เทศน์บนศาลา

มนุษย์ผู้สร้างธรรม

๒o ส.ค. ๒๕๔๘

 

มนุษย์ผู้สร้างธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มนุษย์ผู้สร้างธรรมนะ ธรรมเกิดจากมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ มนุษย์นี่เป็นผู้ที่ใกล้ธรรมะมาก มนุษย์นี่เป็นผู้ที่มีสมบัติ สมบัติทางโลกเป็นสมบัติทางโลก แต่ธรรมะนี่เป็นธรรมสมบัติที่ควรแก่มนุษย์มหาศาลเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นมนุษย์ เกิดในพระเจ้าสุทโธทนะ บิดามารดาก็เป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ แล้วเวลามีคู่ครองก็เป็นมนุษย์ สามเณรราหุลก็เป็นมนุษย์ นี่ธรรมะนี้สมควรแก่มนุษย์มาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมามหาศาลเลย กว่าจะตรัสรู้ธรรม กว่าจะตรัสรู้ธรรมนะ ถ้าไม่ตรัสรู้ธรรม มนุษย์ไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะก็ใช้ชีวิตไปแบบมนุษย์ เป็นจักรพรรดิ เป็นกษัตริย์ เป็นสิ่งต่างๆ ในเรื่องของมนุษย์ สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ เป็นคุณงามความดีพระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้ไง แต่ถ้ามนุษย์ที่ไม่มีธรรมะ สร้างแต่โลก โลกนี้มนุษย์เป็นคนสร้าง ธรรมชาติของโลก โลกนี้เป็นอจินไตย โลกนี้แตกตัวออกมาจากดวงอาทิตย์ แตกตัวออกมาจากจักรวาลเป็นโลก แล้วโลกนี้จะเคลื่อนไปหมุนเวียนไป ธรรมชาติจะหมุนเวียนไป สิ่งที่เป็นโลกเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่มนุษย์เกิดในโลกไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้แต่ละพระองค์ สิ่งที่ว่าเวลาธรรมะไม่มี ธรรมะไม่มี สิ่งที่ธรรมะไม่มีคือว่ามนุษย์ที่จะเข้าไปรู้ธรรมนี้ไม่มี แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไปตรัสรู้ สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิม เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะชำระกิเลส ชำระสิ่งที่เป็นความกดดันในหัวใจ คนเราเกิดมาจะมีความทุกข์โดยธรรมชาติ ทุกข์ถึงเป็นอริยสัจ ทุกข์ถึงเป็นความจริง

สิ่งที่เป็นความจริงมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีผู้ที่รู้ มนุษย์ที่ตรัสรู้นี้เป็นผู้ที่รื้อธรรมขึ้นมาให้เราก้าวเดินตาม แต่ขณะที่ไม่มีธรรม คนที่ขวนขวาย คนที่จะเข้าไปรู้สิ่งนี้ต้องมีผู้ที่มีบุญญาธิการ ดูสิ ดูสัตว์เขามีหัวหน้าฝูง ถ้าหัวหน้าฝูงสัตว์นั้นเป็นผู้ที่ฉลาดเขาจะพาฝูงสัตว์นั้นร่มเย็นเป็นสุข ถ้าหัวหน้าฝูงนั้น สัตว์นั้นเป็นสัตว์ที่พาล มันจะรังแกฝูงของมันนะ ปกครองก็ปกครองด้วยความลำเอียงของสัตว์เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ต้องสร้างคุณงามความดีไง พระโพธิสัตว์ต้องสร้างคุณงามความดี สิ่งที่สร้างคุณงามดีนี้เป็นบารมีธรรม มนุษย์เหมือนกัน คนเหมือนกัน แต่คนไม่เท่ากัน คือ ความรู้สึก ความนึกคิดของคนไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกันมันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากการสะสมการสร้างบุญญาธิการอันนี้มาไง

เวลาเราเกิดในสังคม ลูกหลานเรา หรือว่าเพื่อนฝูงสังคมของเรามีความคิดต่างๆ กันไป มีการเห็นแก่ตัว มีการเบียดเบียนกัน มีการทำร้ายกัน มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน สิ่งนี้มันเป็นเรื่องหยาบๆ นะ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นสังคมของมนุษย์ เป็นเรื่องของกิเลส มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน สิ่งที่อยู่ด้วยกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็มีปัญหากันไปทั้งหมดเลย

แต่ก็มีสิ่งที่มนุษย์ที่ดี เขาเป็นคนดี เขาเจือจานสังคม เขาช่วยเหลือสังคม สิ่งนี้ที่สร้างสมมา พระโพธิสัตว์ก็เกิดจากสิ่งนี้ แล้วไม่ใช่เกิดเฉพาะในสังคมนี้นะ พระโพธิสัตว์เกิดมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องมีบารมีแก่กล้า จะต้องมีบุญญาธิการสิ่งนี้ที่จะออกไปค้นคว้านะ ค้นคว้าธรรมที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมา ธรรมนี้มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เสวยวิมุตติสุข เวลาเทศน์แสดงธัมมจักฯ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เห็นไหม เทวดาส่งข่าวต่อๆ ขึ้นไปตลอดเลย นี่แม้แต่เทวดานะ เพราะเทวดาของเขาสิ่งความรู้สึกเขาเป็นทิพย์ สิ่งที่เป็นทิพย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ขณะที่เสวยวิมุตติสุขนี่เทวดาไม่รู้หรือ? รู้ รู้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้แสดงธัมมจักฯ นี่การแสดงออกมา นี่คือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไง เวลาแสดงธัมมจักฯ กับปัญจวัคคีย์ การแสดงออกไปนี่เสียงออก นี่กิริยาของธรรม สิ่งที่เป็นสิ่งที่มรรคญาณที่จะเข้าไปเป็นอริยสัจที่จะเข้าไปทำลายกิเลส เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมขึ้นมา เวลาเทศน์ปัญจวัคคีย์เทวดาก็ฟังด้วย สิ่งที่ฟังด้วยเห็นไหม ส่งข่าวต่อๆ กันขึ้นไป แม้แต่สิ่งที่เป็นทิพย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมก็ไม่รู้สิ่งนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ ส่งข่าวขึ้นไป นี่จักรได้เคลื่อนแล้ว สิ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์เกิดขึ้นแล้วไง ธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา ค้นคว้าจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชำระกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แม้แต่เวลาออกไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ไปเที่ยวศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ในการประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดจะสงบร่มเย็นขนาดไหน สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งนั้นไม่ใช่เพราะอะไร เพราะความสงบอย่างนี้เป็นอนิจจัง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมามันแปรสภาพของมันไปโดยธรรมชาติของมัน มันเสื่อมสภาพนะ การทำความสงบของใจ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะมันก็รักษาสิ่งนี้ได้ ฤๅษีชีไพรที่เขาค้นคว้าของเขาขึ้นมา เขาก็เหาะเหินเดินฟ้าได้ สิ่งที่เหาะเหินเดินฟ้า คนที่ไม่มีบุญญาธิการก็ว่าสิ่งนั้นเป็นคุณไง เป็นฌานโลกีย์ สิ่งนี้เป็นคุณวิเศษของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของฌานโลกีย์ เป็นเรื่องของเปลือกๆ เป็นอาการของใจ ไม่ใช่ใจนะ

ตัวใจคือตัวความรู้สึก เวลาเราเกิดสมาธิ เราทำความสงบของใจเราขึ้นมา เวลาเกิดสมาธิมันมาจากไหนล่ะ แล้วเวลามันเสื่อมไป มันเสื่อมไปไหนล่ะ เวลามันเกิดขึ้นมา ใจเราก็อยู่กับเรา เวลาสมาธิเสื่อมไปใจก็อยู่กับเรา ใจก็ยังอยู่นี่ แต่สมาธิมันเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็เสื่อมสภาพของมันไป มันอยู่ที่ไหนล่ะ เห็นไหม ฌานโลกีย์ก็เป็นอย่างนั้นล่ะ มันเป็นอาการของใจ มันไม่ใช่ใจ มันถึงว่าสิ่งนี้เคลื่อนไหวไปตามแต่กำลังของมัน ถ้าผู้ที่ควบคุมได้ ผู้ที่พยายามรักษามันก็อยู่ได้นานหน่อย ถ้าผู้ที่รักษาไม่เป็น ผู้ที่รักษาสิ่งนี้ไม่ได้มันก็เสื่อมสภาพไปไว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษา ถ้ามันอยู่ในกฎของอนิจจังมันก็เป็นสภาวะแบบนั้นไง สิ่งที่เป็นแบบนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงไม่เชื่อ ไม่เชื่อสภาวะแบบนั้น แล้วปฏิเสธสิ่งนี้ด้วยว่าสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกีย์ ฌานโลกีย์ ปัญญาโลกีย์ สิ่งที่เป็นฌานโลกีย์ ปัญญาโลกีย์นี้มนุษย์มีอยู่ มนุษย์ก็ใช้สภาวะแบบนั้นไป ถ้าไม่มีบุญญาธิการจะเป็นอย่างนั้นแล้วก็เชื่อ เชื่อตามกระแสโลกเขาไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ ปฏิเสธมาก่อนเรานะ

แล้วเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราเป็นมนุษย์ แล้วจะสร้างคุณงามความดีของเราขึ้นมานี่คุณงามความดีเพื่ออะไร? คุณงามความดีเพื่อชำระกิเลสสิ ไม่ใช่คุณงามความดีเพื่อส่งต่อ ส่งต่อไป คุณงามความดีทำนี่ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติสร้างบุญกุศลต้องไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมแน่นอน ถ้าเราทำคุณงามความดีนะ เราทำคุณงามความดีจนเป็นนิสัย จิตมันจะเกาะเกี่ยวกับอารมณ์สิ่งนี้

แล้วถ้าเราศึกษาธรรม ทำคุณงามความดีขนาดไหน สร้างสมบุญญาธิการขนาดไหน เหมือนอาหารน่ะ เราเอาอาหารมา อาหารสดแล้วเอามาเก็บไว้ ต้องแช่ไว้ในห้องเย็น ต้องแช่เอาไว้ต่างหากนะเพราะกลัวมันจะเสีย นี่ก็เหมือนกัน คุณงามความดีทั้งหมดมันเป็นอามิส ถ้าจะประพฤติปฏิบัติ จะชำระกิเลสจะรื้อค้นกิเลสมันต้องอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ มันอยู่ที่เราจะต้องเอาอาหาร เอาสิ่งที่เราหามานี้ทำให้มันเป็นอาหารขึ้นมา ให้มันสุกขึ้นมา ขณะที่เราทำอาหาร เราประกอบอาหารนั่นล่ะคือมรรคญาณ ขณะที่มรรคญาณเกิดขึ้นต้องมีสัมมาสมาธิ ต้องมีสติ ต้องมีงานชอบ มีความเพียรชอบ ต้องย้อนกลับเข้ามาทำลายกิเลส นี่มนุษย์เป็นผู้สร้างธรรมสร้างอย่างนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรรคญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทำลายกิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข ขณะที่เสวยวิมุตติสุข เทวดาก็ไม่เข้าใจสภาวะแบบนั้น

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงขวนขวายน้อย เพราะว่าสิ่งนี้มันลึกลับมหัศจรรย์ ทั้งๆ ที่คนมีปัญญาระดับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พุทธวิสัยนี้เป็นอจินไตยที่ไม่มีใครจะหยั่งรู้กว้างขวางเท่ากับปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เวลาตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์เห็นไหม เลิศทางศรัทธา เลิศทางฤทธิ์ เลิศทางปัญญา เลิศทุกอย่างเลย คนที่จะตั้งต้องรู้มากกว่านั้น เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้มากขนาดนั้นยังท้อแท้นะว่าสิ่งที่จะเข้าไปรู้นี้มันไม่ใช่ว่าเราเปิดตู้เปิดตำราขึ้นมาแล้วเราจะเข้าใจ นี่ทางโลกคิดกันอย่างนั้นไง ทำไมเราจะศึกษาไม่ได้ ทำไมเราจะรู้ไม่ได้ ของสิ่งนี้ยิ่งมีคอมพิวเตอร์กดเข้าไปพระไตรปิฎกจะออกมาได้หมดเลย เราศึกษาเราก็เข้าใจ

