ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จิตส่งออก

๘ ส.ค. ๒๕๕๒

 

จิตส่งออก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราดูนี่ก่อนเลย เหตุมันเกิดจากตรงนี้ใช่ไหม ต้องเคลียร์ให้เห็นเหตุก่อน

ประเด็น : ๑. จิตที่ส่งออกเป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตส่งออกเป็นทุกข์ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อ........ ตีความว่า จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัยนั้น น่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมที่หลวงปู่ดูลย์สอน เพราะจิตที่เป็นตัวสมุทัยเป็นไปไม่ได้

หลวงพ่อ : อันนี้ค้านนะ

ประเด็น : จิตที่เป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้

หลวงพ่อ : อะไรเกิด คนเกิด เกิดจากอะไร จิตที่เป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้คนก็ไม่ต้องเกิดแล้ว เพราะว่าจิตนี้มันไม่มีสมุทัยเห็นไหม ไอ้กรณีอย่างนี้มันก็เป็นการเถียงกันที่ว่า จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส เพราะผ่องใสคือนิพพานไง นี่ไงทางวิชาการเขาคุยอย่างนั้น ถ้าพูดอย่างนี้มันจะไปเข้ากับตรงนั้น

ประเด็น : น่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมที่หลวงปู่ดูลย์สอน

หลวงพ่อ : น่าจะคลาดเคลื่อน... เห็นไหมเราเคยพูดไว้บ่อยมากเลยว่า ธรรมะที่หลวงปู่ดูลย์พิมพ์ไว้ ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์นี้ต่อไปลูกศิษย์จะแก้ไข เราพูดบ่อยเห็นไหม ว่าลูกศิษย์จะแก้ไข ให้เป็นตามความเห็นของลูกศิษย์ แต่ของหลวงปู่ดูลย์นี่ถูกหมด แต่เพราะเราเข้าไม่ถึงสภาวธรรม ของสัจธรรมมันจริง เราเลยเข้าตีความกันไม่ถึง แล้วเราจะแก้ไขเราจะเปลี่ยนแปลง เราเป็นห่วงมาก

ที่ว่าจิตส่งออกทั้งหมด ความคิดส่งออกมันเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดนั้น ก็ต้องใช้ความคิด หลวงปู่ดูลย์พูดบ่อยมากเลย ต่อไปมันจะตัดทิ้งหมด เพราะว่าการใช้ความคิด นั้นเขาถือว่าเป็นกิเลส แต่การใช้ความคิดนั้นถ้าเป็นครูบาอาจารย์เราว่าเป็นมรรค ถ้าจิตมีสมาธิ นี่ไงจะค้านตรงนี้ไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยอธิบาย

ประเด็น : จิตที่ส่งออกเป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้ จิตเป็นวิญญาณขันธ์

หลวงพ่อ : ถ้าจิตเป็นวิญญาณขันธ์ เราก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณขันธ์ คือขันธ์ในขันธ์ ๕ ใช่ไหม วิญญาณขันธ์ก็คือขันธ์ ๕ อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทคือวิญญาณในปฏิสนธิ วิญญาณอันนั้นเป็นวิญญาณในปฏิสนธิไม่ใช่วิญญาณขันธ์ เพราะมันเป็นปัจจยาการ มันไม่เป็นขันธ์ ขันธ์เป็นกอง

ประเด็น : จิตจัดอยู่ในกองทุกข์ ไม่ใช่ตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย

หลวงพ่อ : โคตรสมุทัยเลย! ไม่จัดเป็นกอง ไม่ใช่ตัณหา (เดี๋ยวนะ ใจเย็นๆ ก่อน อ่านให้จบก่อน)

ประเด็น : หากให้ตรงกับสภาวธรรม จะต้องใช้คำว่า ความส่งออกนอกของจิตเป็นสมุทัย

หลวงพ่อ : ความส่งออกนอกของจิตเป็นสมุทัย มันก็บอกว่าโจรปล้นมันอยู่คนละโลก ต้องไปจับไอ้โจรปล้นตัวนั้น แต่มันไม่ได้มองไอ้โจรในหัวใจไง นี่ไงถึงบอกว่า ความส่งออกถึงเป็นสมุทัย แล้วไอ้โจรในหัวใจ พญามารมันอยู่ที่ไหน ไอ้โจรนอกมันก็มี เวลาโจรข้างนอกมันมาปล้นเรานอกบ้าน แล้วศึกในบ้านล่ะ ไอ้คนใน ไอ้คนใช้ไอ้คนในบ้านเราเป็นไส้ศึก เอาโจรมาปล้น มึงรู้จักไหม

ประเด็น : หากให้ตรงกับสภาวธรรม ต้องใช้คำว่าความส่งออกของจิตเป็นสมุทัย ผลแห่งการส่งออกของจิตเป็นทุกข์ เพราะความส่งออกนอกของจิต ก็คือความทะยานอยากหรือตัณหา

หลวงพ่อ : ความส่งออกนอกนั้น ถ้าไม่มีแรงขับจากตัณหา มันจะส่งออกไปได้อย่างไร

ประเด็น : อันเป็นตัวสมุทัย ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๒. อย่าส่งจิตออกนอกของหลวงปู่ดูลย์ ของหลวงพ่อ........ ตีความว่า จิตส่งออกนอกคืออาการของจิตที่ไม่ตั้งมั่นในขณะที่จิตรู้อารมณ์ ไม่ว่าจิตจะส่งไปภายนอกหรือส่งเข้าข้างในให้ประคองไว้เป็นกลางๆ คือ ถ้านอกเหนือจากการรู้ไปตามปกติธรรมดาก็จัดว่าเป็นจิตส่งออกนอกทั้งสิ้น

หลวงพ่อ : นั่นแน่ !

ประเด็น : ตามพระปริยัติธรรมแล้วอาการที่ส่งออกนอก คืออาการของตัณหา

หลวงพ่อ : แหม รับไม่ได้เลยนะ

ประเด็น : เป็นความหิวอารมณ์ของจิต

หลวงพ่อ : นี่ไงภาวนาเป็นหรือไม่เป็น ที่เมื่อก่อนเราจะบอกว่า มันเป็นไม่เป็น ไอ้ที่เขาพูดมันก็ส่วนเขาพูด ไอ้คนไม่เป็นนะ เหมือนเราขับรถ เราบอกว่าขับรถมันต้องใส่เกียร์ออกนะ มันนั่งอยู่นี่แล้วมันบอกว่า มันขับรถได้ แล้วรถไม่เคยขยับนะ มันผิดตลอด

ประเด็น : จิตส่งออกนอกคือหลงภาพหยาบ จิตส่งในคือหลงภาพละเอียด ๑.นะ ๒. หลวงปู่สิมเคยชี้แนะแก้ไขไม่ให้จิตถลำตามไปรู้อารมณ์ส่วนลึกภายใน หลวงปู่เทสก์สรุปให้ว่า ไม่ส่งออกนอก ไม่ส่งในให้รู้อยู่ตรงกลางๆ ๓. จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อ........ตีความว่า จิตเห็นจิตหมายถึงจิตดวงปัจจุบันมีสติ ให้รู้จิตดวงที่ดับไปแล้ว สดๆร้อนๆ

หลวงพ่อ : (หัวเราะ) กูจะอ้วก!

ประเด็น : จิตไม่ได้มีเพียงดวงเดียวแล้วคงถาวรอยู่เป็นนิรันดร์ แต่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลาเพื่อทำหน้าที่รู้อารมณ์ เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป หากจิตดวงใหม่มีสติระลึกรู้ตามจิตดวงเดิม จิตดวงเดิมซึ่งหมดสถานะจากธรรมชาติที่รู้อารมณ์ไปแล้ว ก็เปลี่ยนสถานะให้เป็นอารมณ์ในดวงจิต เป็นอารมณ์ให้จิตดวงใหม่รู้ สติจะเกิดระลึกรู้ดวงจิตที่เพิ่งดับไปได้ เมื่อหัดตามรู้จิตเนืองๆ จนจิตจำสภาวะของจิตได้อย่างแม่นยำ “ถิรสัญญา” แล้วสติจะเกิดตามระลึกรู้จิตที่เพิ่งดับไปเองได้

หลวงพ่อ : ไอ้นี่มันเครื่องถ่ายเอกสาร มันไม่ใช่จิต! เครื่องถ่ายเอกสาร มันเป็นไปไม่ได้ ตามที่เขาพูดนี้เป็นไปไม่ได้สักอย่างหนึ่ง เราเห็นแล้วแต่เรายังไม่พูด เราจะไปเทศน์กัณฑ์หน้าว่า ปัญญาหรือสัญญา นี่ก็เทศน์ไว้แล้วใน จิตจริงโสดาบันก็จริง

