เทศน์บนศาลา

จิตอนาถา

๑๓ พ.ค. ๒๕๕๓

 

จิตอนาถา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลารื้อค้นธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ค้นคว้า ยังไม่มีธรรมเป็นที่พึ่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม แต่ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ธรรมะนั้นอยู่ที่ไหนนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาค้นคว้ามา ขณะที่ค้นคว้าอยู่เป็นอนาถา เพราะไม่มีที่พึ่ง แต่ในปัจจุบันนี้เรามีธรรมวินัยเป็นที่พึ่ง เราเป็นอนาถาไหม เป็น เราเป็นอนาถาเพราะจิตเราไม่มีธรรมไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่นั้นเป็นอนาถา ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ แต่ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว มีธรรมเป็นที่พึ่ง

“เธออย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แต่ธรรมอันนั้น มันอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมา เป็นธรรมและวินัย เราก็บอกธรรมและวินัยนี้เป็นที่พึ่งของเรา แต่เรายังพึ่งไม่ได้เพราะเราเป็นคนอนาถา ที่เป็นคนอนาถาเพราะจิตเราไม่มีที่พึ่ง เราถึงพยายามค้นคว้าพยายามขวนขวายเอา เราถึงต้องมาประพฤติปฏิบัติกัน เพราะเราต้องการให้จิตเรา ให้หัวใจเราไม่เป็นคนอนาถา

เวลาจิตเราเป็นคนอนาถานั้นน่าเห็นใจมากนะ ดูทางโลกเขา คนที่เป็นอนาถา เขาไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เขาต้องเร่ร่อนไปของเขา เป็นความทุกข์ความยาก ถ้าเรามองว่าเป็นคนอนาถา ย้อนไปสมัยโบราณนะ สมัยเมื่อยุคหิน ยุคน้ำแข็ง ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเพราะคนโบราณไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เขาอยู่ในถ้ำกัน ยุคน้ำแข็ง ยิ่งพอยุคไฟยุคต่างๆ ยุคสัมฤทธิ์ คนรู้จักสัมฤทธิ์รู้จักต่างๆ รู้จักไฟ หล่อหลอมไฟ มันก็ปลูกที่อยู่อาศัยกันได้ แต่เขามีของเขาเป็นผลของวัฏฏะ

จิตก็เหมือนกัน เวลาจิตมันเวียนตายเวียนเกิด จิตมันมีที่พึ่งที่อาศัยไหม จิตอนาถายิ่งน่าสังเวชกว่ากว่ามนุษย์นะ มันเป็นไปตามบุญตามกรรม เวลาบุญกรรมมันหมุนไป ผลของวัฏฏะ เวลาเกิดเวลาตายขึ้นมา มีบุญกุศลมันก็ไปเกิดบนสวรรค์บนอินทร์บนพรหม แต่เวลามันมีบาปอกุศลล่ะ

เวลาในพุทธศาสนาเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ ๕,๐๐๐ ปี ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับ ๑ วันของเทวดาเขา เทวดานี้ชีวิต ๑ วันของเขาเท่ากับ ๑ ชีวิตของเรา แล้ว ๑ ชีวิตของเรา แล้วเวลามนุษย์เวียนตายเวียนเกิดขึ้นไป สิ่งสับเปลี่ยนของวัตถุ สิ่งสับเปลี่ยนไปของการเกิดและการตาย ดูจิตที่มันเป็นอนาถาสิ เวลาจิตเป็นอนาถามันเวียนตายเวียนเกิดไป ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันทุกข์ยากมาตลอดไป นี่คือจิตที่เป็นอนาถา

ในปัจจุบันนี้เราเกิดมา จิตยังเป็นอนาถาไหม มันเป็นอนาถาเพราะมันไม่มีที่พึ่ง ถ้ามันไม่มีที่พึ่ง เวลาฟังธรรมขึ้นมา ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังธรรมขึ้นมาให้มันเลื่อมใส มีความศรัทธามีความเชื่อ เลื่อมใสในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม เป็นสัจธรรมเพราะอะไร เพราะเราไม่มีที่ค้านไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้านไม่ได้เลย ค้านไม่ได้เพราะมันไม่มีเหตุใดที่ให้ค้าน มันเอากิเลสเข้าค้าน เวลาคนเรามันกิเลสหนา ฟังธรรมขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ ก็คิดว่านรกสวรรค์ก็ไม่มี นรกสวรรค์คือการเขียนเสือให้วัวกลัว สิ่งที่ทำดีทำชั่วมันแค่ทำแล้วก็จบสิ้นไป ทำแล้วก็จบไปนะ แต่กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม คนดีมีศีลธรรม มันจะหอมทวนลมไป แต่คนบาปอกุศล คนชั่วคนเลวมันก็ไปตามลมเหมือนกัน กลิ่นของมัน สังคมเขาไม่ยอมรับไง เขาบอกว่าทำแล้วก็แล้วกันไปไง

สิ่งที่คิดนี้เวลาจะโต้แย้ง เวลาจะค้านธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเอากิเลสมาโต้แย้งไง แต่ถ้าสัจจะความจริง ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เวลาเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เราก็เป็นอนาถา สิ่งที่เป็นอนาถาคือ จิตใจมันไม่มีที่พึ่ง ถ้าจิตใจไม่มีที่พึ่งมันจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งล่ะ มันก็เกาะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก อวิชชาครอบงำหัวใจอยู่ ถ้าครอบงำหัวใจอยู่ แล้วหัวใจมันเอาอะไรมาคัดค้านธรรมล่ะ มันก็เอากิเลสนี้คัดค้านธรรม ถ้ามันคัดค้านธรรมขึ้นมา มันเหยียบย่ำตัวมันเองไหม ถ้ามันเหยียบย่ำตัวมันเองมันจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งอาศัย มันเป็นอนาถาแล้วนะมันยังทำลายตัวมันเอง แต่ถ้าเป็นอนาถาแล้วเรามีความเลื่อมใส มีศรัทธามีความเชื่อ เราจะมุมานะของเรา

งานทางโลกมันเป็นเรื่องของโลกเขา ส่วนงานทางธรรมเป็นเรื่องของเรา งานทางโลกเป็นเรื่องของโลกเขา ร่างกายนี้เป็นวัตถุ เวลาเราเกิดมา เรามีบุญกุศลขึ้นมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้มีร่างกายและจิตใจ ถ้ามนุษย์มีร่างกายและจิตใจ สิ่งที่เราแสวงหามานี้ แสวงหามาเพื่อให้ร่างกายได้ดำรงชีวิตเท่านั้นเอง มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นวัตถุ แต่สิ่งที่เป็นวัตถุมันก็ต้องย่อมแสวงหาลงทุนลงแรงได้ขนาดนั้น

เวลาเราเกิดขึ้นมา ถ้าเรามีอำนาจของเรา ถึงจะเกิดเป็นลูกเศรษฐีกฎุมพีขนาดไหน แต่ถ้ามันไม่มีความสามารถ มันก็ไม่สามารถรักษาสมบัติไว้ มีในพระไตรปิฎกมหาศาลเลยนะ ที่ว่าลูกเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้วรักษาสมบัตินั้นไว้ไม่ได้ เพราะอะไรล่ะ เพราะสิ่งนี้มันต้องใช้ปัญญา แล้วปัญญามันเกิดมาจากไหน แต่ในเมื่อคนเรามีบาปอกุศลมา เกิดมาอย่างนั้นแล้วปัญญามันเกิดจากไหน แม้แต่ทางโลกมันยังทุกข์ยังยากจนเข็ญใจขนาดนั้น

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วปัญญาที่เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติมันจะเอามาจากไหนล่ะ สิ่งนี้เป็นปัญญาที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพราะเราเห็น เรื่องชีวิตของโลก เรามีความทุกข์กับโลกมา โลกมันเป็นเรื่องของร้อนนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก โลกนี้เป็นของร้อน เราถือดุ้นไฟไปคนละดุ้นแล้วก็ตะโกนว่าร้อน ร้อน ร้อนอยู่ตลอดเวลา

ก็เหมือนกัน เราดำรงชีวิตทางโลก เราก็มีความคับแค้นในหัวใจตลอดเวลา แต่เพราะเราเป็นชาวพุทธ สิ่งที่เราไปวัดไปวากันก็เพื่อหาที่พึ่งที่อาศัย เราไปวัดไปวาเพื่อเสียสละ เพื่อให้หัวใจนี้มันร่มเย็นเป็นสุข ถ้าหัวใจร่มเย็นเป็นสุขนะ เรากลายเป็นว่าเป็นผู้ให้ขึ้นมา มันมีความอิ่มเอิบใจ แต่ถ้าเป็นผู้รับ ผู้รับก็รับตลอดไป แล้วพระนี้เป็นผู้รับ ผู้รับ รับสิ่งใดมา พระนี้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ทำไมถึงเป็นเนื้อนาบุญของโลกล่ะ

เป็นเนื้อนาบุญของโลก เพราะทำหัวใจให้ผ่องแผ้ว ถ้าทำหัวใจให้ผ่องแผ้วได้ มันถึงจะเป็นเนื้อนาบุญของโลก ถ้าทำหัวใจให้มันผ่องแผ้วไม่ได้ พระก็เร่าร้อน คฤหัสถ์เขามาทำบุญในวัดก็เร่าร้อน สิ่งที่เร่าร้อนมันเกิดจากสิ่งใด มันเกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นในหัวใจ ฉะนั้นถ้าเป็นพระที่เร่าร้อนนั้นเร่าร้อนเพราะอะไร เพราะมันบีบคั้นในหัวใจ เราก็เร่าร้อน อยู่ด้วยความเป็นทุกข์ พออยู่ด้วยความเป็นทุกข์ สิ่งต่างๆ ที่ทำกันเป็นประเพณีวัฒนธรรม มันไม่เป็นสัจจะความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริง เป็นเนื้อนาบุญของโลก เพราะอะไร เพราะหว่านพืชแล้วมันหวังผลไง เขาทำบุญกุศลกันเพื่อผลของเขา

ปฏิคา ๖ บุญกุศลจะเกิดขึ้นมามหาศาล เพราะเกิดเป็นปฏิคา ๖ ผู้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งที่หามาด้วยความบริสุทธิ์ เวลาให้ด้วยความบริสุทธิ์ เวลาให้แล้วมีความรื่นเริงมีความชื่นใจ ผู้รับก็รับด้วยความบริสุทธิ์ เพราะอะไร รับด้วยความบริสุทธิ์เพราะจิตใจมันมั่นคง จิตใจมันเป็นความบริสุทธิ์ จิตใจมันเป็นธรรม ถ้าจิตใจเป็นธรรมนะสิ่งนั้นเป็นบุญกุศลของเขา เขาเสียสละเพื่อบุญกุศลของเขา

ถ้าไม่มีเนื้อนาบุญของโลก เขาจะทำบุญกุศลได้อย่างใด ถ้าเขาทำบุญกุศลก็เป็นสมบัติของเขา สิ่งที่ตกใส่บาตรนั้นเป็นวัตถุนั่นเป็นของของเขา เขาใส่ตกบาตรมา เขาเสียสละมา สิ่งที่เสียสละมาเพื่อบุญกุศลของเขา แต่ในเมื่อเป็นภิกขาจาร เราเป็นภิกษุ เป็นปฏิคา ๖ ผู้รับภิกขาจาร เราทำด้วยปลีแข้ง สิ่งนั้นเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่สะอาดบริสุทธิ์เพราะสิ่งใด

