ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

แค่เล่ห์กล

๙ ก.พ. ๒๕๖๒

แค่เล่ห์กล

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๒๓๒๑. เรื่อง “อยู่ๆ มันก็ดับ (วัวงาน)”

หลวงพ่อ : เขาเคยถามมานานแล้ว

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อ (กระผมนายวัวงาน ชื่อคำถามแรกสุดที่เคยได้มากราบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ) จากคำถามที่ได้ฟังหลวงพ่อให้คติไว้ ผมก็ยังยึดและพยายามทำต่อเนื่อง จนเริ่มรู้สึกอย่างหนึ่งคือจะเผลอก็ดี จะรั้งให้กลับมาเริ่มทำอะไรต่างๆ ก็ดี หรือแม้แต่ขณะภาวนาหรือกำหนดลมหายใจก็ตาม (สติ) นี้เองที่ผมรู้สึกว่าช่วยผมได้มากๆ ระงับทั้งอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจทางโลกก็ตาม ควบคุมองค์บริกรรมให้ติดต่อกันก็จะชัดเจนตรงสติ คือมันไม่พาความคิดแฉลบออกนอกจากที่ตั้งใจคิดเลย

ปัญหาที่กระผมปฏิบัติธรรมแล้วอาการเกิดขึ้นคือ หนแรกช่วงปีใหม่ ผมไม่ได้ไปเที่ยวไหน ก็นั่งปฏิบัติธรรมสลับไปเรื่อยๆ จนค่ำจะเข้านอนยังจำได้สนิทถึงวินาที คือผมจะไม่กำหนดอะไรเลย แค่สักแต่ว่ารู้ พอใจตั้งไว้อย่างนั้น ก็สติไปกำหนดจับลมคู่หนึ่งก็สบายแล้ว ไม่น่าจะเกิน ๓ นาทีอย่างมาก สติยังครบ ลมจางลง แต่มีสิ่งหนึ่งดังขึ้นมาเหมือนคนตีกลอง คล้ายหูแว่ว ก็จับลมต่อ (ตามคติหลวงพ่อบอกว่า อะไรก็ช่างมัน ปัจจุบันคือกำหนดลมก็อยู่กับลม) แล้วเสียงก็ดังเป็นจังหวะๆ ตอบตัวเองได้เลยว่า เฮ้ย! นี่มันเงียบจนเราได้ยินเสียงหัวใจตนเอง กับไออุ่นลมหายใจจางๆ แบบนี้หรือ แล้วอาการมีภาพนิมิตที่เคยเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าเป็นสีวูบๆ วาบๆ ในตอนหลับตา ก็มีมาแต่นิดเดียว แล้วเปลี่ยนเป็นขาวโพลนราวกับไปยืนมองผืนผ้าใบฉายหนัง ขณะนั้นไม่ได้หลับพันเปอร์เซ็นต์ แต่เข้าที่นอนแล้วปฏิบัติสมถะเอา

จู่ๆ ตัวผมก็รู้สึกตัวอยู่ดีๆ ในท่านอนสะดุ้งโหยง แต่แตกต่างกับอาการคนเพลียๆ ง่วงนอนที่สะดุ้งเหมือนตกที่สูง อันนี้ไม่เหมือนกับครับ มันตื่นพร้อม แค่ตาปิดลง ลมชัด อะไรที่เกิดขึ้น เห็นไม่แส่ส่าย มั่นใจว่าขณะนั้นคุมใจแบบอยู่จริงๆ ขาวโพลนสักนิดเดียวก็เกิดอาการสะดุ้ง

ขอหลวงพ่ออธิบายสภาวะการกระชับด้วยอุบายสักนิด

คืนวันที่ ๖ นี่เอง ผมก็นั่งกำหนดพุทโธสลับกับลม และฟังเทศน์หลวงพ่อด้วย ก็พยายามหาเครื่องเกาะที่ทำให้การรับรู้ที่เราเน้นสติเข้าได้ทำต่อเนื่อง โดยใจความธรรมก็ได้ฟัง ไม่อย่างนั้นมันเหมือนฟังขาดๆ หายๆ แต่นี้ชัดเจน ผ่านไปสักพักใจเบาๆ ลมสัมผัสก็ดี แต่จู่ๆ ผมหายไปเฉยๆ ทั้งที่ตอนปฏิบัติกำหนดก็แนบแน่นดี เสียงฟังเทศน์หลวงพ่อก็เข้าใจ ง่วงก็ไม่มี