ประเด็น : เพราะเขาบอกว่า รู้อย่างนี้นะจะเป็นโสดาบันเอง

หลวงพ่อ : ถ้ารู้อย่างนี้เป็นโสดาบันเองได้นะ ๙ ประโยคก็เป็นโสดาบันไปหมดแล้ว เพราะ ๙ ประโยคเขาก็รู้หมด ๙ ประโยคเขารู้ธรรมะหมดนะ มันไม่เข้าหลักสักอันหนึ่ง อย่างเช่นไอ้ข้อ ๑ นี่นะ จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย น่าจะคลาดเคลื่อน คำว่าน่าจะคลาดเคลื่อนทำไมไม่บอกว่าคลาดเคลื่อนเลยล่ะ ทำไมไม่บอกว่าไม่จริงเลยล่ะ เพราะหลวงปู่มั่นบอกไว้เลยว่าธรรมะมีหนึ่งเดียว ถ้าพูดต่างกันสองคน คนหนึ่งต้องผิด

แล้วอย่างหลวงตาท่านจะบอกเลยว่า “พอพูดถึงหลวงปู่มั่นนะ ใจมันลงทันทีเลย” ท่านจะเคารพหลวงปู่มั่นมาก หลวงตาจะบอกว่า “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา” หลวงปู่มั่นเป็นคนปลุกปั้นหลวงตามาจนหลวงตาท่านปฏิบัติได้ จนลึกซึ้ง เราจะกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ พวกเราไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แต่ทำไมเราลงพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้ารู้สัจธรรม แล้วสัจธรรมนี้พอเราไปรู้จริงมันเหมือนสิ่งที่มีคนรู้อยู่แล้ว

อย่างเช่น เราซึ้งใจไหมว่า กษัตริย์สมัยโบราณรักษาแผ่นดินไทยไว้ให้เราอยู่ เราเกิดมาในแผ่นดินไทย เราจะกตัญญูกับพระนเรศวรไหม กตัญญูกับพระนารายณ์ พ่อขุนรามคำแหงไหม เราจะกตัญญูไหม แล้วเราเกิดมาถ้าเราปฏิบัติธรรมถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะเคารพพระพุทธเจ้าไหม แล้วนี่หลวงปู่ดูลย์เป็นอาจารย์ ทำไมบอกว่า หลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อนล่ะ ดูแค่นี้มันจะรู้เลยว่า คนนี้ใจเป็นธรรมหรือเปล่า นี่แค่ความกตัญญู

ถ้ากตัญญูนะหลวงตาท่านไปฟัง สาธุนะ นี่เป็นบุคคลาธิษฐานของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่เอามาพูดเพื่อจะให้มีได้มีเสียกัน

หลวงตาท่านไปฟัง พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เทศน์ว่า นิพพานเป็นอนัตตา ท่านก็เก็บไว้ในใจ เพราะหลวงปู่จูมท่านเทศน์แล้วหลวงตาท่านฟังอยู่ ท่านก็รอให้หลวงปู่จูมลงจากธรรมาสน์ แล้วกลับเข้าไปในกุฏิ ท่านก็ตามไป

“ ทำไมอาจารย์เทศน์ว่านิพพานเป็นอนัตตาล่ะ ”

“ อ้าว! ก็นิพพานมันควบคุมไม่ได้ ”

“ ควบคุมไม่ได้แล้วนิพพานเป็นผู้ต้องหาหรือ ทำไมไปเทศน์นิพพานเป็นอนัตตา ”

“ ก็ตามตำรามันว่าอย่างนั้น ”

“ ตำรามันว่าก็ส่วนตำราสิ แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ”

แล้วอธิบายจนอาจารย์จูมท่านยอมรับ ต่อจากนั้นมาท่านจะไม่เทศน์ว่า นิพพานเป็นอนัตตาอีกเลย นิพพานคือนิพพาน แต่คนเรามันไม่รู้ว่านิพพานคืออะไรใช่ไหม มันก็พยายามจะเอานิพพานเป็นอนัตตา นี่พูดถึงอาจารย์เทศนาว่าการผิด หลวงตาท่านเข้าไปแก้ ท่านเข้าไปพูด ไปอธิบายให้ฟังเห็นไหม เพราะความเห็นระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์ท่านภาวนาอาจารย์ผิด ก็ได้ เพราะอาจารย์จำมา แต่ลูกศิษย์ปฏิบัติเป็นตามความจริงก็เข้าไปแก้ไข แต่นี่อาจารย์เป็นของจริง ของจริงเพราะอะไร

ประเด็น : ถ้าบอกว่าจิตส่งออกเป็นสมุทัย มันน่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมที่หลวงปู่ดูลย์สอน เพราะจิตที่เป็นสมุทัยมันเป็นไปไม่ได้

หลวงพ่อ : จิตนี่แหละเป็นอวิชชา ! มันยิ่งกว่าสมุทัยอีก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตัวสมุทัยมันเป็นอาการ เพราะว่าตัวกิเลสมันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับจิต แล้วเวลาตัวเกิด ตัวสมุทัยมันนอนเนื่องมา แล้วตัวอวิชชาล่ะ ตัวจิตนั่นล่ะคือตัวโคตรสมุทัย เพราะอะไร ขนาดจิตพระอนาคามียังไปเกิดบนพรหม การไปเกิดบนพรหมนี้จิตมันสว่างไสว จิตผ่องใส จิตว่างๆ มันยังเกิด เพราะอะไร เพราะมันมีแรงขับ นั่นคือตัวอวิชชา

ประเด็น : แล้วบอกว่าตัวจิตเป็นอวิชชาไม่ได้ มันน่าจะคลาดเคลื่อน เพราะตัวจิตจะเป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้

หลวงพ่อ : ตัวจิตนี่คือตัวสมุทัย เขาสอนลัดสั้นใช่ไหม ในมหายานบอกว่าถ้าเจอพุทธะที่ไหนต้องฆ่าพุทธะที่นั่น เจอพุทธะคือจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เจอพุทธะที่ไหนต้องฆ่าพุทธะที่นั่น ถ้าเราฟังเป็นเถรวาท เราก็ฟังเขามามันก็ทะแม่งๆ เราเคารพบูชาพระพุทธเจ้ามากใช่ไหม แล้วทำไมให้ฆ่าพระพุทธเจ้าล่ะ เพราะจิตเดิมแท้นั้นผ่องใส เวลาคนเป็นพูดมันถูกต้อง ใครเจอพุทธะคือเจอความผ่องใส อย่างเช่น (มันติดขัดไปหมดนะ เวลาพูดอะไรแล้วมันไปสะเทือนครูบาอาจารย์ )

อย่างเช่นหลวงปู่ฝั้นท่านพูดเห็นไหม พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส พุทโธว่าง นั่นล่ะตัวพุทธะ เพราะเทศน์อย่างนั้นไง แล้วพอหลวงตาท่านไปพบ

“อู้ นึกว่าไปถึงไหนแล้ว มานอนตายอยู่ที่นี่เอง”

เพราะจิตผ่องใสคืออวิชชา ถ้าพูดถึงพุทโธผ่องใส พุทโธสว่างไสว นั่นยังไม่เห็นพุทโธเพราะเป็นคนพูด แต่ถ้าตัวเองเห็นพุทโธนะ “เอ๊อะ!!” พอเอ๊อะต้องฆ่า ต้องฆ่าอวิชชา ฆ่าอวิชชาคือฆ่าความผ่องใส ถ้าฆ่าความผ่องใสคือฆ่าพุทธะ นี่ไงถ้าฆ่าตัวนั้นมันจะไม่ไปเกิดบนพรหม

ประเด็น : ตัวจิตเป็นสมุทัยมันเป็นไปไม่ได้

หลวงพ่อ : ก็ตัวจิตมันคือสมุทัย

ประเด็น : จิตเป็นวิญญาณขันธ์

หลวงพ่อ : ก็ไม่ใช่ จิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์ ขันธ์ ๕ วิญญาณขันธ์มันขาดตั้งแต่พระอนาคามี เพราะวิญญาณขันธ์มันขาดที่นั่น ขาดที่นั่นไปแล้ว

ประเด็น : จิตถึงจัดว่าเป็นกองทุกข์ ไม่ใช่ตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย

หลวงพ่อ : มันเกินใช่นะ ไม่ใช่ธรรมดานะ มันใช่คูณสอง นี่คือคนไม่เป็นนะ พูดลงซีดีแล้วเอาซีดีไปให้ฟังแล้วให้โต้กลับมา

ประเด็น : หากให้ตรงตามสภาวธรรม

หลวงพ่อ : อันนี้คือธรรมนิยาย

ประเด็น : หากให้ตรงสภาวธรรม ต้องใช้คำว่า

หลวงพ่อ : เห็นไหม นี่คือจินตนาการ นี่คือความเห็น นี่ไม่ใช่ความจริง แต่เวลาเขาพูดไปนี่คนฟังแล้วทึ่งมาก

ประเด็น : ความส่งออกของจิตเป็นสมุทัย ผลแห่งการส่งออกของจิตเป็นทุกข์ เพราะความส่งออกนอกของจิต ก็คือความทะยานอยากหรือตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อ : ปัจจุบันธรรมนะ จิตสงบนี่มันเป็นปัจจุบัน ความคิดมันเป็นอดีตอนาคต จิตส่งออกคือการเคลื่อนออกไป ความคิดเคลื่อนออกไปเห็นไหม เพราะความคิดเคลื่อนออกไป

