เทศน์บนศาลา

การพิจารณากาย

๗ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

การพิจารณากาย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราตั้งใจฟังธรรม ธรรมะนะ ธรรมะที่ไม่มีพิษมีภัย ธรรมะที่บริสุทธิ์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์เราบอกประจำ ในลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็ว่าเขาเป็นศาสดา แต่ไม่มีศาสดาองค์ใดเลยที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เพราะเหตุใด เป็นพระอรหันต์เพราะท่านได้ทำของท่านมา ท่านได้ประพฤติปฏิบัติมาเห็นไหม รู้จริงเห็นจริงในสัจธรรมอันนั้น ความรู้จริงเห็นจริงอันนั้นมันพิสูจน์ได้

นี่ไง เวลาแสดงขึ้นมาแสดงธรรมจักร เทวดา อินทร์ พรหม ส่งข่าวขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ว่าจักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว ใครจะย้อนกลับอีกไม่ได้เลย มันย้อนกลับอีกไม่ได้เพราะความรู้จริงอันนั้น ของดิบที่มันสุกแล้วจะกลับไปดิบอีกไม่ได้ แต่สิ่งที่มีชีวิตอยู่เห็นไหม อย่างเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ ถ้ามันยังไม่ตายมันยังมีชีวิตอยู่ มันตกลงดินแล้วมันต้องเกิดอีกต่อไป แต่ของที่มันสุกแล้ว มันจะเกิดอีกไม่ได้ จิตที่มันสุก จิตที่มันตบะธรรมเผาผลาญจนถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เห็นไหม ความรู้อันนั้นเป็นความรู้จริง จากดิบเป็นสุก แล้ววิธีการของมัน มีการกระทำอย่างไร

แต่ในสมัยปัจจุบันนี้โลกเจริญนะ เราศึกษาธรรมกัน เราศึกษาด้วยโลก โลกว่าโลกเจริญ เห็นไหม เราว่าต้องใช้ปัญญา ใช่ ถ้าทางโลกนะ ทางโลกจะเจริญต้องมีปัญญาต้องมีการศึกษา การศึกษาจะทำให้คนนั้นเป็นคนดี การศึกษาทำให้เข้าใจโลก เห็นไหม ดูการศึกษา สมัยโบราณคนเราตื่นกลัวมาก ฟ้าแลบฟ้าร้อง บูชาไฟ จะกราบไหว้เลย เพราะเขาไม่รู้ของเขา แต่ในปัจจุบันนี้ เรื่องฟ้าแลบฟ้าร้อง มันเป็นทางวิทยาศาสตร์ มันพิสูจน์ได้หมดแล้ว มันเข้าใจหมด พอเข้าใจหมดเห็นไหม ความตื่นกลัวในใจเราไม่มี

นี่ก็เหมือนกัน การศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าวางไว้แล้วปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้น เห็นไหม พระพุทธเจ้าแบ่งแยกออกมา แบ่งซอยออกไปให้เห็นชัดเจนมากเลย แต่เวลาเราศึกษา เราประพฤติปฏิบัติ เราไม่เอาตรงนี้เป็นบรรทัดฐานเลย แต่ใช้บรรทัดฐานกับตัวของเรา ทุกคนมันเข้าข้างตัวเอง ทุกคนจะคิดว่าปัญญาของตัว ปัญญาความรู้เห็นของตัว สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เป็นปัญญาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่เลย เพราะในการคิดการนึกของเรา มันเป็นโลกียปัญญาทั้งนั้น เวลาศึกษาธรรม ถ้าโลกียปัญญาเห็นไหม ดูสิ ในสมัยปัจจุบันนี้ จนเขาไม่เชื่อนะ โลกไม่เชื่อ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แล้วก็บอกว่าธรรมะต้องพิสูจน์ได้ ต้องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ก็เราไปติดโลกกัน โลกกับธรรมอยู่ด้วยกันแต่ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นชีวิตของเรา เห็นไหม เราเกิดมามีร่างกาย เขาบอกร่างกายเป็นจิตใจ แล้วจิตใจเป็นอะไร

สิ่งที่เป็นนามธรรม เราแทบจะไม่เชื่อกันเลยล่ะ เรื่องจิตวิญญาณยิ่งถ้าเรามีการศึกษา การพูดเรื่องจิตวิญญาณมันจะทำให้ไปทอนเครดิตของเราเลย ใครๆก็ไม่กล้าพูด ถ้าพูดเรื่องจิตวิญญาณนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ที่เขาพูดกัน เรื่องไสยศาสตร์เรื่องภูตผีปีศาจ อย่างนั้นมันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ ไสยเวทไม่ใช่พุทธะ พุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์พิสูจน์ถึงจิตใจของเรา จิตใจของเราที่มันมีจริงไม่ใช่จิตใจของผู้อื่น จิตใจของผู้อื่นอย่างนั้นมันเป็นไสยศาสตร์ ถ้าพูดอย่างนั้นเราจะไม่มีเครดิต เราจะเป็นผู้ที่ว่าไม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เราไม่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่มันพิสูจน์ได้ในการประพฤติปฏิบัติเป็นตามความเป็นจริง เราแทบไม่เชื่อกันเลยว่าเรื่องจิตวิญญาณเรื่องการกระทำมันเป็นไปได้

ทีนี้เวลาเราศึกษาขึ้นมาเห็นไหมด้วยปัญญา ปัญญาที่เป็นสุตมยปัญญา ปัญญาที่เป็นทางวิทยาศาสตร์ คำว่าวิทยาศาสตร์มันเป็นโลก โลกกับธรรม ธรรมมันเหนือโลก เหนือวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์จิตใจของเราไม่ได้ พิสูจน์เรื่องหัวใจของเราเห็นไหม วิทยาศาสตร์มันเป็นเรื่องที่เป็นทฤษฎี เป็นสิ่งที่เราทำความเข้าใจ

อย่างเช่นในการประพฤติปฏิบัติที่ว่าพิจารณากาย การพิจารณากายของเรา เราก็พิจารณา ถ้าพิจารณากายทางวิทยาศาสตร์ ดูสิ ทางการแพทย์เห็นไหม เขาศึกษาของเขา เขาเข้าใจของเขาได้หมด มันก็เหมือนทางวิทยาศาสตร์ที่เราพิสูจน์ได้ว่าฟ้าแลบฟ้าร้อง ต่างๆ เราไม่ตื่นกลัวมัน ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แต่ทำไมเรายังกลัวผีล่ะ ทำไมเรายังกลัวเรื่องจิตวิญญาณที่พิสูจน์ไม่ได้ จิตใต้สำนึกเรามันกลัว แล้วจริงหรือไม่จริงก็ยังไม่รู้ แต่นี่เหมือนกันถ้าเราว่าเราใช้ปัญญา เราพิสูจน์ได้เห็นไหม

ทางการแพทย์เขาพิสูจน์ เขาเข้าใจได้หมดเลยว่า เพราะมีเหตุมีปัจจัย มันถึงได้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แล้วโดยหลักเห็นไหม เราต้องเรียนอนาโตมี ต้องเข้าใจเรื่องของชิ้นส่วนของร่างกายทั้งหมด เขาเข้าใจได้ เขาแยกส่วนได้ เขาคำนวณได้หมดเลย พูดได้ถูกต้องหมด ทุกเส้นเอ็นต่างๆ จับต้องได้หมด เข้าใจได้หมดเลย แล้วเป็นการพิจารณากายหรือยังล่ะ แล้วเขาเข้าใจอะไรล่ะ เขาเข้าใจเรื่องกายใช่ไหม แต่เข้าใจเรื่องกายอย่างนี้มันเป็นกายโดยวิทยาศาสตร์เห็นไหม สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการพิจารณากาย

แต่การพิจารณากายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น การพิจารณากายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ท่านให้เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแม้แต่แค่ทำความสงบนะ พอเราจะทำความสงบกัน เพราะนี่เป็นธรรมนะ วันนี้ทั้งวันเราเป็นโลกกันมา เราทำหน้าที่การงานเพราะเรามีร่างกาย เรามีจิตใจ เพราะจิตใจมีศรัทธามีความเชื่อ เราถึงมาทำบุญกุศลกัน สิ่งนี้เอาร่างกายทำ

มีจิตใจมีศรัทธามีความเชื่อ แต่จิตใจความเชื่อมันทำผลงานขึ้นมาได้ไหม มันก็ต้องใช้มือ ใช้สิ่งประกอบของเราทำขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา นี่คือการเสียสละแบบโลก เพราะเรามีความเชื่อความศรัทธาใช่ไหม เราถึงชักนำกันเข้ามาเพราะความศรัทธา

ความศรัทธานั้น ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอริยทรัพย์ ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ จะไม่มีการกระทำ จะไม่มีการพิสูจน์เลย แล้วเราจะเข้ามาศึกษาเรื่องศาสนาไหม แล้วเรื่องศาสนามันพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการใด

สิ่งที่เป็นโลกขึ้นมา เราชักนำกันขึ้นมาเพื่อให้สมควรแก่การงานไง ดูสิ คนที่ไม่เชื่อถือศรัทธาของเขา เขาก็ใช้ชีวิตของเขาไปตามแต่ความพอใจของเขา แล้วเขาบอกว่าการดัดแปลงตนของพวกเรา เป็นการทรมานตนเปล่า มันไม่มีประโยชน์ เพราะเขาไม่เชื่อ แต่ถ้าคนเชื่อเพราะคนเชื่อมีศรัทธา เห็นไหมของที่มีอยู่ สิ่งที่เราพิสูจน์ได้ เราพิสูจน์หรือยังไม่พิสูจน์แต่เราปฏิเสธไปเลย เรายังไม่ได้พิสูจน์เลย เราว่าเป็นจะคนมีปัญญาไหม แต่ถ้าเราพิสูจน์ก่อน เรามีศรัทธาความเชื่อของเราขึ้นมา เราเดินเข้ามา มีศรัทธาอยากฟังธรรม พอฟังธรรมขึ้นมา

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมขึ้นมา ไว้ในธรรมและวินัยที่เป็นศาสดาของเรา แล้วสิ่งที่เราศึกษามาเห็นไหม เราศึกษามาแล้วเราเข้าใจของเรา ความเข้าใจคือโลกทั้งนั้น เพราะความเข้าใจของเราเห็นไหม ความเข้าใจของเราเพราะเราจะพิสูจน์ เราเชื่อ เราศรัทธาของเรา มันมาจากไหน มันมาจากเรา คำว่าเรานี้ไง คำว่าเราถึงเป็นโลก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ว่าต้องพิสูจน์ก่อน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์มา ๖ ปี สิ่งที่โลกเขามีอยู่ พิสูจน์มากับเขาแล้ว เขาว่าสิ่งไหนมีความสำคัญมีความจริงจัง พระพุทธเจ้าก็พิสูจน์มากับเขาแล้ว พิสูจน์โดยโลกไง คำว่าพิสูจน์โดยโลก คือ จิตของเราความเป็นไปของเราที่เป็นสัตตะผู้ข้อง มันศึกษาโดยเรา ดูสิ ทางวิชาการต่างๆ เราต้องจำให้ได้ เราต้องพิสูจน์ให้ได้ ใครเป็นคนพิสูจน์ล่ะ จิตของเราเป็นคนพิสูจน์

นี่ก็เหมือนกัน ๖ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์ พิสูจน์กับใคร พิสูจน์กับเจ้าลัทธิต่างๆ ในการทรมานตน ในการทำตบะธรรมที่เกิดจากการแผดเผากิเลสทั้งหมด ที่เขาว่าเป็นกิเลส แล้วสิ่งที่ว่าเป็นศาสดาอ้างตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ เขาพิสูจน์มาหมดแล้ว พระอรหันต์ของโลก เพราะมันไม่มีที่สิ้นสุด กระบวนการของมันจบสิ้นไม่ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์กับเขามาหมดแล้ว มันไปไม่ได้ มันไปไม่รอด หมายถึงว่า มันวนอยู่ในวัฏฏะไง

เรื่องของการพิสูจน์ พิสูจน์ทางโลกก็ไปวนทางวัฏฏะ แล้วธรรมะยังไม่เกิดขึ้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมมันก็ไม่มี คำว่าธรรมไม่มี คือ ธรรมที่เป็นวิธีการทำให้ถึงมันไม่มี แต่เวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเห็นไหม เวลาไปเทศน์กับปัญจวัคคีย์ ไปเทศน์ต่างๆ ว่าธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม เราเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา เป็นผู้พิสูจน์ขึ้นมา มันพิสูจน์ขึ้นมาจากจิต เห็นไหม ของมันมีอยู่ ทฤษฎีมันมีอยู่ คำว่าสัจธรรมมันมีอยู่

