ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พุทธมามกะ

๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๓

 

พุทธมามกะ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันข้อ ๒๘๙. นี้มันคำถามซ้ำ แล้วก็ข้อ ๒๙๐. อันนี้ข้อ ๒๙๐.

ถาม : ๒๙๐. เรื่อง “เพราะไม่อยากเป็นขุยไผ่”

หลวงพ่อ : ตอบขุยไผ่ไปนะ นี้เขาถามกลับมานะ “เพราะไม่อยากเป็นขุยไผ่”

ถาม : โยมได้รับฟังการตอบปัญหาของหลวงพ่อแล้วซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ธรรมแท้นั้นลึกซึ้งนัก หากใครไม่ประสบด้วยหัวใจของตนเองจะแยกแยะถึงความแตกต่างได้อย่างไร ผลของการปฏิบัตินั้นมีทั้งที่เกิดขึ้น เพราะเจตนาที่เราเป็นผู้กระทำ

หลวงพ่อ : เห็นไหม ผลในการปฏิบัติที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเจตนาที่เป็นผู้กระทำ

“เจตนาเป็นผู้กระทำ.. ไม่ใช่สัจธรรม !”

ถาม : แต่เนื่องจากเรามีการอบรมจิตให้รู้จักกุศล-อกุศลมาอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถที่จะละหรือปล่อยวางได้ด้วยเจตนาที่เป็นสามัญสำนึก.. เจตนาที่เป็นสามัญสำนึก ซึ่งโยมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรฝึก เพราะอย่างน้อยก็เป็นการทวนกระแสของกิเลส ส่วนผลของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นโดยพ้นจากเจตนาของเราเป็นผู้กระทำนั้น เป็นสิ่งที่พูดให้คนที่ไม่เคยประสบฟังเท่าไรเขาก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึง

แต่อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อในครั้งนี้ เพราะในบางครั้งโยมเกิดสภาวะที่ใจไม่รับรู้ถึงความหมายของสิ่งที่มากระทบ อย่างเช่นเวลามีคนมาพูดเยินยอเรา โยมฟังที่เขาพูดทุกคำ แต่กลับไม่รับรู้ความหมายของคำพูดในขณะนั้น ทั้งที่เป็นคำพูดตรงๆ ง่ายๆ เมื่อผ่านเหตุการณ์นั้นแล้ว และนำคำพูดนั้นมาพิจารณาอีกครั้งถึงรู้ว่า คำพูดนี้มีความหมายอย่างไร ทำให้โยมรู้สึกแปลกใจ เพราะรู้ตัวอยู่ ฟังอยู่ และควรจะดีใจต่อคำพูดนั้น แต่ทำไมมันจึงเป็นแค่เสียงที่ผ่านไป

ที่ต้องกราบเรียนถามเพื่อความกระจ่าง เนื่องจากมันแตกต่างจากสภาวะที่เคยประสบมา เพราะโยมรู้สึกว่ากิเลสจะนำหน้าอยู่เสมอ และโยมจะไม่เป็นขุยไผ่ ! โยมจะไม่เป็นขุยไผ่ ที่จะทำลายตัวเอง จึงต้องขอความเมตตาจากหลวงพ่อเพื่อเป็นแนวทางสอนใจด้วยครับ

หลวงพ่อ : ครั้งนี้เป็นขุยไผ่ นี่ตอบขุยไผ่ไปเพราะคำถามเขาถามมาอย่างนั้น คำถามถามมาว่าสิ่งที่กำหนดพุทโธ สิ่งที่เป็นการปฏิบัตินี้มันเป็นเรื่องที่ลำบาก เป็นเรื่องที่ยากใช่ไหม แล้วก็ไปรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ถ้ารู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ มันก็เป็นขุยไผ่ แล้วก็อ้างว่ามันไม่มีเจตนาไง สิ่งนี้พอไม่มีเจตนาทำผิด มีแต่เจตนาที่ดี

อ้างเจตนาไม่ได้นะ.. ถ้าอ้างเจตนาเราก็พูดถึงเวลาเราไปโรงพยาบาล เห็นไหม เวลาให้เลือดเขาให้เลือดบวกมา พยาบาลมีเจตนาทำผิดที่ไหน ถ้าเจตนา นี่เจตนาของเขาเป็นเจตนาดีจะตาย เพราะคนเข้าโรงพยาบาลนี่หมอต้องรักษาให้ดีทุกคนแหละ แต่ด้วยความผิดพลาด เพราะเลือดมันหลงมา ฉีดเลือดบวกมันหลงมาใช่ไหมแล้วไปให้นี่ก็เจตนาเขาก็ไม่มี

นี่อ้างแต่ว่าเป็นเจตนาที่ดี ทำสิ่งที่ดี สิ่งนั้นมันไม่ได้อยู่ที่เจตนา มันอยู่ที่ “ถูกหรือผิด” มันอยู่ที่ “ทำถูกต้อง หรือ ทำไม่ถูกต้อง” ถ้าถูกต้อง ทีนี้คำว่าเจตนาของเขา เห็นไหม ที่เขาบอกว่าภาวนาไปนี่ให้รู้เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย สักแต่ว่า ทุกอย่างสักแต่ว่าแล้วมันจะถึงนิพพานอะไรกันไปนี่ แล้วก็ตื่นกันไป.. เราถึงบอกว่ามันจะเป็นขุยไผ่ไง

ที่เป็นขุยไผ่เพราะอะไร เพราะมันไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีผลรองรับ ถ้าเราทำไปมันก็ทำให้ชีวิตเรามันเหมือนขุยไผ่ เวลาปลูกไผ่ พอหมดอายุขัยมันจะเกิดขุยของมัน ถ้าคนไม่เข้าใจ โอ๋ย.. เกิดขุยไผ่มันมีขุยมีดอก โอ๋ย.. สวยงามมาก กลับไปดีใจกับมัน มันจะตายอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน พอเวลาปฏิบัติไปนิดหน่อยนะ โอ๋ย.. สบาย สบาย สบาย.. มันจะตายอยู่แล้วมันจะเอาสบายมาจากไหน กิเลสมันไม่ได้ชำระสักตัวมันจะเอาสบายมาจากไหน มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันถึงจะเป็นขุยไผ่ทำลายตัวมันเองไง แต่พอมาปฏิบัติเอาจริงเอาจัง นี่เอาจริงเอาจัง เห็นไหม ดูสิเราต้องรดน้ำ เราต้องพรวนดิน กว่ามันจะแตกหน่อ กว่ามันจะมีหน่อออกมา กว่าเราจะเอามาเป็นอาหารได้ หรือเราจะปล่อยไว้เพื่อจะใช้เป็นจักสานต่อไปข้างหน้า นั่นน่ะมันเป็นข้อเท็จจริงของมัน นี้การกระทำของเรามันต้องมีข้อเท็จจริงของมัน

