รู้นอกสมมุติ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา ๓ มิถุนายน ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมนะ ฟังธรรม ธรรมะ ธรรมจากใจที่สิ้นกิเลส มันเป็นธรรม การเผยแผ่ธรรมเห็นไหม ถ้ามีกิเลสอยู่น่ะ มันเผยแผ่ไปพร้อมกับกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ มันมีลับลมคมในของมัน มันไม่เข้าถึงใจหรอก เพราะอะไร เพราะในใจของเราน่ะ มันมีสิ่งที่ลังเลสงสัย การแสดงออกไปน่ะ แสดงออกไปด้วยความลังเลสงสัย จะจริงจัง จะเด็ดขาดขนาดไหน มันก็เข้าไม่ถึงใจหรอก
เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านออกแสวงหานะ สร้างเป็นพระบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาออกแสวงหา พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์บารมีเต็ม พอบารมีเต็มออกแสวงหา ๖ ปี สิ่งที่ ๖ ปี แสวงหาอยู่น่ะสมมุติทั้งนั้น การเกิดและการตายเป็นสมมุติเห็นไหม ไม่มีบัญญัติ ยังไม่มีธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาอะไรมาบัญญัติ ไม่มีคนรู้จริงบัญญัติมาไม่ได้ บัญญัติมาได้ก็บัญญัติมาจากกิเลส
เวลาออกไปแสวงหา ๖ ปี มีแต่สมมุติ สมมุติล้วนๆ เลย ความรู้ไปศึกษากับใครนะ ศาสดาองค์ใดสอน เป็นเจ้าลัทธิต่างๆ สอนก็ออกมาจากสมมุติหมด สมมุติขึ้นมา จินตนาการขึ้นมา สิ่งที่จินตนาการขึ้นมามันไม่เป็นความจริงหรอก แต่ในเมื่อโลกเขามีเห็นไหม องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสวงหา ไปศึกษาเห็นไหม ศึกษาจนถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีความจริง
ดูสิ อาฬารดาบสบอกไว้ เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา ได้สมาบัติ ๘ เหมือนเรา สั่งสอนได้เหมือนเราให้เป็นอาจารย์สอนได้เลย แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่ยอมรับเลย เพราะในหัวใจนี่มันรู้อยู่ ผู้ที่มีบุญญาธิการเห็นไหม ไม่เชื่อคำเยินยอของใคร เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว โลกธรรม ๘ เป็นธรรมะเก่าแก่ มันมีอยู่ประจำโลก สรรเสริญเยินยอ ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ยกย่องสรรเสริญว่ามีความรู้เท่าเรา เสมอเรา เพราะอะไร เพราะสมาบัติเห็นไหม ผู้ที่สอนก็มีความรู้ขนาดนี้ ลูกศิษย์ลูกหาเวลามีความรู้เท่ากัน
ดูทางโลกสิ มีการศึกษาทางวิชาการเห็นไหม ความรู้เรียนแทนกันได้นะ เราศึกษาขนาดไหน เรามีความรู้ เราเป็นอาจารย์สอนเขา เดี๋ยวเขาก็มีความรู้เสมอเรา ทำได้ดีกว่าเราด้วย ในทางวิชาการของโลกเขา ลูกศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์ ถ้าลูกศิษย์ไม่เก่งกว่าอาจารย์นะ ทางวิชาการอ่อนด้อย ทางวิชาการไม่ประสบความสำเร็จเห็นไหมดูสิ เพราะลูกศิษย์ต้องเก่งกว่าครูบาอาจารย์ ถึงมีทฤษฎีใหม่ๆ มีการค้นคว้า มีการแสวงหาขึ้นมา ทำการวิจัยขึ้นมา ประสบความสำเร็จขึ้นมาเห็นไหม ลูกศิษย์ต้องเก่งกว่าอาจารย์เห็นไหม การศึกษามันทันกันได้
สมมุติ มันเป็นสมมุติ มันเป็นเรื่องโลกเห็นไหม รู้ในสมมุติเพราะสมมุติมันเกิดขึ้นมาจากทางทฤษฎี ทางวิชาการที่มีอยู่แล้ว เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษาเล่าเรียนกับลัทธิต่างๆ มันสมมุติทั้งนั้นน่ะ รู้ในสมมุติ สมมุติน่ะโลกียปัญญา โลกียะ โลก อวิชชามันปกคลุมอยู่มันรู้โดยอวิชชา รู้โดยความเห็นของเรา รู้โดยจินตนาการของเรา สิ่งที่รู้โดยจินตนาการของเราเห็นไหม เทียบเคียงกัน ขณะจินตนาการของเราเข้าสมาบัติ
ทำไมอาฬารดาบสรับประกันว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เสมอเรา ความรู้เสมอเรา เพราะอะไร เพราะสมาธิมันสุดสิ้นขบวนการมันเป็นอย่างนั้น นี่พูดถึงสมาบัตินะ แล้วถ้าคนมีอำนาจวาสนา เห็นไหม มันยังรู้เห็น มันยังมีสิ่งที่เป็นฤทธิ์ เป็นเดช เป็นอภิญญาอีกต่างหาก ความเป็นอภิญญาเห็นไหม ความรู้เป็นอภิญญา โลกก็ตื่นเต้นกัน ตื่นเต้นว่ารู้วาระจิต รู้ต่างๆ มันเป็นอภิญญา แล้วแต่จิต จริตนิสัยของจิตว่ามีอำนาจวาสนาขนาดไหน มีคุณสมบัติขนาดไหน จะรู้ได้มากได้น้อยขนาดไหนเห็นไหม
เราก็ไปศึกษา เราก็ไปเชื่อกันเห็นไหม สมมุติไหม สมมุติว่ามันเป็นอนิจจัง มันจริงบ้าง ไม่จริงบ้างตามภาษา ถ้าจิตเข้าถึงสถานฐานที่ดีเห็นไหม ความรู้ความเห็นนั้นมันก็ถูกต้องมาก แต่ถ้ามันโลเลเห็นไหม จิตมันไม่เข้าถึงฐาน เวลาพิจารณาไปมันไม่รู้จริงหรอก มันเป็นจริงไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะโลกนี้มันเปลี่ยนแปลง กรรมของคน ดูสิคนทำดีทำชั่วมันมีตลอดเวลาเห็นไหม เวลากรรมมันเปลี่ยนทุกอย่างมันก็เปลี่ยนหมดน่ะ แกนของใจมันเปลี่ยนทุกอย่างมันก็เปลี่ยน ความเปลี่ยนไปน่ะ แล้วอะไรมันจะจริงล่ะ
ถ้าคนเราเกิดมาโดยกรรม โดยกรรมๆ และกรรมนี้ตายตัว ถ้ากรรมนี้ตายตัวนะเราเกิดมา พระอริยบุคคลเกิดไม่ได้ เพราะเราเกิดมาโดยกรรม กรรมมันต้องควบคุมไป เกิดมาโดยกรรม กรรมจัดสรร ธรรมะต่างหาก ธรรมะจัดสรร เห็นไหมกรรมเราเกิดมา เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะ พระเดินผ่านไป บิณฑบาตไป เห็นยาจกเข็ญใจ ๒ คนตายายนั่งอยู่นั่น ยิ้ม เวลายิ้มพระอานนท์ผู้อุปัฏฐากอยู่ ถ้าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้มนี่มันต้องมีเหตุผล ตกเย็นแล้วไปถามองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่บิณฑบาตเห็นตายาย ๒ คนนั้น ยิ้มเพราะอะไร ยิ้มเพราะ เขาเคยเป็นเศรษฐีนะ ๒ คนนี่เขาเคยเป็นเศรษฐี แต่เล่นการพนันจนหมดตัวเห็นไหม มาเป็นยาจกเข็ญใจ เมื่อก่อนถ้าเศรษฐี ๒ คนนี้ได้พบเราก่อน อย่างน้อยจะได้เป็นพระอนาคา
แต่ในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เจอเห็นไหม เดินผ่านไปแล้วยิ้มเนี่ย ยิ้ม ยิ้มแสดงว่าโอกาสเขาไม่มีเห็นไหม ที่ว่ากรรม ธรรมะจัดสรร พอธรรมะจัดสรร ธรรม ถ้าเป็นธรรม สภาวธรรม นี่ไงเวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ใครมีอำนาจวาสนา แล้วอายุขัยจะหมดไปต้องไปเอาคนนั้นก่อนเห็นไหม ถ้าเขาตายไปมันจะหมดโอกาส หรือเช่น เวลาพระองคุลิมาล จะฆ่าแม่อยู่แล้วนะ ถ้าวันนั้นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไปเอาพระองคุลิมาลก่อนนะ ต้องฆ่าแม่ พอฆ่าแม่แล้วหมดโอกาสเห็นไหม
มันปิดกั้น มันเป็นอนันตริยกรรม ถ้าได้ฆ่าพ่อแม่ไปแล้ว ถึงเจอองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกก็ไม่ได้ อย่างเช่น อชาตศัตรูเห็นไหม อชาตศัตรูไปคบเทวทัต พอคบเทวทัตขึ้นมาอยากมีอำนาจ เทวทัตเป่าหูยุแหย่ ให้ฆ่าพ่อเพื่อจะเอาสมบัติเห็นไหม ทำอนันตริยกรรม ถ้าไม่ได้ทำอนันตริยกรรมไว้ แล้วพอสุดท้ายแล้ว เวลาได้สมบัติแล้วก็ว้าเหว่ ก็มีความทุกข์เห็นไหม อำมาตย์พาไปเฝ้าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนสำนึก ศรัทธามากๆ แต่เพราะกรรมอันนั้นมันปิดกั้นไว้ ถึงอชาตศัตรูจะทำบุญขนาดไหน จะภาวนาขนาดไหน บรรลุธรรมไม่ได้ บรรลุธรรมไม่ได้เห็นไหม
ธรรมะถ้าพูดถึงธรรมจัดสรร แต่ถ้าโอกาสเห็นไหม การคบครูบาอาจารย์ การคบหมู่คณะ การฟังธรรม สิ่งที่ทำมันทำนอกสมมุติ นอกสมมุติ ใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ในสมมุติไม่มีหรอก ไม่มีในสมมุติ แต่บัญญัติ บัญญัติขึ้นมานะ บัญญัติเป็นธรรมวินัย เป็นธรรมวินัยวางไว้ให้เราศึกษาเห็นไหม
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ เราตรัสรู้เอง ขนาดมีทฤษฎี มีธรรมและวินัยเป็นศาสดา เป็นเครื่องดำเนิน เรายังเอาสมมุติ รู้ในสมมุติ เอาความรู้ความเห็นของเราไปศึกษาธรรม มันสมมุติทั้งนั้น สมมุติเห็นไหม รู้ในสมมุติ แล้วสมมุติมันทำอย่างไรได้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่มีการประพฤติปฏิบัตินะ มันเป็นสมมุติ มันเป็นความรู้สึกของใจ
แม้แต่ปฏิบัติ ถ้าครูบาอาจารย์ ถ้าใจไม่รู้นอกสมมุติ แล้วเอาสมมุติมาสอนกัน สมมุติมาสอนกันนะ เวลาครูบาอาจารย์เทศน์นะ เช่นหลวงปู่มั่น เวลาเทศน์ขึ้นมานี่เป็นสมมุติไหม เวลาท่านเทศน์ออกมาน่ะ มันเป็นวิธีการ มันเป็นแบบอย่าง ยืนยันเลยมรรคผลนิพพานมี แล้วมีอย่างไร ถ้าพิสูจน์กันได้ พิสูจน์โดยปฏิบัติขึ้นมามันเป็นความจริง แล้วเวลาองค์หลวงปู่มั่นเทศนาว่าการ ธรรมแท้ๆ จากใจขององค์หลวงปู่มั่น เนี่ยพูดพระกรรมฐาน พระป่าเราที่ติดครูติดอาจารย์ก็ตรงนี้ไง ติดครูติดอาจารย์ขณะที่เทศนาว่าการ มันเป็นปัจจุบันนะ มันเป็นปัจจุบัน
เหมือนเขาเล่นการพนันกันเห็นไหม เขาเล่นกัน เขาแจกไพ่ขึ้นมาเขาลุ้นกันเดี๋ยวนั้น เขาเกเขาทับกันเดี๋ยวนั้น แล้วเขาได้เสียกันเดี๋ยวนั้นนะ ในการฟังธรรมก็เหมือนกัน กิเลสมันคุมหัวใจเราอยู่ เราฟังในเทปก็ได้ แต่ฟังในเทปเห็นไหมมันตายตัวๆ แต่ขณะที่ฟังปัจจุบัน เวลาเทศน์มันปัจจุบัน มันเข้าถึงปัจจุบันนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ใจท่านเป็นธรรม การแสดงออกมาของท่านเป็นธรรม ขณะที่เราฟังปัจจุบัน ถ้าได้ประโยชน์เดี๋ยวนั้น มันจะปิ๊งในหัวใจเดี๋ยวนั้น หัวใจมันเข้าใจเดี๋ยวนั้น มันก้าวเดินได้เดี๋ยวนั้น มันขยับเดินเข้าไปเดี๋ยวนั้น นี่การประพฤติปฏิบัตินะ แต่ขณะที่เวลาแสดงออกไปแล้ว เวลาจำมามันเป็นสมมุติไหม มันก็เป็นสมมุติ
เวลาเราอ่านเห็นไหมดูสิ ดูมุตโตทัยสิ เราอ่านมันตายตัว เราตีความอย่างไร ในมุตโตทัยนะมันก็มีหลายสำนวน สำนวนของครูบาอาจารย์แต่ละองค์จดจารึกมา นี่ผู้จดจารึกเห็นไหม ใจของผู้จดจารึก คนที่มีวุฒิภาวะเสมอกัน วุฒิภาวะที่เท่ากัน แสดงธรรมออกมาหรือฟังธรรมออกมา มันเข้าใจกัน วุฒิภาวะมันต่างกัน คนที่ฟังมาเห็นไหม วุฒิภาวะเนี่ยเป็นปุถุชน เป็นปุถุชนจิตใจมันมีอวิชชา มีความสมมุติบัญญัติครอบงำอยู่แล้ว มีสมมุติครอบงำเลย ไม่มีบัญญัติสิ่งต่างๆ เลย