แต่ผู้ที่เข้าไปจริงๆ ก็ เข้าไปโดยโลก มันเข้าไปไม่ได้ มันเข้าไม่ถึงเพราะความเป็นโลกมันขวางอยู่ ความเป็นไปทางวิทยาศาสตร์ของเราที่ยึดมั่นถือมั่น ว่าความรู้ของเรา มันขวางอยู่ มันยังไม่เข้าไปถึงตัวเนื้อของจิต มันไม่เข้าถึงเนื้อของสัจธรรม ถึงได้ย้อนระลึกถึงไง ระลึกถึงตั้งแต่โคนต้นหว้า เราพิสูจน์มากับเขาหมดแล้วล่ะ แล้วมันไปไม่ได้แล้ว คำว่าโคนต้นหว้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ สละทานมา สละสิ่งต่างๆ มาตลอดเลย

แล้วพอมาเกิด พระเจ้าสุทโธทนะออกไปแรกนาขวัญ แล้วให้อยู่ใต้โคนต้นหว้า ขณะอยู่ที่โคนต้นหว้า ก็กำหนดจิต บุญญาธิการมันเข้ามาถึง มันเข้าไปสัมผัสได้ จิตนี้สัมผัสกับความสงบสงัดของใจได้ จนมีบุญญาธิการขนาดที่ว่าเงาของต้นหว้าไม่ไปตามแสงตะวันเลย ทรงตัวตรงอยู่กับเจ้าชายสิทธัตถะนั้น แล้วความสัมผัสของใจที่มันสัมผัสกับความสงบ มันได้ฝังใจมาตั้งแต่เด็กๆ ฝังใจมาเลย แล้วมันก็ออกไปศึกษาออกไปเรียนทางวิชาการมา เพื่อจะเตรียมตัวเป็นกษัตริย์

ด้วยบุญญาธิการ ยมทูตมาเตือนให้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นไหม ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ ก็พิสูจน์การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เราก็เข้าใจ เราก็รู้แล้ว แต่มันสะเทือนใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ ถ้ารู้อย่างนี้เราก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย มันเตือนสติขึ้นมาเห็นไหม ออกค้นคว้า ๖ ปี สุดท้ายแล้วไปถึงที่สุด พิสูจน์มาหมดแล้วมันไม่รอด มันไปไม่รอดถึงกลับมาถึงโคนต้นหว้า

จะบอกว่า มันเป็นบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พึ่งพาอาศัยใครเลย เวลาระลึกย้อนกลับมา ก็ระลึกย้อนกลับมาถึงสิ่งที่จิตมันเคยสัมผัส จิตที่มันเคยสงบเห็นไหม พุทธะที่ตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่ได้พึ่งพาอาศัยใครทั้งสิ้น พึ่งพาอาศัยกับบุญญาธิการ พึ่งพาอาศัยตั้งแต่พระโพธิสัตว์ที่สร้างสมเป็นบุญญาธิการนั้นมา ย้อนกลับไปถึงโคนต้นหว้า ย้อนกลับไป เห็นไหม จะเอาอารมณ์อย่างนั้น อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเห็นไหม แล้วกลับมาฉันข้าวของนางสุชาดา แล้วกำหนดเลยว่าคืนนี้ถ้าเรานั่งอยู่ ถ้าเราไม่สำเร็จ เราจะยอมเสียสละชีวิตเลย

คำว่ายอมเสียเสียสละชีวิต มันเป็นการปิดประตูไม่ให้กิเลสมันออกมาต่อรอง ถ้าเรายังลังเลอยู่ เรายังไม่มั่นใจของเราอยู่ พอเราเจ็บป่วยขึ้นมาก็เลิกก่อน เอาไว้วันหน้าวันต่อไป แต่ถ้าอย่างนี้แล้ว ถ้าคืนนี้เรานั่งแล้ว วันเพ็ญเดือนหก ถ้าไม่ได้ตรัสรู้เราจะยอมตาย นั่งตายไปเลย เสียสละเลย พอเสียสละมันก็ปิดกั้นการต่อรองของกิเลสในหัวใจที่มันจะมาต่อรองกับเราอีกว่า เอาไว้เมื่อนั้นเอาไว้เมื่อนี้เห็นไหม พิสูจน์กันแล้ว ทดสอบมาจากเจ้าลัทธิต่างๆ หมดแล้ว มันเป็นเรื่องของโลก เหมือนกับเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่มีการพิสูจน์มีการศึกษา

เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษามาเพื่อเตรียมตัวเป็นกษัตริย์ เห็นไหม วิชาการเรียนมาหมดแล้วเหมือนกัน มันเข้าใจได้เหมือนกัน มาพิสูจน์ปัญญาของโลกแล้วมันเอาตัวเองไม่รอด ถึงต้องทำความสงบของใจ พอทำความสงบของใจ อานาปานสติกำหนดตั้งแต่ปฐมยาม เห็นไหม เกิดบุพเพนิวาสานุสติญาณ เห็นข้อมูลของจิต มันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริง แต่ที่พวกเราทำ พวกเราที่ประพฤติปฏิบัติกัน เราจะไม่เจออย่างนี้ เราจะไม่เข้าใจอย่างนี้เพราะมันไม่ได้เรียงเป็นขั้นตอนที่จะให้เราเข้าไปเจอหรอก เราเป็นคนดิบๆ เราปฏิบัติกัน มันถึงไม่เป็นอย่างวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้พิสูจน์กับเขามาหมดแล้ว คำว่าพิสูจน์ มันเข้าไปทดสอบมาจนเข้าใจ จนปล่อยวางหมดแล้ว จนจะไม่ออกไปแส่ส่าย แต่เราปฏิบัติกัน เราแส่ส่าย รับรู้ไปเรื่องต่างๆ รับรู้แทบทุกสิ่งทุกอย่างเลย เริ่มต้นจิตมันจะสงบมันยากตรงนี้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ เข้าไปถึงข้อมูลของจิต บุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไป จุตูปปาตญาณในมัชฌิมายาม มันพิสูจน์ของมันทั้งหมดแล้ว

ย้อนกลับมาถึงอาสวักขยญาณทำลายจนสิ้นกิเลสไป กิเลสสิ้นไปจากใจ นี่คือธรรมมันเกิด สิ่งที่ธรรมเกิดนี้ทำด้วยวิธีการอะไร วิชชา ๓ อาสวักขยญาณมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ธรรมจักรมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เวลาธรรมจักรมันเกิดขึ้นมาทำลายจิตของเราเอง การกระทำนี้เป็นวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามความเป็นจริงแล้ว ถึงวางธรรมและวินัยให้เราประพฤติปฏิบัติ ทีนี้พวกเรา มันไม่มีบารมี เราเป็นสาวกสาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟัง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนวิธีการ เช่น สติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม ผู้ที่พิจารณาจิต จิตเป็นนามธรรม มันจะต้องตั้งสติปัญญาขึ้นมามากกว่า มากกว่าเพื่อความรอบคอบ เริ่มจากการวิปัสสนาในการแก้ไขกิเลสในหัวใจของเราไป แต่ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหมดจะสอนพิจารณากายเป็นส่วนใหญ่ คำว่าพิจารณากาย งานทางโลกเราทำกันหมดแล้วนะ ตอนนี้เราจะทำงานเรื่องธรรม เพื่อเป็นประโยชน์กับจิตของเราเอง ประโยชน์กับวุฒิภาวะของจิตที่มันจะพัฒนาของมัน ที่มันจะพ้นจากทุกข์

การพิจารณากาย เรามีการศึกษาเรื่องการพิจารณากาย เราก็เข้าใจหมดจับต้องได้หมด แต่จิตนี่จับต้องได้ยากมาก แต่กายจับต้องได้เห็นได้ด้วยตาเปล่า เห็นกายเห็นทุกๆ อย่าง ทุกคนเห็นได้หมด นี่คือพิจารณากาย เราก็พิจารณาของเรา เราตั้งกายของเราขึ้นไปพิจารณา มันจะเป็นกายได้ไหม เวลาไปบวชเห็นไหม เวลาเราจะบวชพระกัน เวลาอุปัชฌาย์ให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งนี้ก็เป็นกาย ตุ๊กตามันก็มีกาย ภาพวาดของมนุษย์มันก็เป็นกาย ถ้าเราจะเปรียบเทียบเห็นไหม สิ่งที่เป็นวัตถุเราสร้างออกไป รูปเหมือนมันเป็นกายทั้งหมด กายอย่างนั้นมันเป็นกายสมมุติ

แต่กายของเรา ในกายของเรา มันเป็นบาป เป็นบุญของเรา เราเกิดมาด้วยกรรม กรรมพาเรามาเกิดเห็นไหม จริงตามสมมุติ กายกับจิตเกิดมาจริง จริงตามสมมุติ แต่ด้วยปัญญาของเรา พิจารณากายก็เหมือนกัน เวลาศึกษาธรรมก็เหมือนกัน คนเราจิตกับกายมันเกิดมามีกายกับจิต จิตก็เป็นส่วนหนึ่ง กายก็เป็นส่วนหนึ่ง มันจำเขามาทั้งนั้น สิ่งที่ทำกันมามันเป็นการศึกษา มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันยังไม่เป็นความจริงเลย

ถ้าเป็นความจริงเห็นไหม การพิจารณากาย เรากำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธก็ได้ เราพิจารณา เกสา โลมา หรือ อัฐิ อัฐิ ก็ได้ คำว่าก็ได้ เห็นไหม นี่มันเป็นการพิจารณากายหรือเปล่า มันต้องทำให้จิตของเราสงบเข้ามา ถ้าจิตเรามันสงบเข้ามามันจะเห็นกาย มันจะไม่เห็นอย่างที่เขาเห็นกัน การพิจารณากายทางวิทยาศาสตร์ เราพิสูจน์ได้ เราพิสูจน์กันด้วยปัญญาของเรา ด้วยความเห็นของเรา แต่ขณะที่เราทำจิตสงบ บางทีเราทำจิตสงบมันจะเห็นกาย เห็นต่างๆ ความเห็นอย่างนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดถึงโคนต้นหว้า ด้วยบุญญาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สร้างสมขึ้น คิดเอาต้นหว้านั้นเป็นหลัก เอาอารมณ์อย่างนั้น แล้วต้องการทำอย่างนั้นเป็นพื้นฐานขึ้นมา เพื่อจะให้จิตมันกลับเข้ามา เพื่อจะเข้ามาชำระกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียเอง

นี่ก็เหมือนกันเวลาเราเชื่อมั่นของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะเห็น สภาวะของกายเป็นอย่างไร จะเห็นแค่ส่วนหนึ่งของกายก็แล้วแต่ สิ่งนั้นมันเป็นธรรมเกิด มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล ทีนี้คำว่าอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล เราจะเห็นสภาพ เห็นภาพ เราก็ว่าเราเห็นกายแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเราเห็นแล้วมันเป็นอย่างไร เหมือนกับเราทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบได้บ้าง ความสงบอย่างนี้ เกิดจากความมุมานะ เกิดจากการกระทำของเราที่ตั้งสติของเรา แล้วความพยายามของเรา ถ้ามันเกิดความสงบ แล้วเราควบคุมไม่ได้ เราถึงต้องกลับมา กลับมาทบทวน กลับมาซ้ำ

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะบอกว่าเราทำถูกต้อง แต่ต้องทำต่อเนื่องกันไป ทีนี้ความเข้าใจของเรา คำว่าทำถูกต้องแล้วก็คือถึงเป้าหมายแล้ว เห็นไหม สิ่งต่างๆ ทางวิชาการที่เราศึกษามาขนาดไหน ถ้าเราไม่ได้ทำงานของเรา มันจะมีการพลั้งเผลอ มันจะมีการลืมไปเห็นไหม แต่เราก็ต้องฝึกฝนบ่อย ๆ อย่างเช่นนักบิน เครื่องบินรบถ้าพ้น ๖ เดือน แล้วเขาไม่ได้ขึ้นบิน เขาต้องทบทวนขึ้นต้นใหม่หมดเลย นักบินขับไล่ เขาจะทิ้งการขับเครื่องบินเกิน ๖ เดือนไม่ได้ ถ้าเกิน ๖ เดือนเขาต้องขึ้นต้นหัดฝึกใหม่หมดเลย เขาจะมีชั่วโมงบินของเขาอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดเครื่องบินรบที่มันเป็นเทคโนโลยีที่มันสูง เห็นไหม ยังต้องมีการควบคุมของมัน

แล้วจิตของเราล่ะ จิตของเรานั้นเทคโนโลยีมันสูงกว่าเครื่องบิน จิตมันเร็วกว่าขนาดไหน มันเร็วกว่าเครื่องบินรบมากมายขนาดไหน แล้วเราจะตั้งสติอย่างไร ที่จะควบคุมมัน เห็นไหมความสงบของใจถึงสำคัญมาก ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ท่านจะคอยชี้แนะ คอยระวัง ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนั่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ เราก็ว่าทำไมมันเรื่องมาก แต่ความจริงที่ทำได้ มันไปเกี่ยวเนื่องกับกิเลส มันก็ไปขุดคุ้ย มันก็ไปส่งเสริมกิเลส ทำให้กิเลสมันนอนใจ