ทีนี้ถ้าไม่อยากเป็นขุยไผ่.. ไม่อยากเป็นขุยไผ่เราต้องมีสติ มีสติแล้วเราตรวจสอบตัวเราเองไง นี่มันเป็นอกาลิโกนะ ไม่มีกาลไม่มีเวลา.. นี้คำว่าอกาลิโก เห็นไหม ไม่มีกาล ไม่มีเวลา นี้เราก็ว่ากึ่งพุทธกาลแล้วไม่มีพระอรหันต์ ยิ่งต่อไป ๕,๐๐๐ ปีแล้วไม่มีพระอรหันต์..

ไอ้นี่มันเป็นพุทธพยากรณ์ มันเป็นอนาคตังสญาณของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง ว่าถึงเวลาแล้วคนเรา นี่การสร้างบุญกุศลมาเป็นยุคเป็นคราว.. เป็นยุคเป็นคราว เห็นไหม นี่สหชาติเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า นี่ผู้พร้อมตลอดไป แล้วกึ่งพุทธกาล กึ่งพุทธกาลในสมัยปัจจุบันนี้มันยังมีโอกาสที่พวกเราเข้มแข็งได้อีกรอบหนึ่ง แล้วพอไปข้างหน้ามันเหมือน นี่ดูสิ เห็นไหมเมื่อตอนเราเป็นเด็กๆ การศึกษาของชาติเมื่อก่อนมันมี ม.๘ อู้ฮู.. ทางวิชาการเข้มงวดมาก เดี๋ยวนี้อ่อนแอหมดเลย เดี๋ยวนี้นะการศึกษาอ่อนหมด ทุกอย่างอ่อนหมด นี่ดูยุคดูคราวสิ

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้นถึงว่ามัน ๕,๐๐๐ ปีไปแล้วคนจะเข้าไม่ถึงธรรมๆ นี้พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ แต่ถ้าบอกว่ากาลเวลา.. นี่ไม่มีกาลไม่มีเวลา ถ้าเวลานี้มันปิดกั้นมรรคผล ถ้ามัน ๕,๐๐๐ ปีไม่ได้แล้ว มันหมดจาก ๕,๐๐๐ ปีไปแล้วมันก็ต้องไม่มีศาสนาสิ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ได้อย่างไร อนาคตวงศ์จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้าอีกเยอะแยะเลย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกาลเวลาล่ะ

มันเกี่ยวกับบุญกุศล มันเกี่ยวกับการสร้างสมบุญญาธิการมาของพระศรีอริยเมตไตรย ของพระพุทธเจ้าในอนาคตวงศ์ข้างหน้านู้น ถ้าเขาสร้างขึ้นมาเพราะเขามีบุญญาธิการมา ก็เหมือนกันเรานี่ ดูสิถ้าเราศึกษาดี เรามีความเข้มแข็งดี เราทำคุณงามความดีของเราขึ้นมา มันก็ได้มรรคได้ผลตามความเป็นจริง แต่เพราะเราอ่อนแอเองไง เราอ่อนแอเอง.. มรรคผลมันก็มี ถ้าใครทำจริงก็ต้องได้ตามความเป็นจริงนั้น แต่เราอ่อนแอเองใช่ไหม แล้วก็บอกว่าหมดกาลหมดสมัย

พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ไง เวลาพระอานนท์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว นี่จะทำอย่างไร การปกครองของสงฆ์จะทำอย่างไร แล้วมรรคผลจะหมดหรือยัง พระพุทธเจ้าบอกไว้เอง

“ถ้าเมื่อใดมีผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.. โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

ถ้ามีการกระทำต่อไป “ผู้ใดปฏิบัติสมควรไง” เหตุผลสมควร เหตุผลที่เป็นได้ มันเป็นได้ตลอดไป ถ้าไม่มีศาสนาเลย ใครมาตรัสรู้เองก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ทีนี้ไม่มีศาสนาเลย ไม่มีคำสอนเลย ถ้าคนตรัสรู้เองก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่การจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้อง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย

ใครจะตรัสรู้ได้เองมันต้องมีบุญญาธิการมา คืออบรมจิตมาก่อน อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาเกิดข้างหน้า ผู้ใดทำบุญกุศลมา ผู้ใดทำคุณงามความดีมา ทำดีมาแล้วมาเกิดช่วงนั้น ถ้าไม่มีศาสนาเลยมาเกิดก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีศาสนาเลยนะทำไมยังตรัสรู้ได้ล่ะ.. แต่ในเมื่อความเชื่อไง ในความเชื่อบอกว่าเมื่อนั้นจะเป็นอย่างนั้น เมื่อนี้จะเป็นอย่างนี้ปั๊บ เราก็บอกว่ามันไม่มี มันไม่มีไม่เป็นไป พอไม่มีไม่เป็นไปปั๊บ เราก็ไม่กล้าพิสูจน์

ถ้ามรรคผลมันมี ทุกอย่างมันมีใช่ไหม เวลาเราปฏิบัติไป ผิดถูกเราตรวจสอบ เราพิจารณาได้ เพราะถ้ามีกิเลสอยู่ทุกคนต้องสงสัย มันจะมีสงสัยลึกๆ ลึกๆ ว่า อื้อ.. มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นความจริงตรงนี้มันไม่มี นี้พอมันสงสัย อื้อ.. มันจะมีอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ ! เห็นไหม มีแต่แล้ว.. แต่กึ่งพุทธกาลแล้วอย่างนี้ นี่มันมีข้อต่อรองไง