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาพระจะออกบิณฑบาต กิเลสมันออกก่อนไง มันคิดว่าถ้าไปวันนี้เขาจะใส่บาตรอะไรเรา มันอยากได้สิ่งที่ประณีตไง จึงไม่ไปบิณฑบาตเลย เรายังไม่ออกไปบิณฑบาต กิเลสมันออกไปก่อนแล้วใช่ไหม กิเลสมันออกไปก่อน ต้องยับยั้งกิเลสไว้ ถ้าเอ็งฉลาด กิเลสเอ็งมีความสามารถมาก เอ็งไปหากินของเอ็งเอง ไม่ไป ไม่ให้ไปบิณฑบาต พอไม่ไปบิณฑบาต กิเลสมันก็ไม่ได้กินด้วย ถ้าจะไปบิณฑบาตด้วยสิ่งที่เราคิดว่าจะได้สิ่งใดตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันถึงว่าถ้าไม่มีคุณธรรมมันจะไม่เป็นปฏิคา ๖ เพราะมันอยากไปก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่มีของตกใส่บาตร ความคิดมันไปก่อนแล้ว กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกินก่อนแล้ว กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจก่อนแล้ว แต่ถ้ามันเป็นธรรม เราไปบิณฑบาตเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะเป็นวัตถุใช่ไหม

คนเราเกิดมามีชีวิต ถ้ามีชีวิต ร่างกายนี้มันก็ต้องอาศัยอาหารเป็นเครื่องดำรงชีวิตใช่ไหม ในเมื่อมีร่างกาย หัวใจนี้ที่เราเกิดมา จิตที่มันอนาถานี้ มันเกิดมา มันบวชมา มันก็ยังเป็นอนาถาอยู่ มันยังหาที่พึ่งไม่ได้ ถ้ามันหาที่พึ่งไม่ได้ เราดำรงชีวิตต้องอาศัยสิ่งปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตของเรา เราจะภิกขาจารมาตามมีตามเกิด ตามมีตามได้ เราไม่ให้กิเลสมันออกหน้าไปก่อน สิ่งที่ดำรงชีวิต เราต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตไป เพื่อสิ่งใด ดำรงชีวิตไปเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อความประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ปฏิคา ๖ ผู้ให้ เขาให้ เขาเสียสละของเขาออกมา แล้วเราบิณฑบาตของเขามา แล้วเราฉันแล้ว แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าหัวใจเราร่มเย็นเป็นสุขล่ะ จิตใจ เวลามันเห็นคุณค่าไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าทานในพุทธศาสนานี้ ที่มีคุณค่ามากมีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดา เราสิ้นถึงซึ่งกิเลสนิพพาน ในอีกคราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะ เราสิ้นถึงขันธนิพพาน เพราะฉันอาหารของนายจุนทะเป็นมื้อสุดท้าย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพาน เวลาฉันอาหารของนางสุชาดา มื้อนั้นฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วทำลายกิเลสสิ้นอาสวักขัยไป สิ้นถึงกิเลสนิพพาน

เราบิณฑบาตของเขามา แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าหัวใจเรามีคุณธรรมล่ะ ถ้าหัวใจของเรานี้ร่มเย็นเป็นสุข เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้บุญกุศลเขาก็เกิดขึ้นมา ปฏิคา ๖ ผู้ให้ก็ให้ด้วยความบริสุทธิ์ เวลาผู้รับ รับมาเพื่อดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ แล้วถ้าประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุดแล้วจิตใจมันชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศลของเขา เป็นเนื้อนาบุญของโลก

คำว่าเนื้อนาบุญของโลก ชีวิตของเราเป็นเนื้อนาบุญของโลกที่เขาจะสร้างบุญสร้างกุศลของเขา ถ้าไม่มีพระ ไม่มีภิกษุนี้บุญกุศลมันจะทำกันที่ไหน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ พระก็ทำหน้าที่ของพระ คฤหัสถ์เขาก็ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพญามาร “มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถกล่าวคำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน” จนถึงที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางธรรมและวินัยไว้ เทศนาว่าการ ๔๕ ปีนี้มีพระอรหันต์เต็มไปหมดเลย ศาสนามั่นคงมาก เจ้าลัทธิต่างๆ กษัตริย์ กฎุมพีมาศรัทธาในพุทธศาสนา มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามหาศาล

มหาศาลเพราะอะไร เพราะมันเป็นความจริง เขาเกิดสหชาติ คนจะเกิดเป็นสหชาติได้นี้ต้องมีบุญกุศลมา มีการสร้างบุญกุศลมาเกิดพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีบุญบารมีมา

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันละเอียดลึกซึ้งนะ เพราะสมัยพุทธกาลที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมอยู่ มันมีพวกเดียรถีย์ นิครนถ์ พวกพราหมณ์เขาถือเคร่งของเขา มีวรรณะของเขา เขาแบ่งชนชั้นของเขาโดยโลก โดยอัตตา โดยความเป็นไปอย่างนั้น คนเกิดดีโดยธรรมชาติจะเป็นอย่างนั้นเลย เป็นอัตตาของเขาเลย

แต่ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารื้อสัตว์ขนสัตว์ ทุกคนเกิดมาแล้วก็มีโอกาส คนเราไม่ได้ดีอยู่ที่การเกิด คนเราจะดีด้วยการประพฤติปฏิบัติ คนจะดีด้วยการปฏิบัติ จากจิตที่อนาถา ทั้งๆ ที่เขามีลัทธิต่างๆ ที่เป็นที่ยึดถือของเขา แต่เขาโดนแบ่งไปโดยความเชื่อของเขา ทีนี้ความเชื่อของเขาใช่ไหม ก็ว่าต้องอย่างนั้น เป็นไปอย่างนั้นโดยความเชื่อ แต่มันไม่เป็นความจริง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เผยแผ่ธรรมขึ้นมา

ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีโอกาส มีโอกาสเพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้ง แสดงธรรมไป ผู้ที่ประพฤติก็ปฏิบัติเข้าไป เวลาบรรลุธรรมหรือมีศรัทธาความเชื่อ “เอหิภิกขุ” ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชเป็นภิกษุ ขอบวชเป็นภิกษุ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ถ้าสิ้นกิเลสแล้วนะเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป เพื่อหัวใจ เพื่อจิตที่เป็นอนาถาให้มันมีที่พึ่ง แล้วก็มีที่พึ่งกันมหาศาล

มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ มันถึงเจริญรุ่งเรือง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ๔๕ ปี ได้วางธรรมและวินัยจนเข้มแข็ง “มารเอย ปัจจุบันนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ให้เรา

เราเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องมีหลักในใจของเรา ถ้าจิตมันเป็นอนาถามันก็ยังเร่ร่อน ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แต่ถ้าจิตมันเร่ร่อน จิตมันไม่มีที่พึ่ง เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรึกเอา โดยทำของเรามา มันเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดล่ะ

มิจฉาทิฏฐิเพราะอะไร เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทฤษฏี ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสุตมยปัญญา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นสุตมยปัญญา เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราถึงต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้มันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ถ้าจิตของเรามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ดูสิเรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ การตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปฏิบัติ ในภาคการฝึกฝน ไม่ใช่ว่าเรามีความเชื่อแล้วเราก็ตรึกของเรา เราก็คิดว่ามันเป็นธรรม มันจะเป็นธรรมมาจากไหน ในเมื่อมันยังไม่ชำระกิเลส เพราะจิตมันเป็นอนาถา อนาถาตรงไหน อนาถาตรงที่มันไม่มีที่พึ่ง มันจะเร่ร่อนของมันไป

ดูสิ เราเห็นคนบ้าไหม คนที่เป็นบ้าเป็นใบ้ คนเสียสติ เราไปบนถนนหาทาง เราดูแล้วเราสังเวชไหม มันเห็นเขาเก็บของพะรุงพะรัง เก็บนู่นเก็บนี่ ทั้งๆ ที่เขามีจิตมีใจเหมือนเรา เขามีทั้งจิตใจและเขามีทั้งร่างกายด้วย แต่เพราะเขาขาดสติของเขาไง ที่เขาเป็นคนอนาถาในสังคม สังคมเขายังมีเมตตาเจือจุนนะ อย่างคนไข้อนาถาเขาก็ดูแลรักษาตามรัฐสวัสดิการ อย่างคนอนาถา คนไร้บ้าน สังคมเขาก็ดูแลช่วยเหลือเจือจานกัน เขาช่วยเพราะอะไร เพราะเขามีสติสตัง แต่คนบ้ามันขาดสติเลย เราจะไปดูแลเขาอย่างไร เราก็ต้องกักบริเวณเขา มีโรงพยาบาลเราก็จับเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษา เพื่อจะให้เขาพัฒนาขึ้นมา ให้เขามีสติสตังขึ้นมา แล้วถ้าจิตของเราล่ะ ดูสิดูคนบ้าตามถนนหนทาง เขาไปตามแต่ความรู้สึกแต่ไม่มีสติสตัง จะมีอันตรายอย่างไรเขาก็ไม่รู้ของเขาหรอก เขาไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่มีชีวิตนะ ดูคนบ้าที่เป็นอนาถา

แล้วถ้าจิตมันบ้า มันบ้าเพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของมัน มันขับไสของมันไป พอขับไสของมันไป จะศึกษาธรรมขนาดไหน มันก็ตามแต่จะคิดของมันไป มันแยกผิดแยกถูกไม่เป็น

แต่ถ้าเราตรึกของเรา ประพฤติปฏิบัติของเราด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ด้วยกำหนดพุทโธ พุทโธ คำว่ากำหนดพุทโธ กำหนดพุทโธด้วยเหตุใด ต้องกำหนดพุทโธสิก็คนมันไม่มีทีพึ่ง จิตที่มันเป็นอนาถามันไม่มีที่พึ่ง มันไม่มีหลักใจ ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นคนบ้าไหม คนบ้าเวลามันเก็บของพะรุงพะรัง มันหาบมันหามของมันไปนะ

นี่ก็เหมือนกัน ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งที่เป็นคนอนาถา คนทุกข์คนเข็ญใจ แล้วยังขาดสติเหมือนคนบ้าคนใบ้ “โอ้โฮ รู้ธรรมะไปหมดเลยนะ โอ้โฮ ธรรมะพระพุทธเจ้ารู้ไปหมดเลย” มันก็เหมือนคนบ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของของเรา ถ้าไม่ใช่ของของเรา เวลาเราหาบเราหามไป ก็คิดว่ามีความรู้มากไง มีความรู้มากมีความเข้าใจในธรรมะมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดได้ทุกบททุกบาท เข้าใจได้หมดเลย เหมือนคนบ้า พะรุงพะรังไปด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวเองไม่มีอะไรในหัวใจเลย จิตที่เป็นอนาถามันน่าสลดสังเวชกว่าคนบ้าที่เราเห็นนะ คนบ้าที่เราเห็นตามถนนหนทาง เราเห็นเป็นรูปธรรม เราเห็นได้ ถ้าเป็นธรรม ที่เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ จิตใจเป็นธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติ

ธรรมะจะเป็นธรรมชาติก็ต่อเมื่อใจเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมนะ เห็นคนบ้าเห็นแล้วมันสลดสังเวช มันเป็นธรรมไง มันเตือนหัวใจของเราไง เพราะมันเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ถ้าเรามีสติปัญญา เรายังดีกว่าเขา ถ้าเราขาดสติหรือเราทุกข์มากจนสติเราขาด เราก็จะเป็นอย่างนั้น ที่เรายังไม่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะเรายังมีสติสตังอยู่

เราเห็นแล้วเราสลดสังเวชไหม ถ้าเราสลดสังเวชขึ้นมา เราก็จะเตือนสติของเรา ถ้าเรามองเป็นธรรมนะ มองแล้วมันสังเวช เขาเรียกว่าธรรมสังเวช มองแล้วมันเศร้าใจว่าทำไมคนเป็นอย่างนั้น ที่คนเป็นอย่างนั้นเพราะเวรกรรมของเขา เพราะเขาไม่มีสติสัมปชัญญะ เพราะเขามีความทุกข์บีบคั้น เขาถึงจะเป็นขนาดนั้นได้ แล้วถ้าเรามองเทียบเข้ามาในหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเรามันเป็นใบ้เป็นบ้าอย่างนั้นไหม ถ้ามันเป็นใบ้เป็นบ้าอย่างนั้น คนใบ้บ้าเพราะเหตุใด คนใบ้บ้าเพราะว่าขาดสติ ถ้าอย่างนั้นสติของเราอยู่ที่ไหนล่ะ เราก็พยายามฝึกสติของเราขึ้นมาใช่ไหม ถ้าเราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันไม่มีที่พึ่ง

โลกนี้ร้อนนัก การเกิดมานี้ชีวิตนี้ร้อนนัก ทีนี้เราเกิดมาแล้วเรามีชีวิต เราก็ต้องดำรงชีวิตของเราไป ใช่ไหม ในเมื่อร้อนเรา ก็มีธรรมะมีศีลธรรมนี้เป็นที่พึ่งอาศัย ก็เป็นที่พึ่งอาศัย เป็นที่พักร้อนเท่านั้น เหมือนคนเดินทางไปบนถนนหนทาง เวลาเร่าร้อนไปเราก็มีศาลาริมทางไว้เป็นที่พักร้อน เป็นที่พักร้อนแล้วเราจะพักร้อนอยู่ที่นั่นได้ไหม ชีวิตเรายังต้องเดินไปข้างหน้า เราเดินทางไปเพื่อให้ถึงเป้าหมายของเรา ในเมื่อชีวิตนี้เรามีศีลธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราก็ต้องยังเดินไปข้างหน้า มันก็เร่าร้อนเหมือนกัน

ชีวิตนี้เป็นที่เร่าร้อนนัก ที่ว่ามีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีธรรมเป็นที่พักอาศัย ธรรมอย่างนี้เป็นธรรมของโลกไง เป็นสุตมยปัญญา เป็นธรรมที่เป็นที่พึ่งอาศัย เหมือนศาลาพักร้อน วัดวา อาวาส ภิกษุเราบวชมา บวชมาแล้วภิกษุห้ามอยู่บ้าน ภิกษุอยู่บ้านไม่ได้ ภิกษุต้องอยู่อาวาส ภิกษุต้องอยู่วัด ถ้าอยู่วัด คือคนไม่มีบ้าน คนไม่มีเรือน ไม่มีเรือนมันก็มีวัดเป็นที่พึ่งอาศัย มันก็อนาถา อนาถาเพราะอะไร เพราะใจมันยังไม่มีที่พึ่ง

ถ้าใจมันที่พึ่งขึ้นมา มีสัจจะ มีความเชื่อของเรา เรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธไป ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตมีที่มั่น จิตตั้งมั่น จิตมีหลักมีเกณฑ์ สัมมาสมาธิคือจิตมีหลักมีเกณฑ์ มันมีที่พึ่งของมัน เหมือนคนไม่มีบ้าน คนไร้บ้านกับคนมีบ้านแตกต่างกัน คนมีบ้านเขาก็มีบ้านเป็นที่พึ่งอาศัยของเขา ถ้าจิตมีสัมมาสมาธิ จิตเข้าสมาธิเป็นออกสมาธิเป็น มันก็จะมีที่พึ่งอาศัย

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ใครทำความสงบของใจได้ เหมือนมีบ้านมีเรือนไว้พึ่งอาศัย” หลวงตาบอกว่า ถ้าทำความสงบของใจได้มันพออยู่พอกิน เราเป็นคนไร้บ้าน ฝนตกแดดออกเราก็ต้องหาที่หลบซ่อนของเรา เพื่อหลบร้อนหลบหนาว เวลาเรามีบ้าน บ้านของเรามันคุ้มครองเราได้นะ ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันมีสมาธิของมัน มันมีที่พึ่ง มันมีที่คุ้มครองของมัน

ถ้ามีที่พึ่งมีที่คุ้มครอง คำว่ามีที่พึ่ง มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แต่มันพ้นทุกข์ไหม ถ้ามันพ้นทุกข์มันจะเป็นอีกระดับหนึ่ง จากจิตอนาถา จิตที่ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเลย สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำความสงบของใจของเขา แล้วเขาก็มีที่พึ่งอาศัยของเขา เขาก็อาศัยด้วยความเป็นของชั่วคราวไง

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เวลามิจฉาทิฏฐินะ เวลากำหนดพุทโธไป หรือเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิไป แล้วมันขาดสติ มันลงภวังค์ไป มันหายไปก็เป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิคือเหตุใด มิจฉาสมาธิคือไม่มีสติ มิจฉาสมาธิคือไม่รู้จักตัวเอง เวลาจิตเราเป็นสัมมาสมาธิ จิตเรามีที่พึ่งที่อาศัย เหมือนเรามีบ้านมีที่พึ่งอาศัย แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิ เวลาทำความสงบของใจมันเป็นสมาธิแต่เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะอะไร มิจฉาเหมือนคนใบ้บ้านั่นล่ะ

คนใบ้คนบ้า เขาจะมีบ้านมีเรือนอยู่ได้ไหม คนใบ้คนบ้าเขาจะไปของเขา ตามแรงขับของใจเขา แรงจิตของเขาว่าเขาจะมุ่งหน้าไปอย่างไร ฉะนั้นถ้าเขามีบ้านมีเรือน เขาก็เผาบ้านเผาเรือนเขาทิ้งนะ ถ้าคนบ้า คนไปติเตียนอะไรเขา คนไปสั่งสอนเขา เขาจะไม่พอใจเขาทำลายทิ้งหมดล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อถ้าเราไม่มีสติ เวลากำหนดแล้วมันหายไปเลย มันก็เป็นมิจฉา มันทำลายตัวมันหมดนะ พอมันทำลายไป มันถึงไม่มีที่พึ่งที่อาศัย ทั้งๆ ที่ทำความสงบของใจ เพราะมันขาดสติ มันเหมือนคนใบ้คนบ้า คือมิจฉาสมาธิ

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันจะมีสติของมัน ถ้ามีสติของมัน มันจะมีความร่มเย็นของมัน คนทำสัมมาสมาธิได้ คือคนทำที่พึ่งอาศัยได้ แต่ที่พึ่งอาศัยก็ไม่ใช่ที่พ้นทุกข์ ถ้ามีที่พึ่งอาศัยมันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วมีที่พึ่งอาศัยแล้วแต่ถ้าสติอ่อน สติอ่อนคือเราไม่มีกำลังของเรา คำว่าสัมมาสมาธิจะมีสติรับรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสมาธิ ถ้าสิ่งนี้เป็นสมาธิมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วจะออกวิปัสสนา

แต่ถ้าสติมันอ่อน สติที่ไม่เข้าใจตัวเราเอง เวลาจิตมันสงบเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ โอ้โฮ มันว่าง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกให้ว่าง ให้ปล่อยวางทุกอย่าง ในปัจจุบันนี้จิตนั้นได้ปล่อยวางไปแล้ว โอ้โฮ มันว่างไปหมดเลย สิ่งนี้มันว่าง ว่างแล้วใครเป็นคนรับรู้ว่าว่างล่ะ ถ้ามันไม่รับรู้ว่าว่าง พอคำว่าว่างมันก็มีความหลง หลงอะไร หลงว่าสิ่งที่มันว่างนี้เป็นผล เป็นนิพพาน หลงว่าความว่างนี้เป็นความสุขมาก ความว่างนี้ มันปล่อยวางหมดเลย เพราะความว่างเป็นความปล่อยวาง

ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วก็ให้ออกใช้ปัญญา ออกใช้ปัญญาในพุทธศาสนา ปัญญาที่เราใช้กัน มันเป็นเรื่องปัญญาของโลก มันเป็นการตรึก นักวิทยาศาสตร์เขาใช้ปัญญาดีกว่าเราอีก ทางโลก ทางวิชาการเขาก็ใช้ปัญญามากกว่าเรา ธรรมะนี้เขารู้ไปหมด จะอยู่หมวดไหนข้อไหนธรรมะอย่างไร เขาเข้าใจได้ เขาทำวิจัยเขาขยายความ เขาเปรียบเทียบในทางตรรกะขยายความรู้ สิ่งนี้มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นล่ะ

คำว่าโลก ในเมื่อปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา เพราะขาดสัมมาสมาธิ เวลาจิตของเรานะ ถ้ากำลังเราไม่พอ จิตของเราเป็นสัมมาสมาธิ มันก็ไปติดว่าสมาธิเป็นนิพพานขึ้นมาอีก เพราะมันไม่มีเหตุไม่มีผล เขาถึงบอกว่า ในทางการศึกษา ในทางการวิจัย สิ่งที่เป็นกิเลส เพราะยึดมั่นถือมั่นถึงเป็นกิเลส ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่มีกิเลส พอจิตมันสงบเข้ามาแล้วมันก็ปล่อยวางหมด มันก็ไม่มีกิเลส พอไม่มีกิเลสแล้วเป็นอะไรล่ะ

คนที่เป็นมิจฉาสมาธิมันก็เป็นเหมือนคนใบ้คนบ้า หอบเอาแต่สิ่งทางโลกที่เป็นเศษไม้ใบหญ้า หอบเอาไปอย่างนั้น เหมือนคนใบ้คนบ้า นั่นเป็นมิจฉาสมาธิ แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิแต่ไม่มีครูบาอาจารย์ หรือจิตของเราถ้ามันติดว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน นิพพานเพราะมันปล่อยวางหมดแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะเป็นความว่าง เพราะมันไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มันปล่อยวางหมดเลย มันไปกลบเกลื่อนของมัน มันไม่พ้นทุกข์หรอก

ถ้าจะพ้นทุกข์ในพุทธศาสนา ถ้าจิตของเราเป็นสัมมาสมาธิ จิตของเรามีความสุข แล้วเรามีสติปัญญาของเรา พอสัมมาสมาธิแล้วเวลาเราออกมาปกติ มันก็เสื่อมหมดล่ะ เวลาเราออกมาปกติ อารมณ์มันก็ปกติ แล้วอารมณ์ปกติมันแก้กิเลสได้ไหม

ในเมื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา บอกว่านิพพาน ธรรมะในดวงใจนี้ เหมือนกับหลักศิลา ๘ ศอก ๔ ศอกปักอยู่ในดินอีก ๔ ศอกพ้นจากดินมา ๔ ศอก ลมฝนจะกระหน่ำขนาดไหนมันไม่หวั่นไม่ไหว แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าจิตเราเข้าเป็นสมาธิ เราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน เวลาออกมาสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจมันหวั่นไหวไหม มันไม่หวั่นไหวเพราะสิ่งที่กระทบกระเทือนนะ มันหวั่นไหวกระทั่งตัวมันเอง

หวั่นไหวเพราะเหตุใด หวั่นไหวเพราะว่าออกมาแล้ว อยากให้เขารับรู้ อยากให้เขายอมรับ อยากอะไรต่างๆ มันหวั่นไหวเพราะตัวมันเอง สิ่งนี้เป็นธรรมไหม เพราะมันติด เพราะมันไม่เข้าใจในตัวมันเอง สิ่งที่มันหวั่นไหวมันพิสูจน์ได้ชัดเจน แต่เพราะวุฒิภาวะของจิตเรามันอ่อนแอ โดยธรรมชาติของจิตมันเป็นอนาถา อนาถาเพราะมันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ของมัน แต่พอเราทำความสงบของใจเข้ามา เรามีหลักมีเกณฑ์ มีที่พึ่ง จากจิตที่เป็นอนาถา จนเป็นจิตที่มีหลักมีเกณฑ์ มีบ้านมีเรือนเป็นที่อาศัย มีบ้านมีเรือนเป็นที่อาศัยมันก็ไปติดในบ้านในเรือนนั้น

