ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

จิตเป็นจิต

๒๕ เม.ย. ๒๕๕๓

 

จิตเป็นจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จิตเป็นเราใช่หรือไม่ครับ หมายถึงเราที่เป็นนาย ก นาย ข นี่แหละครับ บางคนบอกว่าจิตไม่ได้เป็นเรา เราที่เป็นนาย ก เป็นแค่สมมุติหนึ่งที่จิตมารู้เท่านั้น จริงหรือไม่ครับ กรุณาช่วยตอบด้วย

หลวงพ่อ : จิตไม่ใช่เรา จิตนี้ไม่ใช่เรา หมายถึงว่า เป็นนาย ก นาย ข บางคนบอกว่าจิตไม่ใช่เป็นเรา เราที่เป็นนาย ก เป็นแค่สมมุติหนึ่ง มีจิตมารู้เท่านั้นจริงหรือเปล่าครับ

พอความเข้าใจนี่ ถ้าเราจะตอบนะ จิตเป็นจิต จิตต้องเป็นจิต แต่คำว่าถ้าจิตเป็นเรา เราเป็นจิตนี่ แล้วจิตเป็นนาย ก นาย ข ถ้าเป็นนาย ก นาย ข ธรรมะพระพุทธเจ้า เวลาฟังธรรมมันมีหลายขั้นตอน จิตเป็นเราหรือเปล่า ถ้าพูดถึงโดยสมมุตินี่เป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จิตนี้เป็นนาย ก นาย ข เพราะนาย ก นาย ข เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าไฟฟ้าไม่มี เครื่องใช้ไฟฟ้านี้จะใช้ประโยชน์ได้ไหม

ถ้าเป็นเรานี่ จิตเป็นเราหรือเปล่า เป็น! ถ้าไม่เป็นเราคือคนตายไง ถ้าไม่มีจิตนะก็เท่ากับศพ ถ้าเป็นศพนี่ไม่มีจิต ถ้านั้นจิตเป็นเรา จิตเป็นนาย ก จิตเราก็ยังมีชีวิตอยู่นี่ไง ถ้าจิตออกจากร่างไป ก็ไม่เป็นเรา ถ้าจิตเป็นเรา จิตเป็นนาย ก ก็ต้องบังคับจิตนาย ก คือจิตมันไม่ตายไง นาย ก จะเป็นนาย ก คนเราเกิดแล้วไม่ตายนี่จิตจะเป็นเราตลอดไป แต่จิตเป็นเรานี่มันเป็นเราชั่วคราวใช่ไหม

เวลาปฏิสนธิจิต จิตเป็นเราไหม เป็น! เป็นโดยสมมุติ ฉะนั้นเวลาฟังธรรมที่ว่าจิตไม่ใช่เรา เห็นไหมเวลาทำความสงบของใจเข้าไปเห็นไหม ธรรมะเห็นไหม เวลาจิตสงบแล้ว จิตนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ตอนนั้นน่ะจิตเป็นจิต จิตโดยธรรมชาติของจิตเลย จิตไม่ใช่เป็นนาย ก นาย ข นายอะไรทั้งสิ้น

เพราะนาย ก นาย ข เวลาออกมาเป็นสมมุติแล้ว ออกมาเป็นเรา เราเป็นนาย ก นาย ข มีทะเบียนบ้านว่าเราชื่อนาย ก นาย ก ก็คือเรา เราก็คือนาย ก เวลานาย ก ตาย เห็นไหม นาย ก ก็ต้องจำหน่ายเห็นไหม ไปจำหน่ายว่ามรณบัตร ว่านาย ก ตายไปแล้ว แล้วจิตนาย ก ตายไปด้วยหรือเปล่า นาย ก ตายไปแล้วใช่ไหม พอนาย ก ตาย แล้วจิต นาย ก ไปไหน ทีนี้เขาบอกว่า จิตไม่ใช่นาย ก นาย ข นายอะไร แต่มันเป็นจริง เป็นจริงโดยสมมุติ เวลามันเกิดเห็นไหม

ฉะนั้นเขาบอกว่าจิตไม่ใช่เรา นาย ก นาย ข จิตมันรู้สมมุติ อันนี้ที่พูดเพราะเราเป็นชาวพุทธนะ ธรรมะสอนไว้อย่างนั้น ธรรมะสอนว่า จิตนี้ไม่ใช่เรา ถ้าจิตนี้เป็นเรา เราต้องควบคุมได้

ไอ้ที่พูดนี่ธรรมะสอนอย่างนี้ ธรรมะนี่ธรรมะของใคร ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์พูดอย่างนี้นี่ ได้! ถ้าพระอรหันต์ มันไม่ใช่เราหรอก ไม่ใช่เรา เพราะอะไร เพราะท่านเห็นจริง เพราะท่านได้พัฒนาของท่านจริงเห็นไหม

เวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์ธรรมจักรกับปัญจวัคคีย์ พอเทศน์ปัญจวัคคีย์เสร็จ ท่านก็เทศน์อนัตตลักขณสูตรเห็นไหม ขันธ์ ๕ เป็นเราหรือไม่เป็นเรา รูปเป็นเราหรือไม่เป็นเรา ไม่เป็นครับ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ครับ เป็นทุกข์แล้วยึดไว้ทำไม ไปยึดไว้ทำไม เวทนาเป็นเราหรือไม่เป็นเรา ไม่เป็นๆ ไม่เป็นยึดไว้ทำไม เพราะคนเป็นสอนคนไม่เป็นเห็นไหม แต่เราไม่รู้ว่าเป็นหรือไม่เป็น

แต่ทีนี้พอเราไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วเห็นไหม ว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา สิ่งใดๆ ไม่เป็นเรา ใช่! ตามทฤษฎีมันเป็นอย่างนั้น แต่ตามเป็นจริงเป็นอย่างนั้นไหม ความเป็นจริงเป็นอย่างนั้นไหม เพราะมันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่รู้จริงไง ฉะนั้นที่บอกว่าจิตเป็นเราหรือเปล่า ที่อยากจะตอบข้อนี้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่า ตอนนี้เวลาเราปฏิบัติกัน เราจะบอกว่าจิตไม่ใช่เรา ทุกข์ไม่ใช่เรา สรรพสิ่งไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา มันเกิดดับเท่านั้นเอง

พอมันเกิดดับเท่านั้นเอง เราเข้าใจอย่างนั้นปั๊บนี่เราก็อยู่เฉย นี่ไงมัฌชิมาปฏิปทา ไม่ใช่มัฌชิมา ไม่รับรู้นะ มัฌชิมาปฏิปทาคือรู้แจ้งตามเป็นจริงนะ ไอ้นี่มัฌชิมาปฏิปทาคือความปล่อยวาง วางเฉยไง พอวางเฉยเห็นไหม ที่เขาบอกว่า รู้เท่าไม่ยึดก็จบ เพราะพื้นฐานความรู้สึกคิดกันอย่างนี้ไง ถึงบอกจิตนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่จิต นาย ก นาย ข นี้จิตแค่มารับรู้นาย ก นาย ข นี้ไม่มี สรรพสิ่งนี้ไม่มี