แต่ถ้าเรามั่นใจของเราว่ามรรคผลมี ทุกอย่างมี แล้วมันมีตามข้อเท็จจริงปั๊บ เราจะไม่เอากาลเวลาบอกว่ากึ่งแล้ว พ้นยุคพ้นสมัยแล้ว ไม่มี ! ไอ้นี่ไม่เอามาเทียบเลย.. เราจะเอาความจริงเราเทียบตลอด ถ้าเอาความจริงมาเทียบตลอด มันก็ไม่เป็นขุยไผ่

ที่ว่ามันจะเป็นขุยไผ่.. เป็นขุยไผ่เพราะว่าเราเอง เราเองอ่อนแอ พออ่อนแอปั๊บ พอเราอ่อนแอนะอยู่ในกระแสเราสังเกตได้ไหม กระแสที่เขาปฏิบัติกันเรามองไปสิ เรามองที่เขาปฏิบัติไป เราไม่เชื่อ เราไม่เห็นด้วย เห็นไหม ทำไมคนเขาไปกัน อู้ฮู.. เป็นกระแสไปเลยเพราะอะไร เพราะจิตใจเขาอ่อนแอ เขาไม่กล้าทบทวนในใจของเขา เขาไม่กล้าถามตัวเองว่าจริงหรือไม่จริง ไม่กล้าให้ตรวจสอบตัวเองอยู่ว่าจริงหรือไม่จริง แต่เห็นเขาไปไง จะมีพูดอยู่คำหนึ่ง

“ถ้าไม่จริงทำไมคนไปเยอะแยะ.. ไม่จริงทำไมคนเชื่อถือ”

แล้วคนเชื่อถือนี้คนมันโง่หรือคนมันฉลาดล่ะ อ้าว.. ทำไมไม่ถามกลับล่ะ เราไปมองนี่เพราะจิตใจเราอ่อนแอ.. แต่ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง เข้มแข็งเพราะเหตุใด เข้มแข็งเพราะได้สร้างบุญกุศลมา

พระพาหิยะ.. ที่บอกว่าเวลาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย แล้วเวลาฟังเทศน์นะ เวลาเรือแตกมานี่แหละ เสร็จแล้วพอไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกกำลังบิณฑบาตอยู่ ก็บอกว่าคนเรานี่อายุมันไม่แน่นอน ขอพระพุทธเจ้าเทศน์เถิด พระพุทธเจ้าก็เทศน์ พอเทศน์เสร็จเป็นพระอรหันต์เลย พอเทศน์เสร็จเป็นพระอรหันต์ไปนี่จะขอบวช พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเธอขอบวชเธอไม่มีบริขาร ต้องไปหาบริขาร พอไปหาบริขารนี่ควายขวิดตายเลย

นี่คนถามพระพุทธเจ้ามากว่ามันเป็นเพราะอะไร ทำไมฟังเทศน์ทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย พระพุทธเจ้าบอกว่าอดีตชาติ ชาติที่แล้วๆๆ มาเขาสร้างกุศลมาอย่างนั้นๆ จนมาชาติสุดท้ายเป็นนักบวช ๕ คน นัดกันขึ้นไปภาวนาบนหน้าผาตัด ทำเป็นพะองขึ้นไป พอขึ้นไปแล้วก็ถีบทิ้งเลย แล้วก็บอกว่าถ้าใครภาวนาต้องภาวนาให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เท่านั้นถึงจะเหาะลงมาเองได้ ไม่มีการลงมาเลยนะ เหาะลงมา ๒ องค์เป็นพระอรหันต์ แล้วตายเป็นพรหมขึ้นไปที่มาเตือนพระพาหิยะนี่แหละ แล้วพระพาหิยะตายอยู่บนนั้น

นี่ภาวนาสละชีวิตกันมาตลอดไง แล้วพอมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า เห็นไหม พอพระพุทธเจ้าเทศน์ทีเดียวเลยเป็นพระอรหันต์.. นี้พระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก เราจะบอกว่าคนที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ปฏิบัติง่ายนี้เขาสร้างมาทั้งนั้น เขาทำของเขามา

ฉะนั้นก็ย้อนกลับมาที่เราสิ ถ้าย้อนกลับมาที่เรา เราได้สร้างบุญญาธิการมาเท่าไร เราได้สร้างบุญมา ถ้าเราได้สร้างบุญมานี่โทษนะ ไอ้พวกหัวแข็ง ไอ้พวกไม่ค่อยเชื่อ ไอ้พวกนี้สร้างบุญมาเยอะมันต้องทดสอบ แต่ไอ้พวกไปตามกระแสกันนี้อ่อนแอมาก จิตใจอ่อนแอมาก

คำว่าหัวแข็งนี้มันเป็นศัพท์ทางโลกว่าคนที่ไม่เอาไหน แต่ถ้าคนมีปัญญานะมันจะคิด “กาลามสูตร” พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วแบบว่าไม่ให้เชื่อตามกัน ไม่ให้เชื่อทุกอย่าง ให้เชื่อในผลการปฏิบัติ.. นี้พูดถึงถ้าปฏิบัติมานี่ถูกต้อง นี้เพียงแต่ว่า “เป็นขุยไผ่และไม่เป็นขุยไผ่”

เป็นขุยไผ่เพราะเราเห็นกระแสเขาเป็นอย่างนั้น แล้วยิ่งใครเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าตัวเองทำได้มากได้น้อยแค่ไหน ความเชื่อมั่นตัวเองนะถ้าเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันรู้เองเห็นเองนี่องอาจกล้าหาญมาก แต่องอาจกล้าหาญขนาดไหนมันก็มีเหตุมีผล มันมีเหตุมีผลหมายถึงว่า

“ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคลมุตตมัง”

เอตัมมังคลมุตตมัง.. การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง มันได้ตรวจสอบ ครูบาอาจารย์ตรวจสอบ คุยกันตรวจสอบกัน ถ้าคุยกันตรวจสอบกันมันก็จะว่าไม่ให้เรามีทิฐิของเรา

“ทิฐิ ! สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ”

ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ คือทิฐิที่ถูกต้อง.. ถูกต้องก็คือความถูกต้อง ถูกต้องทำไมคุยกันไม่ได้ แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ.. มิจฉาทิฏฐิเวลาคุยกันมันขัดแย้งกัน ถ้าขัดแย้งกันมันต้องเป็นขุยไผ่คนหนึ่ง ในเมื่อมีการขัดแย้งกัน อันหนึ่งต้องถูกอันหนึ่งต้องผิด ถ้าอันหนึ่งผิดอันหนึ่งก็เป็นขุยไผ่ ถ้าขุยไผ่ถ้าแก้ไขขึ้นมา..