แต่ถ้าเราหักห้ามซะ เราไม่ต้องการสิ่งนั้น แล้วเราตั้งสติของเรา รักษาเรา อย่างเช่นข้อปฏิบัติ เราเดินไปตามข้อวัตร ตามความเป็นจริง เราจะมีแต่ตรงเข้าไปสู่ความสงบเห็นไหม เราก็บอกว่าสิ่งนั้นลำบาก คำว่าลำบาก เพราะมันไปขัดกิเลสไง มันไปขัดแย้งกับกิเลส กิเลสมันไม่พอใจก็ว่าลำบากไปหมดเลย แต่ถ้ากับธรรมล่ะ กับธรรมละก็อย่างนี้มันยังน้อยไปเห็นไหม ธุดงควัตร เวลาอดนอนผ่อนอาหาร เราพยายามทำเพื่ออะไร เพราะว่าการกินอิ่มนอนอุ่น กิเลสตัวมันใหญ่ๆ ตัวมันพองๆ เหมือนหมูเลย นอนอยู่บนเขียง มันเหมือนหมูมันจะรอให้เขาเชือด

จิตมันนอนให้กิเลสกระทืบอยู่ในหัวใจของเรา แล้วเราก็ว่าเราเป็นคนดี เราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ มันเป็นการปฏิบัติที่มันสักแต่ว่ากระทำเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านเห็นตรงนี้ ท่านถึงคอยกระตุ้นเรา คอยบอกเรา เพื่อให้เรารักษา การเคลื่อนไหวการกระทำนะ จิตมันจะฟ้องเอง จิตคึกจิตคะนอง การแสดงออกมามันก็คึกคะนอง จิตที่มันอยู่ตัวของมัน จิตที่มันมีความร่มเย็นของมัน จิตที่มันอบอุ่นของมัน การแสดงออกมามันก็แสดงออกไปอีกอย่างหนึ่ง การแสดงออกมามันจะฟ้องถึงการกระทำทั้งหมด

ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เรารู้ที่มันผ่านมา มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล การกระทำการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นจิตเรายังไม่สงบ เราก็พยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ แล้วในสมัยพุทธกาลทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เน้นตรงนี้ เน้น เพียงแต่ว่าเริ่มต้น คนที่เขาฝักใฝ่ สหชาติผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเผยแผ่ธรรมอยู่ ภิกษุเข้าไปบวชก็มีปัญหากันมาก

คำว่ามีปัญหา ดูอย่างเจ้าลัทธิต่าง ๆ เห็นไหม เขาเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอยู่ แล้วมีกษัตริย์มีผู้ที่นับถือบูชาเยอะมาก มีลาภสักการะเกิดมาก บวชเพื่อลาภสักการะก็มี พระพุทธเจ้าให้สึกออกไป แล้วตั้งธรรมวินัยมาเพื่อบังคับไว้ ขณะที่มันเผยแผ่ไป มันมีสิ่งนี้เข้ามา ถึงต้องมีปริยัติกับปฏิบัติไง ปริยัติเห็นไหม ดูสิ โปฐิละ มีการศึกษามีความเข้าใจหมดเลย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึง ใบลานเปล่า นี่คือการศึกษาการทำความเข้าใจ แล้วมันได้ไปเห็นจริงไหม

นี่ก็เหมือนกันการพิจารณากายของเรา ถ้าเป็นการพิจารณากายด้วยปัญญาของเรา ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ เดี๋ยวจะพูดอีกอย่างหนึ่ง นี่จะพูดถึงเจโตวิมุตติก่อนให้ชัดเจนว่าอย่างไรถึงจะเริ่มต้นว่าเป็นการพิจารณากาย มันไม่ใช่การพิจารณากาย เริ่มต้นมันจะเป็นสามัญสำนึก ความสามัญสำนึกมันเห็นของมันเห็นไหม ถ้าพูดถึงการที่เขาทำกันนี่เป็นการพิจารณากาย พวกคุณไสย พวกไสยศาสตร์ เขาก็ทำกายเหมือนกัน ดูสิ เวลาเขาทำน้ำมันพราย เขาไปลนน้ำมันพรายมาจากไหน มาจากซากศพ อย่างนั้นพิจารณากายไหม นั่นมันหากินกับกายไง หากินกับซากศพ แล้วจิตของเรา การพิจารณากายของเรา ถ้าไม่มีความสงบเข้ามา มันก็อ้าง อ้างว่าพิจารณากายแล้ว แล้วการพิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นพิจารณากายหรือยัง

การพิจารณากาย มันจะต้องพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา มีความสงบแล้วมันจะออกเห็นกายไหม ถ้ามันเห็นกาย มันออกเห็นกายได้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าพอจิตสงบแล้วเห็นเป็นนิมิต สิ่งที่เห็นเป็นภาพกายขึ้นมา นั่นมันเป็นอำนาจวาสนา

คำว่า อำนาจวาสนานี่เขาเรียกว่าธรรมเกิด มันมาเป็นคราวเป็นกาลที่เราจะควบคุมไม่ได้ เพราะพื้นฐานของเรา เราต้องการความสงบของใจ เราต้องการความมั่นคงของจิต เพื่อให้จิตมันออกทำงาน เพื่อจะมาชำระล้างให้จิตมันสะอาดให้ได้ แต่นี้จิตที่มันจะออกไปทำงานที่มันจะชำระล้างให้สะอาดได้ ดูเราทำงานสิ ถ้าเราสดชื่น เราไปทำงานที่เราไม่เคยทำนี่ เราจะฝึกงานได้ถูกต้องไหม ถ้าเป็นวิชาชีพของเรานี่เราจะทำได้คล่องแคล่วมาก

จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา แล้วมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันยังพิจารณาไม่ได้หมายถึงว่า มันเริ่มฝึกหัดงาน มันยังทำไม่ได้ มันยังออกรู้ไม่ได้ เราก็ใช้พิจารณากายได้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ส่วนประกอบของร่างกายที่จิตใจมันเกี่ยวข้อง มันรับรู้ พิจารณามันบ่อย ๆ การพิจารณาบ่อย ๆ ขึ้นมา มันปล่อยวางเข้ามาเพราะจิตของเรายังไม่มั่นคง มันก็เป็นสมถะวันยังค่ำ

คำว่าสมถะมันพิจารณาแล้วมันเกี่ยวข้อง จิตมันเป็นโลก คำว่าจิตเป็นโลก มันเกี่ยวข้องกันโดยความคิดหยาบ ๆ เราอาศัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ธรรมจักรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เคลื่อนไปแล้ว ที่หมุนไปแล้วกลับคืนไม่ได้ นั่นมันเกิดจากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ในการพิจารณากายเห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ บอกให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สาวก สาวกะ

สาวก สาวกะ อำนาจวาสนาบารมีเห็นไหม มันไม่เหมือนกัน กำลังพละของจิตมันไม่เหมือนกัน เราพิจารณากายของเราเข้าไป ก็เพื่อสร้างสมตรงนี้ไง พละของจิต ภาวะที่มันจะรองรับอริยภูมิ จิตที่จะรองรับอริยภูมิ แล้วอริยภูมิมันมาจากไหน ถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันใช่ไหม มันพิจารณาของมันเข้ามา มันพิจารณาของมัน มันก็เป็นสมถะ คือมันจะสร้างสถานะที่จะรองรับอันนี้ มันถึงไม่ใช่การพิจารณากาย ถ้าพิจารณาอย่างนั้น มันปล่อยวางเข้ามาขนาดนี้ เพราะวุฒิภาวะ เพราะจิตมันไม่มีกำลังของมัน พอพิจารณากายเข้ามามันปล่อยวางเข้ามา ก็ว่าเป็นวิปัสสนา มันไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เพราะอะไร มันไม่ใช่เพราะว่ามันยังไม่ถึง

เรารักษาโรค เราให้ยา แล้วยามันยังไม่เข้าไปถึง เข้าไปในร่างกายที่เราต้องการให้เข้าไปรักษาโรค แต่ยามันอยู่นอกร่างกาย ยามันอยู่นอกจิต ยามันอยู่ที่ความคิด นี่ไง คำว่าพิจารณากาย ต้องให้จิตมันสงบเข้ามา แล้วพอมันเห็นกายของมันตามความเป็นจริงนะ การพิจารณากาย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จิตมันสงบเข้ามา มันจับต้องเข้ามาให้ได้ มันเห็นของมัน จับต้องได้ มันจะตื่นเต้นของมันมาก ความตื่นเต้น เห็นไหม จิตเห็นจิตพิจารณากาย จิตที่มันยังไม่สงบมันมีกิเลส มันมีความบวกของเรา เราพิจารณากายขนาดไหน คำว่าพิจารณากายเหมือนเราไปเที่ยวป่าช้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้พระ สอนให้นักปฏิบัติไปเที่ยวป่าช้า คำว่า ไปเที่ยวป่าช้า ไปดูซากศพ คือไปพิจารณาซากศพ ตั้งแต่เข้าไปพิจารณาใหม่ๆ ภิกษุ ถ้าซากศพที่ตายใหม่ไม่ควรไปพิจารณา ให้พิจารณาซากศพที่เน่าที่ผุพัง ซากศพที่มันแห้งก่อน แล้วฝึกขึ้นมาจนเห็นซากศพที่เขียว ที่ต่าง ๆ เห็นไหม จนชำนาญแล้วถึงไปพิจารณาซากศพที่ตายใหม่ ถ้าเราไปพิจารณาซากศพที่ตายใหม่เห็นไหม คนตายใหม่มันก็เหมือนคนมีชีวิต มันจะพิจารณาเพื่อเป็นอสุภะ มันก็จะเป็นสุภะให้เรามีอารมณ์ความรู้สึก ไปกับสิ่งสภาวะนั้น เพราะจิตมันยังไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เห็นไหม

ในวิสุทธิมรรค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไปเห็นกาย ไปเห็นซากศพแล้วมันจะเป็นการพิจารณากาย เป็นไปไม่ได้ ถ้าจิตเรายังไม่สงบ จิตต้องให้มันมีหลักเกณฑ์ของมัน มีความสงบของมันใช่ไหม เพราะการเห็นกาย มันต้องจิตเห็น พอจิตเห็นถึงจะเป็นการพิจารณากาย พอจิตมันสงบเข้ามา พิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากภายนอก การพิจารณาแบบวิทยาศาสตร์ การพิจารณาแบบความคิด พิจารณาโดยปัญญาอย่างนั้น มันสรุปแล้วจิตมันจะปล่อยวาง สงบเข้ามาเท่านั้น ปล่อยวางเท่านั้น พอปล่อยวางแล้ว ความหนักแน่นของจิตที่มันมีกำลัง มันมีสมาธิ มันยังทำงานไม่ได้ มันยังใช้งานไม่ได้ เราถึงต้องพิจารณากายซ้ำเข้าไป พอความรู้สึกมันปล่อยเข้ามา พอจิตมันหนักแน่น จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะเป็นสัมมาสมาธิที่มีกำลัง พอมีกำลัง ถ้าจิตมันน้อมไป ออกไปหากาย ถ้ามันไม่เห็นกายก็ต้องรำพึงขึ้นมา

คำว่ารำพึงนะ เขาบอกว่าสมาธิคิดไม่ได้ ใครไม่เคยทำสมาธิ ถ้าสมาธิคิดไม่ได้ แล้วทำไมถึงมี ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดสมาธิแล้ว มันเกิดปัญญาอย่างไร ถ้าสมาธิเกิดขึ้นมา เพราะตัวจิตของมันมีหลักมีเกณฑ์ มีสมาธิแล้ว มันรำพึงขึ้นไป คิด คิดในสมาธิรำพึง การรำพึง การตั้งสติ ให้มันรำพึงออกไปดูกาย ถ้าไปดูกาย มันไปเห็นกายเห็นไหม เห็นกายเป็นสภาพขึ้นมาเลย เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เห็นสภาพกายนี่มันสะเทือนหัวใจมาก เพราะสิ่งนี้มันยังไม่มีใครเคยเห็นไง ที่ว่าพิจารณา พิจารณากันนั้น มันขี้โม้ มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา คนเราถ้าเห็นกาย พิจารณากายแล้วมันขึ้นมา มันสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจคือสะเทือนกิเลสไง ถ้ามันสะเทือนกิเลสเห็นไหมมันเริ่มเขย่ากิเลสใช่ไหม แล้วเขย่ากิเลส พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาไปถามครูบาอาจารย์ พิจารณาอย่างนี้ถูกไหม ถูก แต่ยังไม่ถึงที่สิ้นสุดในกระบวนการของมัน ถ้ายังไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน ก็พิจารณาซ้ำเข้าไป พอพิจารณาไปภาพที่เห็นมันหลากหลาย

