เทศน์เช้า

หม้อต้มพะโล้

๓๑ ธ.ค. ๒๕๓๙

 

หม้อต้มพะโล้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๙
ณ วันสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่าก็จะเตือนไว้ไง เตือนไว้หน่อย แล้วถ้าปีใหม่ก็จะว่ากันอีกทีหนึ่ง ส่งท้ายปีเก่ามันก็เป็นเวลาเว้ย! พูดถึงถ้าเราหลงโลกน่ะ ตื่นเต้นไปกับเขา ตื่นเต้นมากเลย วันคืนล่วงไปๆ ได้มาก็ได้ชีวิตมานะ เวลาสิ้นปีมันสนุกนะ แบบว่ามันเป็นนักขัตฤกษ์ เป็นการรื่นเริงนี้ก็เห็นด้วย แต่ถ้าเรามีสติมันก็เป็นประโยชน์กับเรานะ มีสติมันก็มีความเข้าใจ

หม้อต้มพะโล้ เห็นไหม หม้อต้มพะโล้เราต้องตั้งขึ้นบ่อยๆ ใช่ไหม หม้อต้มพะโล้นี่ มันต้มไส้ต้มพุงเรานะ ไส้หมูเห็นไหม ไอ้นี่หม้อต้มเรานะ หม้อต้มกาย เอาอะไรต้ม พะโล้นี่เขาเอาไฟต้ม ตั้งบนเตา อันนี้ธาตุไฟต้มนะ นี่หม้อพะโล้ดีๆ นี่เอง

ในกายนี้มีอะไร? มีตับ ไต ไส้ พุง ทั้งหมดเลย ต่อด้วยธาตุไฟนะ ถ้านี่ต่อด้วยธาตุไฟนะ ถ้าพูดด้วยประสาโลกให้เข้าใจต่อด้วยธาตุไฟ แต่จริงๆ แล้วต่อด้วยธาตุรู้นะ ไออุ่นไง ไออุ่น ตัวจิตปฏิสนธิน่ะ ตัวนั้นล่ะมันเป็นตัวสปาร์ค เป็นตัวติดไว้ ถ้าตัวนั้นดับ ตาย!

พะโล้หม้อใครหม้อมันอยู่นี่ ต้มอยู่นี่ ไออุ่นสืบต่อไว้น่ะ อย่างที่เขาต้มกัน เห็นไหม ดูเวลาเขาต้ม ถ้ายกขึ้นไปตั้งบนไฟมันจะไม่บูด เพราะตั้งไว้บนไฟ ไฟนี้เลี้ยงไว้ไม่ให้มันบูดไม่ให้มันเน่า ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้ามันแบบว่าวงจรชีวิตนี่ แบบปีใหม่ไง สิ้นปีก็ขึ้นปีใหม่ นี่ก็ขึ้นต้นชีวิตใหม่

ก็ตายไง แล้วเกิดใหม่ นี่ตายแล้วเกิดใหม่ มันอุ่นมาตลอด มันอุ่นมาตลอด แต่เราไปอุ่นกันข้างนอก เราไปหลงทาง อย่างเช่น ไปบนถนนเห็นไหม เราหลงทาง อันนี้ พิจารณากาย รักษากาย แต่หลงกายไง เอากายนี้เป็นฐาน มีเราเห็นไหม ดูสิ ที่นั่งกันอยู่อย่างนี้ก็ชื่นใจ เวลาตายสิ เวลาใครพลัดพรากไปนี่ ตาย ตกใจมาก เห็นไหม มันตกใจมาก มันพลัดพรากออกไป

นี่บอกว่าเอากายนี้เป็นฐาน เพราะมีเรามันถึงมีขึ้นปีใหม่ ไอ้คนที่ตายไปแล้วนี่อย่าพึ่งตายได้ไหม รอ ๒ วันนี้ก่อน เดี๋ยวมันค่อยตาย แต่มันตายไปก่อน ตายเพราะปีใหม่นี่อย่างเยอะเลย แต่นี่เราไม่ตาย แต่เราเผลอไง เราหลง เราหลงกลไง

มันไม่ดูที่หม้อต้มพะโล้ เห็นไหม หม้อต้มพะโล้เราไปกินพะโล้กันเราถึงรู้จัก กายนี้ก็เหมือนกัน อาศัยฐานจากกายนี้แล้วพุ่งออกหมดเลย มองข้ามกายไง มองข้ามหลงไง ของใกล้ตัวไง มองข้ามไปข้างนอกเลย ไม่มองตรงนี้ไง สิ่งอื่นมีเพราะมีเรา มีนี่มีชีวิต มีจิตใจ หม้อต้มอันนี้ไม่เน่าเพราะว่าธาตุไฟนี้มันหล่อเลี้ยงไว้ ไอ้ธาตุไฟ ไอ้ตัวนี้ ตัวที่ว่าสืบต่อนี่ มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ตรงนี้