เพราะบัญญัติสิ่งต่างๆ ของพระพุทธเจ้า เพราะบัญญัติของเราบัญญัติโดยกิเลส กิเลสเราบัญญัติ ตีความ เข้าใจ แล้วให้คะแนนบวกลบคูณหารเสร็จ ธรรมะต้องเป็นอย่างนั้น มันไม่มีความเข้าใจใช่ไหม มันก็มีอวิชชา มีกิเลส มันก็ตีความไปตามภาษากิเลส เวลาเขียนออกมามุตโตทัยถึงมีหลายสำนวนไง หลายสำนวนนะ มุตโตทัยแต่ละเล่มอ่านไม่เหมือนกันหรอก แต่ละสำนวนที่เขียน องค์ที่เขียนเหมือนกัน พิมพ์กี่ครั้งมันก็เหมือนกัน แต่ถ้าองค์ที่เขียนต่างกันเห็นไหม มันเป็นสมมุติยัง เนี่ยสมมุติยัง สมมุติจากเรานี่ไง สมมุติจากใจของเรา รู้ในสมมุติ
ธรรมของหลวงปู่มั่น ท่านวิมุตติ ท่านเป็นธรรมแท้ๆ แต่ใจผู้ที่ฟังมา มันมีสมมุติครอบงำมันอยู่ สมมุติอวิชชามันปิดหัวใจอยู่ พอปิดหัวใจอยู่ ตีความโดยสมมุติเห็นไหม รู้โดยสมมุติ รู้โดยสมมุตินะ ถ้ารู้นอกสมมุติเห็นไหม ถ้าเราจะรู้ธรรมมันต้องปฏิบัติ มันต้องปฏิบัติเท่านั้น เพราะการรู้นอกสมมุติ สิ่งที่เป็นสมมุติบัญญัติเห็นไหม เราศึกษาทางวิชาการมา เราศึกษามาแล้วเราปฏิบัติไป เพราะมันครอบงำโดยอวิชชา โดยความไม่รู้ของใจ เพราะมันครอบงำอยู่แล้ว มันครอบงำใจเราอยู่แล้วเห็นไหม เราก็ตีความกันไป
ในการปฏิบัติมันยาก มันยากตรงนี้ไง ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่มีตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม บอกว่าในการประพฤติปฏิบัติกัน บางฝ่ายเห็นไหม บอกความอยากไม่มี ความอยากปฏิบัติไม่ได้ มันปฏิบัติไม่ได้ได้อย่างไร มันปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติแล้วมันไม่ได้ผล มันไม่ได้ผลเพราะอะไร เพราะมันเป็นตัณหา สิ่งที่เป็นตัณหา แล้วบอกว่ามันต้องไม่ให้มีตัณหา ปฏิบัติโดยวางใจเป็นกลาง อันนั้นก็เป็นสมมุติอีกอันหนึ่ง สมมุติว่าไม่มีไง สมมุติว่าฉันไม่มีความอยาก ฉันทำแบบขอนไม้ ฉันทำแบบไม่มีชีวิตชีวาความรู้สึกอะไรเลย ดับมันให้หมด พอดับมันให้หมด ผลที่จะได้รับมันก็ดับไปด้วย
แต่ถ้าเราทำตามสัจจะความจริงใช่ไหม นี่ความอยากอันนั้น เราอยากในเหตุ เราอยากในการกระทำ ถ้าเราอยากในเหตุในการกระทำเห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วถ้าเราสาวไปหาเหตุ เหตุคืออะไร เหตุคือนั่งสมาธิภาวนา คือตั้งสติ เหตุคือเดินอริยมรรค คือพยายามสร้างมรรคญาณขึ้นมาในหัวใจ การสร้างมรรคญาณขึ้นมา ในเมื่อจิตเราเป็นสมมุติเห็นไหม ดูสิ การตีความเห็นไหม เนี่ยสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ ทุกอย่างก็ทำความชอบหมดแล้ว ชอบของกิเลสไง นี่ไงชอบ
ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง มรรค ๘ เห็นไหม อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรค ๘ สติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ มันก็เป็นมรรค ๘ สิ่งที่เป็นมรรค ๘ แล้วเราก็สร้างภาพกัน เราสร้างภาพกันนี่สมมุติไหม รู้โดยสมมุติ รู้โดยการจัดตั้ง รู้โดยการสร้างคาดการณ์ในหัวใจ แล้วมันเป็นความจริงไหม ปฏิบัติธรรมเพื่อจะเอาธรรมะ แต่ปฏิบัติธรรมแล้วเอาผลของกิเลส เอาเป็นกิเลสทั้งหมดเลย แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้วมีความอยากก็ไม่ได้ มีความอยากไม่ได้เนี่ยใช้ปัญญาไปเลย วิปัสสนาสายตรง วิปัสสนาสายตรงนะ แล้วแต่ผู้ที่ทำพุทโธกรรมฐาน พระป่าเนี่ย สิ่งที่เป็นกรรมฐาน มันเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ มันไม่เป็นปัญญา
ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฆ่ากิเลสด้วยปัญญา มันปัญญามันนอกสมมุติ ถ้าเป็นปัญญาที่เกิดขึ้นเราเนี่ยปัญญาในสมมุติ รู้ในสมมุติ ปัญญาในสมมุติ สมมุติธรรม สมมุติธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกระทำให้คะแนน ให้ใจของตัวเองเป็นธรรมแบบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มันสมมุติซ้อนสมมุติ มันก็ตกอยู่ในสมมุติ นี่ก็ว่าวิปัสสนาโดยสมมุติ เขาว่าวิปัสสนาสายตรง แต่มันเป็นการวิปัสสนาโดยสมมุติโดยการจัดตั้งของใจ โดยการวิปัสสนา โดยที่ไม่มีใครเข้าใจ โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันหลอกไป แล้วก็ว่านี่กลายเป็นวิปัสสนาสายตรง สายตรงโดยกิเลส
แต่ถ้าเป็นขณะเรากำหนดพุทโธเห็นไหม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ กำหนดพุทโธ พุทโธ มันเป็นกรรมฐาน มันต้องเป็นกรรมฐานก่อน ถ้าไม่ทำกรรมฐานก่อนเราจะไม่สามารถรู้นอกสมมุติ เพราะอะไร เพราะจิตนี้เป็นสมมุติ จิตนี้เป็นสมมุติ ตัณหาความทะยานอยากเป็นสมมุติ สิ่งที่เป็นสมมุติ ถ้ามีความอยากปฏิบัติไม่ได้ ความอยากอย่างนี้มันเป็นพลังงาน ความอยากที่มันเป็นกามฉันท์ไม่ใช่กามราคะ ไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นความพอใจ ถ้าเป็นกามฉันท์มันเป็นความพอใจเห็นไหม เนี่ยฉันทะ ฉันทะความพอใจ ถ้าฉันทะความพอใจมันเป็นกิเลสไหม ฉันทะความพอใจมันเป็นกิเลสหรือเปล่า เพราะจิตมันสงบ มันทำให้กิเลสสงบตัวลง มันทำให้ตัณหาความทะยานอยากมันสงบตัวลง แต่โดยตัวของมันเอง โดยตัวของมันเองก็เป็น ในเมื่อโดยตัวของมันเองเป็นเพราะอะไร เพราะมันเป็นอวิชชาน่ะ มันเป็นสิ่งที่เกิดเห็นไหม มันปฏิเสธสิ่งนี้ไม่ได้ ปฏิเสธการเกิดไม่ได้
ในเมื่อปฏิเสธในการเกิด เกิดจากอะไร เกิดจากจิต ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ของมารดา ปฏิสนธิจิตเกิดจากไข่ของมารดาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์น่ะโดยสมมุติ สมมุตินะ เกิดยังไม่รู้จักสมมุติเลย สมมุตินะเห็นไหม เพราะมนุษย์มันเป็นของชั่วคราว มันเป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่ ความเป็นสมมุติ ใจมันเป็นสมมุติ การเกิดก็เป็นสมมุติ ชาติภพเป็นสมมุติหมด แต่มันมีสิ่งที่เป็นจริงคือจิต สิ่งที่เป็นจิต คือจิตมันโดนสมมุติครอบงำอีกชั้นหนึ่ง สมมุตินอก สมมุติใน สมมุตินอกคือสมมุติของชีวิต สมมุติของมนุษย์ แต่สมมุติของจิต มันมีอวิชชาครอบงำเห็นไหม นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติที่เป็นจิตที่โดนครอบงำอันนี้ สิ่งนี้มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ แล้วสิ่งที่มันเป็นตัณหาความทะยานอยากอยู่ มันมีพลังงานของมัน มันเป็นความอยาก มันเป็นตัณหา มันเป็นกิเลสโดยชัดเจน มันเป็นสมมุติโดยชัดเจนเลย แต่เพราะเราศึกษาธรรมเห็นไหม ธรรมะจัดสรร
ธรรมะจัดสรรคือเราศึกษาธรรม เรามีศรัทธา มีความเชื่อ เรามีศรัทธาความเชื่อ เรามีครูบาอาจารย์ที่รู้จริง ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงท่านจะบอกถึงความจริงว่า มันจะเริ่มต้นจากจิตปฏิสนธิจิตนี่แหละ ถ้ามันไม่เริ่มต้นปฏิสนธิจิต มันจะไปทำที่ไหน มันก็นอกสมมุติไง นอกสมมุติอีกนะ เนี่ยสมมุติ ในสมมุติแล้วยังทำให้สมมุติมันรู้ออกไปยึดภายนอกจากการประพฤติปฏิบัติไงว่า นี่วิปัสสนาสายตรง คือมันสร้างภาพ มันเป็นการทำใจให้มันสิ้นเปลือง สิ้นเปล่าไปโดยไม่มีประโยชน์สิ่งใดๆ เลย แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ความจริงเห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านี่จริงไหม ธรรมวินัยจริงไหม จริง จริงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมา รู้วิธีการเห็นไหม
เวลาไปเทศนากับปัญจวัคคีย์ เนี่ยเทศน์ธรรมจักร สิ่งที่เป็นหัวใจในธรรมจักร เทศน์ว่า จักรคือธรรม ตัวธรรมจักรคือมรรค ๘ มันได้เคลื่อนแล้ว สิ่งที่มันเคลื่อนไปแล้วมันย้อนกลับอีกไม่ได้เลย มันย้อนกลับไม่ได้ตั้งแต่ใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่โคนต้นโพธิ์ เพราะอะไร เพราะจิตมันเป็นแล้ว จิตมันเป็น จิตมันรู้แล้ว สิ่งที่รู้แล้วเนี่ยตัวจิตเป็น แต่การแสดงออกมา การไปเทศน์กับปัญจวัคคีย์ มันไปเทศน์วิธีการเห็นไหม วิธีการที่ต้องการกระทำอย่างนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะทำตาม ทำตามเห็นไหม ทำตามเพราะอะไร เพราะมันเคลื่อนไปที่จิต ตัวจิตมันรู้จริง ตัวจริงเนี่ยศึกษาธรรมเห็นไหม
ขณะเทศนาว่าการจิตมันรับเดี๋ยวนั้นเห็นไหม มันเป็นการรู้เดี๋ยวนั้น พอรู้เดี๋ยวนั้นปล่อยเดี๋ยวนั้นเห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา ดับเป็นธรรมดากิเลสมันดับไป กิเลสมันเกิดแล้วกิเลสมันดับไป สิ่งที่ไม่เป็นธรรมดาคือหัวใจที่มันรู้อยู่ หัวใจที่รู้อยู่ รู้การเกิดดับ ที่มันดับที่มันปล่อยวางอันนั้นน่ะ สิ่งอันนั้นน่ะ เนี่ย นอกสมมุติ สิ่งนอกสมมุติเนี่ย เวลาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์เห็นไหม สิ่งนอกสมมุติ นอกสมมุติเพราะอะไร เพราะมันเป็นจริงไง นอกสมมุติเพราะมันไม่เป็นไปตามกติกา ไม่เป็นไปตามกฏของวัฏฏะ มันไม่เป็นไปตามความเป็นจริงของโลกอีกแล้ว ไม่เป็นความจริงหรอก เพราะโลกไม่มีที่สิ้นสุดเห็นไหม การเกิดและการตายไม่มีต้นและไม่มีปลาย ไม่มีต้นไม่มีปลายมันต้องเกิดตายอย่างนั้นตลอดไปเห็นไหม แต่พอเป็นพระโสดาบันขึ้นมานี่มันอย่างมากอีก ๗ ชาติเท่านั้น เห็นไหม มันไม่เป็นไปตามกระแสนั้นอีกแล้ว
สิ่งที่นอกสมมุติมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามานะ สิ่งที่นอกสมมุติ นอกสมมุติคือธรรมจริง ในพระไตรปิฎกที่วางธรรมและวินัยไว้ ที่ไปศึกษาๆ มันเป็นวิธีการ ในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกถึงนิพพานเป็นอย่างไร ไม่ได้บอกว่าโสดาบัน ผลของโสดาบันเป็นอย่างไร เพียงแต่ผลของโสดาบันเหมือนกับทางการศึกษา ผลของผู้จบขั้นตอนของการศึกษา ของการศึกษาระดับแต่ละขั้นแต่ละชั้น ไม่เหมือนกันเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันในเมื่อเราพิจารณาไป เวลาเกิดสัจจะความจริง จิต ศีล สมาธิ ปัญญาโดยกรรมฐาน ถ้าโดยกรรมฐานจิตมันสงบเข้ามาก่อน พอจิตสงบเข้ามา มันสงบไปที่ไหน พอมันสงบเข้ามาสงบเข้าไปที่จิต ถ้ามันไม่เข้าไปที่จิต ฐีติจิตเห็นไหม
พูดถึงเวลาจิตสงบอัปปนาสมาธิมันปล่อยร่างกายได้เลย แต่ขณะที่มันความคิดของเรา มันคิดออกมาจากขันธ์ พอคิดออกมาจากขันธ์ ความคิดมันออกมา มันคิดออกจากขันธ์ใช่ไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คนที่วิปัสสนาจะเห็นสัจจะความจริงอย่างนี้เลย อารมณ์เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง ความคิดเป็นความรู้สึกอันหนึ่ง ความรู้สึกต่างๆ อารมณ์แต่ละอารมณ์มันเป็นความรู้สึกอันหนึ่ง อันหนึ่ง อันหนึ่ง อันหนึ่ง มันถึงคิดซ้ำซาก มันถึงคิดซ้ำซาก มันก็เหมือนกับเราทำเลขเห็นไหม หรือเราทำบัญชี มันก็เลขเดิมๆ นั่นแหละ แต่มันข้อมูลมันคนละอันไงล่ะ รายรับอย่างนี้รายจ่ายอย่างนั้น เนี่ย รายรับ รายรับคือคิดในแง่ดี รายจ่ายคือคิดในแง่ทุกข์ มันก็เกิดรายรับรายจ่ายๆ เลขบัญชีมันก็ซ้อน ซับซ้อนๆ กันไปอย่างนั้นแหละ
แต่ความคิดมันคิดว่าเหมือนอันเดียวกันเห็นไหม สิ่งที่มันเกิดดับอย่างนี้ ถ้ามันเกิดดับอย่างนี้ ถ้าวิปัสสนาไปมันเห็นการเกิดดับของใจ การเกิดดับของใจ แล้ววิปัสสนาสายตรง มันวิปัสสนาสายตรง มันคิดวิปัสสนาจากการเกิดดับ จากอารมณ์ความรู้สึก มันไม่ได้เข้าไปถึงตัวใจ ไม่เข้าถึงตัวใจเลย เพราะอะไร เพราะขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่ใจ มันไม่ใช่ใจหรอก แล้วเนี่ยวิปัสสนาสายตรง ก็วิปัสสนา ความคิดมันเกิดจากตรงนี้ ความคิดเกิดในสมมุติไง การเกิดการดับเป็นสมมุติไหม อารมณ์ความคิดเราเป็นสมมุติไหม สิ่งที่คิดขึ้นมาแล้วทุกข์นี่เป็นสมมุติไหม สมมุติทั้งนั้นเลย แล้วสมมุติแก้สมมุติได้ไหม มันแก้ไม่ได้หรอก กิเลสแก้กิเลสไม่ได้ แต่เราไม่เข้าใจกันเห็นไหม
แม้แต่ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานอยู่ที่ไหน ผลการอธิบายนิพพานเห็นไหม เพียงแต่ว่าสมัยพุทธกาล มีผู้ปฏิบัติ มีพระ มีคฤหัสถ์ มีกษัตริย์ไปถามนะ นิพพานเป็นอย่างไร ท่านเปรียบเทียบนะ นิพพานเหมือนจุดเทียนแล้วเห็นไฟไหม เนี่ยดับไฟ สิ่งที่ดับไป นิพพานเป็นอย่างนี้ สิ่งที่จุดขึ้นมา มีไฟไหม ดับไฟแล้วมันไปไหน แล้วไฟไปไหน นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เปรียบเทียบ เปรียบเทียบเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จริงไง สิ่งที่รู้จริงนี่เปรียบเทียบให้เห็น เราก็จำนิพพานคือจุดเทียนหรือ นิพพานคือไฟหรือ มันก็ไม่ใช่อีกเห็นไหม สิ่งที่ว่านี่มันเอาออกมาแสดงกันไม่ได้ แต่มันรู้จริงตามทันกันได้ ถ้ามันรู้จริง เพราะสิ่งที่รู้จริงก็คือความรู้จริงเห็นไหม รู้จริงคือรู้นอกสมมุติ นอกสมมุติที่ไหน
เพราะมันต้องทำให้ความรู้สึก ความคิดนี่มันสงบตัวเข้ามาเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมันจะแบ่งแยกได้ไง ว่าปัญญาที่คิดขึ้นมานี่มันเป็นโลกียปัญญา โลก โลกียะ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือจิต โลกคือภวาสวะ โลกคือภพ โลกคือหัวใจไง โลกคือความรู้สึก โลกทัศน์ โลกใน โลกนอกเห็นไหม โลกนอกคือจักรวาล โลกนอกจักรวาล โลกนี้เป็นที่อาศัยของร่างกาย ร่างกายอาศัยโลกนี้อยู่เห็นไหม อาศัยโลกนี้ อาศัยความเป็นไปของโลก อาศัยอาหารจากโลก อาศัยโลกนี้นอน แล้วโลกนี้เห็นไหม ธาตุ ๔ ธาตุ ๔ โลกก็ต้องทิ้งไป ร่างกายนี้ก็ต้องทิ้งไว้เป็นโลกเห็นไหม
ร่างกายนี้คือดิน เรานั่งอยู่นี่ นั่งอยู่บนกองกระดูกนะ กระดูกเห็นไหม ร่างกายของเราเวลามันฝังไว้ที่ในดิน มันก็ย่อยสลายกลายเป็นดิน มันสะสมกันไป โลกน่ะเห็นไหม แล้วเราเกิดมาสิ่งที่ธาตุ ๔ มันก็คืออะไร เรามานั่งอยู่บนกองกระดูกของเราเอง เรามาใช้น้ำตาของเราเอง น้ำตาที่ร้องไห้ไว้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมะนะ คนเราเกิดตายๆ ชีวิตคนหนึ่งน่ะที่เกิดมาร้องไห้ๆ ถ้าเอาสิ่งนี้มารวมกันในจิตดวงหนึ่ง น้ำตาเราน่ะเหมือนกับน้ำทะเล เราก็มาใช้ของเราอีก มันเป็นเรื่องของโลกเห็นไหม แต่เรื่องโลกทัศน์ภายในล่ะ
โลกทัศน์ภายใน ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันจะถึงฐีติจิต ถึงตัวโลก ถึงตัวที่อยู่ของกิเลส ถึงตัวอยู่ของความรู้สึก ถ้าตัวอยู่ของความรู้สึกเห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามาจิตสงบเข้ามา ต้องทำ ศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีล เรามีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อมันเป็นสมมุติไหม สมมุติทั้งนั้น เพราะเราเกิดกับโลกเห็นไหม โลกนี้เป็นสมมุตินะ ธรรมะก็สมมุติบัญญัติ เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วถึงได้บัญญัติธรรมไว้เห็นไหม อย่าง ขันธ์ ๕ อย่าง บัญญัติ บัญญัติเป็นศัพท์บาลี เป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันก็เป็นสมมุติของเรา มันเป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์
องค์สมเด็จพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ใจที่สิ้นกิเลส ใจมันพ้น มันรู้นอกสมมุติ ไม่ใช่มีกรอบใดๆ ที่จะมาครอบงำใจดวงนี้ได้ ใจดวงนี้มันรู้สัจจะความจริง ไม่มีสิ่งเศร้าหมอง ไม่มีสิ่งใดเข้าไปขัดแย้งกับธรรมอย่างนี้ได้เลย มันเป็นธรรมะจริงๆ ธรรมะจริงๆ แสดงธรรมออกมา แสดงธรรมออกมาจากใจ ถ้าออกมาจากใจ เราฟังธรรมอันนี้มันถึงแทงใจเราไง มันแทงในหัวใจเราเพราะมันออกมาจากใจ ธรรมะที่ออกมานี้มันเป็นสิ่งที่ชำระล้างกิเลส กิเลสมันอยู่ที่ใจเรา ถ้าอยู่ที่ใจเรา ธรรมะทิ่มแทงกิเลสของเรา มันถึงได้ขนพองสยองเกล้า ธรรมของครูบาอาจารย์ เวลาเราเทศนาว่าการเห็นไหม เราสะเทือนนะ สะเทือนกิเลส ถ้าธรรมของครูบาอาจารย์ที่มีกิเลสเห็นไหม มันไม่สะเทือนกิเลสเพราะอะไร เพราะมันมาจากกิเลสไง มันมาจากเชื้อไขเดียวกัน มันเข้ากันได้ แต่ถ้าเป็นธรรมเห็นไหม มันไม่มาจากเชื้อไขของกิเลส ถ้าไม่มาจากเชื้อไขกิเลส เวลาแสดงธรรมขึ้นมามันถึงสะเทือนเข้าถึงใจ
ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ถ้าในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติโดยสมมุติเห็นไหม โดยนาม โดยรูป นามรูปก็คือความคิดนี่ไง มันก็เกิดดับโดยธรรมชาติของมันไง เราก็เอาความคิดนี่แก้ความคิด เอานามรูปแก้นามรูป มันเป็นโลกียปัญญามันจะแก้กันได้อย่างไร มันก็ตกอยู่ใน.. เนี่ยรู้ในสมมุติ รู้ในสมมุติบัญญัติขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้นอกสมมุติ ไม่รู้สัจจะความจริง ถ้ารู้นอกสมมุติเห็นไหม จิตมันสงบเข้ามา พอจิตกำหนด พุทโธ พุทโธ พุทโธ ตั้งสติไว้ มันจะทำยากทำง่ายอย่างไรมันเป็นหน้าที่ของเรา
ถ้าเราต้องการความจริง เราต้องการความจริงเราต้องมีศีล เราต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา ถ้าเราไม่มีศีลนะ จิตสงบได้ไหม ได้ ถ้าจิตสงบขึ้นมาได้ เพราะคนที่จิตใจเข้มแข้งจะทำความผิด จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ ทำจิตให้สงบได้ ถ้าจิตสงบได้เพราะมันไม่มีศีลควบคุมมันมาเห็นไหม มันจะออกทำสิ่งต่างๆ ก็ได้ เพราะอะไร เพราะคนไม่มีศีลมีสัตย์ คนไม่มีศีลมีสัตย์พอจิตมันรับรู้สิ่งต่างๆ เห็นไหม แล้วมีผลประโยชน์ มันทำได้นะ มันทำเป็นอวิชชา มันเป็นสิ่งที่เป็นมนต์ดำ มันทำสิ่งต่างๆ เห็นไหมดูสิ เวลาเหาะเหินเดินฟ้า ทายพยากรณ์ต่างๆ มันได้ผลประโยชน์ไง ได้ผลประโยชน์คือได้สิ่งที่ยอมเคารพนับถือจากโลกเขา โลกธรรม ๘ คนนี้เป็นผู้วิเศษ คนนี้รู้วาระจิต คนนู้นรู้สิ่งต่างๆ มันเป็นสิ่งที่เกิดจากพลังงานของใจ แล้วใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายโดยที่ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วถ้าทำผิดด้วยมันเกิดกรรมอีกเห็นไหม
แต่ถ้ามีศีลเห็นไหม ปาณาติปาตา การทำลายตัวเอง การทำลายคนอื่นเห็นไหม อทินนา ไม่รัก ไม่ฉ้อ ไม่โกง ไม่ต้องการความเคารพบูชาจากใคร ความเคารพบูชามันเป็นผลประโยชน์เห็นไหม มีศีลเห็นไหม ขณะมีศีล ปาณา มีมุสา มีต่างๆ ขึ้นมา มันทำให้จิตมันมีศีล ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา มันก็เป็นสัมมาสมาธิเพราะอะไร เพราะมันมีศีลควบคุมไง มันมีศีลควบคุม มันมีความละอาย มันมีความเกรงกลัว มันจะทำสิ่งที่ดีดีเห็นไหม นี่สัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา เนี่ย นอกสมมุติละ เพราะสมมุติมันเป็นอนิจจัง ถ้าเป็นสมาธิเห็นไหม มันเป็นชั่วคราว เพราะมันพ้นจากสมมุติโดยชั่วคราว
ถ้ามีสมาธิแล้วเนี่ย เราพยายามฝึกฝนให้มีความชำนาญ ถ้าเรามีสมาธิ คนไม่เข้าใจก็ว่าสมาธินี่เป็นนิพพาน สมาธินี้เป็นความสุข สมาธิเป็นความว่าง นิพพานเป็นความว่างไง นิพพานก็เป็นสมาธิแค่นั้นหรือ สมาธิเป็นนิพพานหรือ สมาธิไม่เป็นนิพพานหรอก แต่สมาธินี่เป็นฐาน เป็นฐานของการที่เราจะรู้นอกสมมุติ เพราะตัวสมาธิ มันตัวความรู้จักจิตเห็นไหม เวลาเป็นสมาธิ สมาธิมันอยู่ที่ฐานของจิต มันรู้โดยความเป็นจริงของมัน มันมีกำลังของมันเห็นไหม แล้วเราเอาฐานตัวนี้ออกวิปัสสนา ออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม
การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็นได้กายนอกกายใน กายนอกเห็นไหม ดูสิโดยสามัญสำนึกเรามีศรัทธา มีความเชื่อ เราอยากประพฤติปฏิบัติแต่จิตของเราเนี่ย เวลาไม้ดิบๆ ความคิด กิเลสดิบๆ หักดิบเราหักยากมาก การหักยากเพราะโดยสมมุติใช่ไหม เราเกิดชีวิตโดยสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติ สมมุติมันก็ครอบงำเรา พอครอบงำเรามันก็ต้องเวลาศึกษาธรรม เวลาไปศึกษา แล้วมีศรัทธา อาศัยสมมุติ สมมุติก็หลอกเรา คือเห็นสิ่งใดไป มันไม่ยอมรับ มันดื้อดึง มันไม่..
ถ้าคนนะเวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปน่ะ จิตมันต่อต้าน มันต่อต้านนะ นั่นก็ไม่มี นั่นก็ไม่เป็น แล้วยังติยังเตียนธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์นี่เขียนไว้ไม่ให้เราดำรงชีวิตโดยความอิสระ ถ้าไม่มีนรกไม่มีสวรรค์เราก็ดำรงชีวิตโดยอิสระเห็นไหม มันต่อต้านจากข้างใน เพราะข้างในมันไม้ดิบๆ กิเลสมันมีกำลัง ถ้าเรากำหนด พุทโธๆ มันจะต่อต้าน มันจะทำได้ยาก แต่ถ้าต่อต้านทำได้ยากเห็นไหม เราก็ใช้ปัญญา ใช้ปัญญาใคร่ครวญมันดูมัน ดูว่าทำไมมันถึงคิดอย่างนี้ ความคิดอย่างนี้ ทำไมเรามันคิดได้ ถ้าเอาความคิดมาตีแผ่กัน เราจะเป็นคนชั่ว เพราะเราคิดชั่ว เราคิดแต่เรื่องสิ่งชั่วๆ แต่เราก็หมักหมมไว้ในใจ หน้าฉากเราก็เป็นคนดี แต่ความคิดมันก็เป็นกิเลส มันมีตัณหาทะยากอยากมันก็ชั่วเห็นไหม
เราเป็นคนรู้ เป็นคนมีสติใช่ไหม เราต้องการคุณงามความดีใช่ไหม เราก็ไตร่ตรองมันเห็นไหม เนี่ยมันไปลบล้างความชั่ว ถ้าสิ่งที่ชั่วดีไหม สิ่งที่ชั่วมันไม่ดี แล้วสิ่งที่ชั่วมันอยู่ไหน ก็อยู่ที่ใจเรานี่ไง คิดชั่วๆ คิดนอกธรรมะ คิดต่อต้าน คิดเหยียบย่ำ คิดทำลาย สิ่งที่ควรจะเป็นความจริงเห็นไหม เราปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรม แดดออกมันก็ร้อน ลมพัดมันก็เย็น ถ้าปฏิบัติเราทำมันจริงมันก็ต้องรู้คุณโทษสิ เห็นคุณงามความดี เห็นความบกพร่องของใจสิ ถ้ามันเห็นความบกพร่อง ถ้ามันปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม ถ้ามีสติมีปัญญามันใคร่ครวญเข้ามา ใคร่ครวญเข้ามาเห็นไหม ใคร่ครวญสิ่งที่เป็นสมมุติไง
การคิดนี่เป็นสมมุติหมด สิ่งที่สมมุติ แต่สมมุติมันเป็นความจริงโดยสามัญสำนึกของชีวิต แต่มันเป็นสมมุติของธรรม ของธรรมเพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริง แต่ขณะที่เป็นชีวิตมันเป็นความจริงไหม ไม่จริงคิดทำไม ไม่จริงคิดแล้วน้ำตาไหลทำไม ไม่จริงแล้วทุกข์ทำไม มันเป็นจริง จริงโดยสมมุติไง แล้วก็เนี่ยความรู้ รู้จากตรงนี้ไง รู้จากตรงนี้มันก็เป็นความจริงไง แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะไล่มันต้อนเข้ามาเห็นไหม มันจะกลับมาที่ฐานของจิต กลับมาที่ตัวของจิต ถ้ากลับมาที่ตัวของจิตเห็นไหม มันปล่อยสมมุติเข้ามา มันปล่อยความเกิดดับเข้ามา ถ้าปล่อยความเกิดดับเข้ามาให้หมั่นพิจารณาบ่อยครั้งเข้า ไล่ต้อนบ่อยครั้งเข้า ใหม่ๆ มันจะหยุดชั่วคราว หยุดแป๊ปเดียวคิดอีก เพราะมันเร็วมาก มันมีความรวดเร็วของมัน มันมีกำลังของมัน ถ้าสติเราไล่ต้อนเข้าไป ไล่ต้อนเข้าไป มันสงบได้บ่อยครั้งเข้า เหมือนกับการทำงานเห็นไหม เราทำงานเรามีความชำนาญ งานนั้นเราทำด้วยความสะดวกสบายมากเลย แต่งานที่เราหัดทำครั้งแรก หรือทำงานสิ่งที่เราไม่เคยทำ มันจะทำยาก สิ่งที่ทำยาก
นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตทั้งชีวิต การเกิดมาโดยกิเลสมันก็โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ มันก็อยากสะดวกสบายของมันนี่แหละ โดยสัญชาตญาณ ดูสิดูสัตว์สิมันดำรงชีพของมันโดยสัญชาตญาณนะ ความดีความชั่วของมันโดยสัญชาตญาณของมันเท่านั้นแหละ แต่เราเป็นมนุษย์ เรามีสมอง เรามีความคิด วิทยาศาสตร์เจริญอย่างนี้ด้วย วิทยาศาสตร์มันยิ่งพิสูจน์ด้วยว่า ธรรมะพิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้เพราะเราอ่อนแอไง พิสูจน์ไม่ได้เพราะเรากิเลสมันเต็มหัว แต่ถ้าพิสูจน์ได้เนี่ยนั่งสมาธิภาวนาให้ทำจริงสิ ทำไมพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ร้อนทำไม หนาวทำไม มันร้อนมันหนาวมันทุกข์มันยากพิสูจน์ไม่ได้ได้อย่างไร เพราะมันร้อนมันหนาว มันทุกข์มันยาก มันเป็นความจริง มันเป็นความจริง จริงโดยสมมุติไง แต่ถ้าเราต่อต้านมัน เราต่อสู้มัน เราต่อสู้มันด้วยสัจจะความจริง ด้วยความเชื่อมั่นของเรา
ถ้ามันจิตสงบเข้ามาได้นี่มันยืนยันกับใจนะ อื้อ! ธรรมะนี้จริง ตำราจะพูดไว้อย่างไรเห็นไหม เราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ยืนยันว่าเป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มันยังไม่แน่นอน ไม่จริงจังเหมือนใจสัมผัสเลย ใจแค่เป็นสมาธิมันรู้เลยว่ามันแตกต่างกับความฟุ้งซ่าน มันแตกต่างกันอย่างไร เราพยายามตั้งสติ หมั่นฝึกหมั่นฝน ชำนาญเข้าไปเห็นไหม ความคิดที่ว่าหยุดๆ มันจะเพิ่มระยะห่าง คือว่ามันจะเพิ่มให้มากขึ้นๆ มันจะเป็นจริงว่าจิตมันปล่อย
จิตเวลามันปล่อยออกมา กับจิตเวลาที่มันโดยสัญชาตญาณที่คิดออกไป มันต่างกันอย่างไร เนี่ยรูปรสกลิ่นเสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ความคิดมันมีความคิดเพราะอะไร เพราะมันรูปรสกลิ่นเสียง สิ่งที่รูปกระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันทำให้คิด แม้แต่ไม่มีสิ่งใดคิด นั่งอยู่เฉยๆ มันกระทบไปที่ใจ ใจกระทบนะ กระทบกับข้อมูลเดิม ข้อมูลเป็นข้อมูล เป็นสถิติที่เคยรับ เคยมีข้อมูลอยู่ในหัวใจ คิดเรื่องนู้นเรื่องตั้งแต่เด็ก มีอะไรฝังใจมาจะคิดๆๆๆๆ คิดเห็นไหม แม้แต่ไม่ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายใจไปกระทบสิ่งใดเลย ใจมันยังกระทบได้เลย กระทบข้อมูลเดิมของมันเห็นไหม
ถ้ามีสติมันตามเข้าไป สิ่งที่มันเกิดขึ้นมามันโดยเวรโดยกรรมนะ เกิดจากครอบครัวใด เกิดจากการกระทบสิ่งใดนั้นมันผ่านมาแล้ว สิ่งที่มันผ่านมาแล้วมันเป็นเวรเป็นกรรมของเราทั้งนั้นน่ะ สิ่งนี้เป็นเวรเป็นกรรมมันเป็นอดีตอนาคต แล้วเราจะไปรับรู้ไปแบกหามไว้ทำไม ถ้าแบกหามทำไม สิ่งนี้มีคุณค่าคือชีวิตของเรา คือตัวพลังงานตัวนี้ ถ้าเป็นพลังงานน่ะมันหยุดบ่อยครั้งเข้า มันมหัศจรรย์บ่อยครั้งเข้าเห็นไหม ไล่เข้าไป ไล่เข้าไป มันจะตั้งมั่น จิตตั้งมั่นเห็นไหม จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นพิจารณาจนเห็นโทษของมันเห็นไหม รูปรสกลิ่นเสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าพิจารณาบ่อยครั้งจนมันตัดขาด นี่เป็นกัลยาณปุถุชน ตัดขาดเห็นไหม รูปรสกลิ่นเสียงมันเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานไปยึดมัน เสียงก็คือเสียง รูปก็คือรูป ทุกอย่างมันเป็นของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เพราะโดยสัญชาตญาณน่ะมันผสานกันโดยเสียง โดยกระทบหู มันจะรับรู้กันไปหมดเลย ดูอย่างภาษาสิ เวลาสื่อขึ้นมา เขาพูดมาทีเรายิ้มทำไม เราพยักหน้าทำไม ทำไมเราไปรับรู้เขาล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่รูปรสกลิ่นเสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แต่ขณะที่เราเข้าใจหมดแล้วเห็นไหม เราตัดขาดแล้วเสียงก็พูดมา เราก็รับรู้ เราก็ได้ยิน แต่เราไม่พยักหน้าก็ได้ พยักหน้าก็ได้ มันก็เป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของเขา มันเป็นเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียง มันไม่ใช่เรื่องของใจ ใจก็เรื่องของใจ เรื่องของเรา เรื่องของเราคือความรู้สึกของเรา แล้วทำไมเราต้องให้คนอื่นมาเป่าหู ทำไมต้องให้คนอื่นมาฉุดกระชากความคิดเราไป มันเป็นเรื่องไร้สาระ มันเรื่องของโลก เรื่องสามัญสำนึก แต่จิตดวงนี้มันจะเหนือกว่าสามัญสำนึกแล้วไง เหนือกว่าสามัญสำนึกเพราะมันปล่อยสิ่งนี้เข้ามา ปล่อยสิ่งนี้เข้ามาบ่อยครั้งเข้า จะจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นเราดูจิต ดูจิตมันจะออกไป จิตมันจะออกไปเสวยความคิด จิตมันจะไปเห็นความรับรู้ ความรับรู้เห็นไหมที่ว่ามันเป็นสมมุติ
ความคิดเป็นสมมุติ จิตถ้ามีอวิชชาครอบงำอยู่ มันก็ยังเป็นสมมุติอยู่ แต่เวลาทำจิตที่สะอาดแล้ว จิตนี้พ้นจากสมมุติได้ พ้นจากสมมุติเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป พ้นจากสมมุติเห็นไหม ถ้ามันออกไปเห็นความคิดเห็นไหม ความคิดที่เกิดจากจิต ถ้าความคิดที่เกิดจากจิต จิตเห็นจิต ถ้าจิตเห็นจิตวิปัสสนาไป ความคิดมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันมีสิ่งใดไปกระตุ้นมัน ไปเร้ามัน มันถึงได้มีความคิดออกมา แล้วถ้ามันเห็น มันเห็นอะไร สิ่งที่มันเห็นน่ะมันเห็นอะไร มันเห็นสิ่งที่มันการกระทำน่ะ สิ่งที่จิตมันเสวยอารมณ์น่ะ จิตที่มันออกไปรับรู้มัน.. ตัวจิตมันจะแซงออกได้อย่างไรถ้ามันไม่มีความคิด เพราะมีความคิดมันแสดงออก แสดงออกมันเป็นผลอะไรกับจิตเห็นไหม
ถ้ามันเห็นมันจับได้ การจับน่ะ จิตเห็นจิต จิตเห็นความคิด ความคิดไม่ใช่จิต แต่ความคิดเกิดจากจิต แล้วความคิดน่ะเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ มนุษย์มีสามัญสำนึก ความคิดมันต้องเกิดกับเรา ถ้าความคิดนี้เกิดขึ้นไม่ได้มันก็คนพิการสิ คนที่ไม่มีสมองสิ คนที่ไม่มีความคิดสิ คนที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้หรือ มันต้องเลี้ยงตัวเอง คนต้องมีอาชีพสิ คนที่เกิดขึ้นมากระทำ แต่สิ่งที่ทำมันเป็นบุญกุศล มันเป็นสมมุติโดยชีวิตเป็นสมมุติ
ถ้าเป็นธรรมเห็นไหม ธรรมมันแยกขึ้นมา มันเห็นขึ้นมา แยกขึ้นไปๆๆ ไปโดยธรรมนะ โดยความเห็นของเรา จับขึ้นมา มันจับความคิดได้ ความคิดประกอบไปด้วยอะไร ความคิดประกอบไปด้วยรูป รูปคือความคิดอันหนึ่งเห็นไหม รูปเนี่ย สิ่งที่เป็นวัตถุอันหนึ่ง ความคิดอันหนึ่งมันก็เป็นรูปอันหนึ่ง ถ้ามันไม่เป็นรูปอันหนึ่งมันจะคิดขึ้นมาได้อย่างไร ดูเทวดาสิ เทวดาเวลาเขามองมนุษย์เห็นไหม มนุษย์ดี มนุษย์ชั่ว มนุษย์ดีก็เป็นมนุสสเทโว มนุษย์ชั่วก็เป็น มนุสสเดรัจฉาโน เนี่ย ความคิดชั่วน่ะมันทำให้จิตนี้ชั่ว พอจิตนี้ชั่วเพราะอะไร เพราะความคิดนี้มันไม่ใช่จิตเห็นไหม มันเกิดจากจิต พอเกิดจากจิต เวลาเขาดูจิตเขาดูที่ความคิดนี่ ความคิดคนนี้เหม็นคลุ้งเพราะคิดแต่เรื่องชั่วๆ เขาจะเหม็นของเขา เหม็นคาวมนุษย์จะไม่เข้ามาใกล้เลย แต่ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขา เทวดามาฟังธรรม ฟังธรรมเพราะอะไร เพราะความคิดน่ะมันเป็นธรรม
สอุปเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ความคิดเป็นสสาร เป็นเศษทิ้งเห็นไหม ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นเศษส่วนของพระอรหันต์ ใจเป็นธรรมเห็นไหม กายก็เป็นธรรม ธรรมกาย ใจเป็นธรรม กายเป็นธรรม เพราะจิตมันเป็นธรรมก่อน พอจิตเป็นธรรมขึ้นมา การแสดงออกขึ้นมามันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ พอเป็นความสะอาดบริสุทธิ์มันก็กลิ่นหอม กลิ่นหอมของความคิดเห็นไหม เพราะมันคิดแต่เรื่องดีๆ มันคิดชั่วไม่ได้ สิ่งที่คิดชั่วไม่ได้ เทวดาเขารับรู้ของเขา เขาต้องฟังธรรมอย่างนั้น เนี่ยความคิด ความคิดไม่ใช่จิตไง ความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด แล้วถ้ามัน..
จิตไม่สงบเข้ามาก่อน จิตไม่เข้ามาถึงฐีติจิต ไม่เข้ามาถึงตัวปฏิสนธิจิต แล้วมันจะไปเห็นความคิดได้อย่างไร ก็แล้วไม่เห็นความคิดขึ้นมา ก็ทำกันไปเห็นไหม นี่สมมุติไง เป็นสมมุติ ก็คงเป็นความคิด ความคิดน่ะ ความรู้สึก ความคิดมันเป็นสมมุติอยู่แล้ว นามรูปเป็นสมมุติอยู่แล้ว แล้วจิตมันก็เอาสิ่งที่เป็นสมมุติหยาบๆ อย่างนี้แล้วก็ตีค่าธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันไม่มีที่มาที่ไป
อภิธรรมๆ ใช่ อภิธรรมเป็นทางที่ว่า เป็นทางวิทยาศาสตร์ทางจิต แต่วิทยาศาสตร์ทางจิต มันต้องมีข้อมูล ต้องมีวิธีการ ต้องมีพื้นฐานมาสิ นี้พื้นฐานก็มาจากอวิชชานี่ไง มาจากจิตที่สกปรกนี่ไงแต่การปฏิบัติโดยสมมุติ เขาว่าปฏิเสธความสกปรกของตัวเองก่อน ว่าจิตนี้ไม่สกปรก ถ้าจิตสกปรกมันเป็นตัณหา มันเป็นความอยาก ปฏิบัติไม่ได้ ไปปฏิเสธตัวจิต แล้วจะไปเอาผลของอภิธรรม ผลของอภิธรรมก็เอาจิต เอาคุณค่าของความรู้สึก รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ เนี่ย รูป เวทนาเห็นไหม ความคิด เนี่ยเอารูป เอาความคิดว่าเป็นอภิธรรม เป็นธรรมๆ มันโดยสมมุติไง สมมุติว่าเป็นธรรมแต่ไม่ใช่ธรรม เพราะสิ่งที่มันจะสะอาดได้ มันต้องมาจากของสกปรก ของสกปรกคือตัวใจ ตัวเกิดมันถึงจะเป็นธรรมของเราไง มันถึงจะเป็นรู้นอกสมมุติไง เพราะมันเป็นสมมุติ
แล้วเวลาวิปัสสนามันเกิดขึ้นมาดูสิ จิตเห็นจิต เห็นจิตคือเห็นความคิด ความคิดประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าอารมณ์ความรู้สึกไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ ความคิดคิดไม่ได้ คิดไม่ได้เลย เวลาเราเห็นรูป เห็นภาพต่างๆ แต่จิตไม่ออกรับรู้ เราเห็นภาพอยู่แต่ไม่รู้ว่าภาพอะไรนะ เราไม่รู้หรอก นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ครบโดยวิญญาณรับรู้ ไม่ครบโดยเวทนา สุข ทุกข์ ดี ชั่ว สัญญาข้อมูล นี่คืออะไร ถ้าบางอย่างเราเห็น ดูอย่างภาษาเราอ่านแต่เราไม่เข้าใจ เนี่ยสัญญาเราไม่รู้เห็นไหม แล้วมันจะปรุงแต่งได้ไง มันก็สมมุติ เอ๊ะ เขาว่าอะไร เขาว่าอะไร นี่สัญญา สังขารปรุงแต่ง วิญญาณรับรู้
ความคิดเราคิดออกมาน่ะมันเร็วมาก ความคิดเร็วมาก แล้วสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา ที่มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นวัตถุอันหนึ่งๆ แล้วจิตมันสงบเข้ามาโดยปัญญาอบรมสมาธิ โดยปัญญา เนี่ยสิ่งที่เกิดดับ เกิดดับ มันเป็นโลกหมด มันเป็นสมมุติหมด แล้วเรามีสติ เราเชื่อธรรมในกรรมฐานของครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เราต้องจิตสงบก่อน ไล่มันเข้าไป ความคิดไล่มันเข้าไปจนมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาก่อน สงบคืออะไร สงบคือมันปล่อยความคิด ถ้ายังฟุ้งซ่าน ยังคิดอยู่ไม่สงบ มันสงบคือมันว่าง มันปล่อย มันสบาย พอมันสบายขึ้นมาสิ่งนั้นยังไม่ใช่ธรรม เพราะมันปล่อยชั่วคราว ปล่อยมาก็เป็นอุเบกขา ปล่อยมาก็เพื่อจะรอคิดใหม่ แต่ถ้าสติมันไล่เข้าไปๆ เห็นไหม
เพราะอะไร เพราะสติไล่เข้าไป ความคิดมันเกิดดับบ่อย มันเห็นความเกิดดับบ่อย มันมีเหตุไง มันมีเหตุในการรักษา ถ้ามันมีเหตุในการรักษาจิตมันก็สงบได้มากขึ้น เราตักน้ำใส่ภาชนะ เราตักบ่อยครั้งๆ ภาชนะต้องเต็มแน่นอน นี่ก็เหมือนกัน สติมันควบคุมจิตอยู่ มันไม่ให้จิตส่งพลังงานออกไป ส่งพลังงานออกไปที่ความคิด เพราะมันเห็นโทษของความคิดใช่ไหม มันก็สะสมน้ำนั้นไว้ สะสมพลังงานนั้นไว้ พลังงานนั้นสะสมขึ้นมามันก็เป็นสมาธิ สมาธิเห็นไหม สมาธิอย่างนี้จนชำนาญ แล้วควบคุมบ่อยครั้งเข้า โดยธรรมชาติของมันนะ น้ำเราตักไว้ที่ไหนก็แล้วแต่ มันต้องไหลลงที่ต่ำ สิ่งที่มันเกิดมันต้องไหลออกมาที่ความคิดตลอดเวลา ถ้าไม่ออกจากความคิดเราจะสื่อสารในชีวิตไม่ได้เพราะมันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสมบัติของมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ มันเป็นธรรมชาติของมัน
แต่ถ้าเราไม่มีสติ เราไม่มีความสามารถ เราจะไม่เห็นจิตเสวยอารมณ์ จิตเสวยอารมณ์ พลังงานกับความคิดคนละอันที่มันสืบต่อคนละอัน เนี่ยสังโยชน์ สังโยชน์ที่เป็นพระอรหันต์ ที่เป็นพระโสดาบันเกิดตรงนี้ไง เกิดตรงที่เห็นการสืบต่อของมัน เห็นการสืบต่อของมันแล้วจับมันได้ ถ้าจับมันได้ วิปัสสามันได้ มันเกิดปัญญาตรงนี้ไง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมามันมีใครเป็นคนบอกว่า ต้องเป็นๆ อย่างทำตามตำรา ไม่มี เพราะพระอรหันต์ พระโสดาบัน พระอริยบุคคล แต่ละชนิดแต่ละบุคคล การเกิดของพระอริยบุคคล มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของแต่ละบุคคล เหมือนกระทำการศึกษา วิทยานิพนธ์ของแต่ละคนต้องไม่ซ้ำกัน วิทยานิพนธ์ให้เขียนซ้ำกันได้หรือว่าข้อมูลที่เอามาอ้างอิงได้ ๓ บรรทัดเกินจากนั้นไปถือว่าเป็นการคัดลอก ใช้ไม่ได้ วิทยานิพนธ์เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสาวก สาวกะไง เราเป็นสาวก สาวกะเรามีประเด็น ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ไง เราเอาประเด็นเห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม วิธีการของครูบาอาจารย์แต่ละองค์น่ะ เราเอามาเป็นประเด็นได้ แล้วถ้าทำขึ้นมาแล้ว ขณะที่กระทำที่จิตมันวิปัสสนา มันจะเป็นธรรมของเรา เป็นธรรมการทำวิทยานิพนธ์ เป็นการค้นคว้าของจิตของเรา เนี่ยมันนอกจากกติกาเห็นไหม แม้แต่ธรรมของครูบาอาจารย์ เราไปจำมา เอามาทั้งดุ้นทั้งท่อนไม่ได้ มันเป็นสัญญา มันไม่เป็นการกระทำที่ให้จิตหลุด ให้สังโยชน์ขาดได้
แต่ขณะที่เราทำของเราขึ้นมาเราได้พิสูจน์ตรวจสอบของเราเอง แต่อาศัยประเด็นจากครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ ของท่านเป็นอย่างนั้น ของเราเป็นอย่างนี้ ของเราเป็นของเรา แต่ขณะที่ก้าวขึ้นแต่ละขั้นตอนๆ มันเป็นการกระทำของจิต จิตที่จะก้าวให้สูงขึ้นไง จิตต่ำ จิตเป็นพื้นฐาน จิตที่เป็นสมาธิ แล้วจิตจะก้าวขึ้นเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลเนี่ย สิ่งที่เราจะก้าวขึ้น จิตที่มันก้าวขึ้น การก้าวเหมือนกันดูการกริยาของการก้าวขึ้นบันไดสิ ทุกฝ่าเท้าต้องก้าวขึ้นบันไดของตัวเอง บันไดก็คือบันไดนั่นน่ะ บันไดนี่ดูสิอย่างศาลา บันไดหน้าที่เราขึ้นศาลามา เราก้าวขึ้นบันไดมากี่ขั้น ถ้าเราก้าวขึ้นบันได เราก้าวขึ้นไปก็คือก้าวขึ้นทุกๆคน
จิตก็เหมือนกัน สิ่งที่มันจะก้าวขึ้น วุฒิภาวะของจิตที่มันสูงขึ้น ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล การที่โสดามันก้าวขึ้นเหมือนกัน ก้าวขึ้นทุกๆ เท้า แต่ความรู้สึกของแต่ละเท้าไม่เหมือนกัน ความชอบความพอใจไม่เหมือนกัน นี่เหมือนกัน การกระทำของใจ ถ้าใจมันจับจิตได้เห็นไหม มันวิปัสสนามันแยกออกแต่ละส่วน มันแยกของใครของมัน ของใครของมันแยกออกเห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป คนติดในความรู้สึก คนติดในรส ติดในเวทนา คนติดโดยข้อมูล คนติดโดยความละเอียดอ่อนเห็นไหม ต้องตานี่สัญญา โดยสังขาร โดยความคิด
คนฉุนเฉียว คนมีความคิดว่าต้องดีต้องชั่วมันไปคิด บันไดก็คือบันได ข้อมูลก็เป็นข้อมูล แต่เราคิดเอาเองไง นั่นดีนี่ไม่ดี นี่สังขารปรุงแต่ง บางคนติดโดยความรับรู้ ความรับรู้น่ะวิญญาณไง รับรู้พอใจเห็นไหม จริตนิสัยของจิตไม่เหมือนกัน เหตุผลของปัญญาที่เราจะเอามาอ้างมาต่อสู้กับกิเลสก็ไม่เหมือนกัน นี้ไม่เหมือนกันอยู่ที่ปัญญาของเรา อยู่ที่การค้นคว้าของเรา การค้นคว้ามันก็แยกของมันไป สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ปักเสียบหัวใจ ที่มันชอบที่สุด เอาสิ่งนี้มาวิเคราะห์วิจัย มันเป็นเพราะเหตุใด มันติดเพราะอะไร เห็นไหม จิตเห็นจิตแล้ววิปัสสนามัน วิปัสสนาถึงที่สุดเห็นไหม กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เนี่ยรู้นอกสมมุติละ รู้นอกสมมุติเพราะอะไร เพราะสมมุตินี่มันแปรปรวน สมมุตินี่มันเกิดดับ แต่ถ้าเป็นโสดาบันมันไม่แปรปรวน ไม่แปรปรวนแต่มันเป็นสมมุติอันละเอียด
สมมุติละเอียด ละเอียดๆ เป็นชั้นๆ ขึ้นไป พอสมมุติมันละเอียดขึ้นไปมันก็หลอกละเอียดสิ การล่อหลอกละเอียดเห็นไหม เราก็ต้องตั้งสติ สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ดูสิเวลาเราประพฤติปฏิบัติแต่เริ่มต้นเห็นไหม ไม้ดิบๆ นี่มันทำแสนยากเลย แสนยากเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราจะไปต่อสู้กับมัน ทั้งๆ ที่ว่าเรามีกำลังนะ คนเห็นไหม ทุกคนจะบอกเลยว่าตัวเองมีสติ ตัวเองเป็นคนเข้มแข็ง ตัวเองเป็นคนที่อยากได้ดี แต่เวลาประพฤติปฏิบัติทำไมล้มลุกคลุกคลานล่ะ ล้มลุกคลุกคลานน่ะเพราะมันตั้งใจเดี๋ยวเดียว กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่ามันเหยียบย่ำทั้งนั้นน่ะ
แต่ด้วยการฝึกฝน ด้วยศรัทธา ด้วยความเชื่อ สิ่งที่เป็นสัปปายะ ๔ ดึงกันไป ครูบาอาจารย์ฉุดกระชากลากกันไป ยกขึ้นมา ฉุดขึ้นมา ยกขึ้นมาเห็นไหม ยกขึ้นมาเราก็ทำของเรา ทางของเรามันต่อสู้ของเรา มันต่อสู้มันก็ว่าสุดวิสัย ทำไม่ได้ แต่เวลามันก้าวเดินขึ้นไปทำไมมันทำได้ ทำได้เพราะมันเป็นเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ แต่เวลาเราผ่านเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกันแล้วน่ะ มันละเอียดอ่อนมาก แต่ละเอียดอ่อนเวลาย้อนกลับไปเห็นไหม ถ้าพิจารณากาย พิจารณาจิตนะ จิตกับกายเห็นไหม
ถ้าพิจารณาจิตมันก็เป็นสิ่งที่ปล่อยมาแล้ว แต่มันยังมีอุปาทานในตัวมันเองอีก เนี่ยศรอย่างละเอียด ศรต่างๆ เห็นไหม แยกเข้าไป ต่อสู้เข้าไป มันปล่อยนะ กายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติ ถ้าวิปัสสนากายเห็นไหม วิปัสสนากายก็เหมือนกัน วิปัสสนากายโดยปัญญาวิมุตติ วิปัสสนากายโดยปัญญา วิปัสสนากายโดยเจโตวิมุตติจะเห็นภาพ การเห็นภาพเห็นไหม พอเห็นภาพขึ้นมา จะแยกส่วนขยายส่วนจากอุคคหนิมิต เป็นปฏิภาคะ พุทโธๆๆๆ พุทโธนี่สำคัญมาก พุทโธนี้เป็นที่พัก ขณะที่ว่าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเป็นปัญญาวิมุตติ แต่ขณะที่มันต่อสู้ไปเห็นไหม
นักกีฬาในการทำงานนะ ถ้าเราไม่พักผ่อนทำงานไม่ไหวหรอก การทำงานน่ะ จะงานผู้บริหาร งานอาบเหงื่อต่างน้ำ งานอดิเรกก็แล้วแต่ ต้องใช้กำลังทั้งหมด สิ่งที่เป็นกำลังขึ้นมาเกิดมาจากไหน เกิดจากจิตที่มันได้พัก แล้วจิตที่มันได้พัก ใช้ปัญญาอบรมสมาธิหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าจิตมันไม่ได้พัก จิตมันทำงานมากเห็นไหม เราก็กลับมาที่พุทโธ พุทโธๆ เวลาพุทโธนะ เวลาจะพัก นู่น ดูกษัตริย์สิ ดูเศรษฐีกุฎุมพีสิ ดูคนทุกข์คนเข็ญใจสิ เวลานอนหลับเหมือนกันไหม เวลานอนหลับนะ คนต้องนอนหลับ กิริยาของการนอนหลับเขาจะไม่ให้คนเห็น เพราะว่ามันไม่มีสิ่งควบคุมเห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่การกระทำ สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ เวลาเป็นสมาธิ สมาธิอันเดียวกันน่ะ จะทำด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่เหมือนมาพัก การพักก็คือการนอน การพักผ่อน ถ้าไม่พักผ่อนนอนหลับใครจะทำงานได้ คนไม่นอนนี่ตายหมดนะ ถ้าไม่นอนเนี่ย มันต้องนอนพักบ้าง ร่างกายมันถึงจะทำงานได้ จิตก็เหมือนกัน ขณะที่มันวิปัสสนาไปต่อสู้ขนาดไหนเวลามันใช้กำลังแล้ว มันต้องพักบ้าง การพักบ้าง ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ บางทีมันเตลิดเปิดเปิงเห็นไหม เราก็มาพุทโธๆๆ ถ้าเป็นเจโตวิมุตติน่ะพุทโธตลอด พุทโธอย่างเดียว
แต่เมื่อจิตมันอยู่กับพุทโธแล้วจิตมันจะไปไหน ก็จับจิตมันผูกไว้ จับความรู้สึกผูกไว้กับต้นเสา ผูกไว้กับพุทธานุสสติ พุทโธๆๆ มันจะไปไหนให้มันไป เราเอาพุทโธผูกคอไว้เลย พุทโธๆ ถ้าจิตไม่สงบนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้า ๔๐ ห้องแล้วมันยังไม่เป็นไปแบบพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธเจ้าพูดแล้ว หนึ่งไม่มีสอง เอกนามกึ หนึ่งเท่านั้น ถ้าทำพุทโธต้องเป็นสมาธิ ต้องเป็น ! ต้องเป็นแน่นอน ! แต่เรามันไม่เป็นเพราะอะไร เราสมมุติซ้อนสมมุติไง เนี่ยสมาธิเป็นอย่างนั้น สมาธิเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนู้น มันไปคาดหมายหมด มันไปคาดหมาย ยิ่งคาดไปก็ไม่ได้หรอก
ทำแบบคนโง่เลย คนที่ว่าโง่ๆ นี่ กลับเป็นคนฉลาด ไอ้คนฉลาดๆ ฉลาดในกิเลสไง กิเลสมันครอบงำไว้แล้วว่าฉลาด กิเลสมันจูงจมูกยังไม่รู้ว่าจูงจมูกนะ เนี่ย เราเป็นปัญญาชน เรามีปัญญามาก พุทโธๆ มันไม่มีความรู้เลย ไปทำอะไรไม่ได้ แต่เห็นว่าพุทโธเป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทำไง พุทโธๆๆๆ มันกึ่งๆ ทำครึ่งๆ กลางๆ ทำไม่จริงไม่จัง ถ้าจริงจังขึ้นมาก็ว่า อ้าว.. ถ้าไปเชื่อหมดเลยเนี่ยมันก็... ทิฏฐิมันก็ไม่ยอม เชื่อหมดเลยนี่เราก็คนไม่มีปัญญาสิ เราคนมีปัญญาเราต้องใคร่ครวญ ใคร่ครวญโดยกิเลสไง
ความเชื่อนี่มันเชื่อโดยสัจธรรม ขณะที่เราทำ เราทำจริงๆ ขึ้นมา แล้วเดี๋ยวมันรู้จริงเห็นจริงเห็นไหม นอกสมมุติละ ถ้าในสมมุตินะ ในสมมุตินี่ทำให้เราเคว้งคว้าง เพราะไอ้สมมุติคือกิเลสของเรา แต่พอทำโดยโง่ที่สุดเลย ทำโดยที่ไม่โต้แย้งสิ่งใดเลย ทำแบบพิสูจน์ไง ทำแบบพิสูจน์ทดสอบว่าพระพุทธเจ้าโกหก พระพุทธเจ้าบอกเลย พุทโธ นี่คำบริกรรม ทำแล้วมันสงบไม่ได้ ทำแล้วไม่มีปัญญา ลองดูสิว่าพระพุทธเจ้าโกหก ลองดูสิ ต้องพิสูจน์สิ ไม่พิสูจน์มันจะรู้จริงหรอ เอ้า..ก็พระพุทธเจ้าก็มนุษย์ พุทธเจ้าก็เป็นคน แล้วเราก็เป็นคน แล้วเราเกิดมาในกึ่งกลางพุทธศาสนาด้วย โลกกำลังเจริญนะ เรียนมาเป็นศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ทั้งนั้น เก่งทั้งหมดเลย ทำไมมันโง่ ทำไมไม่รู้จักตัวเอง ทำไมมันพิสูจน์ไม่ได้ จับโกหกพระพุทธเจ้าให้ได้ พุทโธๆ ไปเดี๋ยวมันก็ลง มันจะหนีไปไหน ในเมื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าวางไว้มันจะพ้นไปไหน มันไม่พ้นไปหรอก เราทั้งนั้นปฏิบัติโดยสมมุติ ทำโดยสมมุติ สมมุติว่ามันเป็น แล้วก็อวดอ้างกันไปเห็นไหม
แต่ถ้ามันเป็นความจริง จริงนอกสมมุติ นอกสมมุติคือประสบการณ์จริงของเรา ประสบการณ์ของจิต จิตมันสัมผัสเห็นไหม นิพพานมันเกิดที่นี่ มรรคผลมันเกิดที่นี่ มันเกิดขึ้นที่ใจ มันไม่ได้เกิดที่การท่องจำ มันไม่ได้เกิดจากตู้พระไตรปิฎก มันไม่ได้เกิดจากอะไรทั้งสิ้นเลย พระไตรปิฎกมันเป็นสัญลักษณ์ที่จดจารึกมาให้เราศึกษาค้นคว้า ค้นคว้ามาแล้วน่ะวางไว้ ถ้าค้นคว้าแล้วยึดไว้ เราจะไปกรุงเทพฯ นั่งอยู่เนี่ยเราจะไปกรุงเทพฯ แล้วมันจะเข้าถึงกรุงเทพฯได้ไหม ไม่มีทาง เราจะไปกรุงเทพฯ ก็เดินไปสิ ออกไปถึงประตูนั่นแล้วก้าวย่างไป เดินแม่งทุกวัน มันจะไม่ถึงกรุงเทพฯให้มันรู้ไป
นี่เหมือนกันศึกษามาแล้วน่ะวางไว้ให้หมดเลย แล้วนิพพานอยู่ที่ไหน นิพพานมันอยู่ที่ไหน มันสุดเอื้อมสุดขอบฟ้าอยู่ที่ไหน นิพพานอยู่กลางหัวอกเนี่ย นิพพานมันอยู่ที่ใจเนี่ย ปล่อยเมื่อไหร่ก็นิพพานเมื่อนั้นน่ะเห็นไหม ทำให้จริงให้จังขึ้นมามันทำได้ พอทำได้ขึ้นมามันพิสูจน์ของเราได้หมด พิสูจน์หัวใจ ถ้าเห็นจริงจะกราบพระพุทธเจ้าได้เต็มหัวใจนะ วิปัสสนาไปถ้าจิตมันสงบขึ้นมานะ มันสมาธิลงขนาดไหนมันจะมีความสุขขนาดไหน ความสุขนี้มันเกิดจากคำบริกรรม ความสุขนี้ถ้าไม่มีสติ ไม่มีการรักษา ความสุขนี้มันจะออกมาเป็นความทุกข์ จิตมันเสื่อมแล้วแสนทุกข์ เวลาจิตมันเห็นความสุขขึ้นมา นึกว่าเป็นผลของเรา มันไม่ใช่สินค้านะ ไม่ใช่วัตถุธาตุ สั่งมาแล้วเพชรนิลจินดา ซื้อมาแล้วจะเป็นเพชรนิลจินดาตลอดไป
นี่เหมือนกัน สมาธิได้มาแล้ว สมาธิมันจะอยู่กับเราหรือ สมาธิมันได้มานี้มันมาจากไหน ก็มาจากเราปฏิบัติถูกต้อง มันปฏิบัติเป็นสัมมาทิฎฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง แล้วทำเป็นมัชฌิมาปฏิปทา สมดุลกับมัน สมดุลกับการที่จิตมันจะลงสมาธิได้ มันก็ลงสมาธิ การลงสมาธิมันมาแต่เหตุ มาจากการกระทำของจิต จิตมันเชื่อมั่นแล้วมันมีการกระทำ สิ่งที่มีการกระทำเนี่ยผลตอบมาจากการกระทำ ก็คือมันสงบตัวลง แล้วเหตุมันมีอยู่เท่านี้ เราจุดไฟไว้ เราทำอาหารไว้ แล้วบอกจุดไฟไว้แล้ว แล้วไฟนี้มันจะจุดได้ตลอดไปโดยที่เราไม่ต้องเอาเชื้อเพลิงมาเติมอีก มันเป็นไปไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นสมาธิ ถ้าเรารักษาไม่เป็นมันก็เสื่อม พอมีความสุขขึ้นมาเดี๋ยวมันก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะเราเคยมีเคยเป็น แล้วเข้าอีกไม่ได้นี่มันทุกข์มากนะ ในการประพฤติปฏิบัติก็ว่าลังเลสงสัย จริงไม่จริงเนี่ย ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า กิเลส ปัญญามหาศาลก็หลอกลวงไป วิ่งเต้นเผ่นกระโดดวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ มันไม่ต้องไปไหนหรอก พุทโธอยู่กลางหัวอก สติอยู่ที่กลางอก มันสงบๆ อยู่ที่นี่ แล้วพอมันสงบขึ้นมา มันมีความสุขขึ้นมา เสื่อมอีกรักษาไม่เป็นอีกเห็นไหม
ในการปฏิบัติมันล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีความจริงขึ้นมาเราทำขึ้นมาได้ พอจิตสงบขึ้นมาบ่อยครั้งเข้า ถ้ามันเป็นเจโตวิมุตติเห็นไหม เราย้อนไปดูที่กาย ถ้าไม่เห็นกายเราดูไปที่เวทนา เวทนาที่มันเกิด ถ้าจิตสมาธิมันดี เวทนามันเกิดนี่จับมั้บเลย เวทนาอยู่ไหน ใครเป็นเวทนา ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นเวทนาหรอ ธาตุมันเป็นเวทนาได้อย่างไร แล้วทำไมจิตมันเป็นเวทนา จิตมันเป็นเวทนา ถ้ามันเป็นเวทนาถ้ามันลุกไปมันอยู่กับจิต จิตไม่เคยตายมันต้องอยู่กับจิตสิ มันมาจากไหนเวทนาเนี่ย เห็นไหม รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณเห็นไหม เวทนาไม่ใช่จิต รูป ความคิดไม่ใช่จิตเห็นไหม แล้วเวทนามันก็เป็นความคิดอันหนึ่ง แล้วมันเป็นจิตไหม มันเป็นจิตไหม เวทนารับรู้จากความรู้สึกนี่มันเป็นจิตไหม
มันไม่เป็นทั้งนั้น มันไม่เป็นโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้วแหละ แต่โดยสามัญสำนึกโดยสัญชาตญาณน่ะมันก็สืบต่อกัน สืบต่อกันคือมันรับรู้กัน มันรับรู้กันถ้าคนไม่รับรู้ก็คนตายสิ คนมีชีวิตมันก็รับรู้ใช่ไหม แต่รับรู้โดยที่มันข่มขี่ รับรู้โดยที่มันเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลาเพราะเราไม่มีธรรมะ เราไม่รู้นอกสมมุติ เพราะมันเป็นสมมุติ สมมุติ เวทนาเป็นสมมุติ มันเกิดมันดับมันก็เป็นสมมุติ นั่งนานก็เวทนา เสียใจก็เป็นเวทนา มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง
แต่พอจิตมันสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วมันเห็นมันจับเวทนาได้ จับให้มันได้ เวทนามันลอยมาจากฟ้า มันเป็นเวทนาที่มันข่มขี่เรา แต่เราไม่เคยจับมันได้เลย เวทนามันขี้ไว้แล้วไง เวทนาน่ะขี้บนหัวใจไง แล้วมันก็ไปละ แล้วก็เสียใจ นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้เห็นไหม แต่ถ้าเราจับปั๊บ จับได้แค่นั้นแหละ พอจับได้ ถ้าจับได้คือจิตเห็นจิตไง ถ้าจิตมันจับ สมาธิมันจับเวทนาได้มันก็คือมันจับความคิดได้ มันจับขันธ์ ๕ ได้ ถ้ามันจับได้ปั๊บ มันจับได้มันก็.. เพราะจับได้ อะไรมันจับได้ จับได้มันก็เป็นสังโยชน์ใช่ไหม สังโยชน์ที่มันสืบต่อกันน่ะ พอจับได้ขึ้นมาก็วิปัสสนาไป เวทนาอยู่ที่ไหน ไล่เวทนาไป ถ้าจิตเป็นสมาธินะ พอเวลาถ้าจิตไม่เป็นสมาธิมันก็ไม่ไหว เวทนามันอยู่ที่ไหน อยู่ที่กระดูกอยู่ที่เอ็น มันไม่มีหรอก ไม่มี เพราะมันโง่ มันสร้างภาพเอง มันเป็นมายา สิ่งที่เป็นมายาหลอกใจ ใจหลอกใจ สามัญสำนึกนี่แหละ มันเป็นสามัญสำนึกแต่เวลามันเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็หลอกอีก
แต่ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา มันแยกของมัน เวทนาดับหมด เจ็บๆ เนี่ยมันหาย วั๊บ ถ้ามันต่อสู้กันไม่ไหว มันมีกำลังเสมอกัน มันจะชา ชาหมดเลยนะ อยู่สักแต่ว่าเวทนา เวทนา สักแต่ว่าเวทนาอยู่ด้วยกัน จิตก็ส่วนจิต เวทนาก็ส่วนเวทนา มันต่อสู้กัน มันไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะ มันสักแต่ว่าเวทนา ถ้าอย่างนั้นปั๊บเราก็กลับมาที่พุทโธอีก สู้มัน กลับมาที่พุทโธอีก ถ้ามันไม่แยก กำลังมันพอ กำลังมันพอเห็นไหมดูสิ เราแบกของหนักไว้ แล้วถ้าเราแบกไม่ไหว น้ำหนักของหนักเนี่ยมันจะหนักขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็เหมือนกันพอมันยันกันไว้ เราชาละเดี๋ยวมันก็จะปวดขึ้นมา เห็นไหม กลับมาที่พุทโธ ...ต่อสู้มัน ต่อสู้ถึงที่สุดมันแยกนะ เวทนาดับหมด ไม่มี ว่าง ว่างหมดเลยเห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนาไง กายก็เหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกัน
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ก้าวขึ้นบันได ฝ่าเท้าของทุกๆ คนเวลาก้าวขึ้นบันได ก้าวขึ้นไป แต่ความรู้สึกความคิดของคนไม่เหมือนกัน การวิปัสสนาของแต่ละจิตก็ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรอก ความไม่เหมือนกัน นี่รู้นอกสมมุติ นอกสมมุติเป็นสัจธรรมของแต่ละดวงใจ ไม่มีสิ่งที่เป็นกรอบ สิ่งที่ต้องให้อยู่ในแนวทางเดียวกัน ไม่มี ! ไม่มี ! สิ่งที่มีเห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริง ท่านจะรู้ของจริงอย่างนี้ แต่ละคนให้ประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันจะเป็นความจริง มันจะรู้นอกสมมุติแต่ละคนๆ ขึ้นมา รู้นอกสมมุติขึ้นมา คนที่รู้นอกสมมุติเห็นไหม เรารู้รอบประเทศ เรารู้จากภูมิประเทศ เรารู้จักทรัพยากรในประเทศทั้งหมดเลย เราจะบอกไม่ได้หรอ ภูเขาลูกไหน จุดแหล่งน้ำที่ไหน เราได้สำรวจมาหมด เรารู้หมดแล้ว แล้วเขามาถามถึงความเป็นไปทรัพยากรในประเทศนี้ เราจะตอบเขาไม่ได้ได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกันรู้นอกสมมุติ รู้นอกประเทศ รู้นอกโลกเลย รู้นอกทั้งหมดเลย รู้นอกสมมุติทั้งหมดเลย สิ่งนี้มันยังเป็นสมมุตินะในประเทศ อะไรต่างๆ มันเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน มันเป็นสมมุติ มันมีคอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลหมด
สิ่งรู้นอกสมมุติแล้วอธิบายเรื่องนอกสมมุติไม่ได้มันจะเป็นไปได้อย่างไร เรารู้รอบหมดแล้ว เราจะอธิบายสิ่งที่อยู่ในกรอบกติกาไม่ได้ได้อย่างไร แต่นี้เอากรอบกติกานี้เป็นตัวตั้ง แล้วสิ่งที่นอกกติกานี้อีกมหาศาลเลย ไม่รู้อะไรเลย แล้วมันจะรู้ธรรมได้อย่างไร นามรูปๆ ปัญญาสายตรงๆ มันเป็นข้อมูล มันเป็นสัญญาทั้งนั้น จำของพระพุทธเจ้ามา อภิธรรมๆ น่ะ กี่ดวงๆ จำมาหมดเลย แล้วมันจะทะลุออกจากสมมุติไปได้อย่างไร มันทะลุไปไม่ได้เพราะมันตัดขั้นตอนกัน มันตัดขั้นตอนที่มันไม่ถึงเป้า ไม่ถึงฐาน ไม่ถึงกรรมฐาน กรรมฐานเห็นไหม พุทโธๆ นี่จิตสงบ ฐานของจิต ปฏิสนธิจิตเห็นไหม วิปัสสนาไปมันแยก แยกๆๆ จิตกับกายออกจากกัน แล้วถ้าย้อนกลับไป ว่าง ว่าง การว่างๆ นะ สมมุติอย่างหยาบหลุดขาดไปอีกชั้นหนึ่ง สมมุติอย่างละเอียด สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ถ้าจิตสงบขนาดนี้แล้ว มันติดมันก็ว่านี้เป็นนิพพาน
คำว่าติด มันจะหลง หลงว่านี่คือเป้าหมาย นี่คือที่สุดแห่งการประพฤติปฏิบัติ นี่คือนิพพาน ผู้ที่หลงจะคิดอย่างนี้หมด จะมีความเข้าใจอย่างนี้หมด ถ้าเข้าใจแล้วมันก็นอนใจ มันก็ไม่ขยับเขยื้อน จิตมันก็สร้างภาพว่านี่เป็นนิพพาน นี่ไง พ้นจากสมมุติอย่างหยาบ ไปติดสมมุติอย่างละเอียดเห็นไหม ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยกระตุ้น แล้วมีอำนาจวาสนานี่ จิตมันจะออกรู้อีก ออกรู้ถ้าทำสมาธิเข้ามาเห็นไหม มหาสติ มหาสมาธิ แล้วออกหาความรู้ ออกหาความเป็นจริงเห็นไหม ความเป็นจริง สิ่งที่ว่าเป็นข้อมูล เป็นปัญญาอันละเอียด มันเป็นสิ่งที่กามฉันทะอยู่ในหัวใจ จับได้เนี่ยกามราคะ
สิ่งที่กามราคะนะ ถ้าเป็น สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะธรรมเห็นไหม วิปัสสนา ถ้าเป็นเจโตวิมุตติพิจารณากายเห็นไหม มันจะเป็นอสุภะ เป็นภาพที่เยิ้ม เป็นหนอง เป็นน้ำหนอง เป็นน้ำเลือดไหล มันจะเยิ้มไปหมดเลย มันเป็นสิ่งที่สะเทือนหัวใจมาก มันจะปล่อยๆๆๆ พอปล่อยมันจะมีความสุขมาก นี่ถ้าเป็นวิปัสสนาปัญญาวิมุตติเห็นไหม มันพิจารณาจิต พิจารณากามฉันทะ คิดถึงความรู้สึกจากภายใน วิปัสสนาขนาดไหน การใช้วิปัสสนานะมันจะต่อสู้ กิเลสมันจะต่อสู้ ต่อสู้ หลอกลวง สร้างภาพ ถ้ามีปัญญาอย่างนั้น ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาแล้ว มันจะสมควรอย่างนี้ สมควรอย่างนี้ๆ วางอย่างนี้ จะเป็นอนาคาก็ว่ากันไปอย่างนั้น ล้มลุกคลุกคลานนะ มันละเอียดมาก แต่ถ้าวิปัสสนาโดยเจโตเห็นไหม เป็นอสุภะมันปล่อยเข้ามา ว่าง เวิ้งว้าง มันจะมีความสุข กิเลสมันหลอกนะ กิเลสมันหลอก มันหลบซ่อนอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าถึงที่สุดนะมันต้องพังครืนไปกับหัวใจ ขณะที่พังครืนไปกับหัวใจแล้ว มันยังมีเศษส่วนของมัน วิปัสสนาซ้ำๆๆๆ มันเข้าไปเห็นไหม สมมุติที่ละเอียดๆ เข้าไป ปล่อยเข้าไปถึงที่สุดมันไปถึงตัวของสมมุติเลย
เพราะจิตว่างหมดเห็นไหม โลกนี้ว่าง โลกนี้ว่าง เป็นความมหัศจรรย์ทั้งหมดเลย นี่ตัวสมมุติ มันสมมุติว่าว่าง เราปล่อยวางจากโลกข้างนอกทั้งหมด ปล่อยวางจากโลกภายนอกเข้ามา ว่างจากภายนอกเข้ามา แต่ตัวมันเห็นความว่าง มันยังไม่เห็นว่างของตัวของมัน มันไม่เข้าถึงตัวสมมุติ ตัวสมมุติคือตัวจิต ตัวสมมุติคือจิตเดิมแท้ ตัวสมมุติคือตัวภวาสวะ ตัวสมมุติคือตัวเกิดเห็นไหม ดูสิ ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ของมารดา ปฏิสนธิจิตเกิดในครรภ์ เกิดเป็นพรหม ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นเทวดา ปฏิสนธิจิตเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นนรกอเวจีเห็นไหม ปฏิสนธิจิตเนี่ย ตัวอวิชชา ตัวพาเกิดพาตาย นั่นคือสามัญสำนึกของโลก สามัญสำนึกของอวิชชา สามัญสำนึกของจิตที่ครอบงำโดยสมมุติร้อยเปอร์เซนต์
แต่การที่เราวิปัสสนาขึ้นมา เราตัดทิ้ง ตัดขาดมันจากสมมุติภายนอก สมมุติจากภายนอกเป็นโสดาบัน สมมุติอย่างหยาบเป็นสกิทา สมมุติอย่างละเอียดเป็นอนาคา เห็นไหมแล้วตัวมันเองเป็นตัวสมมุติ เป็นตัวอวิชชาน่ะ เป็นตัวอยู่ภายใน ถ้ามันรู้ด้วยสมมุติเห็นไหม ตัวรู้ตัวจิตมันรู้มาหมด มันปล่อยเข้ามาหมดไง ปล่อยสังโยชน์มาหมด ปล่อยความหยาบๆ มาหมดเลย นี่มันปล่อยความหยาบมา แต่ตัวมันเองเป็นสมมุติ รู้ด้วยสมมุติก็รู้ด้วยตัวนี้ ตัวนี้มันสมมุติแล้วมันไปรับรู้สิ่งต่างๆ ถ้าไม่ได้ทำลายตัวนี้มันจะรู้นอกสมมุติไม่ได้เลย
ถ้าจะรู้นอกสมมุติเพราะอะไร ถ้ามันทำลายมัน ทำลายเห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณังเห็นไหม มันเป็นปัจจยาการ อิทัปปัจจยตา นี่ตัวนี้มันเป็น อิทัปปัจจยตา ต้องทำลายมัน ถ้าทำลายมันทำลายด้วยวิธีการใดเห็นไหม ดูสิดูสมมุติสิ อรหัตมรรค อรหัตผล แม้แต่อรหัตมรรค สิ่งที่เป็นปัญญาที่อรหัตมรรคมันยังเป็นสมมุติเลย แล้วเวลามันสัมปยุตกัน วิปยุตคายตัวออกมามันยังเป็นสมมุติเลย
อรหัตมรรค อรหัตผลเป็นสมมุติ สมมุติเพราะอะไร สมมุติว่ามันสื่อความหมายกันได้ ขณะที่เข้าอรหัตมรรคนี่ทำอย่างไร แล้วเวลามันสัมปยุตเข้าไป แล้ววิปยุตออกมา ขณะที่มันเป็นไปนี่มันทำอย่างไร คำว่าทำได้ สืบต่อได้ มันเป็นได้ มันถึงเป็นสมมุติไง สมมุติคือการสื่อสาร คือการสมมุติออกมาเปรียบเทียบมาให้เข้าใจกันได้ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วน่ะ ทำขบวนการของมันถึงที่สุดเห็นไหม ตัวสมมุติภายใน ปิดโลกมันทั้งหมด แล้วปล่อยโลกทั้งหมดถึงเจอตัวมันเอง แล้วทำลายตัวมันเองเห็นไหม ทำลายตัวมันเอง สิ่งที่ทำลายตัวมันเองขึ้นมา ทำลายครืนออกไปจากใจ ใจมันพลิก ปั๊บ เนี่ย รู้นอกสมมุติ รอบจักรวาล เพราะจิตนี้เคยเกิดเคยตายในวัฏฏะนี้ วัฏฏะนี้เป็นที่อยู่ของจิตเห็นไหม เวลาจิตมันพ้นไปจากกิเลสไปแล้วมันเวิ้งว้าง ทุกอย่างรับรู้เพราะ... ในสามโลกธาตุ จิตดวงนี้เคยเกิดตั้งแต่พรหมลงมา เห็นไหมนรกอเวจี จิตเคยเกิดทั้งหมด มันรับรู้ทั้งหมด มันเวิ้งว้างมันกว้างขวางขนาดไหน เนี่ย มันครอบโลกธาตุหมดเลย พ้นออกจากสมมุติไปเห็นไหม
หนึ่งไม่มีสอง เวลาพระสารีบุตรเห็นไหม ถามนักบวชนอกศาสนา หนึ่งไม่มีสองคืออะไร นี่ไง เอโกธัมโม เนี่ยธรรมธาตุ หนึ่งไม่มีสอง แล้วนักบวชนอกศาสนาอยากศึกษา จะศึกษาต้องบวชเข้ามา บวชเข้ามาพอปฏิบัติขึ้นไปแล้วไม่ได้ถามอีกเลยเพราะ เพราะมันรู้จริงแล้ว ตัวหนึ่งเองมันยังเป็นสองเลย ตัวหนึ่งก็ยังเป็นสองเพราะอะไร เพราะตัวหนึ่งมันทำลายตัวมันเองเห็นไหม มันมีกับไม่มี มันมีๆๆๆ แล้วถ้าเป็นสมมุติ อะไรบ้างที่มันไม่มีฝ่ายตรงข้าม มืดมีสว่าง ทุกข์มีสุข มันมีตรงข้ามหมด แล้วหนึ่งไม่มีสองนั่นคืออะไร นี่ก็ยังเป็นสมมุติ คำพูดเป็นสมมุติไง
คำพูดของพระสารีบุตรก็เป็นสมมุติสื่อกับนักบวชนอกศาสนาว่า หนึ่งไม่มีสองคืออะไร ขณะที่คำพูดที่สมมุติ ถ้าคนมันไม่รู้จริงมันยังตอบไม่ได้เห็นไหม แต่เวลาบวชมาเป็นนางภิกษุณี แล้วประพฤติปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นนักเทศน์ แล้วไม่ถามหนึ่งไม่มีสอง ไม่พูดเลยเพราะ เพราะมันรู้จริง เนี่ยรู้นอกสมมุติไง ถ้ารู้นอกสมมุติมันยังไม่ใช่หนึ่ง ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่เอามาสื่อความหมาย นี่ไงย้อนกลับมาที่พระไตรปิฎกเห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นสมมุติไหม สมมุติบัญญัติ สมมุติเพราะอะไร เพราะมันเป็นกิริยา สมมุติเพราะใจเรามันมืดดำ สมมุติเพราะใจเรามันมีอวิชชา แล้วใจที่มีอวิชชามันไปศึกษามา แล้วเอาสิ่งนี้มาเป็นกรอบมาเป็นกติกา แล้วบอกนามรูปต้องปฏิบัติ พุทธพจน์ ! ใครโต้แย้งพุทธพจน์ไม่ได้
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพุทธพจน์เหมือนใบไม้ในกำมือ แล้วใบไม้ในป่ายังมหาศาลเลย ฉะนั้นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพ้นออกไปจากสมมุตินี่มันเห็นใบไม้ในป่า พุทธพจน์ก็คือพุทธพจน์ ก็กราบไหว้พุทธพจน์ ไม่ได้โต้แย้ง ไม่ได้โต้แย้งว่าพุทธพจน์ผิด เพียงแต่การประพฤติปฏิบัติในการตีความของคนอ่านผิด ในการประพฤติปฏิบัติของเราผิด ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงขึ้นมามันรู้ว่าผิด ผิดเพราะอะไร เพราะว่ามันไปตัดมูลฐาน ไปตัดฐานนะ ฐานของจิต ไปตัดจุดเริ่มต้น แต่พยายามจะสร้างภาพให้จิตเป็นอภิธรรม จะไปสร้างภาพให้จิตนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไปตัดตอน ตัดตอนอวิชชา ตัดตอนว่าไม่มีอยาก ตัดตอนเห็นไหมดูสิ ดูอย่างโลกเขาใช้พลังงานกันเห็นไหม น้ำมันสำเร็จรูปมันมาจากไหน มันมาจากน้ำมันดิบ แล้วเวลาอธิบายน่ะ น้ำมันดิบมันขุดมาจากไหน น้ำมันดิบมันขุดมาจากโลกแล้วออกมา เวลามันไปกลั่นมาแล้วเป็นน้ำมันสำเร็จรูป แล้วก็จะพูดกันเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป นี่ อภิธรรมไง อภิธรรมคือน้ำมันสำเร็จรูปไง
แต่ตัวจิต แล้วน้ำมันสำเร็จรูปมันไม่มีน้ำมันดิบมันจะมาได้อย่างไร ไม่มีน้ำมันดิบมันจะกลั่นมาเป็นน้ำมันสำเร็จรูปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้เลย อภิธรรมในพระไตรปิฎกมันเป็นอภิธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากล่ะ เหมือนกับเราไปใช้น้ำมันสำเร็จรูปนี่ไง เราไปซื้อแสวงหาน้ำมันสำเร็จรูป ไอ้นี่มันมีเป็นทางธุรกิจนะ แต่ถ้าความเป็นขั้นตอนระบบของมัน มันต้องมาจากน้ำมันดิบ มันมาจากความคิดดิบๆ มันมาจากที่ว่า ไอ้อยากมากๆ อยากปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติโดยอวิชชาทำไม่ได้ ต้องทำโดยไม่มีความอยาก ไอ้นั่นมันน้ำมันสำเร็จรูป แล้วถ้าเอ็งคิดว่าน้ำมันสำเร็จรูปน่ะมันลอยมาจากฟ้า มันตัดช่วง มันขาดตอนกันเห็นไหม นี่รู้โดยสมมุติ เอาสมมุติตัวเองน่ะไปตีให้มันผิดพลาดไปหมดเลย ไปจัดขบวนการธรรมะของพระพุทธเจ้าให้มันผิดไปจากข้อเท็จจริง ไปตัดตอนส่วนหนึ่งข้างหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่พระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ฐานของจิต มีความอยาก ก็ทำสมาธิ เพื่อให้ความหยาบสงบตัวลง ถ้าความหยาบสงบตัวลงนั้นคือสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิน่ะมันออก ถ้าเป็นฌานสมาบัติเห็นไหม มันมีตัวอยาก มันมีพลังงาน มันรู้ไปเที่ยวนรกสวรรค์ มันรู้นั่น ไอ้อย่างนั้นมันไม่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันจะมีพลังงานของมัน มันจะหมุนของมัน แต่ พอมันนิ่งขึ้นมา พลังงานตัวนี้เห็นไหม ดูอย่างมอเตอร์ ดูอย่างได ว่ามันหมุนอยู่กับตัวแต่มันสร้างพลังงานมหาศาล เกิดประโยชน์มหาศาลเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันหมุนอยู่กับที่มันเป็นพลังงานของมัน นี่ พลังงานที่มันคงที่ นิ่งอยู่ในหัวใจ แล้วมันเป็นแรงงานปฐมทำอุตสาหกรรมทุกๆ อย่างได้เลย แล้วถ้าจิตมันสงบขึ้นมา แล้วมันออกเป็นปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดประโยชน์มหาศาลเลย
ไม่ได้.. มันเป็นสมาธิ มันเป็นสมถะ มันไม่มีประโยชน์..
แล้วถ้าไม่มีตัวเริ่มต้นจากพลังงานอย่างนี้ อุตสาหกรรมทุกอย่างจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดไม่ได้เลย แต่ไปปฏิเสธมันก่อน ปฏิเสธตั้งแต่ความอยาก ปฏิเสธสมถะ วิปัสสนาสายตรง ตายเปล่า รู้ในสมมุติตายเปล่าๆ รู้นอกสมมุติ ความจริงมันจะทำให้เรารู้แจ้งในหัวใจ เอวัง