ส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่าหลับไหมหนอ แต่ไอ้ตอนรู้สึกตัวมันรู้สึกตอนเทศน์ลงว่าเอวังเท่านั้น ตาก็เปิดมากดโทรศัพท์ ถึงมานึกว่า เทศน์เมื่อสักครู่นี้เราฟังแล้วเผลอหลับในไปหรือ แต่ทำไมตอนตื่นกลับไม่หันรีหันขวาง คือมันมีแค่เปิดตาหยิบโทรศัพท์เลย แต่ช่วงดับไปนี้ผมไม่ได้รับรู้อะไรเลย ข้อนี้กระผมหลับไหมครับ แล้วอาการตอนรู้สึกตัวมันแช่มชื่น ต่างกับคนผลอยหลับครับ

ถูกผิดหลวงพ่อแนะนำเป็นคติเครื่องดำเนินไปด้วยครับว่าหย่อนไปจนให้ค่าไม่ออก แต่ทุกการรับรู้เด่นชัด และก็ใจแช่มชื่นดีครับ กราบนมัสการ

ตอบ : อันนี้เท่ากับรายงานผลการปฏิบัติไง ผลการปฏิบัตินะ เราปฏิบัติธรรมๆ เริ่มต้นเราปฏิบัติธรรมเหมือนกับคนออกกำลังกายตอนเช้า เวลาคนเขาไปออกกำลังกายตอนเช้า เขาออกกำลังกายก็เพื่อสุขภายร่างกายแข็งแรง ถ้าร่างกายเขาแข็งแรง ผลที่มันตามมาคือสุขภาพกายที่ดี ความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มี ชีวิตนี้การทำหน้าที่การงานสะดวกสบายไปหมดถ้าสุขภาพกายที่ดี

ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะมาฝึกหัดสุขภาพจิต ถ้าสุขภาพจิตที่มันดี ถ้าสุขภาพจิตที่ดี ไม่เคร่ง ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล ไม่มีอารมณ์ไปแบกรับ ไม่มีอารมณ์ต่างๆ ให้มาแบกรับภาระต่างๆ มันมีความสุขของมัน มันมีความพอดีของมันนะ ถ้าสุขภาพจิตที่ดี ถ้าสุขภาพจิตที่ดีไม่ไปแบกหาม ไม่ไปเป็นขี้ข้าอารมณ์ ไม่ไปเป็นเหยื่อของสังคม ไม่ทั้งสิ้น นี่เวลาการประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติเพื่อเหตุนี้ไง

เวลาทางโลกเขา เขาออกกำลังกายตอนเช้าก็เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ที่เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราก็ต้องการให้สุขภาพจิตของเราแข็งแรง ถ้าสุขภาพจิตของเราแข็งแรง หน้าที่การงานมันเป็นงานประจำ หน้าที่การงานเป็นงานประจำของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาต้องมีหน้าที่การงานของตน ถ้าใครมีหน้าที่การงานของตน แล้วทำหน้าที่การงานของตน รับผิดชอบงานของตน นั่นเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนที่ดี ถ้าเป็นคนที่ดี ทำงานเพื่องานอันนั้น ถ้างานอันนั้น

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำความดีของเรา ทำความดีของเราตอบสนองแต่ที่เรามีสติปัญญาที่เป็นปกติ ทำงานก็คืองาน ถ้ามันมีผลตอบสนองที่ดี หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรืองไป นั่นก็ดีงามของเรา ถ้าเราทำหน้าที่การงานที่ดี แต่การตอบสนองมันไม่ตอบสนองมา นั่นมันก็เป็นเวรกรรมของสัตว์