ถ้ามีบ้านมีเรือนที่อาศัย เราต้องพิสูจน์ตรวจสอบในบ้านในเรือนของเรา เวลาจิตมันสงบเข้ามา บ้านเรือนกับจิต บ้านเรือนกับผู้อาศัยมันแตกต่างกัน ก็เหมือนกับสิ่งที่เป็นความคิดความเร่าร้อนในหัวใจ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ความคิดความอ่านของทุกคนมันมีอยู่โดยธรรมชาติ มีมากมีน้อย เชาว์ปัญญาของคนจะแตกต่างกันไป เชาว์ปัญญาของคนแตกต่างกันไปเพราะอะไร เพราะมันเป็นอำนาจวาสนา จริตนิสัยที่สร้างมา พอจิตมันสงบเข้าไป จิตมันสงบเข้ามาเพราะเรามีความเชื่อ มีศรัทธาในพุทธศาสนา เราเห็นคุณ เห็นโทษในการประพฤติปฏิบัติ ตั้งแต่มันอนาถาของมันแล้วเราก็พยายามยึดหลักยึดเกณฑ์ เราได้สร้างขึ้นมาทั้งหมดนะ เป็นการกระทำทั้งหมด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ในการศึกษา ในภาคปริยัติมันเป็นตำรา ธรรมะทุกอย่างเป็นตัวอักษร มันอยู่ในตำราหมดเลย เราจำได้หมดทุกถ้อยกระทงความ แต่มันไม่มีความจริงขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวเลย ทีนี้พอเรามาปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตมันจะพัฒนาขึ้นมา จากอนาถาที่ไม่มีสติสัมปชัญญะไปควบคุมดูแลมัน เราก็ฝึกสติขึ้นมา พอมันฝึกสติขึ้นมา พุทโธคำหนึ่งสติก็หายไป เราก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่ พุทโธคำที่สอง ที่สาม ที่สี่ไป สติก็หายไป ก็สร้างก็พยายามตั้งขึ้นมา ตั้งขึ้นมา ตั้งขึ้นมา

พอมันตั้งขึ้นมา เพราะมันมีการกระทำ มันมีเหตุมีผล มันไม่ใช่สติปัญญาในตัวอักษร ในตำรา มันเป็นสติปัญญาขึ้นมาจริงๆ แล้วสติปัญญาที่เราฝึกขึ้นมา สติมันมีอยู่แล้ว ธรรมดาสติเกิดจากจิตทุกอย่างมันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้จักแยกแยะอะไรผิดอะไรถูก เหมือนไก่ได้พลอย พลอยมันมีคุณค่า แต่ไก่ไม่รู้จักพลอย ไม่รู้จักว่าพลอยมีคุณค่า มันเป็นของไม่มีค่าเม็ดหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน สติมันมีอยู่ของมัน โดยจริตนิสัยของคน โทสจริต โมหจริต จริตนิสัยของคน บางคนสติดี บางคนสติไม่ดี สติมันมีอยู่แล้ว สติมันมีโดยธรรมชาติ สติกับจิตมันมีมันเกิดดับ เกิดดับกับจิตมาตลอด มันเป็นธรรมชาติที่มันมีของมันอยู่แล้ว พอเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บอกว่า การประพฤติปฏิบัตินี้ สิ่งสำคัญคือสติ หัดฝึกสติขึ้นมา พอฝึกสติขึ้นมา คำบริกรรมจะเกิดขึ้น เพราะมีสติ ถ้ามันไม่มีสติ คำบริกรรมนั้นก็สักแต่ว่าทำ

ถ้ามีสติขึ้นมา ปัญญาก็เป็นปัญญาเต็มรูปแบบ ถ้าไม่มีสติขึ้นมา ปัญญามันก็เป็นสัญญา ปัญญามันก็เป็นกิเลสที่มันใช้มาตลอดไป เพราะสติมันจะบอก สิ่งที่เป็นความคิด ที่เราคิดมันมีแต่ความทุกข์นี้ พอมีสติขึ้นมา มีสติปั๊บ มันมีเตือนสติขึ้นมา ปัญญามันก็แยกแยะแล้วว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ความถูกต้องมันก็เป็นธรรม ความผิดมันก็เป็นกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลส สติมันก็แยกแยะ มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ

สติมันมีอยู่กับจิต สติมันเกิดจากจิต สติมันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยใช้ เราไม่เคยฝึกฝน พอเราฝึกฝนมันเหมือนคลังเลย คลังอาวุธมันอยู่ในคลัง เวลาเกิดสงครามขึ้นมาคลังอาวุธก็อยู่ในคลังนั้น ไอ้นักรบไอ้ทหารมันก็มีแต่มือเปล่าๆ แล้วจะไปสู้กับข้าศึก มันก็ตายหมดล่ะ นี่ก็เหมือนกัน สติมันมีอยู่ในจิตแต่เราไม่เคยฝึกฝนมัน เราไม่เคยพัฒนามัน เราไม่เคยได้กระทำมัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าต้องฝึกสติ พอมีสติแล้วต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา มันก็เพ้อเจ้อเพ้อฝันเหมือนคนบ้า คนบ้ามันหอบฟาง มันหอบแต่ของที่มันเข้าใจว่าเป็นสมบัติของมัน หอบมาแล้วมันเป็นสมบัติไหม สมบัติมันต้องเป็นเงินเป็นทองสิมันถึงจะเป็นสมบัติ ก็เหมือนกันเวลามันพูดถึงสตินะ สติก็อยู่ในตำราไง เหมือนคนบ้า แต่ถ้าเรามาฝึกของเราขึ้นมา เหมือนคนมีสติสตังขึ้นมาเขาทำธุรกิจของเขา เขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาได้เงินได้ทองตอบสนองเขา เขาได้ประโยชน์มาจากเขา เขาได้อาหารมาเลี้ยงดูตัวเขา เขาได้อาหารมาเลี้ยงคอรบครัวของเขา

ก็เหมือนกันเราฝึกสติ จิตมันก็มีสติขึ้นมา ทั้งๆ ที่สติมันมี คนบ้าคนนั้นก็มีจิต คนบ้าคนนั้นก็มีร่างกาย แต่เพราะเขาขาดสติเขาถึงเป็นบ้าใบ้ไป นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราขาดสติมันก็เหมือนคนบ้า ถ้าเราขาดสติแล้วเราปฏิบัติไป ก็เป็นมิจฉานะ มันเหมือนคนใบ้คนบ้าหอบฟางอยู่อย่างนั้นไง แต่รู้ธรรมะนะ ธรรมะนี้รู้มากเลย

ปริยัติ ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมา เราตั้งสติของเราขึ้นมา สติคือความระลึกรู้ แค่รู้พุทโธก็มีสติแล้ว สติจะไปรู้อะไร ก็รู้พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วพอสติมันอ่อนไปเราก็ตั้งพุทโธขึ้นมาอีก มันเป็นสติจริงๆ มันเป็นสติจากการฝึกหัด สิ่งที่จิตมันมีสติ สติเกิดจากจิต มันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยฝึกหัด เหมือนน้ำที่ไม่เคยกักเก็บ มันก็ระเหยไปตลอดเวลา น้ำ แหล่งน้ำมันมีตาน้ำ มันผลิตน้ำออกมา มันก็ไหลไปมันก็ระเหยไปเป็นธรรมดา

สติมันมีอยู่แล้ว มันจะหายไปโดยธรรมดา แต่พอเราฝึกสติ เรามีสติ พอมันมีสติมีคำบริกรรมขึ้นมา มันก็เป็นภาคปฏิบัตินะ มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา พอเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันเป็นสมบัติของใครล่ะ

จากจิตที่อนาถา จิตที่เร่ร่อน จิตมันก็มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันก็ไม่เป็นคนอนาถา มันสร้างตัวมันขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญาของมัน ถ้าสร้างสติถ้าสร้างปัญญาขึ้นมาเป็นของมัน มันเป็นปัจจัตตังนะ เรารู้ของเรา มันเป็นความมหัศจรรย์ พุทโธ พุทโธ พุทโธจนจิตมันสงบ คือจิตมีหลักมีเกณฑ์ จิตมีหลักมีเกณฑ์แล้วมันมีสติมีปัญญา พอมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา แล้วพอออกมากระทบขึ้นมา จิตมันก็มีความกระทบ มันก็ลากความรู้สึกเราไปความคิดเราไป อ๋อ เพราะเราไม่มีสติควบคุม

ฉะนั้นเราต้องพุทโธให้ดี แล้วเรารักษาให้ดี ชำนาญในวสี ชำนาญในการควบคุมดูแล มีสติควบคุมกำหนดพุทโธให้ดี จิตมันเกาะพุทโธแล้วมันสงบเข้ามา เพราะมันชำนาญในวสี มีเหตุมีผล มีเหตุเป็นปัจจัย มีเหตุเป็นปัจจัยเพราะอะไร เพราะมีสติเพราะมีคำบริกรรม จิตมันจะออกไปรับรู้ข้างนอก ไปรับรู้ข้างนอกมันก็ไปตะครุบไฟ ตะครุบไฟแล้วมันก็ร้อน พอร้อนขึ้นมาเราก็อยากทิ้ง เราก็ต้องการความร่มเย็น ความร่มเย็นคืออะไร คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พุทโธคือพุทธานุสสติ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ ระลึกถึงพุทโธขึ้นมา พุทโธ พุทโธ จิตมันอาศัยพุทโธมันอยู่กับพุทโธ เวลาเขามีศีลธรรม จริยธรรม ตามประเพณีวัฒนธรรมเขาจะมีความร่มเย็นเป็นสุขของเขา แล้วตัวจิต จิตมันมีสติอยู่แล้วก็ฝึกไม่เป็น พอฝึกเป็นขึ้นมา แล้วเราควบคุมให้จิตกำหนดพุทโธ พุทโธ

ขนาดศีลธรรม จริยธรรมยังเป็นที่พึ่งอาศัยได้ แล้วสิ่งนี้ สติที่เป็นสติจริงๆ สมาธิที่เป็นสมาธิจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากใจจริงๆ มันเป็นธรรมะที่มีชีวิต ธรรมะที่เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ มันเป็นปัจจัตตัง ปัจจัตตังเพราะจิตมันสัมผัสมันรับรู้ พอรับรู้มันเป็นสมาธิขึ้นมา สิ่งที่เป็นอนาถาไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เลย มันก็มีหลักมีเกณฑ์ของมัน

คนอนาถา คนใบ้บ้า คนไม่มีที่พึ่งอาศัย มันจะทุกข์ร้อนของมันอยู่ตลอดเวลา จิตที่ไม่มีสติไม่มีปัญญา ทั้งๆ ที่สติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกให้ฝึกสติ ชาวพุทธก็มีสติ มีปัญญา มีความว่างหมดเลย แต่มันเป็นอยู่ในตำราหมดเลย แต่ตัวเองไม่รู้อะไรเลย ควบคุมตัวเองก็ไม่ได้ สติก็ฝึกไม่เป็น คำบริกรรมก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีไปหมดเลย แต่เป็นพระอรหันต์นะ ว่างหมดเลย ปล่อยวางทั้งสิ้น เพราะศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามาบอกแล้ว ท่านบอกว่าให้ปล่อยวาง ก็ปล่อยวางหมดเลย ปล่อยวางแบบขี้ลอยน้ำ ก็เป็นอนาถาเร่ร่อนไง

แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องตั้งสติของเรา เราทำของเราขึ้นมา ถ้าเป็นสติก็สติจริงๆ สติกับเรา สติจริงๆ คือสติที่มันระลึกรู้อยู่ แล้วมันหักห้ามใจของเราได้ ควบคุมใจของเราได้คือสติ แต่ถ้ามันเป็นสติจริงๆ แต่ยังเร่ร่อน แต่ยังเถ่อไปอยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าสติของใคร เป็นสติแต่ในตัวหนังสือ แต่ไม่เป็นสมาธิ ถ้ามีสมาธิจิตจะตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้ว จิตตั้งมั่นจนมีความชำนาญ ชำนาญมากชำนาญน้อย ทุกคนจะบอกว่าแล้วเมื่อไหร่จิตมันจะสงบล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะได้วิปัสสนาล่ะ

เวลาจิตอนาถา คนอนาถาคนทุกข์คนยากนะ แม้แต่น้ำแก้วหนึ่ง มันก็ประทังชีวิตได้ คนอนาถาเศษอาหารนี่ก็ขอกินได้นะ ก็เหมือนกัน พอจิตมันเป็นอนาถาก็บอกว่า แล้วเมื่อไหร่ล่ะเมื่อไหร่จะได้พ้นทุกข์ แล้วเมื่อไหร่มันจะมีหลักมีเกณฑ์ล่ะ คนที่มั่งมีศรีสุข คนที่เขามีทรัพย์สมบัติ เขาจะไม่ตื่นเต้นกับเรื่องเศษของที่เขาทิ้งกันหรอก แต่เราคนทุกข์คนยาก เศษของที่ทิ้ง เศษอาหารมันดำรงชีวิตเราได้เลยล่ะ

ฉะนั้นเวลาดำรงชีวิตมันก็ตื่นเต้นไปไง พอมันตื่นเต้นไปอย่างนั้นมันก็ทุกข์ยากของมันไป แล้วเมื่อไหร่จะได้วิปัสสนาล่ะ เมื่อไหร่จะได้เป็นเศรษฐีกับเขาล่ะ คนที่เขาเป็นเศรษฐีนะ คนที่เขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา เขาเก็บหอมรอมริบของเขา เขารู้จักใช้จ่าย เขารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เขาถึงเป็นเศรษฐีขึ้นมา สัมมาสมาธิ สัมมาสติ ถ้ามันมีสติมีปัญญามันรู้จักเก็บหอมรอมริบ มันก็จะมั่นคงขึ้นมา

มิจฉาสติ สัมมาสติ มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ มิจฉาปัญญา สัมมาปัญญา มันจะมีมิจฉาและมีสัมมาหมด มีผิดมีถูกทั้งทุกๆ มรรค ๘ มีทุกๆ องค์มรรค มีมิจฉามีสัมมาหมด ฉะนั้นมีมิจฉาและมีสัมมา แล้วเราจะพัฒนาของเราอย่างไร เราจะใช้ของเราอย่างไรให้มันพัฒนาของเราขึ้นมา ถ้ามันจะพัฒนาขึ้นมา เรามีสติเราระลึกรู้ถึงคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ ให้จิตมันสงบเข้ามา เวลามันร้อน เวลามันเสื่อม ธรรมดานะสัมมาสมาธิ เราจะพัฒนาขึ้นมาขนาดไหน

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจ โดยธรรมชาติของใจมันจะส่งออก มันไหลไปเหมือนน้ำ น้ำมันไหลลงต่ำ ความคิดของคนมันจะไหลไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเราใช้พุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิคือเราพยายามทวนกระแสเข้าไปสู่ฐีติจิต ทวนกระแสเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ จิตดั้งเดิม เข้าไปถึงจิตดั้งเดิมก็เพื่อความสงบสุข

ขณะที่เราทวนกระแสเข้าไป เราต้องใช้ปัญญาไหม คำว่าใช้ปัญญา มันใช้ปัญญาได้ทุกสถาน ถึงจะทำสมถะทำความสงบของใจก็ต้องใช้ปัญญา ในทางโลกนะเขาบอกว่าการถือศีลก็ต้องมีปัญญา คนถือศีลถ้าไม่มีปัญญามันก็ถือด้วยความเกร็ง มันทำให้ชีวิตนี้ลำบากลำบน แต่ถ้าเราถือศีลด้วยปัญญา เราไม่ได้ถือศีลด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่เราถือศีลด้วยปัญญา มันต้องมีปัญญา ปัญญามันจะพาหลบหลีกไปได้ทั้งนั้น

ฉะนั้นเวลาเราทำสัมมาสมาธิ เราทำสมถะ มันจะไม่ต้องใช้ปัญญาเชียวหรือ พุทโธ พุทโธไม่ต้องใช้ปัญญาหรือ พุทโธ พุทโธมันก็ต้องใช้ปัญญา ทำไมเราถึงต้องพุทโธด้วยล่ะ เอ้า พุทโธเพราะว่าคำบริกรรมมันเป็นการสะสม เป็นนาโน นาโนเห็นไหน นาโนคือความรู้สึกของจิต พุทโธ พุทโธ พุทโธมันซับซ้อน ซับซ้อนกัน เพราะว่าจิตนี้เป็นสันตติ ที่ว่าเป็นดวงๆ ๆ เกิดดับ เกิดดับ ความคิดมันก็พุ่งออกไปใช่ไหม พุทโธ พุทโธ เราจะให้มันอยู่กับพุทโธ ทวนกระแสไง ทวนกระแสเข้ามาสู่ตัวจิตไง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะพร้อมพุทโธ นาโน นาโนของจิตมันซับซ้อนมันจะเจริญขึ้นมา แต่เราพุทโธแต่ปากไง พุทโธ พุทโธ แต่สติไปไหนไม่รู้ พุทโธความรู้สึกไปอยู่ข้างนอกหมดเลย อารมณ์ความรู้สึกกับจิตมันเป็นสอง อารมณ์ความรู้สึก อารมณ์คือความคิด กับความรู้สึก มันต้องมีผลกระทบกันจิตมันถึงจะแสดงตัวออกมา มันเป็นสองมาตลอด แล้วพุทโธ พุทโธ มันเป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งคือว่าเป็นสัมมาสมาธิ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนพุทโธไม่ได้ กำหนดพุทโธเป็นอารมณ์ แต่ความรู้สึกคือจิต ตัวจิต พุทโธ พุทโธ พุทโธจนเป็นหนึ่ง สิ่งที่เป็นหนึ่งทวนกระแสเข้าไปสู่จิต

ทีนี้พอเข้าไปสู่จิตมันก็ต้องมีปัญญา มีการใคร่ครวญว่าควรทำอย่างไร เวลาพุทโธแล้ว เวลาออกจากสมาธิมาไปกระทบสิ่งใด มันทำสิ่งใดให้จิตนี้หวั่นไหว ถ้ามันหวั่นไหวเพราะเหตุใด หวั่นไหวเพราะมันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ของมัน พอไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ มันก็ไปตามตัณหาความทะยานอยาก มันกำหนดพุทโธแต่ปาก คำว่าพุทโธแต่ปากมันเป็นพุทโธโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ไง มันไม่ได้พุทโธที่จิต

จิตนี้หนึ่งเดียว รับรู้อารมณ์ได้ทีละครั้งเดียว ครั้งหนึ่งรับรู้ได้ทีละอย่าง แต่ทำไมความคิดของคนมันซับซ้อนกัน มันคิดซ้อนๆ ๆ เพราะความเร็วของมันไง ดูแสงที่มันเคลื่อนไปสิ ดูสิ่งที่มันซับซ้อน มันเคลื่อนไปโดยความเร็วของมัน นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจที่ความคิดมันซับซ้อน แต่มันเป็นหนึ่งเดียว แต่ถ้ามันพุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนมันหยุดนิ่งล่ะ ถ้ามันหยุดนิ่งได้ ถ้าจิตมันเป็นสัมมาสมาธิล่ะ มันจะมีกำลังของมัน ถ้ามีกำลังมันจะรู้ตัวว่ามันไม่ใช่นิพพานไง

ความว่างอย่างนี้ คือความว่างที่เกิดจากสติปัญญาสมบูรณ์ แล้วเราใช้ปัญญาไล่เข้ามา เพราะมันต้องมีปัญญา ปัญญาในการทำให้จิตสงบ พอจิตสงบบ่อยครั้งเข้ามันมีความชำนาญมากขึ้นๆ จนจิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาพร้อมนะ มันจะจิตเห็นอาการของจิต

อาการของจิตคืออะไร คือกาย เวทนา จิต ธรรม อาการของจิตทั้งหมด ถ้าจิตมันเห็นกายมันก็เห็นเป็นนิมิต ถ้าจิตมันพิจารณาจิตด้วยปัญญาวิมุตติ มันจะเทียบเคียงเป็นความคิด ถ้าเป็นความคิดขึ้นมา จิตมันเห็นของมัน ถ้าไปเห็นของมัน จากคนอนาถานะมันก็มีหลักมีเกณฑ์ของมัน มีหลักมีเกณฑ์แล้วมันจะประกอบสัมมาอาชีวะ มันจะประกอบวิปัสสนาญาณของจิตไง

ดูสิ เราหาเงินหาทองขึ้นมา เราประกอบสัมมาอาชีวะเพื่อหาเงินหาทอง เพื่อความมั่นคงของชีวิต มันก็เลยเป็นชีวิตอนาถา อนาถาเพราะสมบัตินี้เป็นสมบัติของโลก เราหาอยู่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เราไม่เลี้ยงหัวใจของเรา เวลาเราตายขึ้นไป ผลของวัฏฏะ จิตมันจะเป็นอนาถาหมุนไปในวัฏฏะอีก แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะของเรา เราพิจารณาของเราจนจิตมันตั้งมั่นขึ้นมา พอจิตเป็นสัมมาสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิมันจะประกอบสัมมาอาชีวะ มันจะประกอบหน้าที่การงาน มันจะทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามันเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมา จิตมันจะเห็นอาการของจิต จิตจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าจิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม

ปัญญาอบรมสมาธิคือโลกียปัญญา ปัญญาที่ได้รับการฝึกฝนนี้คือปัญญาที่มันเป็นสังขาร จิตที่มันเป็น จิตที่มันมีสัมมาสมาธิ ถึงเป็นสังขารมันก็มีสัมมาสมาธิรองรับ มันจะละเอียดลึกซึ้งนะ มันจะละเอียดลึกซึ้งในความรู้สึก ในความคิดของเรา ในสังขาร ในความคิดความปรุงความแต่ง ในสิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดันจิต พอจิตถ้ามันสงบมันเห็นสิ่งนี้ มันเอาปัญญาไล่ต้อนสิ่งนี้ มันจะสงบเข้ามามากขึ้น ๆ

ปัญญาในพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในความคิดของเรา โลกนี้มีเพราะมีเรานะ โลกนี้มีเพราะปฏิสนธิจิตในหัวใจเรา เราจะเกิดเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ของใครก็แล้วแต่ จิตดวงนี้มันเกิดมาจากปฏิสนธิจิต มันเกิดมาเป็นเรา สิ่งที่เกิดปฏิสนธิจิตเป็นเรา จิตดวงนี้มันอนาถา มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมาตลอด ถ้าเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมาตลอด จิตที่มันสงบเข้ามาแล้ว มันจะวิปัสสนาของมัน มันจะชำระล้างของมัน

จากจิตที่อนาถา เป็นจิตที่ตั้งมั่น เป็นจิตที่มีหลักมีเกณฑ์ จิตที่มีที่พึ่งอาศัย แล้วเวลาเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้นมา มันจะเข้ามาชำระล้างของมัน ชำระล้างทำความสะอาดใจ จากอนาถา จากที่ตั้งมั่นได้มันก็จะสร้างทรัพย์สมบัติ จะเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายในไง จากที่เป็นคนอนาถา เร่ร่อน คนที่อนาถาที่ต้องอาศัยอยู่กับวัฏฏะ แล้วมันออกมาศึกษาของมัน จนจิตมันตั้งมั่นขึ้นมา เพราะจิตตั้งมั่นขึ้นมาด้วยสัมมาสมาธิ พอมีสติมีปัญญาของมัน มันใช้ปัญญาตะล่อมเข้ามา ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาจากสามัญสำนึก ปัญญาจากโลกมันพัฒนาของมันบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มันจะละเอียดเข้าไป จิตมันละเอียดเข้าไป