ตรงนี้ที่ว่าถ้าเรากลับมาดูตรงนี้นะ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้มันไม่ตื่นออกไปข้างนอกหนึ่งนะ มันไม่ทำความผิด ความผิดที่ว่าผิดมากเกินไปน่ะ ความผิดออกไปจากวงศีลวงธรรม มันไม่ทำเพราะว่ามันรู้ว่าอันนั้นมันจะให้โทษกว่าอันนี้ไง ให้โทษกับไอ้ที่ว่าจะไปเกิด ไปรับผล

แต่ถ้าเราเห็นว่าโลกมันเป็นไป ปีใหม่เป็นไป แล้วทำกันไป เราก็ทำตามเขา ทำตามเขานะ แต่ไม่หลงไปตามเขา อยู่ในสังคมไง แล้วยังเอาฐานอันนี้กลับมาที่ฐานอันนี้ เพราะทำสิ่งที่ดีนี่เห็นไหม จุนเจือกัน เมตตากัน มันก็หันกลับมาตรงนี้ ไอ้ตรงใจนี่มันได้ประโยชน์ เป็นผลที่ว่ามันจะไปเกิดดีไง นั้นมันปีใหม่ปีเก่าของเขา

แต่ชีวิตใหม่สิ ความเป็นอยู่ที่ใหม่ แต่มันต้องดูตรงนี้ก่อนเลย ว่าชีวิตเก่าหมดไปไง เห็นไหม อย่างเวลาของที่เสียไปเน่าไปนี่ นี่กาลเวลามันหมดไป เรามีแต่เสียโอกาส แล้วเราจะไปฉลองอะไรกัน มีแต่น่าจะอาลัยอาวรณ์ต่างหาก น่าจะเสียดายว่าเราทำคุณงามความดีไว้ขนาดไหน เราสร้างอะไรไว้ในปีที่สิ้นไป สิ้นไป

ถ้าเอาอันนั้นมาตั้งเป็นฐานนะ เราก็ตั้งฐานใหม่ ตั้งฐานแบบว่าจะทำอะไรต่อไป จะทำอย่างไร ๕ ปี ๑๐ ปี นี่แป๊บเดียว ๕ ปี ๑๐ ปีนี่ แป๊บเดียว เห็นกันตั้งแต่เด็กๆ นะ แป๊บๆๆ นี่ไปหมดแล้ว แล้วเราจะแก่เฒ่าไปเรื่อย แก่เฒ่าไปเรื่อย เราแก่เฒ่าไปนี่มันแก่เฉพาะร่างกาย หัวใจมันแก่ไหม? หัวใจนี้มันหยุดนิ่งนะ คือว่าเราแก่ขนาดไหน งอมขนาดไหน หัวใจมันเคยแบบว่า แก่แล้วหยุดที่มันเคยทำความผิด มันหยุดทำได้ไหม? ไม่มีทาง ไม่มีทางเลย เห็นไหน มันไม่แก่ มันไม่แก่ แก่ขนาดไหนก็แล้วแต่ มันก็ยังว่าถ้ามันยังทำได้นะ นี้มันจะสรุปว่าทำไม่ได้ ก็เพราะเวลาร่างกายมันบีบคั้นเข้ามานั้นน่ะ อย่างพะโล้มันจะบูดนี่ ร่างกายมันเจ็บ มันวิการเข้ามาทั้งนั้นล่ะ อันนั้นน่ะสุดท้ายแล้วมันทรมานมากนะ คนจะสิ้นน่ะ คนจะตาย จะทรมานมากเลย

เวทนามันจะบีบคั้น กรรมนิมิตจะเกิด ทุกอย่างจะเกิดเลย เพราะว่าอันนั้นมันจะเสวยภพแล้วมันจะบีบคั้นเข้ามา พอจะบีบคั้นเข้ามานี่มันทรมานจนแบบว่า ตายเถิดๆ แต่ทุกคนกลัวตายนะ เพราะปกตินี่เรายังไม่อยากตายเลย แต่ถ้าวิบากกรรมมันบีบเข้ามา บีบเข้ามานี่เห็นไหม มันจะบอก “ไปเถิดๆ ”