ขุยไผ่นี่มันแก้ไขไม่ได้นะ ขุยไผ่เวลามันเป็นขุยไผ่แล้วมันต้องตาย แต่นี้เป็นความรู้สึก เป็นการเปรียบเทียบไงว่าถ้าเป็นขุยไผ่นี่มันตาย.. ถ้าถือผิดอยู่นี้มันก็เป็นขุยไผ่ แต่ถ้าเรามาแก้ไขแล้ว.. ขุยไผ่ทำไมมันแก้ไขได้ล่ะ แก้ไขได้เพราะถ้ามันกลับมา มันจะกลับมาเป็นความถูกต้องดีงามมันก็ไม่เป็นขุยไผ่

นี้เพียงแต่เวลาจิตใจอ่อนแอไง เขาเจตนาดี เขาสอนดีเขาทำดี.. เจตนาดีนี่ให้เลือดบวกมาตลอดเลย พอบวกมาแล้ว ต่อไปก็เจตนาดีนี่ใกล้ตายแล้วเพราะเลือดมันบวก เขาว่าเจตนาเขาดีไง แต่ถ้าเจตนามันดีนี่เลือดบวกเขาไม่ให้นะ เขาต้องเช็คก่อนว่าเลือดมันสะอาดบริสุทธิ์หรือไม่สะอาดบริสุทธิ์.. อันนั้นอันหนึ่ง

ฉะนั้นเราฟังไว้.. เราฟังไว้ เวลาครูบาอาจารย์นะ เพราะว่าถ้ามันสัปปายะ ๔

๑. ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ เป็นสิ่งที่หายาก

๒. หมู่คณะ ความเห็นทิฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ปฏิบัติด้วยกัน ไม่มีความขัดแย้งกัน นี่ถึงบอกว่าหมู่คณะเป็นสัปปายะหายาก

๓. สถานที่เป็นสัปปายะ สถานที่ที่สงบสงัด สถานที่ที่ไม่มีอะไรเข้ามารบกวนนี่หายาก

๔. อาหารเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะคือว่าอาหารเบาๆ อาหารฉันแล้วไม่โงกง่วง อาหารฉันแล้วไม่สัปหงกโงกง่วง นี้เป็นสัปปายะ.. ไม่ใช่ว่าอาหารเป็นสัปปายะนี่ แหม.. ถ้าถูกใจฉันเป็นสัปปายะไม่ใช่ ถูกใจฉันเป็นอาหารไขมันเป็นอาหารต่างๆ ฉันเข้าไปแล้วสัปหงกโงกง่วงไม่เป็นสัปปายะ อาหารอะไร อย่างข้าวเปล่าๆ ฉันเข้าไปแล้วเพื่อดำรงชีวิต แล้วนั่งสมาธิไปแล้วไม่สัปหงกโงกง่วงนี้เป็นสัปปายะ

นี่สัปปายะ ๔ ! อันดับที่ ๑ นะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะนี่หายากที่สุด นี้หายากที่สุดเพราะอะไร เพราะเรารู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์ของเราจะจริงหรือไม่จริง ผู้บวชใหม่มาทุกคนก็เสาะแสวงหา การแสวงหาถ้าเรามีพื้นฐานขึ้นมา นี่เราฟังนะ.. จริงๆ พวกเราจิตใต้สำนึกมันรู้ได้ รู้ได้ว่าถูกหรือไม่ถูก ถ้าไม่ถูก ไม่ถูกเราก็เปลี่ยนของเรา เราหาทางของเรา เพราะตัวอาจารย์เองกว่าจะปฏิบัติจะรู้จริง มันก็กระเสือกกระสน

หลวงปู่มั่น สมัยที่ท่านอยู่ทางอีสาน เห็นไหม กำลังไม่พอ.. กำลังไม่พอนะ ท่านทิ้งหมู่คณะเลยขึ้นไปเชียงใหม่ เพราะกำลังไม่พอ ท่านรู้ว่าท่านยังไม่จบ ท่านสอนได้ ! ท่านสอนได้นะ ท่านก็สอนหมู่คณะ หลวงปู่สิงห์ให้ดูแลอยู่ สุดท้ายแล้วรู้ว่ากำลังตัวเองไม่พอ นี่เอาแม่ไปส่งที่อุบลฯ แล้วลงมากรุงเทพฯ ขึ้นเชียงใหม่ หายไปอีก ๑๑ ปี กลับมาอีกรอบหนึ่ง “มา ! แก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าตายไปแล้วจะไม่มีใครแก้นะ”

ไม่บอกกำลังไม่พอเลย “มา ! มา ! แก้จิตมันแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ.. ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

ผู้เฒ่าคือตัวท่าน คือท่านเป็นผู้เฒ่า “ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ.. แก้จิตมันแก้ยากนะ” ไม่เคยบอกว่ากำลังไม่พอเลย แต่ก่อนหน้านั้นนะสอนได้ โอ้โฮ.. ลูกศิษย์ลูกหาทั้งภาคอีสาน ท่านว่า “กำลังไม่พอ.. กำลังไม่พอ” หาอุบาย.. หาอุบายหลบเอา หลบขึ้นไปเชียงใหม่

นี่แต่ละองค์กว่าจะได้มา แล้วเวลาท่านได้มาแล้ว พอหลวงปู่มั่นท่านได้มาแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ “นี่องค์นี้นะ องค์นี้ใช้ได้.. องค์นี้ใช้ได้” อย่างเช่นหลวงตา เห็นไหม ท่านว่า “หมู่คณะจำไว้นะ ต่อไปให้พึ่งมหานะ มหานี้ดีทั้งนอกดีทั้งใน” นอกคือว่าเป็นผู้นำ นอกคือว่าไม่ไปตามกระแสโลก นอกคือสังคมโลก.. ใน ในคือหัวใจนั้น

“ดีนอกและดีใน” ถ้าดีนอก เห็นไหม ดีแต่มารยาทสังคม แต่ในมันเน่า ถ้าในมันดีข้างนอกเน่า ยิ่งดีใหญ่เลย.. ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ข้างในดีข้างนอกเน่า อย่างเช่นหลวงปู่เจี๊ยะ.. หลวงปู่เจี๊ยะนี่หลวงปู่มั่นท่านเรียกเอง “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง”

ผ้าขี้ริ้วอยู่ข้างนอก ข้างนอกมันเหมือนผ้าขี้ริ้วเลย แต่ข้างในดี เห็นไหม แต่เวลาหลวงตานี่หลวงปู่มั่นพูดเอง “ให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอกทั้งใน” นอกคือสังคม มารยาทสังคมดี ใน.. ในคือหัวใจนั้นถูกต้องดีงาม นี่มันดีนอกดีใน.. บางทีดีแต่นอกแต่ในเน่า ถ้าในดีมากข้างนอกเน่า.. แต่ดีในนี่ข้างนอกไม่มีปัญหาเลย

นี่พูดถึงว่าหมู่คณะเป็นสัปปายะ.. นี้การเป็นขุยไผ่หรือไม่เป็นขุยไผ่มันมีครูบาอาจารย์ตรวจสอบได้ มันเป็นประโยชน์กับเรา เราจะตรวจสอบได้.. ถ้าไม่เป็นขุยไผ่ก็จบแล้วเนาะ วันนั้นขุยไผ่ตอบไป

ถาม : ๒๙๑. เรื่อง “ลมหายใจพร้อมกับบริกรรมพุทโธได้หรือไม่”

ลมหายใจพร้อมกับบริกรรมพุทโธได้หรือไม่.. กระผมมีโอกาสได้ฟังธรรมจากท่านในเว็บไซต์ ถูกจริตมากๆ ตรงไปตรงมาชัดเจน จนเข้าไปถึงความหมายของภวังค์กับสมาธิแท้ก็เมื่ออายุล่วงมาปีที่ ๕๕ นี้เอง ปกติก็จะใช้วิธีนั่งสมาธิตามตำราในหนังสือของครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือที่สุดในชีวิตองค์หนึ่ง เพราะมีความโยงใยที่เหลือเชื่อ ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ในโลกแห่งจิตวิญญาณ ทำให้มีโอกาสได้กราบนมัสการท่านเมื่อตอนวัยเบญจเพส เพราะมีชีปะขาวท่านหนึ่งมาเตือนในความฝัน ให้ไปนมัสการท่านให้ได้เพราะจะมีภัย ซึ่งผมก็ไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อท่านมาก่อน แต่ที่สุดก็มีเหตุให้มีผู้พาไปกราบท่านจนได้ ก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่กี่เดือน

นี่คือที่มาของว่า ทำไมๆ ผมจึงใช้วิธีนั่งสมาธิตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมาตามตำราในหนังสือมาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่วัยหนุ่มมาก็ใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายทั่วไป ถือศีล ๕ เพิ่งจะมาเอาจริงเมื่อ ๖-๗ ปีที่ผ่านมานี้เอง และพอจะรับรู้ได้ถึงกฎแห่งกรรมที่ชดใช้ในการกระทำของตนเองที่ผ่านมาในชีวิตในชาตินี้โดยตรงนี่แหละครับ เชื่อกฎของกรรม โชคดีที่ในยุคแห่งเทคโนโลยีสามารถค้นคว้าธรรมะได้ไร้ขอบเขต จึงได้ฟังธรรมของพระองค์หนึ่ง...

หลวงพ่อ : (หัวเราะ)ไม่เข้าไปใกล้นะ.. ไม่เข้าไปใกล้หรอก

ถาม : มีคำถามดังนี้

๑. การบริกรรมพุทโธ พุทโธ ถูกจริตที่สุดเท่าที่เคยลอง เคยลองสัมมาอะระหัง ยุบหนอ ไปไม่รอด แต่พุทโธนิ่งสงบสู่ภวังค์ เมื่อเช้าลองใช้วิธีของท่านอาจารย์หายใจเข้าออกชัดๆ แต่ไม่รัวมากพร้อมพุทโธ รู้สึกว่านิ่งไวกว่ามาก จะสามารถใช้วิธีนี้ได้หรือไม่ครับ จุดประสงค์เพื่อจะขัดเกลาชีวิต “ลด ละ เลิกกิเลส” ตามแต่เนื้อนาบุญที่พอจะมีอยู่ คงไม่ต้องการให้สู่เป้าหมายเกินเอื้อม

หลวงพ่อ : พุทโธชัดๆ ได้ อุบายได้หมดนะ นี่เขาบอกเขาพุทโธมา ลองมาทุกๆ อย่าง คำว่าในการปฏิบัติทางโลก จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านจะบอก หลวงตาท่านบอกอะไรก็ได้ แต่ท่านชอบพุทโธท่านก็ว่าพุทโธ นี้เพียงแต่ว่าผู้ที่ปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติไปนี่มันรู้มันเห็นเข้าไป เวลาพุทโธอย่างเช่นหลวงปู่ฝั้นท่านบอกพุทโธ พุทธะ

ฉะนั้นกรณีอื่นก็ได้เพราะกรรมฐาน ๔๐ ห้อง กรรมฐาน ๔๐ ห้องพระพุทธเจ้าสอนไว้เอง พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ก่อนหน้านั้นเขาบอก มีคนโต้แย้งมาบอกว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้กำหนดพุทโธ.. พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธหรอก

ก็จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธหรอก เพราะพุทโธยังไม่มี พระพุทธเจ้าจะกำหนดได้อย่างไรล่ะ เพราะพุทโธก็ยังไม่ได้เกิด เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นอะไร.. ตอนนั้นพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นราชกุมาร ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะรู้อะไร แต่พอพระพุทธเจ้ารู้แล้วนี่รู้ขึ้นมาได้อย่างไร

พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนี่รู้เพราะเหตุไหน.. รู้เพราะที่หัวใจ หัวใจมันคืออะไร หัวใจมันคือธาตุรู้ ธาตุรู้ เห็นไหม ท่านถึงพุทธะ ! ไอ้คำนี้ถึงได้เกิดไง แล้วพอพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว พุทธศาสนาเกิดแล้วถึงมีพุทธะ.. พุทธะถึงมีพุทโธ

นี้มีพุทโธขึ้นมาแล้วท่านก็สอนลูกศิษย์ให้กำหนดพุทโธ แต่ตอนที่ท่านยังทำอยู่มันไม่มีพุทโธ ท่านถึงต้องไปเอาอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก กำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี้มันมีมาแต่ดั้งแต่เดิม มีตั้งแต่สมัยโบราณมา เพราะฤๅษีชีไพรในพุทธกาลมันมีอยู่แล้ว เขาก็หัดภาวนาของเขาอยู่ พระพุทธเจ้าหัดภาวนา พระพุทธเจ้ายังไม่มีพุทโธก็ไปกำหนดลมหายใจพร้อมกับฤๅษีชีไพรเขาไป

ทีนี้ฤๅษีชีไพร แต่เพราะพระพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านถึงย้อนกลับมาชำระกิเลส พอชำระกิเลสขึ้นมาแล้วท่านถึงวางกรรมฐาน ๔๐ กรรมฐานคือทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ เห็นไหม พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ.. อนุสติ ๑๐ นี่มรณานุสติ ความคิดเรื่องความตายๆ นี้ก็เป็นแนวทางหนึ่ง คิดถึงความตาย คิดถึงอะไรนี่มันเป็น

ฉะนั้นสิ่งที่ว่าถ้ามันสัมมาอะระหังหรือยุบหนอพองหนออะไรนี่ ถ้ามันเพื่อความสงบมันได้ทั้งนั้นล่ะ เพียงแต่ว่ามันสงบหรือไม่สงบล่ะ มันไม่สงบเพราะอะไร นี่เขาบอกว่าแต่ไปไม่รอด เห็นไหม พอมาพุทโธจิตนิ่งสงบลงสู่ภวังค์ ถึงมาเข้าใจว่าอะไรเป็นภวังค์อะไรไม่เป็นภวังค์ เวลาภวังค์นี่เรารู้เอง เรารู้เองว่า ถ้ามันพุทโธ พุทโธถ้ามันสงบเราจะรู้ว่าสงบเลย แต่ถ้ามันหายๆ ไป มันกึ่งๆ ว่าสงบ ทุกคนจะเข้าข้างตัวเองว่าสงบนี่คือสมาธิ แต่ความจริงมันไม่ใช่มันตกภวังค์หมดเลย

แต่ถ้าเป็นสมาธินะชัดมาก.. สติพร้อมชัดมาก รู้เองเห็นเองชัดเจนมาก พอชัดเจนมากมันจะมีกำลังขึ้นมา แล้วพอทำอีกแล้วทำไม่ค่อยได้ ทำไม่ค่อยได้เราก็ใช้ปัญญาของเรา หัดฝึกปัญญาของเราเข้าไป

นี่พูดถึงการทำพุทโธ.. เวลาพุทโธ อย่างที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านบอกเราชอบพุทโธ พุทโธเพราะเวลาปฏิบัติไปแล้ว เพราะเหมือนกับเราเคารพพระพุทธเจ้า.. นี่เวลาพุทโธ เวลาเทวดาต่างๆ เขามาฟังธรรมพระพุทธเจ้า เห็นไหม มาฟังธรรมอะไร มาฟังธรรมที่ไหน เพราะอะไร เพราะเวลาเขาไปเกิดแล้ว พุทโธนี่มันเหมือนกับภาษามคธ ภาษาบาลี พุทธศาสนาจะใช้ภาษานี้ตลอด มันเหมือนกับภาษากลาง ฉะนั้นใครมามันจะเข้าใจได้

นี้คำว่าพุทโธมันเหมือนกับเราระลึกถึงคุณงามความดี เราคิดถึงพุทโธ พุทโธ พุทธะ เห็นไหม นี่มันก็เหมือนกับทุกคนเขาจะคุ้มครองดูแล มันเป็นประโยชน์ไง อันนี้มันเป็นประโยชน์ในการภาวนานะ

ต่อไปข้อ ๒ ข้อ ๓ นี่ไม่ตอบ เพราะข้อ ๒ ข้อ ๓ นี้มันเข้าไปเต็มๆ เลย ! เต็มๆ เลย.. ฉะนั้นข้อ ๒ ข้อ ๓ ที่เขาถามว่ามันเป็นไปได้ไหม แต่เขาทำไม่ได้ พอทำไม่ได้เราจะพูดอย่างนี้

เราจะพูดอย่างนี้นะว่า.. นี่พุทธศาสนา เวลาพวกเราเป็นคฤหัสถ์เขาให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาพระจุลจอมเกล้าฯ เนาะ เราไปอ่านประวัติพระจุลจอมเกล้าฯ สิ จะส่งลูกไปเรียนนอก จะส่งลูกไปเรียนนอกนะพยายามทำ ที่เป็นพวกเจ้าฟ้าต่างๆ จะไปเรียนเมืองนอกนี่ให้ทำพิธี เขาเรียกโสกัณฑ์ โกนจุก พอโกนจุกเสร็จแล้วนะให้พยายามทำพิธีพุทธมามกะ บางองค์ทำ ๒ รอบ ๓ รอบ เป็นห่วงมาก.. เป็นห่วงว่าส่งลูกไปเรียนทางยุโรป แล้วทางยุโรปเขาพูดทางวิทยาศาสตร์ แล้วทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์กันได้ใช่ไหม กลัวจะไปเปลี่ยนศาสนา นี้พอกลัวจะเปลี่ยนศาสนาถึงว่าทำพิธีให้เป็นชาวพุทธ

ชาวพุทธคืออะไร.. ชาวพุทธคือพุทธมามกะ ! พุทธมามกะคืออะไร.. พุทธมามกะต้องปฏิญาณตน ปฏิญาณตนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. ถ้าปฏิญาณตนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นถึงจะเป็นพุทธมามกะ !