ถ้าโดยธรรมะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต่อไปนี่เพราะว่าอะไร เพราะอนาคตมันไม่มี เพราะอนาคตเราย่อยสลายแน่นอน อนาคตไม่มี แต่ปัจจุบันมีไหม มี ถ้าปัจจุบันไม่มีเราแล้วทุกข์ทำไม เราเป็นเราอยู่ปัจจุบันนี้เป็นทำไม มันเป็นเราไหม เป็น! จิตเป็นเรา ถ้าจิตไม่เป็นเรานะ ไม่ทุกข์! จิตนี้เป็นเรา แต่มันเป็นโดยสมมุติเห็นไหม เป็นโดยชั่วคราวใช่ไหม นี้ถ้าเป็นเราโดยชั่วคราว ถ้ายอมรับความจริงอันนี้เสีย ทั้งๆ ที่ยอมรับความจริงแล้วนะ แล้วถ้าจะหาความจริงนั้นเป็นอีกกรณีหนึ่งนะ ยอมรับความจริงว่าจิตนี้เป็นเรา มันเป็นจริงๆ มันทุกข์จริงๆ แต่นั้นถ้าไม่เป็นเรานะ ทำไมเวลาเกิดเป็นมนุษย์นี่ พระพุทธเจ้าบอกเป็นอริยทรัพย์ล่ะ การเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์มาก

ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์มันก็เกิดเป็นสัตว์ต่างๆ มันต้องเกิดอยู่แล้วเห็นไหม ถ้าเกิดอยู่แล้ว มันเกิดโดยสถานะที่ว่ามันเกิดโดยเวรกรรมของมัน ฉะนั้นพอเกิดเป็นมนุษย์ นี่อริยทรัพย์ เพราะมีบุญกุศลมาก มนุษย์สมบัตินี่เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐมาก แล้วมันประเสริฐมาก มันดีมาก แล้วมันไม่ใช่เราตรงไหนวะ เอ้า เป็นไหม แล้วพอเราได้มนุษย์สมบัติมา มนุษย์สมบัตินี่เป็นของเราหรือเปล่า เป็น! เป็นในปัจจุบันนี้

ทีนี้คำว่าปัจจุบันนี้ มนุษย์เกิดมาแล้วเป็นผลของวัฏฏะนี่ มนุษย์มีอายุขัย พอมีอายุขัยถ้ามาบอกว่า ถ้าเราไม่ศึกษา เราไม่ปฏิบัติ เราไม่รู้จริงขึ้นมา การที่เป็นมนุษย์สมบัตินี้ก็ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ถ้าทำดีมันก็ได้ดีของมันไป แต่ถ้าบอกว่าจิตนี้เป็นเรา ยิ่งเรากำหนด พุทโธ พุทโธ เราปฏิบัติเข้าไป พอจิตสงบเข้ามา มันยิ่งเห็นความเป็นเราชัดเจนขึ้นไปอีก เพราะจิตเป็นสมาธิใช่ไหม จิตนี้เป็นเรา พอจิตเป็นเรา เราเอาจิตนี้ออกทำงาน

แต่นี้พอบอกว่าจิตนี้ไม่เป็นเรา คนที่บอกว่าจิตนี้ไม่เป็นเรา คือว่าปฏิบัติไม่เป็น ว่างั้นเลย จิตนี้เป็นเรา แต่มันเป็นจริงตามสมมุติ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ดอกบัวเกิดจากโคลนตม สิ่งที่ว่าจิตนี้เป็นเรา มันมีอวิชชา มันมีความทุกข์ ถูกต้องทั้งนั้น นี่โคลนตม ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสอาสวะนี่เป็นโคลนตม เป็นโคลนตมเพราะมันเป็นความจริงใช่ไหม เพราะเรามาเกิดเป็นมนุษย์นี้ มันมีจริงอยู่ไหม มันอยู่จริง

แล้วพอเราเข้ามาอยู่จริง ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา ดอกบัวจะเกิดจากโคลนตม จะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะเกิดมา มันจะผุดขึ้นมาจากโคลนตมอันนี้ แต่นี่เราไปปฏิเสธที่โคลนตม เราปฏิเสธหมดเลยว่า อะไรก็ไม่มี แล้วดอกบัวมันจะปลูกที่ไหน ดอกบัวมันจะเกิดจากตรงไหน ในเมื่อไม่มีโคลนตม ไม่มีภาชนะอะไรให้ดอกบัวมันเกิดเลยนี่ ดอกบัวมันจะเกิดที่ไหน ดอกบัวมันเกิดจากโคลนตมนะ นี่ก็เหมือนกันจิตนี้เป็นเราไหม จิตนี่เป็นโคลนตม

ถ้าจิตนี้เป็นเรา เราก็บอกจิตนี้ไม่ใช่เราหรอก ธรรมะก็ธรรมชาติไม่มีสิ่งใดๆ เลย มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นการเกิดดับ มันไม่มีสิ่งใดเป็นของจริง

ไม่มีเป็นของจริง แล้วพระโพธิสัตว์เกิดได้อย่างไร พระอรหันต์เกิดได้อย่างไร ไอ้นี่มันจริงตามสมมุติ เราจริงตามบัญญัติ คือ คำที่ศึกษาว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา นี่เป็นบัญญัติทั้งนั้น แต่พอเราปฏิบัติ พอจิตมันสงบขึ้นไปนะ นี่ปฏิบัติโดยอริยสัจ โดยสัจจะความจริง จากโคลนตมนี้ นี่คืออริยมรรค การเคลื่อนไปของจิต มันจะมีการกระทำของมัน

ฉะนั้นในปัจจุบันนี้ที่มีปัญหากันอยู่นี่ก็เพราะเริ่มต้นจากตรงนี้ไง เริ่มต้นจากไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า

“จิตไม่ใช่เรา สักแต่ว่า สรรพสิ่งนี้เป็นสักแต่ว่า ไม่มีอะไรมีอยู่จริง มันเป็นของสมมุติ มันเป็นของชั่วคราว ไม่มีความเป็นจริง”

มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไหม พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็คือโลก วิทยาศาสตร์เป็นทฤษฎี ทฤษฎีที่มันเป็นความจริงอย่างนั้น มันก็เป็นความจริงอย่างนั้น มันก็เป็นทฤษฎีอันหนึ่ง ที่มันเป็นสัจจะ แล้วผู้ที่รับผลของมันล่ะ ไอ้สัจจะอย่างนี้ ทางโลกเห็นไหม ดูสิทางวิชาการทาง เขาจะเอามาทำเป็นสินค้า เขาเอามาทำเป็นเทคโนโลยี หาเงินหาทองเพื่อความเป็นประโยชน์ เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์มหาศาลเลย สิ่งนั้นมันเป็นความสะดวกสบาย แต่ผลสุขและทุกข์ดีหรือชั่วนี่ มันเป็นอีกกรณีหนึ่ง

ถ้าอีกกรณีหนึ่ง ถ้าจิตนี้มันเป็นธรรมชาติ จิตมันเป็นพุทธะ พุทธะนี่มันธรรมชาติรู้ ธรรมชาติรู้มันยึดมั่นถือมั่นได้ มันคลายตัวของมันได้ ถ้ามันยึดมั่นถือมั่นของมัน มันก็เป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม ที่มันยึดมั่นถือมั่นความรู้ต่างๆ ยึดมั่นถือมั่นของมันมา แต่ถ้าเป็นสัจธรรมเห็นไหม สิ่งที่เป็นปัญญา ปัญญามันไปศึกษาขึ้นมา นี่ปัญญามันจะคลายตัวออก นี่ธรรมชาติที่รู้ ตัวจิตนี่ธรรมชาติที่รู้ เวลาเกิดเป็นมนุษย์ที่ว่าจิตนี้เป็นเราหรือไม่เป็นเรา เพราะเราจับต้นชนปลายตรงนี้ไม่ถูกใช่ไหม พอจับต้นตรงนี้ไม่ถูก เราก็ไปศึกษาก็เหมือนที่ว่านั่นน่ะ เราไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเห็นไหม ดูสิ เห็นเสือเห็นช้างต่างๆ ก็ไปเห็นเสือที่เป็นรูปกระดาษ เห็นเสือเห็นกระดาษ มันไม่มีความจริงอะไรเลย เพราะตัวเองไม่เคยเห็นจริงเลย