เข้าใจโดยที่ไม่มีความบริสุทธิ์ เข้าใจด้วยไม่ใช่มรรคญาณ เข้าใจด้วยสัญญา เข้าใจด้วยอาการของใจ ไม่ใช่ใจ

ถ้าตัวใจเห็นไหม ตัวสัมมาสมาธิจะเข้ามาถึงตัวใจ ถ้าเข้ามาถึงตัวใจ อัปปนาสมาธินี่จิตสงบมาก ถึงฐีติจิต ถึงภพ ถึงตัวฐานของจิต สิ่งนี้วิปัสสนาไม่ได้ ถ้าเข้าไปถึงตัวของจิต จิตนี้จะวิปัสสนาไม่ได้ ต้องถอนออกมาเป็นอุปจารสมาธิ คืออาการของใจกับใจมันสัมผัสสัมพันธ์กัน สิ่งที่จิตนี้เป็นสมาธิคือพลังงาน แล้วถอนออกมาๆ เห็นไหม ระหว่างจิตกับขันธ์กระทบกัน ระหว่างขันธ์กับจิตทำความสัมผัสสัมพันธ์กัน จะทำการวิปัสสนาคือการทำงานระหว่างกัน สิ่งที่ทำงานระหว่างกันคือการชำระล้างกัน

สิ่งนี้ต่างหาก เวลาเข้าไปถึงตัวจิต สิ่งที่เป็นตัวจิตจริงๆ ทำงานไม่ได้ ตัวจิตจริงๆ คือตัวพลังงานเฉยๆ แต่อาการของใจ ถอนออกมาที่อาการของใจ ถ้าอาการของใจมีอำนาจวาสนา นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องมีตรงนี้ มีอำนาจวาสนา ถ้าจิตมีอำนาจวาสนา รำพึงไปจะเห็นกาย ถ้าไม่เห็นกายน้อมกลับมาที่เวทนา น้อมไปที่จิต น้อมไปที่ธรรม ผู้ที่ไม่มีวาสนา จิตเวลาสงบขนาดไหนเราจะไม่ตื่นเต้นไปกับความเห็นของมัน

“มนุษย์ผู้สร้างธรรม” ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้สร้างกิเลส เวลาเห็นนิมิต เห็นความเห็นต่างๆ นี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันพอใจของมัน มันสะสมกิเลสคือความพอใจ คือความชอบของมันไง สิ่งที่เป็นคุณวิเศษรู้ไปอย่างนั้นรู้ไปอย่างนี้...ความรู้อันนั้นมาจากไหน เรากินเรานอนมันมีพลังงาน วันเวลาเคลื่อนไป ล่วงไปๆ ได้วันคืนขึ้นมาเป็นอายุขัย เป็นชีวิตจิตใจขึ้นมา วันคืนล่วงไปๆ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตออกไปรับรู้นิมิตต่างๆ ออกไปรับรู้นั่นก็พลังงานของจิตไง พลังงานของจิตมันออกไปรับรู้ พลังงานมันใช้ออกไป สิ่งที่ใช้ออกไป พลังงานมันใช้ออกไปแล้วเหมือนเราจับจ่ายใช้สอยไป เราใช้เงินไป เราไม่หาเงินเข้ามาแล้วเงินมันมาจากไหนล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน พลังงานของจิตเราออกไปรับรู้ต่างๆ มันเสื่อมไปโดยธรรมดา เราใช้พลังงานตลอด แล้วเราไม่ได้สะสมพลังงานของเราขึ้นมา สิ่งนั้นมันจะคงตัวอยู่ได้ไหม อนาคตบอกได้แน่นอนเลยว่าต้องเสื่อมสภาพไป แล้วก็ท้อถอยน้อยเนื้อต่ำใจนะ เราประพฤติปฏิบัติ เราทำคุณงามความดี ทำไมผลประโยชน์ไม่เกิดกับเรา ทั้งๆ ที่การประพฤติปฏิบัตินี่สร้างธรรมมันก็จะเป็นคุณประโยชน์กับใจ

ถ้าสร้างกิเลสไง อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เรานี้ปฏิบัติธรรม กิเลสมันก็ปฏิบัติไปด้วย ฉะนั้นเวลาปฏิบัติธรรมต้องมีสติยับยั้งนะ ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นเราจะยับยั้ง เราจะตั้งสติของเรา แล้วทำให้เป็นสัมมาเข้ามา เห็นไหม เราจะเป็นผู้สร้าง สิ่งนี้สมควรกับมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์ แล้วขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้แล้วว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

เราเกิดมาช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ความเจริญของพระพุทธศาสนาคือสันทิฏฐิโกความรู้จริง ไม่ใช่เจริญในศาสนาโดยคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มันจะมีข้อมูลของเขา พระไตรปิฎกฉบับคอมพิวเตอร์ แต่ละสำนักก็ทำพระไตรปิฎกมาแต่ละสำนักๆ คอมพิวเตอร์มันไม่มีความรู้สึกหรอก มันไม่มีความรับรู้อะไรทั้งสิ้น คนไปใช้คอมพิวเตอร์ คนไปกดออกมา มันถึงจะเป็น...สิ่งนี้ถึงจะมีรสมีชาติ

รสของธรรมคือความรู้สึกสะเทือนใจไง เราไปอ่านเข้าเราสะเทือนใจ เราไปศึกษาเข้าเราสะเทือนใจ สิ่งที่เราไปศึกษามันเป็นอาการของใจ สิ่งที่อาการของใจเราถึงจะต้องทำความสงบเพื่อให้มีพลังงานขึ้นมา นี่สร้างธรรมตลอดอย่าไปสร้างกิเลส การสร้างกิเลสคือการศึกษา คือการจำมา แล้วก็มาน้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งที่น้อยเนื้อต่ำใจ

“สุตมยปัญญา” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้ว สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน “จินตมยปัญญา” คือจินตนาการ “ภาวนามยปัญญา” เราก็ต้องสร้างสมขึ้นไป แต่กิเลสมันท้อถอย มันน้อยเนื้อต่ำใจแล้วมันเรียกร้องนะ ปัญญาก็ใช้แล้ว สมาธิก็เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นมาโดยสัญญา เกิดขึ้นมาโดยอาการของใจไม่ใช่ตัวใจ

เวลาต้นไม้มันมีกาฝาก กาฝากต้นไม้มันอยู่กับต้นไม้ตลอดไป ต้นไม้ ถ้าต้นไม้ต้นใหญ่ ต้นไม้ที่แข็งแรง ต้นไม้ที่ว่ามีคุณภาพ กาฝากมันก็เกาะมันก็เห็นของมัน ต้นไม้ที่อ่อนแอกาฝากมันก็เกาะเห็นไหม นี่อาการของใจ อาการของใจเหมือนกาฝากนะ เวลาเราพิจารณาเราควรเอาอะไร ถ้าต้นไม้เราเจริญขึ้นมา งอกงามขึ้นมา ต้นไม้นั้นเราจะใช้ประโยชน์อะไรมัน ต้นไม้ต้นใหญ่เห็นไหม จะสร้างบ้านสร้างเรือนเราต้องโค่นต้นไม้นั้น แล้วเราต้องเลื่อย เราต้องรักษา เราต้องทำให้เป็นคุณประโยชน์กับเราในการสร้างบ้านสร้างเรือน นี่คือต้นไม้นะ

แต่เราไปดูที่กาฝาก เราไปสนใจที่กาฝาก เราจะสร้างบ้านเรือนกาฝาก กาฝากมันเป็นเถา กาฝากมันไม่ได้เป็นต้นไม้ แต่เราก็เข้าใจเห็นไหม ถ้าเราสร้างกิเลสมันเป็นอย่างนั้น มันเข้าไม่ถึงตัวจิต มันไม่เข้าถึงตัวต้นไม้นั้น มันไม่ได้เอาต้นไม้นั้นมาเป็นคุณประโยชน์ไง มันไปเห็นที่กาฝากแล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นกาฝากนี้เป็นธรรม สิ่งที่เป็นกาฝากเป็นความรู้ของเรา

เอาแต่สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากพอกพูนไปที่หัวใจ แล้วเวลาปฏิบัติก็น้อยเนื้อต่ำใจว่าเราไม่ได้ผล...ก็ไม่ได้ผลสิเพราะเป้าหมายเราผิด เป้าหมายเราไปติดที่กาฝาก เป้าหมายเราไม่เข้าไปถึงตัวต้นไม้นั้น ไม่ได้ลูบคลำต้นไม้นั้น ต้นไม้นี้ต้นไม้อะไร ควรจะทำประโยชน์อะไร ต้นไม้นี้เป็นสมุนไพรมันก็ได้เรื่องการรักษาโรค ต้นไม้ที่เป็นไม้แก่น ไม้อะไรมันก็ทำคุณประโยชน์ได้เป็นอย่างๆ ไป

หัวใจของเรา จริตนิสัยของเรามันชอบสิ่งใด ถ้าชอบนั่นคือจริตนิสัย สิ่งที่จริตนิสัยนี่ตัวต้นของใจ ต้นของใจเห็นไหม การเกิดและการตาย จิตนี้มหัศจรรย์มากเกิดตายๆ มาตลอดนะ การเกิดและการตายเราจะไม่เข้าใจเรื่องการเกิดและการตายเลย เพราะเราในชาติปัจจุบันนี้เราว่าเราเป็นมนุษย์ เราเกิดมานี่มนุษย์สมบัตินี่มีคุณประโยชน์มาก การเกิดเป็นมนุษย์นี้เกิดยาก แต่ทำไมคนมาก ทำไมคนเกิดมาจนไม่มีที่จะอยู่อาศัยกัน นี่ก็ว่ากันไปตามวิทยาศาสตร์นะ

มนุษย์นี่เกิดยากเพราะอะไร เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะรู้เรื่องของจิต จิตนี้มีมหาศาล จิตนี้แสวงหาที่เกิดตลอดไป แล้วคนสร้างคุณงามความดีมาถึงได้เกิดเป็นมนุษย์นะ ถ้าไม่ได้สร้างคุณงามความดีมา หรือสร้างมาส่วนหนึ่งก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม พอหมดอายุขัยก็ต้องเวียนกลับมาเห็นไหม จิตนี้ถึงมหัศจรรย์ไง

เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ แล้วถ้าเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม ดูสิเราดูหนังสารคดี เวลายุคหินยุคต่างๆ เขาเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์มันก็เกิดมา เวลาเกิดมาในกึ่งพุทธกาล สัตว์มันก็เกิดมา แล้วมันได้คุณประโยชน์อะไร เพราะสัตว์มันก็ทำคุณงามความดีของสัตว์มันได้

สัตว์มนุษย์ ในขบวนของมนุษย์ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขบวนของสัตว์สิ่งที่มีชีวิต สัตตะมนุษย์เป็นผู้ที่มีปัญญาที่สุด มนุษย์สามารถใช้ปัญญา มนุษย์สามารถควบคุมตัวเองได้ มนุษย์สามารถมีสติปัญญาจะชำระกิเลสของตัวเองได้ การเกิดเป็นมนุษย์ถึงมีบุญญาธิการ การเกิดเป็นมนุษย์ถึงเป็นทรัพย์อันประเสริฐ แล้วทรัพย์ประเสริฐเราจะใช้เป็นประโยชน์กับเราเพื่อสิ่งใด

การประกอบสัมมาอาชีวะนะ ถ้ามนุษย์สร้างโลก มันก็จะเป็นเรื่องของโลก เรื่องทางวิทยาศาสตร์ เรื่องสิ่งต่างๆ เห็นไหม นี่โลกเจริญ สิ่งอาศัยนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกปัจจัย ๔ มนุษย์ขาดปัจจัย ๔ ไม่ได้ สิ่งที่จะอาศัยปัจจัย ๔

แม้แต่พระเวลาบวชมาแล้วนี้ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ สิ่งนี้ต้องอาศัยนะ ไม่ปฏิเสธเลย แล้วการอาศัยนี้อาศัยแบบผู้ที่มีเชาวน์ปัญญา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ให้ภิกษุอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนะ วางธรรมวินัยไว้ให้ก้าวเดินโดยประเสริฐมหาศาลเลย กันไว้ทั้งหมดว่าไม่ให้ออกไปนอกลู่นอกทาง

คนเราทำคุณงามความดีเหมือนนักวิทยาศาสตร์เลย ถ้าเราอยู่ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ตลอดไป เราจะได้ผลงานของเรา ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ห้องทดลองของเรา แล็ปของเราๆ ไม่เคยสนใจเลย เราถูลู่ถูกังไปที่อื่น ไปนอกลู่นอกทาง แล้วงานวิทยาศาสตร์เราจะประสบความสำเร็จไหม

นี้ก็เหมือนกัน ธรรมและวินัยไง ปัจจัยเครื่องอาศัย เช้าออกบิณฑบาต ยารักษาโรคก็พืชสมุนไพร สิ่งที่อาศัยนี่เก็บผ้าบังสุกุล ไม่ต้องทำธุรกิจ ไม่ต้องทำสิ่งใดๆ เลย ปัจจัยเครื่องอาศัยมีพร้อม มีพร้อมกับภิกษุที่จะประพฤติปฏิบัติ

แต่ถ้าสร้างโลกนะ เราจะต้องหาสิ่งต่างๆ ต้องสะสมสิ่งต่างๆ เห็นไหม นี่เหยื่อ เราเป็นเหยื่อนะ เราเป็นมนุษย์แล้วเราก็กินเหยื่อของกิเลส กิเลสไง สิ่งนั้นเป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งที่เป็นของเราก็เหมือนเบ็ด เบ็ดมันก็เกี่ยวปากแล้วเราก็ดิ้น ดิ้นให้เลือดซกเลือดเต็มปากเลยเห็นไหม ดิ้นกันไปนะ เพราะอะไร เพราะความยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์

สิ่งที่ความยึดมั่นถือมั่น สมบัติแก้วแหวนเงินทองมันเป็นเรื่องสมบัติประจำโลก ใครมีปัญญาก็แสวงหาสิ่งนั้น ใครแสวงหาได้มากได้น้อยสิ่งนี้ก็แค่ปัจจัย ๔ เท่านั้น จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนก็ใช้แค่อิ่มปากอิ่มท้องเท่านั้น นี่ก็เหมือนกัน ภิกษุก็เหมือนกัน ภิกษุก็ออกบิณฑบาต ปัจจัยเครื่องอาศัยไม่ปฏิเสธเลย แล้วได้มาโดยสัมมาอาชีวะไง เพราะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตไปนะ เดินไปๆ ตามธรรมวินัย แล้วแต่เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา เขาให้ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องนะ บริสุทธิ์เพราะอะไร เพราะเกิดจากน้ำใจของเขา เขาสละทานของเขา นี่เนื้อนาบุญของโลก

ถ้าเป็นเนื้อนาบุญของโลก นี่ธรรมและวินัย อยู่ในธรรมวินัยโดยไม่กินเบ็ดไง อยู่กับโลกปัจจัย ๔ เห็นไหม ไม่เป็นเหยื่อของกิเลสที่ต้องกินเบ็ด กินทั้งเหยื่อและกินทั้งเบ็ด ปัจจัยเครื่องอาศัย ธรรมวินัยมีวางไว้ ภิกษุผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมและวินัย หัวใจมันก็ไม่เกี่ยวไปกับโลกไง หัวใจไม่ตามแรงลมพัดไปกับกระแสโลก โลกเจริญก็ตื่นเต้นไปกับเขา โลกเสื่อมก็ตื่นเต้นไปกับเขา

สมัยหลวงปู่มั่นนะ ท่านประพฤติปฏิบัติ สมัยสงครามโลกนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยหาได้ยาก ก็ไม่เห็นตื่นเต้นไปกับโลกเขาเลย นี่หาได้ยาก ผ้าจะหยาบขนาดไหนเราก็เย็บผ้า เราปะชุนของเราด้วยอาศัยของเราไป ตามธรรมและวินัยนะ วินัยเห็นไหม ผ้าขาดแม้แต่เมล็ดถั่วเขียวลอดได้ ขาดครอง สิ่งที่ขาดครองหมายถึงว่า ผ้าห่มแล้วเหมือนไม่ได้ห่มเป็นอาบัติปาจิตตีย์

โลกจะเจริญ ผ้าจะมากมายขนาดไหนก็ถือผ้า ๓ ผืนนะ สิ่งนี้เพื่ออะไร? เพื่อไม่เป็นความกังวลของใจไง นิวรณธรรมทำให้การประพฤติปฏิบัติเนิ่นช้านะ เราอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตไปเท่านั้น

เวลาผ้าขาดแคลน ผ้าต้องชุน ต้องปะ ต้องรักษา เราก็ใช้ของเราไป เราไม่ไปตื่นเต้นกับโลกไง เวลาโลกเจริญสูงส่งขนาดไหน เขาจะถวายของขนาดไหนเราก็ใช้ปัจจัย ๔ เท่านี้เท่านั้นแหละ อยู่กับโลกยุบยอบก็ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เจริญงอกงามขนาดไหนก็ไม่ตื่นเต้นไปกับเขา รักษาใจให้มั่นคงไว้ เห็นไหม ถ้ามีสติมันจะไม่ตื่นเต้นไปกับโลก มันจะไม่ขวนขวายไปกับโลกเขา ไม่กินเบ็ด ถ้ากินเบ็ด เจ็บนะ นี่เห็นไหมมนุษย์สร้างโลก

แล้วมนุษย์สร้างธรรมล่ะ ถ้ามนุษย์สร้างธรรม โลกเขาเป็นไปตามกระแสโลก เราเกิดมาในโลก หน้าที่การงานเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ สิ่งที่หน้าที่การงานเห็นไหม งานทางโลกเราก็ทำ ทำหน้าที่ของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ญาติธรรมคนเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน ทุกคนมีปากมีท้อง มีความรู้สึก มีหัวใจ มีสิ่งต่างๆ พร้อมหมดเลย แล้วใครจะมีอำนาจวาสนามากหรือน้อยไง

ถ้ามีอำนาจวาสนามากจะมีความฉุกคิดนะ จะตั้งปัญหาถามตัวเองว่าชีวิตนี้คืออะไร เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วเหมือนกบเฝ้ากอบัว กบมันเฝ้ากอบัวมันไม่รู้ว่าดอกบัวมีคุณประโยชน์ขนาดไหนนะ มันนอนกินอยู่บนดอกบัวนั้น แต่ถ้าผู้ที่มีประโยชน์ ผู้ที่ฉุกคิดขึ้นมานะ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มาก

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่ค้นคว้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งปณิธานว่าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์เป็นผู้ข้อง เราก็เป็นสัตว์ผู้ข้องคนหนึ่ง แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา พยายามศึกษาค้นคว้าสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาลเลย ทุกข์แสนทุกข์ ยากแสนยาก

พระเวสสันดรต้องสละลูกสละเมียนะ สละทุกอย่างเลยเพื่อโพธิญาณ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ ออกจากราชวังนี่ทำไมมันไม่สะเทือนหัวใจ คนอยู่ในราชวังมีความสุขขนาดไหน ความสุขของโลกไง สิ่งที่สร้างโลกก็อยู่ในความสุขของโลก ถ้าไม่ออกจากราชวังก็จะต้องนอนจมอยู่กับราชวังนั้น กับเณรราหุล กับสมบัตินั้น ต้องสละออกมาก่อนเห็นไหม ถึงเวลาพอสละออกมาสะเทือนโลกนะ ปลาใหญ่เห็นไหม ปลาตัวใหญ่ในทะเลเวลามันแหวกว่ายไปในทะเลมันจะมีคลื่นมีสิ่งต่างๆ เพราะมันเป็นปลาใหญ่

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสละราชสมบัติออกวิเวก ออกหาธรรม ออกสร้างธรรมขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะเทือนไหม ทำไมมันจะไม่สะเทือน แล้วสะเทือนเห็นไหม จากราชวังออกไปโดยที่ยังไม่มีศาสนานี่ไปอยู่กับสังคมที่ว่าเป็นเหมือนกับวณิพกเพราะยังไม่มีศาสนาไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วหรอก เขาถึงศรัทธาถึงเชื่อ เพราะเทวดา อินทร์ พรหมก็ศรัทธาเห็นไหม ดูสิ ดูพระสารีบุตร พระสารีบุตรมีโรคประจำตัว เวลาเป็นโรคปวดท้อง เวลาพระโมคคัลลานะไปเยี่ยมพระสารีบุตร

“สิ่งที่เป็นอยู่นี้มันต้องการสิ่งใด?”

“เป็นโรคเสียดท้องอยู่ต้องฉันข้าวยาคูมันถึงจะหายตลอดไป”

พอพระโมคคัลลานะเข้าใจอย่างนั้น ดลใจเทวดาให้เทวดาไปดลใจชาวบ้าน ให้ชาวบ้านทำข้าวยาคูมา เช้ามาใส่บาตรพระสารีบุตร ขนาดนี้นะ พระสารีบุตรยังไม่ยอมฉันข้าวนี้เลย เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ได้มาด้วยความไม่บริสุทธิ์ไง ไม่ได้มาโดยศรัทธาความเชื่อของเขา ได้มาโดยพระโมคคัลลานะใช้ฤทธิ์ดลใจเทวดา ให้เทวดาไปดลใจให้ชาวบ้านเขาทำข้าวยาคูมาใส่บาตรพระสารีบุตรเพื่อเป็นยามารักษา

นี่ไง เวลาบรรลุธรรมขึ้นมาแล้วหัวใจที่มีคุณธรรม มันจะเข้าใจเรื่องวัฏฏะ เห็นสิ่งต่างๆ วัฏฏะมันเป็นไปเหมือนกับเราดูทีวีเลย เราจะรู้ไปหมด เห็นไหม นี้เป็นสิ่งที่ใจเปิดแล้วไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาหรอก ถึงมีคนศรัทธามีความเชื่อ เทวดา อินทร์ พรหมอยากจะถวายทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เทวดา...ดอกไม้จากสวรรค์นี่โปรยมาตลอด นี่อยากได้บุญกุศลกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะคุณธรรมอันนี้มันประเสริฐไง

แล้วธรรมที่คู่ควรกับมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราก็มีคุณธรรม เราก็มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ที่จะให้เราค้นคว้านี่ไง สิ่งที่เราค้นคว้า เราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีบุญญาธิการ เรามีศรัทธา มีความเชื่อ นี่เรื่องของปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย เราก็แสวงหา เราก็รักษา เรื่องที่เป็นคุณธรรมที่จะเป็นประโยชน์กับหัวใจนี้ระหว่างภพชาติ ระหว่างที่ว่าเกิดตายที่มันมีความทุกข์ความโศกในหัวใจนี้ เราจะทำให้มันเบาบางลงไง ถ้าไม่ถึงที่สุดจะให้เบาบางลง ให้เกิดมีโอกาส

คนเกิดมานี้พบพระพุทธศาสนา แล้วศาสนาเจริญรุ่งเรืองนี่เป็นโอกาส เป็นอำนาจวาสนานะ เราอยู่ในโลกเราก็เห็นๆ เวลาโลกสังคมเขาเปลี่ยนแปลง สังคมทางโลกมีเล่ห์เหลี่ยมตลอด สิ่งที่เล่ห์เหลี่ยมของเขาสิ่งนั้นคือผลประโยชน์ของเขา แต่เวลาพูดกับทางโลกมันจะตัดหัวใจกัน ก็บอกนี้คือประชาสัมพันธ์ นี่คือสิ่งที่โลกเขาอยู่กัน สิ่งนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตย เป็นความเสมอภาค

มันเสมอภาคมาจากไหน ถ้ามีคนมีคุณธรรมต่างหาก หัวใจนั้นเป็นธรรม มันมีการเผื่อแผ่ มีการเจือจาน ถ้าหัวใจนั้นมันไม่มีคุณธรรมนะ สิ่งนี้มันเป็นผลประโยชน์ทั้งนั้นล่ะ ต้องการแต่ผลประโยชน์ ต้องการแต่สิ่งที่เป็นของเราๆ นี่เรื่องของโลก แต่พูดไม่ได้มันสะเทือนหัวใจไง ต้องพูดให้มันสละสลวย นี่คือเรื่องของโลกนะ

แต่เรื่องของธรรมล่ะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ซื่อตรงกับตัวเองไง ถ้าเราซื่อตรงกับตัวเอง สิ่งที่เป็นเรื่องสมบัติของโลก เราก็เป็นสมบัติของโลก เกิดมาหน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงาน แม้แต่พระก็มีหน้าที่ของพระ หน้าที่ของพระคือการชำระกิเลสให้ได้ หน้าที่ของพระ พระคือนักรบ รบกับกิเลส

มนุษย์เหมือนกันบวชเป็นพระ บวชโดยสมมติสงฆ์ โดยจตุตถกรรม ญัตติออกมา ยกขึ้นมาเป็นสงฆ์ เป็นอีกเพศหนึ่ง เพศประกาศตนว่าเป็นนักรบจะรบกับกิเลสไง รบกับกิเลสนั้นคือการสร้างธรรม วิธีการรบกับกิเลส วิธีการฆ่ากิเลส นั้นน่ะคือตัวธรรม ธรรมนี้ก็เป็นฝ่ายมรรค มรรคฝ่ายเหตุ ถ้ามรรคฝ่ายเหตุเกิดขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมา เราจะพยายามทำความสงบของใจ มีความเชื่อ รักษาพรหมจรรย์ของเรา

“ศีล” ความปกติของใจ ถ้าใจเป็นปกติ มันไม่มีมโนกรรมออกมา ความผิดพลาดข้างนอกไม่มีหรอก สิ่งที่ไม่มีเห็นไหม สิ่งที่ความผิดพลาด นี่กรรมของสัตว์ กรรมของบุคคลมันมีทั้งนั้นล่ะ สิ่งที่เป็นกรรมอันนี้ สภาวะสิ่งที่ผิดพลาดไปอันนี้เป็นกรรม เป็นกรรมของเขา ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มีความไม่แน่ใจก็ปลงอาบัติ สิ่งที่ปลงอาบัติเห็นไหม นี่ศีลเกิดจากใจ อธิศีลนะ ศีลที่เป็นอธิศีล ความคิดที่เป็นบาดหมาง ความคิดที่จะไปเบียดเบียนเขาไม่มี

แต่มันเป็นเรื่องของสภาวกรรมจากภายนอก ความเกิดขึ้นมาอันนี้มันเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ลงใจก็ปลงอาบัติ ถ้ามีความคิด มีความผิดพลาด นั่นก็ปลงอาบัติ สิ่งที่ปลงอาบัติคือการเริ่มต้นๆ ทำใจของเราให้สงบให้ได้ ทำใจของเราให้ปล่อยวางเข้ามา จากกาฝากให้มันเป็นตัวของต้นไม้ จากสิ่งที่เป็นอาการของใจให้เป็นตัวใจ ถ้าสิ่งที่เป็นตัวใจเห็นไหม ความคิดต่างๆ ที่เราคิดออกไปให้ทำความเข้าใจว่านั่นคือกาฝากทั้งหมด ไม่ใช่ใจ

สิ่งที่เป็นความคิดที่เราคิดมา เราคิดตื่นเต้นไปกับโลก ตื่นเต้นไปต่างๆ กาฝากทั้งนั้น เราอยู่ที่กาฝาก เราไม่เคยเห็นใจของเราเลย ถ้าเมื่อไรเราทำความสงบของใจเข้ามา เราเห็น เราปล่อยอาการของกาฝากเข้ามา แล้วไปเห็นต้นไม้ของตัวเอง จะตื่นเต้นกับต้นไม้ของตัวเองมาก สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงนะ เพราะอะไร

เพราะเหมือนเรากำปั้นทุบดิน ในเมื่อมีความรู้สึก ในเมื่อมีใจอยู่ ถ้าเราทำความสงบเข้าไปด้วยสติสัมปชัญญะ มันต้องเข้าไปถึงตัวใจแน่นอน เพียงแต่ว่าสิ่งนี้มีอยู่แล้วเราก็ยังทำไม่ได้ เราก็เข้าไปถึงแค่กาฝากนั้น กาฝากเป็นอาการของใจ แล้วถ้าเสริมไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วออกไปวิปัสสนา ออกไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ กลัวแต่จะจำไม่ได้ กลัวแต่ตัวจะไม่มีปัญญา เวลาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ท่องแล้วท่องอีกกลัวจะจำไม่ได้ไง

ถ้ายังอยากรู้อยู่จะไม่รู้สิ่งใดเลย แต่ถ้าปล่อยวางสิ่งต่างๆ ไม่รู้อะไรเลยแต่กลับรู้

กลับรู้เพราะอะไร เพราะกิริยาอาการของใจที่มันสงบเข้ามานี้มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความเห็นของใจ ใจสัมผัสสิ่งนี้ มีสติสัมปชัญญะรู้เฉพาะๆ ต่างๆ มันจะปล่อยเข้ามาๆ

ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้สิ่งที่เป็นไป เพราะอะไร เพราะถ้ามันรู้มันเป็นสัญญาเห็นไหม ไม่รู้สิ่งใดเลยแต่มีการกระทำ มีมรรคฝ่ายเหตุ เหตุคือการควบคุมใจเข้าไปตลอด ไม่รู้อะไรเลยแต่รู้ทุกอย่างที่มันเป็นความสัมผัสของใจ แต่ถ้าพยายามอยากรู้ พยายามจำ พยายามกลัวความผิดพลาด พยายามตั้งสติอยู่กับความจำอันนั้นจะไม่รู้เลย

ทั้งๆ ที่ว่ารู้ๆ นั่นล่ะ รู้ รู้โกง โกงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโดยสุตมยปัญญาเห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา มันจะเป็นจินตมยปัญญา จินตมยปัญญาเห็นไหม จินตมยปัญญามีความผิดถูก มีการศึกษา มีการค้นคว้า มีการพิสูจน์ของใจ ใจจะต้องพิสูจน์ความสัมผัสของใจเอง สัมผัสกับอาการของใจ ระหว่างต้นไม้กับกาฝากมันจะสัมผัสสัมพันธ์กัน เพราะกาฝากมันไปเกาะต้นไม้แล้วอาศัยดูดกินอาหารจากต้นไม้นั้น ถ้ามันไม่มีต้นไม้ กาฝากไม่มีสิทธิ์แบ่งอาหาร กาฝากมันจะอยู่ได้อย่างไร กาฝากอยู่ไม่ได้หรอกถ้ามันไม่อยู่บนต้นไม้ แต่กาฝากมันอาศัยต้นไม้ อาศัยอาหารเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน อาการที่เป็นความคิด อาการที่ว่าสัญญา ความรับรู้น่ะ มันอาศัยพลังงานจากจิตทั้งนั้นล่ะ ถ้ามันเป็นธรรม ถ้าจิตสงบเข้ามาโดยสติสัมปชัญญะ กิเลสมันจะยุบยอบตัวลง สิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมคือความรู้สึกสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ แต่ถ้ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี่ดูดซึมกินพลังงานกินอาหารจากต้นไม้นั้น แล้วกินเชื้อโรค กินสิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่เข้าไปในกาฝากนั้น กาฝากนั้นยิ่งเจริญงอกงามพร้อมกับสารพิษ พร้อมกับสิ่งที่ทำลายหัวใจดวงนั้น

ถึงจะต้องมีสติสัมปชัญญะเข้าไปโดยไม่ต้องไปห่วงไปกังวลว่าเราจะไม่รู้อะไรเลย เราพยายามจะศึกษา พยายามจะเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้เลยว่ากิเลสนี้มันเสาะเข้ามาในการประพฤติปฏิบัตินั้นนะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติโดยสัจจะความจริง มันจะเห็นเป็นสันทิฏฐิโกจากความสัมผัสของใจตลอดไป เป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตังเห็นไหม เหมือนที่ว่าอาหารที่เราหามา เราจะทำอาหารให้สุกขึ้นมา เราจะต้องกางตำราแล้วใส่ทีละอย่าง มันไหม้แล้วไหม้อีกนะ ใส่น้ำมันลงไปก่อน เอางาลงไปก่อน งาจนไหม้แล้วยังไม่ได้เอาสิ่งที่เป็นอาหารใส่เข้าไปจนให้มันเป็นอาหารขึ้นมานะ

แต่ถ้าผู้ที่ชำนาญการ เขาหยิบจับทีเดียวลงไปมันจะสุกขึ้นมา การหยิบจับแล้วลงไปในกระทะ ลงไปในน้ำมันนั้นมันเป็นความคล่องตัว เป็นการฝึกของใจ ถ้าใจฝึกอย่างนี้นี่มรรคฝ่ายเหตุจะมีอย่างนี้ ไม่ต้องไปกังวลใจ ไม่ต้องไปกลัวสิ่งว่าเราจะไม่รู้สิ่งใด ถ้าไปกลัวสิ่งนั้นแล้วว่าจะรู้สิ่งนั้นตลอดไป เราจะไม่รู้สิ่งใดเลย เพราะเราโดนกิเลสหลอก

แต่ถ้าเราทำไปโดยไม่ต้องการสิ่งใด ตัณหาซ้อนตัณหา ตัณหาความทะยานอยากนี้เกิดจากใจ ตัณหาความทะยานอยากนี้เกิดจากกิเลส สิ่งที่ตัณหาความทะยานอยากนี้เป็นรากเหง้าของความคิด เพราะมันมีความต้องการ มีความจินตนาการแล้วมันก็แสวงหาไปตามสภาวะของมัน จินตนาการไปโดยตามกิเลสคือจินตนาการโดยที่ไม่เข้าใจคืออวิชชา

แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา จินตนาการอันนี้เริ่มจะเข้าภาวนามยปัญญา จินตนาการนี้มาจากธรรม เพราะการประพฤติปฏิบัติต้องให้เป็นสันทิฏฐิโกตามความเป็นจริงของเขา ตามความเป็นจริงของธรรมนะ เราไม่มีหน้าที่ไปควบคุม ไม่มีหน้าที่ไปร้องเรียน ไม่มีหน้าที่จะไปเรียกร้องสิ่งใดๆ จากธรรมนั้น

เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัตตัง เป็นอกาลิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมเห็นไหม เวลาเราเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรมเราเรียกร้องใครล่ะ? ก็เรียกร้องใจนี่ เรียกร้องตัวเรานี่ สิ่งที่มันโง่เขลามันเป็นอวิชชามันไม่เข้าใจสิ่งใดนี่ ขณะที่สภาวธรรมเกิดขึ้นมา สิ่งนี้เรียกร้องสิ่งนี้ให้ออกมา คือให้ออกมาเห็น ให้ออกมาดู ให้เอ็งฉลาดขึ้นมาไง เอ็งอย่าโง่เง่าอยู่กับหัวใจนะ ทำไมมันโง่แสนโง่ขนาดนี้

สภาวธรรม “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” สิ่งนี้เป็นธรรมดา ชีวิตนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาเพราะมีผลบุญกุศล กรรมมันพาเกิดนะ แต่ถ้ามีความเป็นธรรมดา ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ชีวิตนี้ต้องตายไปเป็นธรรมดา สิ่งที่ตายไป แต่ตายไปด้วยความทุกข์ยาก ตายไปด้วยความดิ้นรน ตายไปด้วยความวิตกกังวล แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัตินี่ให้เห็นสภาวะร่างกายนี้มันแปรสภาพ มันตายต่อหน้า มันตายก่อนตาย คือเห็นสภาวะความเป็นไป สัจจะความจริงของชีวิตไง

ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้คือพลังงานในหัวใจที่มีจิตปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เลี้ยงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาด้วยอาหาร นี่อาหารเห็นไหม อาหารสิ่งที่ร่างกายต้องการ แล้วการศึกษาเล่าเรียนนั้นก็คืออาหารของใจ อาหารของใจคือปัญญาความรู้ของโลก นี่กินทั้งอาหารทางร่างกาย กินทั้งอาหารทางหัวใจ อาหารคือการศึกษามาให้มีอาชีพ มีวิชาชีพ มีสิ่งต่างๆ สิ่งนี้พร้อมกับการยึดมั่นถือมั่น พร้อมกับตั้งเป้าว่าเราจะต้องทำสิ่งนี้ ทำสิ่งนั้น ตั้งเป้าเห็นไหม สร้างโลกแล้วก็วิ่งตามโลก วิ่งตามก็กระหืดกระหอบพร้อมกับความทุกข์ความยาก

แต่ถ้าวิ่งตามธรรมนะ ค้นคว้าขึ้นมาจากภายใน สิ่งที่เป็นภายใน เห็นไหม ชีวิตนี้คืออะไร ตัวจิตปฏิสนธิอยู่ที่ไหน เทวดา อินทร์ พรหมมาจากไหน? ก็มาจากใจดวงนี้ ใจดวงนี้เคยเกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นสัตว์ต่างๆ เป็นทุกอย่างที่แล้วแต่กรรมสภาวกรรมที่สร้างสมมา

เวลาจิตสงบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “บุพเพนิวาสานุสติญาณ” ย้อนอดีตชาติไปตั้งแต่พระเวสสันดรออกไปเลย ๑๐ ชาติ แล้วยังมีชาติต่างๆ ๔ อสงไขยแสนมหากัป ๔ อสงไขยนับไม่ได้ถึง ๔ ครั้ง นับไม่ได้เทียบภพชาตินี้ไม่ได้เลย นี่คือมีต้นมีปลายนะ แล้วของเรามันสะสมมานี่ชีวิตจะสิ้นสุดที่ตรงไหน

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้จิตสะสมมาแล้วเกิดมาเจอสภาวะแบบนี้ ถ้าจิตสงบมีอำนาจวาสนาจะย้อนอดีตชาตินี้ได้ สิ่งที่ย้อนอดีตชาติ เพียงแต่ย้อนเพื่อเห็นว่าสัจจะความจริงอันนี้มีไง แต่สิ่งที่ว่าถ้าเราจะรับรู้สิ่งนี้คืออยากรู้ไปก่อน ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าอยากรู้ ไม่มีรู้อะไรเลย ทำไปโดยให้จิตมันสงบ ถ้าเป็นอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้นมันจะเห็นสภาวะแบบนั้น เห็นแล้วไม่ยึดด้วยนะ ถ้าเห็นแล้วยึด พอยึดปั๊บนี่เป็นตัณหาซ้อนตัณหา จะเสื่อม เสื่อมแล้วล้มลุกคลุกคลาน อยากรู้สิ่งนี้ อยากรู้อะไร มันไม่ใช่มรรค อยากรู้อะไร

ในเมื่อคนเราเป็นคนไข้ เป็นเชื้อไข้ในหัวใจ ในเมื่อเชื้อไข้ในหัวใจมันต้องอาศัยยาสิ มันไม่ใช่อาศัยความอยากรู้อยากเห็นแล้วไปชำระกิเลสได้หรอก ความอยากรู้อยากเห็นนี่คือกิเลสตัวหนึ่งนะ แต่เพราะเป็นอำนาจวาสนา เป็นเพราะสิ่งนี้มันเป็นจริตนิสัย สิ่งนี้เป็นการตรงกับการประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะเห็นขึ้นมา เห็นขึ้นมาเหมือนเปิดทีวีเลย มันจะรู้ไปตามความจริงของทีวีนั้น เห็นภาพทีวีนั้น เห็นสภาวะแบบนั้น ถ้าไปเห็นอย่างนั้น แล้วยึดมั่นถือมั่น อันนั้นเป็นผลลบ ลบกับใจดวงนั้น

ถ้าเห็นแล้วปล่อยวางๆ ภาพในทีวีนี้ยิ่งชัด คมชัด ยิ่งเห็นสภาวะนั้น เพราะอะไร เพราะเราควบคุมใจไง เรามีสติสัมปชัญญะ คือทีวีนี่มันใช้พลังงานใช้ไฟฟ้าใช่ไหม ถ้าทีวีนี่ไฟฟ้าพลังงานตัวนั้นไม่มี ไฟฟ้าไม่มีทีวีมันจะเปิดภาพได้ไหม สิ่งที่เป็นทีวีคือตัวใจ คือตัวสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง แล้วตัวพลังงานคือตัวจิต ถ้าจิตมันสงบ เราควบคุมจิตไม่ตื่นเต้นไปกับมัน

ฤๅษีชีไพร เวลาเหาะเหินเดินฟ้าได้ เวลาเหาะเหินไป ไปเห็นสิ่งที่ตรงข้ามกับพรหมจรรย์ จิตตกหมดเลย ต้องเดินไปเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นภาพต่างๆ เห็นอดีตชาติแล้วเราไปสนใจกับมัน เหมือนกัน เสื่อมหมด เสื่อมไปโดยธรรมชาติเลย แต่ถ้าเราไม่ไปสนใจ เราอยู่กับพลังงานตัวนี้ตัวเดียว เราอยู่กับตัวจิต เราควบคุมจิตได้นี่ภาพจะคมชัดๆ

คนที่จะทำได้อย่างนี้ มนุษย์ที่จะเข้าใจสิ่งนี้ มนุษย์ต้องเข้าใจเรื่องของกิเลส มนุษย์ต้องเห็นสภาวะเป็นไปของกิเลส ว่ากิเลสมันมีตัณหาความทะยานอยาก มันเกาะเกี่ยวสิ่งใด แล้ววิปัสสนาจนปล่อยวางเห็นไหม ปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันจะเข้าใจสภาวะแบบนั้นแล้วมันจะควบคุมจิตอย่างนี้ได้ ถ้าควบคุมจิตอย่างนี้ได้จะใช้พลังงานของจิตได้ทุกชนิดเลย จะทำอะไรก็ได้ ถ้าจิตนั้นมีพลังงานแล้วสงบ แล้วมีสติสัมปชัญญะควบคุมได้ เหมือนเศรษฐี มหาเศรษฐีมีเงินอยู่เต็มบ้านเต็มเรือนจนไม่มีที่จะเก็บ จะใช้จับจ่ายใช้สอยเมื่อไหร่ก็ได้เห็นไหม นี้ขนาดเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีนะ แต่เศรษฐี มหาเศรษฐีเขาต้องใช้ของเขานะ แต่ถ้าเป็นธรรม...ไม่ต้องการ

เพราะการจับจ่ายใช้สอยนั้นก็เป็นความทุกข์อันหนึ่งนะ การจับจ่ายใช้สอย การไปรับรู้ การไปแสวงหาจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้ได้เงินมาได้รับรู้สิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องภาระไง นี่จิตที่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีกลับไม่อยากรู้ แต่จิตที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อย่างเรานี่มันถึงว่ามนุษย์สร้างกิเลสไม่ใช่มนุษย์สร้างธรรม ถ้ามนุษย์สร้างกิเลสก็อยากรู้ อยากเห็น อยากจะค้นคว้า อยากจะเข้าใจ เพราะมันเป็นกิเลสมันถึงไม่เข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ธรรม

ถ้าเป็นธรรม จิตสงบแล้วย้อนไปเห็นสภาวะของกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าเราย้อนกาย เวทนา จิต ธรรม จิตกับอดีตชาติคนละเรื่องกัน กาย เวทนา จิต ธรรมคนละเรื่องกัน เพราะอดีตชาตินั้นมันเป็นสัญญาข้อมูล เป็น “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ” ข้อมูลในปัจจยาการนั้นไม่ใช่ข้อมูลในขันธ์ ๕ นะ

ข้อมูลในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ นี่มันเป็นปัจจุบันนี้ เสียงกระทบรูป นี่โสตวิญญาณรับรู้ สิ่งนี้ปรุงแต่งต่อไปตามความคิด เราจะคิดปรุงแต่งของเราไป นี้เป็นสัญญา เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ กับวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท เรื่องนี้มันเป็นความลึกลับ แต่ถ้าจิตทะลุปรุโปร่งแล้วเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา นี่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด แล้วเป็นตัวของจิต ตัวอวิชชา ตัวสิ่งที่เป็นตอของจิต ตัวพลังงานของจิต ทำลายทุกอย่างเลย นี่มนุษย์สร้างธรรม

ถ้ามนุษย์สร้างธรรมจะไม่เหลวไหลจากการประพฤติปฏิบัติ จะไม่ให้กิเลสแทรกเข้ามา จะต้องพยายามทำความสงบของใจเข้ามา แล้วพยายามค้นคว้านะ ค้นคว้าคือการวิปัสสนา คือการทำลาย ถ้าไม่มีการค้นคว้าไม่มีการทำลาย พยายามควบคุมจิตสงบเข้ามาขนาดไหนก็แล้วแต่สิ่งนี้เป็นอนิจจังนะ

“สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” สภาวธรรมนี่เป็นอนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป “สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” มันเป็นอนิจจังไหม? มันเป็นอนิจจัง แล้วไปถนอมรักษาไว้ พยายามถนอมรักษาไว้ พยายามควบคุมไว้ กลัวจะเสื่อม เสื่อมไหม? เสื่อม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะอะไร เพราะเราไปถนอม เพราะเราไปควบคุมไว้อย่างนั้น เพราะธรรมชาติมันเป็นสภาวะแบบนั้น

แต่ถ้ามันจะไม่เสื่อมทำอย่างไร สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของเขา หน้าที่ของเราตั้งสติ แล้วหาจุดยืนของใจ หลักการของใจคือคำบริกรรมต่างๆ คำบริกรรมหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ถ้าเราไปสร้างที่เหตุ เหมือนคนที่ทำธุรกิจ ในเมื่อสินค้าเรา เรามีลูกค้า เราส่งสินค้าตลอด เราเก็บเงินได้ตลอด ธุรกิจมันจะไม่คล่องตัวได้อย่างไร คล่องตัวแน่นอน แต่ถ้าเราบอกว่าเราไม่ส่งสินค้าให้ใครเลย สินค้าของเรานี้เราหามานี่สิ่งนี้เป็นของมีคุณภาพ เราจะกักตุนไว้ แล้วมันจะเสื่อมไหม มันจะเสียหายไหม? เสียหายแน่นอน

นี่เหมือนกัน ในเมื่อเราจิตสงบขนาดไหน “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” เห็นไหม เราถึงจะต้องกลับมาที่สติ กลับมาที่คำบริกรรม กลับมาที่ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วรักษาสิ่งนี้เข้าไป ถ้ารักษาสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา จะเสื่อม ไม่เสื่อมมันหน้าที่ของเขา เรารักษาของเราไป มันไม่เสื่อมหรอก มันเสื่อมไปไม่ได้ในเมื่อเราอยู่กับเหตุ เรารักษาเหตุอยู่ตลอดเวลา เรารักษาไฟของเราไว้ตลอดเวลา แล้วเราตั้งน้ำไว้น้ำจะเดือดไหม จะปรารถนาไม่ให้เดือดมันก็เดือด ไม่ปรารถนามันก็เดือดเพราะอะไร เพราะน้ำเราตั้งไว้ตลอดเวลา เรามีไฟความร้อนอยู่ตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับสติ อยู่กับพุทโธตลอดเวลา จิตนี้มันก็จะตั้งมั่นของมัน แล้วถ้าน้อมไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม ว่าอำนาจวาสนาไม่มี พยายามรำพึงเข้ามา รำพึงน้อมไปที่กาย ถ้าไม่เห็นกายเห็นไหม ดูจิต แล้วแต่ให้ตรงกับจริตของตัว ถ้าตรงกับจริตของตัวนั้นจะเป็นการงานของเรา

ถ้าหน้าที่การงานของเราเกิดขึ้นมา ผู้ชำนาญการแต่ละแขนง ผู้ชำนาญการของวิชาการแต่ละวิชาการ ความชำนาญของเขาต้องต่างกัน นี่ก็เหมือนกัน กาย เวทนา จิต ธรรม โดยจริตนิสัยของผู้ที่สร้างสมมามันจะมีความแตกต่างกัน จะไม่มีคนใดเลยที่ทำแล้วจะเหมือนกัน สิ่งที่เหมือนกันเห็นไหม แม้แต่ผู้ชำนาญการในหลักวิชาการเดียวกัน ในตำแหน่งหน้าที่การงานเดียวกัน แต่ความถนัดของเขาก็ต่างกัน

นี่ก็เหมือนกัน อาการของใจมันจะมีความแตกต่างกันไปโดยธรรมชาติของมัน ฉะนั้นเราถึงต้องกำหนดของเราให้ตรงกับจริตตรงกับนิสัยของเรา แล้วน้อมไป ถ้าสภาวะแบบนั้นไม่เกิดขึ้นมา เรากลับมาที่หลักการ กลับมาที่ตัวตำแหน่งหน้าที่ หน้าที่เห็นไหม กลับมาที่ตัวจิตนี้ กลับมาทำความสงบให้ลึกเข้าไปกว่านั้น ลึกเข้าไปนะ

จิตนี้เกิดมาจากไหน จิตนี้มันมีโดยธรรมชาติของมัน เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วถึงเป็นมนุษย์ต่างหากนะ แล้วถ้ากลับไปที่จิตนี้ แล้วถ้าเห็นสภาวะเห็นแบบนั้นไม่ได้ เราก็กลับให้จิตมันสงบเข้ามาให้ลึกเข้าไปๆ ถ้าลึกเข้าไปนี่มันมี มีแน่นอน มันเห็นได้แน่นอน เพียงแต่ว่าเราจะต้องถอยกลับมา พยายามกลับไปที่ตัวจิตนี้ให้ได้ สร้างพลังงาน อัปปนาสมาธิไง กลับไปกำหนดพุทโธ กำหนดสติเข้าไป กำหนดอานาปานสติ กำหนดปัญญาอบรมสมาธิเข้าไปขนาดไหนจนมันปล่อยหมดนะ มันรวมหมด มันปล่อยหมด สักแต่ว่ารู้ อาการอายตนะทั้งหมดดับหมด รูป รส กลิ่น เสียง หูจะไม่ได้ยินสิ่งต่างๆ เลย

ถ้าเราไม่เห็นกาย เราจะต้องกลับไปสร้างพลังงานอย่างนี้ ถ้าเรามีพลังงานอย่างนี้ เรามีเงินมหาศาลเลย แล้วสินค้าที่เขาจะมาขายนี่เขาต้องการขายกับผู้ที่มีเงินใช่ไหม ผู้ที่มีเงินซื้อสิ่งใดเขาก็ปรารถนาเพราะเงินเราเงินสด เงินสดจะซื้อสิ่งใดเขาปรารถนา เพราะผู้ที่ทำธุรกิจเขาต้องการเงินสดที่เราซื้อเขา เขาไม่ต้องการสินเชื่อหรอก

นี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตของเราพยายามเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ เข้าไปถึงฐานนี่ ตัวนี้มันเหมือนกับตัวพลังงาน ตัวเงินสดไง ตัวสิ่งที่เราจะน้อมออกมา แล้วเราจะน้อมไป มันจะไม่เห็นกายอย่างใดมันต้องพยายามทำอย่างนี้ นี่คือสิ่งที่ถ้ามันไม่ได้วิปัสสนาหรือมันทำสิ่งนี้ไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจอย่างนี้เราสร้างฐานอย่างนี้

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถะคือพลังงาน เป็นธรรม ธรรมคือสมถธรรม สมาธิธรรม วิปัสสนาธรรม สิ่งที่เป็นวิปัสสนา สมถธรรม สิ่งสภาวธรรม เราจะสร้างธรรมไง ถ้ามนุษย์สร้างธรรมสร้างอย่างนี้ อย่างนี้เป็นกิจของมนุษย์ เป็นงานที่ประเสริฐที่สุด งานอาบเหงื่อต่างน้ำ งานธุรกิจ งานต่างๆ เห็นไหม เรื่องของโลก

พระก็เหมือนกันหน้าที่การงานต่างๆ ชี้เข้ามาที่ใจทั้งหมด ข้อวัตรปฏิบัติ ข้อปฏิปทาเครื่องดำเนิน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยเป็นปฏิปทาเครื่องดำเนิน เครื่องดำเนินนั้นย้อนกลับมาที่ใจ การเคลื่อนไหว การเหยียด การคู้ การดื่ม การทำกิจวัตรต่างๆ นั้น พุทโธตลอดดูที่ใจเห็นไหม ทวนกระแสกลับมาที่ใจ

ถ้าทวนกระแสมาที่ใจเพราะกิเลสเกิดจากใจ สิ่งที่เกิดจากใจเวลาเราเกิดขึ้นมา เกิดเป็นมนุษย์ก็จิตปฏิสนธินี่ตัวใจไปปฏิสนธิในครรภ์มารดา ไปโอปปาติกะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ตัวใจนี้เป็นตัวเกิด แล้วตัวใจนี้เป็นตัวพลังงาน แล้วตัวใจนี้เป็นตัวกิเลส สิ่งที่กิเลสนั้นปกคลุมใจ

ใจที่เป็นธรรม สิ่งที่ใจที่เป็นธรรมเห็นไหม นี่วิมุตติสุข สิ่งที่เป็นวิมุตติแล้วคงที่ตลอดไป ตัวจิตนี้มันมีพลังงานตัวนี้ มันมีสิ่งที่ธาตุรู้มันมีอยู่ของมัน แต่มันโดนเชื้อไขของอวิชชา โดนอวิชชาควบคุมมัน พญามารคุมไว้ไง สิ่งที่พญามารคุมไว้ สิ่งนี้มันถึงได้มีตัวจิต แต่เพราะโดนสิ่งที่เป็นสมมุติของอวิชชาคลุมไว้ มันถึงทำให้จิตนี้เกิดตายๆ โดยสมมุติไง โดยวัฏฏะนี่มันเกิดตายๆ ไป แล้วสภาวธรรมเข้ามาชำระล้างตรงนี้ เข้ามาทำลาย ทำความสะอาดของใจตัวนี้ไง ถ้าทำความสะอาดใจเข้ามา ถ้าเราเพิกกิเลสออกเป็นชั้นเป็นตอน

ถ้ายกขึ้นมาวิปัสสนาให้ได้ที่ตัวกายนี้ ตัวกายนี้วิปัสสนา ถ้าเราปล่อยกาย เวทนา จิต ธรรมโดยสัจจะความจริง นี่เป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นพระโสดาบันเราจะเข้าถึงสภาวธรรม พอเข้าถึงสภาวธรรม สิ่งที่เราเป็นพระโสดาบันนี่จะเป็นพระโสดาบันได้ต้องเกิดมรรคสามัคคี ต้องมรรครวมตัว ความสมดุลเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของพลังงานกับตัวนี้ คือกิริยาของใจ อาการของใจที่เคลื่อนไปคือธรรมจักร

สิ่งที่ธรรมจักร พลังงานตัวนี้เคลื่อนไปไง สิ่งที่พลังงานตัวนี้เคลื่อนไปแล้วมันย้อนกลับมาทำลายกาย เวทนา จิต ธรรม ปล่อยวางแล้วปล่อยวางเล่าด้วยปัญญาญาณของเรา ปัญญาจะเกิดขึ้นมา เวลาวิปัสสนาไป เวลากำหนดโดยจุดยืนจะทำสมถะมันก็ทำล้มลุกคลุกคลานนะ แต่ถ้าเราตั้งใจตั้งฐานได้จนเป็นอัปปนาสมาธิ สิ่งนี้เป็นสมถะคือกำปั้นทุบดิน กำปั้นทุบดินคือว่าจับต้นเชือกได้ต้องสาวไปถึงปลายเชือก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจับความรู้สึกได้แล้วกำหนดพุทโธได้ ถ้าทำบ่อยครั้งโดยสติสัมปชัญญะมันต้องสงบโดยแน่นอน แต่ขณะที่ออกวิปัสสนานี่มันเป็นงานในธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม สิ่งนี้ใครจะค้นคว้า ใครจะรับรู้สิ่งต่างๆ ถ้ารับรู้มันก็ไปรับรู้สิ่งที่เป็นกาฝาก สิ่งที่เป็นกาฝากคือสิ่งที่เป็นสัญญาอารมณ์ สิ่งที่สร้างภาพขึ้นมาโดยอาการของใจ ไม่ใช่ใจ

สิ่งที่โดยปกติสามัญสำนึกของมนุษย์นี้ สามัญสำนึกของคนนี่มันจะเกิดจากกาฝาก เกิดจากอาการของใจ เหมือนกับผลไม้เห็นไหม ผลไม้เกือบทุกชนิดที่มีเปลือก จะมีเปลือกตลอดไป ผลไม้ที่มีเปลือกเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน อาการของใจเหมือนกับเปลือก เหมือนกับอาการของใจคือกาฝาก ถ้าไม่ใช่สภาวธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยปัจจุบันโดยที่เขาค้นคว้ากันอยู่นี้มันจะเป็นกาฝากทั้งหมด มันเป็นการสร้างกิเลสไม่ใช่สร้างธรรม

ถ้าเป็นการสร้างธรรมเห็นไหม เราจะต้องตรวจสอบใจของเรา มันปล่อยวางไหม มันมีความสุขไหม มันปล่อยวางแล้วมันมีความโล่งโถงไหม ถ้ามันเข้าไปรู้เฉยๆ มันรู้ออกมาแล้ว มันเป็นปกติ สิ่งนี้ไม่ใช่หรอก เพราะมันออกมาแล้วมันเป็นปกติไง ขณะที่ทำสมถะเข้าไป เวลาสงบเข้าไปมันจะเวิ้งว้างนะ นี่ขณิกสมาธิ มีความสุขชั่วคราวออกมา

อุปจารสมาธิความสงบนี่มันแน่นหนามั่นคงขึ้นมา มันมีสติพร้อมเข้าไป แล้วเวลามันเคลื่อนออกไป อุปจาระในอาการของใจจะเห็นนิมิต เห็นอะไรต่างๆ สิ่งนี้ที่เป็นวิปัสสนา และถ้าอำนาจวาสนาเราไม่ถึง เราพยายามจะทำให้เข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ ดับอายตนะทั้งหมดเลย นี่อุปจาระคือมีอาการสืบต่อ

ขณะที่มันเข้าไปอัปปนาสมาธินี่สักแต่ว่า แต่รู้ตลอดเวลา สติจะชัดเจนมาก มีสติแล้วความรู้สึกจับตัวจิตได้ชัดเจนแจ่มใส นี่คือตัวสมาธิไง แล้วน้อมออกมาเห็นไหม รำพึง น้อมออกมา พอน้อมออกมานี่งานชอบ งานชอบ ชอบอย่างนี้ งานชอบของธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

งานของโลกอาบเหงื่อต่างน้ำ จะบริหารจัดการขนาดไหนนั้นเป็นเรื่องโลกทั้งหมดเลย ปัญญาอย่างนั้นปัญญาการสร้างสม ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาแบกหาม ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาผูกมัด

แต่ขณะที่วิปัสสนาเกิด เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมนี่เพราะอะไร เพราะกิเลสอยู่ที่ตรงนี้ ใจติดที่ตรงนี้ สิ่งตรงนี้มันวิปัสสนามันปล่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจะปล่อย พอปล่อยนะ ผู้ที่วิปัสสนาเป็นนะ อาการสงบของสมถะคือจิตสงบ อาการของปล่อยวาง ต่างกัน ต่างกันเพราะอะไร เพราะกิเลสมันเริ่มเบาตัวลง

กิเลสนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับพวกเจ้าลัทธิต่างๆ เข้าถึงสมถะ เข้าถึงตรงนี้ เข้าถึงจิตสงบ เข้าสมาบัติต่างๆ นี่มันสงบ แต่สงบแล้วกิเลสไม่ได้เบาตัวลงเลย ขนาดออกมา ขณะที่จิตออกมานี่มันเป็นปกติ แต่ขณะว่าที่เริ่มวิปัสสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างธรรมขึ้นมาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก่อน แล้วเราตามธรรมวินัย เราเดินตามธรรมวินัยโดยสุภาพบุรุษ โดยที่ว่าไม่เข้าข้างกิเลส เราวิปัสสนาไป ถ้าไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม จากจิตจากต้นไม้นั้น ไม่ใช่จากกาฝาก มันจะเห็นแล้วมันสะเทือนหัวใจ แล้ววิปัสสนาไปมันจะเริ่มปล่อย อาการปล่อยอย่างนี้กิเลสเริ่มเบาตัวลง นี่มันจะฟ้องในหัวใจทั้งหมด

มันเป็น อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเข้าหลักการอันนี้ มันจะทำให้กิเลสเบาตัวลงๆ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันถึงจะรู้ไงว่า นี่สมถกรรมฐานมีความรู้สึกอาการอย่างนี้ วิปัสสนากรรมฐานมีความรู้สึกอย่างนี้ แล้วมาถูกทางอย่างนี้ มันมีกำลังใจอย่างมหาศาล มันก็เริ่มบุกบั่น สมบุกสมบันเข้าไปกับวิปัสสนาคือการงานของจิต นี่ไงมนุษย์สร้างธรรม

ถ้ามนุษย์สร้างธรรมเห็นไหม ธรรมสมควรแก่มนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ แล้วเราก็เป็นมนุษย์ เราจะสร้างธรรมขึ้นมาในหัวใจ เป็นธรรมอันเอก ธรรมส่วนบุคคล ธรรมที่สัมผัสจากใจ เป็นสันทิฏฐิโกที่หัวใจทุกข์ร้อน หัวใจเรียกร้องให้ช่วยเหลือ หัวใจที่พร่ำเรียกร้อง หัวใจที่ทุกข์อยู่นี่ แล้วเราทุกคนก็บ่นทุกข์บ่นร้อนนะ เวลาพูดถึงทุกข์ เวลาคิดถึงทุกข์น้ำตาร่วงน้ำตาไหลนะ

เวลาประพฤติปฏิบัตินี่เราสร้างของเราขึ้นมาสิ ทุกข์แสนทุกข์ทางโลกมันก็ทำให้เราเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี่เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้มันต้องเอากำลังใจ เอาความเห็นของเรา ตั้งสติของเราเข้ามา แล้วสร้างสมขึ้นมา ด้วยสติสัมปชัญญะประคอง ต้องประคองความรู้สึก ประคองอารมณ์อย่างนี้ ทำความสงบเข้ามาๆ วิปัสสนาไป ย้อนไปๆ ถึงที่สุดมันสมุจเฉทปหาน ทำให้กิเลสขาด สังโยชน์ขาดนะ

สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด ทิฐิความเห็นว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ เราๆๆ ไอ้เราๆ นี่เหยื่อ แล้วกินเบ็ด แล้วเบ็ดนี่เกาะปาก ดิ้นๆ มาก ทุกข์มาก แต่ถ้าปลดเบ็ดออกจากปากนะ ไม่ใช่เรา กายสักแต่ว่ากาย จิตสักแต่ว่าจิต ทุกข์สักแต่ว่าทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์ เห็นสัจจะตามความเป็นจริง

เห็นไหม ที่บอกว่า ทำไมมนุษย์ว่าเราฉลาด มนุษย์ว่าเรารู้ มนุษย์ว่าเก่งกาจสามารถนี่โง่ทุกคน! แต่ถ้าใครเข้ามาเห็นตรงนี้นะ เห็นว่าสักกายทิฏฐิก็ไม่ใช่เรา สรรพสิ่งนี้ไม่ใช่เราเลย เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง อาศัยวิบากของกรรม กรรมที่เราสร้างสมขึ้นมานี่ ถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์นี่สร้างธรรมขึ้นมาในหัวใจ สภาวธรรมนี่ทำลายกิเลสออกไปจากใจ เห็นสภาวะได้ต่างอันต่างจริง กายเป็นอันว่ากาย จิตเป็นอันว่าจิต มันแยกออกจากกันได้

ถ้าแยกออกจากกันได้จะไม่เกิดในอบายภูมิอีกแล้ว จะไปเกิดอีก ๗ ชาติ จะพยายามสร้างสมบุญญาธิการขึ้นมาให้เข้าไปทำลายกิเลสในหัวใจ เห็นไหมเราสร้างธรรมที่หยาบๆ แล้วธรรมจะละเอียดเข้าไป เป็นสกิทาคาผล อนาคาผล อรหัตตผล อรหัตตผลนะ ขณะที่อรหัตตมรรค อรหัตตผลทำลายกัน ขณะที่ทำลายกัน สิ่งที่ทำลายกันงานเกิดขึ้นมาอย่างนี้ไง

มนุษย์สมควรแก่ธรรมเพราะมนุษย์มีปัญญา มนุษย์มีหัวใจ มนุษย์มีครูบาอาจารย์ มนุษย์มีสิ่งที่เทียบเคียงหัวใจ มนุษย์มีทุกข์ ทุกข์มันสะเทือนหัวใจนะ ทุกข์ในหัวใจนี่สะเทือนมาก นี่ถ้ายังมีกิเลสในหัวใจมันหมักหมม มันเศร้าหมอง มันอาลัยอาวรณ์ มันสุมกินในหัวใจนะ นี่หัวใจกลัดหนองอย่าง นี้มันเป็นความทุกข์

แม้แต่พระอนาคาปล่อยวางมาทั้งหมดนะ ปล่อยวางขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด ปล่อยมาทั้งหมดเลย ปล่อยว่างหมดเลย แต่ในตัวมันเองยังไม่ว่างนี่มันยังเผาลนอยู่อย่างนี้ มันยังสุมกิเลสอวิชชาไว้ในหัวใจ นี่ไฟสุมขอนในหัวใจนะ

ถ้ามันสงสารตัวเอง มนุษย์จะสร้างธรรมอย่างละเอียดขึ้นมาในหัวใจ มันจะต้องมีสติสัมปชัญญะ สิ่งที่เป็นมหาสติ-มหาปัญญานะ เราสร้างสมของเราเข้ามา สิ่งที่เราสร้างสมเรามีวิปัสสนาขึ้นมา เราสร้างธรรมขึ้นมาในหัวใจ มันปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามาทั้งนั้นล่ะ มันปล่อยวางๆ งานอย่างนี้เอกของบุรุษนะ บุรุษที่เป็นผู้ที่เอก เอกก็มันเป็นเอโก ธัมโมไง

แต่ถ้ามันไม่เป็นเอกมันแตก มันแตกแขนงออกไป เวลามันออกมาที่ขันธ์ พลังงาน ภวาสวะคือตัวภพ เวลามันออกหาเหยื่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วแต่ออกเป็นช่องทาง แล้วก็ออกมาตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็แตกออกไป ออกไปในโลกเห็นไหม โลก...ภาษาก็กี่ภาษา สิ่งต่างๆ เป็นภาษา เป็นสิ่งต่างๆ มันแตกแขนงออกไปๆ หาเหยื่อ

ถ้าอวิชชามันหิวโหยในหัวใจนะ เวลากระแสมันพุ่งออกมาตามความต้องการของมันนะ นี่ตัณหาความทะยานอยากเป็นอย่างนั้น เราจะต้องปิดล้อม ปิดล้อมด้วยศีล ปิดล้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ปิดล้อมเข้ามา กักพลังงานตัวนี้ไว้ ถ้ากักพลังงานตัวนี้ไว้มันจะเป็นสัมมาสมาธิ มันจะเป็นพลังงานที่ย้อนกลับ ย้อนกลับเพราะมีสติ เราสร้างสมพลังงานขึ้นมาแล้วให้มันย้อนกลับเข้าไป เห็นไหมเราสร้างทั้งหมดเลยนะ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากสติสัมปชัญญะ เกิดขึ้นจากความเห็นของเรา เกิดขึ้นจากความตั้งใจความจงใจ ถ้ามีความตั้งใจหรือความจงใจนั้นเป็นมรรค

ถ้าสักแต่ว่าทำ เห็นไหมดูสิเครื่องยนต์กลไกมันใช้พลังงานได้กว่าเราอีก มันทำสิ่งที่เป็นวัตถุนะ มันออกมาเป็นสายการผลิตมหาศาลเลย มันมีความภูมิใจ มันมีความรู้อะไร มันมีสิ่งที่มันสร้างขึ้นมานี่มันมีประโยชน์อะไรกับมัน มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย เจ้าของมัน มนุษย์ต่างหากเป็นคนทำ สิ่งที่ทำขึ้นมามันออกมาเป็นสภาวะแบบนั้น นั้นสักแต่ว่า

ถ้าเราสักแต่ว่าทำเหมือนกับหุ่นยนต์ เหมือนกับเครื่องยนต์กลไก มันไม่มีชีวิตจิตใจไง สักแต่ว่า มีชีวิต มีความรู้สึก มีความตั้งมั่น แต่ขณะที่กิเลสมันมีกำลังมากกว่ามันเป็นอย่างนั้น เราถึงต้องพยายาม

สิ่งที่พลาดพลั้งคือออกไป รับรู้ออกไป ออกไปโดยสักแต่ว่า เราก็พยายามฟื้นฟูสร้างสติขึ้นมา ถ้าสร้างสติขึ้นมา เห็นไหม เป็นชีวิตกลับคืนมา เป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตรับรู้ความสุข ความทุกข์ ถ้ามีสติขึ้นมาการประพฤติปฏิบัติก็ไม่สักแต่ว่า มันก็มีความสุข ความทุกข์ ความสุขคือความถูกต้อง บุญกุศลคือสุขกับทุกข์ ความจริงมีสุขกับทุกข์นะ

เรื่องวัตถุข้าวของเงินทองตำแหน่งหน้าที่การงาน หัวโขนทั้งนั้น หลอกลวงทั้งหมดเลย สุขกับทุกข์นี่ของจริง

เพราะถ้ามันเป็นสัมมา เป็นความถูกต้องมันก็เป็นความสุข ถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันดิ้นรนมันก็เป็นความทุกข์ ความสุขกับความทุกข์เป็นความจริง สิ่งที่เป็นความจริงในหัวใจ เราอาศัยความจริงในหัวใจ นี่มันสะเทือนหัวใจ สิ่งที่เป็นความจริงมันสะเทือนเพราะมันเกิดจากหัวใจ มันทำให้หัวใจนี้มีความรู้สึก ถ้าความรู้สึก เราจับสิ่งนี้แล้วย้อนกลับ จับสิ่งนี้ ทำไมมันเป็นความทุกข์ ทำไมมันเป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดกระบวนการเสียที มันไม่สิ้นสุดกระบวนการหรอกถ้าไม่มีการชำระล้างมัน จะปล่อยให้มันสิ้นสุดเองเป็นไปไม่ได้

ถ้าพูดถึงเราปล่อยวางเข้ามาจากขันธ์อย่างละเอียดแล้ว ถ้าดับอันนี้มันก็ไปเกิดบนพรหม เกิดบนพรหมแล้วก็รอกาลเวลาสุกไปๆ เพราะสิ่งนี้ขันธ์ ๑ ไง ภาวะของจิตเป็นขันธ์ ๑ ถ้าออกมาเป็นกามภพมันเป็นขันธ์ ๕ ถ้าขันธ์ ๕ มันออกไปเป็นกามราคะไง แต่ถ้าเราทำลายสิ่งนี้เข้ามาด้วยปัญญาของเรานะ เห็นไหมการสร้างสมมันเห็นเป็นชั้นเป็นตอน มันถึงมีมรรค ๔ ผล ๔ มรรคหยาบมรรคละเอียดในหัวใจไง

การแสดงออกมาจากหัวใจนะ เพราะหัวใจมีวุฒิภาวะขนาดไหน เวลาแสดงธรรมออกมามันก็แสดงธรรมออกมาในขั้นภูมิของใจดวงนั้น จะรู้ได้สิ่งที่รู้ รู้ได้แค่ไหนอธิบายได้แค่นั้น ถ้ารู้จบกระบวนการ รู้ถึงความจริงของเขา มันจะเห็นกระบวนการไปทั้งหมด มันจะเข้าใจ เห็นหมดเหมือนผู้ใหญ่ดูเด็กเลย เด็กเล่นอะไรก็แล้วแต่เราเคยผ่านกิริยาอย่างนี้ เราเคยใช้สิ่งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากผู้ใหญ่นั้นผ่านประสบการณ์มา

จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตเด็กๆ จิตที่ไม่เป็นเด็กเลย จิตที่เป็นความเหลวไหลนี้มันเป็นเรื่องเด็กเสเพลไปเลย แต่ถ้าเด็กเริ่มเป็นคนดีขึ้นมา เริ่มสร้างสมตัวขึ้นมา จากเด็กๆ โสดาบัน จากผู้ใหญ่ขึ้นมาเป็นสกิทา จากที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอนาคา แล้วผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ไง ผู้เฒ่าผู้แก่มีประสบการณ์มหาศาล นี่คือตัวอวิชชา แล้วเราจะไปสอนให้ผู้เฒ่าผู้แก่เชื่อเรานี่ใครจะเชื่อ

อวิชชาไม่เชื่อใครหรอก อวิชชามันถือว่ามันใหญ่ มันถือว่ามันเป็นเจ้าวัฏจักร มันไม่พอใจสิ่งใด แล้วมันสร้างสม สิ่งที่เป็นผู้ใหญ่เห็นไหม สิ่งที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่เวลาเขาจะบิดเบือนเรา เขาจะบอกว่าเขาเห็นด้วยกับเรา เขารู้จักกับเรา เขาดีไปกับเรา เขาอยู่กับเรา เขาส่งเสริมเรา อวิชชาเป็นอย่างนั้น

สิ่งนี้เราก็รู้แล้ว สิ่งนี้เราก็ปล่อยวางแล้ว สิ่งนี้เราก็เข้าใจแล้ว เราก็ทำมาจนจบกระบวนการแล้ว เราก็อยู่เฉยๆ ก็จบไง เห็นไหมอวิชชานี่ร้ายกาจมาก สิ่งที่ร้ายกาจอยู่ในหัวใจนี่ไง เราถึงบอกสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้ามีความรู้สึกสิ่งนั้นเป็นสมมุติทั้งหมด สิ่งใดมีอารมณ์ความรู้สึกความสุข ความทุกข์เป็นของจริง ถ้าเราอยู่กับของจริงเราจะเห็นของจริงนะ ถ้าเราอยู่กับของปลอม ของปลอมคือสมมุติจากภายนอกปลอมทั้งหมดเลย ถ้าเราอยู่กับของจริง สุขกับทุกข์ในหัวใจนี่ของจริง แล้วเราเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นมรรคญาณเข้าไปตรวจสอบ ตรวจสอบนะ สร้างสม

นี่ทุกข์แสนทุกข์นะ เราทำหน้าที่การงาน เราทำธุรกิจทำการค้าเก็บเงินเก็บทองมามหาศาลเลย เวลามาทำบัญชีน่าเบื่อหน่ายนะ รายจ่ายขนาดนี้ รายรับขนาดนี้ สิ่งนี้เป็นกำไรขาดทุน นี่เก็บเงินเข้ามาแล้ว สิ่งต่างๆ เก็บเอาไว้ในบ้านก็แล้ว ยังต้องมาทำบัญชี

นี่ก็เหมือนกัน เราทำลายกามราคะ เราทำลายสิ่งต่างๆ เข้ามาจนถึงจุดหัวใจนะ นี่สิ่งนี้มันเป็นต้นขั้วไง สิ่งนี้เป็นกามภพ สิ่งที่เป็นตอ เป็นภวาสวะ เป็นฐานไง อนุสัย ๓ เข้าไปอยู่ที่ตรงนี้ไง นี่มันทำบัญชี มันเป็นความละเอียดอ่อน นี่เหมือนกันเราต้องทำให้มันถูกต้อง รายรับรายจ่ายนี่เป็นบัญชีนะ

แต่ถ้าเป็นพญามารล่ะ นี่ภพชาติตรงนี้ไง เข้าไปถึงฐานมันไง ทุกอย่างเกิดจากตรงนี้ไง ตัวจิตปฏิสนธิไง นี่คือปฏิสนธิจิต “อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ” มันเป็นปัจจยาการที่ไม่ใช่ขันธ์ สิ่งที่เป็นความหยาบๆ นี่เป็นขันธ์เป็นกอง สิ่งที่เป็นกองมันเป็นความหยาบออกไป ถ้าเราทำธุรกิจแล้วขาดทุน เราทำลายสิ่งนี้ไม่ได้ ถ้าเราทำลาย ธุรกิจเรากำไรขึ้นมา คือเราฆ่ามันๆ เข้ามา นี่คือกำไรของเรา

ถ้ากำไรของเราจุดนี้เป็นประโยชน์เข้ามา มันจะเป็นประโยชน์เข้ามาจนถึงต้นผู้ที่คุมนโยบาย คือผู้เฒ่าผู้แก่ที่ควบคุมบัญชีตัวนี้ไง แล้วจะทำลายบัญชีตัวนี้มันถึงย้อนกลับๆ ตลอด ความย้อนกลับนี้ ฟังนะ ว่างมาทั้งหมด ปล่อยวางวัฏฏะทั้งหมด การเกิดในกามภพทั้งหมด แต่ตัวเองยังติดตัวเองเห็นไหม ว่างมาทั้งหมดแต่ความว่างนี้มันไม่รู้จักความว่างไง มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์นะ การสร้างธรรมที่อย่างหยาบๆ มันก็แสนทุกข์แสนยาก การสร้างธรรมอย่างละเอียดยิ่งยอดเยี่ยม ยิ่งยอดประเสริฐสุดเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก ในมนุษย์นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุด ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นยอดแห่งธรรม สาวกสาวกะที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้าจะเข้าถึงธรรมตัวนี้ เราถึงต้องเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีความกระด้าง ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในหัวใจนั้น สิ่งนี้จะย้อนกลับเข้ามาถึงภายใน มันละเอียดอ่อนมาก แล้วมันจะใช้สติ มหาสติขนาดไหนย้อนกลับเข้ามาจนถึงจุดตัวนี้ได้ จุดตัวนี้เห็นไหม

อุทธัจจกุกกุจจะนี้เป็นความฟุ้งซ่านเป็นอะไรต่างๆ กุกกุจจะตัวนี้ ถ้าเป็นปัญญาที่ขันธ์กับจิตทำงานกัน กุกกุจจะคือสิ่งที่พลังงานอย่างหยาบ พลังงานอย่างหยาบมันมีขั้วบวกขั้วลบของมัน มันถึงเป็นพลังงานออกไปได้ มันต้องมีสิ่งที่กระทบ

แต่ขณะที่เป็นพลังงานอย่างละเอียดนี้ลึกลับมาก จะต้องมีความลึกลับของมันสมส่วนของเขา เราถึงต้องใช้สติสัมปชัญญะ สุดยอดของการประพฤติปฏิบัติ ความละเอียดอ่อนขลุกขลิกอยู่จากภายใน

การผ่าตัด การรักษา สิ่งที่เป็นการผ่าตัด สิ่งที่เป็นการเปลี่ยนอวัยวะจากภายใน สิ่งนี้มีความละเอียดอ่อน ต้องมีผู้ที่ชำนาญการ ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน จากการฝึกฝนขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาจนถึงจากภายใน ถึงที่สุดถ้าเรามีความเพ่งอยู่ มีความไม่สมดุล จะเป็นไปไม่ได้หรอก จะต้องมีความละเอียด จะต้องมีสิ่งต่างๆ เข้ามา นี่การสร้างอย่างนี้มันเป็นประสบการณ์นะ เป็นสันทิฏฐิโกจากภายใน ถ้าสันทิฏฐิโกจากภายในถึงสมดุลเมื่อไหร่มันพลิกตัวนี้เห็นไหม สิ่งที่พลิกตัวนี้ออกไปนี่มนุษย์ที่สมควรแก่ธรรม มนุษย์ที่สมควรแก่ธรรมต้องสร้างเหตุโดยสมควร “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ธรรมะนี้เห็นไหม

เวลาเราทำหน้าที่การงานจะต้องวิธีมีตรวจสอบ ต้องมีสิ่งต่างๆ ขณะที่เราประพฤติปฏิบัตินี้ อริยสัจ สัจจะความจริงตรวจสอบในหัวใจเราเอง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันจะกังวานในหัวใจ ถ้าสันทิฏฐิโกนี้กังวานขึ้นมาในหัวใจนะ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งนี้ สิ่งนี้ประเสริฐสุด แล้วถ้ามันไปกังวานในหัวใจมันจะซาบซึ้งมาก

สิ่งที่เป็นการตรวจสอบคืออริยสัจตรวจสอบนะ สัจจะความจริงอริยสัจจะเกิดขึ้นจากหัวใจเห็นไหม นี่แก่นของธรรม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณเกิดขึ้น เกิดนิโรธะ ความดับไป เกิดขึ้นมา ตัดตัณหาความทะยานอยาก ตัดตัวทุกข์เห็นไหม ขณะที่เกิดขึ้นมา อริยสัจเกิดขึ้นมาในวงรอบของมัน เกิดขึ้นมาโดยสัจจะของเขา มันจะรวดเร็วมาก ทีเดียวขาดออกไปจากหัวใจ พ้นออกไปนะ

ธรรมอันนี้ประเสริฐสุด ธรรมอันนี้จะไม่มีการเคลื่อนไหว

สิ่งที่มีการเคลื่อนไหวแต่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีธาตุขันธ์ สิ่งที่มีธาตุขันธ์เห็นไหม ความสุขนี่สุขที่ว่าเกิดจากความสงบ ความสงบของสมาธิก็มี ความสงบของธรรมแต่ละขั้นแต่ละภูมิก็มี แต่ถ้าถึงธรรมถึงที่สุดของใจ ความสงบอย่างนี้ไม่มีสิ่งใดเข้าไปกระเทือน สิ่งที่กระเทือนมันก็เหมือนกับบ้าน เราจะทำสิ่งใดก็เข้ามาถึงตัวบ้านนั้น ถึงตัวบ้านนั้นเท่านั้น นี่ขันธ์ ๕ ธาตุขันธ์นี่มันก็เหมือนกับตัวเปลือกนอก แต่ตัวจิตนี้เข้าถึงไม่ได้อีกแล้ว

เวลาพระโมคคัลลานะให้เขาทุบจนตาย แล้วยังไม่ได้ลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่บ้านไง ร่างกายธาตุขันธ์นี่บ้าน โจรเขาทุบจนแหลกหมดเห็นไหมแต่ไม่ถึงหัวใจเลย ถ้าเราโดนทุบ โดนทำลายบาดแผลขนาดนั้นเราจะทำความสงบของใจได้ไหม เราไม่เจ็บปวดเหรอ เขาทุบจนแหลก ร่างกายนี้แหลกหมดเลย ตาย พอโจรเขากลับแล้ว เอาใจนี้รวบรวมด้วยฤทธิ์ ให้ร่างกายนี้กลับมาเป็นปกติ แล้วก็ไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจะปรินิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “แล้วแต่สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” เห็นไหม ไม่รั้งไว้ ไม่ส่งเสริม เพราะการรั้งและการส่งเสริมนี้มันเป็นเรื่องของโลกไง แต่ถ้าตามสมควรแก่เวลาคือสัจจะความจริงไง พระโมคคัลลานะเหาะกลับมาที่เดิม คลายฤทธิ์ออก ร่างกายนั้นเป็นอย่างเก่าคือโดนทำลายเละไปหมดเลย จะมีอะไรกระทบก็แล้วแต่ จะเข้าได้แค่ขันธ์ แค่กายเท่านี้ หัวใจนี้เป็นสภาวธรรม

มนุษย์สมควรแก่ธรรม มนุษย์เป็นผู้สร้างธรรม แล้วธรรมนั้นก็จะเป็นสมบัติของมนุษย์คนนั้น เอวัง