จิตวิญญาณ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อันนี้มี ๒ ข้อเนาะ ถอดจิตเห็นได้อย่างไรเนาะ เรื่องผีเดี๋ยวทีหลัง มันจะก้ำกึ่งกันได้ มันต้องเริ่มพูดตั้งแต่ชาวพุทธก่อน ถ้าพูดถึงเดี๋ยวนี้เขาจะเอาเด็กๆ ไง อนุบาลไปโรงเรียนแล้วให้ปฏิบัติ ให้นั่งสมาธิ ถ้าชาวพุทธมีตรงนี้ดี ชาวพุทธยังเชื่อเรื่องศาสนา ทีนี้เรามาคิดกัน โดยเด็ก บอกว่าจิตวิญญาณเป็นนามธรรม มันจะไม่เห็นไง จิตวิญญาณนี่นะ แบบว่าถอดจิต เวลาถอดจิตเวลาเหาะมันมีตั้งหลายอย่าง มันอยู่ที่วาสนาของคนนะ บางทีเหาะๆ อย่างนี้เลย เหาะขึ้นไปทั้งตัวนี้เลย ฤๅษีชีไพรเหาะด้วยอำนาจของจิต เพราะสมัยเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วมันไม่มีเทคโนโลยี ถ้าจะเหาะก็คือเราเหาะ
ดูอย่างพระโมคคัลลานะ มีเศรษฐีไง เศรษฐีเขาเห็นพระ อันนี้สมัยพุทธกาลนะ เห็นพระประพฤติปฏิบัติที่ไม่น่าดูไม่งาม เขาก็น้อยใจว่าไม่มีพระอรหันต์แล้ว เขาก็เอาไม้จันทน์มากลึงเป็นบาตรแล้วก็ไปแขวนไว้ เอาไม้ไผ่ ๒ ลำต่อขึ้นไป แล้วประกาศ ถ้ามีพระอรหันต์ขอให้เหาะขึ้นไปเอาบาตรนี้ลงมาจากปลายไม้ไผ่นั้น นั่นเขาก็ไม่เชื่อแล้วนะ ทีนี้พวกเดียรถีย์เขาอยากได้ แล้วเขานัดกันไง บอกเดี๋ยวเราจะไปเอานะ แล้วก็บอกลูกศิษย์ไว้ บอกว่าพอเราแกล้งจะเหาะก็ดึงไว้ ดึงไว้นะ แต่จริงๆ เหาะก็เหาะไม่ได้ เขาเหาะไม่ได้หรอก แต่เขาอยากได้ เขาแบบว่าใช้เล่ห์ไง อาจารย์ก็บอกว่าทำท่าจะเหาะ แล้วก็นัดแนะกันว่าลูกศิษย์ก็พยายามดึงไว้ว่าอย่าเหาะเลย แค่บาตรไม้จันทน์ ทำอยู่อย่างนั้น เขาก็ไม่เชื่อ เศรษฐีก็ไม่เชื่อ ทีนี้พอเขาไม่เชื่อเขาก็ยิ่งวิตกกังวล เขาก็ยิ่งเสียใจไง ว่าพระอรหันต์สมัยพุทธกาลเขาไม่มีแล้วไง
ทีนี้พระโมคคัลลานะกับลูกศิษย์ บิณฑบาตผ่านมาทุกวัน แล้วเขาพูดเข้าหูไง พอเขาพูดเข้าหู พระโมคคัลลานะก็บอกให้ลูกศิษย์เหาะขึ้นไปเอา เพื่อให้เศรษฐีมีความชื่นใจว่ายังมีมรรคมีผล มีพระอรหันต์อยู่ ลูกศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์เหาะสิ อาจารย์ก็บอกลูกศิษย์ก็เหาะสิ เกี่ยงกัน เพราะลูกศิษย์กับอาจารย์คุยกันมันเรื่องปกติ คนทำได้แล้ว เหมือนนกนี่ เราจับนกออกจากกรง เราปล่อยนกก็บินใช่ไหม เราบินได้ไหม บินกระพือก็ไม่ขึ้น นกมันบินได้เป็นธรรมดา
จิตของคนทำได้นะมันเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้พอเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาถึงที่สุดแล้ว ลูกศิษย์ก็เหาะขึ้นไปนะ เหาะขึ้นไปเลย แล้วจับไม้จันทน์ก็วนตามรอบแล้วลงมา โอ้โฮ เศรษฐีนั้นดีใจมาก ว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่ พอมีอยู่ปั๊บทุกคนก็ตื่นเต้น ทีนี้พอคนเขาเห็นกันแล้วใช่ไหม คนเขาเห็นก็เหาะเห็นๆ กันอย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมาเวลาจะไปบิณฑบาต ใครจะไปทำบุญก็อยากให้เหาะให้ดูก่อน
ทีนี้เรื่องนี้มันก็ไปถึงพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าเลยบัญญัติ ห้ามแสดงฤทธิ์ ว่าพระเรานี่ มีก็ไม่ให้แสดง ถ้าแสดงออกไปแล้วศาสนามันจะง่อนแง่น อ้าว เรานั่งกันอยู่นี่เหาะได้อยู่ ๒ คน อีกซัก ๗-๘ คนเหาะไม่ได้ อีก ๗-๘ คนไม่ได้กินข้าวแล้ว แล้วศาสนาอยู่ได้อย่างไรล่ะ พระพุทธเจ้าก็เลยห้ามไง
นี่พูดถึงการเหาะเห็นไหม เวลาเหาะๆ ไปด้วยร่างกายนี้ก็ได้ ถอดจิตไปนี่ คำว่าเหาะโดยจิต เหมือนไปสวรรค์ไปทั้งตัวก็ได้ แล้วแต่คนที่มีอำนาจมีวาสนา บางทีตัวนั่งอยู่นี่ไปแต่จิตไง ไปเลย จิตนี่ไป คำว่าจิตไปแล้วไม่ตายหรือ ไม่ตาย เวลาเราฝันออกไปเห็นไหม เราฝันถึงเรื่องต่างๆ นี่จิตไปเที่ยวนะ แต่เรายังนอนอยู่ นี่สายใยเห็นไหม บางทีเขาเรียกว่ากลับเข้าร่างได้ กลับเข้าร่างไม่ได้ไง ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ทีนี้ถอดจิตไปจะเห็นหรือ
ทีนี้ถอดจิตไป มันก็เหมือนร่างเงา ผีนะ ผีกับเรา ในตัวเรามีทั้งเราด้วยมีทั้งผีด้วย เพราะจิตวิญญาณคือผี ถ้าเราตายนะ เราเป็นคนทำไม่ดี เราตายปั๊บเราก็จะเป็นผี แล้วเราเป็นผีอะไรเป็นร่างกายเรานั่งอยู่ที่นี่ เวลาตายเรานอนอยู่ที่นี่ แต่จิตนี่มันออกไปเป็นผี แล้วผีจะให้เราเห็นได้ไหม มันคนละมิติใช่ไหม แต่ทำไมเราเห็นผีกันบางคน ทำไมบางคนเห็นผีล่ะ เห็นผีเพราะว่า หลวงตาท่านพูดบ่อย ว่ามันเป็นญาติโดยกรรมใช่ไหม ญาติเราตายไป แล้วญาติเราตกทุกข์ได้ยากก็จะมาขอบุญกุศล แล้วเสียงต่างๆ มาเราก็ไปกลัว
ทีนี้การที่ว่าเขาจะเข้ามา อย่างเข้าในฝัน บางคนนะปู่ย่าตายายตายไปจะฝันเห็นไหม เวลาฝันเห็นไหม ฝันถึงว่าปู่ย่าตายายมาหาต้องการสิ่งใดสื่อได้ นั่นฝัน แต่ถ้าเราเห็นด้วยตานี่นะ เขาต้องสร้างภาพ เขาเรียกว่ารูปหยาบไง รูปหยาบต้องสร้างให้มันหยาบขึ้นมา มันต้องทำขึ้นมา เขาต้องเสียพลังงานมากนะ ก็เพื่อสื่อความหมาย
มันมีหลายๆคน ลูกศิษย์บางคนเขามากันพี่น้อง ๓-๔ คน เขาบอกไอ้ลูกชายอยู่คนหนึ่งจะฝันถึงพ่อตลอดเวลาเลย แล้วไอ้ ๓-๔ คนนั้นก็บอกว่าพ่อลำเอียง มาหาแต่ลูกชายคนนี้ ทำไมไม่มาหาเขาเลย นี่ความคิดเขานะ แต่ความรู้สึกเราๆ รู้เลย มาถามเราๆ รู้เลยไอ้ ๓-๔ คนนั้นไม่เคยทำบุญ แล้วไอ้ลูกชายคนที่มาหานี่ใส่บาตรทุกวัน คือว่าถ้ามาแล้ว เราจะไปหาพ่อหาแม่ต่อเมื่อเราอยากได้ตังค์เนาะ แบมือเลย ถ้าไม่แบมือไม่เข้าไปหาพ่อแม่
จิตวิญญาณเขาจะมาหาสิ่งที่เขาได้ประโยชน์ไง คือเขากินบุญกุศลเขาต้องไปหาตรงนั้นไง แล้วคนที่มีให้เขา ไปหาแม่เดี๋ยวแม่ควัก แม่บอกไม่ต้องมาเลย แม่เอาเงินถือไว้วิ่งเข้าไปหาเลย ลูกก็มีบุญอยู่แล้วจะมาหา แล้วที่ไม่มีบุญไปแล้วเหนื่อย ลงทุนเสียค่ารถเยอะแยะเลย ไปถึงแล้วไม่ได้อะไรกลับมาเลย นี่เขาไม่คิดตรงนี้ เขากลับไปน้อยใจเห็นไหม น้อยใจว่าเรานี่ ทำไมพ่อแม่ไม่มาหา ไปหาแต่ลูกคนอื่น เรามีอะไรให้พ่อแม่ไหม นี่เห็นได้หรือเห็นไม่ได้ เรื่องปฏิบัติไปมันอย่างนี้ มันเกี่ยวกันไง
ดูอย่างเช่นเชื้อโรคนี่ เราเห็นเชื้อโรคไหม แต่เวลาหมอเขาไปเพาะเชื้อ เขาดูด้วยกล้องจุลทรรศน์เขาจะเห็นเชื้อโรคเลย
คนภาวนาดีๆ จิตใจมันจะใส มันจะเห็น อย่างเวลาเข้าสมาธิ พอเข้าสมาธิ สมาธิมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ขณิกสมาธินี้สบายๆ พักหนึ่ง อุปจารสมาธิจิตมันสงบก่อน อุปจารสมาธิหมายถึงจิตมันรู้ จิตออกรู้ได้ เราเรียกอุปจาระคือรอบของจิต เหมือนกับเราคิด ความคิดนี่เป็นการเครื่องแสดงออกของใจนะ ใจคือพลังงานเฉยๆ ใจของพวกเราคือความรู้สึกไม่ใช่ความคิด แต่พอมีความคิดมันแสดงออกว่าเรามีใจอยู่ แต่เวลาเราเผลอเรานั่งสบายๆ เราว่าเรามีใจไหม พลังงานมันมีอยู่นะเพราะเรามีชีวิต แต่เราไม่ได้คิด อุปจารสมาธิหมายถึงจิตมันสงบแล้ว ไอ้ความคิดกับจิตมันออกรับรู้ได้ อย่างนี้วิปัสสนาได้
ถ้ามันละเอียดเข้าไปมันจะเป็นอัปปนาสมาธิ คือสักแต่ว่ารู้ คือพลังงานเฉยๆ สักแต่ว่ารู้ นั่งอยู่อย่างนี้ แต่มันรู้ตัวมันอยู่นะ สตินี้พร้อม รู้ตัวตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ความคิด ถ้ามันออกรู้เห็นไหม พอจิตมันออกรู้ นี่อย่างนี้ ตรงนี้วิปัสสนาได้ แล้วเวลาถ้าจิตมันออก ตัวจิตเฉยๆเวลาขึ้นไป พอจิตมันสงบเข้ามา เห็นได้ ไอ้ที่เหาะแล้วเห็นนี่ มีคนเห็นเยอะ
พระเรามีหลายองค์มากที่เหาะได้ ทีนี้เป็นที่ครูบาอาจารย์ท่านเหาะได้ ส่วนใหญ่เหาะนี่ เหมือนเรานี่ เราลองไปทำทางวิชาการสิ ก็อยากลอง นี่ ลองเรียนอะไรมา แหม มันไม่ได้ทดสอบมันคันไม้คันมือนะ ถ้าได้ทดสอบแล้ว เออ ใช่ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แต่เวลาครูบาอาจารย์ห้ามอวดอุตริมนุสสธรรม ธรรมนี่ธรรมเหนือมนุษย์ แต่เราอยู่ในป่าในเขามันไม่ได้อวดใคร
อย่างเช่นหลวงตาท่านพูดบ่อยเห็นไหม ท่านบอกว่าเวลาท่านสิ้นกิเลสที่ไหน เขาบอกท่านอวดอุตริ ท่านบอกไม่ใช่ มันเหมือนกับเอ็งจบสถาบันใดมา เอ็งบอกโรงเรียนเอ็งได้หรือเปล่า ทำไม แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ นี่ก็เหมือนกันไง ถ้าเราไม่รู้ว่าเราจบที่ไหน เอ็งจบไหม เอ็งไม่ได้เรียนมาหรือ เอ็งเรียนที่ไหนมา เอ็งจบที่ไหนมา เขาบอกเอ็งจบจากที่นั่นมาใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ทำตรงไหนที่มันจบที่ไหนก็ว่าจบจากที่นั่น จบที่ไหน พระพุทธเจ้าจบที่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่ขาวจบที่ว่าที่โรงขอดเห็นไหม จบที่ไหนมามันจะฝังใจมาก
ทีนี้เราบอกถึงที่สุดไง เหมือนเราทำงานจบแล้วมันก็จบที่นั่น ไม่ได้อวดอุตริ คือมันสิ้นขบวนการของมัน แล้วมันรู้ของมันนะ อย่างนี้ไม่ใช่อวดอุตริ นี้มันบอกถึงการทดสอบเห็นไหม ถ้าเราไม่ทดสอบเอ็งจะรู้ได้อย่างไร นี่เกิดมาจากใคร ลูกใคร ก็ลูกพ่อแม่ เกิดที่ไหน อันนี้เกิดที่ไหนล่ะ เกิดสถานที่เกิด ใจก็เหมือนกัน มันเกิดที่ไหน นี้ที่เห็นได้ต่อเมื่อท่านอยู่ตรงนั้นแล้วใจมันเห็นได้ แต่ถ้าเรามองไม่เห็นนะ เหมือนคนเราตาฝ้าฟาง เราจะไม่เห็นเรื่องอย่างนั้น ถ้าตาเราไม่ฝ้าฟางจะเห็น มันเป็นการทดสอบ เหาะทั้งตัวก็มีก็เห็นอยู่ เหาะไปเฉพาะจิตก็เห็นอยู่ แต่เวลาที่ไปนรกสวรรค์ ไปทั้งตัวก็ได้นะ แล้วไปทั้งตัวมันต้องคนมีบารมีมาก มีศักยภาพมาก
ดูอย่างพระโมคคัลลานะ ตอนที่พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่เวรัญชพราหมณ์นิมนต์ไว้ แล้วข้าวยากหมากแพงไง แล้วไปบิณฑบาต มันภัยแล้ง ไม่มีอาหาร แล้วทีนี้พอพระโมคคัลลานะเห็นสภาพแบบนั้นมันทนไม่ไหว ก็ไปบอกกับพระพุทธเจ้าไง ว่าจะพาพระเหาะไปอีกทวีปหนึ่ง ไปบิณฑบาตที่นั่น พระพุทธเจ้าบอกว่า
ถ้าเธอเหาะไปแล้วพระที่เขาเหาะไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไรล่ะ
กระผมจะจับมือต่อๆ กัน แล้วผมจะพาเหาะไป เห็นไหม เห็นได้ไหม ไม่ใช่แค่เห็นได้นะ แต่ดึงมือกันไปเลย
พระนันทะเป็นลูกผู้น้องของพระพุทธเจ้า แต่งงานกัน แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้าไปสวดมนต์แล้วกลับมา ธรรมดาก็มาส่งก็ถือบาตรมาส่งวัด นันทะเธอจะบวชหรือ บวช พูดไปด้วยเพราะว่าศักดิ์พี่พูดก็ไปตามกลอน แต่ใจยังคิดถึงเพราะเพิ่งแต่งงาน แต่งงานเสร็จก็ออกจากบ้านมาเลย ทีนี้พออย่างนั้นใจมันก็ครุ่นคิดตลอดเวลาถึงเจ้าสาว ทีนี้พระพุทธเจ้าถามว่า เธอไปดูไหม ดูไว้นะเธอจำภาพภรรยาไว้นะ แล้วก็จับมือไง แล้วจะเหาะพาไปดูนางฟ้า พอขึ้นไปนี่
นี่เป็นอย่างไร โอ้ ไอ้แฟนนั่นเป็นลิงเลยล่ะ นี่สวยมาก อยากได้ไหม อยากได้ อยากได้ อยากได้ให้พุทโธๆๆๆ ด้วยความอยากได้นางฟ้า จะบอกว่าขณะที่จูงเหาะไปน่ะ ปุถุชนใช่ไหม เหาะไม่ได้หรอก แต่พระพุทธเจ้าจับมือนี้เหาะไปได้ อย่าว่าแต่เห็นเลย จับมือเหาะไปเลยล่ะ ยังทำได้เลย
คนมีฤทธิ์ทำได้ แต่ทำแล้วมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ไง แล้วอย่างส่วนใหญ่คนที่มีฤทธิ์หรือคนที่ทำได้ เขาจะเก็บไว้ที่นี่ เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้มันพูดไปแล้วสังคมจะเชื่อหรือไม่เชื่อ คือมันดาบสองคม ไม่บวกก็ลบ แล้วพูดไปนี่ บวกมีเท่าไหร่ ลบมีเท่าไหร่ แต่ถ้าเราเองเรามีกิเลสใช่ไหม เรามีความสงสัยใช่ไหม ถ้าเราทดสอบจนเราลงใจแล้ว ก็เก็บไว้ในนี้
สังเกตได้ไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีจริง ท่านจะพูดอะไรด้วยความฉะฉาน เพราะท่านพิสูจน์มาแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ อย่างเช่นหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราจะบอกว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นเลย แล้วทำอย่างนี้ผลจะเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ผลจะเป็นอย่างนี้ แล้วทำได้จริงๆ เพียงแต่มาทำให้ดูกัน พอทำให้ดูนะ เราก็ยังสงสัย ไอ้คนที่เห็นมันยังลังเลอยู่ตลอดไป เห็นเหาะมาอย่างนี้มันยังขยี้ตาใหญ่ว่า จริงหรือเปล่าวะ จริงหรือเปล่าวะ อยู่นั้นล่ะ มันไม่เชื่อหรอก แต่ถ้าไปทำเองนะจบเลย นี่พูดถึงว่าทำไมถึงเห็นไง
มันเห็นได้ เห็นได้ด้วยตาเราไม่ฝ้าฟางหนึ่ง แล้วจิตนี่มันเป็นรูปร่างได้ อย่างเช่นความคิด ดูสิ ความคิดนะในทางการแพทย์ เวลาไปจับคลื่นไฟฟ้า เครื่องตรวจหัวใจเห็นไหม คลื่นพลังงานมันมี ขนาดเทคโนโลยีมันยังจับได้เลย ความคิดของคน เราตรวจหัวใจ เหน็บไว้เลยน่ะกราฟขึ้นเลย นั่นวิทยาศาสตร์มันจับ นามธรรมมันมี จะบอกว่ามีเลยล่ะ
อันนี้อันหนึ่งนะ แล้วอย่างเช่น ถ้าพูดถึงเรานอนอยู่แล้วผีอำ ผีอำนี่นะมันถึงคราว เราถึงถามไงว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างนี้ไหม เราจะถามให้เห็นเหตุผลไง เมื่อก่อนผีอำหรือเปล่า ทำไมไม่อำล่ะ แล้วตอนนี้ทำไมผีมาอำล่ะ คนเรานี่กรรมนะ เวลามันถึงคราวถึงวิบากที่มันจะให้ผล มันมานะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆกัน แล้วบางคนมาแก้ไขได้ บางคนมานะต้องแก้ไขด้วยความเต็มกลืนเลย
มีมาหาเยอะเหมือนกัน พอมันมีปัญหาขึ้นมา ขนาดว่าอย่าว่าแต่ผีอำเลย เหมือนคำว่าเจ้าประทับทรงก็เหมือนกัน เขาเรียกว่าต้องไปรับขันธ์ ๕ กัน เขาไปเชื่อกันอย่างนั้น แล้วมีเยอะมาก ยอมจำนน การประทับทรงก็เหมือนผีอำนี่แหละ จิตมันทับไง เราเป็นคนจิตใจอ่อนแอ เราเป็นคนที่เชื่ออะไรง่าย พอมีอะไรกับชีวิตเรา พอเขาบอกว่าต้องรับขันธ์ ๕ คือต้องยอมรับจิตวิญญาณที่ประทับ ก็ไปรับขันธ์พอรับขันธ์ปั๊บ พอถึงเวลาปั๊บ เขาก็ประทับ ประทับแล้วเราก็ต้องทำตามนั้น ต้องเซ่น ต้องไหว้ ต้องเคารพบูชา
เราคิดเลยนะ มันก็เหมือนทางอีสาน เมื่อก่อนเขาถือผีกันเห็นไหม เขาได้อะไรมา ได้ไก่มาก็ต้องผ่าครึ่งหนึ่งไปบูชาไปเซ่นผี อีกครึ่งหนึ่งเราก็ไปทำอาหารกิน ทำไมต้องไปเซ่นเขาล่ะ เพราะใจเราอ่อนแอ เพราะเราไม่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ สิ่งใดมันเป็นตามกรรมนะ เราต้องแก้ไขแล้ว อย่างเช่น ถ้าผีมันจะอำหรือสิ่งนี้ เราก็นึกตั้งสติไว้แล้วพุทโธๆๆ พุทโธนี้แก้ได้หมดเลย ทำไมเราถึงว่าแก้ได้ พุทโธเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า แก้วสารพัดนึกนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธานุสติเราอยู่กับพระพุทธเจ้า เราเคารพถึงพระพุทธเจ้า เราเคารพถึงครูบาอาจารย์ของเรา
เหมือนกับเราเป็นเด็ก เราโดนรังแก เราก็ไปหาพรรคพวกเรามา เรามีกำลังมากกว่า ไอ้คนที่จะมารังแกก็ไม่กล้าเข้ามา พุทโธก็เหมือนกัน พุทโธเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เหมือนกับสมมุติว่าเราไปเจอกันที่ไหน เราก็บอกว่าเราเป็นคนไทย เรามีสัญชาติ เรามีกฎหมายรองรับ เรามีกำลังทหาร ถ้าเกิดว่ามีปัญหากำลังทหารจะมา เขาไม่กล้าทำอะไรเราหรอก นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆ นี้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า บอกประกาศตนไงว่าเราเป็นชาวพุทธ ทีนี้ชาวพุทธ พุทธะ พุทธะเป็นที่เคารพบูชาของเทวดา ของอินทร์ ของพรหม ทั้งหมด เขาครอบคลุมตรงนี้ได้ไง
เพียงแต่พวกเรามันพุทธะที่ปากเอ็งไง พุทธะ พุทธะอะไร พุทธะก็ไม่รู้ ก็พุทธะก็พุทธะมันก็ไม่รู้พุทธะอะไร พุทธะที่ปากไม่ได้พุทธะที่ใจไง พวกนี้แก้ผีไม่ได้ เราบอกพุทธะนี่แก้ผีได้ พุทโธนี่แก้ผีได้ ทำไมเราไปเจอผี ทำไมเราพุทโธแล้วมันไม่ได้ มันพุทโธสักแต่ว่า นี่อย่างเรานี่ เรานึกพุทโธเราเข้าใจใช่ไหม ไปถามเด็กพุทโธมันรู้เรื่องไหม เด็กไม่รู้เรื่องหรอก บอกพุทโธๆ เป็นแค่ศัพท์คำบ่น แต่คำว่าพุทโธของเรานี้ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงศาสดา ระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาของเทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลาย เขาได้บุญกุศล ได้ที่พึ่งจากพระพุทธเจ้านี่ขนาดไหน เหมือนเรานี่เส้นใหญ่เส้นก๋วยจั๊บเลย เส้นพุทโธ แล้วบอกกูเส้นพุทโธนะมึง มึงกล้าเล่นกับกูหรือ ผีไม่กล้า ข้อนี้เราพิสูจน์มาเยอะ
เราอยู่ในป่า เราธุดงค์มา นอนอยู่นี่มาเป็นลูกๆเลยนะ พุทโธ! พุทโธ! โทษนะ ประสาเรานะเราก็กลัวเหมือนกันนะ ก็อยู่ในป่าเว้ย อยู่ในป่าใครจะไม่กลัว เพราะสมัยเราปฏิบัติใหม่ๆ เราก็เหมือนพวกเรานี่แหละ ก็เราเพิ่งออกป่าใช่ไหม เราก็พุทโธนี่แหละ แล้วพุทโธอยู่กับศีล โธ่ เรานี่ธุดงค์มาเยอะนะ เจอสัตว์ เจอเสือ เจอมาเยอะ ไอ้พวกอย่างจิตวิญญาณก็เจอมาเยอะ สถานที่ไหนนะ ที่เขาบอกว่าแรงๆน่ะ ถ้ำเจ้าผู้ข้านี่ ใครไปนอนนะ ถ้าพระปฏิบัติไปนอนนะ โดยลากขาเด็ดขาดเลย แล้วเราไปอยู่ที่นั่นเราไปโดนกัน เราโดนมาทั้งหมด ที่ไหนที่ว่าผีแรงๆ นะ มันปฏิบัติแล้วมันตื่นตัวดีไง ไอ้ที่บอกกูกลัวผี กูกลัวผี ที่ไหนผีดุๆ ไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่กันแล้วมึงกล้าไม่กล้า ไม่กล้านอน พุทโธทั้งคืนทั้งวันเลย แล้วมันก็เจอ
พอเจอแล้วนี่นะ คำว่าเจอนี่ กรรมฐานเรานะ ผีข้างนอกผีข้างใน ไอ้ผีตัวนี้จิตวิญญาณเราความคิดเรา ไอ้ผีตัวหลอก มันหลอกเรา ดูสิทุกข์ยากอยู่นี่ ใครหลอก ก็ผีน่ะมันหลอก มารน่ะมันหลอก ทีนี้ถ้ามารตัวนี้ ดูสิ เห็นไหม ผีบ้านผีเรือน ผีข้างนอกไม่กล้าเข้ามาเพราะในบ้านมีผีบ้านผีเรือน ร่างกายเรานี่เหมือนเรือนของกาย ไอ้ผีตัวนี้เป็นเจ้าบ้าน ผีข้างนอกมันจะเข้ามาได้อย่างไร ในเมื่อมันมีผีเรือนอยู่นี่แล้ว มีผีพุทโธอยู่ พุทโธอยู่นี่ พุทธะ แต่ไอ้ผีเรือนมันอ่อน ผีเรือนไม่เข้มแข็ง ผีป่ามันก็เข้ามาอาศัย ถ้าผีเรือนมันเข้มแข็งผีป่าจะมาได้อย่างไร
ไอ้ตัวความรู้สึกเรานี่ ถ้าตายตอนนี้ก็เป็นผีนะ ถ้าทำดีก็เป็นเทพ ทีนี้ไอ้ผีตัวนี้มันดีเพราะผีตัวนี้มันมีหลักเกณฑ์ ผีตัวนี้มันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แล้วถ้าทำไปแล้วเห็นไหม ที่หลวงตาพูด พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมอยู่ที่ใจ ใจเราเองเป็นพุทธะ ทำไมพระอินทร์เป็นคนอุ้มบาตรของพระพุทธเจ้า พระอินทร์ พรหมยังมาอุปัฏฐากพระสารีบุตร ตอนพระสารีบุตรจะนิพพาน ทำไมพวกพระอินทร์ พวกจิตวิญญาณ ทำไมเขาปรารถนาบุญกุศลจากภิกษุที่มีใจที่เป็นธรรม
หลวงปู่ชอบไปอยู่ที่เพชรบูรณ์เห็นไหม หลวงตาเล่า ไปอยู่ในถ้ำเพชรบูรณ์ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต สวดมนต์เบาๆ นี่แหละ แล้วถึงเวลาหลวงปู่ชอบก็จะธุดงค์ต่อไป โอ่ เทวดามาในนิมิตเต็มเลย ขอนิมนต์ให้อยู่ที่นี่ เวลาท่านอาจารย์สวดมนต์นี่ โอ้ มันร่มเย็น มันมีความสุขมาก หลวงปู่ชอบเล่าให้หลวงตาฟัง แล้วหลวงตาก็มาเล่าให้พวกเราฟังอีกต่อหนึ่ง
หลวงตาท่านไปฟังมาใช่ไหม หลวงตาท่านเป็นมหา ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็ถามหาเหตุผล แล้วท่านอาจารย์สวดมนต์อย่างไรล่ะ หลวงปู่ชอบบอกว่า เราอยู่ในป่าคนเดียวสังเกตได้นะ เราไปอยู่คนเดียว เราทำอะไรเสียงมันจะดัง ทีนี้มันสงัดเราทำอะไรจะดัง ท่านบอกว่าอยู่คนเดียวตะโกนไม่ได้หรอกมันจะลั่นป่า ท่านก็พูดธรรมดา นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต เหมือนเราท่องบ่นธรรมดานี่แหละ แต่ด้วยคำพูดของผู้มีศีลมีธรรม มันกังวานไง ทางจิตวิญญาณเขาบอกมันกังวาน มันก้อง แล้วเขามีความสุขมาก แล้วเวลาจะไป ท่านขอร้องไม่ให้ไป นี่พูดถึงเขาได้ความสุขจากพระผู้ปฏิบัตินะ แล้วเวลาพวกพระผู้ปฏิบัตินี่ พวกนี้เขาจะคุ้มครอง
แต่ในเรื่องของโลกนะ สวรรค์ก็เป็นโลก พวกเทวดาก็เป็นโลก โลกคือวัฏฏะ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ ในสังคมทุกสังคมจะมีแง่บวกและแง่ลบ ในเทวดาก็มีเทวดาที่ดี เทวดามิจฉาทิฏฐิก็มี เทวดามิจฉาทิฏฐิหมายถึงว่าเราเป็นคนที่คิดอะไรแปลกๆ อยู่ แต่เราทำบุญกับพระดีๆ เยอะเลย เราก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่เราเป็นคนคิดแปลกๆ อยู่ใช่ไหม มิจฉาทิฏฐิ
หลวงปู่มั่นท่านเจอบ่อย เห็นไหม ท่านไปเดินจงกรมที่ถ้ำยาว ท่านว่าเดินจงกรมอยู่นะ มันก็มีพวกเทพ รุกขเทวดา พระอะไรก็ไม่รู้ เดินเสียงดังเหมือนกับควบม้า เดินจงกรมธรรมดา เสียงมันดัง ก๊บ ก๊บ ก๊บ เดินธรรมดานี่แหละ ทีนี้หลวงปู่มั่นท่านรู้วาระจิต ท่านเมตตาไม่อยากให้พวกรุกขเทวดาเป็นบาปเป็นกรรมไง ท่านก็เดินนิ่มๆ เดินช้า ๆ สมณะอะไรก็ไม่รู้เดินเหมือนคนป่วย มันมิจฉาทิฏฐิเห็นไหม เดินปกติมันก็ว่าเดินอย่างกับคนควบม้า ท่านก็ เอ้อ มันคิดไม่ดีนะ ถ้าทำไปมันคิดไม่ดีมันจะเป็นกรรมของมันนะ ก็เดินเบาๆนะ สมณะอะไรก็ไม่รู้เดินเหมือนคนป่วยเลยย่องอยู่อย่างนั้นน่ะ มันอยู่ที่ความคิดเขา มันไม่ได้อยู่ที่กิริยาของหลวงปู่มั่น
เทวดา รุกขเทวดามันก็มี ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะ มันจะคิดปกป้อง อยู่ในป่าในเขา นั่งสมาธิพอจิตมันจะลง เทวดาเขาจะมาคอยดูแล แล้วจิตมันจะลงนะ ไอ้ที่ว่าเทวดาประจำเราอย่างนี้ อันนี้มันประสาเรานะ แต่พระพุทธเจ้าสอนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้สอนเรื่องเทวดา
เราจะบอกว่าอย่างนี้ ถ้าพวกเรามีเทวดารักษานะ เวลาเอ็งตายไปเอ็งจะไปรักษาใครล่ะ เอ็งจะเป็นเทวดาประจำใคร จำไว้ เราตายปั๊บ เราจะเป็นเทวดาแล้ว เราจะไปรักษาใคร เราจะไปรักษาคนอื่นต่อไปหรือ ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของผลของวัฏฏะ ของเวรของกรรม เราทำสิ่งที่ดีๆ
จิตเรานี้มหัศจรรย์มาก ดูเวลาคิดสิ คิดในแง่ดีนะอย่างที่ว่า ถ้าจิตดี มือนี่ทำงานไม่ได้หรอก ร่างกายทำงานไม่ได้หรอก ถ้าจิตมันไม่คิดทำงานสิ่งที่ดี แล้วเวลาโจรเขาปล้น เขาโกงกัน เขาฉ้อโกงกัน เขาเอาอะไรทำ เขาก็เอามือนี่แหละทำ จิตมันคิดดีนะมันทำให้เราทำดี จิตมันคิดชั่วนะมันทำให้เราทำชั่ว ทีนี้มันอยู่ที่จิตใช่ไหม ศาสนาสอนลงที่นี่ ถ้าสอนลงที่นี่ปั๊บ ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ปั๊บ เราตั้งใจของเรา
แต่เวลาตั้งใจแล้วเรื่องที่มันจะมีผีอำ เราจะแก้อย่างไร เราต้องแก้ ตั้งสติให้ดี เราต้องคิดถึงพุทโธ คิดถึงพระพุทธเจ้า ตอนนี้คิดถึงพระพุทธเจ้าเลย ว่าเราเป็นอะไร เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธนี้มันอยู่ที่ไหน ชาวพุทธตอนนี้มันอยู่ที่ทะเบียนบ้าน เราเป็นชาวพุทธ ศีล ๕ ก็ยังท่องไม่เป็น เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้ว เด็กมันพัฒนาขึ้น เด็กเรียนศีลธรรมแล้ว
ชาวพุทธต้องมีศีล ๕ คำว่าศีล ๕ คือความปกติของใจ แล้วถ้าชาวพุทธคิดถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดานะ นึกพุทโธ คำว่าพุทโธเราไม่ใช่ว่าพุทโธเฉย ๆ พระพุทธเจ้านี่มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ดูสิ ไปเทศน์สอนมารดาเห็นไหม ลงมาจากสวรรค์เห็นหมดเลย บารมีพระพุทธเจ้านี่สุดยอดมาก ประสาเราว่าถ้าใจเราเกาะเกี่ยวอยู่เป็นพุทธมามกะ มันมีที่พึ่งนะ ที่พึ่งที่ตรงไหน ที่พึ่งอย่างน้อยหัวใจเรานี่ไม่วอกแวก