แต่ถ้าพอไปเห็นจริง จิตนี้เป็นเราไหม คำว่าจิตนี้เป็นเราเพราะว่าอะไร เพราะจิตนี้เราควบคุมสมาธินี้ได้ไง ในเมื่อจิตเป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิ เราน้อมไปเห็นไหม เราควบคุมเห็นไหม เราบริหารสมาธิเราได้ พอบริหารสมาธิเราได้ สมาธิเรานี่จะออกไปใช้ปัญญา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันก็กาย เวทนา จิต ธรรม อันเดียวกันนี่แหละ แต่เวลากาย เวทนา จิต ธรรม ที่เราเห็นของเรานั้นเราเห็นโดยสัญญา สามัญสำนึกไง เห็นโดยที่ไม่รู้จักจิต

คำว่าจิตเป็นเราหรือเปล่านี่นะ คนทำสมาธิไม่เป็นนี่ยังไม่เห็นว่าจิตของเราเลย ทุกคนเห็นแต่ความคิดของตัวเอง เวลาสุขเวลาทุกข์อารมณ์ความรู้สึกนี่รับรู้ได้ รับรู้ได้แต่มันไม่เคยสงบปล่อยวางจนเป็นตัวจิตเลย เลยไม่รู้ว่าจิตเป็นใครหรือจิตไม่เป็นใคร

เวลาจิตสงบเห็นไหม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันเป็นอะไร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วมันขี้ลอยน้ำหรือ มันไม่มีอะไรเลยหรือ มันทำอะไรไม่ได้เลยหรือ แล้วมันมาอย่างไร มันมีอะไรเป็นเหตุเป็นผล แต่ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่มันเป็นสมาธิ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันมีสติ มันมีความรับรู้ของมัน มันเป็นที่ว่าจิตเป็นสากล จิตเป็นสมาธิ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส อันนี้มันผ่องใส แล้วมันเป็นใครเห็นไหม มันถึงว่าจิตเป็นจิตไง ถ้าจิตสงบเข้าไป มันจะเห็นจิตเป็นจิต พอเห็นจิตเป็นจิต

โยมทุกคนนี่นะ รู้จักสำนึกตัวเอง ตัวเองมีรากฐานอย่างไร มีสมบัติ มีพัสถาน มีเวรมีกรรมในหัวใจอย่างไร ทุกคนรู้สึกตัวเองน่ะ นี่คือตัวพื้นฐาน คือตัวเริ่มต้น จิตมันจะเข้าไปอยู่ตรงนี้ สัมมาสมาธิมันจะเข้าไปอยู่ตรงนี้ เข้าไปถึงตัวพื้นฐานของตัวจิตที่เป็นสากลนี่ เพราะจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส แล้วจิตเดิมแท้นี้ออกรู้ จิตเดิมแท้นี้ออกรู้ แล้วมันเป็นสักแต่ว่าไหม

สักแต่ว่า สรรพสิ่งเป็นสักแต่ว่า ทุกอย่างเป็นสักแต่ว่า

สักแต่ว่าแล้วเอ็งทุกข์ทำไม แต่นี่มันไม่ทุกข์สิ ไม่ทุกข์เพราะอะไร ไม่ทุกข์เพราะว่าเราศึกษาธรรมะใช่ไหม บอกว่าสรรพสิ่งเป็นสักแต่ว่า มันเป็นความสุข แล้วก็ว่ามันเป็นความสุขๆ กัน แล้วมันสุขจริงหรือเปล่า เป็นความสุขต่อเมื่อเราอิ่มหนำสำราญ เราพอใจนี่มันจะเป็นความสุข ถ้าวันไหนมันขาดแคลน วันไหนมันมีอะไรกระทบใจ มันจะไม่มีความสุขเลย มันจะมีความทุกข์ตลอดไป

ทีนี้เราก็รักษาใจไว้ มีความสุข มันจะสุขจริงหรือเปล่า มันไม่สุขจริง ไม่สุขจริงเพราะว่าอะไร เพราะจิตมันเป็นจิต แต่ขณะจิตปฏิสนธิเกิดเป็นมนุษย์ จิตปฏิสนธิเกิดเป็นโอปปาติกะ โอปปาติกะไปเป็นเทวดา เกิดเป็นโอปปาติกะเป็นพรหม เกิดเป็นโอปปาติกะเป็นนรกอเวจี เกิดในไข่ ในครรภ์ เห็นไหมกำเนิด ๔ จิตมันกำเนิดต่อไป แต่ทีนี้เวลาจิตที่เกิดเป็นนาย ก เป็นนาย ก จริงไหม เป็นนาย ก จริง ๆ

ถาม : จิตเป็นเราใช่หรือไม่ใช่ หมายความว่าเป็นนาย ก นาย ข หรือครับ บางคนว่าจิตไม่ใช่เรา

หลวงพ่อ : ใช่! ถ้าจิตไม่ใช่เรา มันไม่มีสติ มันไม่มีปัญญา จิตเป็นเรา!! พอจิตเป็นเรานี่เราควบคุมจิตได้แล้วจิตออกค้นคว้า แล้วจิตถึงคายตัวกิเลสออกไป ถ้าจิตไม่เป็นเรา ไม่มีการควบคุม ไม่มีการรักษา จิตจะทำอะไรไม่ได้เลย

เริ่มต้นก็ว่าจิตไม่ใช่เรา สรรพสิ่งไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เราเลย พอไม่ใช่เราเลยไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ไง มันเป็นธรรมอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้!

ที่ว่ามันเป็นธรรมอยู่แล้ว เขาบอกกิเลสมีเพราะยึดนะ ไม่ใช่กิเลสไม่มี แล้วเวลาทำสัมมาสมาธิกิเลสมีไหม มันยึดหรือเปล่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ได้ยึดอะไรเลย แล้วฆ่ากิเลสหรือยัง ฆ่ากิเลสหรือยัง ยังเลย พอมันไม่ฆ่ากิเลส นี่ไงจิตเป็นจิต จิตเห็นอาการของจิต เพราะจิตมันเป็นจิตแล้ว จิตมันถึงออกหาอาการของมัน จิตมันถึงทำงานของมัน มันถึงเป็นโลกุตตรธรรมไง นี่ปัญญาของพระพุทธเจ้าเกิดตรงนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า ปัญญาในพุทธศาสนาเกิดที่จิต จิตออกรู้ในสติปัฏฐาน ๔

แต่นี่เขาบอกว่า ผู้ที่ทำสมถะ เห็นไหมพระป่ากรรมฐานนี่ทำสมถะ พวกสมถะจะไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาอะไรเลยเพราะเป็นสมถะ แล้วอารมณ์นะมันจางคลายไม่ได้ ทำสมถะออกมาก็โกรธเหมือนเดิมนี่แหละ แต่ถ้ากำหนดใช้ปัญญาเลย วิปัสสนาอย่างสติปัฏฐาน ๔ ของเขานี่แหม มันจะควบคุมอารมณ์ได้

ไม่ใช่! มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกนะ แต่ถ้ามันเป็นความเห็นผิดมันจะบอกเป็นวิปัสสนา