สิ่งที่จิตละเอียดเข้าไป จากปัญญาอบรมสมาธิ จากโลกียปัญญา ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว จิตสงบแล้วจิตมันออกรู้ พอออกรู้ขึ้นมา สิ่งที่ออกรู้มันสะเทือนหัวใจมาก มันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร มันสะเทือนหัวใจเพราะมันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจธรรม มันเป็นวิปัสสนาญาณที่มันจะชำระตัวของมันได้

สิ่งที่เป็นอนาถา คำว่าอนาถาคือจิตปกติ จิตที่มันเวียนไปในวัฏฏะ มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะหมุนของมันไป จะมีบุญกุศลขนาดไหนมันก็เวียนตายเวียนเกิด มันเป็นอนาถาเพราะมันไปตามบุญกุศล บุญกุศลนี้เป็นที่พึ่งอาศัยเท่านั้นเอง แต่ขณะที่เราเกิดมาในภพปัจจุบันนี้ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา จากจิตที่อนาถา จากที่เป็นคนอนาถา ถึงบวชพระก็เป็นพระอนาถา เพราะมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ไง

แต่ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมามันไม่ใช่พระอนาถา มันจะเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส มันจะเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา มันวิปัสสนาญาณย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา แล้วเป็นภาวมยปัญญา เพราะมันเป็นปัญญาที่ชำระกิเลส

กิเลสมันคืออะไร กิเลสคือตัณหาความทะยานอยากที่เกิดมา อวิชชาที่มันครอบงำในหัวใจ ถ้าไม่มีอวิชชามันจะมาเกิดได้อย่างไร ถ้าเรามีสติเรามีวิชชา เราจะไม่ไปเกิด เวลาจะไปเกิดแล้วเราก็ขืนสิ ทำไมต้องไปเกิดในไข่ ทำไมต้องไปเกิดในครรภ์ ทำไมต้องไปเกิดในโอปปาติกะ ทำไมยังมีภพมีชาติอีก จะต้องไปทุกข์ยากอีกแล้วใช่ไหม ไปนอนในครรภ์อีก ๙ เดือน แล้วคลอดออกมา แล้วก็จะเติบโตขึ้นมา โดนโลกธรรม ๘ เหยียบย่ำขึ้นมาให้มันชอกช้ำใจต่อไปอีก นี่ไงอนาถามันต้องหมุนไป มันมีอวิชชาครอบงำ ถ้ามันมีวิชชามีความรู้ ก็ไม่ไปสิ ขืนมันสิ ทำไมขืนมันไม่ได้ล่ะ

เพราะในเมื่อกิเลสมันมีมากับใจอยู่แล้ว พอมันมาเกิดกับเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ครอบงำใจของเราอยู่ จนเรามาพึ่งพระพุทธศาสนา เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้ากัน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็อยากจะฝึกฝนอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจมันจะละเอียดเข้ามา มันละเอียดเข้ามาเพราะว่ามันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากวิปัสสนาญาณ มันถึงจะชำระกิเลส ถ้าชำระกิเลสขึ้นมา มันจะละเอียดลึกซึ้ง มันสะเทือนหัวใจมาก

พอสะเทือนหัวใจ ระหว่างที่เราใช้ปัญญาของเรา ระหว่างที่เราจะถอดถอน จากที่อนาถามันก็มีบ้านมีเรือน มีบ้านมีเรือนแล้วเราก็ต้องสร้างทรัพย์สมบัติขึ้นมาให้มัน มั่นคงขึ้นมา เพราะบ้านเรือนนี้มันเป็นสมมุติ มันเป็นเรื่องโลกอยู่ มันก็ยังเป็นอนิจจังอยู่ แต่ถ้าเราวิปัสสนาของเราบ่อยครั้งเข้า บ้านเรือนทางโลกนะ ผลของวัฏฏะ เวลาเราทำความสงบของใจ เราก็มีบ้านมีเรือนเป็นที่อาศัย เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมชาติหนึ่ง เราก็มีภพชาตินั้นเป็นที่อาศัย

ถ้าเราวิปัสสนาญาณของเรา เราใช้ปัญญาของเรา เรามีสัมมาสมาธิ ที่จิตนี้ไม่อนาถาเป็นที่พึ่งอาศัยแล้ว แล้วเราออกวิปัสสนา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันจะสะเทือนหัวใจ วิปัสสนาไปเพื่ออะไร เพื่อถอดถอน ถอดถอนอะไร ถอดถอนสักกายทิฏฐิ ถอดถอนความเห็นผิด ถอดถอนอวิชชา อวิชชาที่หัวใจมันยึดมั่นไง เกิดมาเป็นเราไหม เป็น มันเป็นโดยสมมุติ เป็นนาย ก. นาย ข.เป็นโดยเป็นจริงไหม จริง จริงตามสมมุติ ตามสมมุติเป็นอนาถา สมมุติเพราะว่ามันชั่วคราว

แต่ถ้ามันเป็นจริงตามสมมุติแล้ว แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อ จนประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเห็นจิตของเรา จิตเวลาเป็นสัมมาสมาธิ จิตไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา จิตแท้ๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เพราะจิตมันสงบ พอจิตมันสงบขึ้นมา มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เขา แล้วมันเป็นใครล่ะ มันเป็นใคร

เวลาจิตมันสงบเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามามันออกวิปัสสนา ออกใช้ปัญญาขึ้นไป มันจะมาถอนตรงนี้ไง ถอนอะไร ถอนสิ่งที่เราไม่เห็นเราไม่รู้นะ เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเหมือนกับคนบ้าหอบฟาง หอบฟางมามันคิดว่า มันมีสมบัติพัสถาน โอ้โฮมันหอบไปมา แต่มันไม่เป็นสมบัติอะไรของตัวเองที่เป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

แต่เวลาวิปัสสนาขึ้นไป มันจะเป็นสมบัติส่วนตน มันจะเป็นอริยทรัพย์ มันจะเป็นทรัพย์ เราประกอบสัมมาอาชีวะขึ้นมา มันจะเป็นทรัพย์ภายใน ถ้าปัญญามันเกิด เกิดอย่างไร ปัญญามันเกิดจากสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิที่มีหลักมีเกณฑ์แล้ว เพราะมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมันถึงเห็น เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เราใช้ปัญญาแยกแยะบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ถ้ามันแยกแยะบ่อยครั้งแล้วมันสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจแล้วมันจะปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะอะไร เพราะมันจะถอดจะถอน

ถ้าสติปัญญาของเราอ่อน เวลามันปล่อยวางหนหนึ่ง โอ้โฮ โสดาบัน สกิทาคา อนาคา ก็ว่ากันไปนะ จิตมันจะให้ค่าอย่างนี้ แม้แต่จิตสงบมันยังว่ามันเป็นนิพพานอยู่แล้ว แล้วถ้ามันไม่มีเหตุไม่มีผล มันจะเปลี่ยนแปลงวุฒิภาวะของจิตให้พัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามันเปลี่ยนแปลงวุฒิภาวะของมัน ดูสิมันวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้ามันตทังคปหาน มันปล่อย ปล่อยแล้วมันชุ่มชื่นนะ

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราทุกข์เรายากกัน เดินจงกรมเหงื่อไหลไคลย้อยนะ นั่งสมาธิภาวนาเจ็บแข้งเจ็บขา แต่ถ้าจิตมันลง จิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันปล่อยวางหมด กายเป็นกาย จิตเป็นจิตนะ จิตเป็นจิตเพราะมันเป็นสัมมาสมาธิ มันปล่อยกายมาหมดเลย แล้วเจ็บปวดมันหายไปไหนหมดล่ะ ทำไมมีความสุขล่ะ มันจะมีความสุขนะ อยู่ในสมาธิจะมีความสุข

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิจริง จากที่ว่าจิตที่เป็นอนาถาไม่ที่พึ่ง ถ้ามันมีที่พึ่งมันก็มีความสุขของมัน แต่เวลาจิตมันออกวิปัสสนา จิตมันออกใช้ปัญญาของมัน มันสุขยิ่งกว่าจิตสงบเพราะอะไร เพราจิตสงบมันสงบเฉยๆ สงบแล้วดูสิ จิตไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันก็สมบูรณ์แบบครบถ้วนอย่างเดิม ถ้ามันสงบเดี๋ยวมันก็คลายตัวออก มันไม่มีอะไรบุบสลายไป

แต่เวลาเราวิปัสสนาเพราะจิตมันสงบแล้วใช่ไหม เราออกใคร่ครวญในธรรมะ ใคร่ครวญในธรรมะด้วยอะไร ด้วยจิต เพราะจิตมันเป็นอวิชชา จิตมันไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีความรู้จริง มันเป็นความรู้จำ ความรู้แบบไอ้บ้าหอบฟาง “ว่านั่นก็ไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่นั่น จิต ร่างกายก็เป็นสมมุติ พระพุทธเจ้าก็เป็นสมมุติ โอ๋ย วางสมมุติหมด มันก็วิมุตติ”

มันก็เป็นไอ้บ้าหอบฟาง แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันไม่ใช่บ้าหอบฟางนะ มันทำของมัน จิตมันวิปัสสนาของมัน ถ้ามันเห็นกาย มันก็พิจารณากาย

ถ้าเป็นเจโตวิมุตติ ให้กายแปรสภาพต่อหน้า ให้มันแปรสภาพ แต่พอมันเห็นขึ้นมา ดูรสของมันสิเวลาเราเห็นขึ้นมามันสะเทือน รสของสมาธิก็อย่างหนึ่ง รสของปัญญา รสของสมถะ สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถะกรรมฐาน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จนติดว่าเป็นนิพพาน เพราะมันติดสุข

แต่ว่าถ้ามันเป็นวิปัสสนากรรมฐาน เวลามันออกวิปัสสนา โอ๋ย มันสะเทือน มันสะเทือนมาก สะเทือนเพราะว่าอะไร สะเทือนเพราะว่ามันจะถอดจะถอนสักกายทิฏฐิ อุปาทานที่ฝังอยู่ในหัวใจมันจะถอนออก คำว่าถอนออก จิตสงบมีความสุขมาก แต่จิตสงบแล้วแล้วถอดถอนด้วย จะมีความสุขแตกต่างกันไหม ความสุขมันแตกต่างกัน

แต่ถ้ามันยังถอดถอนไม่ได้ มันยังเป็นตทังคปหาน คือมันพิจารณาแล้วมันปล่อย มันปล่อยมันก็สะเทือนหัวใจมาก เพราะอะไร เพราะมันสะเทือนหัวใจ มันจะถอดมันจะถอน ถ้ามันถอดมันถอนถึงสักกายทิฏฐิ ถึงความเห็นผิด ถึงอวิชชาออกไป พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันสมุจเฉทปหาน จากตทังคปหานเป็นสมุจเฉทปหาน มันก็ขาดหมด สังโยชน์ขาดหมด เวลาขาด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ พอกายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ดูสิดูจิตที่มันเป็นอนาถาเร่ร่อน ประพฤติปฏิบัตินะ มันจะเร่ร่อนของมันตลอดไป พอมีสัมมาสมาธิมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมา แต่เวลาวิปัสสนาไปจนมันขาด พอขาดไปเป็นโสดาบัน กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายนี้ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่กาย กายกับจิตแยกออกโดยสัจธรรม โดยธรรมชาติของมัน ถ้าเป็นโสดาบันขึ้นมาแล้ว อย่างนี้