ฉะนั้นสิ่งที่ออกนอกเรื่อง เห็นไหม ข้อ ๒ ข้อ ๓ นี้มันไม่เข้าสู่ศาสนา มันไม่เข้าสู่อริยสัจ มันไม่เข้าสู่ความจริงเลย นี่พูดถึงวิญญาณ พูดถึงสัมภเวสี พูดถึงต่างๆ นี่มันไม่เข้าสู่อริยสัจ เพราะว่ามันก็เป็นจิตวิญญาณของเขา มันก็เป็นจิตหนึ่ง.. เทวดาก็เป็นจิตหนึ่ง ทุกคนก็เป็นจิตหนึ่ง ต่างคนต่างจิตหนึ่ง จิตหนึ่งก็ต่างคนต่างแก้ไขตัวเอง

พระพุทธเจ้าสอนสู่จิตดวงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปนับถือสิ่งอื่น พระพุทธเจ้าสอนให้พุทธมามกะ พุทธมามกะระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ! พระพุทธคือคุณธรรม.. ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

พุทธคุณ เห็นไหม เมตตาธรรม ปัญญาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. ศาสนามีเพราะมีใคร มันมีเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่แก้วสารพัดนึกแก้วดวงที่ ๑

แก้วดวงที่ ๒ คือสัจธรรม ! สัจธรรม สัจจะความจริง.. สัจจะ ! ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี่คือสัจจะ ถ้าพูดถึงพุทธมามกะมันต้องเข้าถึงตรงนี้ พูดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. พระสงฆ์คืออะไร เราไม่รู้จักสงฆ์จริงใช่ไหมเราถึงถวายสังฆทานกัน ถวายสังฆทานเพื่อหมู่สงฆ์ไง

นี่สงฆ์ก็เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์นี้เรารู้เองไม่ได้ว่าองค์ไหนเป็นอริยสงฆ์เพราะอริยสงฆ์เขาจะไม่พูดกับเราหรอก อริยสงฆ์เราจะรู้ได้ต่อเมื่ออริยสงฆ์ตอนแสดงธรรม ถ้าแสดงธรรมขึ้นมา ธรรมะอันนั้นมันเหนือโลก ธรรมะอันนั้นเป็นสิ่งที่เราคาดหมายไม่ได้ ดูสิพระไตรปิฎกรื้อค้นกันจนหัวแทบระเบิด พระไตรปิฎกท่องกันปากเปียกปากแฉะ พระไตรปิฎกรู้กันไปหมดเลย แล้วรู้อะไร รู้คือไม่รู้ไง พอพระไตรปิฎกจบ ๙ ประโยคเท่านั้นล่ะ.. นี่โสดาบันเป็นอย่างไร สกิทาคาเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้พระไตรปิฎกหมดแต่ว่าไม่รู้สัจจะความจริงเลย

ฉะนั้นพระอริยสงฆ์คืออะไร ใครรู้จักพระอริยสงฆ์ เรารู้ได้ด้วยสมมุติสงฆ์.. สมมุติสงฆ์ ถ้าเรารู้จักอริยสงฆ์ไม่ได้เราต้องใช้สมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ เห็นไหม ดูถวายสังฆทานถวายแก่สงฆ์ ถวายแก่สงฆ์ เพราะเราต้องการบุญกุศลมากเราถวายแก่สงฆ์ ถวายแก่สงฆ์นั้นคือเป็นตัวแทนของศาสนา เป็นสังฆทาน แต่อริยสงฆ์ล่ะ.. อริยสงฆ์จะรู้ได้ต่อเมื่อการแสดงออกมา การแสดงออกมาของอริยสงฆ์ แล้วเรารู้ไม่ได้ว่าองค์ไหนเป็นสงฆ์หรือเป็นอริยสงฆ์ เรารู้ไม่ได้แต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้ได้

ครูบาอาจารย์ท่านรู้ได้เพราะการแสดงออกมานี้มันเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะ แม้แต่ทางโลก แม้แต่คฤหัสถ์ พุทธมามกะนี่ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย แล้วถ้ามันออกจากนั้นไปขาด ! ขาดจากพุทธมามกะนะ แล้วออกนอกลู่นอกทางไปนี่ขาดจากพุทธมามกะ ขาดจากชาวพุทธเลย !

สามเณร เห็นไหม สามเณรเวลาจะบวชเณร บวชเณรต้องระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน เวลาขาดจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็ขาดจากเณร ขาดจากเณรเลย แล้วพุทธมามกะก็เหมือนกัน ถ้าพุทธมามกะ.. ฉะนั้นเรื่องอย่างนี้เราดูว่ามันเป็นเรื่องนอกศาสนา มันเป็นเรื่องนอกศาสนานอกไตรสรณคมน์ มันถึงไม่ใช่เป็นชาวพุทธ

ถ้าเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธต้องเป็นพุทธมามกะ.. พุทธมามกะมาก่อน พุทธมามกะมาแล้ว ถ้ามีความเชื่อมั่นมีความศรัทธา เห็นไหม มีความศรัทธาแล้วเขาบวชเป็นสามเณร บวชมาเป็นแม่ชีผ้าขาว นี่ถือศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้าศีล ๒๒๗ นี่ก็เป็นพระ เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วพอปฏิบัติขึ้นไปก็เป็นอริยสงฆ์ อริยสงฆ์เป็นขั้นๆ ขึ้นไป ถึงที่สุดแล้วนะพ้นหมดเลย.. ถ้าพ้นหมดเลยมันก็เข้าใจเรื่องอย่างนี้หมด เข้าใจว่าอะไรที่เป็นที่เคารพจริงและไม่เป็นที่เคารพจริง แล้วไม่เป็นที่เคารพจริงแล้วจะไปเคารพใคร