นั่นน่ะ มิจฉา มิจฉาเพราะอะไร เพราะมันไม่ได้ฆ่ากิเลส พอไม่ได้ฆ่ากิเลสแล้วมันจะวางอารมณ์ได้อย่างไร

มันไม่ใช่วางอารมณ์ได้ มันหลบอารมณ์

ในเมื่อเราจะเพิกเฉยสิ่งใดใช่ไหม ในชีวิตประจำวัน รู้หนอ เข้าใจหนอ ถ้าเข้าใจหนอ มันควบคุมความคิดเอาไว้อยู่กับอารมณ์หนึ่ง อารมณ์ที่บอกว่าสรรพสิ่งนี้มันไม่มีสิ่งใด อย่าหลงไปรับรู้มัน มันก็เลยมึนชา

แต่ถ้ามันมีสมาธิเข้ามาก่อน ถ้าเราทำสมถะที่ว่า มันไม่มีอารมณ์ อะไรกระทบแล้วจะรุนแรงมาก ดูสิดูพวกทำสมถะ พวกวิปัสสนา พวกทำสมถะพวกวัดป่าอารมณ์กระทบจะรุนแรงมาก รุนแรงนั้นรุนแรงเพราะอะไร รุนแรงเพราะว่ามันเป็นความจริงไง

ดูความเร็วสิ รถที่ออกไป รถวิ่งประมาณ ๕๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชนคนก็ประมาณหนึ่ง รถวิ่ง ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงชนคน ก็เป็นความรุนแรงอันหนึ่ง รถวิ่ง ๑๕๐ กิโลเมตรชนคนก็เป็นอีกอันหนึ่งใช่ไหม จิตมันเคลื่อนที่เร็ว ความเร็วของจิตไม่มีกำหนดเวลาอยู่แล้ว แล้วเรากำหนดเวลาของจิตให้มันเฉื่อยชาเห็นไหม จิตนี้ให้มันเคลื่อนไปโดยสติปัญญาควบคุมมันเห็นไหม หนอๆ นะ มันก็รถวิ่งสัก ๑๐–๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันชนอะไรก็ไม่มีแรงปะทะหรอก

แต่ถ้าสิ่งที่มันเคลื่อนที่เร็วที่สุด แล้วกำหนดให้เร็วที่สุด รถนี่มันวิ่ง ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เวลามันปะทะสิ่งใดมันก็มีอารมณ์รุนแรงเป็นธรรมดา จิตที่มันสงบได้ เรารักษาจิตให้มันสงบเข้ามาได้นี่มันมีพื้นฐานของมัน กำลังของมันมีเห็นไหม ฉะนั้นสิ่งที่มันมีพลังแล้ว อะไรกระทบมัน มันก็มีปฏิกิริยาเป็นธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดา รถวิ่ง ๓๐๐-๔๐๐ ชั่วโมงอะไรเข้ามากระแทก มันกระเด็นไปอยู่แล้ว ทีนี้พอมันกระเด็นขนาดไหน นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องของความจริง

แต่คนไม่รู้ความจริงของมันเห็นไหม บอกว่าไอ้พวกสมถะนี่รุนแรงมาก โอ๋ย บังคับอารมณ์ไม่ได้ โอ๋ย รู้หนอๆ นี่มันควบคุมได้หมดเลย

ก็รถมึงไม่ได้วิ่ง รถแม่งจอดอยู่กับที่ มันไม่ขยับเลย อะไรไปชนรถมัน รถมันถอยหลังเลยนะ รถแม่งโดนอะไรกระแทกมันต้องเอาหนุนล้อไว้นะ เดี๋ยวแม่งโดนกระแทกถอยไป โอ๋ย นี่ควบคุมอารมณ์ได้

ไอ้พวกพุทโธนี่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ พอกระทบแล้วแรงมากเลย เราก็เคยทำมาพุทโธ นี่อู้หู เวลากระทบแล้วมันจะรุนแรง เดี๋ยวนี้มาใช้วิปัสสนานะ โอ๋ มันระงับอารมณ์ได้หมดเลย

เพราะไปคิดว่าสักแต่ว่าไง คิดว่าเป็นธรรมะ แต่นี่เป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึกของมนุษย์ไง แต่สามัญสำนึกของมนุษย์น่ะมันเรื่องโลก พระพุทธเจ้าบอกสามัญสำนึกมันแก้กิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสมันอยู่อีกมิติหนึ่ง มิติที่มันลึกกว่านี้โดยธรรมชาติ

ฉะนั้นจิตนี้เป็นเราไหม เป็นแน่นอน!!! จิตนี้เป็นเรา เป็นเราจะบริหารตั้งแต่เราเกิดจนเราตายได้

ฉะนั้นพอเราไม่เคยทำสัมมาสมาธิ เราจะไม่เคยเห็นจิตเลย เราจะบอกว่าคนที่รู้จักจิต ว่าจิตเป็นเรานี่แทบจะไม่มีเลย แม้แต่ฤๅษีชีไพรพวกถือศีล ๘ นี่ เวลาจิตเขาสงบ เขาก็ไม่รู้ว่าสงบนะ เพราะไม่เป็นสัมมาไง มันสงบแล้วเป็นมิจฉา พอมิจฉานี่มันก็รู้ไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสัมมา คำว่าสัมมาเหมือนพวกเรานี้ เป็นคนทำมาหากิน เป็นคนมีศีลมีธรรม เราจะรู้ตัวเองตลอดเวลา

เราจะรู้สามัญสำนึกว่า เราทำถูกหรือว่าทำผิด เราทำไปนี้ทำให้กระทบกระเทือนหัวใจคนอื่นไหม เราทำไปแล้วคนอื่นจะได้ประโยชน์กับเราไหม เราทำนี่เรารู้สามัญสำนึกตลอดเวลา นี้คือสัมมาสมาธิ นี้คือตัวจิต ถ้าใครเข้าไปสู่ตัวจิต มันจะรู้อารมณ์ว่าเราคิดถูก คิดผิดคิดต่างๆ แต่นี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ตัวเองไม่รู้จักตัวเองเลยเห็นไหม ความคิดนี่มาจากไหนก็ไม่รู้ เวลาโกรธขึ้นมา ความคิดมันเผาไหม้ เราก็โดนความคิดนี่มันทำลายตัวเองตลอดเวลา

เหมือนกับเราไม่รู้จักตัวเองเลย จะทำอะไรโดยที่ไม่มีสติอะไรเลยนะ ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ โดยที่ไม่รู้เขาเจ็บช้ำน้ำใจเลย ทำอะไรโดยที่ไม่ได้คิดเลยเห็นไหม อันนี้เป็นอันหนึ่ง เพราะมันไม่รู้จักตัวมันเอง นี่ไง ก็มันไม่รู้จักจิตไง แล้วไม่รู้จักจิตเพราะอะไร ไม่รู้จักจิตเพราะจิตมันอยู่ที่อารมณ์ จิตมันอยู่ที่ความคิด อยู่ที่สามัญสำนึก มันก็สะเปะสะปะกระแทกเขาไปตลอดล่ะ

แต่ถ้ากลับมาที่จิต เพราะมันเห็นตัวจิตกับอารมณ์มันคนละคนกัน สามัญสำนึกของมนุษย์ เราอยู่ในสังคม เราไม่ใช่สังคม ถ้าเราออกไปทำอะไรให้สังคมเจ็บช้ำน้ำใจ เราทำให้เขาเสียหาย ความคิดน่ะมันสังคม จิตคือตัวจิต แล้วมันอยู่ที่ความคิดกัน มันไม่ถึงตัวจิต เขาถึงบอกจิตไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา เพราะเขาไม่รู้จักจิตเป็นอะไร คนที่ปฏิบัตินี่ถ้าทำพุทโธไม่เป็น ทำให้จิตสงบยังไม่เป็น เขาจะไม่รู้จักว่าจิตมันคืออะไร ถึงบอกว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา คำว่าไม่ใช่เราเพราะเขาไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่มันปฏิสนธิมันเกิดมา มันนั่งอยู่หัวตอเนี่ย ไอ้คนนั่งอยู่นี่ มันมีจิตอยู่กลางอก มันยังไม่รู้จักจิตของมันเองเลย

แล้วมันยังไปสอนธรรมะนะ! ไปสอนธรรมะ สอนไปทั่วว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา สรรพสิ่งนี้ไม่ใช่เรา ใช่! ใช่แน่นอน! แต่พอใช่แล้วนะมันก็เป็นอาตมันไง ถ้าใช่แล้วนะ กิเลสมันแลบไม่ได้นะ เพราะมันเป็นกิเลสของมันเอง จิตเป็นเรา มันอยู่กับเรา มันแยกไม่ได้ มันก็เลยธรรมะเกิดไม่ได้ เขาไม่กล้าพูดตรงนี้ไง ไม่กล้า ถ้าจิตเป็นเราเนี่ย พอจิตเป็นเราแล้ว จิตต้องอยู่กับเรา เราต้องควบคุมจิตได้เห็นไหม บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ถ้าใช่เรา เราต้องควบคุมได้สิ ต้องสั่งได้อย่าให้เจ็บไข้ได้ป่วย อันนี้เป็นธรรมของผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว แต่นี่มันเจ็บไข้ได้ป่วย เราทุกคนก็ไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็เจ็บของมันธรรมชาติของมัน ทำไงล่ะ

ไอ้จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันไม่ใช่เรา เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ไม่เห็นน่ะ แต่ถ้าเรารู้เราเห็นนะ จิตเป็นเรา เพราะเวลาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบุพเพนุวาสานุสติญาณ ท่านย้อนอดีตชาติไปตลอดเห็นไหม ท่านบอกว่า ท่านเคยเป็น คำว่าเคยเป็นคือว่า ตอนนี้จิตเป็นเราหมายถึงว่าปัจจุบันนี้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่มีปฏิสนธิจิต

เพราะจิตขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปัจจุบันนี้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านเคยเป็นหมายถึงว่า จิตนี้มันเคยเกิดไง มันเคยเกิดเป็นพระเวสสันดร มันเคยเกิดเห็นไหม มันเคยเกิดนี่มันเป็นอดีต ถ้าเป็นอดีตนะ มันจะเคลื่อนมาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันต้องยึดมั่น มันต้องอยู่ในสถานะนั้น แต่เพราะกาลเวลาอย่างนั้น ท่านได้สละอันนั้นแล้ว คือท่านตายจากพระเวสสันดร ท่านก็มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า

เห็นไหม นี่จิตเป็นเราไหม จิตตัวนี้มันเป็นหนึ่งเดียวตลอดเห็นไหม มันมาเกิดเป็นสถานะไหน มันก็อยู่ในสถานะนั้น ฉะนั้นปัจจุบันนี้ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราเป็นเรา นาย ก จิตมันยังอยู่กับเรานี่ มันเป็นเราไหม มันจะไม่เป็นเราได้อย่างไร เพราะเรานั่งหายใจอยู่นี่ มันเป็นเรา เพราะคำว่าเป็นเรานี่มันเป็นสมมุติ แต่ถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะไม่เป็นเรา มันเป็นสักแต่ว่าเพราะว่ามันเป็นสัมมาสมาธิ

แต่เวลาวิปัสสนาไปแล้ว พระโสดาบันนี้เป็นอย่างไร พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต์นี้เป็นอย่างไร ถ้าพระโสดาบันตัวจิตมันไม่รู้จักเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันจะเป็นพระโสดาบันขึ้นมาได้ไหม พระโสดาบันนี่มันเป็นขึ้นมาที่จิต เพราะจิตนี่อริยภูมิเห็นไหม อริยภูมิ จิตปฏิสนธินี่มันเกิดเป็นภูมิ ภูมิของอะไร แล้วถ้าจิตนี่มันเป็นปุถุชนใช่ไหม เป็นสาวกภูมิ ถ้ามันเกิดอริยภูมิขึ้นมา มันเป็นโสดาบัน มันเป็นที่ไหน มันก็ต้องเป็นที่จิต มันเป็นที่จิตเพราะอะไร มันเป็นเพราะจิตมันสงบแล้ว จิตมันเป็นรากฐานของมัน แล้วจิตมันออกวิปัสสนา มันแก้ไขตัวมันเอง จนตัวมันเองเป็นอริยภูมิเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามานี่ เป็นจิตไหม จิตเป็นอะไร

แต่ตอนปัจจุบันนี้จิตเป็นเราอยู่นี่ จิตเป็นเรานี่มันเคลื่อนออกมาเป็นสามัญสำนึก เป็นความรับรู้ เพราะมันเกิดมาในสถานะของเวรกรรม มันถึงเป็นเราโดยที่ พอถามว่าเป็นเราโดยที่เราไม่รู้ตัวกันน่ะ มันเป็นเราโดยที่เราไม่เห็นความเป็นจริง มันเป็นเราที่เรามืดบอด แต่พอมืดบอดไปศึกษาธรรมพระพุทธเจ้ามาใช่ไหม กายนี้ก็ไม่ใช่เรา สมมุติทั้งนั้น จิตนี้ก็ไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรามันก็ขี้ลอยน้ำไง! จนกลายเป็นขี้ลอยน้ำไปเลยน่ะ ไม่มีอะไรเป็นของของตัวเองเลย

แต่ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมาแล้วนะ จิตเป็นเรา! แล้วถ้าจิตวิปัสสนาไปแล้ว จิตเป็นโสดาบันก็จิตเป็นโสดาบัน โสดาบันคือโสดาบัน สกิทา อนาคา เป็นสกิคา อนาคาเหมือนกันหมด แล้วเวลามันไปถึงที่สุดแล้วนะ มันจะเหมือนกัน ฉะนั้นว่าจิตเป็นเราแน่นอน จิตเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราหมด ถ้าคำว่าเป็นเรานี่เป็นเราโดยกรรม พอหมดวาระของกรรม มันก็เปลี่ยนไปเป็นสถานะของเวรของกรรมตลอดไป

ฉะนั้นโดยสามัญสำนึก จิตมันเป็นจิต เพราะจิตมันเป็นจิตแล้ว เพียงแต่จิตมันไปเกิดในสถานะไหนเท่านั้นเอง ถ้าปฏิบัติไปตามความจริง มันจะเห็นตามความจริงอันนั้น ถ้าความจริงนะ ต้องเป็นเราไปก่อน เพราะไปปฏิเสธก่อน เหตุที่มันเกิด เพราะปฏิเสธกันก่อนว่า อะไรก็ไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าสอนแล้ว ธรรมะสอนว่าก็ไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา ก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์เลย ต้องเป็นเราไปก่อน

อันนี้ตอนนี้ย้อนกลับมาปัญหาที่ ๔๘ แล้วมันมีชมมาเยอะ หลวงพ่อดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้นี่ไม่ตอบ ชมมานี่เยอะมาก ยกตูดจนจรดฟ้านี่ไม่พูดถึงเลย ทีนี้ตอบแต่ปัญหาที่เขาถามเป็นประเด็นขึ้นมา มันถึงข้ามมาจาก ๔๖ เป็น ๔๘ ความจริงในดวงใจ ฟังนะ อันนี้ปฏิบัติขึ้นมาเป็นสมาธิแล้วไม่รู้ว่าเป็นสมาธิ

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกได้ฟังเทศน์หลวงพ่อทางเน็ตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ นี้เองเจ้าค่ะ ฟังทั้งวันทั้งคืน ล้างจานก็ฟัง กวาดถูบ้านก็ฟัง นอนก็ฟัง หลับ ตื่นก็ยังได้ยินเสียงหลวงพ่อเจ้าค่ะ (mp3) เป็นเช่นนี้ประมาณ ๒ อาทิตย์

ธรรมะออกจากใจของหลวงพ่อ หลวงพ่อเมตตาสุดประมาณ แม้หลวงพ่อพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ลูกก็ชอบฟังเจ้าค่ะ ยิ่งตอนที่หลวงพ่อให้กำลังใจนะเจ้าคะ สุดยอด (สำหรับลูก) รู้สึกมีพลังผลักดัน ฉุด กระชากใจ ให้กระโจนกำหนดพุทโธ เดี๋ยวนั้น

ครั้งแรกที่ลูกฟังเสียงเทศน์ (รู้สึก) ระบบหายใจผิดปกติ จะหายใจไม่ออกก็ไม่ใช่ จะอึดอัดก็ไม่เชิง รู้แต่ภายในใจ "ได้ใจ! สะใจ! ใช่เลย! เป็นอย่างนี้นี่เอง!"

ธรรมะจากหลวงพ่อ หลายคำ หลายประโยค กระทบ กระแทก กระเทือนใจ ลูกสุดๆ ตอนนี้ลูกมีสโลแกนของหลวงพ่อไว้เตือนใจตนเอง คือ "มันเป็นความจริงของใจดวงนั้น"

ลูกซาบซึ้ง เข้าใจ แต่..ยังไปไม่ถึง เจ้าค่ะ ลูกเชื่อแล้วเจ้าค่ะ "พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ลูก"

ประโยชน์ที่ได้รับจากหลวงพ่อครั้งนี้ จะพัฒนาจิตของลูก หากลูกเป็นบัวบานรับแสงอรุณได้ไม่ทันชาตินี้ ลูกก็จะต้องเป็นบัวพ้นน้ำให้ได้ ลูกสัญญาเจ้าค่ะ

ลูกขอโอกาสกราบเรียนถาม เป็นไปได้หรือไม่ สำหรับผู้ปฏิบัติเกิดสมาธิไปตามลำดับขั้น แต่ออกจากสมาธิแล้ว บรรยาย ถ่ายทอด เป็นคำพูดไม่เป็น หากพูดอธิบายออกมาไม่ได้ ก็เท่ากับยังไม่เกิดปัญญา หรือแม้เพียงจะรู้ ก็ยังไม่ใช่กระนั้นหรือเจ้าคะ

หลวงพ่อ : เวลาเป็นสมาธิเข้าไป นี่คือเขาปฏิบัติมาเรื่อยๆ เห็นไหม พอจิตมันเป็นเข้าไปนี่ มันปล่อยวางเพราะมันกระแทกใจมันปล่อยวางมา การปล่อยวางมา ความรับรู้อันนั้นเป็นความจริงอันหนึ่ง เหมือนเรารับรู้สิ่งใด จิตที่มันเป็นนี่รับรู้ มันละเอียด มันละเอียดหมายถึงว่า มันเหมือนกับเราไปเห็นสิ่งใดที่มันซาบซึ้งใจมาก แล้วเราจะอธิบายออกมาเห็นไหม

ประเด็นนี้ มันก็เหมือนกับที่ในตำราบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าสอนไม่ได้ ทีนี้เวลาคนแบบว่าไอ้พวกฉ้อฉลเห็นไหมก็บอกว่า เรานี่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า กูรู้จริงนะ แต่กูสอนไม่ได้ ความจริงนี้คนรู้อะไรก็สอนได้ทั้งนั้นน่ะ แต่สอนได้มากได้น้อยใช่ไหม แต่นั้นที่ว่าคำถ่ายทอดไง คำถ่ายทอดน่ะพระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นตำราเป็นบาลี พระพุทธเจ้าบัญญัติมา พวกธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ พวกมรรค ๘ พวกกรรม พวกเวทนาต่างๆ นี่คือบัญญัติ พระพุทธเจ้าเขียนเป็นตำรามา นี่ไงพระพุทธเจ้าสอนโดยทางตำราไง

แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สอนได้ แต่สอนด้วยความรู้ของตัวเห็นไหม จะเปรียบเทียบกับอะไรล่ะ อย่างเวทนานี่ ความรู้สึกเอ็งน่ะทุกข์ไหม เอ็งเจ็บไหม นั่นก็เวทนา นี่พระปัจเจกพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น นี่เราจะเทียบให้เห็นว่า แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าเวลาถ่ายทอด ยังถ่ายทอดแตกต่างกันเลย ฉะนั้นเวลาย้อนกลับมาที่ว่าเวลาจิตถ้าเป็นสมาธิ เวลาจิตเราสงบแล้ว คำพูดคำอธิบายที่ออกมา ในเมื่อพูดออกมาไม่ได้เลย มันไม่เกิดปัญญาหรือ

ไอ้คำว่าเกิดปัญญานี่ หลวงตาใช้คำว่าอย่างนี้นะ คำว่าขั้นของสมาธินี่ เราต้องทำจิตสงบเข้ามา มันมีสมบูรณ์ของมันได้ แล้วถ้ามันมากกว่านั้นไป มันก็ล้นไป เพราะสมาธิคือสมาธิไง แต่ขั้นของปัญญาหลวงตาบอกว่า ไม่มีขอบข่าย ไม่มีขอบเขต คำว่าไม่มีขอบเขต ปัญญาของคน จินตนาการของคน ความเห็นของคน โอ้โฮ มันหลากหลายมาก ทีนี้ความหลากหลายมากแล้ว มันก็อยู่ที่เห็นไหม

ดูสิพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล มีเยอะแยะไปหมดเลย ทำไมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งพระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะทางปัญญาล่ะ เห็นไหมทำไมปัญญาไม่เท่ากันล่ะ พระอรหันต์เหมือนกันหมด ถ้าพระอรหันต์เหมือนกันหมดนะ พระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะ เลิศทางปัญญา แล้วพระอรหันต์ทุกองค์เลิศทางปัญญาไหม เอ้า ก็ต้องมีปัญญาเท่ากันสิ ทำไมพระสารีบุตรเป็นเลิศทางปัญญาล่ะ ทำไมพระองค์อื่นเป็นเลิศทางอื่นล่ะ

อันนี้ก็เหมือนกัน ปัญญาของคน ขอบเขตของคนมันไม่เท่ากัน ขอบเขตของคน คนหนา คนหยาบ มันโดนขูดขนาดไหนมันก็ยังไม่รู้สึก แต่ถ้าคนบางนะ พอเริ่มเตือนเริ่มสะกิด รู้สึกแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นคนหนานี่ โอ๋ย ปัญญานี่มันคิดแล้วคิดอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกนะ มันไม่สะกิดใจ ฉะนั้นเราต้องใช้ปัญญามากมากกว่าเขา ต้องใช้ความเห็นมากกว่าคนอื่น แต่ถ้าคนบางคนเห็นไหม เวลามันใช้ปัญญาขึ้นมา มันใช้รอบ สองรอบ นี่มันเข้าใจแล้ว มันเห็นชอบแล้ว มันเป็นความจริงได้แล้ว

ฉะนั้นขั้นของปัญญานี้มันไม่มีขอบเขต ฉะนั้นสิ่งที่ว่า ถ้ามันพูดออกมา บรรยายถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เป็นคำพูดไม่ได้หมายถึงว่า คำว่าสมาธิ มันมีความรู้สึกมากกว่า มากกว่าสิ่งที่เราจะพยายามสมมุติออกมา ที่เขาพยายามสมมุติออกมา โดยเป็นภาษาสากลที่เป็นกลาง เขาบอกว่าง เป็นกลาง เป็นความว่าง

ทีนี้พอความว่าง มันก็เหมือนเถรส่องบาตรแล้ว เห็นไหมเถรส่องบาตร เห็นอาจารย์ส่องบาตร ส่องบาตรเพราะอะไร ส่องบาตรเพราะดูว่าบาตรนี้มันมีรอยรั่วไหม มีอะไรไหม จะซ่อมมันใช่ไหม ไอ้เราเห็นเขาส่องบาตร เราก็ส่องด้วย มันความหมายแตกต่างกันแล้ว เถรส่องบาตร เขาส่องบาตรเพราะไปหาความชำรุดของบาตรนั้น แต่เราเห็นอาจารย์ส่องเราก็ส่องตาม ก็เหมือนเราก็บอกว่า ความว่าง ไง ครูบาอาจารย์น่ะคำว่าความว่างหมายความถึงว่า บรรยากาศที่ว่าง อาศัยสิ่งนี้เป็นตัวตั้ง เป็นประเด็น เป็นที่ชี้ถึงผลอันนั้น

อันนี้ไอ้ความว่างอย่างนั้นปั๊บ เราก็จินตนาการของเราว่างได้เหมือนกัน เพราะมันมีประเด็นขึ้นมาแล้ว คือความว่าง ทีนี้มันความว่างของใครล่ะ ถ้าความว่างของความเป็นจริงที่มันพูดออกมาไม่ได้ เพราะมันมีความว่างด้วย เพราะจิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย แล้วพยายามจะพูดถึงความว่างนี่ เอ็งว่า ว่าง พอบอกความว่างปั๊บนะ ความว่างคือบรรยากาศที่ว่าง กับความรู้สึกที่ว่าง เฮ้ย มันละเอียดกว่าเว่ย แล้วกูจะพูดอย่างไรเห็นไหม คำว่าพูดออกมาไม่ได้ มันเป็นอย่างนี้ไง

เราจินตนาการถึงความว่างได้ไหม แล้วความรู้สึกของเรานี่ มันเป็นความรู้สึกนี่ มันไม่ใช่บรรยากาศที่ว่าง มันมีอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่ง แต่เราจะบอกว่า มันเหมือนอย่างนี้ มันเหมือนกับความว่าง ทีนี้พอบอกความว่างปั๊บ ความว่างของใคร อันนั้นบอกพอทำเป็นความว่าง ความว่าง เพราะเราจับประเด็นอันนี้ไง เราถึงบอกว่าโอ่งกูก็ว่างนะมึง โอ่งกูนี่ใช้น้ำหมดมันก็ว่างอยู่นั่นน่ะ โอ่งกูมันไม่รู้อะไรมันก็ว่างนะ

ทีนี้คำว่าความว่างมันก็สมมุติว่าจิตว่าง แต่คนที่เข้าไปสัมผัสความว่างอันนั้นน่ะ มันมีอารมณ์ความรู้สึกอีกอันหนึ่ง แต่เราใช้คำว่า ว่าง นี้เป็นสมมุติกัน

ฉะนั้นบอกว่า จะพูดออกมาไม่ได้หรือ ถ้ามันถ่ายทอดออกมานี่ มันก็ไม่ใช่ใช่ไหม คำว่าถ่ายทอด ถ่ายทอดเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํ คลมุตฺตมํ ผู้ที่ปฏิบัติแล้วมันว่างได้ ความจริงพูดออกมาเห็นไหม เราฟังเทศน์หลวงตาบ่อย เวลาคนไปถามปัญหาบอกว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น “ไม่ต้องพูด เรารู้แล้ว” หลวงตาท่านพูดคำนี้ประจำนะ ไม่ต้องพูดเรารู้แล้ว เพราะคำพูดจะให้เหมือนอย่างที่เป็นน่ะ มันไม่มี มันหาไม่ได้ แต่คนที่เป็นน่ะ เขารู้อยู่แล้ว ฉะนั้นคำพูดนี่เขาเพื่อจะสื่อในความรู้สึกอันนั้นออกมาให้รับรู้กัน

ฉะนั้นถ้าเอ็งพูดถึงความรู้สึกอันนั้น เอ็งพูดออกมานี่เขาจับประเด็นได้แล้ว เอ็งพูดถูก ถ้าเอ็งพูดถูกแล้ว ไอ้คนถามปัญหานะ ก็พยายามจะอธิบายให้ได้ไง จะพูดอย่างนั้น หลวงตาจะบอกว่า”ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด เรารู้แล้ว ไม่ต้องพูด” ที่ว่ามันเหนือโลก เหนือโลก มันเหนืออย่างนี้ไง ฉะนั้นก็ย้อนกลับมานี่ว่า ความจริงของใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นมันเป็นอย่างนั้น พอเป็นอย่างนั้น มันพูดออกมาไม่ได้

ถ้าพูดออกมาไม่ได้นี้ให้ปฏิบัติไป สิ่งที่ปฏิบัตินี่ถูกต้อง คำว่าถูกต้องแล้ว แล้วสิ่งที่อธิบายได้ หรืออธิบายไม่ได้ มันก็เป็นความเห็นของเราใช่ไหม มันไม่จำเป็นจะต้องให้ใครเห็นไปกับเรา ถ้ามันเป็นความจริงนะ แต่ถ้ามันเป็นความจอมปลอม เขาจะพยายามอธิบายให้ความรู้สึก มีคนมาพูดมากว่าพระกรรมฐานเราไม่ค่อยเขียนตำรากัน เพราะว่าไม่ค่อยเขียนตำรากัน จึงทำให้ความรู้ที่เป็นการประพฤติปฏิบัติที่ค้นคว้ามามันหายไป

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์เห็นไหม การเขียนตำรา หลวงตาเขียนประวัติหลวงปู่มั่น ท่านบอก “ไม่รู้เขียนไม่ได้ ไม่รู้เขียนไม่ได้” พอเขียนออกมาแล้ว คนอ่านแล้วจะเชื่อไม่เชื่อ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งนะ แต่ถ้าเป็นตำราธรรมะของโลก ของโลกคือของทางวิทยาศาสตร์ เขาต้องเขียนออกมาให้เป็นภาษาสละสลวย ให้เป็นภาษาที่เข้าใจได้ คำว่าเข้าใจได้ คนที่เข้าใจได้ คนที่มาอ่านธรรมะคือใคร ก็คือโลก คือมนุษย์

แต่ธรรมะของครูบาอาจารย์ของเรานี้มันเหนือโลก เหนือความสัมผัส เพราะใจนั้นสัมผัสมาแล้ว มันเหนือโลกไง สิ่งที่เหนือโลก เอามาเสนอกับโลก โลกเลยเข้าใจไม่ได้ พอเข้าใจไม่ได้เห็นไหม เวลาเขียนตำรา หลวงตาท่านพูดถึงว่าหลวงปู่มั่น เวลาท่านเทศน์ ท่านบอกว่า เทศน์นะ ผู้ฟังนี่เข้าใจไม่ได้ ท่านพยายามจะลดคุณภาพของธรรมะต่ำลง ต่ำลง ต่ำลง มาให้เห็นว่า ถ้าไม่เห็นความสกปรกโสโครกของร่างกาย ก็ให้เอานิ้วแหย่เข้าไปในทวารหนักออกมา ดูสิมันจะเหม็นไหม นี่ท่านพยายามพูดให้มันแบบว่าให้สัมผัสได้ ให้รับรู้ได้เห็นไหม

ฉะนั้นบอกว่าพระกรรมฐานไม่เขียนตำรา ตำรานี้ก็เขียน แต่มนุษย์มันอ่านกันไม่ออก อ่านแล้วมันเข้าใจกันไม่ได้ พออ่านเข้าใจไม่ได้แล้ว โฮ้ ยาก แต่ถ้าไปอ่านตำราที่เข้าใจได้ นั่นก็คือตำราโลกไง ตำราของโลกที่ให้โลกเข้าใจได้ แล้วเขียนตำรากันอย่างนั้น แล้วคุณภาพของธรรมะมันจะมีอะไรล่ะ คุณภาพธรรมะก็ต่ำลง ต่ำลงใช่ไหม ต่ำลงก็เป็นเรื่องของโลกไง

นี่ไงธรรมะพระพุทธเจ้าบอกว่าอีก ๕,๐๐๐ ปี พระเราแค่เอาผ้าเหลืองผูกคอไว้คือพระแล้ว เพราะความสะดวกสบายไง ความเข้าใจได้ไง ต่อไปใครมีผ้าเหลือง เหมือนตอนนี้ไปไหน เวลามาต้องมีบัตรติดอกไว้ไง เป็นประเภทใด ต่อไปพระก็มีบัตรอันเดียวเท่านั้นแหละติดอกไว้ ฉันเป็นพระนะ ฉันเป็นพระ เพราะอะไร เพราะโลกเป็นใหญ่เห็นไหม โลกเป็นใหญ่

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำความเข้าใจอย่างนี้ ทำความเข้าใจว่า สิ่งที่พระป่า พระปฏิบัตินี่ไม่เห็นเขียนตำราเลย ไม่เห็นอธิบายเป็นธรรมะออกมาเลย อธิบายประจำ แต่อธิบายไปแล้ว โลกตีความไปอีกอันหนึ่ง โลกตีความไม่ได้ โลกทำความเข้าใจไม่ได้ แม้แต่แค่ปฏิบัติสัมมาสมาธินี่เห็นไหม

จิตเป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิ ความสงบของใจมันเป็นระดับเข้าไป หากคำอธิบายพูดไม่ได้ เท่ากับไม่ใช่หรือ

นี่เขาบอกเพราะเขารู้แล้ว เขาพูดไม่ได้ไง เขารู้แล้วเขาอธิบายไม่ได้ มันถูกหรือผิด

ถ้ามันรู้จริงอธิบายแทบไม่ได้เลย ในมหายานเห็นไหม พระอรหันต์เวลาให้ตอบธรรมะนะ ลุกขึ้นมายืนแล้วเม้มปากแล้วนั่งลง ถ้าพูดออกไปนะ พอพูดปั๊บ มันมีของคู่ไง ขาวคู่กับดำ มืดคู่กับสว่าง พอพูดออกไปอย่างนี้ปั๊บ เขาจะมีปัญหาโต้แย้งกลับแล้ว มันก็เป็นของคู่ไป มันถึงจบกันไม่ได้

ฉะนั้นอันนี้ถึงบอกว่า มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ เวลาผู้ปฏิบัติถึงหาครูบาอาจารย์ไง ถ้ามีครูบาอาจารย์ตอบถูกนะมันจะไปถูก ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ไม่รู้นะ ก็ยิ่งไม่รู้กันไปใหญ่เลย ไอ้คนปฏิบัติมาแล้วบอกพูดไม่ได้ อาจารย์บอกกูยิ่งพูดไม่ได้ใหญ่เลย มันก็เลยไปกันใหญ่เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ไอ้ที่พูดไม่ได้นั้น ความรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าบอกความรู้สึกปั๊บทีเดียวก็จบแล้ว ไม่รู้ไม่เห็น รอยโคเห็นไหม เห็นแต่รอยเท้าโค ไม่เคยเจอตัวโค เห็นรอยเท้าโค

โคเป็นอย่างไร

“โคมี ๒ กลีบอยู่ที่ดิน โคมี ๒ กลีบ”

แล้วไอ้ตัวโคล่ะ

“โคมี ๒ กลีบ ตัวโคมี ๒ กลีบ”

แต่ถ้าพอเดินไปถึงนะ พอพุทโธๆๆๆๆๆ พุทโธนี่ตามรอยเท้าโค พุทโธๆๆๆ จนไปถึงตัวโคนะ ไอ้ ๒ กลีบกับไอ้ตัวโค มันคนละเรื่องเว้ย ไอ้ ๒ กลีบนั้นน่ะ เท้าของมันน่ะเห็นไหม พุทโธๆๆๆๆ ไปน่ะ พอไปเจอตัวมัน โอ้โฮ มี ๔ ขาเนอะ โอ๋ มี ๔ ขาเลยหรือ ตัวใหญ่อย่างนี้เลยหรือ มันไม่เห็นเหมือน ๒ กลีบอันนั้นเลย ไม่เห็นอย่างที่พุทโธๆๆๆ อย่างนั้นเลย พอมันเป็นไป มันจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นปั๊บ นี่คือสัมมาสมาธิ

ที่พูดนี้เพราะว่าแม้แต่ทำสมาธิ เราจะบอกว่า เดี๋ยวนี้การปฏิบัติ สมาธิยังรู้กันไม่ได้จริงเลย แม้แต่พื้นฐานยังรู้กันไม่ได้จริงเลย เหมือนเรานี้ เวลาจบมัธยม หรือจบอะไรนี่ เราไม่มีใบประกาศแล้วเราไปเรียนต่อ ถ้ารู้วันไหนนะ ใบประกาศปริญญาตรีก็ต้องถอนเหมือนกันน่ะ นี่พื้นฐานไม่มีเห็นไหม ไอ้ปริญญาตรีถอนมันยังเรียนได้จริงนะ ไอ้นี่เวลาปฏิบัติไปเห็นไหม เป็นวิปัสสนา เป็นอะไรนี่ สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย

พอไม่มีอะไรปั๊บ พื้นฐานมันไม่มี เห็นไหมที่ถามว่า

“จิตเป็นเราหรือเปล่า? ”

“สมาธิเป็นอย่างไร? ”

นี่มันพื้นฐานทั้งนั้น แค่พื้นฐานนะ ก็ยังไปไหนมาสามวาสองศอกเลย

แล้วก็บอกว่า เป็นวิปัสสนานะ สติปัฏฐาน ๔ นะ เป็นสติปัฏฐาน ๔ หมด พุทโธนี่ไม่มีปัญญา พุทโธนี่ไม่มีปัญญา สติปัฏฐาน ๔ ตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าบอก มันเป็นปัญญา

อันนี้มันเป็นความเห็นของเขา นี่พูดถึงว่า จิตเป็นจิต สมาธิเป็นสมาธิ การปฏิบัติจริงมันจะได้ผลตามความเป็นจริงเนอะ เอวัง