ตั้งแต่นี้ไปมันไม่ใช่จิตอนาถาอีกแล้ว จากจิตอนาถาเป็นจิตตั้งมั่น จากจิตตั้งมั่นมันเป็นอกุปปธรรม มันจะไม่เป็นอนาถา จิตตั้งมั่นมันเป็นสัมมาสมาธิ มันเสื่อมมันก็ยังหมุนเวียนไปในวัฏฏะ แต่ถ้าจิตนั้นมันมีอริยทรัพย์ในหัวใจของมันแล้ว มันมีหลักมีเกณฑ์ของมันแล้วนะ เพราะพระโสดาบันพาดสู่กระแส จะไปสู่นิพพาน จะไปสู่การสิ้นกิเลส จะไปสู่การไม่เวียนว่ายตายเกิดไปในวัฏฏะ

คนที่เป็นอนาถาคือว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน แต่จิตที่เป็นอนาถาคือจิตที่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ก็ยังอยู่ในกฎของอนิจจัง มันก็เป็นอนาถาอยู่ แต่ถ้าเป็นอกุปปธรรมแล้ว อกุปปธรรม อฐานะที่จะหมุนไปตามวัฏฏะ สิ่งนี้เป็นอฐานะ มีหลักมีเกณฑ์ จิตนี้ไม่เป็นอนาถาแล้ว จิตนี้มีหลักมีเกณฑ์แล้ว จิตนี้เป็นอฐานะที่จะเป็นไปกับโลก ถ้าไม่เป็นไปกับโลกมันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน

ดูสิเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราอยากจะพ้นทุกข์ แม้แต่พอจิตมันปล่อยวางหมด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์แยกออกจากกัน มันปล่อยวางโดยการถอดถอน โดยสัจจะความจริงจากจิตดวงนั้น ไม่ใช่โดยตำรา ตำราเป็นตำรา สาธุ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเรา แน่นอน แต่นั่นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ใช่บ้าหอบฟางเอามาหอบเป็นสมบัติของเรา

แต่ขณะที่เราทำขึ้นมานั้น มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา มันเป็นสมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะไม่หมุนไปในวัฏฏะ ใจดวงนั้นจะเกิดอีกแค่ ๗ ชาติอย่างมาก ใจดวงนั้นจะเกิดอีก ๗ ชาติเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ปรารถนามาถึงพระโสดาบันได้แค่นั้น แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อไปล่ะ ถ้ามันประพฤติปฏิบัติต่อไป แล้วทำความสงบให้มากขึ้น เพราะอะไร เพราะมันต้องใช้สติปัญญามากขึ้น

สติปัญญาที่มากขึ้นแล้วมันจะจับกิเลสที่ละเอียดมากขึ้น อย่างหยาบๆ เราได้ชำระสะสางออกไปหมดแล้ว แต่กิเลสอย่างละเอียดมันอยู่ในหัวใจ เราต้องใช้เครื่องมือที่ละเอียดขึ้นไป ใช้ความรอบคอบมากขึ้น พอรอบคอบมากขึ้นมันก็เข้าไปจับกาย เวทนา จิต ธรรมเหมือนกัน

กาย เวทนา จิต ธรรมจากเปลือกภายนอก กาย เวทนา จิต ธรรมจากเปลือกภายใน กายนอก กายใน กายในกาย มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เป็นชั้นเป็นตอนอย่างนั้นจริงๆ แต่ในภาคปริยัติเขาบอกว่า “มันเป็นโวหาร กายก็คือกาย มันจะมีนอกมีในอะไรกัน” คนภาวนาไม่เป็นก็คือคนภาวนาไม่เป็นนะ ถ้าคนภาวนาเป็น คนภาวนากับคนภาวนาเขาพูดด้วยกัน อย่างเช่นเรามีเงิน เรามีแบงก์ร้อย เรามีแบงก์ห้าร้อย เรามีแบงก์พันนะ แบงก์ก็คือกระดาษเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นโลกนะ กระดาษก็คือกระดาษไง กระดาษใบหนึ่งก็มีค่าเท่ากับกระดาษไง

แต่ถ้าเป็นความจริงนะไม่ใช่ แบงก์ร้อย แบงก์ห้าร้อย แบงก์พันมันมีราคาต่างกัน นี้ก็เหมือนกัน กายนอก กายใน กายในกายมันต่างกัน กระดาษเหมือนกัน แต่คุณค่ามันแตกต่างกัน กายก็เหมือนกัน กายนอก กายใน กายในกายแตกต่างกัน แตกต่างกันเพราะอะไร แตกต่างกันเพราะว่าจิตมันละเอียดกว่า จิตมีกำลังมากกว่า จิตละเอียดกว่า ที่มีกำลังมากกว่ามันออกไปรู้กาย มันพิจารณาของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า กายเป็นกาย จิตเป็นจิต มันแยกออกไปโดยธรรมชาติของมัน

แล้วถ้ามันถอดถอนนะ มันถอดถอนซ้ำๆ ซากๆ จนถึงที่สุดเพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติของเราเริ่มต้นมาเราล้มลุกคลุกคลานมา มันอนาถา เวลาเราปฏิบัติมันอนาถาจริงๆ นะ ถ้าไม่อนาถาแล้วทำไมเราปฏิบัติกันหัวหกก้นขวิดเลย แล้วมีแต่ความทุกข์ยาก เหมือนคนอนาถา แต่ถึงจะอนาถาขนาดไหน เราก็เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพุทธศาสนา อนาถาขนาดไหนมันก็มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ มันก็มีโอกาสมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศาสดาเป็นที่พึ่งอาศัย เราก็มีการกระทำของเรา

ฉะนั้นพอไปทำของเรา จากจิตอนาถา พอมันอนาถาแล้วทำของมันขึ้นมาจนเป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้ว เวลามันละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สิ่งนี้มันเป็นการพิสูจน์ไง พิสูจน์ว่า ถ้าทำไม่เป็น ถ้าภาวนาไม่เป็น มันจะล้มลุกคลุกคลาน แต่ถ้าภาวนาเป็นแล้ว มันมีการฝึกงาน มันเป็นงานแล้ว การปฏิบัติขึ้นไปมันจะละเอียดลึกซึ้งขนาดไหน มันก็ต้องต่อสู้ แล้วประสบการณ์ที่พิจารณาแล้วล้มลุกคลุกคลานมันจะเป็นประสบการณ์ เพราะเราผิดเราถึงล้มลุกคลุกคลานไง เพราะมันถูกเราถึงชำระเราถึงฆ่ากิเลสได้ไง

ฉะนั้นในการปฏิบัติเราก็ต้องทดสอบ ถ้ามันละเอียดขนาดไหนก็ต้องต่อสู้กัน ต่อสู้กัน มันจะละเอียดกว่าเดิมมาก พอละเอียดกว่าเดิมมากใช้ปัญญาที่มากขึ้น พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าพิจารณาจิต มันเป็นขันธ์ ขันธ์อย่างกลาง ถ้ามันทำลายแล้วมันแยกออก ขันธ์กับจิต กายกับใจแยกออกจากกัน พิจารณากายเวลามันคืนสู่สภาพของมัน สู่ดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็แยกออกจากกัน กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส มันชำระล้างหมด มันชำระล้างที่ไหน มันชำระล้างลงที่ใจ เพราะอะไร เพราะอุปาทานมันฝังอยู่ที่ใจ พอมันถอดถอนอุปาทานออกจากที่ฝังที่ใจ มันว่างหมด มันปล่อยหมด โลกนี้ราบหมดเลย

สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน สิ่งนี้มันเป็นไปจากใคร มันก็เป็นไปจากจิตที่อนาถา ที่ว่าเป็นอนาถามันก็ล้มลุกคลุกคลานนะ เวลามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันเป็นมนุษย์เหนือมนุษย์ กิริยาแสดงออกก็เหมือนกัน เดินจงกรมก็คือเดินจงกรม คนเดินจงกรม กับทุกๆ คนมันก็เหมือนกัน กิริยามันเหมือนกัน แต่หัวใจมันไม่เหมือนกัน ความเห็นจากภายในแตกต่างมหาศาล แล้วความเห็นภายในรับรู้ได้ ฟังถึงความเข้าใจได้ เข้าใจว่าโลกเขาคิดอย่างไร ความเป็นไปอย่างไร สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้นมา

แล้วถ้ามันย้อนกลับเข้าไปในหัวใจ มันจะเป็นมหาสติมหาปัญญา ความที่เป็นสติปัญญา สติปัญญาการใคร่ครวญขึ้นมาชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สติปัญญามันมีความละเอียดมากขนาดไหน มันจับจิต จับกาย จับเวทนา จับธรรมขึ้นมาด้วยวิปัสสนาอย่างไร แล้วมันชำระออกไปหมดแล้ว แล้วเราคิดว่าเราจะใช้ปัญญาอย่างนี้เพื่อไปชำระกิเลสอีกนั้น ไม่ได้

มันจะต้องสร้างสติสร้างปัญญาที่ลึกซึ้งกว่า เพราะสร้างสติสร้างปัญญาที่ลึกซึ้งกว่ามันจะรู้มันจะเห็น มันจะรู้มันจะเห็นความแตกต่างระหว่างสติกับมหาสติ ระหว่างปัญญากับมหาปัญญา สติปัญญานี้เราต่อสู้มาเราชำระกิเลสมา เรารู้เราเห็นของเรานะ แต่พอเราจะไปจับความว่าง จับจิต จับสิ่งต่างๆ มันจับอะไรไม่ได้ มันว่างอยู่อย่างนั้น มันติดได้ พอมันติดได้ พอมันว่างแล้วก็ไม่มีสิ่งใดแล้ว ก็คิดว่ากิเลสไม่มี

กิเลสมันละเอียดกว่าความคิดเรานะ ความคิดที่เราจะต่อสู้กับกิเลส ที่ว่ากิเลสไม่มีเพราะมันว่างหมด จับต้องสิ่งใดไม่ได้เลย จับต้องสิ่งใดไม่ได้เพราะกิเลส กิเลสมันเรืองแสงอยู่ในจิตของเราไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ในเมื่อเป็นจิตเดิมแท้ มันก็แท้ สว่างไสว มันไม่มีสิ่งใดเลย มันไม่มีสิ่งใดเลย จับต้องสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย

ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคอยแนะคอยบอก คอยแนะคอยบอกเพราะอะไร เพราะมันมีมรรค ๔ ผล ๔ ในเมื่อการประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันแค่ถอดถอนอุปาทาน ถอดถอนกายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส มันถอดถอนกายกับจิตแยกออกโดยธรรมชาติของมัน แล้วจิตล้วนๆ ตัวจิตล้วนๆ กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส โลกนี้ราบหมด แล้วจิตล้วนๆ มันเป็นอย่างไร แล้วจะเอาอะไรไปจับมัน

แต่ถ้าเราทำสัมมาสมาธิ เราทำสติมากขึ้น สมาธิเราละเอียดขึ้น สัมมา มันเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถ้ามหาสติมหาปัญญามันเข้าไปจับต้องสิ่งนี้ได้ เข้าไปจับต้องนะ เข้าไปจับต้องมันจะสั่นไหว เหมือนกับที่ว่าจิตสงบแล้วต้องออกใช้ปัญญา จิตสงบแล้วต้องออกวิปัสสนา ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันจับต้องไม่ได้ มันจะเอาอะไรวิปัสสนา

ดูสิ เราใช้ไฟฟ้ากัน เวลาเราจับไฟฟ้า ไฟฟ้ามันช็อตเรา มันกระตุกเราขนาดไหน ถ้าเราไม่จับไฟฟ้า ไฟฟ้าก็ไม่ช็อตเรา ถ้ามันมีไฟฟ้าในสาย แล้วเราไปจับต้องมันดูดเราทันทีเลยนะ มันกระตุกเราทันที นี่ก็เหมือนกัน พอจิตนี้มันจับกาย เวทนา จิต ธรรมของกามราคะไม่ได้ มันก็เหมือนกับไม่มีกระแสไฟ ไม่มีอะไรเลย จับอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้ามันจับได้นะ มันกระตุกนะ พอมันกระตุกคือมันสั่นไหวหมดนะ