เขาบอกว่า ตัวความคิดนั้นต่างหากคือตัวตัณหา รถดับเครื่องแล้ว แรงเฉื่อยของมันยังมีไหม แรงเฉื่อยของรถมันมาจากไหน มันมาจากเครื่องใช่ไหม มาจากกำลังของรถที่มันวิ่งมาใช่ไหม ดับเครื่องทุกอย่างแล้วแรงเฉื่อยยังมีไหม ความคิดที่ส่งออกมันมาจากไหน มันมาจากจิต จิตตัวขับดันออกไป แล้วแรงเฉื่อยกับตัวรถ ดับเครื่องแล้วรถมันยังไหลอยู่เห็นไหม ความไหลนั้นมันคือธรรมชาติใช่ไหม คือแรงเฉื่อยใช่ไหม แล้วแรงเฉื่อยนั้นเป็นกิเลสหรือเปล่า แรงเฉื่อยมันมีอะไรในตัวมัน ความคิดที่ส่งออกมันมีอะไรเป็นตัวมัน แล้วความคิดที่ส่งออกมันมาจากไหน

นี่มันเป็นนิยาย ไอ้คนแต่งนิยาย ไอ้คนฟังก็ฟังนะ ความส่งออกของจิตคือความทะยานอยาก อันเป็นตัวสมุทัยตามคำสอน นี่ไงคนภาวนาไม่เป็นก็คือไม่เป็นวันยังค่ำ ถ้าคนภาวนาเป็นนะ อย่างที่ว่าความคิดไม่ใช่จิต แล้วความคิดมันมาจากไหน ความคิดมันมาจากจิต เราใช้ “ปัญญาอบรมสมาธิ” ตามความคิดไป ความคิดดับ ความคิดดับมันก็กลับมาที่จิต ตัวจิตคือตัวภพ ตัวที่มันสงบ แล้วตัวจิตนั้นค่อยๆ หาตัวมันเอง

หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดถูกหมด นี่ไงเราพูดย้ำประจำนะว่า คนเป็นพูดถูกหมด คนไม่เป็นพูดผิดหมด แล้วเราพูดบ่อยว่า ต่อไปหนังสือของหลวงปู่ดูลย์จะมีการแก้ไขโดยขบวนการของเขากันเอง ไอ้นี่ชัดเจนมากเลย นี่ไม่ได้แก้ไขนะ นี่บอกเลยว่าหลวงปู่ดูลย์ผิด หลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน ตัวเองถูก

แล้วเวลาเราบอกว่า เราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์ถูก เขาก็บอกว่าเรารู้ได้อย่างไร เราจะบอกว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ดูลย์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่ดูลย์ ไปเทศน์เอาหลวงปู่ฝั้นมาบวช เพราะหลวงปู่ฝั้นเป็นมหานิกาย หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อนพวกนี้ ได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่ดูลย์ แล้วมาญัตติเป็นธรรมยุต แล้วไปฝึกปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น แล้วอยู่กับหลวงปู่ดูลย์เป็นหมู่คณะกัน หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์อยู่ด้วยกัน มีการขัดแย้งกันบ้างไหม ไม่มีเลย ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะความจริงอยู่กับความจริง ความจริงไม่มีขัดแย้งเลย ความจริงคืออันเดียวกัน แต่วิธี คำสอน มันแตกต่างกัน ฉะนั้นถ้าจะดูจิตของหลวงปู่ดูลย์ เราก็ไม่คัดค้าน แต่ถ้าจะพุทโธของหลวงปู่ฝั้น เราก็ไม่คัดค้าน ถ้าพุทโธของหลวงปู่มั่น เราก็ไม่คัดค้าน ถ้ามันทำถูกต้อง มันก็ถูกต้องทั้งนั้น

แต่นี่เพราะมันไม่ถูกต้อง ที่เราคัดค้านเราไม่ได้คัดค้านที่ดูจิตหรือพุทโธนะ เราคัดค้านผลที่เขาพูดมา มันผิดหมด เวลาเขาพูดเฉพาะส่วน ตอนนั้นมันพูดเฉพาะส่วน อย่างที่พูดออกมานี้ มันยันชัดๆ เลย เพราะอะไร เพราะมันคลาดเคลื่อนหมด นี่ของหลวงปู่ดูลย์บอกว่า จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย เพราะอะไร เพราะความคิดมันมาจากจิต แรงขับของตัวจิตที่ส่งออกไป เพราะตัวจิตมันเป็นอวิชชา ความคิดทั้งหมดมันส่งออกไปเป็นสมุทัย เพราะตัวจิตมันเป็นสมุทัย ความคิดจากสมุทัย มันก็เป็นสมุทัย เราเป็นโจร เราปล้นเงินมา เราเอาเงินมาแจกลูกแจกหลานเรา เงินของใคร ก็เงินของโจรไง เพราะโจรมันปล้นมา

ตัวจิตมันเป็นตัวสมุทัย ความคิดทั้งหมดที่ออกจากจิตเป็นสมุทัยทั้งหมด เพราะตัวจิตมันเป็นตัวสมุทัย จิตปลอมโสดาบันปลอมๆ เห็นไหม จิตจริงโสดาบันถึงเป็นของจริงใช่ไหม จิตปลอมเพราะตัวเองมีอวิชชา อวิชชามันครอบงำจิตอยู่ ความคิดเกิดจากจิต มันจะไม่เป็นสมุทัยไปได้อย่างไร ความคิดเกิดจากจิต ตัวจิตมันเป็นตัวสมุทัยอยู่แล้ว ความคิดเกิดจากมัน มันจะถูกไปได้อย่างไร มันก็เป็นตัณหาทั้งหมด แต่ตัวตัณหานั้นมันมาจากตัวเริ่มต้น นี่ไงเวลาเราพิจารณากันไป เห็นไหม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันจะตัดมาเรื่อยๆ จนเข้ามาถึงตอของจิต

เห็นไหมหลวงตาจะบอกเลย มันจะหดสั้นเข้ามา เข้าไปอยู่ในคูหา เข้าไปอยู่ในถ้ำเสือ ถ้าเราจะเอาตัวเสือ เราต้องเข้าไปในถ้ำเสือ เพราะเสือมันจะหลบเข้าไปในถ้ำของมัน เราอยากได้ลูกเสือ เราต้องเข้าถ้ำเสือ ถ้ำเสือคืออะไร คือตัวคูหาของใจ คือตัวอวิชชา คือตัวภพ คือตัวใจ แล้วนี่พูดถึงมันหดสั้นเข้ามาเพราะวิปัสสนาญาณ แต่ปุถุชนเรานี้ เราไม่มีการกระทำเลยมันก็ไม่มีการหดสั้น มันเป็นสายบังคับบัญชา คือมันเป็นสัญชาตญาณของมัน สัญชาตญาณของมันออกมาจากอวิชชา การขับเคลื่อนของมันเป็นอวิชชาทั้งหมด มันเป็นสมุทัยทั้งหมด

หลวงปู่ดูลย์พูดถูก พูดถูกเพราะจิตมันเป็นอวิชชา จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัยล้านเปอร์เซ็นต์ ถ้าจิตมันไม่เป็นสมุทัย เราจะไม่มาเกิด คนที่มาเกิด เกิดจากความไม่รู้คือตัวอวิชชา เวลาเกิดระลึกชาติไม่ได้ เวลากาฬเทวิลทำความสงบของใจเข้ามา แล้วกาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ คนที่ระลึกอดีตชาติได้ ไม่ต้องเป็นพระอริยบุคคล ปุถุชนก็ระลึกอดีตชาติได้ เพราะเวลาเกิดตายเกิดตาย อย่างเราเกิดเป็นนาย ก ชาตินี้เราทำความดีความชั่ว ความดีความชั่วมันก็เป็นชาติปัจจุบัน เรารู้หมดเลยว่าเราทำอะไร แต่พอเราตายไปเกิดใหม่ นาย ก นี่เวลาตาย จิตนาย ก ไปเกิดเป็นนาย ข พอเกิดเป็นนาย ข พฤติกรรมของนาย ก มันซับลงเพราะมันเกิดจากจิต จิตเป็นคนทำใช่ไหมเกิดจากพลังงาน ถ้าพลังงานเฉยๆ ตัวพลังงานจะทำอะไรได้ มันต้องมีความคิด ความคิดนี่เป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณก็ออกมาทำความดีความชั่วกัน ความดีความชั่วที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น มันก็ย่อยสลายลงมาอยู่ที่จิต ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำดีไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ทำชั่วไปเกิดในนรกอเวจี

ทีนี้ความดีอันนี้มันไปซับอยู่ที่จิตนาย ก พอนาย ก ตายไป ตายไปเพราะสมมุติที่เป็นนาย ก ตายไป แต่ตัวจิตมันไม่ได้ตาย ตัวจิตมันไปเกิดเป็นนาย ข นาย ข มันมีกรรมของนาย ก ไป ข้อมูลของนาย ก ไปอยู่ที่ใจของนาย ข นาย ข ไปเกิดเป็นคนใหม่ กรรมดีก็ทำดีต่อไป ถ้ากรรมชั่วนาย ข เป็นนาย ข แต่จิตที่นาย ก ตายไปแล้วนาย ก ไม่มี นาย ก เป็นอดีตไปแล้ว แต่ตัวจิตนั้นยังมีในปัจจุบัน เพราะนาย ก ตายไป เพราะนาย ก มันเป็นจิตตัวนี้ พอมาเกิดเป็นนาย ข นาย ข ทำบุญก็ได้บุญต่อไป ทำชั่วก็ได้ชั่ว นี่ไงเวลาเราเข้าถึงข้อมูลนั้น เราจะเห็นว่าเราเคยเป็นนาย ก แล้วเกิดในปัจจุบันนี้เป็นนาย ข นี่ไง ตัวจิตมันไม่เคยตาย แล้วตัวจิตตัวนั้นมันเป็นอวิชชา มันจะทำอะไร มันต้องออกไปจากความคิดของมัน

จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย แล้วมันจะส่งออกนอกเป็นธรรมชาติ นี่เป็นธรรมชาติของมัน ทีนี้หลวงปู่ดูลย์ท่านปฏิบัติ ท่านเห็นของท่าน ท่านก็อธิบายตามข้อเท็จจริงที่ท่านรู้ท่านเห็น ท่านอธิบายตามความจริงของท่าน นี่คือธรรมเหนือโลก ทีนี้พอพวกเราลูกศิษย์รับรู้ก็ฟังจากการบอกเล่า คือบอกจากสิ่งที่ท่านสั่งสอน พอท่านสอน เราก็ใช้ตรรกะของเราคิดตามไป พอคิดตามไปนี่เราเข้าไม่ถึง เราเข้าไม่ถึงจุดที่เกิดของความคิด เราเข้าถึงแต่ความคิด

ประเด็น : ความคิดต่างหากถึงเป็นตัณหา จิตส่งออกคือความทะยานอยาก คือตัณหา

หลวงพ่อ : เพราะมันเข้าได้แค่ที่ความคิดไง เพราะความคิด มันคิดว่า พลังงานคือความคิดนี่มันมาแล้ว แล้วมันจับได้ตรงนี้ ว่าตรงนี้เป็นตัณหาเพราะเราคิดผิดคิดถูก แต่ความคิดผิดคิดถูกนั้นมันคิดมาแล้วนะ แต่เริ่มต้นความคิดมันอยู่ที่ไหน ถ้าจิตปกติเข้าไปเขาเข้าไปถึงตัวจิต เขาจะเห็นข้อมูลได้ ที่ว่าระลึกอดีตชาติได้

ของหลวงปู่ดูลย์นี้ถูกหมด เพราะมันมีที่มาที่ไปมีจุดเริ่มต้น ถ้าเขาบอกว่าความส่งออกของจิต คือความทะยานอยากคือตัณหา จิตส่งออก แล้วมันส่งออกจากตรงไหน เพราะคำพูดคำนี้

มันจะบอกว่าจิตดวงนี้ไม่เคยสงบ จิตดวงนี้ไม่เคยเข้าถึงข้อมูลของจิต มันถึงไม่รู้ว่าจิตกับอาการของจิตต่างกันอย่างไร

หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่าให้ดูจิต ดูจิต ดูจิต แล้วเราไปคุยกับลูกศิษย์ของท่านเยอะ ท่านบอกว่าตอนหลวงปู่ดูลย์ยังมีชีวิตอยู่ พอไปหาหลวงปู่ดูลย์ ถ้าไปบอกว่า เห็นจิต ท่านบอกว่า ไม่ใช่ นี่คือความคิด อาการของจิต อาการของจิต อาการของจิต พอมันเข้าไปถึงจิต นี่จิต ถ้าคนผ่านอาการ เราจะพูดบ่อย ส้ม เปลือกส้ม คนผ่านเปลือกส้มจะเข้าถึงเนื้อส้ม คนไม่เคยผ่านเปลือกส้มเหมือนเด็กซื้อส้มก็ได้ส้มมาใบหนึ่ง ซื้อส้มก็ได้ส้มมาตลอดเลย

แต่ผู้ใหญ่ฉลาดกว่า ผู้ใหญ่ได้ส้มมา ปอกเปลือกส้มทิ้งกินแต่เนื้อส้ม เด็กมันได้แต่เปลือกส้มมา นี่มันเข้าไม่ถึง มันไม่ทะลุเปลือกส้ม มันไม่เคยเห็นตัวเนื้อส้ม มันถึงบอกว่าความส่งออกต่างหากถึงเป็นตัณหา แต่ถ้าคนเข้าไปถึงเนื้อส้มนะ ไม่ใช่ เนื้อส้มต่างหาก เปลือกส้มเป็นความคิด เนื้อส้มต่างหากคือตัวจิต พอเข้าถึงตัวจิต มันถึง อ๋อ..ความคิดมันมาจากจิต

หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้ดูจิต ดูจิต ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิดนะ จิตเห็นความคิดเพราะว่าจิตมันสงบใช่ไหม พอความคิดมันจะเกิด ถ้าจิตมันตั้งมั่น จิตมันจะเห็นว่าเวลาเกิดนั้นเกิดอย่างไร จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อาการของจิตคือความคิดไง จิตเห็นความคิด ความรู้สึกเห็นความคิด ถ้าความรู้สึกเห็นความคิดแล้วแยกแยะความคิด นั่นคือวิปัสสนาเกิด แต่นี่ไม่เคยมี

เราคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า กิเลสมันจะเป็นอย่างนี้ กิเลสนี่นะ เหมือนลูกศิษย์ทุกๆคน อยากจะมีความรู้เหนืออาจารย์ อยากจะวิเคราะห์วิจารณ์ให้สูงกว่า แต่ความเป็นจริงไม่รู้ว่าโง่กว่าอาจารย์เยอะมากเลย อาจารย์นี้รู้หมดแล้ว เพราะธรรมเหนือโลกนี้โลกคาดการณ์ไม่ได้ แล้วนี่ชัดเจนมากเลยนะ

ประเด็น : ๒. จิตส่งออกนอกนะ หลวงพ่อ........ตีความว่า จิตส่งออกนอกคืออาการของจิตที่ไม่ตั้งมั่น ในขณะที่รู้อารมณ์ไม่ว่าจิตจะส่งไปภายนอก หรือส่งเข้าข้างใน หรือประคองไว้กลางๆ คือ ถ้านอกเหนือจากการรู้ไปจากตามปกติธรรมดา จัดว่าจิตส่งออกนอกทั้งสิ้น

หลวงพ่อ : ตามปริยัติไง ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ จิตส่งออกนอก มันส่งออกมาข้างนอก มันไม่เข้าถึงตัวจิตนะ ที่เขาพูดแบบนี้

ประเด็น : ถ้าจิตส่งออกภายนอก เพราะไม่ประคองไว้เป็นกลางๆ

หลวงพ่อ : ถ้าประคองไว้อันนี้คือจินตมยปัญญาไง คือประคองใจไว้เฉยๆ ประคองความรู้สึกไว้เฉยๆ เพราะคำว่าประคองใจไว้เฉยๆเขาถึงได้พูดว่า ถ้าเผลอไปสติจะเกิดเอง ถ้าตกใจสติก็จะเกิดเอง แล้วจำสภาวะนั้นต่อไป จึงจะเกิดสติ เกิดปัญญา คำพูดอย่างนี้ คำพูดของเขานี่มันฟ้องมาตลอดนะ เผลอก็จะเกิดสติเอง

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไปพูดที่ความคิดหมดไง เผลอก็จะเกิดสติเอง ตกใจก็จะเกิดสติเอง เพราะอะไร เพราะมันพูดกันได้ที่ความคิดเห็นไหม คำว่าจิตส่งออกนี้ คำว่าส่งออก มันต้องมีที่ส่งออกและที่ไม่ส่งออก ไม่ใช่ประคองไว้เฉยๆ แล้วเป็นการไม่ส่งออก ประคองไว้เฉยๆ มันเหมือนออกไปแล้ว มันออกจากจิตไปแล้ว มันจะไปประคองที่ไหน มันออกไปแล้วไปประคองมันได้อย่างไร มันเป็นอากาศธาตุไปแล้ว แต่ที่เริ่มต้นข้อมูลนี่สิเราแก้ไขตรงนี้ได้ ฉะนั้นมันต้องถึงจิตเห็นไหม ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต มันต้องเข้ามาถึงตรงนี้ แล้วพอกลางๆนี่เห็นไหม จิตส่งออกนอกคือ ภพหยาบหรือภพละเอียด หลวงปู่สิม หลวงปู่เทสก์ นี้ขอยกไว้เพราะคำว่าหลวงปู่สิมกับหลวงปู่เทสก์นี้ เพียงแต่ต้องการเอามา การันตีว่าความเห็นของตัวเองว่าถูกไง