แต่ในจิตใจของเราถ้ามันมีสุขภาพจิตที่ดี มันไม่เดือดร้อน สุขภาพจิตที่ดีไม่วิตกกังวลไง สุขภาพจิตที่อ่อนแอ มันไปอาศัยไปอิงคนอื่นหมด จะทำสิ่งใดต้องอาศัยคนนู้น ต้องได้ผลประโยชน์อย่างนั้นๆ มันคิดไปนอกเรื่องนอกราว หน้าที่การงานของเรา เราก็ต้องมีหน้าที่การงานของเราอยู่แล้ว แล้วเรายังวิตกกังวลเข้าไปอีกซ้ำสองซ้ำสาม มันเป็นการแบกภาระหลายซับหลายซ้อน

แต่ถ้าเรากลับมาฝึกหัดปฏิบัติ เรามาปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเรา เราปฏิบัติของเราเพื่ออะไร ถ้าเราปฏิบัติของเรานะ ถ้าทางโลกเขาก็มอง หน้าที่การงานของเรามันก็มีความรับผิดชอบมากมายมหาศาลขนาดนี้แล้ว ยังต้องมาปฏิบัติอีกหรือ ถ้าปฏิบัติอีก มันก็มีงานซ้อนเข้าไปอีก มันก็เหนื่อยยากมากขึ้นไปอีกไง เพราะเอ็งวิตกกังวลไปหมดเลย

หน้าที่การงานของเราก็ทำเสร็จแล้ว เวลาคนเขาทำงาน บอกงานทำเสร็จแล้วอย่าเอาเข้ามาบ้าน หน้าที่การงานก็เสร็จแล้ว แต่ก็มานั่งวิตกกังวลว่างานนั้นมันจะได้ผลหรือไม่ได้ผล มาแบกรับภาระอารมณ์อีกมหาศาลเลย หน้าที่การงานของเรา ถ้ามันจบแล้ว เสร็จที่ทำงานแล้วก็วางไว้ที่นั่น กลับมาที่บ้านของเรา กลับมาที่อยู่ของเรา เวลาของเรามีโอกาสได้ปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ เวลาเราเหลือเฟือ

แต่ถ้าคนจิตใจมันไม่ปกติ หน้าที่การงานเสร็จแล้วมันก็แบกเอามาที่บ้าน แบกเอามาที่อยู่ที่อาศัย แบกตลอดไป แบกทุกข์ตลอดไป แล้วก็บอกว่า แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติอีกล่ะ

แต่ถ้ามันวางไว้หมดแล้ว เวลาจะปฏิบัติเรามีทั้งสิ้น เราปฏิบัติมันไม่ต้องทำมากน้อยแค่ไหนหรอก หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ความรู้สึกนี้ก็พอแล้ว แล้วถ้ามันพอไปแล้วนะ ถ้ามันเป็นปกติ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นั่นก็เป็นสัมมาสมาธิ มันสงบเข้ามา สงบระงับเข้ามาตามความเป็นจริงของมัน

แต่เวลาจะปฏิบัติ คนเรามันมีเวรมีกรรม บางคนสงบไปเรียบๆ ก็มี บางคนสงบแล้วมันไปรู้ไปเห็นต่างๆ ก็มี บางคนสงบแล้วมันคึกมันคะนองก็มี บางคนเอาจิตใจของตนไว้ไม่ได้มันก็มี อันนี้มันเป็นกรรมของสัตว์ ไม่เหมือนกันหรอก ถ้ามันจะเหมือนกันนะ วางไว้หมด กรรมของใคร กรรมของเขา ใครทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหน เขาปฏิบัติแล้วเขาได้ผลของเขา สาธุ ใครทำแล้วถ้ามันยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แล้วนะ ถ้ามันมีอุปสรรคของเขา ก็สาธุ เราทำแล้วเราจะล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา เราก็พยายามของเรา

ความพยายามของเรา สิ่งที่พยายามของเรา ถ้าเราทำสิ่งใด ถ้ามันประสบความสำเร็จ เหมือนคนเลย ดูสิ เด็กๆ คัดลายมือๆ โอ้โฮ! บางคนมันเขียนสวยมาก บางคนเขียนไม่ได้เรื่องเลย บางคนเขียนนี่อ่านไม่ออกเลย นั่นคืออะไรล่ะ ก็จริตนิสัยของเขา บางคนเขียนมา โอ้โฮ! สวยงามมาก คัดลายมือนี่ แหม! ตัวบรรจงสวยมาก ดีกว่าตัวพิมพ์อีก นั่นก็นิสัยของเขา แล้วใครจะบังคับให้เหมือนกันล่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก คัดลายมือๆ

แล้วเวลาจะภาวนาก็เหมือนกัน คนเหมือนกัน แต่คิดไม่เหมือนกัน คนเหมือนกัน อำนาจวาสนาคนไม่เหมือนกัน คนเหมือนกัน ทำได้ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกันแล้ว ถ้าเราเข้าใจสิ่งนี้แล้ววางไว้ แต่คนไม่เป็นอย่างนั้น นี่เป็นวิทยาศาสตร์ หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง ถ้ากำหนดพุทโธสองทีต้องเป็นสมาธิ ถ้าสามทีมันอัปปนาเลย แล้วพออีกคนมันสองทีแล้วมันไม่ได้ล่ะ อีกคนยังไม่ทันกำหนด เป็นแล้ว แล้วเราเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องพุทโธสองทีได้เป็นอัปปนาสมาธิ เป็นอย่างนั้นหรือ...ไม่เป็น

แม้แต่คนคนเดียวนะ เวลาปฏิบัติถ้าจิตใจเราดีมาก เรากำหนดนะ กำหนดเฉยๆ ก็ได้ กำหนดพุทโธก็ได้ ถ้ามันลงมันก็ลงดีมากเลย บางทีอารมณ์มันกระทบไง คำว่า กระทบ” มันไปกระทบอะไรที่มันเป็นสิ่งที่สนใจในหัวใจ มันฟู พุทโธๆๆ เกือบตายยังไม่ลงเลย คนคนเดียวนี่แหละ ไม่ต้องไปเทียบกับคนอื่นหรอก บางทีก็ภาวนาได้ง่าย บางทีก็ภาวนาได้ยาก

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงพยายามรักษาข้อวัตรปฏิบัติ รักษาไว้ อย่าคลุกคลี อย่าคุยโม้ อย่าไปพูดเล่นพูดหัว พูดเล่นพูดหัวแล้วจิตมันคึกจิตมันคะนอง จิตมันส่งออก กว่ามันจะสงบลง คนที่ปฏิบัติเขาจะสงบเสงี่ยมของเขา เขาจะรักษาหัวใจของเขา แล้วเวลาเข้าที่ภาวนาก็นั่งให้ดีแล้วกำหนดพุทโธไปเลย

แต่ในหัวใจของคนมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คนอย่างเบา อย่างกลาง อย่างหยาบ คนเรากิเลสหนากิเลสบางแตกต่างกัน ถ้าคนกิเลสมันเบาๆ คนจะมากระทบกระเทือนอะไรบ้าง เขาก็ทนได้ แต่คนที่กิเลสอย่างหนานะ ไม่ต้องให้เขามากระทบกระเทือนเราหรอก มันนั่งมองเลยล่ะ ใครจะหาเรื่องกู มันตาขวางตั้งแต่มันยังไม่มีใครมา มันจะไปล่อเขานู่นน่ะ

คนกิเลสมันแตกต่างกันไง ถ้ามันแตกต่างกันแล้ว เวลาจะปฏิบัติมันก็แตกต่างกันอย่างนี้ อย่างนี้มันอยู่ที่วาสนาที่เราได้สร้างมา ถ้าสร้างขึ้นมาแล้ว เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เราก็เพื่อประพฤติปฏิบัติแนวทางนี้ คือทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้วมันสุขภาพจิตที่ดี ถ้าสุขภาพจิตที่ดีนะ กิเลสมันครอบงำไม่ได้ กิเลสมันหลอกลวงไม่ได้ กิเลสมันจะชักนำไปตามมันไม่ได้

แต่ถ้าคนสุขภาพจิตที่ไม่แข็งแรงนะ พอนั่งภาวนาไปแล้ว “โอ้โฮ! เทวดามาอนุโมทนาเลยนะ”...หา! เพิ่งนั่งนี่ “เทวดามา โอ้โฮ! เป็นสายเลยนะ โอ้โฮ! ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติสุดยอดๆ” นี่ถ้าจิตใจมันอ่อนแอ