สิ่งที่เห็นตอนพิจารณากาย จิตเห็นกาย เห็นเป็นกระดูก เห็นเป็นสิ่งต่างๆ เห็นไหม มันย่อส่วน ขยายส่วน ย่อส่วน ขยายส่วน มันผุ มันผุพัง มันย่อยสลายมันเป็นอย่างไรไป เห็นไหม แต่ขณะที่เราพิจารณาโดยวิทยาศาสตร์ โดยทางวิชาการทางโลก เห็นไหม ที่เขาไปศึกษาอาจารย์ใหญ่กัน มันก็อยู่อย่างนั้น มันไม่เน่าไม่เปื่อยเพราะอะไร เพราะเขาดองยาไว้ แล้วมันก็ผ่าแล้วผ่าเล่าเพื่อการฝึกฝนเห็นไหม มันไม่แปรสภาพ

แต่ถ้าจิตมันสงบนะ ถ้ามันเห็นกายนะ เวลาวิภาคะ ซากศพนี้เห็นแล้วให้มันอืด ให้มันพองขึ้นมา มันขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันเป็นเดี๋ยวนั้น มันย่อยสลายไปเดี๋ยวนั้น มันเห็นเดี๋ยวนั้น นี่การพิจารณากาย มันเห็นชัดเจนของมัน มันย่อยสลายเลย ให้ผุให้พองไปเลย ให้มันแปรสภาพ ให้มันเน่า ให้มันเปื่อย มันเยิ้ม มันเห็นจนมันสลดใจนะ มันเห็นกันปัจจุบันเดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วมันสลัดคืนเดี๋ยวนั้น เดี๋ยวนั้น จะสลัดคืนขนาดไหน ถ้ามันยังไม่ที่สุดสังโยชน์ไม่ขาด มันยังต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกฝนจนชำนาญการของมันเห็นไหม

การพิจารณากายที่มันเห็นกายตามความเป็นจริง ไม่ใช่เห็น แบบการเห็นที่จิตมันเห็นกาย โดยเห็นด้วยอำนาจวาสนาบารมี ถ้าเห็นด้วยอำนาจวาสนาบารมี คือมันเป็น ปัจจุบันธรรมเหมือนกัน ถ้าพิจารณากายมันเป็นปัจจุบัน จิตมันสงบแล้ว มันเห็นแล้ว มันแปรสภาพของมันแล้ว มันถึงจะเห็นโดยสะเทือนหัวใจ แต่เวลามันเป็นธรรม มันเป็นธรรมหมายถึงว่าไม่มีสติ สติที่ควบคุมไม่มี

ถ้าสติที่ควบคุมไม่มีแล้วมันเป็นสมาธิได้อย่างไร มันก็มีสมาธิของมัน เพราะมันมีอำนาจวาสนาบารมีของมัน มันมาเองเหมือนฟ้าแลบ เหมือนฟ้าแลบฟ้าผ่ามันมาจากไหน มันก็มาจากแรงเสียดสีของก้อนเมฆใช่ไหม ฟ้าแลบฟ้าผ่ามันเป็นธรรมชาติของมัน จิตก็เหมือนกัน ขณะที่บารมีมันมาเหมือนฟ้าแลบฟ้าผ่ามา เราควบคุมได้ไหม เราควบคุมไม่ได้ พอมันควบคุมไม่ได้ พอมันเห็นกายอย่างนั้นปั๊บ มันก็เกิดความลังเล เห็นอยู่มีความรู้สึกอยู่ ฟ้าแลบมันไม่มีเหรอ ทำไมฟ้าแลบมันมีพลังงานของมันล่ะ มันมีของมันแน่นอนอยู่แล้ว จิตเห็นกายด้วยอำนาจวาสนาบารมี มันก็มีของมัน มันก็เห็นของมันจริงๆ แต่มันควบคุมหรือใช้ประโยชน์ไม่ได้

แต่พลังงานนี่ ดูสิ ฟ้าแลบฟ้าผ่ามันเป็นพลังงานที่เราควบคุมไม่ได้ ดูแสงแดดสิ เราจะเอาแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ นี่ก็เหมือนกันเราคิดค้นพวกเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขึ้นมา แล้วให้กำเนิดไฟฟ้าขึ้นมา ไฟฟ้านี่ เราวางสื่อออกไป เครือข่ายของมัน แล้วเอาไฟฟ้านั้นมาใช้ประโยชน์เห็นไหม จิตที่สงบแล้วมันเหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้น มันเอาไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์ต่างๆได้หมดเลย มันเห็น มันควบคุมการเห็น ควบคุมการกระทำ มันต้องควบคุมได้ ควบคุมการกระทำ ควบคุมความเป็นไป

อริยมรรคมันจะหมุนไป ธรรมจักรมันหมุนหมุน พิจารณารอบหนึ่งปล่อยวางหนหนึ่ง พิจารณารอบหนึ่งปล่อยวางหนหนึ่ง การพิจารณากายถึงที่สุดแล้วพอมันขาดเห็นไหม กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายกับจิตนี้แยกออกจากกัน ทุกข์ส่วนใหญ่แยกออกไปแล้ว จิตนี้มันรวมลงเห็นไหม ดูความมหัศจรรย์สิ การพิจารณากายนี้ ความมหัศจรรย์ของมันคือผลที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาได้อย่างไร จิตที่มันคลุกอยู่กับกิเลสโทสะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มันปกคลุมใจอยู่

ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ ไม่มีใครกระทำให้เราได้ แต่พอเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธาความเชื่อ เรามีความมุมานะ เรามีการกระทำ เรามีการปฏิบัติขึ้นมาด้วยความเพียรชอบ การกระทำของจิต จิตมันออกการทำงานของมัน ไม่ได้ทำจากสมองไม่ได้ทำจากสัญญา ไม่ได้ทำจากสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทำจากจิตเห็นไหม พอจิตมันทำ จิตมันสงบขึ้นมา แล้วจิตมันออกวิปัสสนา มันจับต้องกายได้ เห็นตามความเป็นจริง แล้วมันวิปัสสนา มันปล่อยวางของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป จนถึงที่สุดมันสลัดขาดเลย นี่ผลที่เกิดขึ้นมา สันทิฏฐิโก เป็นความเห็นจริง มันเกิดขึ้นมาจากใจนี้ มันไม่ต้องบอกใครนะ เป็นพระโสดาบัน มันมีการกระทำขึ้นมา กว่าจะเป็นพระโสดาบันขึ้นมา มันมีการลงทุนลงแรง มันมีการกระทำอย่างนี้ แล้วบอกว่าพระโสดาบัน เวลาเป็นพระอริยบุคคลแต่ละขั้นต้องรู้ไหม ต้องเห็นไหม ถ้าไม่รู้ไม่เห็นมันเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้หรอก

การทำสมาธิ มันยังมีหลักมีเกณฑ์ทำของมันได้ เห็นไหม จนจิตสงบเข้ามาทำต่อไป พอทำต่อไปจิตมันจะเห็นกาย เหมือนจิตเห็นกายอีก แต่มันคนละชั้นกัน การเห็นกายนี่ไม่ใช่เห็นกายแล้วมันเป็นชั้นเดียวกันนะ การเห็นกายครั้งแรกนี้ มันเห็นกายเป็นสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด แล้วมันพิจารณาของมัน แยกแยะของมันจนถึงที่สุดมันสลัด สมุจเฉท ทำลายขาดหมด พอทำลายขาดหมด จิตก็เริ่มต้นพิจารณาให้มันสงบเข้ามาอีก ความสงบเข้ามานี้ มันพิสูจน์มาจากการกระทำอันนั้นแล้ว

การกระทำจากขั้นต้นแล้ว พอขั้นต้นแล้วมันก็ทำจิตให้สงบเข้ามา แล้วน้อมไปดูกายอีก น้อมไปดูกายมันก็เห็นกายอีก พอเห็นกายอีกเราก็พิจารณาวิปัสสนาไปเห็นไหม วิปัสสนาซ้ำไปอีกด้วยกำลังของเรา ด้วยกำลังของเรานะ ถ้าไม่ด้วยกำลังของเรา เราพิจารณาไป บางทีกิเลสมันสอดแทรกเข้ามา กิเลสสอดแทรกเข้ามามันก็วิปัสสนาไป พอจะเริ่มวิปัสสนาไป มันเป็นเทียบข้อมูล เทียบข้อมูล การเปรียบเทียบข้อมูลมันเป็นอดีต อนาคตนี่ มันไปแล้วมันจะละล้าละลัง พิจารณาไปแล้วมันไม่สมเหตุสมผล มันจะไม่มีผล นี่ไงการกระทำที่มีอุปสรรค มันมีอุปสรรคอย่างนี้

แต่มีครูบาอาจารย์คอยบอกว่า ถ้ามันไปไม่รอดต้องกลับมาที่ความสงบของใจ เห็นไหมโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค มันคนละเรื่องกัน ความลึกซึ้งของจิต ความลึก ความตื้น การเห็นแตกต่างกัน ถ้ามันลึกลงไป มันลึกลงไป มันพิจารณากาย กายเหมือนกัน พิจารณากายเหมือนกัน แต่มันคนละระดับกัน พอจิตมันสงบเข้าไป ย้อนไปที่กาย จับที่กายขึ้นมา พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพิจารณาแล้วจิตมันมีกิเลสบวกเข้ามา การวิปัสสนาการเห็นนั้นมันจะคลาดเคลื่อน มันไม่เป็นปัจจุบัน มันมีอดีตอนาคตเข้ามา ทำให้ภาพนี้คลาดเคลื่อน

ความคลาดเคลื่อนมันเหมือนกับเป้าลวง ถ้าเป้าลวง แล้วเราพยายามต่อสู้กับเป้าที่เป็นเป้าลวง มันจะไม่ได้ผลกับจิตนั้น มันทำแล้วมันมีความประดักประเดิด มันไปไม่ได้ นี่ไงยิ่งทำแล้วมันก็ยิ่งละล้าละลังเพราะเราทำไม่เป็น เรายังไม่เข้าใจถึงระดับความลึกของมัน เราไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคอยบอก คอยชี้คอยแนะ คอยชี้คอยแนะเห็นไหม สิ่งที่เห็นเห็นจริงไหม “จริง” แต่การปฏิบัติเป็นความจริงไหม “ไม่จริง” ไม่จริงเพราะเหตุใด ไม่จริงเพราะว่ามีกิเลสบวก มีความเคยใจบวกเข้ามา

เราต้องทำความสงบของใจเข้ามาอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วออกไปจับ ออกพิจารณาของมัน เห็นจริงเห็นไหม พอเห็นของมัน พยายามพิจารณาของเขา แยกของเขาออกไป มันจะคืนสู่สภาพของเขา ถ้ามันจะทำลายอย่างไร มันจะปล่อย มันจะมีพลังงานอะไร มันจะมีความแยกแยะอย่างไร ให้มันเป็นตามความเป็นจริง เราไม่มีหน้าที่จะควบคุมให้สิ่งที่มันเป็นไป ให้มันพอใจของเราได้ เราจะไม่มีหน้าที่ทำให้มันเป็นสมอย่างที่เราคาดเราหมาย เรามีการศึกษามานะ มันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้น พิจารณากายแล้วมันจะเป็นอย่างนั้น แจ้ว ๆๆ เลยล่ะ สภาวะปัจจุบัน มันเป็นคำพูดทั้งนั้นแหละ ไม่เป็นความจริงสักอย่างหนึ่ง

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ พอพิจารณาไป มันปล่อยมันว่าง มันมีความสุข ความสุขนะ คนเราทุกข์มาก คนเรามีศรปักเสียบอยู่ในหัวใจ แล้วเราดึงออก ดึงออก มันจะมีความสุขขนาดไหน มันมีความสุขเพราะมันปล่อยวาง มันโล่งของมันเห็นไหม ถึงที่สุดมันปล่อยวางมันขาดนะ กายกับจิตแยกออกจากกันเป็นธรรมชาติเลย โลกนี้ราบหมดเลย ! โลกนี้ราบ ! ราบเป็นหน้ากลองเลย มันถอนหมดกามราคะ ปฏิฆะ อ่อนลงมันคืนสู่สภาพเดิมของเขา ติดนะ ติดว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน เห็นไหม

แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเห็นไหม พอจิตมันสงบเข้าไป ต้องเป็นมหาสติแล้ว เพราะอะไร เพราะมันละเอียดเข้าไปเห็นไหม พอละเอียดเข้าไปนี่ ถ้าออกรู้กาย พิจารณากายมาแล้ว ทำไมพิจารณากายอีกล่ะ พิจารณากายมาแล้ว มันต้องหมดสิ้นกระบวนการของกาย แล้วทำไมมันยังมีกายอีก กายนอก กายใน กายในกายไง ที่เขาบอกว่ากรรมฐานนี้มีแต่โวหาร พูดแต่กายนอก กายใน กายในกาย กายก็มีกายอย่างเดียว วิทยาศาสตร์ไง แล้วก็บอกว่าพระกรรมฐานพูดไม่เหมือนพระไตรปิฎกเลย พูดไม่เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้หลากหลายมาก พูดไว้หลากหลาย สอนไว้หลากหลาย แล้วแต่จะว่าจะสอนใคร คนภาวนาแล้วได้มากน้อยขนาดไหน ขิปปาภิญญา ทำไมพูดกับพาหิยะพูดแค่ทีเดียว เทศนาว่าการทีเดียว เธอจงมองว่าสักแต่ว่ามองเห็นสักแต่ว่าทุกอย่าง สักแต่ว่าไม่มีอะไรเป็นของเธอเลย ผลัวะ! เป็นพระอรหันต์เลย เพราะพันธุกรรมทางจิตของเขา เขาสร้างของเขามามหาศาล แต่โดยกระบวนการ การประพฤติปฏิบัติ มรรค ๔ ผล ๔ มันต้องเป็นตามกระบวนของมัน มันต้องทำตามระยะของมัน

แล้วเรานี้เป็นสาวกสาวกะเห็นไหม สาวกสาวกะ หมายถึงว่า อำนาจวาสนาบารมีของเราไม่ได้สร้างมามากมายขนาดนั้น ถ้าไม่ได้สร้างมามากมายขนาดนั้น เรามาพบพุทธศาสนา เรามีโอกาสอยู่ มีศรัทธา มีความเชื่อ มีธรรมะ มีครูบาอาจารย์ มีคนคอยกระตุ้นเรา แล้วถ้าเรากระเสือกกระสนไป แล้วมันเป็นไป นี่ไงบัว ๔ เหล่า เห็นไหม เวไนยสัตว์ ที่จะต้องต่อสู้ แล้วเราต่อสู้กันไป ถ้ามันทำมาขนาดที่ว่า กายกับจิตแยกออกจากกันเป็นธรรมชาติแล้ว โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง เราก็ติดว่าเป็นนิพพาน เราไปเข้าใจว่านี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ มันก็ติดอยู่แค่นั้น

แต่จริงๆ แล้วทุกข์ในหัวใจมหาศาลเลย ถ้ามีสติมีปัญญานะ แต่กิเลสมันรู้อยู่ ถ้าปฏิบัติไปมันจะฆ่ามันเห็นไหม มันก็พยายามหลบหลีกไม่แสดงตัว แล้วให้เราว่างๆๆๆ อยู่อย่างนั้น มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเห็นไหม ให้ย้อนกลับมา กลับมาทำความสงบของใจ มันจะเป็นมหาสติ มหาสติแล้วออกหาออกรู้นะ พอมันไปจับกายอันนี้ได้ มันจะเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะเห็นไหม พอมันเป็นอสุภะ เพราะจิตมันละเอียดอ่อนมาก ความว่าเป็นอสุภะ เพราะมันเป็นกามราคะ มันเป็นโอฆะ สิ่งที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ

เวลาเราบอกว่า เราไม่อยากเกิดไม่อยากตายอีกแล้ว เรากะว่าจะเกิดจะตายชาตินี้ก็พอ ชาตินี้ตายแล้วจะไม่เกิดอีกเลย เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมันมีการเกิดก็ต้องมีการตาย ในเมื่อเรายังไม่ดับโอฆะ ดับอวิชชาในชาตินี้ แล้วมันมีเหตุ มันยังมีสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนไป แล้วมันจะไม่เกิดได้อย่างไร โอฆะ สิ่งที่เป็นโอฆะ จิตมันเป็นของมันใช่ไหม พอจิตมันเป็น พอจิตมันเห็น มันจับกายได้กายก็เป็นอสุภะ ถ้ากายเป็นอสุภะ ถ้ามีมหาสติมหาปัญญา มันจับได้เป็นอสุภะแล้วมันแยกส่วนนะ มันจะทำให้สะเทือนหัวใจมาก มันยิ่งสะเทือนหัวใจ พอสะเทือนหัวใจมันก็ยิ่งสลัด พอสลัดปั๊บมันก็ว่า นี่ขาดแล้ว ขาดแล้ว มันจะมีเล่ห์มีเหลี่ยม มีสิ่งต่างๆ เข้ามาแยก เข้ามาต่อสู้เข้ามาทำให้บิดเบือน ให้เราหลงผิด ให้เราหัวปั่น

ในการปฏิบัติระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันในหัวใจของเรา แล้วเรายังปฏิบัติอยู่ มันจะมีความที่ทำให้เราผิดพลาดมากมายมหาศาลเลย แล้วมันเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึก เป็นการสร้างภาพ เป็นความเห็น เพราะขณะที่ปฏิบัติอยู่ จิตใจของเรายังถึงไม่ถึงที่สุด เราก็คิดว่าเราเห็นตามธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งที่รู้สิ่งที่เห็นเป็นธรรมหมดเลย เพราะมันมีความสุขมาก ความสุขที่ละเอียดอ่อนกว่า ละเอียดอ่อนกว่าความสุข ในสกิทาคาผลด้วย มันละเอียดอ่อนกว่าเพราะเวลาจิตกับกายแยกออกจากกัน มันว่างหมดเลย จิตกับกายแยกออกจากกันก็ออกไปอยู่สภาพเดิมของเขาเท่านั้น

สภาพเดิมของเขา คือจิตกับกายมันแยกออกจากกัน เพราะสังโยชน์มันขาด กามราคะปฏิฆะอ่อนลง มันแยกออกจากกัน แต่พอเราพิจารณาไป ความสุขอันนี้ สิ่งที่มันมีค่ามีความรู้สึกที่สุขกว่า พอสุขกว่ามันก็บอกว่า นี่ไง นี่ไง อนาคาไง นี่ไง อนาคาไง มันก็เชื่อมันก็ติดไปอยู่พักใหญ่เลย แล้วย้อนกลับมาพิจารณาซ้ำๆๆๆๆๆ มันจะเป็นสภาวะแบบใด จนถึงที่สุดนะพอพิจารณาไปแล้วมันปล่อยปล่อย คำว่าซ้ำนี่ มันต้องขยันหมั่นเพียรนะ

คำว่าซ้ำของเรานี่ ดูเราสับเนื้อสับอะไร พอมันละเอียดแล้วมันจะซ้ำไปทำไมอีกล่ะ ก็มันสับไม่ได้อีกแล้วล่ะ นี่มันเป็นวัตถุ แต่ถ้าเป็นจิตนะ เวลาซ้ำเข้าไป พอมันปล่อยวางขนาดไหน มันก็ยังเป็นนามธรรมที่จับต้องได้ มันก็เหมือนกับขึ้นรูปมา เหมือนกับดูสิ ดูจิตมันตกนรกอเวจีนี่ มันโดนไฟนรก ไฟกรรม มันเผาแหลกลาญจนตายหมดเลย แล้วมันก็ขึ้นมาเป็นรูปร่างใหม่ เพราะมันเป็นนามธรรม จิตความรู้สึกของเรานี้ เห็นไหม เราเสียใจทุกข์ใจขนาดไหน เราลืมไปแล้วเดี๋ยวคิดใหม่มันก็ทุกข์อีก นามธรรมมันเป็นสภาวะแบบนั้น

คำว่าซ้ำ ซ้ำ มันปล่อยวาง มันปล่อยวาง มันปล่อยไปแล้ว ปล่อยไปแล้วนี่ สิ่งที่มันรวมลงขนาดไหน มันเกิดขึ้นมาอีกก็จับมันอีก ซ้ำมันอีก ซ้ำมันอีก ซ้ำจนถึงที่สุดเห็นไหม ครืน! ในหัวใจเลยนะ พิจารณาซ้ำเข้าไปอีก ซ้ำเข้าไปอีก มันก็เป็นสิ่งที่เป็นเศษส่วน เศษที่เหลือ อนาคา ๕ ชั้น พิจารณาซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไปจนถึงที่สุดเลย ว่างหมด ปล่อยหมด ว่างหมด ปล่อยหมด ถึงที่สุดไล่เข้าไปถึงตัวจิตเลย ไล่เข้าไปถึงตัวจิตเห็นไหม จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส

แล้วพิจารณากายมันกลายเป็นจิตได้อย่างไร มันเป็นจิตนามธรรม กายเป็นจิต สิ่งที่จิตนี้ละเอียด กายเป็นละเอียด จับต้องจิตที่มันเป็นจุดที่เริ่มต้นของการเกิดและการตาย พิจารณาถึงที่สุดตรงนั้น ตรงถึงที่สุดตรงนั้นเห็นไหม ถึงที่สุดแล้วมันจะละเอียดเข้าไปนะ เป็นสิ่งที่เป็นมหาสติ มหาปัญญา มันจะเป็นปัญญาอัตโนมัติที่เข้าไปที่ขยับไม่ได้เลย แล้วทำลายตรงนั้น ทำลายให้มันสิ้นสุดสิ้นไป นี่การพิจารณากาย การพิจารณากายโดยความเป็นจริง มันต้องมีจิต มันต้องมีสมาธิ มันต้องมีปัญญาใคร่ครวญพิจารณากาย ไม่ใช่เราคิดพิจาณากายแบบปัญญา

แล้วถ้าเป็นปัญญาวิมุตติพิจารณากายล่ะ ปัญญาวิมุตติเห็นไหม เวลาพิจารณากายโดยไม่เห็นภาพ ถ้าการพิจารณากายโดยไม่เห็นภาพ ถ้าการพิจารณากายโดยโลก โดยวิทยาศาสตร์ที่เราไม่เห็นภาพ เราคิดว่าการพิจารณากายที่มันปล่อยวาง แต่ถ้าการพิจารณากาย พิจารณากายโดยปัญญาวิมุตติ ถ้ามันเห็นภาพ มันเป็นเจโตวิมุตติเพราะจิตมันสงบ พอจิตมันสงบมันพิจารณากายมันเห็นกายขึ้นมา แต่ถ้าจิตที่มันเป็นปัญญา มันก็พิจารณากายโดยเปรียบเทียบไง เปรียบเทียบว่า ทุกข์นี้ ทุกข์เพราะมีกาย ทุกข์เพราะมีเรา เพราะมีสรรพสิ่งเห็นไหม ปัญญามันไล่เข้ามา ไล่ความคิดเข้ามาเพราะความคิดมันยึดติด ใช่ไหม โดยธรรมชาติเห็นไหมว่านี่กายกับจิตนี้มันไม่ใช่อันเดียวกัน มันเป็น! มันเป็นโดยกรรม มันเป็นโดยบุญกุศลเพราะเราเกิดมา กายกับจิตมันเป็นมา จิตเรานี่มันโดนครอบงำโดยกายนี้ ตั้งแต่เกิดมาจนชีวิตเรา มันต้องทนทุกข์ทรมานไปกับชีวิต ชีวิต หนึ่ง ถ้ามันเป็นทุกข์นะ แต่ถ้าเกิดมาชีวิตหนึ่งแล้ว ชีวิตนี้จะทำคุณงามความดี เอากายกับจิตนี้มาเพื่อวิปัสสนา เอากายกับจิตนี้มาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะเอาจิตนี้พ้นออกจากกิเลสให้ได้

ถ้าจะพ้นจากกิเลสเห็นไหม ถ้าเราพิจารณากายโดยปัญญา เห็นไหม เราไล่ตามความคิดนั้นไป ความคิดที่มันยึดติดของมัน ไล่ตามความคิด ความคิดนี้ไปติดกายเพราะเหตุใด กายมันก็คือกายของมัน กายก็เป็นวัตถุอันหนึ่งใช่ไหม กายก็เป็นสสารอันหนึ่งที่มันต้องเจริญงอกงามกันไปตามธรรมชาติของมัน เด็กที่เกิดออกมาแล้ว มันมีเซลล์ต่างๆ มันได้รับอาหารเข้าไป มันก็พัฒนาของมันเข้าไปทั้งนั้น มันต้องเป็นเด็กอ่อน แล้วมันก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา แล้วถ้ามันไม่ดำรงต่อไป มันก็ต้องตายเป็นธรรมดา

แต่ถ้าเป็นทางโลก เห็นไหมเพราะเราเกิดมาแล้วมีการศึกษา มีความเข้าใจแล้วจิตมันก็มีพัฒนาการของมันไป มันก็เป็นเรื่องโลกไป แต่ถ้าเราคิดของเราเป็นธรรม จิต สมาธิ ความคิดมันจะไล่เข้ามา นี่ไงมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ จนมันปล่อย ปล่อย ปล่อย ปล่อย มันปล่อยความคิดไง พอปล่อยความคิดมันเป็นอิสรภาพ มันมีจริงของมัน จิตกับกายนี้มันเกี่ยวเนื่องกันมาโดยอำนาจวาสนา โดยความเกิด โดยสมมุติ จริงตามสมมุติ มันความเป็นจริงอันหนึ่ง

แต่ถ้าเราไปคิด ไปใช้ปัญญาโดยเป็นสูตรสำเร็จว่า จิตกับกายนี้มันแยกออกจากกันแล้วไม่ใช่อันเดียวกัน มันเกิดมาแล้วเดี๋ยวมันตายก็แยกจากกัน มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันเป็นโดยกรรม มันแยกกันไม่ได้ มันแยกกันไม่ได้หรอก ถ้ามันแยกได้เห็นไหม ดูคนเฒ่าคนแก่สิ ทำไมโอดโอยล่ะ คนเฒ่าคนแก่ก็เจ็บปวดร่างกาย มันปวดเมื่อยไปหมด มันมีความเจ็บปวด เห็นไหม ความเจ็บปวด ความรับรู้เพราะมันเจ็บปวดมันรับรู้เพราะมีจิต เพราะมีจิต ไม่มีจิตไม่มีวิญญาณรับรู้มันเจ็บปวดไม่ได้ ร่างกายเจ็บปวดไม่ได้ แล้วร่างกายเจ็บปวดไม่ได้ แล้วร่างกายมันใช้สอยไป มันครอบงำจิตไว้ มันถึงเป็นจริงตามสมมุติไง

ถ้าจริงตามสมมุติแล้ว สิ่งที่เราบอกว่ากายกับจิตไม่ใช่อันเดียวกันต่างๆ เราคิดเอง เราเออเอง มันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเรา เพราะเรายังไม่ได้ฝึกจิตของเราเลย ถ้าเราฝึกจิตของเราเห็นไหมจิตของเรามันก็พิจารณาของมันเข้าไป พอพิจารณาเข้าไป มันเห็น มันเข้าใจถึงความคิดที่ไปยึดเหนี่ยวของมันเอง นี่ไง รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เพราะว่าเราไปยึดติดของมัน ใช่ไหม พอปัญญามันไล่เข้ามามันก็ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา พอปล่อยวาง

ปล่อยวาง หมายถึงว่า ปล่อยวางความคิดเรื่องของกายไง ปล่อยวางความคิดเรื่องของกาย จิตมันก็หดตัวเข้ามาเป็นตัวของมันเองเห็นไหม แล้วเราออกพิจารณา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาจนมันตัดขาด ตัดขาดกับสิ่งที่ว่ากายกับใจไม่ใช่อันเดียวกัน ที่มันหลงผิด มันตัดขาดของมันขึ้นมา พอตัดขาดของมันขึ้นมา มันก็มาเป็นอิสรภาพของตัวมันเอง พอมีอิสรภาพของตัวมันเอง มันออกไปพิจารณากายโดยปัญญา มันต่างกัน อารมณ์ความรู้สึก กับสิ่งที่เราพิจารณาเข้ามาจนจิตสงบ มันก็เป็นสมถะนั่นล่ะ

แต่พอจิตมันสงบแล้ว มันออกไปรับรู้ มันเป็นความคิดที่มันจับต้อง ความคิดที่มันไปเกี่ยวเนื่องกับกาย มันจับต้องเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการกับหลานพระสารีบุตรที่เขาคิชฌกูฏ เห็นไหม ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง อารมณ์ความคิดของกาย มันก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง วัตถุอันหนึ่งคืออะไร คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วัตถุอันหนึ่งคือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ที่มายึดติดกับกายนั่น

เพราะขันธ์ ๕ คือจิต จิตเราโดนครอบงำโดยกาย เราเกิดมาเป็นมนุษย์เรามีกายกับจิต พอกายกับจิต จิตมันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันเป็นสัญชาตญาณของมัน มันเป็นรูป ความรู้สึก ความนึกคิด คือคลื่นความคิด เพราะคลื่นความคิด มันมีของมัน ถ้าเราตั้งสติของเราเห็นไหม สติของเรา เราทันความคิดของเรา ทันคลื่นความคิดอันนี้ พอคลื่นความคิดมันหยุดเข้ามา หยุดเข้ามาเห็นไหม แต่ธรรมชาติของมัน มันต้องออกรับรู้ ธรรมชาติของมันออกรับรู้เห็นไหม แต่รับรู้โดยธรรมชาติหรือรับรู้โดยสัญชาตญาณ

แต่ขณะที่เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราไล่เข้ามาแล้ว มันหดตัวเข้ามาเป็นธรรมชาติของมัน หดตัวเข้ามาเป็นธรรมชาติของมัน แต่หดตัวเข้ามาหดตัวด้วยอะไร หดตัวด้วยสติ หดตัวด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หดตัวด้วยธรรมของเราที่เราฝึกฝนขึ้นมาจนเป็นความจริงของเขา แต่เวลามันออกรู้เพราะคลื่นความรู้สึกความคิด เรื่องนามธรรมเรื่องจิตที่มันอยู่ในร่างกายนี้ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เพราะสติเราตามทัน มันเห็นกระทบเห็นไหม

มันเห็นการกระทบนี่คือจิตเห็นอาการของจิต เห็นอาการของจิตคือ เห็นคลื่นความคิดที่มันไปยึดมันรับรู้เรื่องของกาย รับรู้เพราะมีสังโยชน์บังคับไว้ พอตัวสติเราทัน สมาธิเราทันเห็นไหม เราเห็นจิต จิตมันหดสั้น สั้นเข้ามา จิตมันหดสั้นเข้ามาแล้วพอออกกระทบเห็นไหม ออกรับรู้ถึงคลื่น คลื่นคือพลังงานที่ออกไปรับรู้ข้อมูล รับรู้ในรูป ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในสิ่งที่เป็นวัตถุนั้นมันกระทบกันเห็นไหม เราก็ใช้ปัญญาใคร่ครวญเห็นไหม ใคร่ครวญว่ามันไปยึดติดในกาย กายนี้เกิดมาก็ต้องแก่เฒ่า

ความคิดเหมือนกัน ความคิดที่เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ก็คิดอย่างนี้แหละ แต่เพราะจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ จิตมันไม่มีพื้นฐาน นี่ไง ก็คิดแบบวิทยาศาสตร์ไง ที่พิจารณากายๆกันแล้วเข้าใจหมดเลย เข้าใจกายปล่อยกายๆ มันคิดโดยจิตที่ยังไม่สงบ จิตที่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ มันคิดไปโดยวิทยาศาสตร์ คิดแบบโลก โลกเพราะอะไร โลกเพราะจิตมันไม่สงบ จิตมันเป็นโลก จิตเป็นโลกเพราะจิตไม่มีพื้นฐานเป็นสมาธิ

ถ้าจิตมันมีพื้นฐานเป็นสมาธิ จิตที่มันพิจารณาปัญญาอบรมสมาธิ จนปล่อยวางเข้ามาแล้ว มันพิจารณาเพราะจิตมันเป็นธรรม จิตเป็นธรรมเพราะจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิเป็นสากลที่มันมีสมาธิของมันเห็นไหม มันออกไปใช้ปัญญาของมัน

นี่ไงการพิจารณากายโดยเจโตวิมุตติ กับ การพิจารณากายโดยปัญญาวิมุตติ ถ้าเป็นเจโตวิมุตติมันจะเห็นกายของมันเป็นภาพต่างๆ นี่คือการพิจารณากาย การพิจารณากายโดยปัญญาก็เหมือนกัน โดยปัญญาวิมุตติ เห็นไหม มันก็พิจารณาเหมือนกัน ไม่เห็นกาย แต่จับต้อง จับต้องสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นอารมณ์ สิ่งที่ความรู้สึกจับต้องได้หมดเลย แล้วออกวิปัสสนาเห็นไหม แยกออกมัน แยกออกมัน แยกออกมัน เพราะแยกไม่ให้ ไม่ให้ความยึดติดนี้ ไปยึดติดอารมณ์ความรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นกาย แยก แยกอารมณ์ความรู้สึก สิ่งที่อารมณ์ของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง แยกออก แยกออกเห็นไหม ขันธ์ ๕ มันไปไม่ได้เห็นไหม มันปล่อยวาง ปล่อยวาง พอมันแยกทำลายปั๊บ หยุด ปล่อย หยุด ปล่อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอมันขาดนะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เห็นไหม แต่มันไม่เห็นกาย แต่มันรับรู้ด้วยอารมณ์ความรู้สึก นี่คือ การพิจารณากายด้วยปัญญา

การพิจารณากายโดยเจโตวิมุตติ มันเห็นภาพเห็นต่างๆ มันโดยสมาธิอบรมปัญญา แต่ขณะพิจารณากายโดยปัญญาวิมุตติ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา มันจะไม่มีความรู้สึกเหมือนพุทโธ พุทโธ พุทโธ ที่จิตมันสงบแล้วมันลงลึก ลึก ลึก มันมีความรู้สึกเลยนะ นั่นก็ติดได้ ขนาดเป็นสมาธิเขายังเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นนิพพานได้ แต่เพราะมีครูมีอาจารย์หนึ่ง แต่เพราะเรามีอำนาจวาสนาหนึ่ง เราถึงกลับมาวิปัสสนา เรากลับมากระทำของเรา

แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติเห็นไหม ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติเวลามันปล่อยเข้ามา สมาธิ มันปล่อยวาง จิตมันตั้งมั่น จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แต่มันไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึกที่จิตมันลงขนาดนั้น แต่เวลาเราใช้ปัญญาของเรา พิจารณาของเราเข้ามา พิจารณาของเราเข้ามา เวลามันปล่อยนะ ในการประพฤติปฏิบัติ อริยสัจมีหนึ่งเดียว จะเป็นพระโสดาบัน ต้องมรรคสามัคคีเหมือนกันหมด จะเป็นปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ จะพิจารณาสายใดก็แล้วแต่ เวลามรรคสามัคคีมันต้องเหมือนกันหมดเลย

เวลาพิจารณากายโดยเจโตวิมุตติเห็นไหม มันปล่อยวางขนาดไหน เวลามันปล่อยวาง มันว่างมีความสุข มีความลึกซึ้ง แต่ถ้ามันขาด ขาด เพราะอะไร เพราะมันมีตัวนำด้วยสมาธิ แต่ปัญญามันเกิดขึ้นมาจากการรู้การเห็นจากการแยกแยะ ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติเห็นไหม เราใช้ปัญญาเพราะจิตมันสงบเข้ามาแล้ว จิตมันสงบ มันเข้าถึงอริยมรรค เข้าถึงสัจจะความจริง อริยมรรค สัจจะความจริง มรรคญาณที่จะเข้ามาแก้ไขกิเลส เวลามันพิจารณาไปมันปล่อย ปล่อย ปล่อย มันมีความเข้าใจ มันมีความหยุด มีความชุ่มชื่นอยู่ แต่มันไม่ลงลึก ไม่ลงลึกเหมือนกับอารมณ์ของเจโตวิมุตติ

แต่เวลามันขาดเห็นไหม จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันแยกออกจากกัน พอมันแยกออกจากกัน อารมณ์เหมือนกัน อันเดียวกัน พอพิจารณาซ้ำเข้าไป เห็นไหม ซ้ำเข้าไป พิจารณาเข้า พิจารณาซ้ำเข้าไป ด้วยปัญญา ไม่ได้เห็นกาย แต่เห็นอารมณ์ความรู้สึกเห็นจิต จิตเห็นอาการของจิต เห็นสิ่งที่เป็นสิ่งที่กระทบ แล้วพิจารณาเข้าไป พอมันพิจารณาเข้าไปซ้ำ ซ้ำ มันปล่อยแยก แยกเหมือนกัน โลกนี้ราบเป็นหน้ากลองเหมือนกัน มันปล่อยแล้วจิตนี้สลัดออกไปเห็นไหม “เหมือนกัน” แต่วิธีการต่างกัน

การพิจารณากาย โดยเจโตวิมุตติอย่างหนึ่ง การพิจารณากายโดยเห็นกาย การพิจารณากายโดยไม่เห็นกาย แต่เห็นโดยปัญญา พิจารณาเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่สุดแล้วมันว่างหมดนะ ถ้ามันปล่อย กายกับจิตแยกออกจากกันแล้ว ถ้าย้อนกลับเข้าไปเห็นไหม ย้อนกลับไป ถ้าเห็นกาย ถ้าเป็นอสุภะ มันจะพิจารณาของมันไป แต่ถ้ามันเป็นกามราคะ มันเป็นการพิจารณากายโดยจิต ตัวจิตมันเป็นตัวกาม ตัวจิตนี้มันเป็นตัวกาม เพราะกามฉันทะ มันมีตัว มันมีมหาสติ มหาปัญญาเข้ามาจับตัวนี้ได้ พอจับตรงนี้ได้ มันก็เห็นจิต

มันเห็นจิต จิตมันออกไปเห็นไหม จิตมันออก ออกเพราะมันเป็นกามฉันทะ ตัวมันเป็นกามอยู่แล้ว เพราะมันเป็นตัวโอฆะ แล้วมันจะข้ามจากโอฆะ พอมันพิจารณาออกไป มันเป็นกาม เป็นกามเพราะมันมีความผูกพันของมัน มันพอใจของมันเห็นไหม มันก็ขยายส่วนของมัน มันเป็นข้อมูลของมัน มันถึงว่า เสพในตัวของมัน มันละเอียดอ่อนกว่า แต่มันใช้ปัญญานะแล้วเป็นมหาสติ มหาปัญญา แล้วความพลิกแพลงของมันลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งในสิ่งที่มันจะเอาตัวรอดของมัน

มันจะไม่ให้เราเข้าใจ ไม่ให้เราแทงทะลุของมันไปได้ คำว่าเข้าใจ เข้าใจนี้มันเป็นทางโลก แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ มันรู้แจ้ง ความรู้แจ้งมันจะไม่มีเหลือบไม่มีสิ่งใดที่กิเลสมันจะไปหลบซ่อนที่มันจะเข้าไปอาศัยสิ่งใดๆ เพื่ออาศัยเป็นภพ เป็นที่อยู่อาศัยของ กิเลส เห็นไหม ดูสิมาร มันอาศัยนะ พญามารมันอาศัยภพ อาศัยอยู่ที่หัวใจเราเป็นที่อยู่อาศัย แล้วถ้ามันมีที่เหลือบที่มุม มันจะหลบซ่อนของมัน

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ไปแล้วเห็นไหม พญามารคอตกเลย พอคอตกแล้วนะ นางตัณหา นางอรดี ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลูกสาวพญามาร มันมาบอกมันจะไปรำ ไปฟ้อนรำ จะไปอ้อน ไปหลอกลวงให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมา ให้อยู่ในอำนาจของมารอีกไง นี่ก็เหมือนกันเวลาเราพิจารณาตรงนี้ มันเป็นอุปสรรคนะ มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่จะต้องพิจารณา เพราะคำว่าใช้ปัญญานะ

เวลาหน่วยราชการ เห็นไหม เขามีฝ่ายบุ๋น ฝ่ายบู๊ ฝ่ายบู๊เห็นไหม ฝ่ายบู๊ฝ่ายใช้กำลัง ฝ่ายใช้กำลังเจโตวิมุตติ ฝ่ายบุ๋นฝ่ายปัญญา ฝ่ายการปกครอง ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติโดยปัญญานะ มันละเอียดอ่อนกว่า ชั้นเชิงของการคำนวณ ชั้นเชิงของการการเมือง ที่มันจะควบคุมจะบริหารจัดการ นี่ก็เหมือนกันปัญญา มันละเอียดอ่อนกว่า มันละเอียดอ่อนกว่า แง่มุมของมันถึงจะต้องเป็นมหาสติมหาปัญญา มันจะเข้าไปพิจารณาของมัน

“อารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง” ความกระทบที่มันละเอียด สิ่งที่ละเอียดมาก สิ่งที่เป็นวัตถุละเอียดมาก ละเอียดขนาดไหนมหาสติมหาปัญญามันก็จับต้องได้ พอมันจับต้องได้มันแยกของมัน มันคำนวณของมัน มันพิจารณาของมัน จะต้องมีความสมดุลของมรรค ความเพียรชอบ งานชอบ เห็นไหม งานชอบ สติปัญญาชอบ ความชอบของมัน ถ้ามันสมดุลของมัน มันก็ปล่อย จะปล่อยขนาดไหน มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมันนะ คือมันละเอียดกว่า

ความละเอียดกว่ามันต้องใช้ปัญญามากกว่า เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัญญาวิมุตติ มันพิจารณากายโดยปัญญา การที่จะชำระกิเลสกามราคะออกจากจิต มันต้องพิจารณาของมันมา ต้องพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วหาช่องทาง พอถึงที่สุดมันก็ ครืน! ในหัวใจเหมือนกัน มันจะต้องละเอียดอ่อนเข้ามาจนคล่องตัว คล่องแคล่วจนถึงตัวของมัน ทำลายหมดเลย ทำลายหมดไปแล้ว

ถ้าพิจารณาไป ถ้าครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มี แบบว่ามันเป็นสายงาน สายงานที่มีน้อย ครูบาอาจารย์ที่มีน้อย เราจะต้องพยายามฝึกฝนของเรา เพราะมันไม่มีใครวางหลักเกณฑ์ไว้ เราพิจารณาซ้ำเข้าไป มันก็เป็นเศษส่วนอีกล่ะ อนาคา ๕ ชั้น ถ้ากิเลสมันหลอกลวงเรา พอเราพิจารณา อนาคา ๕ ชั้น เราก็ว่าเป็นมรรค ๔ ผล ๔ เพราะอนาคามันระเบิด มันทำลายจิตไปแล้ว แล้วพิจารณาซ้ำไปมันก็ปล่อยวางอีก มันก็ไปติด จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

คำว่าผ่องใสนี้ต้องจิตเห็นแล้วนะ จิตเห็นจิต คำว่าจิตเห็นอาการของจิต นี่จิตเห็นจิต จิตไม่เห็นอาการ มันไม่ใช่อาการ มันเป็นตัวจิต ตัวจิตจับตัวจิต ตัวจิตเห็นตัวจิต ถ้าตัวจิตเห็นตัวจิตแล้วใครจะไปเห็นมันล่ะ ถ้าไม่มีความละเอียดอ่อนเห็นไหม มันเป็นมรรคญาณ ถึงที่สุดนะมันจะย้อนกลับ ถ้ามันย้อนกลับได้ จิตนะจิตเห็นจิต จิตจับจิต จิตทำลายจิต ถ้าจิตทำลายจิตเห็นไหม จิตทำลายจิต จิตเป็นอะไร นี่ไงนี่ กายของจิต ถ้าพิจารณากายก็กายของจิต ถ้ากายของจิตเห็นไหม จิตมันพิจารณาแล้วกายของจิต มันจับต้องอย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไร

ความที่เป็นไปได้ คนรู้จริงเห็นจริง ถึงจะเห็นตามความเป็นจริง ถ้าคนไม่รู้จริงไม่เห็นจริง มันจะเห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไง ไม่เห็นตามความเป็นจริงมันจะรู้แจ้งได้อย่างไง สิ่งต่างๆ เราปล่อยเข้ามาหมดแล้วเห็นไหม ดูสิ กิเลส อุปกิเลส สิ่งที่เป็นความโอภาสสว่างไสว สิ่งต่างๆ ที่ในหัวใจ มันเป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดนะ กิเลสเห็นไหม ดูสิ นางตัณหา นางอรดี ดูสิ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรายังรู้ว่ามันเป็นกิเลสเลย

แต่ความอยู่เฉยๆ เป็นกิเลสไหม สิ่งที่มันอยู่ในตัวมันเอง อยู่เฉยๆ เศร้าหมอง ผ่องใสเห็นไหม สิ่งที่มันผ่องใสแล้วมันเศร้าหมองเข้ามา มันเฉา มันเหงา มันหงอย แต่มันเข้าข้างตัวมันเองนะ นี่คือ นิพพาน นิพพาน นิพพาน มันก็ว่านิพพานมีอารมณ์เป็นอย่างนี้ นิพพานมีความสุขอย่างนี้ กิเลสที่มันละเอียดอ่อน ถ้ามันจับได้ มันจะเป็นความสุข มันจะเป็นนิพพานไปได้อย่างไง ในเมื่อมันมีการสืบต่อ มันมีการเฉาเหงาหงอย มันไม่คงที่ มันจะเป็นนิพพานไปไม่ได้หรอก มันไม่ใช่นิพพาน แต่กิเลสมันก็หลอกว่าเป็นสภาวะแบบนั้นๆ

พอเข้าไปถึง จับต้องได้ การจับต้องได้นะ สิ่งที่การประพฤติปฏิบัติ ในการที่เราเห็นสิ่งที่มันเป็นความจริง มันละเอียดลึกซึ้งตั้งแต่เราประพฤติปฏิบัติมาตั้งแต่เริ่มต้น คำว่าเริ่มต้น กว่ามันจะเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคาเข้ามา มันปฏิบัติมา มันได้สมบุกสมบั่นมา มันได้ฆ่าข้าศึกมาแต่ละชั้นแต่ละตอน มันทำมาด้วยความจงใจ ด้วยความเข้มแข็งมาตลอดนะ แต่จะไปทำงานสิ่งนี้ด้วยความเข้มแข็งอย่างนั้นไม่ได้ มันเป็นงานกระบวนการที่เราจะวางบิล เราทำมาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว การจะวางบิลมันต้องนิ่มนวลเห็นไหม เพราะมันสมดุลกัน

นี่ก็เหมือนกัน ถึงที่สุดแล้วมันต้องละเอียดอ่อนมาก แล้วเข้าไปจับต้องสิ่งนี้ได้ แล้วปัญญาก็จะไม่ใช่ อุทธัจจะเห็นไหม รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ขยับปั๊บ มันเป็นสังโยชน์ตัวนี้ทันที เป็นสังโยชน์ตัวนี้เพราะมันเป็นปัญญาอันละเอียด มันเป็นปัญญาอย่างหยาบๆ มา มันเป็นปัญญาที่มันใคร่ครวญมา พอมันขยับตัว ขยับตัวมันก็ผิด มันขยับตัว มันก็ส่งออกสู่ภายนอก ขยับตัวเป็นการส่งออกไปสู่ภายนอก เพราะพลังงานมันคลายตัวตลอดเวลา

แต่เวลาเข้าไปถึงปัจจุบันของมันเห็นไหมว่า จิตนี้เป็นมัธยัสถ์ จิตนี้เป็นมัธยัสถ์ จิตนี้เป็นตัวของมันเอง แล้วมันจะไม่ออกไปไหน เราจะไม่ส่งออกไปไหน พลังงานนี้เราจะไม่ส่งออกไป เอาพลังงานของตัวมันเองทำลายตัวมันเอง ทำลายถึงที่สุด มันทำลายหมดสิ้น พลิกพั้บ! นี่ไงการพิจารณากายโดยกาย ก็สิ้นสุดกระบวนการของมันได้ การพิจารณากายโดยจิต โดยที่ไม่เห็นกายเห็นไหม นี่คือการพิจารณากายทั้งนั้นเลย การพิจารณากายโดยชัดเจนเลย การกระทำของมันมา มันเป็นการกระทำที่มีหลักมีเกณฑ์ มีเหตุมีผล มีการกระทำของมันจนถึงที่สุด

แต่ถ้าเราพิจารณาของเรามันเป็นโลก สิ่งที่เขาพูดกัน เขาคำนวณกัน เขาทำกันนั้นมันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่อ้างอิงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน ๔ การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม มันก็เป็นอีกส่วนหนึ่งนะ แต่ขณะที่ปฏิบัติ อันใดอันหนึ่งต้องหยิบอันนั้นให้ชัดเจน หยิบให้ชัดเจน อันเดียว ไม่ใช่ว่าพิจารณากายแล้วจะพิจารณาจิต ถ้าจะพิจารณาจิตก็พิจารณาจิตไปเลย คำว่าพิจารณากายหรือพิจารณาจิตอย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านทำ มันก็เป็นขั้นตอนในขั้นตอนนั้น ในขั้นตอนนั้นมันเป็นความมหัศจรรย์นะ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา ถึงที่สุดแล้วปล่อยแล้ว พิจารณาไปแล้ว ไปพิจารณาจิตต่อ มันเหมือนกับเราเป็นผู้ที่บริหารทำทั้งบุ๋น ทั้งบู๊ ทำทั้งหมดเลยทุกอย่าง นั่นมันก็กว้างขวางไปอย่างหนึ่ง อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของจิตเห็นไหม เป็นพันธุกรรมสิ่งที่สร้างมา

ทำสิ่งใดแล้วเข้ากับจริตนิสัย เข้ากับความพอดีของจิต ความพอดีของมัน ความพอดีนะ มรรคสามัคคี ความพอดีของจิตที่มรรคญาณมันหมุนออกไป แล้วกลับมาทำลายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันเป็นความสมดุลของแต่ละดวงจิตที่มันสร้างสมบุญญาธิการ แล้วตรงกับจิต ตรงกับความพอใจ ตรงกับกิเลสของตัว มันจะฆ่ากิเลสตายเป็นชั้น เป็นชั้นเข้าไปเลย