อย่างเช่นเราเฝ้าไข้กันน่ะ คนอีกคนที่ว่าเจ็บป่วยมากนี่ ทุกคนจะคิดในใจเลยว่า ตายดีกว่า ดีกว่าให้ทรมาน เราเห็นทรมานแล้วเราสงสารไง เห็นไหม เวลามันวิการ เวลามันเริ่มเสีย นั้นพูดถึงเวลามันบีบคั้นเข้ามา ถ้าเราไม่บีบคั้นมันก็เลยเหลิงไง

บีบคั้นเข้ามานะ กาลเวลามันบีบคั้นเข้ามาแล้ว ร่างกายมันบีบคั้นเข้ามา ร่างกาย ความวิการของมัน นี้ธาตุไฟเรามันอุ่นไว้มันก็ไม่เสียนะสิ ธาตุไฟมันอุ่นไว้ เหมือนพะโล้หม้อหนึ่ง เหมือนกัน ร่างกายนี้เหมือนกันเลย แต่อันนั้นมันไม่มีชีวิตสืบต่อน่ะ เรามาเปรียบเทียบเฉยๆ ไอ้สืบต่อ ไอ้ไออุ่นเรานี่ พระสารีบุตรถึงบอกไง

ชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือตัวพลังงาน ตัวนี้ตัวสืบต่อ สืบต่อบนอายุไง มันมีอายุ มัน มีการสืบต่อไป พลังตัวนี้คือตัวจิตแท้นะ ไอ้ธาตุไฟนี้มันเป็นธาตุเฉยๆ ธาตุไฟนี้มันเป็นธาตุ ๔ ที่ว่าดิน น้ำ ลมไฟ เวลาคนตาย เวลาคนเราเกิดมานี่ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เวลาตาย เห็นไหม ตายนี่จิตออกก่อน ลม ไฟ ลมจะขาด ไฟไม่มี แล้วไอ้ดินกับน้ำนี่ค่อยแปรสภาพทีหลัง

ธาตุ ๔ นี้มันเป็นธาตุเพราะมันสืบต่อ หมายถึงว่าตัวพลังงานตัวแรกคือตัวจิตเดิมแท้นั้น ตัวไออุ่นนั้น ธาตุไฟนี้มันสืบต่อ ก็เหมือนกับเครื่องปั่นไฟฟ้า เห็นไหม เครื่องปั่นเกิดจากไฟปั่นใช่ไหม แต่ตัวไฟที่ออกมานี่ตัวนี้คือตัวธาตุไฟ ตัวปั่นคือตัวไออุ่นนั้น ถ้าเครื่องปั่นนั้นดับไฟฟ้ามันจะมีไหม

นี่ธาตุไฟ คือว่าอันนั้นยังไม่ใช่ตัวไออุ่น ตัวไออุ่นคือตัวเดิมแท้ ตัวจิตตัวนั้น ถ้ามันปกติมันเป็นตัวนั้น ตัวนั้นเป็นตัวเกิด ตัวตาย ตัวปฏิสนธิ แล้วออกมานี่เป็นขันธ์ เป็นอะไรว่ากันไป ศึกษาอะไรข้างนอก มันถึงว่าให้เดินธุดงค์มาในกายนี่ไง เดินธุดงค์เข้ามาที่หม้อพะโล้นี่ไง หม้อพะโล้นี้มีไข่ มีหมู มีอะไร เรากินมันก็อร่อย

แต่ถ้าเราเข้ามาพิจารณาตรงนี้สิ อันนี้มันสืบต่อให้ร่างกายเรา เรากินเข้าไปแล้วเป็นประโยชน์กับร่างกาย แต่นี่มันเป็นประโยชน์ของใจ ถ้าหันกลับมาดูพะโล้ในนี้ ดูไส้เรา ดูตับเรา ดูพุงเรานะ หันกลับมาดูนี่ ถ้าเห็นตามสภาพความเป็นจริง มันบำรุงจิตใจไงว่า อ๋อ! อ๋อเลยเห็นไหม เมื่อก่อนนี่หลงตามโลกเขาไป

แต่ตอนนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าธาตุ ๔ นี้มันแปรสภาพตลอดเวลา มันต้องแปรสภาพไป มันต้องตาย ต้องพลัดพรากจากไป แต่ที่ว่าเราก็รู้ๆ นี่รู้ด้วยความจำ รู้ด้วยความจำใช่ไหม แต่เราหันกลับมานี่ เราดูสภาพสิ่งแวดล้อมเข้ามานี่ ดูโลกไง คือว่าตัดเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก ตัดที่ใจไปติดรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอกน่ะ หดเข้ามาใช่ไหม

เห็นไหม ปีใหม่ ปีเก่า ความเป็นไปของโลกมันก็แตกเข้ามา เพราะใจนั้นไม่ไปติด ถ้าใจไปติดเราจะอยู่บ้านไม่ได้เลย ในนวโกวาทสอนไว้เห็นไหม นักเลงกลางคืนไง เสียงที่ไหนดังต้องไปที่นั่น เสียงที่ไหนมีต้องไปที่นั้น มันอยู่ไม่ไหว แต่ถ้าเราตัดรูป รส กลิ่น เสียง ภายนอก เราจะอยู่มั่นคง เราอยู่ที่ไหนก็ได้ เขาจะมีความรื่นเริงขนาดไหน เราก็อยู่ของเราปกติ เห็นไหม

พอปกตินี่ ตัดรูป รส กลิ่น เสียง ปั๊บ หันกลับมาเรื่อย จากตัดรูปรส กลิ่น เสียง ของภายนอกก็มาถึงกายของเรา มาดูตรงนี้ มาดูของเรา ถ้ามาดูของเราปั๊บ เห็นความแปรสภาพ เห็นความแปรสภาพนะ เห็นด้วยตาเนื้อนี่เห็นได้อย่างหนึ่ง ตาเนื้อมองกันนี่เห็นไหม มองตาสิ มองที่ตาเนื้อสิ เพราะกิเลสมันพามอง กิเลสนี่มันอยู่หลังตา ตาที่มองออกไป กิเลสมันอยู่ที่หลังตา

เรามองออกไปนี่ มันไม่ทำเกิดให้ความสลดสังเวชหรอก มันเกิดด้วยความผูกพัน ความรัก เพราะเราเกิดมาด้วยกรรม กรรมกระทบกันนะ มองคนนี้มองด้วยความรัก มองคนนี้มองด้วยความเกลียดชัง เพราะกรรมมันมีไง กรรมที่ว่าเคยสร้างกันมานี่ มองคนนี้ทำไมมันขัดหูขัดตา มองคนนี้ทำไมมันไม่เข้าสายตาเราเลย ไปมองคนอื่นทำไมคนนี้มันถูกชะตามาก ทำไมคนนี้มันมีความผูกพัน มันเหมือนกับเรามีความอาลัยอาวรณ์มากเห็นไหม นี่เรามองกันด้วยกรรม กรรมอันนั้นน่ะกรรมนะ! กรรม แล้วกิเลสที่มันเสริมกรรมอีกล่ะ

อย่างเช่นเราเกิดมาทุกข์ยาก เราก็ยังต้องเสริมกันอีกใช่ไหม อยากให้มันสบาย อยากให้มันสบาย อยากให้สบายแต่ไม่ได้ทำ ถ้าอยากให้สบาย ทุกคนอยากสบาย อยากมีความสุข แต่ต้องทำความดีเห็นไหม มันให้ผลขึ้นมาเอง กรรมมันก็เป็นตัวหนึ่ง ตัวที่ไปเสริมกรรมนั้นคือตัวกิเลส นี่มันเป็นเครื่องมือทั้งหมด

อย่างเช่นว่ากระแสไฟฟ้า ไฟฟ้านี่เราตัดกระแสไฟฟ้า แต่สายไฟฟ้ามันยังมีอยู่เห็นไหม พอเราติดเครื่องอีกสายไฟฟ้าก็ออกมาอีก ความคิดก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ ก็เป็นตัวสายไฟฟ้า เห็นไหม ตัวสายไฟฟ้ามีอยู่ ขันธ์มีอยู่นี่ กิเลสมันยุปั๊บออกทันทีเลย แต่ถ้าเป็นปกตินี่ไม่ต้องยุหรอก มันเดินตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว ความคิดออกมานี่ด้วยกิเลสออกมา

นี้เราย้อนกลับไปนะ ถ้าเราดูหม้อพะโล้อันนี้ เราก็เหมือนดูเสาไฟฟ้านั้น ถ้าเราเข้าใจสายไฟฟ้าว่า อ้อ! มันผ่านตรงนี้ เราดึงสายไฟฟ้าออกก็ได้ หรือว่าเราจะเข้าใจตามแล้วเราไม่หลงตามมันก็ได้ มันมี ๒ ประเด็นนะ ถ้าเราเข้าใจตามเห็นหม้อพะโล้นี้มันแปรสภาพ เรารู้ตามความเป็นจริงนี่เราไม่หลงตามหนึ่ง เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็รักษา เห็นไหม แต่ถ้าเราหลงตาม นี่พูดถึงว่าเข้าใจนะ

แต่ถ้าพิจารณาไปแล้วมันกระชากสายไฟฟ้านั้นออกเลย อันนี้สายไฟฟ้านี่มันเป็นวัตถุ กระชากออกแล้วหายไปเลย แต่ขันธ์นี้ไม่ใช่อย่างนั้น กระชากออกมาเลย แล้วก็ยังมีอยู่อย่างเก่า เหมือนกับกระแสไฟฟ้าตัดแล้วก็เชื่อมอย่างเก่า ขันธ์มี มันเป็นธรรมชาติของการเคลื่อนไหวของจิตนี้ มันเป็นกิริยาไง มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ แต่เพราะว่ากิเลสอยู่กับขันธ์นี้เราถึงต้องทำลายก่อน พอทำลายแล้วมันเป็นนามธรรม ทำลายกิเลสออกไปขันธ์ก็ยังอยู่อย่างเก่า มันก็ยังสืบต่อได้อยู่

นี่มองมาตรงนี้ไง มองมาที่ความวิการของกาย หม้อพะโล้นี่ไง เพราะสิ้นไปๆ นั้นน่ะ เวลามันสิ้นไปมันเผาไหม้นะ เพราะตามหมอว่า เซลล์ในร่างกายมนุษย์นี่ ๗ ปี เท่านั้นหมด เกิดมา ๗ ปีนี่นะ เซลล์เดิมจากที่เป็นทารกมานี่หมดแล้ว ที่เกิดขึ้นมานี่เป็นเซลล์ใหม่หมดเลย นี่ที่ว่าเราตายไปแล้ว หมดเลย สมบัติเดิมที่คลอดมาจากท้องแม่นี่ไม่มีเหลือแล้วภายใน ๗ ปี เพราะทุกตัวในเซลล์นี้เขาคำนวณแล้วว่าจะตายเกลี้ยงเลย เพียงแต่ว่ามันตายแล้วมันสืบต่อขึ้นมาเป็นคนใหม่ไง แต่เราไม่เข้าใจว่าเราเป็นคนใหม่

นี่ก็เหมือนกัน นี่ปีใหม่วนไปวนมา เราก็เหมือนกันนะ ตายเกิด ตายเกิด มาขนาดไหน ขนาดไหน ความตายความเกิดของเรานั้นน่ะมันตายเกิด แม้แต่ในกายนี้มันก็ยังตายเกิดวนอย่างนี้ แต่เราไม่เห็นเลย เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แล้วเราตายเปล่า เราไปเสวยภพอันนี้แล้วเราไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆ ที่ว่าของเรานี่อุ่นอยู่อย่างนี้ ใจนี้อุ่นกายอยู่อย่างนี้ แล้วของที่มันติดตัวอยู่อย่างนี้ แต่ทุกคนไม่ได้ประโยชน์จากมัน ได้แต่เพิ่มโทษจากมันนะ ได้เพิ่มโทษขึ้นมา ได้เพิ่มโทษขึ้นมา จะได้ประโยชน์ก็ประโยชน์ทำบุญกุศล เห็นไหม

เกิดมาแล้วทำบุญกุศล มันเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดหมด สิ่งที่ดับไม่มี สิ่งที่ว่าสิ้นไม่มี ยกเว้นแต่ว่าการปฏิบัติเท่านั้น สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์นี่ เพราะว่าเราสร้างบุญกุศลมา มีศีล ๕ ไง มนุษย์สมบัติ ถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วเกิดแล้วนี่ก็เหมือนกับมีเงินมาทอง เราใช้เงินทองนี้ให้เป็นประโยชน์ เราจะได้ประโยชน์มากเลย

มีเงินมีทองแล้วจับจ่ายใช้สอยในทางที่ผิดน่ะ เราจะเป็นประโยชน์ไหม อันนั้น เงินทองนะ เงินทองนี่ไม่มีก็หาได้ ยืมได้ แต่ร่างกายยืมได้ไหม สมัยนี้คนเปลี่ยนอวัยวะได้บ้าง แต่ร่างกายนี้ยืมกันไม่ได้นะ ยืมชีวิตกันไม่ได้เลย ชีวิตใครชีวิตมัน มันเป็นสัจจะความจริง ชีวิตของใครชีวิตของมัน ถึงว่าค้นลงที่สัจจะไง ความจริงเข้ากับความจริงไง

สัจจะอันนี้ถ้าเราค้นลงไปแล้วถึงได้ประโยชน์มหาศาลเลย เพราะมันเป็นของที่ สร้างมาจากบุญกุศล ถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่แล้ว ถ้าเราเอาสัจธรรมของพระพุทธเจ้านี่ อริยสัจค้นเข้าไปในกายนี้อีก ในเมื่อความจริงกับความจริงมันเข้าไปหากัน เข้าไปชนกัน มันจะเกิดเป็นความมหัศจรรย์ขึ้นมาอีกไง

คือว่ากลั่นออกมาจากศีลใช่ไหม ออกมาจากอริยสัจใช่ไหม ความดีเกิดขึ้นจากศีล ล้อมไว้ ความดีเกิดขึ้นจากอริยสัจ วงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วมันมีความรู้ผ่านจากกระบวนการอันนี้ออกมา กระบวนการอริยสัจนี้ออกมาอีกทีหนึ่ง ความรู้นั้นประเสริฐ ขาว เป็นความรู้ที่ว่าปล่อยวางกายได้ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นจากกายของเรานะ เราปล่อยกาย เราเข้าใจว่าความเน่ามันอยู่ในนี้ แล้วเราจะไปมองข้างนอกได้อย่างไร เราจะเอาของเน่ากับของเน่าไปประจบกันหรือ

นี่มันต้องพิจารณาเข้ามามันจะเห็นสภาพแบบนั้น เพียงแต่มันหลอกกันด้วยไออุ่นนี่ มันเผาไว้ มันหลอกกันอยู่ แล้วทำให้พวกเราประมาท ทำให้พวกเราเผลอไง เผลอใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตแบบไปวันๆๆ หนึ่ง เผลอมากนะ

เวลาเราเกิดขึ้นมานี่เราเผลอ ทุกคนเผลอหมดเลย เวลาเราแก่ขึ้นมาแล้วนี่ ทุกคนน่ะ เราชาวพุทธไง แก่แล้วค่อยไปบวช ใช้ชีวิตให้พอสมควรเลย พอแก่แล้วไปบวช ในศาสนา จะได้เกิดเป็นบุญต่อไป

แต่แก่แล้วมาบวช บวชเพื่ออาศัยศาสนา ไม่ใช่บวชเข้ามาเพื่อปฏิบัติ เพื่อให้เข้าใจสัจจะความจริง เพื่อเข้าใจนะ เพื่อเข้าใจสัจจะ เข้าไปในเนื้อในของศาสนา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ใจนั้นเป็นพุทธะ ใจนั้นเข้าถึงศาสนา แล้วใจนั้นเป็นตัวศาสนาด้วย เพราะธรรมมันอยู่ที่ใจ ใจนั้นเป็นเนื้อเดียวกับธรรมเลย มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งเลย เห็นไหม

พอเป็นธรรมชาตินะ เป็นธรรมชาติ การที่เวียนไปกับกรรมอันนั้น เวียนไปตามธรรมชาติ แล้วพอมันลึกเข้าไปอีกมันรู้เท่าตามการเวียนไง ตามธรรมชาติ วัฏวนไง จนพ้นออกไปจากธรรมชาตินั้น เหนือธรรมชาติเลย เพราะธรรมชาติคือการหมุนเวียน ธรรมชาตินี้เป็นการหมุนเวียนนะ ธรรมชาตินี้คือความแปรสภาพไปตามธรรมชาติ หัวใจก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

กิเลสนี่ทำให้คนสูงๆ ต่ำๆ กิเลสนะ ถ้ามันเป็นกุศล คิดถึงทำแต่ความดี ทำให้เราสูงขึ้นไป เห็นไหม มันก็เวียนเพราะมันออกไม่ได้ ถ้าทำความชั่วมันก็ต่ำ มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่พอรู้เท่าตามความเป็นจริง รู้เท่าธรรมชาติหมด รู้กฎเกณฑ์ธรรมชาติหมดแล้วหลุดพ้นออกไปจากธรรมชาติ เหนือธรรมชาติ รู้ไว้ตามความเป็นจริงน่ะ

ธรรมชาตินี้ก็เหมือนกับนั่งรถมา รถนี้ก็เป็นธรรมชาติ เห็นไหม เขาคิดขึ้นมาเป็นวิทยาศาสตร์ คิดขึ้นมา ทำขึ้นมาได้ มันครบวงจรแล้วมันก็วิ่งไปได้ ถ้าล้อไม่มี หรือสิ่งใดไม่มีอย่างหนึ่ง มันก็ขับเคลื่อนไปไม่ได้ มันครบวงจรมันก็ขับเคลื่อนมา

ธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมะไง ที่ว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี้ไม่ให้ยึด ธรรมทั้งหลายคือธรรมะไง ธรรมะทั้งหลายนี้ไม่ให้ยึด ไม่ให้ยึดนะ แต่ต้องยึดเข้าไปก่อน