แต่ที่ว่าว่างๆ ว่างๆ โอ้โฮ ไม่มีสิ่งใดเลย จิตนี้ไม่มีอะไรเลย โอ๋ย ว่าง มีความสุขมาก พอมันจับได้นะ มันกระตุกทีเดียวหงายท้องเลยล่ะ เพราะอะไร เพราะพิจารณาไป สิ่งที่ว่าว่างๆ สิ่งที่ว่าไม่มีสิ่งใดเลย มันเป็นกามราคะ กามโอฆะ ที่ว่าอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะเพราะอะไร เพราะจิตมีกามฉันทะ ความพอใจในตัวมันเอง ความพอใจในตัวมันเองมันเป็นกามฉันทะ พอมันมีความพอใจในตัวมันเองแล้ว มันก็มีความพอใจในสิ่งต่างๆ จากภายนอก

ดูสิว่ารักคนนู้น รักคนนี้ มันรักตัวเองทั้งนั้นล่ะ เพราะตัวเองมีความปรารถนา ถ้าไม่มีตัวเราจะมีอะไร โลกนี้มีเพราะมีเรา ถ้าไม่มีตัวจิต ไม่มีตัวกาม มันจะเกิดกามราคะได้อย่างไร กามราคะคือโอฆะไง เพราะกามราคะมันถึงมีกามภพไง ดูเทวดา อินทร์ พรหมสิ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคาเวลาตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร ไปเกิดเป็นเทวดา อริยเจ้า ถ้าเป็นคนทำบุญกุศลไปเกิดเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาปุถุชน

ถ้าพูดถึงพิจารณามาขนาดนี้ ปล่อยมาขนาดนี้ เวลาจิตที่ไม่อนาถา จิตที่มันมี อกุปปธรรม จิตนี้มันยังเกิดยังตายอยู่ในวัฏฏะ เพราะมันยังเกิดมันยังตาย แต่มันไม่อนาถาเพราะอะไร เพราะมันมีต้นมีปลาย แต่ถ้าอนาถามันไม่มีต้นไม่มีปลายเลย มันจะเวียนตายเวียนเกิดโดยวัฏฏะ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เลย แต่เป็นสกิทาคาแล้วอย่างมากก็อีก ๓ ชาติ ถ้าอีก ๓ ชาติถ้ามันจะไปเกิด ก็ไปเกิดบนเทวดา

แต่ถ้ามันจับของมันได้ เพราะมันเป็นกามราคะมันเกิดกามภพ เพราะตัวจิตมันยังเกิดบนกามภพ บนกามภพเพราะมันมีกามฉันทะ แต่กามฉันทะพอมันจับได้ จับมันได้มันจะถอดถอนได้ด้วยวิธีใด มันจะถอดถอนด้วยมรรคญาณ สิ่งที่เป็นมรรคญาณมันพิจารณากายเป็นอสุภะ ถ้าพิจารณาจิตมันเป็นกามฉันทะ กามฉันทะที่พิจารณาตัวมันเองนั่นล่ะ พิจารณาสิ่งที่มันสว่างไสว สิ่งที่มันไม่มีสิ่งใดในหัวใจนั่นล่ะ

เพราะความพอใจในตัวมันเอง มันถึงมีสถานที่ มันถึงมีภพ มันมีสถานที่ออกหาเหยื่อ แต่ถ้ามันออกหาเหยื่อ เป็นกามราคะเลย แต่ถ้ามันอยู่ในตัวของมันเองมันเป็นกามฉันทะ ถ้ามันมีเหยื่อมันก็คิดในตัวของมัน มันทำลายตัวมันเอง มันเศร้าหมอง ผ่องใส อยู่ในตัวมันเอง มันกระทบกระเทือนในตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา

มันถึงเป็นมหาสติมหาปัญญาเพราะอะไร เพราะมันรวดเร็วมาก เพราะมันมีมหาสติมหาปัญญาเข้าไปต่อสู้มัน มันใช้วิปัสสนาญาณ ชำระกัน แก้ไขกัน มีการเปลี่ยนแปลงกัน มันจะต่อสู้ เดี๋ยวกิเลสชนะ เดี๋ยวธรรมชนะ คำว่าชนะหมายถึงว่า มันมีกำลังมากกว่า มันทำให้จิตนี้คล้อยตาม พอคล้ายตามถ้าเป็นกิเลสชนะนะ อู้ฮู มันเป็นธรรมะ อู้ฮู มันเป็นธรรมะ มันปล่อยวาง มันคล้อยตามไปนะ พอมีสติขึ้นมา อ้าว ปล่อยวางอะไร มันใช้กำลังเราไปหมดแล้ว

แต่ถ้าเวลามันเป็นธรรมนะ พอมันเป็นธรรมขึ้นมา พอมีสติมีปัญญาขึ้นมา มันแยกแยะ จับมันนั่นล่ะ จับความรู้สึกจับความนึกคิดนี้มาแยกแยะ ถ้าเป็นอสุภะมันก็บ่อยครั้งเข้า เร็วเข้า ชำนาญมากขึ้น พอมันชำนาญมากขึ้นมันพิจารณาแล้วมันปล่อยนะ ชำนาญมากขึ้น รวดเร็วขึ้น ใกล้ชิดขึ้น ระยะการความคิดสั้นขึ้น เร็วขึ้น จนละเอียดลึกซึ้งขึ้น จนสติปัญญามันมีกำลังมากขึ้น จนกลืนเข้าสู่ตัวเองเพราะมันหดสั้นเข้ามาถึงตัวใจ ตัวกามฉันทะ

กามฉันทะคือความรู้สึกของจิต คือตัวตนของจิต ตัวตนนั่นนะเพราะกามฉันทะ ความพอใจในตัวเอง พอเข้ามาถึงตัวเองทำลายตัวเองครืน ครืนเลยนะ ทำลายตัวเอง ทำลายกามภพ ถ้าทำลายกามภพ จากจิตที่อนาถา มันทำลายกามภพ จากเทวดาลงมาเกิดไม่ได้อีกแล้ว เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน ทรัพย์ของจิตดวงนั้น ถ้าตายตอนนี้ไปเกิดบนพรหมอย่างเดียว พระอนาคา ๕ ชั้น แล้วจะสุกไปข้างหน้า จะเป็นสิ้นกิเลสไป

ถ้าพิจารณาต่อไป ซ้ำไป เพราะจิตเป็นอนาถาใช่ไหม เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อใช่ไหม เพราะเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนมีหลักมีเกณฑ์ แล้วเราปฏิบัติวิปัสสนาญาณจนเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคาขึ้นมา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันจะพัฒนาตัวมันเอง มันจะวิปัสสนาตัวมันเอง มันจะปล่อยวาง ปล่อยวาง อนาคา ๕ ชั้นมันจะละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปจนถึงที่สุด มันเป็นจิตเดิมแท้

จิตเดิมแท้มันผ่องใส จิตเดิมแท้มันหมองไปด้วยอุปกิเลส จากที่ว่าอนาถา จิตเดิมแท้มันไปเกิดบนพรหม เกิดบนพรหมมันก็ต้องไปเสวยภพชาติอยู่ แล้วมันจะสุกไปข้างหน้า แต่ถ้าใช้วิปัสสนาเข้าไปถึงจับมัน วิปัสสนาไง อรหัตตมรรค สิ่งนี้มันจะจับตัวจิตได้ ถ้าจับตัวจิตได้ ที่เขาบอกว่าจิตนี้เป็นดวง จิตนี้ร้อยแปดร้อยเก้า ร้อยแสนดวงนั่นขี้โม้ทั้งนั้นล่ะ

ฉะนั้นที่ว่า อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา อิทัปปัจจยตา ต่างๆ สิ่งต่อเนื่องกับจิต สิ่งนี้มันเป็นอย่างไร มันรู้เห็นอย่างไรมันถึงเป็นการต่อเนื่อง มันเป็นสันตติ เป็นสันตติอย่างไร มันมีของมันอย่างไร มันไปเกิดบนพรหมอย่างไร แล้วมันจะสุกไปอย่างไร แล้วมันจะสิ้นกิเลสไปได้อย่างไร ถ้าจิตมันมีสติอัตโนมัติเข้าไปจับของมัน อรหัตตมรรค ไม่ใช่มหาสติ ไม่ใช่มหาปัญญา มันเป็นปัญญาญาณเข้าไปจับต้อง แล้ววิปัสสนาของมัน ใคร่ครวญของมันไป

ความละเอียดลึกซึ้งในธรรมะนะ ในสัจธรรม มันมีแต่ความลึกซึ้งแล้วมันเข้าไป จากที่ว่ามันทำลายตัวจิต ทำลายตัวภพเป็นอนาคา เพราะมันเป็นการทำลายกามภพ แต่กามภพถึงที่สุดแล้วมันทำลายกามฉันทะออกไปทั้งหมดแล้ว มันเหลือจิตผ่องใส ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีสิ่งใดเป็นคำพูดไม่ได้เลยเพราะอะไร

อิทัปปัจจยตา เพราะมีสิ่งนี้ ถึงมีสิ่งนี้ ปัจจยาการเพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน มันเป็นตอของจิต มันเป็นตอ มันเป็นสิ่งหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียว มันไม่มีการเป็นกองเป็นขันธ์ที่แยกแยะขึ้นมา พอเป็นปัญญาขึ้นไป เป็นปัญญาที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เข้าไปถึงตัวของมันได้ พอจับต้องตัวของมันได้ จับต้องแล้วมันก็สั่นไหว โอ้โฮ เหมือนมันช็อก มันเป็นเรื่องที่ช็อก เป็นเรื่องที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่สิ่งนี้มันเป็นไปแล้ว มันเป็นไป พอจับสิ่งนี้ได้แล้วมันใคร่ครวญของมันนะ ใคร่ครวญของมันโดยปัญญาญาณ จะใช้ปัญญาอย่างหยาบไม่ได้ มันจะลึกซึ้งเข้าไป ถึงที่สุดมันจะไปทำลายของมัน ทำลาย ที่ว่า อิทัปปัจจยตา สิ่งนั้นมีสิ่งนี้ถึงมี ไอ้นั่นมันเป็นพุทธวิสัย มันเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเข้าไปเห็นที่ความละเอียดอ่อนลึกซึ้งเข้าไป แล้วทำลายถึงตัวจิตตัวนี้ ทำลายทั้งหมด

จากจิตที่อนาถา มันอนาถาเพราะอะไร อนาถาเพราะมันมีภวาสวะ มันมีภพมันมีของมัน มันถึงเป็นอนาถา เพราะมันเป็นสิ่งที่หมุนเวียนไปเพราะมันมีกำลังขับของมัน แต่พอเราทำลายจิตเดิมแท้ผ่องใส จิตเดิมแท้โดนทำลายทั้งหมดเลย อะไรเป็นอนาถา มันพ้นไปจากวัฏฏะ มันเป็นวิมุตติ มันเป็นสัจธรรม มันเป็นความจริงของมัน มันพ้นจากกิเลสทั้งหมดของมัน

นี้ถึงเป็นจิตที่พ้นจากจิตที่เป็นอนาถา จิตที่มีคุณธรรมในหัวใจ นี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงไว้เป็นธรรมและวินัยของเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นสมบัติของใจดวงนั้น เป็นสมบัติของใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันเป็นสมบัติของใจ เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสัจจะความจริง มันไม่ใช่บ้าหอบฟาง มันเป็นความจริงของใจดวงนั้น ประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุด นี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง