันออกมาแล้ว เราไม่ได้ถามไง คือความคิดของเขามันเป็นสัญญา มันไม่เป็นความจริงเยอะนัก ไอ้คำถามมานี่ ประสาเรามันเป็นขยะมากกว่าความจริง ไอ้พวกขยะมาเราก็ต้องกรอง
มันเป็นประโยชน์ ใครๆ ก็ถามเข้ามาได้ แต่ไอ้เวลามันเป็นขยะ เราต้องดูมันว่าอะไรเป็นขยะ ประเราคือคำถามไม่จริง เราฟังวิทยุหลวงตา คนถามปัญหา พอเขาถามปัญหา หลวงตาท่านตอบ เรารู้ละ เพราะถ้าคนมันเป็น คำถามมันต้องดีไง คนเป็นนะ คำถามมันจะถามถูกต้อง ถ้าคำถามมันถามผิดนะ แสดงว่าอันนี้ผิดแล้ว แล้วพูดถึงบางทีมันเป็นตำราเขียนมาเลย ไอ้นี่มันแห้งๆ เลยนะ มันไม่ใช่หรอก
แต่ถ้ามันเป็นที่โยมมาถามเองอย่างนี้ ปัญหามันผิดแล้วใช่ไหม พอปัญหามันผิด เราก็บอกว่าให้ถามใหม่ ให้พูดออกมาจากความรู้สึก ให้พูดมาจากข้อเท็จจริงนั้น แล้วมันก็แก้ได้ แต่ถ้ามันถามมาจากปัญหาผิด มันตอบก็ตอบไปตามข้อมูลผิด เห็นไหม
ผลดีมันก็มี ผลดีมันคือว่ามันให้โอกาสคนได้ฟังของดี แต่เวลาคำถามมา แต่ถ้ามาถามด้วยตัวเอง โอ้โฮ! เคลียร์เลย ผิดถูกว่ากันไปอย่างนั้นเลย ประโยชน์มันก็มี ฉะนั้น พอมาถึงเรา มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว
เราย้อนกลับถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่กลางป่า ปัญจวัคคีย์ ๕ องค์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนมาถึงป่านนี้
ยิ่งเดี๋ยวนี้ ดูสิ เวลาพูดไปแล้วถ้าเข้าเว็บไซต์นะ ไปทั่วโลกเลย เวลาของคนสั้นลง เพราะเวลามันเหลือเยอะมาก เมื่อก่อนข่าวสารจะไปแต่ละภูมิภาคช้ามาก เดี๋ยวนี้เร็วมาก แล้วอย่างนี้ปั๊บ พวกเราหลงกัน พวกเราหลงลืมตัว ลืมตัวว่าเป็นปัญญาชน ลืมตัวว่ามีปัญญา ลืมตัวว่าทุกอย่างสะดวกสบาย ไอ้สะดวกสบายมันแก้กิเลสไม่ได้
นี่เราอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ประสาเรา โอ้โฮ! ปีแรกๆ ดูโพธาราม เหมือนคนบ้า ไม่เอาอะไรเลย อะไรก็ไม่เอา ทีนี้พอมาดูไปๆ มันพิจารณาอย่างนี้ ดูหลวงปู่มั่น แล้วดูนี่ ดูหลวงตา แล้วมันปิดกั้นตรงนี้ไม่ได้ ทีนี้เพียงแต่เราจะใช้มันอย่างไร เราใช้มัน ไม่ใช่มันใช้เรา เราจะใช้ประโยชน์จากมัน
อันนี้ก็เหมือนกัน แล้วถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ใช้เรานะ เพราะเราไปติดสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ มนุษย์ใช้เรา แต่ถ้าเราใช้มันนะ มนุษย์สมบัติมันทำให้เกิดอริยภูมิขึ้นมา มันแปลกประหลาดว่าพวกเรานับถือเทวดา อินทร์ พรหม แต่ทำไมเทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เรา มันกลับกันน่ะ เราเป็นมนุษย์มันมีร่างกาย แต่พอเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เราคิดว่าสูงส่ง แต่เทวดา อินทร์ พรหมมันก็ภพหนึ่งเหมือนเรานี่แหละ แล้วมันก็น้อยเนื้อต่ำใจเหมือนเรานะ เทวดานี่ เพราะเทวดา ทำไมพระอินทร์ถึงต้องมาใส่บาตร เพราะว่าสมบัติไม่เท่าเขาไง เพราะมันไปวัดกันที่สมบัติ สมบัติคือพลังงาน คือแสงของใครสว่างกว่า แล้วพระอินทร์ที่ว่าใต้ปกครองแสงสว่างกว่าเพราะเคยทำบุญกับพระพุทธเจ้ามาก่อน แล้วมาใส่บาตรพระกัสสปะ
เราคิดถึงความทุกข์สิ เราเกิดเป็นเทวดาแล้วมีความสุขไง แต่เทวดาก็อมทุกข์นะ ว่าเราต่ำกว่าเขาไง เราอยากจะปกครองเขา แต่อำนาจวาสนาเราต่ำกว่าเขา แต่เรามีตำแหน่งสูงกว่าเขา เทวดาทุกข์ไหม ถ้าไม่ทุกข์ ทำไมต้องกระเสือกกระสนลงมาใส่บาตรพระ
ทีนี้เราไปมองกลับกันเองว่าเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมสูงส่ง มันเป็นสถานะเฉยๆ เหมือนเรานี่แหละ เหมือนเราเวลาเรามีความสุข เวลาเรารื่นเริงนี่เทวดา เวลาเราทุกข์จนเข็ญใจ เวลาเราเครียดนั่นล่ะนรก นรกเป็นอย่างนั้นน่ะ นี่สวรรค์ในอก นรกในใจ แต่ถ้ามันตายแล้วเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วมันก็เวียนอยู่อย่างนี้ มันเวียนอยู่อย่างนี้มันเป็นอดีตอนาคตไง เราก็เลยเพลินไปกับตรงนั้นไง
แต่ถ้าในปัจจุบัน ในชีวิตเรามันมีครบ สุขก็เป็นเทวดา ทุกข์ก็เป็นนรก แล้วเราจะทำอย่างไรให้มันพ้น แล้วมันเตือนเราตลอดเวลา เพราะเรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา เป็นเทวดานะ อยู่ใต้ปกครอง ดูสิ เวลาเกิดสงครามรบกันน่ะ รบกันด้วยฤทธิ์ก็รบกัน เราดูแล้วมันไม่ต่างกับภพมนุษย์นี่หรอก มันไม่ต่างกัน เพียงแต่สถานะเท่านั้นเอง ไม่ต่างกันเลย แล้วเราไปปรารถนาเอาแต่สิ่งที่ดีที่งาม
แต่พูดประเรานะ พูดถึงในวัฏฏะ ถ้ามันเกิดที่สุขกว่าดีกว่าเกิดที่ทุกข์ เกิดสุขกว่าคือเกิดบนเทวดา อินทร์ พรหมมันสุขกว่า เกิดที่นรกมันทุกข์กว่า เราต้องเลือกไปที่ดีกว่าเป็นธรรมดา เราถึงต้องทำบุญนี่ไง ไอ้ทำบุญมันก็ขับเคลื่อนไปอย่างนั้น ถ้าไม่ทำบุญ อย่างว่าโดยสามัญสำนึกมันก็ต้องทำบาป ไอ้อยู่เฉยๆ นี้น้อยมาก
แต่ถ้าเรามาทำของเรา เรามาแก้ไขของเรา แก้ไขของเรา ถ้าแก้ไขนี่ควรภาวนา มันไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้เลย แล้วตั้งสติ เวลาว่าทำทุกข์ทำยาก มันจะยากขนาดไหนก็ต้องทำ มันเหมือนเราเลยล่ะ ในเมื่อเรารู้สิ่งใดที่ดีทำไมไม่เอา หลวงตาท่านเทศน์อย่างนี้เลยนะ ท่านพูดว่า เราเกิดมาแล้วเหมือนเข้าไปห้างสรรพสินค้า แล้วมึงจะเอาอะไรออกมา นี่ก็เหมือนกัน เราเข้ามาในศาสนา แล้วเราจะเอาอะไรออกมา ออกมาคือตายไง เวลาตายไปได้อะไรติดมือไป แล้วตอนนี้อยู่ในห้างสรรพสินค้าหยิบอะไร หยิบเอาทุกข์ ถ้าหยิบเอาดีมันก็หยิบเอาดี มันมีโอกาสทำได้นะ
สังเกตได้ไหม เวลาคนมาถามปัญหาเรา ทุกคนเวลาปฏิบัติแล้วขัดข้อง หรือปฏิบัติแล้วมีความสงสัย ปฏิบัติแล้วมันเกิดอะไรขึ้น แล้วมันแบบว่ามัน ๕๐-๕๐ หรือว่ามันไม่แน่ใจมาหาเรา เรายืนยันตลอดเวลาเลย ต้องอย่างนี้ๆๆ
มันบอกเป็นไปไม่ได้
เราบอกเป็นไปได้ อย่างเอ็งเป็นได้ เราจะบอกว่าคำยืนยันอย่างนี้มันยืนยันเพราะอะไร ยืนยันเพราะมันทำจริงแล้วมันได้จริงแล้วมันต้องเป็นอย่างนี้ แต่เวลาเราปฏิบัติกันมันไม่ถึงไง มันปฏิบัติแล้วมันก้ำกึ่ง หรือความเป็นไปมันยังเป็นไปไม่ได้ แล้วเราก็สงสัยใช่ไหม แล้วถ้าเกิดไม่มีหลักนะ มันก็ต้องเป็นไปตามความสงสัยนั่นน่ะ ฉะนั้น เวลาใครมา ฟัง ยืนยันเลย
เมื่อวานมาคนหนึ่ง มาถึงบอกเลยนะ พอมันเข้ามาแล้วมันระเบิดหมด
เราว่าไอ้ธรรมผุดมาอีกแล้ว เราก็ใส่เลย บอกกูไม่เชื่อมึง
ผมขออนุญาตเถียง เขาว่านะ เขาเถียงใหญ่เลย
เราบอกมันจะมานี่มันต้องมีพื้นฐานของมันมา พื้นฐานของมัน อย่างเราต้องนับ ๑ ๒ ๓ ขึ้นมา ไม่ใช่มึงมาบอกกูมีเงิน ๑,๐๐๐ มึงไม่บอก ๑ ๒ ๓ ๔ ถึง ๑๐๐ กูไม่เชื่อมึงหรอก
มันก็เริ่มพูดไง บอกว่าเขาไปอยู่กับหลวงปู่ชอบตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ เขาเป็นคนเข็นรถหลวงปู่ชอบเอง เขาทำสมาธิมามาก แล้วถ้าทำผิดทำถูก หลวงปู่ชอบยกมือ หลวงปู่ชอบพูดไม่ได้ หลวงปู่ชอบจะยกมือกับปฏิเสธเท่านั้นเอง
เขาทำมา ๓๐-๔๐ ปี แล้วพอทำอย่างนั้นบอกว่าผิดหมด
ขอเถียง โอ๋ย! เถียงหน้าดูเลย เถียงใหญ่
ไม่ได้ถามชื่อเขาเนาะ เขาบอกเขาไปอยู่กับหลวงปู่ชอบตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ แล้วก็มาอยู่บ้านตาด อยู่มาทั่วน่ะ แล้วก็ทำของเขา เขาบอกว่าธรรมะมีอยู่ทั่วไป
เราบอกถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะมีอยู่ทั่วไปนะ พระอาทิตย์มันก็เป็นพระอรหันต์ เพราะสิ่งที่มีพลังงานมากที่สุดคือพระอาทิตย์
เพราะคำพูดมันฟ้องเลยว่าธรรมะมีอยู่ทั่วไป ธรรมะมันจะเกิดเอง ธรรมะจะเป็นเอง มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นธรรมะ ดูสิ เราตั้งสติเราก็รู้ใช่ไหม เราเดินจงกรม เรานั่งภาวนาขนาดไหนเสื่อมสภาพดีนี่เรารู้หมด แล้วถ้าเราเจริญขึ้นมาเราต้องรู้สิ มันต้องบอกถูกสิ ไอ้นี่มาถึงเหมือนกับมันไม่มีเหตุมีผล มันลอยมา
เราบอกอย่างนี้ธรรมมันผุด ธรรมมันเกิด ธรรมมันเกิดมันไม่มีเหตุผลหรอก เราสร้างไม่เป็นหรอก มันเกิดขึ้นมาเอง เขาก็เถียงของเขาไปใหญ่เลยล่ะ สุดท้ายเราบอกมึงสงสัยไหม
สงสัย
แล้วก็บอกว่าอย่างนี้ถ้ามันเป็นจริง เขาก็เริ่มพยายามพูดถึงของเขาไงว่าเขาปฏิบัติมาของเขาอย่างนั้นๆๆ ตั้ง ๒๐-๓๐ ปีแล้ว แต่เขาไม่พูดออกมาเพราะมันเนิ่น แล้วพวกนี้ชอบฤทธิ์ไง มาถึงนะ เราอยู่ในนี้เขาไม่เรียกหรอก เขานั่งอยู่นั่นน่ะ เขาก็นั่ง คือส่งกระแสจิต พวกนี้เขาชอบฤทธิ์ แล้วกินน้ำร้อนออกมาพอดีไง เขาบอกว่าเขาไม่พูดหรอก เราต้องรู้ เขากำหนดจิตแล้วต้องรู้ ทุกอย่างก็ต้องรู้หมด
ทีนี้พออธิบายสุดท้ายแล้วยอมรับว่า สมุจเฉทปหานมันเป็นอย่างนั้นๆ อย่างนี้เป็นตทังคปหาน
เขาบอก ใช่ อย่างนี้ผมเป็นตทังคปหาน คือการปล่อยวางชั่วคราว เพราะเขาปล่อยวางขนาดไหนเขาพูดได้ แต่ก้นบึ้งของเขาสงสัยไง ถ้าคนสงสัยนะ พูดอะไรเหมือนกับเราพูดไม่เต็มปาก พูดอะไรแล้วมันยั้ง เพราะเราไม่สามารถลงไปได้หมด แต่ถ้าเป็นสมุจเฉทปหานนะ มันจะพูดได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้วไปหมดตัวเลย แล้วยืนยัน ถ้าตายกูก็ตายเลย ไปหมดเลย แต่นี่มันพูดไปเกือบหมดเลย เกือบหมด แต่มันยังสงสัย มันเลยยอมรับไง
เขาบอกว่าเขาได้ฟัง พูดถึงซีดี เขาได้ฟังกิเลสอำพราง พอฟังกิเลสอำพรางแล้วมันปิ๊ง มันปล่อยหมดเลย มันปล่อยแล้วมันตัดอายตนะหมดเลย เสียงไม่เข้า ทุกอย่างไม่เข้าเลย ได้ฟังกิเลสอำพราง ใครฟังอะไรแล้วได้ประโยชน์จะมาตามนั้น นี่พูดถึงการยืนยัน การปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นความจริงของมันนะ แล้วมันเกิดที่นี่ ชีวิตเราสำคัญมาก เวลาถ้ายังไม่ได้ฝักใฝ่ในธรรมะ เราก็เพลิดเพลินกับชีวิตโลก แต่จริงๆ แล้วก้นบึ้งใจมันทุกข์นะ มันทุกข์เพราะในสัจจะธรรมของพระพุทธเจ้าไง ในสโมสรสันนิบาตอยู่ทุกดวงใจว้าเหว่ จริงๆ เราอยู่นี่ว้าเหว่นะ เห็นอยู่ในบ้านครึกครื้น ทุกอย่างพร้อม แต่ลึกๆ แล้ว อืม! อะไรวะ จะไปไหนวะ ลึกๆ ทุกดวงใจ ลึกๆ โดยธรรมชาติของมัน เอ๊! จะไปไหน จะอยู่อย่างไร ลึกๆ มันมี
ถ้าเรามาสนใจทางนี้ สนใจทางศาสนาบ้าง มันจะเริ่มเห็นคุณค่า พอเห็นคุณค่าแล้วถ้าใครเข้มแข็งขึ้นมา จะอยู่บ้าน จะอยู่ไหน หลวงตาพูดบ่อย เราฟังหลวงตา หลวงตาท่านพูดบ่อยว่าก่อนนอน ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ให้ฝึกให้หัด เพราะมันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้หรอก ก่อนนอนก็ ๕ นาทีให้กราบพระ ท่านพูดบ่อยเนาะ ก่อนนอนก็หัดกราบพระบ้าง อิติปิโสฯ หน่อยก็ยังดี แล้วนั่งภาวนา
แต่พระเราไม่ต้องพูดถึง เพราะมันอดอาหารกันครึ่งวัดค่อนวัด แล้วมันเร่งเต็มที่เลย จนมันบางทีต้องบอกว่า ฟ้าลั่น กูไม่ชอบใจเลย มึงอดอาหารตลอดไปไม่ได้ มันต้องออกเป็นคราวเป็นเวลา เพราะฟ้าลั่นมันอดทีมันอดตลอดเลยนะ มันไม่กินข้าว มันไปกินเอาตอนบ่าย แต่เราบอกมันไม่ถูกต้อง เพราะอย่างไรเราต้องรักษาตัวเราไว้ เพราะเรามองสภาพแบบนี้ ต่อไปพอแก่เฒ่าขึ้นมามันจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บแล้วเราจะต้องมาดูแลมัน
ตอนนี้มันทำได้ใช่ไหม ถ้าร่างกายยังแข็งแรงทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ต่อไปถ้าร่างกายมันทรุดขึ้นมาล่ะ แล้วมันก็ต้องมาดูแลกันใช่ไหม นี่ไง ทำอะไรให้มันสมควร เพราะเวลาเราธุดงค์ไปมันอยู่ในท่ามกลางวิกฤติไง คือพระมันหลากหลาย แล้วเราจะไปทำอะไรโดยที่บีบรัดตัวเอง เวลามันเกิดวิกฤติขึ้นมาเราจะเอาตัวรอดไม่ได้ ฉะนั้น เราถึงทำพอที่ว่าเราจะหลบหลีกได้ อย่างเช่นอดอาหาร ๕-๖ วัน มาฉันสัก ๒-๓ วัน ฟื้นฟูร่างกายให้พร้อมเสมอ ถ้าเราเจออะไรปั๊บ สมมุติว่ามีเหตุการณ์ปั๊บ เราจะอดได้มากกว่านั้นหรือเราจะร่นได้อย่างนั้น
โอ้! การปฏิบัตินะ ข้างในก็ต้องต่อสู้นะ แล้วอยู่ในสังคมของพระ ถ้าหมู่คณะที่ดีเขาจะส่งเสริมกัน ถ้าเป็นการล้อเล่นในวงการพระก็อีกอย่างหนึ่ง แต่บางทีมันก็มีทิฏฐิเหมือนกัน เราก็ต้องหลบหลีก หลบหลีก แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร แพ้เป็นพระ
แพ้เป็นพระนะ แต่ถ้าเป็นกิเลสมันรับไม่ได้ แพ้เป็นพระ เป็นพระอย่างไร เป็นพระคือมันชนะกิเลสไง ถ้าเราไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมแพ้นี่กิเลสมันชนะเรา ชนะแล้วเรากระทบกระเทือนเขา กระทบกระเทือนคือมีปัญหาไง พอมีปัญหาเสร็จแล้วมันกระเทือนไปถึงหมู่คณะ คือในสังคมมันก็ต้องกระเทือนเป็นธรรมดา แล้วถ้าเหตุการณ์มันแรงก็กระเทือนครูบาอาจารย์ด้วย แต่ถ้าเราแพ้ปั๊บ เป็นพระปั๊บ ประเสริฐปั๊บ เหตุการณ์กระทบกระทั่งมันไม่เกิด เราชนะ ตนเอง เราหลบหลีกไง
ใหม่ๆ ก็ไม่ยอม เพราะนิสัยเรายอมใคร แต่พอมันมาภาวนามันมาเห็นผลไง เห็นผล เห็นความเป็นไปของคุณธรรม แล้วพอมันใช้เหตุผลอย่างนี้มาพิจารณาแล้วมันชนะใจตัวเอง แพ้เป็นพระ แล้วเป็นพระ เป็นพระอย่างนี้
แล้วเวลาพอเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา คือว่าเราอยู่ในวัดแล้วมันมีปัญหา พวกพระเด็กๆ มันมีปัญหาน่ะ เราบอก เฮ้ย! กินธรรม กินธรรมคือแบบว่าถ้าเราแพ้ เราไม่ไปยุ่งกับเขา นี่กินธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่ประเสริฐ คือกินคุณธรรม แต่ทางสังคมเจ็บนะ เจ็บที่ว่าไม่มีน้ำยาไง เจ็บที่เขาเย้ยหยันได้ไง เขาเย้ยหยันได้
แต่ในทางธรรมะนะ เราชนะเรา เราบอกเลย กินธรรม กินธรรมคือกินความภูมิใจไง คือไม่ใช่เราถอยแบบโง่บ้าเซ่อไง เราถอยแบบเรามีสติไง เราถอยแบบเรารู้มีสติ ถอยแบบมีสติ ถอยแบบไม่เจ็บปวด กินธรรม แต่กว่าจะคิดอย่างนี้ได้ เราอยู่ในสังคม ใหม่ๆ โดยมากแล้วก็มีความคิดอย่างนี้ขึ้นมา แล้วมันปฏิบัติขึ้นมา ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าพูดถึงเอานิสัยส่วนตัวนะ โอ้! ลุยแล้ว ลุย นี่ไม่ ตอนอยู่บ้านตาด บางทีถ้ามันแรงขึ้นมา เราจับมือพระเลย การลุยของเราคือจับมือ ไป ขึ้นไปหาหลวงตาด้วยกัน คือไปพูดปัญหาให้หลวงตาฟังไง ไม่มีใครกล้าหรอก เพราะพวกนี้ไม่มีเหตุผล มันไม่มีใครกล้า
เวลาเข้ามาปฏิบัติแล้ว ถ้าคนไม่ได้คิดนะว่าเข้าไปในวงการพระนึกว่าในวงการพระคือผ้าขาว เราก็คิดเหมือนโยม บวชพรรษาแรก นึกว่าบวชเข้าไปแล้วนี่ โอ้โฮ! พระต้องสะอาดบริสุทธิ์ ต้องส่งเสริมกันน่าดูเลยนะ ไปถึงก็ถือเนสัชชิกเลย ไม่นอน ทุกอย่างไม่อะไรเลย ไม่ถึงครึ่งเดือนเท่านั้นน่ะ กระแสไหลมาเข้ามา พุ่งเข้ามานี่หมดเลย เด่นน่ะ เสร็จ เราถึงมาพูดบ่อย โดนแรงมาก
แล้วเรามาพูด เวลาพระใหม่ๆ บวชแล้ว แล้วมีปัญหา เราจะพูดให้เขาฟังให้เขามีกำลังใจ เวลาใครทุกข์มานะ เราจะบอกคนที่ทุกข์กว่า ให้ความทุกข์เขาเป็นความทุกข์เด็กๆ เขาจะได้ไม่ต้องทุกข์ เวลาเขามีปัญหามา เราบอกว่าเอ็งเห็นหมาไหม หมาฝูงมันไล่กัดหมาตัวหนึ่ง ไอ้หมาหมู่ เอ็งเห็นไหม
เห็น
บอกหมาหมู่มันกัดหมาตัวนั้นน่ะ กูน่ะคือหมาตัวนั้น กูเคยโดนหมาทั้งฝูงรุมกัดกูนี่ รุมกัดกูแล้วรุมกัดกูอีกเยอะมาก แล้วหลายหน คือว่าเขาโดนน้อยกว่าเราไง ไอ้ที่เอ็งโดนๆ มา น้อยกว่ากูเยอะนัก
เพราะเราโดนมาอย่างนี้ เวลาเราปกครองพระ เราถึงว่าให้สิทธิเขามาก ถ้าไม่ผิด เรายังเตือนเฉยๆ แต่ถ้าผิดก็เอาเต็มที่เหมือนกัน
แล้วเราพูดบ่อย เวลาใครจะไปไหน มึงไปนะ แล้วมึงอย่านึกถึงกูนะ จะพูดคำนี้ประจำ มึงอย่านึกถึงกูนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราไปมาแล้ว แล้วเราโดนอย่างนั้นมาตลอด ทีนี้ในวงการผู้ที่ปฏิบัติ พระก็มาจากคน คนมีกิเลสอย่างไร คนเอารัดเอาเปรียบอย่างไร พระเอารัดเอาเปรียบมากกว่าคน ๒ เท่า ๒ เท่าเพราะอะไร ๒ เท่าเพราะคนมันมีกฎหมายรองรับ มันมีสิ่งสถานะรองรับ แต่พระบวชเข้าไปแล้วธรรมวินัยมันบีบคั้น
ดูสิ ก่อนเข้าพรรษา พระอยู่กันสุขสบายมาก อะไรก็ได้ พออธิษฐานพรรษาปั๊บ มันโดนบล็อกไง มันอึดอัด ๓ เดือนนี้ไปไหนไม่ได้ โอ๋ย! มีปัญหากันทั้งนั้น แต่ก่อนเข้าพรรษานะ พระมันผ่อนคลาย โอ๋ย! อยู่สบาย จะไปเมื่อไหร่ก็เก็บของไป พอเข้าพรรษาปั๊บ ๓ เดือนเหมือนติดคุก อึดอัดแล้ว มีปัญหาแล้ว กิเลสเป็นอย่างนี้ ไม่ได้เลย
ทีนี้พอมาบวชเป็นพระ ที่ว่าพระมาจากโยม ทีนี้ถ้าพระมาแล้ว เราจะพูดอย่างนี้บ่อย เมื่อก่อน พระที่ดีๆ พระทองคำ เวลาเขาเจอเขาก็ไปถวายวัด เขาไม่เก็บไว้บ้านนะ พระที่หัก พระที่อยู่ในบ้านแล้วมันเกิดสิ่งไม่ดีงามก็ไปถวายวัด ของดีที่สุดเขาก็ไปไว้วัดนะ ของเลวที่สุดเขาก็เอาไปไว้วัดนะ ฉะนั้น พระก็มาจากตรงนี้ ทีนี้เลวที่สุดกับดีที่สุดไปอยู่รวมกัน ฉะนั้น เวลาเข้าไปในสังคมอย่างนี้แล้ว ทุกอย่างมันแก้ไขได้
เราเคยผ่านอย่างนี้มาเยอะ ทีนี้พอมันมาหาเรา ทุกอย่างเวลามันผิดพลาดมา เขาเสียมาจากที่ไหนมาแล้ว บอกไม่เป็นไร ขอให้แก้ไข ถ้าแก้ไข ให้อยู่ ถ้าให้โอกาสแล้วไม่ทำ ไม่ให้อยู่ เพราะมันจะพากันเสียไปหมด นี่พูดถึงสังคมพระที่โยมมองไม่ถึงแล้วโยมมองไม่เป็น
แล้วถ้าบวชเข้าไปแล้ว สังเกตได้ไหม ทุกคนตั้งใจอยากบวช บวชเข้าไปพักหนึ่งแล้วอยู่ไม่ไหว ตัวเองต้องรับภาระในหัวใจของตัวเอง แล้วยังสิ่งทั่วๆไป แต่ถ้าเรามีเป้าหมายนะ ทุกคนเวลาบวชอยากจะถึงนิพพานหมด ทุกคนอยากพ้นทุกข์หมดเลย ถ้าเป้าหมายอันนี้รักษาไว้นะ อยู่ได้สบายๆ เลย
ทีนี้พอเป้าหมายนี้พออยู่ไปมันชินชา พอมันชินชา ชีวิต เราถึงบอกว่าอยู่ชีวิตพระนะ ทุกข์นะ มันไม่ได้อะไรดังใจเลย ไอ้ที่มันได้ดังใจอยู่ที่นี่เพราะอะไร เพราะโยมศรัทธา โยมมากันมันถึงได้ดังใจ ลองไปที่คนที่เขาไม่สนใจสิ เราอยู่ของเราคนเดียว แล้วเราธุดงค์ไป ไม่เคยได้อะไรดังใจเลย สิ่งที่คาดอยากหวัง ไม่ได้ สิ่งที่ไม่อยากได้ ได้ ทีนี้พอมาอยู่เป็นที่แล้วมันอีกเรื่องหนึ่ง
ฉะนั้น ถ้าชีวิต พวกเรามันจะวิตกกังวล เหมือนทางโลก เราต้องมีทุกอย่างพร้อมเราถึงจะอยู่ได้ แต่เป็นพระมันไม่มีอย่างนั้น มันไม่เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราไปเจอหัวหน้าดีนะ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านจะดูแลหมด ดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกก็ปัจจัยเครื่องอาศัย ทางธรรมก็หัวใจนี้
ดูหลวงตาพูดน่าซึ้งมากนะ ถ้าวันไหนหลวงปู่มั่นจะเทศน์ เหมือนลูกอ่อนกินนม ได้กินนมแม่ ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม โอ้โฮ! บางอย่างมันมีตะกอนในใจ มันหลุดหมดนะ เหมือนเรามีความคิดมีตะกอนในใจ ท่านพูดแล้วมันปล่อยหมด อย่างเราคิดทุกข์ใจ แล้วความทุกข์นั้นหลุดหมดๆ มันจะสุขไหม
เวลาเราวิตกกังวลใช่ไหม อยากธุดงค์ไปที่นั่น อยากจะเป็นไอ้นี่ มันอยู่ในใจ เวลาท่านเทศน์ขึ้นไป ไอ้สิ่งนี้มันปล่อยหมด มันก็สบายพักหนึ่งๆ เวลาเทศน์ทีหนึ่งมันก็เท่ากับเลาะความกังวลใจไปรอบหนึ่งๆ
ทีนี้เวลาท่านเทศน์ก็ดีใจ เพราะอะไร เพราะเราสู้กิเลสเราไม่ไหว เราสู้ความคิดเราไม่ไหว ความคิดหยาบ ความคิดทุกอย่าง มันก็เกาะๆๆๆ ท่านมาเทศน์ทีหนึ่งก็ปล่อยทีหนึ่ง ชีวิตก็อยู่สบายมาทีหนึ่ง พอเดี๋ยวสัก ๒-๓ วันเกาะอีกแล้ว กิเลสมาเกาะอีกแล้ว ท่านก็เทศน์สักทีหนึ่ง แล้วถ้าเราเร่งความเพียรมันก็ไปอีกเรื่องหนึ่งนะ ไปอีกเรื่องเพราะมันมีหลักแล้ว นี่พ่อแม่ครูอาจารย์ มันถึงซึ้งกันมากไง ลงใจกันมาก
ใครมีอะไร มา ไม่มีอะไร ให้พวกนั้นไปทำงาน เอาแค่นี้ก่อน เอวัง