หลวงตาท่านก็บอกเลย บางทีถ้าเด็กๆมาก็บอกเลยว่า จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้นๆ แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ท่านจะไม่ค่อยพูดถึง ท่านบอกว่าธรรมธาตุตลอด เพราะคำว่าจิตพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีจิต จิตคือภพ นี่ไงความส่งออกก็ส่งออกจากจิต ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันก็สงบเข้ามาที่จิต ตัวจิตสงบเห็นไหม ที่ว่าจิตสงบเป็นสมาธิขนาดไหน จิตสงบขนาดไหน จิตตัวนั้นก็มีอวิชชา สงบขนาดไหนก็คือสงบชั่วคราว มันสะอาดขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันไม่ออกวิปัสสนา วิปัสสนาคือการสอนจิต จากจิตที่มันสกปรกให้มันสะอาดขึ้นมา อันนั้นคือวิปัสสนา แต่ถ้าไม่ถึงตัวจิต ไม่ถึงตัวสมาธิ วิปัสสนานั้นก็ไม่มี ไม่มี แล้วความเห็นอย่างนี้มันเป็นความเห็นที่เกิดขึ้นจากความเห็นของเขา มันไม่เป็นความจริง

จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกของหลวงปู่ดูลย์ จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ เราเทศน์บ่อยว่าจิตเห็นจิต จิตส่งออก หรือตัวจิตนี้เราเทศน์บ่อย แล้วเราอธิบายตามประสาความรับรู้ของเรา เพราะเราก็เหมือนกับหลวงปู่ดูลย์ ท่านทำอย่างนี้ แล้วเราปฏิบัติมาในทางจิตเหมือนกัน เราถึงเข้าใจหลวงปู่ดูลย์ แล้วเราอธิบายตามความเข้าใจว่า เราเข้าใจว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านต้องการสื่อความหมายอย่างนี้ ฉะนั้นมันก็เลยไปขัดแย้งกับเขา เพราะเขาตีความอีกอย่างหนึ่ง เขาก็เลยบอกว่า จิตเห็นจิตของหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อ........ตีความว่า จิตเห็นจิตหมายถึงจิตดวงปัจจุบันมีสติไปรู้จิตดวงที่ดับไปแล้ว แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ ดวงที่ดับไปแล้วมันอยู่ที่ไหน เราก็ไปคิดถึงแต่กระแสไฟฟ้าไง ไฟฟ้าสถิตเห็นไหม กระแสไฟฟ้ามันออกไปเห็นไหม เราไปคิดอย่างนั้นไง

ถ้าขนาดนี้นะเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกว่าแม้แต่ความคิดเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก็เป็นอนาคตไปแล้ว ถ้าจิตสงบนี่ยังนิ่งอยู่ ถ้าไปรู้ดวงที่ดับไปแล้วนี้มันเป็นอดีตอนาคตไหม มันเป็นอยู่แล้ว ถ้าไปรู้ดวงที่ดับไปแล้ว คำว่าดับไปแล้ว มันก็ชาติหน้าแล้วนะมึง แต่มันเร็วมาก ดวงที่ดับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัจจุบันได้อย่างไร

ประเด็น : จิตเห็นจิตหมายถึง จิตดวงปัจจุบันมีสติไปรู้จิตดวงที่ดับไปแล้วสดๆร้อนๆ จิตไม่ได้มีเพียงดวงเดียวแล้วคงถาวรอยู่นิรันดร์กาล

หลวงพ่อ : จิตไม่ใช่มีดวงเดียว แล้วจิตมันตั้งมั่นได้อย่างไร จิตหนึ่งเดียวได้อย่างไร จิตไม่มีดวงเดียว หลวงปู่บุดดาบอกว่า หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวตลอดเห็นไหม หลวงปู่บุดดานะเอามาออกประจำ จิตหนึ่งเดียว จิตหนึ่งเดียวไม่มีสอง นี่ของจริง! ของจริงพูดนะไม่มีผิด หลวงปู่บุดดาไปฟังสิ มีดวงหน้าดวงหลังไหม

หลวงปู่บุดดาเคยบอกไหมว่ามีจิตกี่ดวง หลวงปู่บุดดานั่นล่ะของจริง ถ้าของจริงแล้วหลวงปู่บุดดาพูดนะ อาจหาญมาก หลวงปู่บุดดาไม่เคยกลัวใครเลย เพราะหลวงปู่บุดดาท่านเห็นความจริงของท่าน จิตมีหนึ่งเดียว จิตมีดวงเดียว จิตไม่มีสอง จิตมีสองคืออาการ ความคิดเกิดจากจิต เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีอันเดียว แต่พลังงานไฟฟ้าออกจากเครื่องมันไหลออกไปตลอดเวลา เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีอันเดียว ไดร์มีตัวเดียว แต่ถ้าไดร์หมุนแล้วนะไฟฟ้ามันจะหมุนไปตลอดเลย ไดร์ไม่มีเป็นร้อยร้อยดวงหรอก ไม่มี ไม่มี

ประสาเราว่านะ ไอ้แพร(เด็กอายุ ๓ ขวบ)มันจะรู้ดีกว่านี้นะ ไอ้แพรมันน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีกว่านี้นะ ไอ้นี่มันสู้ไอ้แพรไม่ได้นะ

ประเด็น : ดวงจิตปัจจุบันมีสติไปรู้ดวงจิตที่ดับไปแล้วสดๆร้อนๆ จิตไม่ได้มีดวงเดียวแล้วคงถาวรอยู่นิรันดร์ 

หลวงพ่อ : จิตมีดวงเดียวแต่ไม่นิรันดร์ ถ้าคงถาวรนิรันดร์มันเป็นอัตตา เวลาสอนเขาไม่สอนว่าจิตนี้เป็นอัตตา ถ้าสอนว่าจิตนี้เป็นอัตตา มันจะเป็นอาตมัน มันจะเข้าไปสู่ฮินดู จิตของเราไม่เข้าสู่อาตมัน ไม่เป็นนิรันดร์ มันแปรสภาพโดยกรรม แต่มันมีสถานะของมันอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่นิรันดร์ ถ้านิรันดร์ก็อัตตาไง นิพพานเป็นอัตตา นิพพานเป็นอนัตตา ถึงผิด

แต่จิตนี้ไม่เป็นอัตตา อัตตาคือทิฏฐิ อัตตาคือกิเลส อัตตาคือการยึดมั่น จิตนี้ไม่ได้คงถาวรเป็นนิรันดร์ ไม่เป็น ก็พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าเป็น! ไม่ได้บอก แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตมีอยู่ จิตไม่เคยตาย แต่มันแปรสภาพตามกรรม เกิดโดยกรรม กัมมพันธุ มันโดยเผ่าพันธุ์ กัมมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มันเป็นไปตามกรรม

จิตไม่เป็นนิรันดร์ ถ้าเป็นนิรันดร์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์ทุกๆ ชาติ เกิดเป็นสัตว์ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ทุกๆ ชาติ จิตไม่เป็นนิรันดร์ ไม่มี อย่าเข้าใจผิด แต่นี่ตัวเองเข้าใจผิดเอง แล้วไปบอกว่าคนอื่นเข้าใจว่าจิตเป็นนิรันดร์ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าจิตเป็นนิรันดร์

ประเด็น : แต่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลา เพื่อทำหน้าที่รู้อารมณ์

หลวงพ่อ : เกิดดับบนอะไร จิตเกิดดับตลอดเวลานี่ฟังแล้วมันน่าศรัทธานะ จิตเกิดดับตลอดเวลา จิตเกิดดับก็คือความคิดเกิดดับบนจิต ไม่ใช่จิต!

ความคิดเกิดดับบนจิต เพราะเขาเห็นความคิดเกิดดับบนจิต เขาถึงเห็นว่าความคิดเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลาเพื่อรับรู้อารมณ์ แต่สันตติของมัน มันไม่ได้เกิดดับ พลังงานมันเกิดตลอดเวลา คือจิตมันเป็นพลังงานอย่างนั้น ธาตุรู้ไง สสารที่มีชีวิต ธาตุที่มีชีวิต ธาตุที่มันสืบเนื่อง แต่เป็นธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์

นี่ไงมันฟ้องถึงคนพูดนี่ว่ามีวุฒิภาวะแค่ไหน รู้จักจิตของตัวเองลึกตื้นแค่ไหน

คำพูดเห็นไหม หลวงตาบอกประจำว่าเวลาเทศน์นี้มันเหมือนเปิดอกนะ ฉันรู้แค่นี้ไงคือคำพูดนั้นพูดออกจากความรู้ของตัว ทีนี้ความรู้ของตัวมีแค่ไหนล่ะ

เรายืนยันมาตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าสอนผิด สอนผิดเพราะตรงนี้ เพราะเราเห็นมาเยอะ

ขนาดนี่คือไฮไลท์นะ นี่คือจุดหัวใจของเขาแล้วนะ เพราะเขาเอาโศลกของหลวงปู่ดูลย์มา จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตเห็นจิต นี่คือไฮไลท์ของหลวงปู่ดูลย์แล้วนะ นี่คือเขาประกาศถึงขั้วของความรู้ของเขา แล้วเขาถึงแสดงออกมาด้วยสัจธรรมไง

ประเด็น : แต่จิตเกิดดับสืบเนื่องตลอดเวลาเพื่อรู้อารมณ์

หลวงพ่อ : มันไม่ใช่เพื่อรู้อารมณ์หรอก ธรรมชาติของเขา เขารู้สึกตัวเขาแล้ว ธรรมชาติของตัวนะ หลวงตาบอกว่า จิตนี่ ความสว่างไสวมันเกิดจากจุดและต่อม ในจุดและต่อมเวลาเข้าไปนะ เห็นไหม เตือนเอาไว้ว่าพลังงานเกิดจากจุดและต่อม นี่เห็นไหมจุดและต่อมนี้เป็นอวิชชา จุดและต่อมเป็นธรรมชาติ แต่เวลาหลวงตาท่านตั้งสติของท่าน แล้วท่านสืบค้นเข้าไปหา พอสืบเข้าไปหามันก็บอกว่าความเกิดของมันเป็นมะพร้าวสองขั้ว มะพร้าวสองขั้วเห็นไหม จิตเกิดดับสืบเนื่องเพื่อรับรู้อารมณ์ มันเป็นมะพร้าวสองขั้ว ดีกับชั่ว ดีไง รับรู้ดี รับรู้ชั่ว มันรับรู้ดี รับรู้ชั่ว แล้วมันไปพลิกขั้วสองขั้วนี้ พอจิตสงบเข้าไป ปัจจยาการของมัน มรรคญาณของมันเข้าไปพลิกสองขั้ว ก็พลิกฟ้าคว่ำดิน

มันไม่ใช่หน้าที่รับรู้อารมณ์หรอก หน้าที่รับรู้อารมณ์มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว คำว่าหน้าที่รับรู้อารมณ์ มันก็เหมือนกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไง อายตนะนี้มีหน้าที่รับรู้อารมณ์ มันเป็นฆานวิญญาณเห็นไหม วิญญาณจากจมูก วิญญาณจากลิ้น วิญญาณนี้ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์

ประเด็น : เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป

หลวงพ่อ : นั่นแน่

ประเด็น : เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป หากจิตดวงใหม่มีสติระลึกรู้จิตดวงเดิม

หลวงพ่อ : มันบอกมีคนสองคนมั้ง มีจิตสองดวงไงสงสัยเป็นคู่แฝด สงสัยจิตมันเป็นคู่แฝด มีจิตดวงหนึ่งแล้วก็มีจิตดวงใหม่ มันเวียนหัว

ถ้าเขาพูดถึงเรื่องธรรมะหยาบๆ นะ มันมีดีมีชั่ว มันมี ๒-๓ คนได้ มีดี มีชั่ว มีกลางๆ ถ้าออกมาแล้วนี้ เวทนา มันมี ๓ มีสุข มีทุกข์ มีอัพยากฤต แต่ขณะที่เป็นตัวจิตแล้ว จิตมันจะรับรู้ มันจะรู้เร็ว มันจะรู้ธรรมชาติของมัน มันมีหนึ่งเดียว ถ้ามันมีดวงหนึ่ง ดวงสองนี่ มันก็จะเทียบ เห็นไหม เขารู้ได้แต่ธรรมะหยาบๆไง เขารู้ได้แต่ดีกับชั่ว สุขกับทุกข์ อัพยากฤต เขารู้ได้อย่างนี้ พอเข้าไปถึงจิตละเอียด เขาก็จะเอาจิตละเอียดนี้มาเทียบเคียงกับจิตหยาบๆ

นี่มันจะฟ้องถึงวุฒิภาวะของคน ถ้าคนเห็นได้แค่นี้ อย่างเวลาเราไปบ้านของเศรษฐี พอเห็นตึกใหญ่ๆ อู้ฮู อู้ฮู เราก็เห็นแต่เปลือกนอกนะ เรายังไม่ได้เข้าบ้านเขาเลยนะ ในบ้านเขามีกี่ชั้นก็ไม่รู้ ห้องหับเขาจะสวยขนาดไหนเราก็ไม่เห็นนะ พอไปเห็นตึกใหญ่ก็ อู้ฮู้ อู้ฮู้ นี่ก็เหมือนกัน พอไปรู้อะไร จิตดวงดับไป มันไปรู้แต่เปลือกเห็นไหม อาการไงมันรู้ได้แต่ภายนอกไง มันยังไม่ได้เข้าไปในบ้านนะ มันยังไม่รู้ว่าในบ้านเขาจะมีห้องมีหับขนาดไหน ตู้เซฟจะใหญ่โตขนาดไหน จะมีเงินทองซ่อนไว้อย่างไรยังไม่รู้นะ เพราะยังไม่เข้าถึงตัวจิต พอไม่เข้าถึงตัวจิต แล้วมันพูดนะ อู๋ ไปบ้านนั้นมาแล้วล่ะ อู้ฮู หลังใหญ่มากเลยนะ อู้ฮู้ อู้ฮู้ เลยนะ แต่ไม่รู้เลยว่าข้างในมีอะไรบ้าง ไม่รู้ มันถึงพูดอย่างนี้ไง

ประเด็น : จิตดวงหนึ่งดับไป หากจิตดวงใหม่มีสติระลึกรู้จิตดวงเดิม จิตดวงเดิมซึ่งหมดสถานะจากธรรมชาติที่รู้อารมณ์ไปแล้ว ก็เปลี่ยนสถานะไปเป็นอารมณ์ให้จิตดวงใหม่รับรู้

หลวงพ่อ : จะบอกว่าเป็นปัจจยาการสืบต่อไง เหมือนห่วงโซ่ไง ไร้สาระ! เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาไม่เคยเห็นความเร็วของจิต ทำไมจิตมันต้องมีดวงใหม่ดวงเก่ามารับรู้กัน อย่างถ้าเขาด่าเรานะว่าเราชั่ว แล้วเราก็ลืมไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แล้ววันนี้มาคิดได้ แล้วดวงโน้นกะดวงนี้มันเกี่ยวกันอย่างไร ก็เขาด่ากูตั้งแต่เมื่อวาน กูเพิ่งมาคิดวันนี้ แล้วไอ้ดวงเก่ามันไปแล้ว แล้วมันจะมาเกี่ยวกับดวงใหม่นี้ได้อย่างไร

เพราะเขาบอกว่า อารมณ์ที่จิตดวงหนึ่งดับไป จิตดวงใหม่เป็นสถานะดวงที่รู้ เมื่อจิตดวงนั้นหมดสภาวะไปตามธรรมชาติที่รู้อารมณ์ไปแล้ว ก็เปลี่ยนสถานะ เขาจะบอกว่ามันเป็นห่วงโซ่ความคิดไปเลยนะ แต่เขาไม่คิดหรอกว่า ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติที่รู้ในอวิชชา เราจะบอกว่าจิตนี่เปรียบเหมือนยางเหนียว แปะอะไรก็ติด มันแปะคือมันคิดอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติมันรู้ ธาตุรู้คือธรรมชาติรู้ ธรรมชาติรู้มันรู้โดยธรรมชาติของมัน ขณะที่เรานั่งเฉยๆ นี้เราก็รู้ความเหม่อ ถ้าเราไม่รู้เราจะเหม่อได้อย่างไร เรานั่งเฉยๆ นี่เหม่อ เหม่อลอย เหม่อนั่นมันรู้เหม่อนั้นนะ ถ้าไม่รู้ว่าเหม่อ มึงจะว่ามึงเหม่อได้อย่างไร

แต่ไอ้ตัวรู้มันละเอียดกว่าเหม่อนะ เวลารู้คิดก็เจ็บช้ำน้ำใจนะ รู้คิด รู้สุข ไอ้เหม่อก็รู้ว่าเหม่อนะแต่ไม่รู้ตัว พอมันผ่านไปค่อยรู้ว่า เอ้อ เมื่อกี้เหม่อเว้ย เหม่อไป แล้วมันไปเกี่ยวกับดวงไหนล่ะ ไปเกี่ยวกับดวงไหน

นี่เพราะคิดเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วพยายามอธิบายจิตเป็นวิทยาศาสตร์ จิตนี่เป็นวิทยาศาสตร์นะ วิทยาศาสตร์ทางจิต ถ้าพิจารณาแล้วมันเป็นวิทยาศาสตร์ แล้ววิทยาศาสตร์ยิ่งกว่านี้อีก แล้ววิทยาศาสตร์อย่างนี้นะ ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่า “ธรรมเหนือโลก” คือว่ากิเลสนี้ไม่มีเหตุผล เราคิดนะ สิ่งที่เราคิดนี่ไม่ดีหมดเลย แต่เราจะเอาเหตุผลอะไรไปสู้กับมันให้กิเลสมันไม่คิดล่ะ นี่เวลาคิด ธรรมะก็เหมือนกัน เวลาธรรมะมันเกิดขึ้นมานะมันเหนือเหตุเหนือผลไง นี่ธรรมเหนือโลกไง แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันต้องคิดได้แค่นี้ อย่างวิทยาศาสตร์นี่มันต้องมีค่าของมันใช่ไหม มีค่าทางฟิสิกส์มีค่าต่างๆ ต้องออกมาเป็นอย่างนี้ แต่ความคิดของเรามันมีค่ามากกว่านั้น มันถึงจะปิดกั้น กิเลสให้อยู่ได้

ถึงได้บอกว่าธรรมเหนือโลก เหนือวิทยาศาสตร์ เหนือ! เราถึงบอกว่าเหนือวิทยาศาสตร์ เหนือธรรมชาติ เหนือทุกๆอย่าง จะบอกว่าถ้าไปรู้ไปเห็นเข้าแล้วจะสาธุ ! ถ้ายังไม่รู้ไม่เห็นนะก็ยังตีโพยตีพายว่าคนพูดสงสัยท่าจะบ้า มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าใครไปรู้เข้านะ มันจะรู้

ประเด็น : สติจะเกิดระลึกรู้จิตดวงที่เพิ่งดับไปได้ เพื่อหัดตามรู้จิตเนืองๆ จนจำสภาวะของจิตได้แม่นยำ

หลวงพ่อ : จนจำสภาวะของจิตนี่มันสัญญา! พวกอภิธรรมนะ มาหาเราบ่อย มาบอกว่า

“พิจารณากาย ผ่านกายแล้ว”

“โอ้ ผ่านกายแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อไป”

“ต้องกลับไปทบทวน”

อ้าว ก็ผ่านแล้ว แล้วจะไปทบทวนทำไมอีก นี่จำสภาวะไง

ประเด็น : จำสภาวะของจิตได้อย่างแม่นยำ ถิรสัญญา

หลวงพ่อ : เอาบาลีมาค้ำประกันด้วยนะ กลัวจะว่ามันเป็นสัญญาธรรมดาไง

ประเด็น : เป็นถิรสัญญา แล้วสติจะเกิดตามระลึกรู้จิตที่เพิ่งดับไปเอง

หลวงพ่อ : ดับไป คือดับไปเป็นจิตตัวเก่า จิตตัวใหม่ก็คือตัวใหม่ ความรู้อันเก่าดับไปแล้วคือดับไป ถ้าเอาความรู้อันเก่า หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เราเวลาเทศนาว่าการ ท่านบอกเลยนะเทศน์นี้ฟังให้เป็นจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง คือเป็นการกระตุ้น ใครอย่าจำไปนะ ถ้าใครจำไปจะเป็นทุกข์ของคนจำไป เพราะคนจำไปจะสร้างภาพ หลวงตาเวลาท่านเทศน์ธรรมะ เวลาเข้าถึงจุดไคลแมกซ์ของมัน ท่านบอกว่า ไม่เอา เดี๋ยวจะมีพระจำ ท่านบอกว่าอันนี้ละไว้ แล้วท่านเทศน์ข้ามไปเลย

เพราะการจำนั้นเป็นโทษของการปฏิบัติ เพราะการจำ การไปรู้ก่อน พอไปรู้ก่อนแล้วมันจะสร้างภาพ แล้วจิตนี้มันมีกิเลส มันต้องการมรรคผล มันต้องการสิ่งที่ให้มันเป็น ขนาดที่มันไม่รู้ มันยังหลอกยังลวงมันยังสร้างขนาดนี้ แล้วถ้ามันรู้มันจะปฏิบัติไปได้อย่างไร

ประเด็น : อันนี้บอกเลย จนจิตจำสภาวะของจิตได้แม่นยำ แล้วจะเกิดความระลึกรู้ถึงเกิดดับไปได้เอง แล้วก็จะเกิดปัญญาเอง

หลวงพ่อ : ปัญญาก็เลยเกิดอัตโนมัติไง อันนี้มาจากเว็บไซต์หรือมาจากไหน ถ้าออกไปในเว็บไซต์ใครอ่านแล้วนะ จะโอ้โฮ! โอ้โฮ! เลยนะ แต่เราเห็นแล้วนะ โทษนะ..อยากจะร้องไห้ อยากจะร้องไห้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดของท่านไว้นี้เป็นธรรมะจากหัวใจของหลวงปู่ดูลย์ ท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตค้นคว้าของท่านมา ท่านปฏิบัติของท่านมาจนเป็นสัจธรรม แล้วท่านก็สร้างของท่านมาเป็นคุณธรรม ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ประพฤติปฏิบัติตาม

แล้วนี่ลูกศิษย์ของท่าน อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน แล้วเอามาบอกว่า ท่านคลาดเคลื่อน แล้วสร้างความรู้ความเห็นอันใหม่ขึ้นมา พอสร้างความรู้ความเห็นอันใหม่ขึ้นมา แล้วคนที่วุฒิภาวะไม่ถึง อ่อนด้อย ไปเห็นคำพูดที่มันจินตนาการตามได้ ก็หาว่าสิ่งนี้เป็นคุณธรรม เห็นไหมโศลกอันนี้ใครๆ อ่านแล้วทุกคนก็ทึ่ง ทุกคนก็ว่าหลวงปู่ดูลย์นี่มีวุฒิภาวะที่น่าเคารพบูชา

แต่สุดท้ายแล้ว เขามาตีความให้มันคลาดเคลื่อนไปหมดเลย อ่านแล้วน่าเศร้าไหม คือพวกเราหรือชาวพุทธเราที่นับถือครูบาอาจารย์ มันก็มีของมีค่า คือมีเพชรนิลจินดา หลวงตาท่านพูดนะ เวลาสร้างจากจิตใจดวงหนึ่ง มาจนเป็นเพชรน้ำหนึ่ง เพชรน้ำเอก ถ้าผู้ใดปฏิบัติมาจนเป็นเพชรน้ำเอก เป็นเพชรน้ำหนึ่งก็มาประดับศาสนาไว้ว่า ศาสนานี้มีมรรคมีผล

แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านปฏิบัติมาจนเป็นเพชรน้ำหนึ่ง เป็นเพชรน้ำหนึ่งที่มีคุณค่า แล้วนี่กลับมาทอนคุณค่าของเพชรเอง แล้วไปเอาไอ้เพชรอัด ไปเอาคริสตัล ไปเอาพลาสติกมาบอกว่านี่เป็นเพชร แล้วมันก็หาได้ง่าย มันทำได้ง่าย แล้วทุกคนก็ว่านี่คือเพชร ไอ้เพชรแท้ๆ เลยหมดค่าไปนะ ไอ้เพชรแท้ๆ เลยไม่มีใครเอา จะไปเอาไอ้พลาสติกไอ้สิ่งที่เขาอัดกันมาสวยงาม ที่เด็กๆ มันห้อยกันอยู่เต็มคอนั่น เพราะอะไร เพราะมันตีความได้ไง แต่เราอ่านแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย

หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดถูกหมด อย่างเช่นเราพูดบ่อยนะคำนี้ แล้วเขาก็พูดมาไงว่า เราบอกว่าแต่เดิมไอ้พวกซินตึ๊ง เสื่อผืนหมอนใบ แล้วเรามาหาอยู่หากินกัน พวกที่อพยพมาเขามีเสื่อผืนหมอนใบนะ เขามีความขยันหมั่นเพียรของเขา เขาทำมาหากินของเขาถึงตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมาได้ เดี๋ยวนี้จะทำแบบนั้นอีก ไม่ไหว ไม่มีใครทำอย่างนั้นได้เพราะมันอ่อนแอกันหมด

เมื่อก่อนซินตึ๊งมานะ พอเรือเข้าปากอ่าวมาทุกคนดีอกดีใจหมดเลย เพราะอะไรเพราะมันเขียวขจีไปหมดไง กูมีกำลัง กูมีแรง กูจะหาอยู่หากิน กูจะทำพืชผล กูจะมี กูรอดตายแล้ว แต่เดี๋ยวนี้นะไม่ได้เลย อ่อนแอกันไปหมดเลย ทำอะไรกันไม่ได้เลย แล้วจะใช้ปัญญามาตีความกัน ไอ้ที่เราเศร้าใจ เราเศร้าใจตรงนี้ไง เราเศร้าใจว่าคนมันจะอ่อนแอ แล้วก็ดูจิตดูจิตกันไปแล้วก็สร้างภาพนะ เราเห็นอีกอันหนึ่งที่เขาเอามานั่นน่ะ ดูจิตไป ดูจิตไปนะ พอทันจิตแล้ว เดี๋ยวมันจะเกิดปัญญาเอง จะเกิดปัญญาเองมันจะเป็นไปได้อย่างไร

ถ้ามันเป็นไปได้อย่างนี้นะ ไอ้การศึกษาต่างๆ ทำไมนักเรียนลอกข้อสอบแล้วเขาไม่ให้คะแนน ไอ้การลอกข้อสอบ ไอ้คนลอกตกนะมึง ไอ้จิตมันไปเพ่งไปดูอยู่ มันก็ไปลอกไปเพ่งไปจำอยู่นั่น มันจะได้อะไรขึ้นมา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพียงแต่เวลาเราพูดไปแล้วนี่คนมันเชื่อถือ แต่ของหลวงปู่ท่านพูดถูกหมดนะ จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย จิตส่งออกนอกเพราะอะไร