ไม่ให้ยึดหมายถึงว่า ตอนถึงที่สุดไง พอเราพิจารณาไปนี่ คนภาวนาขึ้นไปๆ นะ พอไปรู้อารมณ์ข้างในนี่มันเสียดาย ความสุขไง ติดความสุข ติดความอ้อยสร้อย เห็นภาพแปลกประหลาด เห็นแสง เห็นสี นี่เห็นไหมมันติด ติดธรรมะไง ธรรมมันเกิด เขาเรียกว่าธรรมมันเกิด

เวลาธรรมมันเกิดความรู้ภายในมันเกิด แล้วมันไปข้องเกี่ยวกับความรู้ภายใน ความรู้ภายในที่มันเกิดขึ้นมาจากสัจจะความจริงที่เราขุดค้นขึ้นมา มารถมาเรือก็เหมือนกัน มาแพก็เหมือนกัน มาแล้วไม่ยอมลงจากแพมันจะขึ้นถึงฝั่งได้อย่างไร เห็นไหม ที่ว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตาไง

ธรรมชาตินี้ถึงเป็นที่วงจรไป สมมุติว่าเราเดินทางมานี่มันต้องอาศัยธรรมชาติมา อาศัยการเวียนจากวัฏฏะมา แต่พอรู้เข้า รู้นะ รู้อย่างหนึ่ง รู้ก็เข้าไปรู้เท่า รู้แล้วเห็นโทษ เห็นคุณของมัน เราเกิดมาเห็นไหม ศาสนานี้มีคุณมากเลย นี่คุณของศาสนา แล้วโทษล่ะ โทษคือว่าเราทำต่างจากศาสนานี้จะเป็นโทษ ทำต่างจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำต่างจากของที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ทำตามกิเลสของตัว เห็นไหมโทษ...รู้ แล้วรู้โทษด้วย เห็นโทษด้วย อันนี้เป็นโทษ อันนี้เป็นคุณ แล้วเหนือคุณน่ะ อันนี้ไม่มีคุณและโทษ เหนือดีและชั่ว หลุดออกไปเลย นั้นพ้นจากธรรมชาติ เอโก_ธัมโม อันเอกที่ไม่กลับมาหมุนอีกเลย นั่นนะไออุ่นที่หลุดออกไปเลย

นี่เกิดจากหม้อนี้นะ หม้อพะโล้นี่ ว่าหม้อพะโล้เลย ถ้าเราคิดว่ากายเราเป็นหม้อพะโล้ มันจะได้ไม่ต้องไปติดมันมากไง ถ้าบอกกายๆ นี่มันจะติดมาก ถ้าบอกหม้อพะโล้นี่มันจะไม่ไปติด เนาะ เปรียบเหมือนหม้อพะโล้ข้างนอกสิ แล้วก็ดูในกระเพาะของตัวสิ นี่หม้อพะโล้ ต้มอยู่ด้วย ต้มด้วยจิต ต้มด้วยวิญญาณของเรา ต้มไว้ อุ่นเอาไว้ตลอดเวลา อุ่นไว้ไม่ให้มันเจ็บป่วยไง มันก็ยังทนไม่ได้เลย มันยังทนกับเราไม่ได้ เห็นไหม นี่กาย

หม้อนี้ให้ดูมันไว้ ดูด้วยธรรมไง ดูแล้วมันจะเกิดประโยชน์ ให้ร่างกายนี้ประเสริฐ ดูสิ อย่างหม้อพะโล้เรานี่ ในครัวเรานี่ เราต้มแล้วเราต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีเลย เอาไว้กิน แต่ถ้าเราเข้าใจแล้วหม้อพะโล้นี้เป็นธรรมชาติ เป็นสัจจะ เป็นความจริง เหมือนธรรมทั่วไปไง ตั้งไว้เป็นของกลาง ใครๆ กินก็ได้ไง เช่น หนังนี่ เห็นไหม มีหนังกางแปลงฉายอยู่กลางวัดเลย ใครมาก็ดูได้ใช่ไหม กายเหมือนกัน กายมีทุกคน ถ้าใครมองกายเป็นของสัจจะ ใครเข้าใจอันนั้น ใครเห็นแล้วซึ้ง หรือว่าใครปล่อยวางได้ อันนั้นเป็นสมบัติของคนนั้น

กายนี้ทุกข์ไปหมดเลย แต่กายนอกมันสลดเข้ามาแค่ปล่อยความยึดติดภายนอก กายภายในสามารถชำระกิเลสภายในได้ กายนอกชำระกิเลสไม่ได้ กายนอกเป็นกายนอก กายในเป็นกายใน เพราะกิเลสมันอยู่ที่กายนี้ กายนอกนี้มันถึงส่งออกไป อย่างเช่น เราว่าคนอื่นนี่ เราเอ็ดคนอื่นนี่เอ็ดได้สบายเลย เพราะคนอื่นไม่ใช่เรา แต่ลองเอ็ดตัวเองสิ เรานี้เลว เราทำไม่ดี เราทำไมทำตัวผิดอย่างนี้ เห็นไหม นี่ดูกายใน

เหมือนกัน กายในนี่ก็เหมือนกับเราดูกายเรานี่ โอ้! ความผิดนี่มันฐานอยู่ที่นี่ ความผิดนี้สืบต่อออกไปจากฐานตรงนี้ แล้วถ้าสลัดฐานตรงนี้ออก นี่กิเลสอยู่ตรงนี้ กิเลสไม่ใช่อยู่ที่กายนอกกายใน กายใครกายมัน แต่มันสามารถพิจารณาเพื่อน้อมกลับมาถึงกายเราได้ เป็นฐานย้อนกลับมา แต่ถ้าเราไม่กลับมาที่กายของเราเอง ละกิเลสไม่ได้ ไม่ละหรอก

ดูกายนอกไม่ละกิเลสหรอก มันดูชั่วคราว เพราะมันสงบเฉยๆ เดี๋ยวมันขึ้นอีก แต่ถ้าดูกายเราแล้วสลัดออก นี่ละกิเลสได้ เพราะกิเลสอยู่ที่กายเรานี้ มันสลัดที่นี่ สลัดที่พื้นฐาน สลัดที่ตัวมันเองเลย ต้องสลัดที่นี่ สลัดเลยนะ สลัดขาด สลัดขาด พอสลัดขาดแล้วถึงจะเข้าใจหมด นี่ก็เข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอนสิ

เมื่อก่อนนี้ว่า อ้อ! ใครก็พูดนะ หลายคนที่เวลาพิจารณาไปเจอกายว่า เมื่อก่อนอ่านมา ศึกษามา เข้าใจเฉยๆ แต่พอมาเจอนี่มันซึ้งต่างกันมาก เมื่อก่อนอ่านแล้ว ก็เอ้! กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย มันเป็นอย่างไรหนอ มันเป็นไรหนอ พอเข้าไปประสบ อ๋อ! ถ้าอ้อแล้ว อ้อนี่มันเข้าใจเลย เมื่อก่อนที่ว่าอารมณ์ซึ้งใจนี่มันเป็นอย่างนั้น แต่เข้าไปสัมผัสแล้ว มันเป็นอีกอันหนึ่งเลย มันสะบัดขาดได้เลย

นี่ฐานมันต้องมีการฝึก สมบัติใครสมบัติของบุคคลนั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วบอกว่า “เราตถาคตเป็นผู้สั่งสอนเท่านั้น พวกสาวกหรือพวกเราต้องเป็นผู้ปฏิบัติตาม ถึงจะได้เห็นผลอันนั้น” ถึงจะเห็นผลนั้นนะ เห็นผลอันนั้นเลยแล้วเข้าใจ แล้วผลนั้นไม่ต้องไปแบ่งให้ใคร เป็นสมบัติส่วนบุคคล ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน

ใครก็ให้ค่าเราไม่ได้ เราก็ให้ค่าคนอื่นไม่ได้ แต่เป็นของๆ เรา คุยให้อาจารย์ฟัง หรือคุยให้ครูบาอาจารย์ฟังว่า เออ ถูกต้องไหม เท่านั้นเอง แต่บอกว่า ถ้าเราทำผิดอยู่ สมมุติว่าเราทำมา ๗๐ เปอร์เซ็นต์นี่ อยากจะให้อาจารย์เติมอีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ให้มันครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จะได้สำเร็จนี่ เป็นไปไม่ได้ ชี้แนะบอกช่องทาง จะอย่างไรๆ ก็ต้องหัวใจเรานี่ขยับออกไปคนเดียว มันถึงว่าเป็นปัจจัตตัง เป็นสมบัติของเรา แล้วไม่ต้องไปเจือจานให้ใคร ยกเว้นแต่แสดงธรรมแล้วเป็นประโยชน์กับคนอื่น

แต่การปฏิบัติ การจะฟื้นขึ้นมาต้องใจดวงนั้นดวงเดียว ไม่มีคนอื่นจะทำให้แทนกันได้เลย ใจดวงนั้นนะ ใจลงที่กายนั้น หรือที่ใจนั้นได้ทั้งหมด การพิจารณาไง การพิจารณา การไม่หลง ความไม่ประมาท สิ้นปี สิ้นชีวิต สิ้นปี..(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)