ตอนนี้โยมทุกข์กันเพราะอะไร เพราะใจมันไม่มีหลัก ใจมันไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึก ถ้าใจเรามีหลัก เรามีพุทโธเป็นที่พึ่ง มันจะไปไหน อย่างน้อยเราก็มีจุดยืนแล้ว ถ้าใจมีหลักนะ พวกโยมนี่นะจะไม่เป็นเหยื่อ นี่เป็นเหยื่อหมดเลย ลองออกไปสิ เห็นป้ายโฆษณา เห็นอะไร อยากได้ไปหมดเลย อยากไปทั้งนั้น มันมีความจำเป็นเท่าไร
แต่ถ้าเรามีเป็นหลักนะ จริงๆ นะ เราไปเห็นตามถนนหนทาง เวลาเราไปไหน มันแปลกๆ มันมองแปลกๆ เอ๊ ทำไมคนคิดไม่ได้ เอ๊ ทำไมคนเป็นอย่างนั้น เอ๊ ทำไมคนเป็นอย่างนี้นะ เพราะอะไรรู้ไหม อย่างที่หลวงตาพูดนะ ถ้าใครเอาใจไว้ได้นะมันสบาย การเอาใจของเราไว้ได้ แต่เอาไว้ได้ยากมาก นี่ใจเรา ผีเรือนนะ ผีป่าเราอุทิศส่วนกุศลให้มัน คำว่าผีป่านี่นะ
เราจะบอกเลย โยมรักพ่อแม่ไหม โยมเกิดชาตินี้ชาติเดียวหรือ แล้วพ่อแม่เมื่อชาติที่แล้วล่ะ แล้วเราเป็นพ่อแม่ใครมาบ้างล่ะ มันมีไง บางทีไอ้พวกผีป่าแบบว่าผลของวัฏฏะไง ผลของการเกิดการตาย อย่างเช่นเราเกิดในชาติปัจจุบัน ตั้งแต่เกิดมาจนปัจจุบันเราได้ทำกรรมอะไรบ้าง เราได้ทำบุญอะไรบ้าง เจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรคือว่าสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่มันบาดหมางกัน นี่สิ่งนี้มีนะ
ฉะนั้นถ้าสิ่งนี้มี แล้วเราจะแก้ไข เวลาเราทำบุญกุศลเราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา เพราะโอกาสของเราๆ ได้ทำบุญกุศลแล้ว อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทุกคนบอกเลยนะ จะอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ชาตินี้จำชื่อได้หมดเลย แล้วเราถามว่าเอ็งเกิดชาติเดียวหรือ ชาตินี้เรารักพ่อแม่ไหม แล้วสิ่งที่เราเกิดมาแต่ละชาติเรารักพ่อแม่เราไหม แต่เราจำพ่อแม่ จำพ่อแม่ชาติต่างๆ ได้ไหม แล้วเราเองเราก็เป็นพ่อแม่เขาเหมือนกัน มันก็หมุนเวียนมาอย่างนี้ มันก็เวรมีกรรมกันมาอย่างนี้ เราถึงบอกว่าให้อุทิศส่วนกุศล เจ้ากรรมนายเวร พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อุทิศให้เขา คือว่าเราเป็นคนที่อยู่ในที่สว่าง เราเป็นคนที่มีสถานะที่ทำสิ่งใดก็ได้ เราทำสิ่งนั้นเพื่อให้กรรมเวรมันน้อยไปไง
เราจะแก้ได้ตรงนี้ ๑ รักษาใจตัวเองให้มั่นคงก่อน ๒ ทำบุญกุศล ตอนเช้าได้ทำบุญตักบาตรไป ตอนนี้โยมได้ฟังธรรม การฟังธรรมนี่นะ ถ้าจิตใจผ่องแผ้วอุทิศส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลคือจิตใจที่มีความรู้สึกความสุข อุทิศส่วนกุศลคือใจที่มันคิดถูกคิดผิด พอมันคิดสิ่งที่ดีมันเบาใจโล่งใจ ขอให้สรรพสัตว์ได้มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้ อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นสุข ขอให้สรรพสัตว์เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ ให้ได้รับผลบุญอันนี้ แล้วถ้าจิตใจเราดี เราฟังสิ่งที่ดี เห็นไหม เราจะทำแต่สิ่งที่ดีๆ
เราพูดบ่อยนะเวลาคนหรือสิ่งที่รักสิ่งนี้เสียหายไป ให้คิดถึงกันได้ไหม ได้ คิดแล้วทำดีไง พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้จริงๆ อะทาสิเม อะกาสิเม เวลาสวดศพ เธออย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ อย่าพิรี้รำพัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศถึงกัน เอาความดีน้อมไปสู่ความดี พ่อแม่คนใดบ้างที่ไม่ต้องการให้ลูกหลานเราเป็นคนดี ถ้าลูกหลานเป็นคนดี อย่างดีที่สุดก็พ่อแม่ก็สุขใจแล้ว แล้วยังอุทิศส่วนกุศลให้อีกเห็นไหม เราทำความดีให้พ่อ ให้แม่ ให้ปู่ย่าตายาย สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ มันละเอียดจนไม่มีใครรู้ไง
แต่เดิมพวกคนโบราณเขาจะกราบภูเขา กราบพระอาทิตย์ กราบไฟกันไง เขาบูชาไฟ เพราะมันยังไม่มีศาสนา แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะไอ้ของอย่างนี้งูกินหางนะ ชีวิตเรานี้งูกินหาง มันเวียนไปเวียนมาไง เราก็มาเป็นลูก แล้วเราก็มาเป็นแม่ แล้วก็เป็นยาย แล้วก็ไปเกิดใหม่ก็ไปต่อท้ายอีกแล้ว มันก็เวียนอยู่อย่างนี้ เพียงแต่เราไม่รู้เราไม่เห็น เอ้า แล้วใครเป็นยายใคร ใครเป็นแม่ใคร ใครเป็นลูกใคร เอ้า ใครเป็นใครตอนนี้ แต่มันเป็น ถ้าพูดอย่างนี้มันยังงงนะ
นี่เราจะพูดให้เห็นว่าวัฏฏะมันหมุนเวียนอย่างนี้ แต่ในปัจจุบัน ชาติปัจจุบันนี้เราทำให้ดีที่สุด แล้วเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่เรารู้ได้ เราทำได้ เพราะเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราศึกษาแล้วเราก็ลังเลสงสัย แต่ถ้าคนที่ปฏิบัติไปแล้วมันเห็นจริงหมดนะ ถ้ามันไม่เห็นจริง ไม่เห็นจิตเกิด จิตตาย แล้วมันจะเห็นจริงได้อย่างไร แล้วจิตเกิดจิตตาย จิตที่มันเกิดนี่นะ มันมีกิเลส มีอาสวะ มันมีเป็นแสนๆ ล้านๆ ชาติ
คำว่าจิตตายคือกิเลสตาย จิตเกิดจิตตาย ถ้าจิตยังเกิดอยู่ ยังมีอวิชชาอยู่ ยังมีข้อมูลอยู่ คอมพิวเตอร์มันมีโปรแกรมอยู่ เอ็งกดเมื่อไหร่ก็ออกหมดใช่ไหม แล้วถ้าคอมพิวเตอร์ไม่มีโปรแกรม คอมพิวเตอร์กดแล้วมันจะมีข้อมูลออกมาไหม จิตตายคือข้อมูลนั้นโดนทำลายหมด อวิชชาในหัวใจโดนทำลายหมด มันแค่คอมพิวเตอร์เปล่าๆ ร่างกายนี้เปล่าๆ พลังงานคือพลังงานสะอาด ไม่มีอะไรอีกแล้ว จิตตายคือกิเลสมันตายไปจากจิต แล้วมันจะไม่เกิดไม่ตายอีกเลย นี่ไง สิ่งที่มันเกิดตาย มันถึงมีเวรมีกรรมกันมานี่ไง เดี๋ยวโดนไอ้นั่น เดี๋ยวโดนไอ้นี่
บางคนที่เราเห็นนะ มันมีลูกศิษย์มาหาเยอะ มันแบบว่าเจอปัญหานี้ก็ต่อไปปัญหานู้น ปัญหานี้ แล้วไหนว่ากรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมมันให้ผลแล้ว ทำไมมันมีเรื่อยๆ ล่ะ ก็ดูพระพุทธเจ้าสิ ย้อนอดีตชาติไปมันไม่มีจบมีสิ้น เอ้า สมมุติพระพุทธเจ้าถ้าใช้กรรมนะ สิบชาติ ดูสิ ดูพระเวสสันดรเห็นไหม กัณหาชาลีล่ะ ที่สละไปล่ะ แล้วอย่างเตมีย์ใบ้เป็นอะไรไปเรื่อยๆ แล้วจะใช้กันอย่างไรจบ แต่พอมาอาสวักขยญาณ พอมันทำลายข้อมูลจบ มันจบหมด ถ้ามันจบหมดแล้วนี่มันก็สิ้น มันต้องสิ้นตรงนี้ พอสิ้นตรงนี้ปั๊บ มันถึงเห็นที่มาที่ไปหมดไง ว่าเวลากรรมนี้เจอสภาวะแบบนี้ กรรมนี้เจอสภาวะแบบนี้
แล้วเวลาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้ว ตอนที่เผยแผ่ศาสนาอยู่เห็นไหม นางมาคันทิยา ผู้หญิงที่ว่าจ้างคนมาด่าพระพุทธเจ้า โดนหมดนะ นี่เป็นถึงศาสดานะ แล้วเป็นศาสดานะ เวลาแสดงฤทธิ์กับพวกลัทธิ ยมกะ โอ้โฮ ไฟพุ่งออกจากทวารทั้งหมด ไฟพุ่ง ไฟออก แล้วเขามาด่าเหมือนหนังจีน พลุ้บเดียวนี่ กระเด็นเลยล่ะ แล้วท่านทำไหม ไม่ได้ทำเลย ขนาดพระอานนท์ทนไม่ไหวนะ หนีเถอะ! หนีเถอะ! ท่านทำเพราะสิ่งที่มีฤทธิ์เดชมันมีใช่ไหม แล้วทำไปมันก็สร้างเวรสร้างกรรม
พระพุทธเจ้ามีใจเมตตาไง ประสาว่าเขาจะมาฆ่าก็ยังไม่ได้ผูกโกรธใคร ใครจะมาฆ่า ใครจะทำลาย ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวไปกับใครเลย ทั้งๆ ที่มีฤทธิ์มีเดช เหมือนพระเวสสันดรเลย ชูชกจะมีอะไร พระเวสสันดรเป็นนักรบ เป็นแม่ทัพ ชูชกนี่เป็นแค่ขอทาน แล้วขอลูก เอาลูกไปตีต่อหน้า พูดถึงศักยภาพในกำลังในวิชา สู้พระเวสสันดรไม่ได้เลยซักนิดหนึ่ง แต่เขามาขอก็ให้เขาไป เขาตีต่อหน้าก็เจ็บปวดเอา ทนเอา
ทีนี้พอมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเห็นไหม มีฤทธิ์มีเดช แล้วคนจะมาด่าคนจะมาโจมตีอย่างไรนะ ถ้าใช้ฤทธิ์มันก็จบ ฤทธิ์เวลาที่ท่านแสดงก็แสดงว่าให้เห็นว่ามี แต่ไม่เคยทำร้ายใคร เขาจะมาทำร้ายท่าน ท่านยังไม่โต้ตอบเลย ทั้งๆ ที่มีนะ เพราะอะไร เพราะใจเป็นพระพุทธเจ้า ใจเป็นพระอรหันต์ไง ไม่ทำร้ายใคร อย่างพวกเรานี้ เขามาด่ามาว่าอย่างนั้น แล้วจะปล่อยไว้ทำไม ทีเดียวก็จบใช่ไหม แต่ทีนี้คิดแบบพวกเรา คิดแบบคนที่แบ่งข้าง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ใจที่บริสุทธิ์ไม่คิดอย่างนั้น คิดแต่เมตตาเขา ห่วงหาเขา
หลวงตาท่านออกมาช่วยโลก ตามโครงการช่วยชาติ ท่านพูดอยู่คำหนึ่ง เราฟังแล้วจำแม่นเลย ออกมาช่วยโลกนี่ เสียใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้นล่ะ เสียใจแต่คนจะตกนรกเยอะ ท่านพูดบ่อยมาก ท่านไม่เคยเสียใจว่าท่านเหนื่อย แล้วใครมาติเตียน ใครมาต่อต้าน ท่านไม่พูด ไม่ได้เสียใจตรงนี้เลย เพราะอันนั้นคือกรรมของเขา เขาทำแล้ว เสียใจแต่ว่าคนจะตกนรกเยอะ เพราะคนโจมตี คนต่อต้านมันจะตกนรก เห็นไหม ท่านยังเสียใจ ทั้งๆ ที่เขาต่อต้าน เขาทำลายนะ เพราะตอนโครงการช่วยชาติ เขาก็กันกันเต็มที่เหมือนกัน แต่ท่านก็ทำไปเพื่อให้พวกเรานี้ได้ทำบุญกุศลไง เป็นผู้นำให้พวกเราได้เสียสละ ให้พวกเราได้ตักตวงบุญกุศลของเรา เพื่อเอาไปในอนาคตของเรา นี่ชักจูงฝ่ายหนึ่งให้ทำคุณงามความดี ถ้าไม่ไปชักจูงไม่เป็นหัวหน้า เราก็ได้แค่ที่เราทำมาแล้ว เราก็จะไม่ได้ตรงนี้
แล้วนี่เห็นไหม ทางเศรษฐศาสตร์เขาบอกเลย เอาเงินเข้าไปในคลังหลวงกี่หมื่นล้านกี่หมื่นล้านมันก็นิดเดียว นั่นมันเป็นเศษเงิน แต่หัวใจของคนเสียสละ ชาวไร่ชาวนาเขาได้สละสิบบาทยี่สิบบาทนั่นล่ะเป็นบุญของเขา ไอ้หัวใจที่มันเสียสละอันนั้น มันจะติดตามจิตใจดวงนั้นไป ดวงนั้นได้เสียสละ ได้ทำบุญกับพระอรหันต์ พระอรหันต์เอาเงินนั้นเข้าไปอยู่ในคลังหลวง ไอ้คลังหลวงเป็นเศษเงิน ท่านยังบอกเลยนะเงินเป็นหมื่นๆ ล้านนะมันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ธรรมของท่านที่ได้ออกไปให้คนที่มันได้สร้างบุญกุศลออกไปเพื่ออนาคต เพื่อสิ่งคุณงามความดีในใจของมัน อันนั้นตีค่าไม่ได้
แต่คนมันไม่คิดตรงนั้น วิทยาศาสตร์มันไม่เห็นถึงความรู้สึกไง ไม่เห็นถึงค่าของน้ำใจของคนที่มันเสียสละไง ไอ้ห้าบาทสิบบาทกับคนที่ได้ทำทั่วๆ ไป ถ้าไม่มีท่านมันจะได้โอกาสไหม เพราะมีท่านใช่ไหม พวกนั้นถึงได้มีโอกาสได้ทำบุญ เขาจะรู้หรือไม่รู้มันเรื่องของเขา ลูกเราจะรู้ไม่รู้เรารักมันทุกวันน่ะ เราพามันไปโรงเรียน เราพยายามปลุกปั้น มันรู้หรือไม่รู้ตอนเด็กๆน่ะ พอมันโตขึ้นมามันจะบอก โอ้โฮ ที่ได้มาใครทำให้ก็ไม่รู้ แต่ตอนมันเล็กๆ นี่มันรู้ไหม
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เขาทำกันอยู่ มันรู้หรือไม่รู้ก็เรื่องของมันนะ แต่ถึงเวลาแล้วพอผลมันให้ผลของมัน มันจะซึ้งใจ แต่กว่าจะรู้นะ ผู้ใหญ่ก็ตายหมดแล้ว มันก็เป็นจิตของใครเห็นไหม แล้วอย่างนี้มันทำให้เพื่อใคร ถ้าใจเป็นธรรมเห็นไหม
จะทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ใจเป็นธรรม ไม่ได้คิดถึงเรา จิตใจสาธารณะ ทำเพื่อประโยชน์โลก จิตใจเป็นที่สาธารณะ แต่จิตใจถ้าเป็นเรา นี่เทียบพูดมาเรื่อยๆ ให้เทียบให้เห็นว่ามุมมอง ความเห็นมุมมอง มุมมองมันจะเห็นได้อย่างไร ไอ้นั่นมันเป็นสิ่งที่เห็นโดยอย่างนั้น แต่ถ้าใจเราสะอาดเห็นหมดเลย แล้วจะเห็นอย่างนี้ เวลาทำไปมันถึงว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จะสอนได้อย่างไรว้า มันเหมือนพูดถึงการตีความในแง่กฎหมายยังง่ายกว่านะ มันมีตัวบทนะยังได้โต้แย้งนะ แต่นี้มันไม่มีเลย แล้วก็ว่าว่างๆ ว่าง ๆ ว่างๆ นี่ขี้ลอยน้ำ ว่างแบบขี้ลอยน้ำไง มันว่างไม่จริงนะสิ ถ้าว่างจริงมันไม่พูดอย่างนั้นหรอก มันจะละเอียดเข้าไป แล้วมันจะเข้าไปทำลายอย่างไร มันจะไปเห็นของมัน ถ้าเห็นของมันปั๊บนะ ไอ้อย่างที่ว่านี่จะไม่สงสัยเลย
เราจะบอกว่ามันเป็นวาระ ตอนเช้าถึงได้ถามว่าก่อนหน้านี้เป็นไหม แล้วถ้าตอนนี้เราทำดีมันก็พ้นไป แต่ถ้าหัวใจเราหวั่นไหวนะ ถ้าผีอำหรือเข้ามาทับแล้วจิตใจเราหวั่นไหว มันเหมือนสร้างเวรสร้างกรรมไง เหมือนภาวนานี่พอไปเห็นอะไร พอไปยึดมัน มันจะเห็นอย่างนั้นซ้ำๆๆๆ
แต่ถ้าเราทำบุญกุศลอุทิศให้เขาไปนะ คือเหมือนมันมากระทบกันนะ สิ่งของที่มากระทบกัน แล้วก็แยกออกไป ถ้าอะไรมากระทบเราแล้ว เราสนใจดึงมันไว้ มันไม่ไปนะ ผีมันมาอำแล้ว เราอุทิศส่วนกุศลให้มันไป แยกกันไป จบกันไป แต่ถ้าเราไปสงสัย นี่คืออะไร อยากรู้อยากเห็นนะ ผีตัวที่หนึ่งมา ตัวที่สองก็จะมา ตัวที่สามก็จะมา ตัวที่สี่ก็จะมาเห็นไหม
แต่ถ้าเราสร้างบุญกุศลเสียสละแล้ว สัพเพ สัตตาไง สัตว์ทั้งหลายเป็นสุขๆ เถิด ให้เขามีความสุขของเขา มีสิ่งใดที่ปรารถนาก็ขอให้มีความสุขๆ ไป เราก็ทำชีวิตของเราไป ชีวิตของเรารักษาชีวิตเราให้ดี เราทำชีวิตเราให้มีความสุข เรียนหนังสือเรียนให้เข้าใจ ต่อไปเราจะทำหน้าที่การงานของเราไป ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกลนะ เราจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ เราจะรับผิดชอบครอบครัวต่อไปข้างหน้า อย่าไปสงสัย อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด แล้วชีวิตเราจะก้าวหน้า แล้วแต่บุญแต่กรรม ทำดีอยู่นี่คือกรรมดีอยู่แล้ว
สังเกตได้ไหม เด็กๆ บางคนทำไมหัวดี บางคนปัญญาดี ทำไมบางคนปัญญาทึบ ทางวิชาการทางครูเขาพยายามจะฝึกให้เด็กฉลาดให้หมด กรรมของเขามี กรรมของเขาๆ สร้างกรรมของเขามา กรรมดีนะมันจะมีเชาว์ปัญญา แล้วอย่างกรรมนี่ มันก็มีกรรมมันหมดวาระ เห็นไหม บางคนหัวทึบมาก พอถึงเวลามันปิ๊งขึ้นมามันไปได้ดีเลย ใช่ไหม ถ้ามันหมดวาระของกรรมมันก็ไปได้ แต่ถ้ามันไม่หมดวาระ เราก็หมักหมมอยู่กับความคิดเดิมๆ นั่นล่ะ
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้โดนครอบงำด้วยทิฏฐิมานะ มันครอบงำมันไว้นะ แต่ถ้าถึงเวลาแล้วนะ เฮ้อ พึ่บ! มันไปได้แล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตทุกดวงที่เป็นเรานั่งอยู่นี่ ถึงสิ้นหมดกิเลสได้ทุกดวง เพราะทุกคนมีตัวจิต มีความรู้สึก ตัวความรู้สึกนี่สะอาดบริสุทธิ์ได้
แต่พวกเราจะบอกว่า โฮ้ มันสุดเอื้อม สุดที่จะทำได้ ถ้าถึงตรงนั้นปั๊บ มันสะอาดบริสุทธิ์หมดนะ คือว่ามันทำได้ มันเป็นได้ไง แต่เพราะด้วยความอ่อนแอ ด้วยกิเลสตัณหาที่ครอบงำ เราบวชใหม่ๆ นะ อย่างไรก็ช่าง ฝนจะตกแดดจะออกก็ไม่สน เดินจงกรมนั่งสมาธิอย่างเดียว เพราะนิสัยมันเอาจริงตั้งแต่ฆราวาส ฆราวาสตอนทำงานนี่เอาจริงเอาจังมาก ทีนี้เป็นพระ ทุกข์ไหม ทุกข์ เหนื่อยไหม อ่อนเพลียไหม ล้าไหม ล้า แต่งานทางโลกยังทำได้ แล้วนี่จะพยายามจะเอาตัวเองให้รอด ทำไมจะทนไม่ได้ มันอยู่ที่ความเข้มแข็งของใจ
เหมือนนักกีฬา เวลาเขาฝึกซ้อม เหนื่อยไหม ทุกข์ไหม เหนื่อยทั้งนั้นนะ แต่อยากเป็นคนดี อยากจะเป็นนักกีฬาที่มีทักษะที่ดี ก็ซ้อมอยู่นั่น ขยันอยู่นั่น ทำอยู่อย่างนั้น เอาอยู่อย่างนั้น แล้วมันมีครูบาอาจารย์ที่ดีด้วย มีครูบาอาจารย์ที่ชี้นำได้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ชี้นำได้เพราะอะไร เพราะเราทำไปแล้ว สิ่งที่เห็นจริงไหม จริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ใจใสสะอาดกว่า ที่ไม่มีกิเลส จะแยกได้อย่างไรว่าสิ่งใดที่เห็นแล้วเป็นกิเลส สิ่งใดที่เห็นแล้วไม่เป็นกิเลส
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์บอกเราก็ต้องตกไปทางใดทางหนึ่ง เพราะทิฏฐิมานะเรามี เราเป็นคนรู้เองเห็นเอง มันต้องมีทิฏฐิมานะเป็นธรรมดา เพราะเป็นคนจับต้องเอง แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้แล้ว ท่านบอกว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันถูก แต่มันมีสมุทัย มีตัณหา มีความเห็นของเราบวก มันถึงไม่สะอาดบริสุทธิ์ไง มันถึงต้องมีตบะธรรมเห็นไหม ไล่ขี้ทองไง ทองมันโดนไฟเข้าไป มันจะไล่ขี้มันออก ไล่ขี้มันออก แล้วทองคำนั้นจะบริสุทธิ์ สิ่งที่เห็นมา เห็นจริงไหม ทอง ทองแต่มันมีส่วนผสมของตะกั่ว ทองแดง มีส่วนผสมของเหล็ก มีส่วนผสมของทุกๆ อย่างอยู่ในนั้น
ตบะธรรมของเอ็งน่ะแผดเผาเข้าไป แผดเผาเข้าไป แต่ถ้าเราเห็นนะ เอ้า ก็มันทองน่ะ ก็มันเป็นทอง ทอง แต่ส่วนผสมเราไม่พูดถึง เพราะเราไม่รู้ เพราะสายตาเราให้ค่าได้เท่านี้ แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นช่างทอง ท่านได้เผามา ท่านได้ไล่ขี้ทอง ท่านได้ไล่ออกมา ท่านทำแล้วทำเล่า ท่านเห็นของท่าน ไอ้เราก็เห็นส่วนผสมของทอง ดูนาคสิมันก็มีส่วนผสมของทอง มันก็มีส่วนผสมทุกๆ อย่าง มันก็คือทองของเรา แต่มันไม่ใช่ทองคำบริสุทธิ์ นี่ไง เราทำไปมีครูมีอาจารย์ มันจะมีประโยชน์ตรงนี้มากๆ นะ
ถ้าเรามีครูมีอาจารย์ที่เป็นความจริง เราขยันหมั่นเพียรแล้วเราไม่เสียหลาย ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ อย่างถ้ามีหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านมีอำนาจวาสนาท่านก็รื้อค้นของท่านขึ้นมาได้ เราไม่มีครูบาอาจารย์นะ เราก็ศึกษาตำรามา เราก็รื้อค้นของเรา เราก็รู้ได้เท่าที่เราเห็นเรารู้นั่นล่ะ เห็นจริงไหม จริง จริง เห็นจริงๆ ทั้งนั้นล่ะ แต่จริงไม่จริงตายไปรู้ไง ตายปั๊บ มันจะให้ค่าทันทีเลย เราตายนี่ พอตายปั๊บมันเสวยภพ มันเสวยเหตุนั้นทันที
เหมือนแหวนเหมือนทองคำเลย จะตีเป็นแหวน ตีเป็นสร้อย มันสำเร็จแล้วมันมาเป็นเลย แต่อันนี้มันเป็นขี้ทองน่ะ ขี้ทองมันอยู่ในขี้ทองเป็นก้อนๆ นะ มันผสมด้วยเหล็ก ผสมทุกอย่างไปหมดเลย ยังไม่ได้ไล่ขี้เลย แต่เพราะความไม่เข้าใจ เพราะเราไม่มีเทคโนโลยี เราไม่ใช่ช่างทอง เราเป็นคนขุดทอง
ในการปฏิบัติ เราเอามาเทียบชีวิตประจำ ทีนี้ตั้งแต่เราบวช พรรษาสองพรรษาแรกทำเอง เพราะมันยังไม่มั่นใจ พอทำเองจนสุดวิสัยแล้วก็ขึ้นไปอีสานไง หาพระองค์นั้นพระองค์นี้กว่าจะเจอก็เอาแรง พอเอาเรื่องอยู่ ตอบผิดตอบถูกไปเรื่อยๆ พอไปเจอหลวงปู่จวนเท่านั้น พลั้วะ! เอ้อ จริง แล้วพอหลุดหลวงปู่จวนมาก็เข้าบ้านตาด เวลามีครูบาอาจารย์มันเหมือนกับโค้ชกับนักกีฬาเลย นักกีฬาอย่าไปเถียงโค้ช ไม่มีทาง ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติไปแล้วไปเถียงอาจารย์ มันก็ต้องหงายท้องทุกที นักกีฬาไง เล่นในสนามนี่เก่ง โค้ชสอนมันยังว่าเก่งกว่าโค้ชอีกนะ นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติกับครูบาอาจารย์นะ อาจารย์ใส่เปรี้ยงๆ ยังเถียง เถียงเพราะมันรู้มันเห็นก็ขี้ทอง
นี่วาสนานะ แล้วมันก็ท้อใจพอสมควร เพราะฝึกคนมันฝึกยาก ฝึกพระฝึกเจ้านี่ยากมาก เพราะใจเรา เพราะเวลาเราสอนนะ เวลาเราให้เขาปฏิบัติ เพราะเราสมบุกสมบั่นมาก่อน ฉะนั้นเวลาใครทุกข์ใครเหนื่อย เขาก็ว่าเขาทุกข์เขาเหนื่อย แต่ความจริงเราสมบุกสมบั่นมามากกว่านั้นอีก แต่ขณะสมบุกสมบั่นเขาไม่เห็นไง
ฉะนั้นเวลาพูดไปนี้เขาจะบอกเลย ก็อาจารย์ไม่ได้ทำ ก็ว่าไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อย นี่จะตายอยู่แล้วไม่เห็นหรือ เราก็ต้องทำมาอย่างนั้นเหมือนกัน กว่ามันจะผ่านมาได้ก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ ทีนี้เพียงแต่ว่าเวลาปฏิบัติถึงได้เห็นใจนะ ต้องทุ่มเทกันจริงๆ นะ แต่ผลมันจะเกิด ทุ่มเทให้เต็มที่เลย เหมือนไฟไล่ขี้ทอง รักษาให้ดี แล้วถ้าขี้มันออกมันจะเป็นประโยชน์กับเรา
ใครมีอะไรต่อ? เคลียร์ไหม? เคลียร์แล้วเนาะ เดี๋ยวกลับไปบ้าน โอ้ ยังไม่ได้ถามเลย
อันนั้นก็ยังงงอยู่นะ จะบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาไง คนเป็นเยอะ แต่เราเพิ่งเป็นเหมือนกับเด็กมันไม่เคยเจออะไรเลย พอไปเจอครั้งแรกมันก็ตื่นเต้น แต่ถ้าคนเจอ เรานั่งอยู่นี่เราเจอเยอะนะ คนมาถามปัญหานี้เยอะมาก ทีนี้พอถามปัญหา แล้วมันก็บังเอิญอีกล่ะ ไม่บังเอิญอ่ะ อย่างทั่วไปนี่ เขาจะบอกเลยนะ เวลาพวกโยมจะไปหาพระ ไปปรึกษาพระ เขาจะถามว่า เอ๊อ มึงโง่หรือเปล่าไปปรึกษาพระ พระจะรู้อะไรเนาะ พระอยู่แต่ในวัดพระจะรู้อะไร แต่มันไม่รู้หรอก คนมาปรึกษาพระเยอะมาก ข้อมูลพระนี่ล้นตู้เลย
ทีนี้พอมาจะเจออย่างนี้ บางทีก็เจอเด็กๆ เจอผู้ใหญ่ คนแก่ก็มี เวลาคนแก่ๆ คนแก่บางทีมันเป็นเรื่องกรรมนิมิตแล้ว แล้วบางทีมันมีอยู่อันหนึ่งที่เขาไปเที่ยวป่ากัน แล้วพอมันทับเข้ามาเลย กลับมานี่ติด แล้วแก้ไม่ได้ พอแก้ไม่ได้มาหาเรา เราจัดการ ไอ้พูดอย่างนี้นะ บางอย่างทำไม่ได้หมดหรอก ถ้าทำได้หมดมันก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าว่า ต้องรื้อสัตว์ขนสัตว์ได้หมดไง บางทีกรรมของเขามันแรงไง มันก็ผ่อนหนักเป็นเบาพอได้
บางทีอย่างเขาเป็นหนี้กันมา อย่างคนนี้เป็นหนี้กันมาเป็นหลายๆ ร้อยล้าน แล้วจะบอกให้ยกให้ ไอ้คนเป็นเจ้าหนี้มันจะยอมไหม เอ้อ เขาเป็นหนี้กันมาใช่ไหม แล้วเขาเป็นเวรเป็นกรรมกันมา มันเป็นหนี้มา มาถึงเราก็บอกว่า เฮ้ย ยกหนี้ให้เขา แล้วใครมันจะยกให้ อันนี้บางอย่าง บางทีมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้หมดนะ แต่เวลาที่ว่าได้ ก็เวลาเราพูดเราจัดการ ถ้าเขาผ่อนคลายได้ เขาหายได้ เขาก็บอกว่า โอ เค เราทำสำเร็จ แต่มันก็ผ่อนหนักเป็นเบา อย่างลูกหนี้เจ้าหนี้ลองพูดให้เขาเข้าใจกัน
สมัยพุทธกาลนะในพระไตรปิฎกมันมีอยู่ มีอยู่คู่เวรคู่กรรมผู้ชาย ๒ คน จะเกิดมาแล้วผลัดกันฆ่าทุกชาติ แล้วชาติสมัยพระพุทธเจ้า เขาเกิดมา เขามาถึงแล้ว คนที่จะโดนฆ่าเขานอนหลับอยู่ เขามาด้วยกัน เขาอยู่ในป่า เมื่อก่อนอยู่ในป่าจะเดินเท้าไง แล้วพักค้างคืน อีกคนก็ลุกขึ้นมา มันมีอะไรขัดใจอยู่ก็จะมาฆ่าเพื่อน พระพุทธเจ้ามาเลย หยุด! หยุด! แล้วปลุกให้ตื่น ปลุกเพื่อนขึ้นมา แล้วเทศน์ให้ฟัง บอกว่า ๒ คนนี้ผลัดกันฆ่ามาทุกชาติๆ ผลัดกัน ผลัดกันฆ่ามาทุกชาติทุกชาติ ชาตินี้ให้สำนึกตัว แล้วให้สองคนอโหสิกรรมต่อกัน ให้ยกหนี้ให้ต่อกัน ฉะนั้นทุกคนพอได้ฟังเทศน์แล้วพอใจ ยกหนี้ให้ต่อกัน จบ
ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้านะ ไอ้คนที่ลุกขึ้นมาฆ่า ไอ้คนโดนฆ่าก็กำลังนอนหลับ มันจะมีอะไรไปเหลือ คนนอนหลับ อีกคนน่ะลุกมาฆ่า แต่ถ้าเป็นชาติที่แล้ว เพราะไอ้คนโดนที่จะฆ่าก็คือโดนฆ่ามาแต่ชาติที่แล้ว ฉะนั้นเวลามานี่ ทุกคนเป็นหนี้กันมา เจ้ากรรมนายเวรมันจะมีหนี้กันมา แล้วครูบาอาจารย์พยายามจะพูดให้สางหนี้กันให้ จะได้มากได้น้อยมันอยู่ที่ตรงนั้น ถึงเวลามันมาเอง ถึงเวลามันมา มันถึงวาระของเรา
ฉะนั้นถ้าเป็นวิทยาศาสตร์นะจะบอกว่า นี่เป็นอุปาทาน แล้วตอนนี้พอมีอุปาทานปั๊บ ก็ฉีดยากดทับประสาท ไอ้กรรมก็ส่วนกรรม แต่แก้ที่ร่างกายนี้ไง ต้องไปหาหมอ แล้วหมอก็บอกมันเป็นจิตประสาท มันต้องแก้ ก็ฉีดยากดยาทับนู่น มันก็ต้องแก้ที่ปัจจุบันนี้ แต่ก็ถูก ถูกในปัจจุบันนี้ แต่ศาสนาเห็นไหม ถึงได้บอกว่าโลกอดีต โลกปัจจุบัน โลกอนาคต
โลกอดีตคือสิ่งที่เราสร้างมาแล้ว โลกปัจจุบันคือมนุษย์ โลกอนาคตที่เราจะสร้างต่อไป มันเกี่ยวเนื่องกัน แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน โลกอดีต โลกปัจจุบัน โลกอนาคต มันเกี่ยวเนื่องกันไหม แต่ไม่ใช่อันเดียวกัน เพราะโลกปัจจุบันอยู่กับเรานี่ วิทยาศาสตร์แก้ไขที่ร่างกายนี้ไง แต่มันมีโลกอดีตมา แล้วเราจะเป็นโลกอนาคต นี่ศาสนาแก้ตรงนี้ แล้วปัจจุบันมันก็ต้องแก้ด้วย จบไหม เอวัง