พูดถึงเวลาปฏิบัติขึ้นมา มันก็ต้องเข้ามาสู่ตัวเรา เข้ามาสู่ตัวเราแล้วจะไปพึ่งใคร.. จะไปพึ่งใคร ถ้าพึ่งนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็นอกศาสนา ถ้านอกศาสนาไปแล้วมันจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร

นี้มันเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล ถ้าไม่เป็นกุศลมันก็.. นี้มันเรื่องของธรรมนะถ้าเรื่องของธรรม ฉะนั้นเพียงแต่ว่านี่พูดให้เห็นไง เพราะการเคารพนอกจากไตรสรณคมน์ ถ้าเรื่องนอกไตรสรณคมน์.. พุทธมามกะ ! ถ้าพุทธมามกะมันต้องเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ที่เราเชื่อได้ยาก ดูสิดูเราไป เห็นไหม นี่ชาวพุทธกราบต้นกล้วย กราบต้นกล้วยที่เครือมันออกตรงกลาง ไปกราบกบตัวสีขาว นี่พุทธมามกะ..? อันนี้เพราะอะไร เพราะความสงสัยของเราเอง ความลังเลของเราเองแล้วเราไม่มีที่พึ่ง เพราะคนขาดที่พึ่ง คนขาดที่พึ่งคนไม่มีจุดยืน เห็นไหม แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธแล้วเราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

ศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้าพูดไว้ใน อทาสิเม อกาสิเม ฯ ในสวดศพ เห็นไหม แต่ก่อนคนเราเคารพภูเขา เคารพดวงอาทิตย์ เคารพไฟต่างๆ เพราะยังไม่มีศาสนา.. ท่านพูดอย่างนี้เลยนะเพราะไม่มีศาสนา แต่ในปัจจุบันนี้มีศาสนาแล้ว พุทธศาสนามีแล้ว ภูเขา ภูเขาไฟ ดวงอาทิตย์ต่างๆ มันเป็นแร่ธาตุ พอมันเป็นแร่ธาตุปั๊บมันเป็นที่สิงสถิตของใคร มันเป็นที่สิงสถิตของใครแล้วเราไปกราบเคารพบูชาใคร

เรากราบเคารพบูชานี่เรากราบสิ่งที่ส่งออก แต่ถ้าพูดถึงเราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้ตั้งสติ เห็นไหม แล้วถ้าเราเข้ามานี่ พอเราเข้ามาที่นี่ ทำไมเวลาพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าล่ะ ทำไมหลวงปู่มั่นท่านบอกอยู่เชียงใหม่นี่เวลาไม่ว่างเลย เทวดามาฟังธรรมตลอดไป.. เทวดามาฟังธรรม ทำไมเทวดามาฟังธรรมมนุษย์ล่ะ แล้วมนุษย์นี่ทำไมเทวดาถึงมาฟัง แล้วมนุษย์พูดอะไรให้เทวดาฟังล่ะ

เพราะมนุษย์ได้ชำระกิเลสในหัวใจ ชำระกิเลสด้วยอะไร ด้วยสัจธรรม.. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย เห็นไหม พระธรรม.. ธรรมการสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีการกระทำขึ้นมา แล้วใจมันเป็นธรรมขึ้นมา.. พอใจเป็นธรรมขึ้นมา เวลามนุษย์แสดงธรรมก็แสดงธรรมจากสัจธรรมอันนั้น เทวดา อินทร์ พรหมไม่รู้ เทวดา อินทร์ พรหมก็ขอวิธีการ ขอการกระทำใช่ไหม เราจะดัดแปลงใจเราอย่างไร เราจะตั้งสติของเราอย่างไร เราจะทำหัวใจของเราให้พัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร

นี่พระพุทธเจ้าก็สอนสัมโพชฌงค์ต้องทำวิจัย.. วิจัยในธรรมะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือสัจจะ ธรรมะธรรมชาติ ธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ ไอ้นั่นเขาเอาไว้พลังงาน เขาจะเอาไว้ทำไฟฟ้า แต่ถ้าสัจธรรมมันเกิดขึ้นมาในหัวใจ เวลามันเกิดขึ้นมานี่สัจธรรมคืออะไร สัจธรรมคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นจากที่ไหน เกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด แล้วเกิดขึ้นมาแล้วมันส่งผลดีอย่างไร แต่ถ้าเราตั้งใจทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีมันก็นี่กุศลเกิดขึ้น กุศลเกิดขึ้นนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

เพราะถ้าสัจธรรมที่มันที่สุดแล้วมันข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ข้ามพ้นทั้งกุศลและอกุศล แล้วมันจะข้ามพ้นอย่างไร เอาอะไรข้ามพ้น.. เราไม่มีวิธีข้ามพ้น เราจะข้ามพ้นอย่างไร จะกระโดดไปไหนข้ามพ้น นี่ไงที่ว่าเทวดามาฟังๆ มาฟังเพราะเหตุนี้ วิจัยไง สัมโพชฌงค์ เห็นไหม พละ ๕ อินทรีย์ ๕ ทุกอย่างพร้อม แล้วมีอะไรเป็นธรรม.. นี่พุทธศาสตร์ !

พุทธมามกะมันต้องเป็นมาตั้งแต่พื้นฐาน แล้วนี่บอกว่าให้เคารพนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. มันก็เรื่องของเขาล่ะ เรื่องของเขา ความเห็นของเขา ฉะนั้นอยู่ที่ความเชื่อนะ อยู่ที่ความเชื่อของคน แต่นี้เราไม่เชื่อ.. เราไม่เชื่อ แต่เราก็ไม่ไปเป็นคู่ขัดแย้งใคร (หัวเราะ)

เราจะพูดเพื่อพุทธศาสนา เราพูดเพื่อความดี แต่นี่เขาถามมา ถามมานี้มันเหมือนกับอะไรนะ ขุดหลุมพราง ! ขุดหลุมพรางให้ตกหลุม พอตกหลุมไปมันก็เป็นปัญหากัน เห็นไหม นี้เราพูดถึงพุทธมามกะ.. เราต้องพูดถึงพุทธมามกะ เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อความดำรงชีวิต เพื่อคุณงามความดี ! เอวัง