เทศน์บนศาลา

สกุลกรรมฐาน

๒๖ เม.ย. ๒๕๕๑

 

สกุลกรรมฐาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เนื่องในโอกาสครบรอบวันมรณภาพ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ๒๖ เมษายน ๒๕๕๑
ณ วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


 

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

เทศน์เลยล่ะ เอานะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ ธรรมะเป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ เนี่ย สี่อสงไขย แสนมหากัป พยายามรื้อค้น รื้อค้นนะ การสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสรู้ธรรมวางธรรมวินัยไว้ให้เราได้เห็นหนทางไง ธรรมและวินัยนะ

วันนี้เป็นวันจัดงานครบรอบมรณะภาพของหลวงปู่ลี เจ้าคุณสำรองเห็นไหม เนี่ยเป็นต้นสกุล การทำสกุลของเราเนี่ย สกุลของกรรมฐาน กรรมฐานมีสกุล เรามีสกุลนะ เรามีสกุล เราคิดถึงปู่ย่าตายายของเรา เราคิดถึงต้นสกุลของเรา เรามาระลึกถึงคุณงามความดี ได้อาศัยใบบุญของท่าน

ต้นสกุลแท้ๆ คือองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ในป่านะ ตรัสรู้ในป่าเห็นไหม ต้นสกุลของเราคือศาสดา แล้ววางธรรมและวินัยมา ๒,๐๐๐ กว่าปีเห็นไหม แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง กว่าจะรื้อค้นขึ้นมาอีกรอบหนึ่งเนี่ย ธรรมวินัยมีเห็นไหมเนี่ย เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์นะ “อานนท์ ธรรมและวินัยนี้จะเป็นศาสดาของเธอนะ” แล้วเวลาสร้างสมบุญญาธิการมาเห็นไหม เนี่ยธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเธอ

เรากึ่งพุทธกาลก็มีธรรมวินัย หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นก็มีธรรมวินัย แต่ขณะหลวงปู่มั่นค้นคว้าอยู่นะ ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังมาก รื้อค้นเนี่ย ธรรมวินัยพระไตรปิฎกเปิดยิ่งอ่านยังไงก็งงขนาดนั้นน่ะ รื้อค้นขนาดไหนเห็นไหม ขนาดตรวจสอบ หลวงปู่มั่นท่านไปค้นคว้าของท่านเองนะ ครูบาอาจารย์ท่านเล่าต่อกันมาว่า หลวงปู่มั่นก็สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน เนี่ยเวลาจิตสงบเข้าไป ไปเห็นกายเห็นอะไรก็แล้วแต่ พอถึงแล้วมันเป็นทางตันหมด ทางตันหมด เพราะอะไร เพราะว่าเนี่ย พระโพธิสัตว์ สิ่งที่เป็นพระพุทธวิสัยมันขวางกั้นอยู่เห็นไหม ถึงต้องสละ สละสิ่งนั้นมาแล้ว มารื้อค้นขึ้นมาเนี่ย รื้อค้นเข้าไปถึงใจของตัว หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นถึงเข้าไปถึงใจของตัว พอเข้าถึงใจของตัวเห็นไหม

เนี่ยต้นสกุล ต้นสกุลอีกรอบหนึ่งกึ่งพุทธกาลนะ ในพระไตรปิฎกว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งเห็นไหม มันเจริญที่ไหน มันเจริญที่ไหนเห็นไหม ดูสิก่อนพุทธกาลเขาทำสังคายนา สังคายนาธรรมวินัย สังคายนาทางวิชาการไง แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น สังคายนาในหัวใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นมารื้อค้นในใจหลวงปู่มั่นนะ รื้อค้นขึ้นมาเห็นไหม เพราะรื้อค้นขึ้นมาเป็นความจริง เป็นความจริง เนี่ยต้นสกุล ต้นสกุลของกรรมฐาน เนี่ย สกุลกรรมฐานน่ะเกิดจากตรงนี้

เมื่อสกุลกรรมฐานเกิดขึ้นมาเห็นไหม เนี่ย หลวงปู่ลี เจ้าคุณสำรองเห็นไหม เนี่ย รับธรรมวินัยต่อๆ กันมา รับมาที่ไหน รับมาในหัวใจไง รับมาในหัวใจ ถ้าหัวใจเป็นหลักแล้ว วางธรรมวินัยเราได้ความร่มเย็นเป็นสุขจากธรรมของท่าน ท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านถึงได้สร้างหลักสร้างฐานไว้ให้เราเป็นทายาท เราเนี่ยเป็นทายาท แล้วเรานึกถึงสกุลของเรา ให้นึกถึงสกุลของเราเห็นไหม

เราทำความดีขนาดไหน ดูสิ เวลาเราสร้างคุณงามความดีเห็นไหม กับเพื่อโลกๆ เวลาสละทานขึ้นไปเพื่อสังคมให้มีความร่มเย็นเป็นสุข แต่ผู้ที่สละเป็นผู้ได้นะ หัวใจเป็นผู้ที่เสียสละ หัวใจเราเสียสละออกไปน่ะ เนี่ยเสียสละสิ่งที่หลุดมือออกไป เป็นสิ่งเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยให้กับสัตว์โลก เขาได้ความร่มเย็นเป็นสุขกับสิ่งนั้น เขามีความร่มเย็นเป็นสุข บุญกุศลตกเป็นของเรา

นี่เหมือนกัน เนี่ย ครูบาอาจารย์ของเราเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมเห็นไหม ใจที่เป็นธรรม ใจสาธารณะ ใจสาธารณะเนี่ย กว่าที่มันจะเป็นใจสาธารณะได้ ใจเนี่ยมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มนุษย์ มนุษย์ที่เกิดขึ้นมาในครรภ์ของมารดา ปฏิสนธิจิต การเกิดเป็นทารกน่ะ มันเหมือนอีกชาติหนึ่งเลย ชาติที่จิตปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ๙ เดือนนั้นก็อีกชาติหนึ่ง อีกชาติเพราะมันต้องทนทุกข์ทรมาณอยู่ในครรภ์นั้น ๙ เดือน พอ ๙ เดือนคลอดออกมาเห็นไหม เนี่ยปฏิสนธิจิต จิตที่ปฏิสนธิน่ะ เนี่ยตัวเกิดตัวนั้นไปเกิดในครรภ์ของมารดา แล้วมันเจริญวัยขึ้นมาจนครบกำหนดลอดออกช่องแคบออกมา ถึงมาเป็นเรา เนี่ยเป็นเราเจริญเติบโตขึ้นมาเห็นไหม เจริญเติบโตขึ้นมาเนี่ย แล้วจิตที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ที่มันพาเราเกิดมาเนี่ย

สิ่งที่เกิดมาเห็นไหม เกิดมาน่ะ ถ้ามีบุญญาธิการเห็นไหม มีบุญเราเกิดมาเป็นมนุษย์ จิตนี้มันต้องเกิดโดยธรรมดาของมัน มันจะอยู่ธรรมชาติของมันไม่ได้ถ้ามันยังมีกิเลสอยู่เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจิตมันไม่เคยตาย จิตมันไม่เคยตายหรอก มันเปลี่ยนวาระ มันเปลี่ยนวาระ มันเปลี่ยนวาระ นี่ไง พระโพธิสัตว์ถึงได้มีอย่างนี้ไง เพราะพระโพธิสัตว์สร้างคุณงามความดีขนาดไหน มันไม่ขาดตอนหรอก มันจะสะสมลงที่จิตน่ะ จิตเนี่ยมันจะสะสมของมัน สะสมบุญญาธิการมา

ถ้าไม่มีบุญญาธิการเห็นไหม เวลาเราภาวนากันนะ ทำไมบางคนภาวนาง่าย บางคนภาวนายาก บางคนพยายามสุดวิสัยขนาดไหนมันก็ไปไม่ได้ มันไปไม่ได้มันมีสองอย่าง อย่างหนึ่งคือสิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาบารมีอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้มันเข้มแข็งแค่ไหน มันทำจริงจังแค่ไหน

ถ้าความจริงจังของเรานะ ความจริงจังของเราไม่ได้จริงจังในขณะที่ภาวนานะ มันต้องจริงจังตั้งแต่ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของเราน่ะมันเป็นพื้นฐาน ถ้าพื้นฐานของเรามันไม่สะอาด มันไม่บริสุทธิ์ การกระทำของเราขึ้นมาเนี่ยมันจะเอาอะไรมากระทำ มากระทำไปเห็นไหม ดูสิ ดูทางวิทยาศาสตร์ที่เขาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กันเห็นไหม ในห้องทดลองของเขา ในห้องผ่าตัดของหมอเนี่ย มันต้องฆ่าเชื้อ มันต้องปลอดจากเชื้อ ถ้ามันมีเชื้อขึ้นมาเนี่ย การกระทำอันนั้นน่ะมันจะติดเชื้อ คนไข้เข้าไปเพื่อจะหายจากไข้นะ หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ถ้าเครื่องมือการผ่าตัดนั้นมันมีเชื้อมันก็ทำให้ติดเชื้อ

นี่ไง ศีลมันต้องมีเป็นปกติขึ้นมาเห็นไหม อำนาจวาสนามันมีในปัจจุบันเนี่ย หัวใจถ้ามีจุดยืนนะ หัวใจที่มีจุดยืนมันจะเข้มแข็งของมัน ถ้ามันเข้มแข็งของมันเห็นไหม ในการภาวนาเนี่ย เวลาเราทำกันเห็นไหม เนี่ย ครูบาอาจารย์ที่ทำมานะ สิ่งที่ครูบาอาจารย์จะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ใจที่มันจะมีอำนาจวาสนาบารมีมาปักหลักให้เราได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา เราได้อาศัยเนี่ย เขาต้องผ่านวิกฤตในหัวใจมา วิกฤตในหัวใจนะ ในปัจจุบันนี้มันวิกฤตรอบข้าง ดูสิ ฝนตกฝ้าร้องแดดออกเนี่ยมันเป็นความร้อน มันเป็นความเฉอะแฉะ มันเป็นความที่เราไม่พอใจสักอย่างหนึ่งเลย ไอ้นี่มันเป็นสิ่งแวดล้อมภายนอกหรอก

แต่นี่เราภาวนาเห็นไหม ในทางจงกรม ในการนั่งสมาธิภาวนา ในการกระทำของเรา มันอึดอัดขัดข้องไปในหัวใจทั้งหมดเลย เนี่ย แล้วสิ่งที่อึดอัดขัดข้องในหัวใจเนี่ย เราต้องผ่านวิกฤตอย่างนี้ไป ครูบาอาจารย์ต้องผ่านวิกฤตอย่างนี้มา ในปัจจุบันนี้ในการประพฤติปฏิบัติ วิกฤตอย่างนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค เขาว่ากันนะ เขาว่าวิกฤตที่มันเกิดจากใจที่เกิดจากการภาวนา เป็นอัตตกิลมถานุโยค ไม่ต้องไปทำมันหรอก ปฏิเสธมันเฉยๆ ก็เป็นนิพพานแล้ว

ปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ให้เกิดขึ้น สิ่งที่อึดอัดขัดข้องในใจ พอให้มันผ่านไป มันก็พ้นจากกิเลสแล้ว เนี่ยๆ ธรรมะปฏิรูปไง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านผ่านวิกฤตนั้นอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลโดยความปกติของใจ มันเป็นความปกติของมัน ถ้ามันมีสติควบคุมของมัน คนที่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม ดูสิ บางคนจิตใจเข้มแข็ง เขาไม่วอกแวกวอแวนะ แต่ใจของคนที่มีกิเลสนะ มันเจอสิ่งใดน่ะมันไปหมด

ธรรมชาติของจิตมันเป็นธรรมชาติของธาตุรู้ ธาตุรู้เนี่ยมันมีพลังงานของมัน พลังงานของมันมีอวิชชา อวิชชาคือยางเหนียว โดยธรรมชาติของมัน มันจะต้องแสดงตัวออกตลอดเวลา แล้วมันยึดมั่นถือมั่นไปทั้งหมดเลย แต่เราเอาความเป็นปกติของมัน คือ ศีล เข้าไปควบคุมมัน ศีลจะควบคุมมันได้ด้วยความจริงจังของเรานะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเนี่ยมันจะเป็นความปกติของใจ เนี่ยสิ่งที่เราขอศีล ขอศีลกันน่ะ ศีลมันเป็นการขอ เป็นการอาราธนาเอา สิ่งนี้มันเป็นพิธีกรรม เป็นพิธีกรรมนะ

เนี่ยพุทธมามกะ ต้องปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธ การปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธเนี่ย การปฏิญาณตนเห็นไหมเป็นพุทธมามกะ เพื่อให้เด็ก เพื่อให้สังคมของเรา สังคมเป็นศีลธรรม จริยธรรม มันเป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมมันเป็นเรื่องการปลูกฝัง การปลูกฝัง ของโลกเห็นไหม การปลูกฝังของโลกให้ศาสนามันมั่นคง ศาสนาของเราไม่มั่นคงเพราะ... เพราะเราไปเอากิเลสไปตีความธรรมะ เห็นไหม องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ทุกคนจะปล่อยวาง ทุกคนจะเรียบง่าย ทุกคนจะไม่รับผิดชอบอะไร คนที่ไม่รับผิดชอบ ไม่ทำอะไรนั้น นั่นคือความถูกต้องของกิเลส มันไม่ใช่ มันไม่ใช่หรอก

เราต้องทำ ต้องมีการกระทำนะ สิ่งที่การกระทำเห็นไหม ศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรมเห็นไหม เราก็ต้องวางให้เด็กมันได้ฝึกหัด สิ่งที่เด็กมันฝึกหัดเข้าไปเนี่ยมันเข้าไปคลุกคลี เข้าไปวัดไปวา มันก็ได้เข้าไปใกล้ศีลธรรม ใกล้ศีลธรรมเห็นไหม เนี่ยมันทำบุญกุศล มันก็ได้ฟังธรรม ฟังธรรมมันก็ตอกย้ำหัวใจไง ธรรมที่เราเข้าใจ ธรรมที่เรารู้ ธรรมที่เราคิดว่ามันถูกต้อง แล้วครูบาอาจารย์ท่านเทศน์มามันขัดแย้งไหม ถ้ามันขัดแย้งเนี่ย ครูบาอาจารย์ท่านไม่มีวุฒิภาวะเลยหรอ เนี่ยความรู้ของเราเป็นความรู้ที่เรารู้ เรามีความรู้ เรามีความเข้าใจ สิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรมน่ะกิเลสเต็มหัวเลย กิเลสเต็มหัวเพราะอะไร เพราะมันไม่มีกิจจญาณ มันไม่มีการกระทำ มันไม่มีหัวใจเห็นไหม

ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์เจริญมาก การศึกษาธรรมขึ้นมาศึกษาโดยปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาคือปัญญาเกิดจากภพ เกิดจากจิต เกิดจากอวิชชา สิ่งที่ว่าเป็นปัญญา ปัญญาที่เขาใคร่ครวญที่ว่าเนี่ย ปัญญานี้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ใช้ปัญญากัน คอมพิวเตอร์มันวิเคราะห์ มันทำการวิจัยได้ดีกว่ามนุษย์อีก คอมพิวเตอร์นะเดี๋ยวนี้เขาสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อจะทำการวิจัย ดีกว่ามนุษย์ ดีกว่ามันสมอง ดีกว่านะ แต่มันสมองน่ะใครเป็นคนสร้าง มันสมองคอมพิวเตอร์เนี่ยก็มนุษย์เนี่ยสร้าง สมองหรือนักวิทยาศาสตร์นี้สร้างมันขึ้นมา สร้างมันขึ้นมาแล้วก็ต่อยอดมันขึ้นมา ให้มันสร้างสถานการณ์ สร้างโครงการขึ้นมา เพื่อขึ้นมาทำการวิจัย ทำการวิจัยขึ้นมาก็เป็นประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับโลกเห็นไหม

ดูสิ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา เทคโนโลยีสิ่งต่างๆ ที่เราใช้เนี่ย มันเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่เป็นประโยชน์เนี่ยมนุษย์คิดขึ้นมาคนเดียว แต่คนทั้งโลกอาศัยใช้สอยนะ คนทั้งโลกอาศัยใช้สอย แล้วสิ่งที่เราคิดกันเนี่ยมันเป็นปัญญาอะไร มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดจากอวิชชา ปัญญาที่กิเลสมันพาใช้ สิ่งที่กิเลสพาใช้ กิเลสมันจะไปฆ่ามันไหม กิเลสไม่ยอมไปฆ่ามันหรอกเพราะมันเป็นปัญญาที่มันเอาสิ่งนั้นเป็นอาวุธใช้งานไง ปัญญาที่มันใช้กันอยู่นี่ มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาของภพ ปัญญาของฐานที่ตั้ง

จิต ความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากจิต จิตมันอยู่ที่ไหน จิตมันอยู่ที่ไหน จับจิตที่ไหน เวลาภาวนากันเนี่ยปล่อยวางๆ เนี่ย ปล่อยวางแบบปฏิเสธน่ะ ปล่อยวางจนเป็นมิจฉา ปล่อยวางจนปล่อยวางจิตของตัว ปล่อยวางไปหมดเลย ปล่อยวางแบบขี้ลอยน้ำ ปล่อยวางแบบไม่มีเจ้าของ ปล่อยวางอย่างนี้ไม่มีสติ ไม่มีการควบคุม มันเป็นเรื่องโลกๆ หมดนะ

เนี่ยโลกคิดกันอย่างนั้นเห็นไหม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา มันเป็นโลกียปัญญาเนี่ย ปัญญาของโลก ปัญญาของการศึกษาธรรม ศึกษาขึ้นมาให้มีความเข้าใจ มีความเข้าใจแล้วต้องมีการดัดแปลงตน ถ้ามีการดัดแปลงตนนะ เนี่ยสกุลกรรมฐานมันจะเกิดที่นี่ ฐานที่ตั้งแห่งการงาน กรรมฐานไง

กรรมฐานเราเนี่ยครูบาอาจารย์ท่านผ่านวิกฤตของท่านมานะ เนี่ยเป็นสกุลของเรา เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นผู้บุกเบิกมา เป็นผู้ที่ค้นคว้าขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมานะ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี เนี่ย ปัญจวัคคีย์อุปัฎฐากอยู่ สุดท้ายแล้วนะ ทำยังไงมันก็เป็นเรื่องของโลกเห็นไหม ถึงที่สุดแล้วเนี่ย กลั้นลมหายใจ อดอาหารขนาดไหนนะ จนรากขนเน่าเลย จนขนหลุดเห็นไหม

เนี่ย สิ่งต่างๆ มันทำไปเพราะอะไร เพราะทำโดยวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือเข้าใจว่ากิเลสอยู่ที่เรา เราก็คือร่างกาย คือความรู้สึก ก็อดกลั้นลมหายใจ มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเข้าไม่ถึงใจ พอมันเข้าไม่ถึงใจเนี่ย ทำถึงที่สุดวิกฤตแล้ว อย่างนี้ไปไม่รอด เนี่ย น้อมกลับมาฉันอาหารของนางสุชาดา เนี่ยนางสุชาดานะ ทานในศาสนานี้ เป็นที่ว่าประเสริฐที่สุดมีอยู่สองคราว

คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนางสุชาดาเราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คราวหนึ่งเราฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน ขันธ์เป็นเศษส่วน สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มีเศษส่วน มีธาตุขันธ์ แล้วฉันอาหารของนายจุนทะ เห็นไหมนายจุนทะถวายอาหารองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมื้อสุดท้ายไง แล้วเวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานน่ะ พระพุทธเจ้าวิตกขึ้นมาว่า ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วเนี่ย ประชาชนเขาจะติเตียนนายจุนทะ ว่าเพราะฉันอาหารของนายจุนทะ อาหารเป็นพิษ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เนี่ยเขาจะไปติเตียน

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยดักหน้าไว้เลย บอกเลยว่า ทานมีความสำคัญอยู่ ๒ หนในศาสนานี้ หนหนึ่งของนางสุชาดา เราฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพาน เราฉันอาหารของนายจุนทะถึงซึ่งขันธนิพพานเห็นไหม เนี่ยพอฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วเนี่ย ร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่ฟื้นฟูขึ้นมาแล้วย้อนกลับมาไง ย้อนกลับมากำหนดอาปานสติ ที่โคนต้นหว้า ที่ตอนเป็นราชกุมารเคยได้ระลึกถึง อาปานสติมันเป็นลมหายใจ จิตมันเกาะอยู่ที่ลมหายใจ

อาปานสติ ลมมันเป็นอาปานสติเหรอ ถ้าลมมันเป็นอาปานสติ พายุมันก็เป็นอาปานสติ สิ่งที่ลมพัดลมเพน่ะ มันเป็นอาปานสติ มันไม่เป็นหรอก อาปานสติจะเป็นต่อเมื่อจิตมันกำหนด จิตมันรู้ลม กำหนดลมเข้าไปน่ะ จิตเนี่ยมันรู้ลม ถ้าไม่มีจิตรู้ลม ลมก็พัด ลมมันพัดอยู่นี้มันเป็นอาปานสติไหม ไม่เป็นหรอก ลมมันก็พัดอยู่น่ะ ลมข้างนอกมันเป็นลม แต่จิตที่มันไปเกาะเห็นไหม เนี่ยกรรมฐาน กรรมฐานคือตัวจิต กรรมฐานคือตัวทุกข์ กรรมฐานคือตัวรับรู้ มันเกาะลมอยู่เห็นไหมแล้วมันสงบเข้ามา เนี่ยมันเป็นตัวตน กรรมฐานเนี่ย พอจิตสงบเข้ามาเห็นไหม เนี่ยบุพเพนิวาสานุสติญาณ เข้าไปถึงข้อมูลของจิต ในเมื่อจิตมันสงบเข้ามาไปถึงตัวของมันเห็นไหม มันมีข้อมูลของมัน

เนี่ย ตั้งแต่พระเวสสันดรออกไป เพราะอะไร เพราะสร้างบุญญาธิการมา สร้างมาๆ เห็นไหม เนี่ยพระโพธิสัตว์สร้างมา มันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันไม่จบหรอก ย้อนกลับขึ้นมา นี่พุทธวิสัยนะ แล้วนี่ในปัจจุบันนี้การประพฤติปฏิบัติเนี่ย พอใครเข้าไปรู้อะไรเข้า ตื่นเต้นๆ เนี่ย นี่ยังไม่เข้าเลย เพราะมันเป็นปฐมยาม มันไม่ใช่ มันยังไม่เข้าไปถึงอวิชชา เนี่ยกำหนดเข้าไปถึง มัชฌิมายามเห็นไหม จุตูปปาตญาณ จิตนี้ถ้ายังไม่ถึงสิ้นกิเลส มันจะต้องไปเกิดไปตายโดยธรรมชาติของมัน

เนี่ยธาตุรู้ เนี่ยธาตุที่มีชีวิต สสารที่มีชีวิตเนี่ย สสารอย่างทั่วไปเนี่ย สสารเป็นธาตุ เป็นแร่ธาตุ แต่จิตเนี่ยเป็นธาตุรู้ ธาตุที่เป็นสันตติมันเกิดดับๆๆ มันไม่เคยตาย แล้วมันมีวิชาครอบงำมันอยู่ พอครอบงำมันอยู่เนี่ย มันจะต้องไปเกิดในจุตูปปาตญาณ จุตูปปาตญาณคือญาณที่เห็น แต่จุตูปปาตญาณมันก็เป็นสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ตัวจิต ตัวไปเกิดหรอก ก็ตัวจิตก็ที่ตัวเกิด มันจะไปเกิดไปตายเป็นธรรมชาติของมัน ในธรรมชาติของมัน จะเป็นสภาวะแบบนี้เห็นไหม มันไปมันก็ไม่จบอีก

ทุกดวงใจที่ยังทำบุญกุศลกันอยู่เนี่ย ตายเดี๋ยวนี้มันก็ไปเกิดอีกโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันมันต้องไปเป็นธรรมดา เนี่ย สิ่งนี้มันก็เป็นวัฏฏะไง เนี่ย มันก็เข้าไม่ถึงฐาน มันก็ไม่ใช่กรรมฐาน ไม่มีสกุลรุนชาติ แต่ขณะที่เข้ามาถึงตัวใจเห็นไหม เนี่ยอวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญานัง ตัวจิตเห็นไหม เนี่ย อาสวักขยญาณเข้าไปทำลายกันที่นั่น ถ้าเข้าไปทำกันที่นั่นเห็นไหมนี่ เนี่ย วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เนี่ยกรรมฐาน

ถ้ากรรมฐานที่นี่เห็นไหม เนี่ยมันเข้า มันมีการตัวทำ เนี่ย ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาแห่งปัญญามันเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดจากจิตเนี่ยสงบ จิตนี้เป็นจุดยืน จิตเนี่ยเป็นฐานที่ตั้ง จิตรู้จักหรือยัง รู้จักจิตไหม ว่าจิตๆๆ นั้นมันคืออะไร เนี่ยจับไปที่มนุษย์เนี่ย จับไปที่ไหนมันความรู้สึกทั้งหมดเลย ความรู้สึกมันแผ่ออกมาที่ร่างกายนี้ไง

ขณะที่จิตมันสงบเข้ามานะ กำหนดพุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิก็แล้วแต่ จิตนี่มันสงบได้ ขณะที่สงบได้จิตมันทิ้งกายเข้ามาหมดเลย เป็นตัวของมันโดยอิสรภาพ อิสรภาพมันไม่รับรู้กายนะ มันไม่รู้กายหรอก ดูสิ ดูฝ่ายมหายานเขาเนี่ยเวลาเขาถอดจิตเห็นไหม เวลาเขาถอดจิตเขาบอกว่า ถอดเหมือนเปลือกกล้วยเลย ถอดเหมือนกับเราปอกกล้วยเห็นไหม เปลือกกล้วยกับกล้วยไม่ใช่อันเดียวกัน

นี่ก็เหมือนกัน กายกับจิตมันไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ในเมื่อสภาวะที่มันเกิดมา จิตนี่มันเกิดมาเนี่ยด้วยบุญกรรมเห็นไหม มันเกิดมาเนี่ยมันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สามัญสำนึกของเทวดา สามัญสำนึกของอินทร์ ของพรหม เห็นไหม เขาก็เป็นสามัญสำนึก เพราะมันเป็นวัฏฏะ จิตนี่วัฏฏะ จิตที่ไม่เคยเกิดเคยตาย มันเวียนตายเวียนเกิดในธรรมชาติของมัน เนี่ย การเวียนตายเวียนเกิดในธรรมชาติของมันเนี่ย มันเป็นธรรมชาติของครูบาอาจารย์ที่ท่านเห็น

ขณะที่เราศึกษาเนี่ย เราศึกษาขึ้นมา ศึกษาขนาดไหน อวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาไม่เข้าใจ มันก็ต้องมีแรงต่อต้าน ความต่อต้านของกิเลสมันธรรมชาติของมัน แรงต่อต้านของกิเลส กิเลสมันอยู่ในหัวใจเนี่ยมันเป็นใหญ่ ถ้ากิเลสเป็นใหญ่เห็นไหม แล้วพอกิเลสเป็นใหญ่เนี่ยไปศึกษาธรรมกัน ธรรมะนี่ก็เป็นอาวุธของกิเลสไง นี่ว่าง ว่าง ว่าง ทุกอย่างก็ว่างหมดเลย ไม่รู้ตัวเอง สมบัติไม่ใช่ของเรา เราผ่านไปธนาคารชาติ เงินกี่แสนล้านในธนาคารชาติก็เป็นของใคร มันเป็นสาธารณะนะ ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมสาธารณะ ถ้าธรรมของเราล่ะ ธรรมของเราก็ต้องเป็นสมาธิของเรา ปัญญาก็ต้องเป็นปัญญาของเรา ความรู้ของเรา ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปัญญามันหมุนเข้ามาเห็นไหม

ปัญญาที่ใช้กันในโลกนี่เป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาผลของมันคือสิ้นสุดของมัน ถ้ามีสติ มันจะเป็นสมถะ สิ่งที่เป็นสมถะ เพราะอะไร เพราะคิดแล้วมันว่าง คิดแล้วมันปล่อยวาง คิดแล้วมันรู้สึกตัวมันเอง แต่ถ้าคิดแล้วมันเฉยๆ คิดแล้ว ว่างๆ ว่างๆ เพราะมันขาดสติ เราไม่มีสติตามความคิดไป ถ้ามีสติตามความคิดไปเนี่ย ความคิดมันหยุดได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเพราะกิเลสของเราเนี่ยมันไปยึด ถ้ามันเป็นธรรมดา ทุกข์ทำไม ถ้ามันเป็นธรรมดาสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากอารมณ์ความรู้สึก เราโกรธทำไม ถ้าเป็นธรรมดาขึ้นมาเนี่ย แล้วทำไมเจ็บปวดทำไม ร้องไห้ทำไม ทำไมไม่ธรรมดาล่ะ

เนี่ยบอกว่าทุกข์ก็ไม่มี ธรรมดาก็ไม่มี มีความสุขหมด ก็ปฏิเสธมันสิ ปฏิเสธความทุกข์ซะ ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นมา ปฏิเสธมัน แล้วปฏิเสธได้ไหม มันปฏิเสธไม่ได้ เพราะคำปฏิเสธเนี่ยมันเป็นเปลือก ส้ม-เปลือกส้ม เปลือกส้มน่ะ เราจับไปที่ไหนมันก็ถึงเปลือกส้ม ไม่ถึงตัวส้มหรอก สิ่งที่เป็นความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดเป็นความคิด ใจเป็นใจ ถ้าความคิดเป็นใจ เวลาความคิดมันหายไป เนี่ยใจมันอยู่ที่ไหน ความคิดมันเกิดดับนะ มันเกิดดับ มันเกิดดับ มาลอยๆ ไม่ได้หรอก มันต้องมีที่มาที่ไป

ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้า มันมีเหตุมีผล มีเหตุมีปัจจัย เพราะมีเหตุมีปัจจัยมันถึงเกิดสภาวะแบบนี้ขึ้นมา สิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยเห็นไหม ความคิดมันก็ต้องมีที่มา ความคิดมันมาจากไหน มันก็มาจากพลังงานอันนั้นไง มันมาจากจิต ความคิดมันมาจากจิตแล้วมันดับมันดับไปไหน เวลามันดับมันดับไป จิตมันเหลืออยู่ที่ไหน มันไม่มีไม่เห็นไม่รู้อะไรเลย

แต่ถ้าเป็นกรรมฐานนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธเข้าไปน่ะ มีคำบริกรรม สิ่งที่คำบริกรรมเนี่ย ความคิดกับคำบริกรรม เราจากที่มันเป็นความคิด เราเอาความคิดมาอยู่ที่คำบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ เนี่ย ไม่ให้ความคิดมันสืบต่อ ความคิดมันคิดต่อเนื่อง คิดแต่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกมันคิดออกไปเรื่อยๆ มันคิดแล้วให้แต่ความทุกข์มาเห็นไหม แต่มันคิด พุทโธ ๆ ๆ เนี่ย มันตรึกในธรรม พุทโธ ๆ เห็นไหม เนี่ย ปฐมฌาน วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์

พุทโธ ๆ มันคือวิตก วิจาร วิตก วิจาร กับความคิดมนุษย์ ความคิดมนุษย์มันคิดโดยธรรมชาติของมันเห็นไหม มนุษย์คิดโดยธรรมชาติของมัน คิดแล้วเอาคายพิษ คิดโดยอวิชชา คิดแล้วนะเหยียบย่ำตัวเอง เอาความคิดเอาผลของความคิดเหยียบย่ำตัวเอง องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทุกข์ควรกำหนด แต่บอกเนี่ย ทุกข์ ทุกข์กัน บ่นว่าทุกข์ แต่ไม่เห็นทุกข์ เห็นแต่สิ่งที่มันคายทุกข์ไว้ไง มันคิดแล้วนะ แล้วมันเจ็บปวดนะคือทุกข์ แต่สิ่งที่มันเป็นตัวทุกข์ มันไม่เคยเห็น มันเลยไม่เห็นอริยสัจไง ไม่เห็นอริยสัจเพราะอะไร เพราะไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักเจ้าของ ไม่รู้จักกรรมฐาน ไม่มีสกุลรุนชาติ ถ้ามีสกุลรุนชาติมันจะต้องรู้จักตัวเอง รู้จักตัวเองเห็นไหม เนี่ย ครูบาอาจารย์ท่านมีฐานของท่าน ท่านมีสตินะ

เนี่ยองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นสิ่งนี้มาอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐาน พื้นฐานเพราะอะไร พื้นฐานเพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธกับอาฬารดาบสมาแล้ว อาฬารดาบสเห็นไหม เนี่ยเจ้าชายสิทธัตถะค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ไปเรียนกับอาฬารดาบสเห็นไหม เข้าสมาบัติ ๘ ได้ อาฬารดาบสบอกเนี่ย เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา เป็นศาสดาเป็นอาจารย์สอนได้ สอนให้สำนักนี้ รับรองเลย แต่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธ ปฏิเสธเลย เพราะอะไร เพราะมันสงบเฉยๆ สมาธิมันสงบเฉยๆ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันเป็นสมาธิที่ส่งออก

จิตมันสงบเข้ามาเนี่ย มันรู้นอกรู้ใน รู้นอกคือเห็น รู้แล้วเห็น เห็นสิ่งต่างๆ ขณะที่มันรู้ว่างๆ เนี่ยมันรู้นอก รู้ว่างเพราะอะไรว่าง พอเราความคิดขึ้นมามันฟุ้งซ่าน มันฟุ้งซ่านมาก คิด ๆ ๆ ๆ ความคิดมันก็คิดไปตามธรรมชาติของมัน แล้วมันคิดในธรรมะ มันตรึกในธรรมะ มันก็ปล่อยวางในตัวมันนะ มันรู้ว่างแต่มันไม่ว่าง มันรู้ว่างเห็นไหม ฌานสมาบัติส่งออก เนี่ย รู้นอก รู้ว่าง รู้นิมิต รู้เห็นสิ่งต่างๆ เนี่ย

เดี๋ยวนี้นะสิ่งที่เป็นอภิญญา เนี่ยวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้หมดแล้ว เหาะเหินเดินฟ้าเนี่ย เหาะเหินเดินฟ้าขึ้นเครื่องบินได้หมด หูทิพย์ตาทิพย์ โทรศัพท์ได้หมด ทุกอย่างเทคโนโลยีพิสูจน์ได้หมดเลย แต่เทคโนโลยีพิสูจน์ใจไม่ได้! พิสูจน์ภพชาติไม่ได้! พิสูจน์ถึงชีวิตไม่ได้! ชีวิตนี้มาจากไหน วิทยาศาสตร์ทุกคนงงหมด นั่งอยู่เนี่ยมากันจากไหน

นั่งอยู่เนี่ยมาจากกรรมนะ กรรมอยู่กับจิต จิตมาเกิดกับพ่อกับแม่ พ่อแม่เป็นประเทศอันสมควร ประเทศน่ะ เกิดเป็นมงคล ๓๘ ประการ เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ท้องพ่อท้องแม่ที่เป็นสัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐินี่พาเข้าวัดเข้าวาเห็นไหม เนี่ยเกิดในพุทธศาสนา พุทธศาสนาเห็นไหม เนี่ยประเทศอันสมควรไง เกิดถ้าคนมีบุญกุศลเกิด เกิดขึ้นมาแล้วมีโอกาสไง แต่ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว เนี่ยมีบุญเกิดในประเทศอันสมควร แต่อำนาจวาสนาเราไม่สมควร อำนาจวาสนาของเรามันไม่เข้าใจ เนี่ย มันเป็นมดแดงเฝ้ามะม่วงไง มันเห็นอยู่ มันรับรู้อยู่เห็นไหม

เนี่ย สิ่งนี้สิ่งที่พาตายพาเกิดนะ นี่สิ่งที่รู้นอกมันรู้ออก จิตสงบแล้วยังไงมันก็รู้ออก แต่ถ้ามันรู้ใน มันรู้อริยสัจเห็นไหม เนี่ยกรรมฐาน สกุลของกรรมฐานนะ มันจะเข้าไปชำระล้างใจ ถ้ามันชำระล้างใจนะ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เนี่ยเป็นบริษัท ๔ เป็นเจ้าของศาสนา เป็นญาติกันโดยธรรม เป็นญาติกันโดยธรรมนะ เราเป็นญาติกันโดยสายเลือด คนเกิดมาในสายเลือดเห็นไหม เกิดในสายเลือดเป็นญาติในตระกูล เกิดมาเป็นญาติธรรม ญาติธรรมเพราะมีปากและมีท้อง ต้องเกิดและต้องตายเท่ากันหมด

เนี่ย สิ่งที่เป็นญาติโดยธรรม แต่เราไม่รู้จักญาติโดยธรรม ถ้าญาติโดยธรรม สิ่งที่เป็นญาติกันโดยธรรม เพราะมีสิทธิเหมือนกัน มีร่างกายและหัวใจ มีร่างกายที่บีบคั้น โรคหิวเป็นโรคประจำตัว โรคภัยไข้เจ็บเนี่ยเป็นโรคข้างนอก โรคจากที่มันเกิดการบกพร่อง เกิดจากร่างกายเสื่อมสภาพ เกิดจากกรรมเห็นไหม สิ่งที่เกิดน่ะ โรคอย่างนี้มันเกิดเป็นครั้งเป็นคราว แต่โรคหิวเนี่ยเกิดประจำ โรคหิวเนี่ย นี่ไงเป็นญาติกันโดยธรรม

แล้วญาติโดยธรรม แล้วเราได้เห็นธรรมไหม เพราะไม่มีฐาน ไม่มีฐานเลยไม่รู้ ไปเที่ยวกรรมฐานเห็นไหม ไปดูไปเที่ยวป่าช้า ป่าช้ามันกายนอก กายนอกเหมือนกับคนที่เขาเดินทางน่ะ เขาเห็นอุบัติเหตุ เขาเห็นอุบัติเหตุเห็นไหม เขาเห็นคนตาย คนที่เป็นอุบัติเหตุ เขาเห็นแล้วเขายังสยดสยอง สยดสยองนะ สยดสยองมันไม่ใช่ธรรมสังเวช มันเป็นความสยดสยอง มันเป็นการกระเทือนใจชั่วคราว

แต่ถ้าเห็นกายในนะ กายมันจะสงบเข้ามา กายนอก กายใน กายในกาย กายนอกไปเที่ยวป่าช้าไง เนี่ย ในวิสุทธิมรรคให้ไปเที่ยวป่าช้า ให้เดินไปเหนือลม ไปถึงแล้วมองซากศพแล้วหลับตา แล้วภาพนั้นติดไหม ถ้าภาพนั้นติดให้กลับมา กลับมาที่อยู่นะแล้วภาพนั้นติดไหม ถ้าติดให้ขยาย ภาพนั้นคือ อุคคหนิมิต ถ้ารู้นอก รู้สภาวะต่างๆ รู้สิ่งต่างๆ รู้นอกมันเหมือนกับเราดูทีวีน่ะ เราไปดูทีวี เราไปดูข่าวสาร มันเป็นข่าวสารจากคนอื่น มันเป็นข่าวสารจากคนอื่นแต่เรารู้เราเห็น เรารู้ข่าวสาร เรารู้เข้าใจสิ่งต่างๆ เรารู้จากข้างนอก

แต่ขณะที่จิตมันเห็นกายนะ มันรู้ใน รู้ในเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราเห็น เราไปดูกายมาเนี่ย แล้วมันติดภาพมา ติดภาพขึ้นมาเนี่ยเป็น อุคคหนิมิต ถ้าเป็นอุคคหนิมิตนะ การสะเทือนหัวใจ นี่ไงกรรมฐาน ฐานมันอยู่ที่เรา ฐานมันอยู่ที่ใจ ฐานมันอยู่ที่ใจกิเลสมันอยู่ที่ใจ ขณะที่กิเลสมันเป็นฝ่ายรู้ เห็นไหมอุคคหนิมิตแล้วแยกส่วนขยายส่วน การแยกส่วนขยายส่วนคือ วิภาคะ เนี่ย การแยกส่วนขยายส่วนออกไป วิภาคะ สิ่งที่วิภาคะคืออะไร คือสิ่งที่มันยึดติด ความยึดติดในอุปทานนะ

โดยธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า การเกิดและการตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาของพระอรหันต์ เป็นเรื่องทุกข์ของเรา เนี่ยการเกิดการตายเป็นธรรมดา สิ่งต่างๆ ก็เป็นธรรมดา แล้วมันธรรมดาไหม มันไม่ธรรมดา เพราะมันมีอุปาทาน สิ่งที่เป็นอุปาทานในหัวใจเนี่ยมันยึดมั่นถือมั่นใจ เนี่ย ฐานมันสกปรก มือมันสกปรก แต่ปากมันว่าสะอาด ปากคือธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พูดธรรม แสดงธรรม ธรรมทั้งนั้น ธรรมสาธารณะ ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ใช่ธรรมของเรา ถ้าธรรมของเรามันจะทำให้ใจเนี่ยสะอาด สะอาดเพราะอะไร มันวิภาคะ มันแยกส่วนขยายส่วน

การแยกส่วนขยายส่วน สิ่งที่เกิดเห็นไหม นี่ โดยสามัญสำนึกของคน เนี่ย ร่างกายนี้ต้องเป็นเรา แม้แต่สมบัติที่เราหามาเรายังว่าเป็นของเรา ยศฐาบรรดาศักดิ์ เราว่าเป็นของเรา นั่นเป็นหัวโขน เรายังว่าเป็นของเรา แล้วร่างกายของเราจริงๆ ทำไมไม่เป็นเรา มันเป็นโดยสมมุติ มันเป็นโดยอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนานะเราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรอก มนุษย์สมบัติเห็นไหม การเกิดเป็นมนุษย์เนี่ยมันมนุษย์สมบัติ เพราะมันมีบุญกุศลถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ จิตจะเกิดอีกมหาศาล จิตจะเกิดตลอด เมื่อก่อนว่าทำไม ๑๖ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคน จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง แล้วทำไมมันเพิ่มมา มันมีมาจากไหน สิ่งที่เกิดนี้มันนั่งมาจากไหน

ดูสิ ดูแมลงสิ ดูสิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตสิ จิตหนึ่ง ถ้าแมลงไม่เกิดเป็นคน ทำไมพระสมัยพุทธกาลที่ว่าตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นล่ะ ทำไมมนุษย์ไปเกิดเป็นเล็น ทำไมโตเทยยพราหมณ์ไปเกิดเป็นสุนัข เนี่ยมันเวียนตายเวียนเกิด บางคนคิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะเกิดเป็นมนุษย์ทุกๆ ชาติไป เพียงแต่ทุกข์ยากหรือสุขสบาย ไม่ใช่! วัฏฏะมันไม่เป็นอันเดียวหรอก วัฏฏะมันหมุนไป วัฏฏะมันหมุนไปๆ วัฏฏะมันเป็นมิติ เป็นที่รองรับ เป็นที่พักของจิต จิตมีบุญมีกรรมเนี่ยมันแล้วแต่กรรมพาเกิด กรรมพาเกิดมันไปตกที่วาระไหน มันก็ได้สถานะนั้น สิ่งที่ได้สถานะนั้น แล้วในปัจจุบันในการที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันเกิดยากนะ มันเกิดยาก

ครูบาอาจารย์บอกชีวิตมนุษย์เนี่ย แว็บเดียวนะ แว็บเดียวจริงๆ โอกาสตั้งแต่เกิดจนตายเนี่ย ๑๐๐ ปี ไม่ถึง ๑๐๐ ปี เราว่าอายุเรายืนกันมากนะ อายุเรายืนกันมาก แล้วใช้ชีวิตโดยไม่รู้จักเวลาว่ามันมีคุณค่าไง เวลาครูบาอาจารย์เราอยู่ป่าอยู่เขานะ เนี่ย ท่านจะให้สงบ ท่านจะให้สงัด ท่านจะให้วิเวก เพื่อจะทุกคนให้มีโอกาสค้นคว้าเข้ามา เข้ามาถึงมีโอกาสในการภาวนาเห็นไหม เพราะเวลามันสำคัญมาก หายใจเข้าและหายใจออก มันตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เนี่ยบุญกุศลมันพาอยู่นะ เราถึงยังมีชีวิตสืบต่อมา ถ้ามีสืบต่อมา เนี่ย หลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่า “หายใจทิ้งเปล่าๆ” หายใจเข้าและหายใจออกน่ะ ถ้าไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจเข้าต้องนึก “พุท” หายใจออกต้องนึก “โธ” ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ ไง

เนี่ย แล้วเวลาปฏิบัติกันนะ ว่าเราจะปฏิบัติไม่ได้ เราไม่มีอำนาจวาสนา แล้วการเกิดเป็นมนุษย์เนี่ยมีอำนาจวาสนาไหม การเกิดมนุษย์เห็นไหมเป็นอริยทรัพย์ มนุษย์สมบัติเนี่ยเป็นอริยทรัพย์เพราะ.. เพราะมนุษย์สมบัติมีร่างกายบีบคั้น เป็นเทวดา อินทร์ พรหมนะ สถานะของเขานะมันเป็นทิพย์ เขาไม่ต้องแสวงหา เขาไม่ต้องเดือนร้อน เขาอยู่ของเขาจนหมดอายุขัย เป็นวาระของเขาเท่านั้นเอง

แต่ของเรานะเราต้องแสวงหา เราต้องรักษา เราต้องทุกอย่างเลย เนี่ยมันคืออะไร มันคือ.. บอกไงว่าเนี่ย มันต้องหาอยู่หากิน มันต้องทุกข์ต้องร้อนไง พอทุกข์พอร้อนเนี่ยเราก็วิตกวิจาร ก็สะสม ก็สะสมก็แสวงหา กิเลสทั้งนั้น กิเลสไง เพราะปัจจัยเครื่องอาศัยเนี่ยมันพออยู่พอกินนะ เราแสวงเราหาได้ แต่มันขี้เกียจ มันอยากสะสม อยากจะเอาอาหารมาจ่อที่ปากตลอดเวลา

เนี่ย มันคิดว่ามันเป็นทุกข์ มันเป็นสามัญสำนึกไง เราไม่เห็นโทษของมัน แต่ถ้าจิตมันสงบนะ มันเห็นโทษของมัน ทำไมครูบาอาจารย์เราพาอดนอนผ่อนอาหารล่ะ อดนอนผ่อนอาหาร เรานั่งภาวนากันเนี่ย เราอยากได้สมาธิ เนี่ย ศีล สมาธิ ปัญญา ก็อยากได้สมาธิก่อน ให้มันเป็นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิเนี่ย สิ่งที่เห็นนะ มันเห็นนอก เห็นนอกดูสิ ถ้าเห็นกายเนี่ยในปัจจุบันนี้เขาไปถ่ายภาพกัน ภาพอสุภะภาพอะไรมาแจกกันว่า เนี่ยอสุภะๆ กระดาษ กระดาษไม่ใช่อสุภะหรอก มันเป็นกระดาษ!

อสุภะมันจะเกิดต่อเมื่อจิตเห็น จิตของเราสงบ แล้วจิตเราเห็นแล้วมันขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนหัวใจ นั้นเป็นอสุภะ อสุภะนี่ต้องจิตมันเห็นนะ ต้องมีการรับรู้ มันต้องมีเหตุมีผล ถ้าเป็นอสุภะ รูปภาพเป็นอสุภะ โรงพิมพ์นั้นเป็นพระอรหันต์หมดล่ะ โรงพิมพ์ที่เขาพิมพ์ภาพอสุภะแล้วมาแจกกันน่ะ โรงพิมพ์นั้นจะเป็นพระอรหันต์เพราะเขาแจกอสุภะกับชาวพุทธ มันไม่ใช่

อสุภะมันเกิดจากจิตสงบนะ ถ้าไม่มีฐานก่อน จิตเราไม่เป็นฐาน จิตเราไม่มีความรับรู้ จิตเราไม่ออกแสวงหา เราไม่เปิดบัญชี ไม่มีใครโอนเงินเข้าบัญชีเราได้ เพราะเราไม่มีบัญชี ใครจะโอนเงินเข้ามา เราก็ไม่มีส่วนได้รับ ถ้าเมื่อใดเราเปิดบัญชีนะ แล้วเขาโอนเข้ามาตรงบัญชีเรานะ เงินจะไหลเข้าบัญชีเรา

จิตถ้ามันสงบ ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วมันใช้ปัญญาโดยภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาต่อเมื่อความสมดุลของมัน จิตสมดุลน่ะจิตเป็นสมาธิเนี่ยจิตเป็นสากล ทุกศาสนาว่าทำสมาธิๆ แต่มีมิจฉากับสัมมา มิจฉาสมาธิมันเป็นสมาธิ แล้วมันไม่มีการควบคุม สิ่งที่ควบคุมไม่ได้เพราะไม่มีสติ ไม่มีการควบคุมมัน มันถึงใช้งานไม่ได้

แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ครูบาอาจารย์จะบอกตลอด ต้องมีสติก่อน สติจับปัญญาตัด ต้องมีสติจับ ถ้ามันสงบเข้ามาเนี่ย เราก็รู้สงบนะ กินอาหารเมื่อกี้นี้เข้าปากไปท้องอิ่มรู้ไหม จิตมันสงบเข้ามาทำไมต้องไปถามว่าว่างๆ จิตสงบเข้ามาก็คือสงบ รู้ตัวตลอดเวลา รู้ตัวตลอดเวลาแล้วถ้าบัญชีของเราเนี่ยมันตรงกับที่เขาโอนเข้ามาเห็นไหม ถ้าจิตสงบแล้วมันไปเห็นกาย เห็นกายมันสะเทือนหัวใจ

การเห็นกายไม่ใช่เห็นอสุภะ การเห็นกายเห็นไหม เห็นกายนอก กายใน กายในกาย เห็นอสุภะต้องขั้นอนาคา สิ่งที่เห็นน่ะมันเห็นโดยส้มหล่น ส้มหล่นเห็นกันได้บ่อยๆ เนี่ยรู้นอก รู้นอกคือรู้ด้วยอำนาจวาสนา คนเราเกิดมาเนี่ยมันอำนาจวาสนาต่างๆ กัน แม้เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน อำนาจวาสนายังไม่เท่ากัน เกิดมาจากไข่ใบเดียวกันเป็นคู่แฝด ยังมีอารมณ์ความรู้สึกมีความนึกคิด อำนาจวาสนาต่างๆ กัน จิตมันต่างๆ กันมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาที่เป็นได้หรือเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นได้เป็นไปไม่ได้ บัว ๔ เหล่า

บัว ๔ เหล่าหมายถึงว่าถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วมันมีความทุกข์ มีความลำบากยากเย็นขนาดไหน เราก็ต้องทำของเรา คนที่เขาประพฤติปฏิบัติแล้วมันง่ายมันสะดวก มันก็เป็นคุณสมบัติของเขา สิ่งนี้มันเป็นเหมือนกับที่ปัจจุบันเราสร้างบุญกุศลกันอยู่เนี่ย เพราะเขาสร้างบุญกุศลของเขามา สิ่งที่สร้างบุญกุศลของเขามาเนี่ยใครเป็นคนบริจาค จิตเป็นคนบริจาค จิตเป็นคนคิดเสียสละ จิตเป็นคนปรารถนา จิตเป็นคนแสวงหา จิตนี้เป็นคนทำ มือเนี่ยจิตมันสั่ง แล้วถ้ามันทำออกไปมันก็ฝังลงที่จิต ฝังลงที่จิต

ถ้ามันไม่ฝังลงที่จิต พระโพธิสัตว์.. ขณะที่เป็นพระเวสสันดร ขณะที่สละลูกสละเมีย ทำไมถึงได้มาหวังโพธิญาณ แล้วมันสืบต่อกันมายังไง ความสืบต่อของจิตที่การสละแล้วมันฝังใจมา มันเป็นอำนาจวาสนา เป็นความนึกคิด เป็นจริตนิสัย เป็นความโน้มเอียงของจิต จิตที่มันโน้มเอียงที่มันคิดไปตามอำนาจของมัน มันมาจากไหน ทางวิทยาศาสตร์เขาบอกเนี่ยเห็นไหมสิ่งแวดล้อม เลี้ยงลูกด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี พยายามทำ อันนี้มันก็มีส่วนในวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ ธรรมะเท่านั้นแก้กิเลสได้ วิทยาศาสตร์เป็นการเพื่อแสดงออกให้ธรรมชัดเจนเท่านั้นเอง ธรรมะแสดงโดยทางวิทยาศาสตร์ คือพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ของจิต ถ้าจิตเห็นไหม เทคโนโลยีขนาดที่ว่า เนี่ยๆ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เขากับการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเนี่ย ทำขนาดไหนก็ไม่ได้ คนที่ตรัสรู้เองโดยชอบมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งคือ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ พระปัจเจกพุทธเจ้า

แล้วเนี่ยสิ่งที่เรารื้อค้นกันอยู่เนี่ย มันเป็นใคร นี่สาวก สาวกะนะ สาวกสาวกะได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังแล้วยังเอาธรรมะมาเป็นอาวุธ เอามาทำร้ายตัวเอง ทำร้ายว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม ว่ารู้ธรรมๆ มันรู้จำ สิ่งที่ความรู้จำน่ะรู้ขึ้นมาเพื่อเป็นปริยัติ ปริยัติรู้ขึ้นมาเพื่อเป็นวิชาการ ต้องมีการปฏิบัติ ปริยัติ-ปฏิเวธะไม่มี ปฏิบัติ-ปฏิเวธะมี ต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วถ้าส่งออก มันก็เป็นปฏิบัติโดยการสร้างสม

เนี่ย ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิเกิดหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดปัญญาหนหนึ่ง ปัญญาที่มีสมาธิรองรับให้เกิดวิมุตติสุข วิมุตติญาณทัสสนะขึ้นมาเห็นไหม เนี่ย สิ่งที่การกระทำ แก้กรรมๆ เขาบอกว่าจะไปแก้กรรมๆ การแก้กรรมอย่างงั้นจะเอาอะไรไปแก้ การแก้กรรมน่ะมันเป็นการอ้อนวอน เป็นการขอเอา มันเอาแก้กรรมที่ไหน มันเพิ่มกรรมอ่ะ มันเพิ่มกรรม กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้ามันเป็นการแก้กรรมเห็นไหม การทำภาวนามยปัญญานี่คือการแก้กรรม การแก้กรรมคือการทำลาย การทำลายเห็นไหม

เวลาทำความสงบ ปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา คนหนาเนี่ยเจอสิ่งใดโดยสามัญสำนึกนะ โดยหัวใจไม่ต้องมาคัดค้าน ใครเห็นสิ่งใดมีความรู้สึกหมด คิดหมด รับรู้หมด ติดข้องหมด เพราะมีตัณหาความทะยานอยาก เนี่ย ปุถุชนคนหนา แต่กัลยาณปุถุชนกัลยาณปุถุชนเพราะอะไร เพราะเรามีศีล เราถือศีลของเราจนเป็นความปกติของใจ ความปกติของใจ

ถ้าเป็นเจโตวิมุตติคือ สมาธิอบรมปัญญา ต้องทำสมาธิขึ้นมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์จะสอนสมาธิอบรมปัญญา ทำจิตเข้ามาให้เป็นฐานก่อน ให้มีสกุล ให้รู้จักครูบาอาจารย์ ให้กตัญญูกตเวที ให้หัวใจมันลงกับธรรม ถ้าหัวใจมันลงกับธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบ ๆ ๆ ด้วยหัวใจ ถ้าลงครูบาอาจารย์นะมันจะซึ้งมาก ซึ้งมากว่าครูบาอาจารย์ท่านทุกข์ท่านยาก ทุกข์ยากเพื่อแสวงหา ทุกข์ยากเพื่อหามรรค ผลนิพพาน

แต่การกระทำที่จิตมันพ้นแล้ว สิ่งที่เป็นผู้นำเรา ท่านไม่ทุกข์ยากหรอก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องโลกๆ เพราะถ้ามีเงินนะคนที่จิตเขาเป็นสาธารณะ เขามีเงินน่ะเขาสร้างได้หมดล่ะ สิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์เขาจะสร้างขนาดไหนก็ได้ ถ้ามีเงินนะ สิ่งที่เขามีเงินเห็นไหม แต่มีเงินแล้วใจเขาเป็นธรรมไหมล่ะ แต่สิ่งที่แสวงหาเนี่ยมันเป็นประโยชน์กับศาสนาทายาทเห็นไหม

แต่ถ้าสิ่งที่ผ่านวิกฤต สิ่งที่วิกฤตจากภายใน เนี่ย สิ่งที่การกระทำเห็นไหม ธรรมมันเกิดขึ้นมาจากใจ ถ้าธรรมมันเกิดขึ้นมาจากใจ เนี่ย การแก้กรรม การแก้กรรมนะมันจะย้อนกลับมาที่นี่ เพราะกรรมข้างนอกเนี่ย ดูสิคนเราเจ็บไข้ได้ป่วยอวัยวะเขาตัดทิ้งนะ ตัดทิ้งแล้วเปลี่ยนใหม่ เนี่ยอวัยวะ เปลี่ยนหัวใจก็เปลี่ยน เปลี่ยนทุกอย่างได้หมด ร่ายกายเนี่ยเปลี่ยนได้หมดเลย เขาเปลี่ยนเขาเปลี่ยนถ่ายกันได้ แต่เขาเปลี่ยนถ่ายตัดทุกข์ได้ไหม เข้าโรงพยาบาลแล้วบอกตัดตัณหาความทะยานอยากออกจากใจทีนึงสิ จะมีโรงพยาบาลไหนเขาตัดให้ได้ เนี่ยการแก้กรรมไง การแก้กรรมคือ สมุทเฉทปหาน สมุทเฉทปหาน เวลาสังโยชน์ขาด โสดาบัน สกิทา อนาคา อรหัตตผล ดั่งแขนขาด สันทิฎฐิโก ดั่งแขนขาด มันตัดออกจากใจ

นี่ การแก้กรรมมันแก้ที่นี่ มันตัดยังไง เอาอะไรไปตัดมัน เนี่ย การภาวนาเห็นไหม เนี่ย ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่มีกรรมฐาน จิตที่มันออกวิปัสสนาเห็นไหม สิ่งที่ออกวิปัสสนา เวลามรรคสามัคคี มรรคสามัคคี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เนี่ยมรรค มีมรรค ๘ เห็นไหม มันความเพียรชอบ การงานชอบ ถ้ามันเพียรชอบ ชอบยังไง เราความเพียรเราไม่ชอบ ความเพียรหนักเห็นไหม เป็นสมาธิ พอไม่ได้สมาธิเราก็พยายามจะทำ ให้มีฐาน เพื่อหาฐานกัน หาฐาน แต่เห็นฐานก็ไม่รู้จักฐาน

มันเป็นเรื่องธรรมดานะ มันเป็นเรื่องความธรรมดาที่เวลาเราปฏิบัติเนี่ย เริ่มต้นเราทำงานน่ะเราต้องฝึกงาน พอเราฝึกงานขึ้นมาเนี่ย เราพยายามแสวงหาของเรา สิ่งที่แสวงหานะมันเหมือนคนฝึกงาน มันต้องมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา คนทำงานแล้วที่ไม่เคยผิดพลาดเลยไม่มี

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนะ ลองผิดลองถูกอยู่ ๖ ปี ถ้าลองผิดลองถูก ถ้ามันถูกหมด ทำไมต้องรอถึง ๖ ปี ๖ปีเนี่ยไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมดเลย ในลัทธิต่างๆ ถึงบอกว่าเราเป็นชาวพุทธนะ เรามีสกุลรุนชาตินะ พุทธศาสนานี่สุดยอดมาก พุทธวิสัย ถ้าเราไม่เชื่อพุทธวิสัยขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมดแล้วเนี่ย แล้วศาสนาพุทธสอนไว้เนี่ย แล้วเราจะไปพิสูจน์อีกเห็นไหม เนี่ยเราไปพิสูจน์ เราจะเอาปัญญาที่ไหนไปเท่ากับองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่ากรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการทำความสงบเข้ามาเนี่ยมี ๔๐ วิธีการ ก็ตัดว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ลัด สิ่งนี้.. เราไปเชื่อสาวกนะ สาวกภาษิต พุทธภาษิต พุทธภาษิตเราจะเชื่อไหม

ถ้าเราเชื่อพุทธภาษิตเห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้อง เข้ากับหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกมันมีจริตนิสัยแตกต่างกันไป การแตกต่างกันไปน่ะครูบาอาจารย์สอนโดยหลัก ถ้าองค์ไหนทำงานมาทางใด ส่วนใหญ่แล้วจะสอนจากประสบการณ์ ประสบการณ์ที่ท่านผ่านมาเนี่ย ท่านจะสอนตามประสบการณ์เพราะท่านถนัดของท่าน แล้วถ้าเราทำแล้วน่ะมันไปไม่ได้ หรือมันไม่ตรงกับความรู้สึกของเรา เราก็แก้ไขได้ เราแก้ไขได้ปรึกษาท่าน หาทางออก แล้วแก้ไขเราเข้าไป หาฐานให้ได้นะ หาเลขบัญชีเราให้เจอ ถ้าหาเลขบัญชีเราเจอนะ คนเราเนี่ยเจอบัญชีนะ แล้วเปิดบัญชีดู บัญชีของเราเนี่ย สิ่งที่มันฝากไว้มีมากมีน้อย

จิตถ้ามันสงบเข้ามานะ มันรู้ของมันน่ะ มันรู้ว่าเรามีบัญชีมากบัญชีน้อย เงินของเรามีมากมีน้อย สมาธิมันลงต่างๆ กันไง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ความลึกตื้นหนาบาง ความอบอุ่นความสุข ความสุขนะ จิตสงบเนี่ยสุขมาก ทางโลกนะสิ่งที่เขาเป็นธุรกิจบริการเห็นไหม เรามีเงินเราไปซื้อได้แต่มันไม่เข้าถึงใจหรอก มันเป็นอารมณ์ เป็นสัญญาอารมณ์ ความสุขแค่ความรู้สึก มันไม่ใช่ความสุขของใจ

ถ้าความสุขของใจ จิตมันเข้าไปสงบถึงใจ จิตมันจะมีความสุขมาก ความสุขของสมาธินะ ถ้าสมาธิไม่สุข ทำไมผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าถึงสมาธิ คิดว่าสมาธิเป็นนิพพานได้ มีพระเทศน์มาก ว่า สุดยอดของธรรมคือนิ่งอยู่ๆ เนี่ย นิ่งอยู่เนี่ยมันหินทับหญ้านะ นิ่งอยู่เนี่ยไปเห็นบัญชีของตัว ไปเจอสมุดบัญชีก็คิดว่าบัญชีนี้เงินไม่ไหลเข้าไหลออกแล้ว ไหลเข้าไหลออกเดี๋ยวก็เสื่อม เสื่อมหมด

สมาธิเนี่ย กรรมฐานถ้าไม่ได้ออกวิปัสสนา เสื่อมหมด แล้วออกวิปัสสนาเห็นไหม วิปัสสนาในอะไร ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ทำไมไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่ออะไร เพราะ.. เพราะกิเลสมันเป็นนามธรรม แล้วมันอาศัยกายเนี่ย ดูสิรักคนโน้นรักคนนี้ รักเขาไปหมดเลย รักคนโน้น มันโกหก มันรักตัวก่อน ไม่มีสักกายทิฏฐิ ไม่มีเราไม่มีผู้คิด ใครมันจะไปรัก ศพรักคนไม่เป็นนะ สิ่งที่ไม่มีชีวิตมันรักไม่ได้ สิ่งที่มันรักคือความผูกพันของใจ ความผูกพันของใจ มันรักตัวเองก่อน มันหลงตัวเองไง เนี่ย กามฉันท์ ความพอใจ เนี่ย กามราคะ

กามราคะมันเกิดจากอะไร มันเกิดจากความพอใจ มันเกิดจากกามฉันท์ก่อน มันเกิดจากตัวมัน เพราะตัวมันน่ะมันเป็นตัวมันเห็นไหม เพราะตัวมันมันมีตัวมัน มันถึงต้องการตรงข้าม ถ้ามันไม่มีตัวมัน มันจะเอาฝ่ายตรงข้ามมาจากไหน เนี่ยว่ารักคนโน้น รักคนนี้ จริงๆ คือมันรักตัวมันเอง ถ้ามันรักตัวมันเองเห็นไหม สิ่งที่รักตัวเอง แล้วมันเป็นอุปาทาน เนี่ย แล้วกิเลสมันยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ ถ้ายึดมั่นถือมั่นตรงนี้เห็นไหม

เวลาจิตสงบเข้ามา มันถึงต้องไปรื้อค้นกันที่กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะกิเลสมันยึดสิ่งนี้ มันหลอกว่าสิ่งนี้เป็นเรา สิ่งนี้เป็นฐาน แล้วหลอกว่าสิ่งนี้เป็นสาธารณะ สิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้แสดงธรรม สิ่งนี้เคลื่อนไหว

ธาตุๆๆ ธาตุเป็นธรรมได้ยังไง แต่หัวใจเป็นธาตุรู้ พระสารีบุตรพูดไว้ในพระไตรปิฎก ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา ไออุ่นคือพลังงานไง ไออุ่นคือธาตุรู้ ธาตุที่มีชีวิต ธาตุรู้มหัศจรรย์มาก เป็นสสารที่มีชีวิต สันตติสืบต่อตลอด มันจะเวียนตายเวียนเกิดตลอด ละเอียดมาก ขณะนี้มันอยู่ในหัวใจของเรา มันอยู่ในร่างกายของเรา แล้วศาสนาเนี่ยเป็นเครื่องพิสูจน์ ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาที่ครูบาอาจารย์รื้อค้นขึ้นมาแล้ว รื้อค้นขึ้นมาแล้ววางรากฐานขึ้นมา

ดูสิ สร้างสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุ สร้างสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับเรามหาศาลขนาดนี้ เรามาอาศัยแต่เปลือก ถ้าเราจะอาศัยถึงคุณธรรม ธรรมและวินัย เราต้องอาศัยที่ใจด้วย ถ้าใจมันเข้าถึง ใจมันเข้าไปถึงธรรมเห็นไหม ใจมันรู้เข้ามาข้างใน ถ้าใจรู้ข้างในเห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดาโดยที่จิตมันปล่อย จิตมันไม่คล่อง แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นเนี่ยมันเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาโดยการปฏิเสธ มันเป็นธรรมดาด้วยเอาทับไว้ มันไม่เป็นธรรมดาด้วยความจริง ถ้ามันเป็นธรรมดาสัจจะความจริง มันจะเกิดการถอน การถอนสังโยชน์ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

ในเมื่อ สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในกายของเราไม่มี เนี่ยมันจะเกิดวิจิกิจฉาขึ้นมาได้ยังไง สิ่งที่เพราะมันถอนไม่ได้ มันถอนไม่เป็น อ้างว่าถอนโดยธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันเกิดความลังเลสงสัย มันเกิดความลังเลสงสัย มันเกิดวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส การว่าสีลัพพตปรามาส มันถึงไม่ซื่อตรงกับธรรม พระโสดาบันจะซื่อตรงกับคุณธรรม จะเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกโดยหัวใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เห็นไหม พุทธะอยู่ที่ไหน

เนี่ย ถ้าพูดถึงปริยัติหาว่ากรรมฐานเล่นโวหาร พุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจริงๆ มันเป็นนามธรรมไง นี่ไง ศาสนาเนี่ยศาสนาพุทธเห็นไหม ศาสนาแห่งปัญญา มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันก็ใช้นามธรรมเข้าไปจับ นามธรรม คือศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม เวลาความคิดมันก็เป็นความคิดขึ้นมา เวลาเป็นธรรมขึ้นมา ก็สังขารเนี่ยแหละ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง แต่ถ้าไม่มีสติมันเป็นกิเลสพาใช้

ถ้ามีสติ มีสมาธิเห็นไหม ทำไมถึงเป็นสติ ทำไมถึงเป็นมหาสติ เพราะกิเลสมีหยาบมีละเอียด กิเลสหยาบๆ คือความเห็นหยาบๆ ความคิดหยาบๆ ที่เราว่าความคิดๆ เนี่ย เราว่ามันละเอียดมากที่จับต้องกันไม่ได้ แต่ขณะที่มันถอนออกไปแล้วนะ แล้วความคิดละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปน่ะ มันลึกซึ้งกว่านี้อีก มันลึกซึ้งกว่านี้

ดูสิ เวลาเขาเล่นกีฬากันเห็นไหม เนี่ย มันมีโทษ จังหวะ ๑ จังหวะ ๒ จังหวะ ๑ ของเขาคือ ขณะที่ลูกโทษเตะระหว่างเข้าประตูเลย เนี่ยเวลาจิตมันเร็วกว่านั้น เวลามันละเอียดมันหดสั้นเข้าไปกว่านั้น เพราะอะไร เพราะมันผ่านออกมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันถึงเป็นปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตมรรค อรหัตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ทำไม อรหัตผล กับ นิพพาน ๑ ต่างกันตรงไหน อรหัตผล มันเป็นการกระทำระหว่างอรหัตมรรคกับอรหัตผลที่มันทำงานกัน เนี่ย มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะทดสอบกันได้

สิ่งที่เป็นการกระทำเห็นไหม ดูทางวิชาการสิ สิ่งที่วิชาการเห็นไหม ตัวแทน ผู้เป็นตัวแทน ผู้ที่เป็นตัวจริง ผู้ที่รับผิดชอบ เนี่ยผู้ที่รับผิดชอบเป็นชั้นๆๆ กันขึ้นมา เนี่ยตัวแทนคือขันธ์ ไม่ใช่ใจ ขณะที่ขันธ์เห็นไหม เนี่ยความคิดเป็นขันธ์ ละขันธ์เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ขันธ์ ๕ ไง ละขันธ์ ๕ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคาขึ้นมา แล้วละขันธ์ ๕ ขึ้นมาเนี่ย อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญานัง วิญญาณในขันธ์ ๕ กับวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท มันก็ไม่ใช่อันเดียวกัน

วิญญาณในขันธ์ ๕ คือวิญญาณรับรู้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณรับรู้จากโสตะวิญญาณ ฆานะวิญญาณ แต่อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญานัง วิญญาณปฏิสนธิ เนี่ยวิญญาณตัวเกิดไง วิญญาณตัวเกิดในปฏิจจสมุปบาท เห็นไหม เนี่ยวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท เนี่ยสิ่งที่เป็นวิญญาณ มันก็ยังไม่ใช่ตัวใจ ถ้ามันตัวใจ ถ้าวิญญาณเป็นตัวใจ มันจะละ ละออกจากใจได้ยังไง

อวิชชา เวลาดับอวิชชาทั้งหมดด้วยวิชชา แล้วสิ่งที่เหลือคืออะไร สิ่งที่เหลือจากการกระทำเห็นไหม เนี่ยก็สกุลของกรรมฐาน สกุลของกรรมฐานคือสกุลของใจ ถ้าใจมันออกการกระทำของมัน มันทำงานของมันเห็นไหม ทำงานด้วยเป็นมรรคญาณนะ ถ้าทำงานโดยกิเลส มันเป็นอุปาทาน มันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นการวิตกวิจารในธรรม ในธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมของตัว

เนี่ยว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติต่อเมื่อใจเป็นธรรมนะ ถ้าใจเป็นธรรม จะมองสภาวะโลกเนี่ยเป็นธรรมหมด แม้แต่ใบไม้ใบหนึ่งหลุดจากขั้ว ถ้ามีความคิด เราคิดเปรียบเทียบ มันก็มีความกระเทือนใจ แต่ถ้ามันเป็นชาวสวนชาวไร่ เขาเห็นของเขาทุกวัน ขณะที่ต้นไม้ใบมันหนาเนี่ยเขาต้องตัดรอนกิ่ง เพื่อไม่ให้กิ่งมันหัก เขาทำลายมันก่อนด้วย

ถ้าจิตใจเราไม่เป็นธรรม เรามองสิ่งที่เป็นธรรมะสาธารณะ มันก็ไม่สะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจ เห็นไหม คนทั้งโลกเนี่ยเขาเกิดเป็นชาวพุทธทั้งนั้นน่ะ ทำไมเขาหน้าไหว้หลังหลอก เขาพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง มนุษย์ไง มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง แล้วการพูดอย่างหนึ่งเพราะอะไร เพราะรักษาสถานะของตัว แต่ถ้าใจเราซื่อตรงนะ ถ้าเราซื่อตรงเห็นไหม เนี่ยเรื่องของความปกติของใจ มันจะละเอียดเข้ามา

ถ้าละเอียดเข้ามา เนี่ย สิ่งที่ใจมันเป็นธรรม มันมองเห็นสภาวะต่างๆ เป็นธรรมแล้วสะเทือนใจ เนี่ย ธรรมสังเวช เห็นสิ่งใดแล้วสะเทือนใจ เพราะใจมันเป็นธรรม เห็นสภาวธรรม มันก็สะเทือนธรรม เหมือนขั้วบวกขั้วลบที่มันไปถึงกัน แต่ถ้าใจมันไม่เป็นธรรม มันขั้วบวกๆ มันเจออะไรก็ผลักเห็นไหม โน่นก็ไม่ใช่ นี่ก็เป็นของสาธารณะ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเราสักอย่างหนึ่งเลย เทศน์นี่ก็เทศน์นู่น เทศน์ให้ออกอยู่นอกจักรวาล เราไม่เกี่ยวเรารู้หมดแล้ว เราธรรมเต็มหัวใจ เนี่ย ถ้ากิเลสมันผลักหมด

แต่ถ้าเป็นธรรม มันใจเป็นธรรม มันเป็นเนื้อเดียวกัน มันเป็นสิ่งเดียวกัน มันถึงเป็นธรรมสังเวช มันสะเทือนหัวใจ เนี่ยถ้าใจเราเป็นธรรม มันถึงมองสภาวะสิ่งนี้เป็นธรรม เหมือนกับที่ว่า ใช้ว่าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ก็วางกันหมดแล้วไง เนี่ยทุกคนจะบอกว่า.. เราก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เราก็ทำความดีเพื่อสังคมมาตลอด ทำไมเราต้องไปวัด พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ก็วางหมดแล้ว ขอนไม้ที่บ้านมันก็วางแล้ว วัตถุมันไม่เคยทำร้ายใครเลย มนุษย์ไปจับมันมาตั้ง เรียงขึ้นมาให้เป็นสิ่งก่อสร้าง มันว่างมันตลอดเลย เราไม่ว่าง ไปจับมันมาเข้าที่เข้าทาง ไปจับมันมาเรียงกันเอง

เนี่ยไง ว่าง ว่าง ว่าง ว่าง เราเป็นคนดีอยู่แล้ว เราคิดเราไปเอาผลมาเป็นเหตุไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุการกระทำขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรม ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่สมควร ด้นเดา คาดการณ์ คาดหมาย ไม่เป็นหรอก ไม่เป็น! มันเป็นธรรมสาธารณะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่แล้วไง เวลาศึกษาเนี่ยปรมัตถธรรมนะ ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปรมัตถธรรม ใช่ ปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่กิเลสของเรา เพราะใจเราเป็นกิเลส ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา มันจะเห็นหมด มันจะพูดได้หมดว่าสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ สติมันมีระดับขั้นของมัน ถ้าเป็นสติเห็นไหม เราจะรู้ทัน หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้ทัน ตาจมูกลิ้นกายใจนะ ถ้าเป็นมหาสติ มันเห็นการเกิดของใจ มันทันตั้งแต่จิตมันจะคิด

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมาร “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราเห็นเรือนยอดของเจ้าแล้ว เจ้าจะเกิดในใจของเราอีกไม่ได้เลย” ความคิดเนี่ย ความดำริน่ะ แล้วมารมันนอนเนื่องมาตลอด และมันเกิดก่อนความคิด แล้วองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฆ่าทิ้งหมดแล้วนะ มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา แล้วเธอจะเกิดอีกไม่ได้แล้ว เห็นไหม มันมี สติ มหาสติ แล้วสติอัตโนมัติ

สติไม่ใช่จิต สติเกิดจากจิต ความคิดเกิดจากจิต ขันธ์ ๕ เกิดจากจิต ไม่ใช่จิต แต่ขณะที่ทำการวิปัสสนาไปแล้วทำการสะสมไป เป็นสติ มหาสติ จนสติกับสิ่งที่เป็นธรรมเป็นอันเดียวกัน เป็นอันเดียวกันเพราะอะไร เพราะมันเป็นสภาวะ สภาวะอันหนึ่ง แล้วเวลาเนี่ย มันจะออกมารับรู้เนี่ย มันต้องเสวยอารมณ์ การเสวยอารมณ์คือมันขยับตัว สิ่งที่มันขยับตัว ความขยับตัวความรู้สึกมันเกิดมาจากไหน ก็ความรู้สึกอันนั้นมันเป็นสติไง สติกับจิตเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันต่อเมื่อมันเป็นธรรม

แต่ขณะที่เราฝึกนั้น สติมันอยู่คนละฟาก สติมันอยู่อีกทวีปหนึ่ง เราอยู่ทวีปหนึ่ง ต้องคิด ต้องระลึก มันถึงจะเป็นความรู้สึกของเรา มันถึงจะเป็นสติของเรา มันถึงจะสร้างสมสติขึ้นมาเห็นไหม สติ มหาสติ เนี่ย เวลาย้อนกลับขึ้นมาเนี่ย มันทำเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนนะ สิ่งที่เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เนี่ยกรรมฐาน สกุลของกรรมฐาน เรามีครูมีอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์ของเราสร้างสมสิ่งนี้ขึ้นมา

เนี่ยองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้แล้ว แล้วถ้าเราก้าวเดินตามธรรมวินัยไป ก้าวเดินตามธรรมวินัยไป ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนะ ไม่มีกาล ไม่มีเวลา เวลาไม่มี เวลาเนี่ยมันเป็นธรรมชาติของมัน เวลาเป็นธรรมชาติของมัน เราไปติดเอง ติดในกาลเวลาเห็นไหม มิติเห็นไหม เนี่ยใน ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับเทวดา ๑ วัน ๑ วัน แล้วพิสูจน์กันได้ยังไง พิสูจน์.. ดูทำไมแมลงวันมันอยู่ ๗ วันล่ะ ชีวิตหนึ่งมันก็ชีวิตหนึ่งนะ ชีวิตหนึ่งมันก็ว่ายาวไกลทั้งนั้นน่ะ ชีวิตของใคร ใครก็รักชีวิตของคนนั้น แล้วโอกาสของคนมันก็มีแต่ว่า ถ้ามีปัญญา ถ้าเรายังคิดถึงเราอยู่ เราจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราลืมตัว…

เนี่ย ชีวิตก็เหมือนกันนะ แล้วเวลาตายไป เวลาคนเราจะตายเนี่ย ทุกคนจะคิดถึงคุณงามความดีของตัว จะคิดน่ะมีสมบัติเท่าใด เราจะเดินทางไกลนะ เวลาเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เนี่ยเกิดแล้วเขาฉลอง เนี่ยวันเกิดต้องฉลองวันเกิดกัน แล้วเวลาตายล่ะ เวลาตายจะเสียใจมาก นกเวลามันลงคอนนะ มันลงเกาะ แต่เวลามันจะไปนะ มันบินนะ มันต้องดีดออกไปนะ คอนนั้นสั่นไหว เวลาจิตมันจะต้องตาย เรารู้อยู่ตลอดเวลา แต่เวลาจิตมันจะเกิดเราไม่รู้ มันมาจากไหน มันมาจากเวรจากกรรม มันมาจากบุญกรรมของเรา มันมาจากจิตมีแรงขับ จิตนี้ต้องหมุนไปธรรมชาติ

เนี่ยเห็นไหม เพราะเกิดมาแล้วก็โดยสามัญสำนึกวิทยาศาสตร์ มันก็เกิดตายเกิดตายโดยไม่รู้จักตน ไม่รู้จักตัว เพราะมีพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ใจ ผู้ใดดูแลใจของตัวก็เท่ากับอุปัฏฐากองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมวินัยอยู่ฟากตะวันตก ก็เหมือนกับจับชายจีวรของเราไว้ ผู้ใดอยู่กับเราแล้วไม่ปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่อีกคนละฟากประเทศ นี่ไง เนี่ยองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กลางหัวอกเรานะ ถ้าเรารักษาที่นี่ นี่คือคุณสมบัติของเรา

แต่ในประเพณี วัฒนธรรม พระอรหันต์ในบ้าน พ่อแม่ของเราเป็นพระอรหันต์ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะพ่อแม่เนี่ยเลี้ยงลูกมาด้วยเลือดในหัวอก ไข่ของมารดามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็กินเลือดของพ่อแม่ กินน้ำนมของพ่อแม่ เป็นพระอรหันต์ก็ให้ชีวิตมา ให้ชีวิตมา ให้โอกาสมา เลี้ยงดูมา เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ ผู้ที่สิ้นกิเลส เป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ ไม่ใช่ของมนุษย์ ของเทวดา อินทร์ พรหม เทวดา อินทร์ พรหม หรือในวัฏฏะ หลอกไม่ได้หรอก

ใจของมนุษย์เหมือนกระดาษขาว เขียนตัวอักษรลงไปจะเห็นเป็นตัวอักษร จิตของคนเปรียบเหมือนกระดาษขาว เวลาคิดเหมือนเขียนตัวอักษร เทวดารู้หมด เทวดาเห็นหมด ความคิดเราเนี่ย เทวดาจะรู้หมด เนี่ย แล้วไม่เข้ามาใกล้มนุษย์ เหม็นกลิ่นคาวมนุษย์ เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เวลาหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขา เทวดาไปฟังธรรม หลวงปู่มั่นอยู่ในเขา แล้วทำไมเทวดารู้ว่าหลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน เหมือนกับจิตของเราเนี่ยมันมืดดำ แล้วจิตที่มันทำความสะอาดแล้วเนี่ย มันเหมือนสิ่งที่สว่างไสว ในที่มืดแล้วมีดวงไฟอยู่ดวงหนึ่ง มันจะสว่างไสวมาก เทวดาเขามองเขาเห็นอย่างนั้น

เพราะจิตของเราเขียนไปด้วยตัวอักษร เขียนซับเขียนซ้อน เขียนจนดำมืด เขียนจนมองไม่เห็นกระดาษ แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านชำระ ชำระเห็นไหม ทำสมาธิแค่กดไว้ ชำระด้วย มรรคญาณ มันจะทำลายตัวอักษรนั้น ถอนสังโยชน์ที่ผูกพันกันไว้ ถอนทุกอย่างออกหมด จนกระดาษนั้น จนใจที่ดำมืดขาวสว่าง เนี่ย เทวดา อินทร์ พรหม เขารู้ของเขา เขาเห็นของเขา เป็นประโยชน์ของเขา

เป็นศาสดาของโลกเห็นไหม เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เนี่ยเป็นพระอรหันต์ของสาธารณะ พระอรหันต์ของสาธารณะเป็นของเทวดา อินทร์ พรหม ของวัฏฏะ พระอรหันต์ของเรา พระอรหันต์ในบ้าน เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของเรา นี่พระอรหันต์ในบ้าน เห็นไหม พระอรหันต์โดยประเพณีวัฒนธรรม กับพระอรหันต์โดยสาธารณะคือ พระอรหันต์ในวัฏฏะนี้ เอวัง