เพราะเวลาเขาพูด ถ้าไม่อธิบายถึงจิตส่งออกนอก อวิชชามันอยู่ที่ไหนแล้วมันมาอย่างไร ทีนี้ไอ้คนที่ไม่เข้าใจคำว่าส่งออกนอก มันก็คิดแบบพลังงานใช่ไหม อยู่เฉยๆ มันจะเป็นอะไร นี่ไงจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ที่พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ถามหลวงปู่มั่นไงว่าอวิชชาสวะและกิเลสสวะ นี้เข้าใจได้ แต่ภวาสวะนี้เข้าใจไม่ได้ ภวาสวะคืออะไร ภพนี่เป็นอวิชชาได้อย่างไร ภพนี่เป็นกิเลสได้อย่างไร ภพ นี่ไงจิตเป็นกิเลสได้อย่างไร

เราไปอ่านเจอ พอเจ้าคุณจูมถามนะ เราเข้าใจตูมเลย ภวาสวะคือตัวภพนี่ตัวสำคัญมาก ตัวจิตเฉยๆ นี่ นี่ไงที่ว่าอุเบกขาญาณ ไม่มีทาง ตัวนี้มันคือตัวสถานะที่มันจะไป ถ้าไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ตั้ง กิเลสมันจะอยู่บนอะไร ความคิดคนมันมาจากไหน แล้วตัวจิตเฉยๆ ตัวจิตตัวภพ แต่นี่ ภพเราก็ไปดูภพชาติกันไง ปฏิสนธิจิตนี่คือตัวภพ คือตัวเริ่มต้น คือจุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง อวิชชามันครอบงำ อวิชชามันอยู่ในภพนั้นด้วย กิเลสสวะมันก็อยู่ในภพนั้นด้วย ตัวภพนี้

เจ้าคุณจูมท่านเป็นนักวิชาการท่านบอกว่า ภพเฉยๆ เป็นกิเลสได้อย่างไร อย่างเงินนี่เงินเป็นกิเลสได้อย่างไร เงินก็คือเงิน แต่เงินนี่มันซื้อได้ทุกอย่างนะ มันเกิดทุกอย่างได้ด้วยเงิน แต่ถ้าไม่มีตัวจิตก็ไม่มีตัวกรรม เพราะข้อมูลการทำดีทำชั่วทั้งหมดมันย่อยสลายลงอยู่ที่ภพ อยู่ที่จิตทั้งหมด แล้วมันแสดงออกจากที่นั่น กรรมดีกรรมชั่วไง กรรมเก่ากรรมใหม่ไง กรรมในอดีตชาติมาเท่าไหร่ มันก็อยู่ที่นั่นไง

ถ้ากรรมนี้มันตัดขาดกันนะ พระโพธิสัตว์ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถ้ามันขาดกันมันก็ต่อเนื่องกันไม่ได้ มันจะต่อเนื่องเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมาได้อย่างไร พระเวสสันดรมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะได้อย่างไร นี่ไงเพราะตัวภพตัวนี้เป็นตัวเก็บข้อมูลไง ทุกอย่างอยู่ที่ภพนี้หมดไง ทุกอย่างมันอยู่ที่จิตไง ทุกอย่างอยู่ที่จิต แล้วพอมันส่งออกมันก็เกิดพลังงาน

ประเด็น : เขาถึงบอกว่า ความส่งออกของจิตต่างหาก คือ ตัวทะยานอยาก

หลวงพ่อ : เวร.. มันบอกถึงว่าการภาวนานี้ เขาภาวนาได้แค่ไหน การภาวนาได้แค่ไหนก็เหมือนที่เราพูด เหมือนที่เราเข้าไปในสถานที่นี้ได้ลึกซึ้งขนาดไหน เหมือนความลับทางราชการ ตำแหน่งหน้าที่ต่ำก็รู้ได้น้อยๆ แต่ถ้าตำแหน่งหน้าที่ใหญ่เรารู้ความลับของทางราชการได้ลึกตื้นแค่ไหน การปฏิบัติของเราเหมือนกับตำแหน่งราชการ ว่าเราเป็นตำแหน่งเล็ก หรือตำแหน่งใหญ่ขนาดไหน ถ้าตำแหน่งเล็กเราก็ได้รู้ข้อมูลแค่ผิวเผิน ถ้าตำแหน่งเราใหญ่ขึ้นมาเราจะได้รู้ข้อมูลได้ลึกซึ้งขึ้นไป แล้วถ้าเราเป็นผู้อำนวยการทั้งหมดเราจะรู้ข้อมูลทั้งหมดเลย

อันนี้เพราะเขาไม่รู้ข้อมูลไง เขารู้ข้อมูลแบบข้าราชการชั้นผู้น้อยก็รู้แต่เรื่องปลีกย่อย แต่คิดว่าอยู่ในองค์กรนั้นแล้วรู้หมดไง อธิบายมามันเลยเฉิ่มๆ นี่ไง เฉิ่มๆนะ ถ้าให้เราพูดอย่างนี้นะ จ้างเท่าไหร่ก็ไม่กล้าพูดเพราะอาย ถ้าให้เราพูดอย่างนี้นะ จ้างให้พูดก็ยังไม่กล้าพูด อย่าว่าแต่จะพูดเองนะ จ้างให้พูดก็ยังไม่กล้าพูด

แต่นี้พูดออกมาจากความไม่รู้ ยืนยันนะ ยืนยันแล้วนี่ลงซีดีด้วย เดี๋ยวจะแจกแล้วไปเปิด อันนี้มาจากเว็บไซต์หรือมาจากไหน มาจากหนังสือ โอ้..เวรกรรม แต่เป็นหนังสือของเขาจริงๆ นะ พอเราพูดไปเขาก็บอกว่าไม่ได้พูดนะ ลูกศิษย์พูดทุกที พอเราพูดออกไปนะ ไม่ได้พูด ไม่ได้พูด หลวงพ่อสงบนี่ไม่เคยอ่านหนังสือของผมเลย วิจารณ์ผมอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้นเขาจะพูดเอง พอเราพูดปั๊บบอกไม่ใช่ทุกทีเลย แล้วก็ถามอย่างเดียวว่า เราได้รับข้อมูลมาว่าอย่างไร นี่มันชัดเจน คำว่าชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่กล้าวิจารณ์

แต่มันแปลกใจตรงที่ว่าหลวงพ่อ........ตีความว่า ถ้าเป็นเขาเขียนเอง คงจะไม่ใช้ว่า หลวงพ่อ......ตีความว่า เขาคงต้องเขียนเอง อันนี้เขาต้องอ้างว่าลูกศิษย์เขียนเองอีก เพราะใช้คำว่าหลวงพ่อ......ตีความว่า อย่างนี้ถ้าเวลาเขาตีความเป็นธรรมะชั้นละเอียด ชั้นสูง อะไรเป็นไฮไลท์ให้เขียนมาเพราะมันไม่มีใครแยกแยะ เราจะพูดเอง เราจะพูด พูดสักพักหนึ่ง ทีแรกว่าจะเลิกแล้วนะ จะเลิกจะหยุดไง

ทีนี้ถ้าจะเลิกจะหยุด จะหยุดหมายถึงว่า ถ้ามันพูดไปมันเหมือนกับอะไรนะ กลองจัญไร มันดังตึ้มตั้ม ตึ้มตั้ม มันจัญไร กลองแม่งจัญไรนะ ดังอยู่เรื่อยเลย แต่นี่มันมีไอ้นี่มาตีไง ว่าจะเลิกอยู่ มันก็ตรงนี้ ถ้าเลิกนะแมวไม่อยู่หนูจะร่าเริง มันอยู่ที่เหตุผล ถ้าแมวอยู่หนูไม่กล้านะ ถ้าบอกเลิกคือแมวบอกว่ากูไม่จับหนูแล้ว หนูมันก็จะวิ่งเพ่นพ่านเลย ฉะนั้นมันอยู่ที่เหตุผล ถ้ามีเหตุมีผลที่ควรจะพูด เราก็จะพูด แต่ถ้าไม่มีเหตุมีผล เพราะอย่างนี้ ถ้าคนอื่นพูดไม่มีทาง คำพูดคล้ายๆ กัน แต่เราดูแล้วมันชัดเจนมากนะ

ที่มันรับไม่ได้ก็ที่บอกว่าหลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน เจ้าของเขาเขียนเองมันจะคลาดเคลื่อนได้อย่างไร เจ้าของพูดเองมันจะคลาดเคลื่อนได้อย่างไร ตัวเองจำมาแล้วเข้าไม่ถึง จึงบอกว่าคลาดเคลื่อนต่างหาก แต่ไปบอกว่าหลวงปู่ดูลย์น่าจะคลาดเคลื่อน จะใช้ว่าน่าหรือประสาเราเลยนะไม่มั่นใจในตัวเอง เราถึงบอกหลวงปู่มั่นเห็นไหม ต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นอย่างนี้! เราพูดบ่อยเมื่อก่อนนี้ว่า กูสอนนะ ถ้าผิดกูให้ตัดหัวเลย หัวกูนี่ตัดทิ้งไปเลยนะ ทีนี้เพียงแต่ว่ามึงทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นนะ แต่ถ้ากูบอกแล้วทำอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ กูให้ตัดหัวทิ้งเลย ไม่มีอะไรแล้วนะ เอวัง