แต่พอเราไปฟังครูบาอาจารย์เราฟังเทศน์แล้ว เราต้องการให้เป็นอย่างนั้น โดยส่วนใหญ่ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอยากรู้อยากเห็น อยากมีฤทธิ์มีเดช แล้วมีฤทธิ์มีเดชมันก็เหมือนทหาร เขาเข้มแข็งของเขามาก เพราะร่างกายเขาบึกบึนมาก เขาจะทำอะไร เขาแบกหามของเขา ไอ้เรามันอ้อนแอ้น แล้วก็อยากจะมีกำลังอย่างนั้น ไปแบกหามอย่างนั้น มันทำไม่ได้หรอก จิตก็เหมือนกัน จิตถ้ามันอยากมีฤทธิ์มีเดช จิตมันคึกคะนอง เวลาปฏิบัติไปมันก็มีฤทธิ์มีเดชของมัน มันก็ไปรู้ไปเห็นของเขา นั่นมันจิตของเขา แล้วเราก็อยากได้อย่างนั้น แต่เราอ้อนแอ้นอรชร เราแบกอะไรก็ไม่ได้เลย แต่อยากจะบึกบึนอย่างเขา แล้วก็พยายามจะสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาให้บึกบึนอย่างนั้น แล้วบึกบึนแล้วได้อะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะทหาร ในการดำรงชีวิตทหารของเขา วิชาชีพของเขา เขาทำงานของเขา เขาก็ได้สิ่งตอบแทนของเขา เราอ้อนแอ้นขนาดไหน เราใช้ปัญญาของเรา เราบริหารจัดการของเรา ถ้าเราทำงานตามสายงานของเรา เราก็ได้สิ่งตอบแทนเหมือนกัน

ถ้าถามถึงสิ่งตอบแทน นี่ไง สิ่งตอบแทนคือมรรคผลนิพพานไง เราทำประสาเรา เราไม่ต้องไปอยากรู้อยากเห็น อยากมีฤทธิ์มีเดชอย่างนั้นหรอก ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าจิตเขามีกำลังของเขา เขาสร้างอำนาจวาสนาของเขา เขาทำของเขาแล้ว พอจิตมันสงบเข้ามา มันจะมีฤทธิ์มีเดชอย่างนั้น ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ล่ะ เอตทัคคะนี้มีความถนัดความชำนาญ ดูพระอนุรุทธะสิ พระพุทธเจ้าปรินิพพานนี้ก็ตามรู้ได้หมดเลย พระอุบาลีก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกันนะ พระอุบาลีเป็นคนถามพระอนุรุทธะเอง นั่งล้อมวงอยู่ที่สวนนั่นว่าป่านนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานหรือยัง พระอนุรุทธะบอกยัง ขณะนี้พระพุทธเจ้ากำลังเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนะ เห็นไหม เข้าสมาบัติ ๘ อยู่ ย้อนกลับไปย้อนกลับมาระหว่างกลาง ระหว่างรูปฌาน อรูปฌาน พระพุทธเจ้าปรินิพพานตรงนี้ พอนิพพานปั๊บ พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ก็พระอรหันต์เหมือนกัน พระอนุรุทธะก็พระอรหันต์ พระอุบาลีก็พระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งนั้นเลยนั่งวงล้อมอยู่นั่น แต่ความถนัดของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ไอ้เรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ถ้ามันมีกับเรา มันมีโดยธรรมชาติ มันเหมือนกับความถนัดของเรา มันมีโดยธรรมชาติ ดูสิ คนเขียนมือซ้าย เห็นไหม เขาถนัดของเขาโดยธรรมชาตินะ เขาเขียนของเขาสวยของเขาด้วย เราบอกว่าอันนี้ผิด ต้องเขียนมือขวาอย่างเดียว ก็ตัดมือมันทิ้งเลยสิ มันไม่ได้ มันเป็นความถนัด มันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละบุคคล จริตนิสัยก็เหมือนกัน สิ่งที่สร้างมา

ทำไมพระ ครูบาอาจารย์เรา เห็นไหม วิชชา ๓ เจโตวิมุตติ สุกขวิปัสสโก มันอยู่ที่บุญญาธิการ อะไรก็ได้ ขอให้มันฆ่ากิเลสเราได้เถอะ เราอย่าไปคาดหมายอย่างนั้น คือให้ปฏิบัติแล้วให้เป็นตามความเป็นจริงกับจริตนิสัยของเรา ทำแล้วมันได้ผลประโยชน์ของเรา ทำแล้วได้ผลประโยชน์ของเรา ผลประโยชน์ของเราเห็นไหม คือ การปฏิบัติ ถ้าพุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาแล้วมันโล่ง เราปฏิบัติพุทโธ พุทโธ มันว่าง มันปล่อย นี่คือผลของเราที่ได้เห็นไหม มันต้องเทียบกันที่ผล ถ้าผลมันดีขึ้นมา ตรงนี้ดีแล้ว เราพยายามเอาหลักเอาเกณฑ์นี้ขึ้นไป เห็นไหม

สิ่งที่ทดสอบ คือว่ามันพุทโธหรือปัญญาอบรมสมาธิ มันว่างมันโล่ง มันทำของมันไปได้ ก้าวเดินของมันไปได้ แล้วพยายามวิริยะอุตสาหะ การกระทำงานสิ่งใดๆ ที่จะทุกข์ยากเท่ากับการชำระกิเลส ไม่มี คำว่าไม่มีเห็นไหม งานอย่างอื่นเรายังจับต้อง แล้วพักผ่อน หรือมาทำต่อเนื่องได้ แต่ถ้างานของจิตนะ ทำสมาธิดีๆ แล้วเราเผลอเราไม่ดูแลนะ หมดเลย แล้วก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ปัญญาที่เราใช้ของเราอยู่ดีๆ เพราะมีสมาธิรองรับเป็นฐาน พอสมาธิรองรับเป็นฐานขึ้นมา ออกวิปัสสนาเห็นไหม ออกวิปัสสนา มันทำเป็นงานของมันได้ มรรคมันก็เดินตัวไป ถ้าปัญญามันเฉา มันไม่อยากทำสมาธิมันอ่อนมันก็หมดเลย พอหมดเลยก็ต้องทำจิตสงบเข้ามาให้มีสมาธิให้มีหลักมีเกณฑ์ แล้วออกฝึกปัญญา ต้องทำความคล่องตัวของจิต ฝึกฝนจนมีความชำนาญเห็นไหม คือว่ามันไม่มีเสี้ยววินาทีที่จะให้เราเผลอ ไม่มีเสี้ยววินาทีที่จะให้เราพักผ่อนเลย เราจะต้องจดจ่อ ต้องพยายามรักษา ของที่เป็นสินค้าเขาจะมีอายุเวลาของเขาเลยว่าหมดอายุแล้วต้องทิ้ง

แต่นี่จิตของเรามันละเอียดมันเร็วกว่า มันเฉไฉ มันแฉลบ มันออกได้ทุกช่องเลย นี่ไงการเอาชนะตนเอง การจะประคองจิต การจะรักษาจิตมันถึงยาก คำว่ายาก จะยากขนาดไหน มันก็ไม่พ้นจากวิสัยที่เป็นเรานักปฏิบัตินะ มันอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ เพียงแต่ให้เปรียบเทียบให้เห็นว่าการชนะตนเอง การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้มันเป็นงานที่แสนยาก เพราะงานที่แสนยาก แต่เราเห็นคุณเห็นโทษของมัน ถึงแสนยากก็จะทำ แสนยากเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็เกิดได้แสนยาก พระพุทธเจ้าบอกเลยการเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก

แล้วผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วมาประพฤติปฏิบัติ มันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ดูสิ ดูชาวพุทธของเราเห็นไหม ที่สนใจในการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นชาวพุทธในทะเบียนบ้านมีเยอะมาก แต่ที่จะมาปฏิบัติล่ะ เพราะอะไร เพราะปฏิบัติแล้ว มันต้องนั่งสมาธิต้องภาวนา มันมองเป็นความทุกข์หมดเลย แล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธเราทำบุญแล้วต้องได้บุญมาก จะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก แล้วทรัพย์สมบัตินั้นเป็นทรัพย์สมบัติสาธารณะแล้วเราได้ประโยชน์อะไร เราได้ใช้สอยแค่อิ่มปากอิ่มท้องไปมื้อ มื้อหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ถ้าจิตมันเป็นธรรมขึ้นมา อริยทรัพย์เกิดมาจากเราเห็นไหม ตายแล้วก็ไม่กลับมาเกิดอีก ถ้ามีการเกิดที่ไหน มันก็มีการตายที่นั่น ถ้าจิตมันสิ้นชำระกิเลสตัณหาทะยานอยากในหัวใจได้จบตั้งแต่นี้ มันจะไม่มีอะไรตาย ชาตินี้ต้องตายแน่นอน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนนี้ปรินิพพานไปแล้วเห็นไหม เวลาพระอานนท์ต้องรั้งไว้เลย อานนท์เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ร่างของตถาคตก็ต้องทิ้งคืนนี้ คืนนี้จะไปตายที่สาลวโนทยาน จะไปตาย ตายเพราะอะไร ตายเพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นโลกไง แต่ใจไม่เคยตายตั้งแต่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปีนั้น มีวิมุตติสุขในใจพร้อม มันไม่ตื่นเต้นไปกับเรื่องโลกนะ ถ้าใจเป็นธรรมแล้ว

สิ่งที่เรากระทำนี้ เราทำเพื่อเหตุนี้ ถ้าเราคิดว่าเราทำเพื่อเหตุนี้ เราเกิดมาก็แสนยาก ปฏิบัติก็แสนยาก ต่างๆ ก็แสนยาก คำว่าแสนยาก แล้วมันจะกลับมาวงรอบที่จะมาเจออย่างนี้อีกไหม ถ้ากลับมาเจอวงรอบอย่างนี้เรามีโอกาสประพฤติปฏิบัตินะ เรามีโอกาสแล้ว เราถึงต้องตั้งสติ หน้าที่การงานเราก็ทำของเรา แบ่งเวลาให้มันถูก แบ่งเวลาให้มันดี

แล้วถ้าธรรมเวลาที่มันเจริญมันดีขึ้นมาแล้ว เรารู้เอง ทาง ๒ แพ่ง แพ่งหนึ่งโลก แพ่งหนึ่งธรรม แต่ถ้าเราจะเดินไปทั้ง ๒ แพ่ง เรามีอำนาจวาสนาอย่างไร เราต้องทำไปอย่างนั้น นี่ถึงเวลาแล้วทุกคนต้องตัดสินใจเองได้ การจะตัดสินใจเพราะเราอยู่ของเรา เรารู้ของเราว่า เราควรจะตัดสินใจอย่างไร เราควรจะทำอย่างใด เห็นไหมสิ่งที่ควร ควรและไม่ควร ถ้าทำสิ่งที่ดี มันควรทำสิ่งที่ดีก็เพื่อเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ

ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วเห็นไหม ย้อนกลับมา ตั้งสติ นี่เป็นสัจธรรม สัจธรรม ธรรมที่ไม่มีพิษไม่มีภัย แต่ถ้ามันไม่เป็นสัจธรรม มันก็ธรรมของกิเลสนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในใจของเรามันเป็นกิเลสทั้งหมด จะตรึกในธรรมขนาดไหนมันก็เป็นกิเลส แต่ถ้าใจเป็นธรรมนะมันเป็นธรรมของมัน มันสะอาดบริสุทธิ์มาจากใจ ความสะอาดบริสุทธิ์มาจากใจ ใจดวงนี้สำคัญมาก เวลามันเกิดมันตายเห็นไหม ดูสิ ปฏิสนธิจิต มันเกิดมันตาย ขณะที่ไปเกิด ใครรู้ตัวบ้าง มันไปพั้บๆๆๆ แล้วมันก็เกิดตายอยู่อย่างนั้น

เวลาเกิดไปแล้วค่อยมาทุกข์มายากไง เบื่อมาก ทุกข์มาก ไม่อยาก ไม่ต้องการเลย แต่มันเกิดมาแล้ว เวลาจะตายใครกำหนดเวลาตายได้ มันอยู่ที่อำนาจวาสนา ใช่ไหม อยู่ที่เราสร้างบุญกุศลมา จะตายดี ตายไม่ดี เกิดมาต้องตายหมด ฉะนั้นจิตมันเร็วขนาดนี้ เราเกิดมาแล้ว เรามีโอกาสแล้ว เราต้องตั้งใจนะ ยิ่งพระด้วย เขาให้โอกาสมาก พระเรานี้งานอย่างอื่นไม่ต้องทำเลย แล้วพระเราเห็นไหม ทางอันกว้างขวาง ถ้าทางกว้างขวางใช่ไหม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าเรามุมานะของเรา อย่างน้อยต้องถึงพระอนาคา

แต่นี่ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ของเรา ๗ วัน ๗ เดือน ๗ วันนะ ภาวนา ๗ วินาที ที่เหลือก็ไม่ทำอะไรเลย คือมันไม่สืบต่อไง ถ้า ๗ เดือน ๗ วัน ๗ ปี มุมานะ แล้วทำสืบต่อ รักษาอย่างที่ว่า รักษาว่าจิต รักษายาก ทุกอย่างรักษายาก รักษาให้ดีทำให้ดี เราต้องเห็นผล เราต้องประสบผล ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม มีมรรคมีผลถึงที่สุดพ้นจากทุกข์ได้ มี! ทำได้ เราต้องทำได้ เราต้องให้กำลังใจเรา เราต้องปลุกปลอบใจเรา แล้วเราจะสู้ เราจะทำเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง