เทศน์บนศาลา

เทศน์ในวันวิสาขบูชา

๒๓ ก.ย. ๒๕๓๘

 

เทศน์ในวันวิสาขบูชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๘
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันวิสาขะนะ “วันวิสาขบูชา” หมายถึงวันเกิดของพระพุทธเจ้า เกิดเป็นมนุษย์ก่อนทีหนึ่ง แล้วก็เกิดเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์อีกหนหนึ่ง แล้วก็วันปรินิพพานด้วย ฉะนั้น ถึงว่าเป็นวันกำเนิดศาสดาเลย

เกิดเป็นมนุษย์ก่อน ก่อนจะเกิดเป็นมนุษย์นะ อยู่ชั้นดุสิต นิมนต์ลงมา สร้างบารมีจนพอแล้ว ก่อนจะสร้างบารมีนะ ของทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรจะลอยมาแบบไม่มีเหตุไม่มีผลเลย ขนาดชาติสุดท้ายต้องสละกัณหา ชาลีนะ แล้วยังสละเมียด้วย

แล้วเขาก็ว่ากัน ว่ากันมากว่า พระพุทธเจ้าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว

แต่เวลาถ้าคนพูดถึงด้วยความโกรธ พูดถึงด้วยความเห็นแก่ตัว มันเป็นอย่างนั้น เพราะคิด ใจเขาใจเรา แบบเราเราต้องรักตัวเองมากที่สุดใช่ไหม รักสิ่งของเรามากที่สุด แล้วเห็นคนอื่นทำแบบนั้นก็เลยไปโทษเขา

แต่ความจริงไม่ใช่เลย ความจริงในมุมกลับกันนะ อย่างเช่นเรา เรามีความรัก เอาตอนที่เรามีความรักสิ เรารักภรรยาเรามากที่สุด รักลูกที่สุด แล้วเขามาขอไปอย่างนี้ เราจะยอมให้ไหม อย่างเช่น เวลาภรรยาเราหรือลูกเราเจ็บป่วย พ่อแม่อยากจะเจ็บป่วยแทนลูกเลย เวลาลูกเจ็บไข้ได้ป่วยนะ ขอให้พ่อแม่เจ็บแทนเถิด อย่าให้ลูกได้เจ็บเลย

แล้วชูชกมาขอไปต่อหน้านะ ออกไปแล้วตีต่อหน้า ความเจ็บปวดของใจมันเจ็บปวดขนาดไหน ถ้าเรารับความเจ็บปวดนั้นได้ เราจะยอมรับความเจ็บปวดนั้นแทนทันทีเลย

แต่โลกเขาไม่คิดอย่างนั้น โลกเขาว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ทำไมตัวเองไม่สละตัวเองเสีย ทำไมมาสละลูก สละเมีย

มันสละขั้นสุดท้ายต้องสละอย่างนั้นนะ พรหมจรรย์ไง นั่นน่ะ ชาติสุดท้ายเลยสละขนาดนั้น แล้วตายไป แล้วไปรอเวลา ถึงว่ามาจุติกับพระนางสิริมหามายา นั่นเป็นพระพุทธเจ้า เกิดออกมาแล้วก็ยังทุกข์อยู่ ๒๙ ปี ถึงได้มาออกบวช ออกบวชถึงได้มาตรัสรู้ มาตรัสรู้อีกทีหนึ่งถึงได้มาเป็นพระพุทธเจ้าโดยแท้ เกิดอีกทีหนึ่งไง แล้วพอเกิดอีกทีหนึ่ง จากคนหนึ่งเป็นคนหนึ่ง

ก่อนที่จะตรัสรู้ก็มีภรรยา จนมีราหุล เณรราหุลออกมาเป็นลูก

มีครบทุกอย่างนะ ไอ้ที่มีนี่เราบอกมันทำไมมันทำให้บารมีทอน...ไม่ทอนนะ

“มีครบทุกอย่าง” หมายถึง เป็นถึง...กำลังจะสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ ๙ วันหรือ ๗ วัน ในตำรานะ ในพวกตำราเรียนเขาวิจัยกัน กำลังจะสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ ตอนนั้นเป็นมงกุฎอยู่ กำลังจะสถาปนาอยู่ ออกเลย สละออกมาเลย

คิดประสาเราว่าเป็นถึงกษัตริย์ สมบัตินี้มหาศาล มีครอบครัวใช่ไหม นางสนมใช่ไหม มีภรรยาด้วย แถมมีนางสนมด้วย แถมมีลูก ครบบริบูรณ์เลย แล้วใครจะเสียสติสละออกมา สละสิ่งที่ว่าโลกนี้แสวงหา เราวิ่งเข้าไป เราก็วิ่งไปหาเพื่อตรงนั้น

แต่พระพุทธเจ้าสละออกจากตรงนั้นออกมานะ ออกมาเป็นขอทาน ออกมานะ

ถ้าออกมาอย่างเราบวชนี่สบายมากเลย บวชมา ถ้าว่าประเพณีมีอยู่แล้ว บิณฑบาตก็ได้อาหารมาสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าออกมา ไม่มีใคร จากในราชวังนะ อาหารประณีตขนาดไหน ออกมาก็เหมือนกับขอทานคนหนึ่ง มาขอเขากินโดยที่ว่าจะให้อะไรก็ได้ เพราะยังไม่มีศาสนาพุทธ ยังไม่รู้วิธีการให้ทาน ไม่มีอะไรเลยนะ จากสูงสูดลงมาต่ำสุดเลย มาทุกข์อยู่อีก ๖ ปี

อ้าว! คิดดูสิ อาหารประณีตราชวัง แล้วกับสิ่งที่ได้มานั่นน่ะทุกข์ขนาดไหน แล้วทำไมถึงทุกข์อันนี้เพื่ออะไร? ก็เพื่อจะหาสิ่งความจริง ความจริงแล้วลงที่ไหน ความจริง? ความจริงก็ลงที่ใจ

เพราะตอนปฏิบัติเต็มที่นะ กลั้นลมหายใจจนสลบไปจนถึง ๓ หน ประสาเรา ประสาหมอว่าช็อก ตายไปถึง ๓ ครั้ง อดอาหารจนรากขนนี่จนเน่าหมดเลย ขนร่วงหมดเลย มันไม่ใช่ทาง ทรมานที่กายก่อน พอเสร็จแล้วไม่ใช่ทาง ก็ถึงมาทรมานที่ใจ

ในศาสนาพุทธเรานี้มันเรื่องของใจเป็นหลัก เรื่องของสุข เรื่องของทุกข์

ทีนี้โลกนี้มันเจริญ เราถึงว่าโลกมันเจริญ เราจะมองแต่ปัญหาของโลก แต่ความจริง เจริญของโลกมันก็เหมือนกับเป็นวัตถุใช่ไหม เหมือนกับ...เช่น ร่างกายนะ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราโดนแผลบาด มันจะเป็นแผลที่กาย ไอ้ธรรมชาติของกายมันจะทำให้กายนี้ มันจะทำให้แผลนี้หายได้ มันสามารถทำต่อต้านเชื้อโรคแล้วสมานแผลได้

แต่เหล็ก พลาสติก หรืออะไรก็แล้วแต่ในโลกนี้ เวลามันชำรุดไป หักไป มันจะสร้างภูมิต้านทานของมันเองได้ไหม? ไม่ได้ แต่เราไปตื่นอย่างนั้นนะ ไอ้เราจะไปเอาเรื่องวัตถุนั้นมาเทียบกับร่างกายไง ร่างกายเรายังประเสริฐกว่าสิ่งที่เป็นวัตถุนั้นมหาศาลเลย แต่เรามองข้ามตัวเรา

ศาสนาพุทธสอนลงที่ความสุข ความทุกข์ในใจ แต่เรามองข้ามความสุข ความทุกข์ในใจไปเอาที่วัตถุนั้นนะ ทั้งๆ ที่วัตถุนั้นสู้ร่างกายเราไม่ได้อยู่แล้ว มันมองข้ามเรา มองข้ามตัวตน มองข้ามเรา ไปเอาของที่ไม่มีค่ามาเป็นมีค่า มันถึงได้กลับ นี่ผิดแล้วชั้นหนึ่ง

ชั้นที่ ๒ นะ ร่างกายนี้ก็ยังไม่ใช่ความสุข ความทุกข์แท้ อย่างเช่นเรา เราหิวข้าว เราก็มีความทุกข์ เวลากินข้าวเราก็อิ่มใช่ไหม เราไปตากแดด เรามีความทุกข์พอสมควร เราไปเข้าที่ร่มเราก็เย็น นี่สุขของกายมีเท่านี้เอง แต่ไม่สามารถสุขของหัวใจเลย ถ้าหัวใจมันอิ่มมันพอนะ มันสุขของมันเองนะ มันไม่ต้องการสิ่งใดเลย ร่างกายนี้ยังทิ้งได้

เวลาผู้ที่ปฏิบัติแล้วถึงที่สุดถึงบอกว่า การตายหรือการอยู่ มีชีวิตอยู่หรือการตายไป คือสละร่างกาย ทิ้งร่างกายไป กับเอาไว้ นี่มีค่าเท่ากัน

เราห่วงกายตลอดเวลา ดึงกายไว้เลย แต่ถึงที่สุดแล้ว กายทิ้งก็ได้ อยู่ก็ได้ เพราะว่ากายนี้เป็นเครื่องมือทำงานเท่านั้นเอง

นี่พูดถึงใจ เราจะชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเรา แก่นของมันคือหัวใจ ไม่ใช่ร่างกาย

ถึงได้มีคำสอนว่า “สละทรัพย์สมบัตินะ เพื่อรักษาอวัยวะ” เพราะทรัพย์สมบัติ เราถึงว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราต้องเสียสละเอาทรัพย์สมบัตินี้มาเพื่อรักษาอวัยวะ ก็ร่างกาย แล้วก็เสียทรัพย์ สละทรัพย์เพื่อรักษาร่างกาย

“สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต” ใช่ไหม

“สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม” ฟังสิ “สละชีวิตนะ เพื่อรักษาธรรม”

ธรรมคืออะไร? ธรรมคือความจริง

“สละชีวิต” ถ้าไม่สละชีวิตมันรักษาธรรมไว้ไม่ได้ จะทำอะไรกลัวทุกข์ กลัวยาก กลัวลำบากลำบนนะ เรากลัวไปหมดเลย ความกลัวนั้นน่ะมาบั่นทอนการทำความดีของเรา จะเข้าถึงความดีของใจ เข้าไม่ถึง

เพราะไอ้อย่างนี้ เช่น เราคิดอะไรก็แล้วแต่ มันจะมีกิเลสคิดตามมา คิดอยู่ตามมา หมายถึงว่า เหมือนกับผู้กำกับอยู่หลังฉากความคิดเรา อันนั้นมันอยู่กับเรามาตลอด อันนี้ไม่มีใครสามารถเห็นได้ พระพุทธเจ้ามาย้อนเห็นอันนี้ต่างหากล่ะ พอย้อนเห็นอันนี้ปั๊บ สละอันนี้ออกจากอันนี้แล้ว ความคิดเราก็เป็นอิสระ ความคิดที่ไม่มีเจ้านายไง ความคิดอย่างพวกเราความคิดที่มีเจ้านาย คือกิเลสมันไสให้คิด แต่ความคิดของผู้สิ้นกิเลสแล้ว คิดเป็นประโยชน์โดยธรรมชาติของมัน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีผู้บังคับให้คิดตามมัน ไม่มีตรงนี้นะ

แต่จะย้อนกลับไปชำระตัวนี้ เริ่มทาน พอเริ่มทาน พระพุทธเจ้าสอนให้มีการทำทาน ถึงว่าถ้ามาทาน ทานตัวนี้ เราลองทำสิ เราทำทานใหม่ๆ เราจะไม่ยอมทำเลย อ้าว! พูดถึงเอาวัตถุนะ เอาแบบวิทยาศาสตร์มาคิดกัน เราได้ของ เราจะหาของมา มันแสนทุกข์แสนยากนะ แล้วเราจะสละออกจากมือเราไปได้อย่างไร คนบ้าหรือเปล่า มีสมบัติมาแล้วก็ให้เขาไป คนบ้าไหม ถ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์ว่าคนบ้า แต่ถ้าเป็นธรรมแล้วไม่ใช่

ดูตาสิ ดูตา เวลาให้มาดูให้ละเอียดสิ ตามันเป็นอย่างไร เราให้สัตว์มันเป็นอย่างไร ดูตามัน ดูตามัน มันมีความซาบซึ้ง มันกินหัวใจ อย่างเช่น เราทุกข์ยากมากเลย แล้วมีคนช่วยเหลือเรา นี่มันจะสมานกันตรงนั้นไง ตรงนี้ “ใจถึงใจ” ใจมันเข้าถึงใจ ความทุกข์ความยากแล้วคนมาผ่อนคลายความทุกข์ความยากของเรานะ ฟังนะ อันนี้มันเห็นมันว่าหยาบๆ

แต่เวลาหัวใจเราทุกข์เรายาก แล้วเราแก้ไขเราเอง คิดดูสิมันยิ่งละเอียดอ่อนที่ว่า เรายิ่งกว่าไปช่วยเหลือเขานะ เพราะจิตใจทุกดวงมันทุกข์หมด ไม่มีจิตใจดวงไหนหรอกที่เป็นอิสระ ไม่มี การเกิดมานี้ทุกข์ทั้งหมดทุกดวงใจเลย

เพราะถ้าเราศึกษาธรรมอย่างนี้ เราถึงไม่ตื่นเต้นไปกับไอ้ที่ว่าเขามีฐานะยากดีมีจน เขาสูงส่ง ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับเขาเลย สูงขึ้นมาขนาดไหนก็เพื่อจะล้ม ไม่มีว่าขึ้นมาสูงไว้แล้วจะทรงที่ไว้ได้ ไม่มี จะกี่ชุดก็แล้วแต่มันต้องล้มไป มันเปลี่ยนวนเวียนอยู่อย่างนั้น โลกนี้เป็นอนิจจัง

“สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” เพราะสิ่งใดเป็นอนิจจังใช่ไหม แล้วเราไปเกาะนิจจัง คือว่า เราไปกำอากาศว่าเป็นสมบัติของเรา มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มี มันไม่มีหรอก มันเป็นสาธารณะสมบัติ

สมบัตินี้ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าว่า สมบัติของโลก เงินทองนี้เป็นของประจำโลกนะ เงินทองนี้เป็นของโลกเขา อย่างที่ว่าเหมืองทองคำ ดูสิ มันอยู่ในดิน ดินมันไปรับรู้อะไรว่าทองคำนี้มันเป็นของมัน มันมีความสุขอะไร เราต่างหากไปขุดมันขึ้นมา แล้วมาหลอม แล้วมายึดไว้เป็นของเรา เรามายึดอยู่ชั่วอายุเรา

ถึงเรามีชีวิตอยู่นะ ของนั้นอาจจะหายไปจากเรา ถึงของคงอยู่ เราก็ต้องตายไปจากมัน มันไม่มีอะไรเลย ความยึดมั่นของใจเท่านั้นเอง ไปยึดของอย่างนี้มา แต่เวลาเราให้กัน เราสละกัน มันช่วยกันอย่างนี้ใช่ไหม ช่วยภายนอกอย่างหนึ่ง ช่วยภายในของใจ อย่างเช่น ใจเวลามันเดือดร้อน กระฟัดกระเฟียด อยู่ในบ้านต้องมีทุกคน เวลามันขัดใจ มันกระฟัดกระเฟียดเต็มที่ แล้วใครช่วยเหลือมันได้ ใครช่วยเหลือมัน มันอัดอั้นตันใจนะ แถมมันจะระเบิดเลย

แล้วธรรมะอันนี้ พระพุทธเจ้าสอนนี่ ย้อนกลับไปที่ใจของตัว

เริ่มมาจากทาน พอจากทานแล้วจากมีศีลใช่ไหม แล้วก็มาภาวนา ภาวนานี้ชำระจิตใจ เพราะภาวนานี้มาบังคับจิตใจ อย่างเช่น เด็ก ปล่อยมันวิ่งสิ มันจะเล่นสบายเลย เอามานั่งนนี่มันจะงอแงเลย ใจปกติมันคิด มันคะนอง มันเป็นธรรมชาติของมันเป็นธาตุรู้ มันต้องคิดออกไป โดยธรรมชาติของมันเลย แล้วเราก็ปล่อยให้มันคิดออกไปว่า เราคิด เราคิดถูก แต่ความคิดนี้มันมีอย่างไอ้ตัวที่ว่ามันตามมา

พระพุทธเจ้าถึงบอกให้หยุดคิดก่อนไง หยุดคิดให้มีภาวนา ให้มีสมาธิ

“ศีล สมาธิ ปัญญา” ต้องมีสมาธิก่อนนะ ถ้าไม่มีสมาธิ มันก็คิดด้วยระบบเดิมของตัว อย่างเช่น เราเป็นคนมีฐานะน้อย เรามีปัญญาน้อย เราก็โกงได้น้อย คนที่เขาฉลาดมากเขาก็โกงได้มาก เราจะเทียบมาที่ใจ ใจถ้ามันมีมัน มันคิดมาก มันรู้มาก มันก็โกงเขาได้มาก มันก็หาความร้อนมาใส่ตัวมันได้มากกว่าเขา ถึงอย่างพวกเรา พวกพวกเด็กๆ มันก็ประสามัน ประสาโกงแบบเด็กๆ

ฉะนั้นถึงว่า ถ้าคิดโดยยังไม่มีสมาธิมันเป็นโลกียะทั้งหมด

เราจะชี้ให้เห็นว่าคิดอย่างไรมันก็เป็นโลกียะ โลกียะ หมายถึงว่า ความคิดมันเจือด้วยกิเลส มันเป็นต้นของความคิด ต้องมาทำให้เป็นสมาธิก่อน พอเป็นสมาธิ นี่หมายถึงว่า สัมมาสมาธิมันก็เป็นมรรคองค์หนึ่งใช่ไหม สัมมาสมาธิ สมาธิหมายถึงกิเลสมันสงบตัวลง มันไม่ขาดหรอก มันสงบตัวลง หมายถึงว่า ถ้าเป็นน้ำสกปรกเรามากิน มันก็เป็นโทษต่อร่างกายใช่ไหม น้ำที่สะอาดเราก็เอามากิน มันก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกายใช่ไหม

จิตนี้เริ่มสะอาดขึ้น แต่สะอาดขึ้นด้วยผลของสมาธิ ไม่ได้สะอาดขึ้นด้วยสมุจเฉทปหานของปัญญา มันก็ต้องใช้อันนี้ หมายถึงว่า เลือกเป็นโลกุตตระ

เป็นปัญญาของโลกียะ คือว่าความคิดเราเป็นโลกียะ

แต่ถ้ามันเป็นสมาธิมาเป็นพื้นฐาน ความคิดนี้จะเป็นโลกุตตระ พระพุทธเจ้าถึงสอนตรงนี้

แต่ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้า มันมีศาสดาทุกๆ องค์เขาปฏิญาณตนว่าเขาเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว แล้วเขาสอนแต่เรื่องฌานสมาบัติ เขาว่าเขาเป็นใช่ไหม ฌานสมาบัติมันมี สมาธินี้มีก่อนพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ก็มีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครใช้ปัญญาตัวนี้ ตัวมรรคคือองค์ ๘

พระพุทธเจ้าถึงบอกศาสนาทุกศาสนาไม่มีมรรค ยกเว้นแต่ศาสนาพุทธเราเท่านั้น เพราะศาสนาเดิมๆ มีมาก่อนศาสนาพุทธเรานี้หลายศาสนามีมาก่อน แต่ไม่สามารถจะชำระใจได้ คือว่าอาจารย์มหาบัวใช้คำว่า “ศาสนาเป็นผู้มีกิเลส” เขายังมีกิเลสอยู่ เขาก็สอนด้วยจินตนาการ คนมีกิเลสอยู่มันก็สอนด้วยจินตนาการอย่างนั้น มันก็ยังผิดอยู่

นี้ศาสนาเรา ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสิ้นกิเลส ศาสนาของผู้สิ้นกิเลส ผู้ไม่สงสัยในโลกในใจนี้ โลกวิทู รู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลกภายใน กับโลกภายนอกมี ๒ โลก โลกภายใน คือโลกเกิดตาย เกิดตายไง ทุกดวงใจต้องเกิดและตาย โยมอย่าคิดว่าตายแล้วสูญนะ ตายแล้วเกิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เกิดแล้วก็ต้องตาย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นี่เกิดมานี่ตายหมด นั่งอยู่ที่หรือนั่งอยู่ข้างนอกต้องตายหมด ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าเลย

แต่ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เพราะว่าสสารธาตุรู้นี้มันไม่โดนย่อยสลาย มันยังเป็นไปโดยอัตโนมัติของมันตลอดเวลา อัตโนมัตินะ ฟังนะ คำว่า “อัตโนมัติ” มันต้องเป็นไปตลอดเวลา เกิดสูงเกิดต่ำมันต้องเกิดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ากรรมดีกรรมชั่วทำให้สูงให้ต่ำ แต่เกิดโดยอัตโนมัติ หมายถึง เกิดอยู่แล้ว แต่ความดีความชั่ว ทำดีก็ได้ไปเกิดดี ทำชั่วก็ได้ไปเกิดชั่ว อันนี้มันอยู่ในธาตุรู้อันนั้นด้วย

พระพุทธเจ้าถึงสอนชำระอันนี้ให้สะอาด ถ้าอันนี้ให้สะอาดธาตุรู้นั้นก็มีอยู่ นิพพานถึงมีอยู่ นิพพานถึงมีเจ้าของ นิพพานไม่สูญเปล่า แต่มันสูญ สูญจากโลกเรานี่ สูญจากความคิดของเรา นี่พระพุทธเจ้ารู้ตรงนี้นะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ

ทีนี้วิธีการมัน...โอ้! อย่างที่พูดเมื่อกี้ พอเห็นอาหารอย่างนี้ เริ่มต้นใหม่ๆ ใครจะกล้าทรมานตน แต่ถ้าเรามั่นใจนะ พระพุทธเจ้าถึงสอนเราว่า พวกเราคนตาบอด ให้เชื่อคนตาดี ให้เชื่อธรรมะพระพุทธเจ้า ให้เชื่อคำสั่งสอน ให้เชื่อ ให้เชื่อ

แต่ใหม่ๆ มันจะไม่เชื่อ เพราะเชื่อไปว่าเป็นคนโง่ ผู้ใดที่ว่าเบียดเบียนเขา หามาใส่ตัวได้คนนั้นเป็นคนฉลาด แต่ถ้าเวลาพูดธรรมะเขาว่าเป็นคนโง่ ก็หาความเบียดเบียนมี เอายาพิษมา อย่างเรา อย่างเช่นตอนนี้ พอไปเที่ยวข้างนอกเอดส์มันจะเอาให้ตายหมด เหมือนกันเราก็หามาเพื่อจะทำให้ตัวเองทุกข์ร้อนลงไปอีก

แต่ทำอย่างนี้ปุ๊บ ศาสนาพุทธสอนให้คนมืออ่อนเท้าอ่อน...ไม่ใช่

ศาสนาพุทธสอนให้คนมีปัญญา ทุกคนมีปาก ทุกคนมีท้อง การหาปัจจัย ๔ นั้นไม่ใช่ความโลภ ความหาปัจจัย ๔ นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูกต้องเลย คนฉลาดต้องหาปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แต่ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยกับความโลภมากต่างกัน ความโลภที่เราโลภมากอันนั้นมันทำให้เราเดือดร้อน แต่ถ้าเราหาปัจจัย ๔ หรือหาด้วยความเป็นธรรมนะ เพราะว่าปกติมันมีนะ คนทำดีทำชั่วมี มันมาโดยอัตโนมัติ อย่างเช่น พระสีวลีเป็นผู้ที่มีลาภอันเลิศ ไปที่ไหนมันมีมาโดยอัตโนมัติ อย่างนี้เราปฏิเสธอย่างไรก็ไม่ได้ มันเป็นไปธรรมชาติของมัน อันนี้เพราะท่านก็ไม่มีความโลภอยู่แล้ว แต่เป็นไป

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน การดำรงชีวิตของเรา คนเรามีวาสนา วาสนามันต่างกัน การสะสมมามันต่างกัน ทีนี้ว่าจะให้แบบว่า เราเป็นชาวพุทธ เรามีวาสนาแล้ว พอตำแหน่งหน้าที่มาฉันไม่เอา ฉันจะเป็นภารโรงอย่างเก่า เพราะฉันเป็นภารโรงใช่ไหม เวลาตำแหน่งเลื่อนขึ้นไป ฉันก็ไม่ยอมไปเพราะฉันจะเป็นภารโรง อันนี้ใครเป็นคนถูกคนผิด

นี่เราชี้ให้เห็นว่าการโทษไง เวลากิเลส... อาจารย์มหาบัวท่านใช้คำนี้ แสบนะ ท่านใช้คำว่า “หมาบ้า” หมาบ้ามันมากัดธรรม คือว่าเอาธรรมะมาตั้งเป็นประเด็นแล้วเราก็วิจารณ์ แบบว่าโน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี

ทั้งๆ ที่ความไม่ดีก็คือความคิดของเรา ความคิดของเราต่างหากที่ว่าไม่ดี แต่ตามธรรมชาติของมันสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำถูกต้องใช่ไหม ทีนี้วาสนาบารมีคนมันต่างกัน การสูงการต่ำมันต้องเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราไม่ไปเบียดเบียน ไม่เป็นอย่างนั้น อันนั้นถึงว่าไม่ผิดไง

เวลาพูดถึงหลักธรรม จะปล่อยวาง ปล่อยวาง เวลาจะได้อะไรขึ้นมา เพราะคนปากสกปรกมันจะทำให้พวกเราขาอ่อน

เป็นชาวพุทธแล้วทำไมโลภมากเนอะ ก็มาภาวนาแล้วก็อย่ามาโลภมากสิ อะไรก็จะให้เขาให้หมด

การให้เขา...คนมันมีปัญญานะ อย่างเช่น อาจารย์เรา อาจารย์มหาบัว อ้างอาจารย์มหาบัวประจำ ใครมาบอกก็แล้วแต่ว่าที่นั่นมีทุกข์มียากนะ ท่านจะให้คนไปสืบเลย ท่านจะไม่แบบว่า คนนี้มาบอกว่าคนนี้ทุกข์ยากนะ ก็ให้เลย ให้เลย...มันก็มาหลอกกันสิ เห็นไหม คนมีปัญญาต้องอย่างนั้น ช่วยต้องช่วยแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์

ไม่ใช่ช่วยอย่างเรา เด็กมันไม่เป็น ให้มันไปสิ ของให้มันมากขึ้นไป มันก็ทำมันเป็นโทษแก่มันเอง แก้วแหวนเงินทองให้มัน มันไปใส่ไว้ ทำให้มันเป็นโทษแก่ตัวมันนะ เรามี เราเก็บใช้ประโยชน์ของเราเป็นประโยชน์ของเรา ปัญญาของคนเป็นแบบนั้น ปัญญาของชาวพุทธ

อย่าไปเชื่อมัน ไอ้ที่ว่า อย่างเช่นมาอย่างนี้ มาอย่างนี้ ทุกข์ยากขนาดไหน อุตส่าห์หาเงินหาทองมา แล้วก็จะต้องเอามาให้ถึงที่ เอามาให้พระ อ้าว! ถ้าคนเห็นประโยชน์ของตัวนะ ใครเป็นคนได้ ที่นี่ใครเป็นคนได้ พระได้เหรอ?

พระไม่ได้เลย พระนี้แค่อาศัยชั่วปัจจุบันนี้ แต่การได้ของโยมคือได้ลงที่หัวใจ หัวใจนี้เป็นคนคิดใช่ไหม วันนี้วันวิสาขะ พรุ่งนี้วันวิสาขะ วันนี้จะหาของไปทำบุญ ได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะ เพราะมันสะสมลงที่ใจ ใจเริ่มคิดออก คิดสละออกนี่มันลงที่ใจแล้ว แล้วคนที่ทำนั้นถึงได้ พระพุทธเจ้าสอนเราลงตรงนี้ ตรงที่มันเป็นทิพย์ แต่พระได้แค่ประโยชน์ปัจจุบันนี้ แต่ถ้าทำความไม่ดี มันเป็นโทษไปเบื้องหน้า เห็นไหม คุณประโยชน์ปัจจุบัน คุณประโยชน์อนาคต ไม่ใช่คุณประโยชน์ปัจจุบันแล้วคุณประโยชน์อนาคตไม่มี

พระพุทธเจ้าถึงสอน ทำดีได้ดีปัจจุบันด้วย ตายแล้วไปสวรรค์ด้วย ๒ ชั้น ทำดีได้ประโยชน์ ๒ ชั้น ปัจจุบันนี้ก็ได้ ตายไปก็ได้ ทำโทษนะ ปัจจุบันนี้ได้แต่โทษ ตายไปก็ได้โทษด้วย มันเป็นความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีสิ ทำชั่วต้องได้ชั่ว

ทีนี้โลกมันเจริญ มองแต่โลกว่าเจริญนะ ออกไปแล้วร้อนหมด เพราะมันแบบ เราพูดว่า ธรรมะบุญพลาสติกไง ถ้าทำประสาพลาสติก มันได้เป็นพลาสติก โลกนี้โลกพลาสติกนะ อะไรเกิดขึ้นมานี่พลาสติกหมดเลย แล้วมันเรื่องศาสนาก็ศาสนาพลาสติกอีก ต้องมีกาล มีพิธีกรรม มีอะไรกันมา แล้วมันไม่เข้าถึงใจไง

นี่เราลองเข้าถึงใจสิ มาด้วยธรรมชาติ เข้าถึงใจ เข้าถึงใจ

น้ำ มันไหลลงต่ำนะ เราเปิดหัวใจไว้ หัวใจให้ต่ำไว้ น้ำ มันไหลลงมาที่ใจหมดเลย

ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นนะ เวลาจะให้น้ำไหลลงที่ใจก็ยกใจไว้บนยอดภูเขา อ้าว! ก่อนจะมาวัด ฉันนี่ดังนะ ฉันนี่ใหญ่นะ ของฉันต้องพิเศษนะ เห็นไหม มันยกใจไว้บนภูเขา แล้วบอกจะให้น้ำไหลลงมาที่ใจมัน ใจจะให้น้ำไหลเข้าใจต้องต่ำ

นี่เหมือนกัน มาสักแต่ว่ามา คนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน คนมีค่าเท่าคน นี่เป็นคนแต่อยากนั่งบนหัวคน ฉันมานี่ฉันต้องใหญ่กว่าคนนั้น ฉันต้องดีกว่าคนนี้ เห็นไหม ยกใจขึ้นไว้บนภูเขาแล้ว แล้วจะให้น้ำไหลเข้าใจมัน เขาว่าอย่างนั้นเลยนะ

เราต้องทำใจให้เราต่ำ ทำใจเราให้เราต่ำ ให้ที่ต่ำให้น้ำไหลลงใจ ไหลลงใจ เพื่อไม่ให้มีทิฏฐิ ไม่ให้มีมานะ มันจะเข้าใจเรา ใจเราเลย พอเข้าใจเรา ใจเรามันก็เบิกสิ ใจมันดีขึ้น ใจมันดีขึ้น อิ่มตัวขึ้น อิ่มตัวขึ้น วันหลังทำโดยอัตโนมัตินะ ไม่ได้ทำไม่ได้

ทาน ประโยชน์ปัจจุบันนะ แล้วประโยชน์อนาคต แล้วถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าสอนไม่รู้หรอก ให้กันไม่ลง ให้กันไม่ลง เพราะมันไปมองกันที่วัตถุ ไม่มองที่ภาวะของหัวใจ

คนเกิดมามีทุกข์มียาก อย่างเช่นที่ว่า เวลาพระโพธิสัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์ เห็นไหม สัตว์เป็นพระโพธิสัตว์ยังมีเลย พระพุทธเจ้าบอก เคยเกิดเป็นนกแขกเต้า เคยเกิดเป็นกระต่าย เคยเกิดเป็น...พระพุทธเจ้าว่านะ ท่านพูดถึง ๕๐๐ ชาติ

มีอยู่ชาติหนึ่ง โอ้โฮ! ฟังแล้วซึ้ง เกิดเป็นกระต่ายอยู่ในป่า เห็นนายพรานหลงป่าอยู่ ๒ คนกำลังจะอดตาย กำลังนั่งสุมไฟอยู่ เป็นพระโพธิสัตว์ กระโดดเข้ากองไฟเลย อุทิศร่างกายนี้ พระโพธิสัตว์จะต้องเพิ่มบารมี โดดเข้าไปกองไฟก็ตาย โดดเข้าไปกองไฟมันก็ตาย พราน ๒ คนนั้นได้กินกระต่ายตัวนั้นก็รอดชีวิตออกจากป่ามา เห็นไหม ทำอย่างนั้นมา ๕๐๐ ชาติ พระพุทธเจ้านะ

เพราะใจมันคิดอย่างนั้น ใจสละลูกเดียว อยากจะให้เขา แม้แต่ชีวิตก็ให้ แล้วให้ชีวิตมานี่หลายภพหลายชาติ ให้มาตลอด ให้มาตลอด ให้มาเพื่ออะไร อย่างเราให้แค่อย่างนี้เอง เพราะให้อย่างนี้ให้เพื่อฝึกฝนใจ แต่ถ้าให้เพื่อบรรลุโพธิญาณ โอย! สำคัญมากนะ คือว่า พระพุทธเจ้านี่พุทธวิสัยนะ

คุณของพระพุทธเจ้า ไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนี้ ศาสนาก็มีอยู่ ก็มีแบบศีลธรรมจริยธรรม แต่ไม่สามารถชำระถึงหัวใจ ลองสิ ลองบีบใจเข้าไปดู ภาวนาเข้าไปดูนะ มันจะหลอกออกมานี่ โอ้โฮ! โอ้โฮ! นะ ลองทำดูแล้วมัน...

เราคิดเอง ใจมันใสๆ นะ พระพุทธเจ้าว่าไว้ ธรรมะว่าไว้ไง

จิตผ่องใสคือวิชา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แต่จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

ขนาดผ่องใสนะ เราทำสมาบัติเข้าไปนี่ใจมันจะใส พอใส รำพึงปั๊บนี่มันเหาะเหินเดินฟ้าแล้ว เหาะเหินเดินได้นะ พอใจมันใส กำหนดเลย กำหนดใจใส พอใสนี่รำพึงสิ มันจะไปได้หมดเลย ใจมันไปได้หมด เห็นไหม อันนั้นกิเลสล้วนๆ นะ จิตใสๆ นั่นคือตัวอวิชชา จิตตัวใสๆ นั่น

แล้วย้อนกลับมาดูมรรคมีองค์ ๘ ไอ้ใสๆ นั่นคืออวิชชา อวิชชาก็หลอกเรา หลอกนะ หลอกให้ผู้ภาวนาตายก็มีนะ จนเอาชีวิตนี้ต้องตายฟรีๆ เลย ในพุทธกาล พระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล พระภาวนาอยู่ไป ภาวนาไปเห็นอสุภะ ขยะแขยงร่างกายไง จ้างให้เขาเชือดคอ เห็นไหม การภาวนา ภาวนา อยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อยู่นั่น พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์เลยจะเข้าไปอยู่ในป่า ๓ เดือน ห้ามคนเข้าไปเรียกนะ ห้ามเข้ามารบกวน อยู่ในป่า

พออยู่ในป่า พระพุทธเจ้าเข้าไป พวกนี้ก็เร่งความเพียรนะ พระปีนั้น พอภาวนาไปเห็นสภาพร่างกายมันขยะแขยง เอาบาตรนี่ไปจ้างพวกกัลบกให้เชือดคอ เชือดคอ เชือดคอตายหลายองค์เลย เป็นสิบๆ

พระพุทธเจ้าออกมานะ ออกมาจากป่า ทำไมภิกษุโหรงเหรงไป ทำไมภิกษุหายไปหลายองค์นัก ทำไมหมู่สงฆ์มันบางตาลง แล้วไปเจอไอ้พวกบาตรนี้กลิ้งอยู่

บอกว่า พระฆ่าตัวตาย

พระพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติในปาราชิก ๔ มันมีปาราชิก ๔ ฆ่าคนตายมันก็มีใช่ไหม แล้วก็มีอนุบัญญัติมาเรื่อย มีอนุบัญญัติมาเรื่อย ฆ่าคนอื่นก็ไม่ได้ ฆ่าตัวเองก็ไม่ได้ ฆ่าไม่ได้หมด

แต่ตอนนั้น...นี้เหตุของกรรม เพราะว่าเป็นกรรมเก่าของภิกษุ แล้วมันจะมาลงกับในต้นบัญญัติด้วย พระพุทธเจ้ารู้อดีตล่วงหน้านะ คือว่ารู้โลกนอกโลกใน แต่มันเป็นสุดวิสัยเรื่องกรรมของเขา

ถ้าเรื่องในวิสัย อย่างเช่น เรื่ององคุลิมาลจะฆ่าแม่อยู่วันนั้นแล้วนะ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ไปนะหมด เพราะฆ่าแม่แล้ว...ฆ่าพ่อฆ่าแม่จะปิดกั้นมรรคผล พระพุทธเจ้าไปเอาก่อนเลย เพราะถ้าไม่ไปเอาวันนี้ หมดสิทธิ์ ถ้าอยู่ในวิสัยพระพุทธเจ้าจะไปเอา พระพุทธเจ้าจะไปโปรดเลยนะ

เพราะด้วยเล็งญาณตอนตี ๔ พุทธกิจ ๕ ตอนใกล้สว่างจะเล็งญาณเลยว่า วันนี้จะไปเอาใครก่อน ทุกวันนะ เพราะถ้าช้าไปวันนี้จะหมดโอกาสจะไปเอาคนนั้นก่อน ขึ้นไปเอาคนนั้นก่อนเลย ไปเอาคนนั้นก่อน

แล้วถ้าเป็นอย่างเรา ทำไมไปเอาเพื่ออะไร ไปทุกข์เพื่ออะไร ทำไมพระพุทธเจ้ายังทำ นั่นด้วยความเมตตา เห็นไหม ด้วยความเมตตา ประโยชน์ของคนๆ นั้นคนเดียว พระพุทธเจ้าไม่ได้อะไรเลย

นี่ก็เหมือนกันธรรมะที่วางไว้ เราทำเป็นประโยชน์ของเราทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าพระอรหันต์อิ่มแล้วทุกอย่าง ไม่ต้องการอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าต้องการมันก็เป็นกิเลสใช่ไหม ถ้ายังเอาอยู่ มันก็ยังบกพร่องใช่ไหม

มันเต็มเปี่ยมของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว อะไรเติมเข้าไปก็ไม่ได้ อะไรออกมาก็ไม่ได้ แต่ด้วยความเมตตาของท่าน มาชี้แจงมาทำให้เรารู้ช่องทาง รู้ทางเดิน แล้วเรามานี่ใครทำคนนั้นได้ประโยชน์ ที่มานั่งทุกข์อยู่นี่ได้ประโยชน์หมด ใครมานี่ได้ประโยชน์หมด ประโยชน์ของคนๆ นั้นนะ ประโยชน์ของผู้ที่มานั่นแหละ ประโยชน์ของผู้ที่ฟังนั่นแหละ ประโยชน์ของเรา เพราะมันเข้าที่ใจของตัวเอง คนอื่นจะได้อะไรกับเรา

ยกเว้นแต่เราฟังเทศน์ มาทำบุญแล้ว ได้ฟังธรรมแล้ว แล้วอุทิศส่วนกุศล เออ! อันนั้นจะได้อย่างนี้ เขาไม่มีโอกาสนี้แล้ว เพราะเขาเกิดตายพ้นจาก...ถ้าใครเกิดพร้อมกับพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่า “สหชาติ” คนนี้มีบุญมากนะ แล้วใครเกิด อย่างเช่น เราเกิดกึ่งพุทธกาลก็ยังมีบุญเพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์เรามี หลวงปู่มั่นมี กระดูกเผาเป็นพระธาตุ

ถ้าไม่เกิดช่วงนี้มันไม่ได้ตรงนี้ ถึงว่าเป็นวาสนาของคนนั้น เขาไม่มีโอกาส เรามีโอกาส ถ้าเราฟังเราเข้าใจ แล้วเราอุทิศส่วนกุศลไป อันนี้เป็นบุญ ๒ ชั้นนะ บุญของเราด้วยเพราะเราอุทิศให้เขาไป แล้วเขาได้รับด้วย เขาได้ได้อย่างนี้ แต่ถ้าได้เรา เราได้หมดเลย เราได้แล้ว เรายังเผื่อแผ่ได้อีก เผื่อแผ่ได้อีกนะ เจ้ากรรมนายเวรเราเผื่อแผ่ได้อีก

นี่มันแปลกมหัศจรรย์อย่างนั้นน่ะ เรื่องของใจ เรื่องกระแส มันไปได้หมดไง แต่ถ้าเรื่องวิทยาศาสตร์แล้วก็ไม่ต้องคุยกัน ยกเว้นแต่พิสูจน์วิทยาศาสตร์แล้ว คนๆ นั้นต้องการหลักการนะ แล้วคนนั้นจะได้ประโยชน์...มา

แต่ถ้าจะมาเป็นวิทยาศาสตร์แล้ว...เพราะอะไร เพราะคำพูดเรามันเป็นสมมุติ วิทยาศาสตร์นะ พุดประสาเรานะ วิทยาศาสตร์มันก็เป็นสมมุตินะ ถึงว่านั้นก็เป็นสมมุติ แต่สมมุติๆ มันคนละอย่าง มันเคลื่อนไง มันตีความหมายต่างกัน

วันนี้นักวิทยาศาสตร์คนนี้มาหาเรา เราอธิบายนั้นนักวิทยาศาสตร์คนนี้เข้าใจ อธิบายคนอื่น มันคนละแง่ความ เพราะธรรมะ ธรรมใช่ไหม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรม วิทยาศาสตร์ก็เป็นอนัตตา อย่างที่เขาว่า พอแกนโลกเคลื่อนหน่อยเดียว วิทยาศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นใหม่หมดเลย

ทีนี้พอแกนโลกพออยู่อย่างนี้ใช่ไหม พิสูจน์มาก็เป็นอย่างนี้ พอแกนโลกบิดหน่อยเดียวเท่านั้นน่ะ วิทยาศาสตร์ที่คิดมาทั้งหมด ผิดหมด ไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หมด เป็นอนัตตาไหม

แต่เราก็ยังมั่นใจนะ เพราะอย่างที่ว่าโลกเจริญ วิทยาศาสตร์เจริญ แล้วศาสนาเรานี่ไม่มีค่าไง

อาจารย์มหาบัวพูดแสบ เพราะเราฟังในเทปนะ ไปด่าพวกหมอ หมอนี้เรียนวิชาหมอ เป็นวิชาที่มีเกียรติ ก็เลยเห่อเหิม แต่วิชาหมอนี้ก็เป็นแค่วิชาชีพอันหนึ่ง เห่อเหิมหมายถึงว่าพอเห่อเหิมก็ไม่ฟังธรรม เห่อเหิมว่าตัวเองวิเศษกว่าเขา ความเห่อเหิมอันนี้ทำให้ตัวเองหลงใหลตัวเอง พอหลงตัวเองมันก็ไม่เปิดใจรับสิ่งอื่น ถึงบอกว่า มันเป็นวิชาที่เพิ่มกิเลส เพิ่มความมานะ เพิ่มความทิฏฐิให้กับใจของหมอ

แต่ถ้าหมอดีนะ หมอเป็นวิชาของหมอคือวิชาชืพ เราศึกษาวิชาหมอมาแล้ว แล้วเรายังไปฟังธรรมนะ แล้วเอาธรรมะมาแก้ใจ ฟังธรรม หมายถึงว่า หมอก็มีจริยธรรม หมอก็มีเมตตา หมอเป็นคนดี คนไข้ก็คนดีใช่ไหม แต่ถ้าหมอไม่ฟังใครเลย หมอยึดตัวเอง พอยึดตัวเองก็ยึดกิเลส ยึดกิเลสก็ยึดทิฏฐิ ยึดทิฏฐิก็สร้างแต่สิ่งใดล่ะถ้าเรื่องของกิเลส นั่นน่ะวิทยาศาสตร์

แต่เราก็ไม่ติว่าวิทยาศาสตร์ผิดนะ เพราะมันเจริญเพราะวิทยาศาสตร์นั่นล่ะ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เหนือวิทยาศาสตร์มี สิ่งที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ ดีกว่าวิทยาศาสตร์มี แต่ถ้าวิทยาศาสตร์มันดีที่สุดแล้ว มันก็ไม่มองอย่างอื่นเลย เห็นไหม แต่เราว่าสิ่งที่เหนือมันมี ดีกว่ามันมี แล้วอยู่ในศาสนาเราด้วย อยู่ใกล้ตัวเราด้วย แล้วไม่ต้องเสีย...

ถ้าพูดจริงๆ แล้ว อยู่ในใจของเราด้วย อยู่ในกายของเราด้วย เราถึงต้องหันมาตรงนี้นะ

มันจะได้ของเราเองประโยชน์ของเราเอง อย่ามองข้าม เสียดายมาก มองไปข้างนอก เมื่อคืนไปดูมา ไปดูโลกมันเจริญ...โอ้โฮ! คนนั้นก็ดี คนนี้ก็ดีนะ โอ๋ย! มึงดีอย่างนี้เหรอ พอดีแล้ว มันก็มองข้ามอันนี้ไป เพราะเราดีแล้ว เห็นไหม มองข้ามอันนี้ไง โลกเจริญ โลกเจริญ เขาพัฒนาไปจนทางนู้น เพราะทางนู้นเขาพยายามจะกลับมาทางศีลธรรม ไอ้เราก็พัฒนาให้เป็นวัตถุไป แล้วอีกหน่อยจะรู้ทีหลัง

วันนี้เลยพูดให้ฟังมากหน่อย เพราะมัน ๑. วันสำคัญด้วย สำคัญสำหรับเราเลยล่ะ สำคัญมาก แล้วก็ทางโลกด้วย แล้วโยมด้วย ให้ยาวหน่อย อ้าว! ให้พรแล้ว

ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ

เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺปติ

อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ

สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส ยถา มณิ โชติรโส ยถา

สพฺพีติโย วิวชฺชนฺตุ สพฺพโรโค วินสฺสตุ

มา เต ภวตฺวนฺตราโย สุขี ทีฆายุโก ภว

อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน

จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ

รตนตฺตยานุภาเวน รตนตฺตยเตชสา ทุกฺขโรคภยา เวรา โสกา สตฺตุ จุปทฺทวา

อเนกา อนฺตรายาปิ วินสฺสนฺตุ อเสสโต ชยสิทฺธิ ธนํ ลาภํ โสตฺถิ ภาคฺยํ สุขํ พลํ

สิริ อายุ จ วณฺโณ จ โภคํ วุฑฺฒี จ ยสวา สตวสฺสา จ อายู จ ชีวสิทฺธี ภวนฺตุ เต

ภวตุ สพฺพมงฺคลํ รกฺขนฺตุ สพฺพเทวตา สพฺพพุทธานุภาเวน สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต

ภวตุ สพฺพมงฺคลํ รกฺขนฺตุ สพฺพเทวตา สพฺพธมฺมานุภาเวน สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต

ภวตุ สพฺพมงฺคลํ รกฺขนฺตุ สพฺพเทวตา สพฺพสงฺฆานุภาเวน สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต

พวกอยู่นี่ภาวนาอีกชั้นหนึ่งนะ ไอ้พวกพื้นๆ ไปก่อน นี่พื้นๆ นะ ธรรมพื้นๆ เพื่อว่าฟังได้กันหมด แล้วเวลาเดี๋ยวเวียนเทียนเสร็จแล้ว ให้เด็กกลับ ผู้ที่อยู่นี่ฟังเทคนิคแล้ว เทคนิคในการภาวนาไง เทคนิคเรื่องของใจ มันเป็นขั้นเป็นตอนนะ ภูมิของใจ มันต่างกับภูมิของ...มันไม่เหมือนกัน ภูมิของใจหมายถึงผู้ที่มีสมาธิ ผู้ที่เขามีภูมิธรรมแล้ว ฟังอย่างนี้มันก็ฟังพื้นๆ ไอ้นี่เขาเรียกว่า “เจริญศรัทธา” เจริญศรัทธาหมายให้เรารู้จักว่าอะไรเป็นทางที่ถูกต้อง แล้วพอศรัทธาแล้วค่อยมาภาวนา เพราะศรัทธาแล้วมันก็มาบังคับใจตัวใช่ไหม

การภาวนา คือการทรมาน พระพุทธเจ้าเวลาสอน ไปหาลูกศิษย์ เห็นโยมมาอย่างนี้ “ใครเป็นคนทรมาน?” คนทรมาน หมายถึงว่าคนทรมานใจ ให้กลับใจมา จากที่เราไม่มีหลักใจเลย ให้เรากลับใจมา ว่าใครทรมานได้ นี่เทคนิคคำพูดของพระพุทธเจ้าถาม “ใครทรมาน ใครทรมาน”

ถ้าเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราก็จะทรมานตัวเราเอง ทรมานให้เข้าทางไง

แต่ถ้าไม่เชื่อน่ะ โอ้! โง่ไปทำไม ทำไมต้องทรมานตน ไปนั่งให้ปวดเข่าปวดแข้ง ไร้สาระ นอนสบายกว่า

แต่ถ้าเขามีศรัทธาแล้ว เขาจะคิดอีกอย่างหนึ่ง นี่เขาเรียกภูมิใจ ภูมิธรรมใจมันต่างกัน มันเป็นอย่างนั้น จากไม่ศรัทธาเลยเข้ามาศรัทธา ศรัทธาแล้วถึงมาแก้ไขใจของตัว

เขาว่าชาวพุทธ ว่าเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร เป็นชาวพุทธ มีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนศาสนธรรมใช่ไหม มันมีวัด ศาสนวัตถุ วัด โบสถ์ วิหารนี่ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล พระสงฆ์ ศาสนบุคคล แล้วศาสนธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฟังนะ ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราเป็นชาวพุทธ เราฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร

อย่างเช่นที่มาวันนี้ เป็นคนที่ว่าเป็นคนที่เห็นคุณค่าของคน เห็นคุณค่าของตัวเราเองใช่ไหม เราเห็นคุณค่าของคน เราก็สามารถมาระลึกถึงความดี ความดีอยู่ที่ไหน? ความดีอยู่ที่ใจ ความดีนะ ความดีอยู่ที่ใจ นี้ใจจะแก้อย่างไร ความดีอยู่ที่ใจ ใจมันคิดใจก็มา

คนต่างจากวัตถุ ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย ทุกคนบอก ปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธ ขอนไม้ไง เห็นขอนซุงไหม ขอนซุงที่เขากองไว้นั่นน่ะ มันไม่ต้องทำอะไรเลย

ชาวพุทธ ไม่ใช่ว่ามันดี ขึ้นชื่อว่าเป็นชาวพุทธถึงเป็นคนดี พุทธแล้วถึงสอนให้ปฏิบัติ ให้มีศีล ให้ไม่โกหกกัน เด็กๆ ไม่ให้โกหกกัน พ่อแม่ ไม่ให้โกหก คนไม่โกหก คนมีศีล ศีล ๕ ไม่โกหก ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่รังแกกัน พออยู่ด้วยกันมันก็มีความเมตตา มีความอยู่ด้วยกัน แต่ถ้ามันไม่มีศีล มันก็ทำตามใจของตัว

ชาวพุทธเริ่มจากมีศีล มีขอบเขตของสิทธิของตัว สิทธิของเรา สิทธิของผู้อื่น ถ้าเราพอใจเรา เราก็ทำลายคนอื่นหมด นี่พุทธอยู่ที่ตรงนี้อยู่ที่กติกาไง ต้องทำมันถึงเป็นชาวพุทธ

ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ทุกคนอยู่เฉยๆ แล้วฉันเป็นชาวพุทธ แล้วไม่ทำอะไรเลย ทำมาหากินไปแต่ไม่ได้ทำใจของตัวเลย แล้วมันทุกข์ตรงไหน ก็เปรียบแล้วมันก็เหมือนขอนไม้นั่นน่ะ ขอนไม้

อยากได้ดีก็ต้องทำดี อยากมีคุณงามความดีต้องทำคุณงามความดี แล้วทำหรือเปล่า

ศาสนธรรมคือคำสั่งสอน ศีล-ธรรม ศีลกับธรรม

“ศีล” คือกติกาเครื่องกั้นให้เราอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข

“ธรรม” คือความเมตตาธรรม ธรรม คือในหัวใจ ใจมันดีขึ้น มันก็พัฒนาขึ้นมาเป็นธรรม

ฉะนั้น ต้องทำ

ว่า เป็นพุทธๆๆ ถามเลย พุทธสอนว่าอย่างไร?

ถ้าไปที่อื่นต้องถาม พุทธสอนอะไร? ไม่รู้หมดนะ พุทธสอนว่าอะไร? ไม่รู้ ไม่รู้หรอก

พุทธสอนว่าอะไร? ถ้าเขาถามนะ พระพุทธเจ้าสอนถึงอริยสัจ ความจริงที่เหนือความจริงทั้งปวง สัจจะความจริงธรรมดาใช่ไหม สัจจะความจริงธรรมดา อริยสัจจะ อยู่ในศาสนาเรานะ คือหัวใจของชาวพุทธ

“ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” นี่ตรงนี้นะ ถ้าพุทธสอนอะไร บอกอย่างนี้เลย

มีคนมากไปเมืองนอก เวลาไปเมืองนอกเขาถาม พุทธสอนอะไร? ไม่รู้หรอก ก็วิ่งกลับมาจนมากมาย ต้องไปศึกษาพุทธเมืองนอก มันมองข้ามไง น่าเศร้าใจ คิดแล้วเศร้าใจนะ พุทธแต่ทะเบียนบ้าน พุทธไม่รู้ว่าพุทธอะไร

ศาสนาอื่นเขามีความลำบากกว่าเรานะ ถืออดนะ อย่างวันเสาร์อาทิตย์เขาต้องไปโบสถ์นะ เขามีกติกาให้ทำ แต่พุทธนี่ปล่อยตามสบาย จะทำอย่างไรก็ช่าง แล้วว่าพุทธ พุทธหมดนะ เขาถึงโจมตีมากไง เช้าตักบาตร เย็นตีไก่ ตกกลางคืนเล่นไพ่ เป็นชาวพุทธ ตักบาตรด้วยนะ ตักบาตร เพราะมันเป็นประเพณี เช้าตักบาตร ตกเย็นตีไก่แล้ว อย่างนั้นพุทธเหรอ มันทรมานสัตว์

แต่ถ้าเราเป็นธรรมนะ มันเป็นประเพณี

ถึงว่าประเพณีไม่ใช่ มองให้ออกนะ ประเพณีอย่าไปตื่นกับเขา

ในหลักศาสนาเรา มันมองข้ามกันรู้ไหม ลองไปอ่านหนังสือสิ อ่านพวกวินัยมุข เราบวชใหม่เรางงเลยล่ะ สอนกันอย่างนี้เหรอ นึกว่าสอนอย่างที่เขาเทศน์กันนะ มาวัดมาฟังธรรม มาประนมมือไหว้แล้วสัปหงกงกงันนะ อ้าว! ฟังเทศน์แล้วได้บุญ ได้บุญจริงๆ นะ ฟังเทศน์แล้วได้บุญ แต่มันไม่เข้าใจ

เริ่มฟังเทศน์ ๑. มาฟังเทศน์ ไปหาพระ เห็นสมณะ พระพุทธเจ้าบอกมงคล ๓๘ ประการ จากเกิดในประเทศอันสมควร เราเห็นสมณะหมายถึงเห็นพระอริยเจ้านะ อย่างเช่น เราเห็นครูบาอาจารย์ เห็นปั๊บนี่เป็นบุญกุศลแล้ว ขนาดเห็นเฉยๆ นี่เป็นบุญกุศลแล้ว

นี่ก็เข้ามาไง เข้ามาเห็นพระ เข้ามาดูพระ เห็นไหม ผู้ที่มีสงบ เขาสงบอย่างไร อยู่ได้อย่างไร อย่างนี้อยู่ได้อย่างไร เราอยู่บ้านเรายังอยู่ไม่ได้เลย อยู่บ้านขนาดเครื่องอำนวยความสะดวกขนาดนี้ ยังว่าทุกข์มาก ทุกข์มาก ไม่พอใจ เวลาไม่พอใจให้ดูอย่างนี้นะ ให้ดูอย่างนี้ อยู่ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ สอนให้ดูครูบาอาจารย์ ทำไมเขาอยู่ได้

หามาไม่พอกิน ไม่พอกิน ไม่พอกินตรงไหน มันกินมาก กินเกินพอกินสิ พอถ้าเราดูรายจ่ายปั๊บ รายรับมันก็สบาย ไอ้นี่ห่วงแต่ว่ารายรับไม่พอแล้ว ไม่พอ แต่รายจ่ายจ่ายไปไม่รู้ มันเกินความจำเป็น ถ้าอยู่ในจำเป็นก็ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย มันก็พอไปได้คนน่ะ อันนี้มันทำให้เราไม่ทุกข์

ถ้าเรามีธรรมนะใจเราคิดเป็น แล้วไม่เห่อตามโลกนะ ไอ้การโฆษณา การทุกอย่างนั้นมันเป็นสิ่งที่หลอกลวงทั้งหมด โกหกหลอกลวงให้เราทำตามนะ เมื่อก่อนโฆษณามากเลย เวลาไอ้พวกวัตถุที่ออกมาใหม่ๆ ใช้แล้วทิ้งเลย ทุกอย่างใช้แล้วทิ้งเลย ใครใช้แล้วทิ้งเลยนี่คนนั้นเป็นผู้ว่ามีสง่าราศี

เดี๋ยวนี้มุมกลับ เขียนเลย “ถุงนี้ใช้แล้วควรกลับมาใช้อีก” จากเมื่อก่อนโฆษณามากเลย เราก็เห่อตามกันไปนะ แล้วก็ยังเห่ออยู่นี่ เดี๋ยวนี้ใครเอาของเก่ากลับมาใช้ เขาว่าคนนั้นเป็นคนดีนะ รักษาสิ่งแวดล้อม

ดูสิ เวลาเปลี่ยน ๕-๑๐ ปี คำโฆษณาที่มันหลอกเราไว้ มันพลิกแล้ว แต่โฆษณาที่ยังเชื่อมันอยู่ เชื่อมันอยู่น่ะ เราคิดของเราเอง เราต้องคิดของเราเองว่าสมควรหรือไม่สมควร เรานี่มีสถานะอย่างไร ผู้ที่มีตำแหน่งสูงหรือว่ามีรายได้มากจะใช้มาก ไอ้นั่นเรื่องของเขา วาสนาของเขา ไอ้เรามีตำแหน่งน้อย มีรายรับน้อย เราก็ใช้น้อยประสาเรา ก็คนเหมือนกัน คนมันต่างกันตรงไหน

ถ้าคนเห็นคนเป็นคน คนนั้นก็มีคุณค่าว่าเป็นคนใช่ไหม คนอื่นไม่ใช่คน ไอ้คนที่เห็นเขาไม่ใช่คน ไอ้คนคนนั้นก็ไม่ใช่คน ถ้าเราเห็นคนอื่นเป็นคน เราก็เป็นคน คนน่ะคน คน คน ถ้าคนมันรอบมันก็เข้าใจ นี่คนไม่รอบ คนครึ่งๆ กลางๆ

พระพุทธเจ้าถึงได้สอนศีล ๕ คนนี่แหละ แขน ๒ ขา ๒...๔ หัว ๑ เป็น ๕ มีศีล ศีล ๕ ศีลมันมีโดยปกติ

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัตินะ จะเกิดมาศีลก็มีอยู่แล้ว อย่างเช่น พระพุทธเจ้า ยังไม่มีศาสนาเลย ทำไมเขาถือศีล ๘ อยู่ในป่าล่ะ พวกฤๅษีชีไพร เขาถึงไม่ให้ศีล

เราไม่ค่อยให้ศีลนะ แต่จำเป็นก็ให้ ให้ได้ ศีลน่ะเคยให้ได้ แต่ถ้าให้มันก็ติดใช่ไหม มาขอกับพระแล้วว่ามีศีล

ความจริงไม่ต้องเลย เราไม่มีใครเลยนะ เราทำดี เราภาวนาของเรา ขนาดพวกฤๅษีอย่างเช่นสมัยก่อนพุทธกาล เหาะได้ เอาศีลมาจากไหน ไม่ได้ขอพระพุทธเจ้า เอาศีลมาจากไหน ศีลมันมี ๓ ชนิด ศีลขออย่างหนึ่ง ขอเพราะอะไร เพราะเราเป็นคนง่อนแง่น มนุษย์เราเป็นคนลังเล ไม่มั่นใจกับตัวเองก็ไปขอกับพระ ให้พระเป็นพยานหน่อยหนึ่ง เห็นไหม มุมกลับก็ไปหลอกพระแล้ว ถ้าเราไปรับแล้วเราไม่ทำ ถึงเรียก ขอเอา ขอเอา

แล้ววิรัติเกิดขึ้นจากตัวเอง “วิรัติ” หมายถึงว่า มันมีอยู่ในสมัยพุทธกาลนะ ชาวประมง ฟังสิ ชาวประมงออกไปหาปลา ชาวประมงหาปลามันก็ฆ่าสัตว์อยู่แล้ว แล้วกลับมาจะเข้าฝั่ง นี่อยู่ในพระสูตรนะ พอเข้าฝั่ง พายุมาไง ตัวเองหมดที่พึ่งแล้วพายุมาเรือจะคว่ำ ก็เกิดเลย “ข้าพเจ้าขอถือศีล ๕ ด้วยความบริสุทธิ์” ขณะทำมันบริสุทธิ์ตอนนั้น แล้วเรือคว่ำตายตอนนั้นเลย ไปสวรรค์นะ ทั้งๆ ที่ทำผิดอยู่เมื่อกี้นั่นน่ะ วิรัตเอา เพราะใจมันมั่นคง

คนเราเหมือนกับไฟไหม้ เวลาไฟไหม้เราแบกตู้เย็นออกมาได้เลย ทำไมแบกได้ล่ะ เพราะความกลัวสุดขีด ไอ้นี่คนใกล้ตาย คนมันจะตายแล้วแบบมันความบริสุทธิ์มันเกิดขึ้นมาจากใจ มันวิรัติเดี๋ยวนั้นเลย ไปได้เดี๋ยวนั้น

เราถึงว่า ถ้าคนไหนจริง ทำจริงได้จริง แต่เราทำกันไม่จริง พวกเราทำไม่จริง สักแต่ว่าทำ แต่จะเอาผลมากๆ ศาสนาพุทธไม่สอนอย่างนั้นเลย ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เด็ดขาด เด็ดขาด เพราะทำความดีอย่างเรา ทำดีข้างนอก แล้วความดีภายในยังมีอีกนะ ถ้าทำดีไม่ได้ดี ผู้ภาวนาทำเพื่ออะไร

อดอาหาร พระพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หนนะ อดอาหารสลบอยู่ ๓ หน อดอาหารทรมานตนนะ จน ฟังสิโลกมันเป็นแบบนั้น จนปัญจวัคคีย์ อัญญาโกณฑัญญะ พวกนี้หนีเลย พอพระพุทธเจ้ากลับมากินข้าว พระพุทธเจ้าน้อมกลับมาเป็นผู้มักมาก จากที่อดอาหาร จากที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ คือว่าผู้ที่ทนทุกข์ทรมานมันถึงจะสำเร็จ กลับมากินข้าวอีก ปัญจวัคคีย์ทิ้งเลย พอทิ้งไป พระพุทธเจ้าก็เลยทิ้งหมด กลับมาทางของหัวใจ ทีแรกทรมานก็ทรมานกาย ทีนี้พอทรมานกายมันไม่มีพลังงานอยู่แล้ว ก็มาทรมานใจด้วย เข้าตรงกลาง ผลัวะ! เรียบร้อย เห็นไหม มันลงตรงนั้น ถึงได้มาสอนพวกเราไง สอนพวกเรา

ศาสนธรรมความจริงเหนือความจริง เหนือ...อริยสัจ ฟังสิ “อริยสัจ”

จากมนุษย์ธรรมดานี่นะ ทำจนได้ จนเทวดาต้องมาฟังธรรมพระอรหันต์ทั่วๆ ไปนะ เช่น หลวงปู่ชอบอย่างนี้ มนุษย์ธรรมดาสามารถสอนเทวดาได้ ไอ้เราอยากเห็นเทวดากันใจจะขาด แต่ทำไมเทวดาต้องมาฟังธรรมจากพระอริยเจ้า ฟังสิ ทำไมมันถึงไม่เป็นอริยสัจ สัจจะความจริงในแท้

แล้วเกิดจากตรงไหน? เกิดจากแหละเราบำเพ็ญตนมาเรื่อยๆ ขึ้นมานี่แหละ ต้องบำเพ็ญขึ้นมา พระพุทธเจ้าสอนถึงว่ามีตั้งแต่ขั้นแรกๆ ขึ้นมาเลยนะ

ถึงบอกว่า เราจะเข้ามาเวียนเทียน ให้เข้าใจตรงนี้ปั๊บนะ พอเข้าใจปั๊บ เราก็มีคุณค่าใช่ไหม เราคิดถึงพระพุทธเจ้า วันนี้วันเกิด ฟังสิ เกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดเป็นพระพุทธเจ้า คือตรัสรู้อีกทีหนึ่ง แล้วก็ดับขันธปรินิพพานวันนี้

วันเริ่มต้น วันจุดกำเนิดของศาสนาเลย แล้วเราเคารพพ่อแม่ใช่ไหม พ่อแม่ก็เราเคารพพระใช่ไหม เคารพพระพุทธเจ้า เราเคารพ เรากตัญญูต่อพระพุทธเจ้า มันก็เลยพ่อเลยแม่ขึ้นไปอีก แล้วเรามาเวียนเทียนคิดถึงวันนั้น คิดถึงจุดตรงกลางของหัวใจ พุทธะอยู่ที่ใจ คิดถึงจุดศูนย์กลางของการกำเนิดความดีความชั่วเลย เกิดดีเกิดชั่ว เกิดจากใจคิด ชำระล้างจิตใจให้สะอาดก็ความคิดตรงจุดศูนย์กลางนั้น แล้วเรามาเคารพสิ่งนั้น เราจะได้บุญไหม

ถ้าได้บุญ เราตั้งใจทำนะ ตั้งใจ เวลาเวียนเทียนตั้งใจ มันก็เป็นบุญกุศลของเรา มันก็เพิ่มบารมีไปเรื่อย จากเกิดมา เกิดมาแบบเกิดมามืดดำ เกิดมาไม่รู้อะไรพาเกิด เกิดมาอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วศาสนาบอกเลย “เอ็งเกิดมาเพราะเหตุนี้ เหตุนี้นะ แล้วเอ็งทำอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วเอ็งจะรอดพ้นนะ” นี่มันเกิดมาแล้วมาเจอแสงสว่าง

เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้นะ พระโสดาบันนะ “ดวงตาของโลกดับแล้ว” อย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้น สว่างเห็นอะไรหมดเลย แล้วกลางคืนดวงตาของโลกพระอาทิตย์ตกไปแล้ว มืดตึ๊ดตื๋อเลย ไม่มีใครจะชี้นำทางอีกแล้ว ฟังสิ แล้วเรามาคิดถึงอย่างนั้น หมายถึงว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้สว่าง ให้แสงสว่าง ถึงท่านจะนิพพานไปแล้วก็จริงอยู่ แต่ท่านได้วางธรรมเอาไว้แล้ว ให้เราเดิน ถึงท่านจะไปแล้ว จบไปแล้ว แต่แสงไฟก็ยังมี ทางหลวงก็ยังมีไฟอยู่ เราก็เอาทางนั้นเป็นเครื่องดำเนินชีวิตของเรา

เกิดมาอย่างก็อย่างนี้ ลุ่มๆ ดอนๆ ทุกข์ๆ สุขๆ ประสาเรา แต่ถ้าหัวใจมันพ้นนะ หรือว่าเราทำใจของเราได้นะ ไอ้ทุกข์ไอ้สุขนี้ก็เป็นเครื่องอยู่อาศัยใช่ไหม มาที่นี่รถมาคนละคัน คนละคัน บางคันรถก็เสีย บางคันรถก็ยังไม่ได้ซ่อม รู้อะไรเสียก็เก็บไว้ก่อนใช่ไหม ถึงเวลาเราก็เอาไปซ่อม

เหมือนกัน ชีวิตใครมันก็เหมือนกัน ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ มาเหมือนกัน บทที่จะดีมันก็ดี บทที่มันไม่ดีเราก็ต้องทนเอาไง เช่นว่าเราผิด เรามีความคาใจ เราผิดอะไร เราคาไว้ว่าจะต้องแก้ไขอันนี้ ก็เหมือนกับรถนั่นน่ะต้องซ่อมมัน ถ้าเราผิด เราไม่สามารถจะผ่านทะลุปัญหาอันนี้ไปได้นะ เก็บไว้ก่อน ถึงเวลาต้องแก้นะ ต้องแก้นะ แต่ถ้าทะลุไปได้ ทะลุไปเลย ก็เหมือนเราซ่อมรถ รถก็ดีตลอด รถก็คือร่างกาย คนขับก็คือหัวใจ หัวใจมันขับรถดี รถก็ไปดี ถ้าคนขับไม่ดีก็ลงถนนนะ ลงคลอง

พระพุทธเจ้าถึงสอนให้มีเบรก รถให้มีเบรก มีธรรมก็มีเบรก คนมีธรรม มีเบรก มีคันเร่ง เวลาทำความดีให้เหยียบคันเร่ง ไอ้นี่ทำความดีไม่ได้เหยียบสิ พอทำความดีถอนตีนหมดเลยนะ เวลาจะคิดตามหัวใจของตัวเอง เหยียบใหญ่เลย มันเบรกตัวเองไม่ได้ มันถึงทำให้เรา...เพราะสังเกตได้เวลาทำอะไรไป เวลาทำฝืนไม่ได้ พอทำแล้วเสียใจทีหลัง เช่น ทำอะไรไปต้องมาชดใช้ไอ้ที่ว่าทำไปทำผิดพลาดนั้น ทุกทีเลยๆ เป็นเพราะอะไร? สติไม่มี ความยับยั้งไม่มี

นี่พุทธสอนอย่างนั้นนะ สอนให้ยับยั้ง

พระพุทธเจ้าสอนไง สิ่งใดทำไปแล้ว แล้วมาเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย

แล้วทำอย่างไรยับยั้งไม่ให้มันทำได้ล่ะ? ก็เริ่มฝึกจากตรงนี้ ฝึกสติ ฝึกภาวนา “ฝึก” ต้องฝึกไม่ฝึกไม่มี ว่าจะให้มันเป็นเอง เป็นพุทธแล้วจะดี เป็นพุทธแล้วดี...อย่านะ อย่าไปเห่อเหิม คิดว่าฉันเป็นศาสนาพุทธนี่ดีกว่าทุกศาสนา แล้วก็นอนจมกันเป็นขอนไม้ ไม่ใช่ตียี่ห้อแล้วจะดีหมดนี่นะ ตียี่ห้อแล้วดีหมด พุทธยี่ห้อ ยี่ห้อพุทธ ไอ้นั่นเขายี่ห้ออย่างอื่นใช่ไหม แล้วก็มาอ้างกัน ฉันเป็นพุทธ ฉันเป็นพุทธ

ทำอย่างนี้ มันได้บุญจริงๆ ถ้าทำเราตั้งใจนะ ถ้าทำสักแต่ว่าทำ ไปเล่นกัน ส่วนใหญ่ไปเวียนเทียนแล้วไปเล่นกัน แล้วมันไม่ได้

นี่เราคิดถึงเลย คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงนะ รอบแรกคิด พุทโธๆ ธัมโมๆ สังโฆๆ

เพราะใจมันจ่อ อาจารย์มหาบัวใช้คำนี้นะ จ่อก็เพ่ง เพ่งกับจ่อ เช่น เวลาภาวนา ถ้าจ่อก็คือการเพ่ง ถ้าจ่อผิดก็ตก เพ่งผิดไปเลย ไอ้นี่ก็เหมือนกันถ้าเราจ่อ เรากำหนด เราเพ่ง เพ่งก็เพ่งเข้าตรงที่บุญกุศลนี้ แต่ถ้าเราปล่อยสักแต่ว่า มันไม่จ่อ มันไม่เพ่ง หัวใจมันไม่กำหนด มันก็สักแต่ว่าทำ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

ฉะนั้นให้ทำอย่างนี้ “บุญ” ทำจริงได้จริง ทำเล่นๆ...เล่น ว่าอย่างนั้นเลยนะ เท่านี้ก่อนเนาะ ถ้าพูดไปเดี๋ยวอีกรอบหนึ่ง ฉะนั้นจะพาทำวัตรก่อนนะ ก่อนจะเวียนเทียนทำวัตร กราบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เสร็จแล้วเราก็เวียนเทียน แล้วจะได้กลับอีกทีเนาะ มา มา โยมกราบพระนะ ทำวัตรก่อน พร้อมกันไปเลยนะ

(ทำวัตรเย็น)