ถ้าจิตใจที่เข้มแข็งนะ สาธุ เราเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลของวัฏฏะๆ เทวดา อินทร์ พรหมมีของเขาอยู่แล้ว มีของเขาอยู่แล้ว เพราะคนเคยทำคุณงามความดีแล้วสิ้นชีวิตไป เขาก็ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมของเขา

สิ่งที่มีชีวิต ดูสิ แม้แต่โลกเรามันกี่ล้านๆๆ ปี คนที่ทำคุณงามความดีเขาเคยทำคุณงามความดีมาก่อนหน้าเรา แล้วเขาได้หมดชีวิตของเขาไป เขาไปเสวยภพเสวยชาติสิ่งใด มันก็มีของเขาอยู่อย่างนั้น

ไอ้ของเรา ขณะปัจจุบันนี้เราได้สร้างมนุษย์สมบัติ เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเรามีอำนาจวาสนา เราจะมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติของเรา เราปฏิบัติด้วยคุณงามความดีของเรา ถ้ามันจิตสงบก็สงบเพื่อเรานี้ ด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วถ้ามีอำนาจวาสนายกขึ้นสู่วิปัสสนา เราจะเดินมรรค เราจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น พอเกิดขึ้น มันแยกมันแยะของมัน มันเห็นโทษของมัน เหมือนคนเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าโรงพยาบาล แล้วมีผู้ที่รักษา แล้วถ้ามันหายจากเจ็บไข้ได้ป่วยออกจากโรงพยาบาลมาด้วยความสดชื่น ชื่นชม มีความสุขในหัวใจของเรา

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันได้วิปัสสนา มันได้ปฏิบัติของมัน มันจะคายกิเลสออกไป มันเห็นชัดเจนของมันอย่างนั้น นี่ผลของการปฏิบัตินะ แต่เวลาผลของการปฏิบัติ โดยหลักอริยสัจมีหนึ่งเดียว จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตของสัตว์โลกประพฤติปฏิบัติแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ ดับทุกข์ด้วยมรรค มันจะกลั่นออกมาจากอริยสัจ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างเดียว

แต่เวลาจะปฏิบัติแล้ว เริ่มต้นกรรมฐาน ๔๐ ห้องมันกว้างขวาง กว้างขวางเพราะคนสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ถ้าคนสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน คนไม่เหมือนกัน เหมือนอาหาร อาหารแต่ละภูมิภาค อาหารแต่ละพื้นที่ แล้วแต่ภูมิภาคนั้นเขามีทรัพยากรอย่างใด อาหารก็จากทรัพยากรที่เขามีอยู่อย่างนั้น

จิตใจของเราๆ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจะทำความสงบของใจเข้ามา มันจะมีอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน นั่นน่ะมันคือเล่ห์กลของกิเลส เล่ห์กลนะ เล่ห์กลของกิเลส คนที่มีกิเลสหนา กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด ถ้ากิเลสอย่างหนาๆ มันบอกมันทำไม่ได้หรอก แล้วพอเวลาทำขึ้นมา แม้แต่ไปวัด คนที่ไปวัดเป็นคนที่มีปัญหาทั้งนั้น มันอยู่บ้านมันมีแต่ความสุข

คนที่ไปวัดเขาเป็นบัณฑิต เขารู้จักความผิดชอบชั่วดีในใจของเขา เขาไปวัด ไปวัดหัวใจของเขา เขาไปกำหนดดูแลรักษาหัวใจของเขา เขาเป็นคนพาลตรงไหน เขามีปัญหาอะไร

ไอ้คนที่ไม่สนใจต่างหาก เอ็งน่ะสะสม คดในข้อ งอในกระดูก มันเกิดปมในร่างกาย ในกระดูกของเอ็ง เอ็งยังไม่รู้ตัว ยังคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดีนะ แม้แต่แค่ไปวัด เห็นไหม คนที่กิเลสเขาหนาๆ เขาบอกว่าพวกนี้พวกมีเวลาเหลือเฟือ เราขนาดทำหน้าที่การงาน เวลายังไม่มีเลย เห็นไหม เขาไม่สนใจ

แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา อยู่บ้านเราก็ปฏิบัติได้ อยู่บ้านเราก็ปฏิบัติประสาของเรา เวลาเราไปวัดไปวา เราอาศัยสถานที่ที่สงัดวิเวก ถ้าเราถือศีลถือทุกอย่างให้มันเข้มข้นขึ้น เราไปวัดเพื่อวัดใจของเราว่าจิตใจของเรามันพัฒนาขึ้นหรือมันเลวลง

ถ้ามันเลวลง มันกระฟัดกระเฟียด มันไม่ยอมเข้า เหมือนวัวมันไม่เข้าคอก ถ้าจิตใจมันดีงาม มันอยากเข้า อยากประพฤติปฏิบัติของมันนะ มันทำคุณงามความดีของมัน นี่พูดถึงว่าคนที่จิตใจที่เขาหยาบละเอียดแตกต่างกัน แล้วเวลาจะมาปฏิบัติ นี่จะเข้าสู่คำถาม

คำถามของเขา เขาบอกว่าเขาเสียสละนะ ผมไม่ได้ไปเที่ยวปีใหม่เลย ผมปฏิบัติของผมเลย แล้วพอปฏิบัติไปแล้ว สิ่งที่เขารู้เขาเห็นเขาถามมาเลยว่า สติเขาพร้อมมาก ไม่ให้มันคิดแฉลบไปนอกเรื่องนอกราว

ถ้าไม่ให้คิดแฉลบไปนอกเรื่องนอกราว เรากำหนดของเราไว้ คำบริกรรม คำบริกรรมเหมือนการซักผ้า ซักผ้า เรามีการซักฟอกทำให้จิตมันดีขึ้น เราก็มีบริกรรมของเรา มีการกระทำซักหัวใจของเรา ถ้ามันมีสิ่งใดเกิดขึ้น มันเป็นความดีงาม มันก็เป็นดีงามด้วยผลการปฏิบัติของเรา ถ้ามันมีสิ่งใดเป็นอุปสรรคขึ้นมา มันก็มีอุปสรรคของมันทั้งนั้นน่ะ

เขาบอกว่า เวลามันเคยเห็น ที่เขาเคยเขียนมาว่ามันเป็นสีขาวๆ สีแวววาว

ไอ้เรื่องเห็นสี เห็นแสง เห็นต่างๆ เห็นก็คือเห็น เห็นแล้ววางไว้ๆ โดยธรรมชาติของเรา ถ้ามันรู้มันเห็นสิ่งใด เราก็วางไว้ แล้วกำหนดพุทโธต่อเนื่องไป กำหนดพุทโธต่อเนื่องไป แล้วถ้ามันมีสิ่งใดสงสัยที่มันอยากครุ่นคิด เวลาเรากำหนดพุทโธแล้ววางแล้วมาคิดเลย พิจารณาเลยว่าแสงมันคืออะไร

เพราะประสาเรา ของที่มันเห็น เห็นก็คือเห็น แล้วในชีวิตของเรา ทุกวันเราก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก เวลาพระอาทิตย์ตกไปแล้วมันก็ไม่เห็นมีแสงอะไรเลย พระอาทิตย์ขึ้นมา มีแสงสว่างขึ้นมา แสงสว่างนี้ ดูสิ สิ่งที่ว่าเส้นศูนย์สูตรเป็นแหล่งที่ปลูกพืชธัญญาหาร เพราะอะไร เพราะแสงแดด แสงแดดมันมีคุณค่าการสังเคราะห์แสงของพืช มันได้สารอาหารของมันอีกต่างหาก นี่พืชมันมีชีวิตขึ้นมา เจริญงอกงามขึ้นมา ดินที่อุดมสมบูรณ์ อากาศที่ดี เป็นแหล่งทรัพยากรของโลก แหล่งอาหารของโลก มันยังเป็นประโยชน์เลย

แล้วเราจะไปเห็นสีเห็นแสงขึ้นมา ถ้าเราพิจารณาของเรานะ มันเห็นก็คือเห็น มันเป็นอะไรไป ไม่เห็นก็คือไม่เห็น มันจะเป็นไรไป เอ็งยังมีความรู้สึกหรือเปล่า มีสติหรือเปล่า จิตรับรู้อยู่หรือเปล่า

ถ้าจิตรับรู้ก็พุทโธของเราเรื่อยไป พุทโธของเราเรื่อยไป ถ้าจิตของเราสงบแล้ว หน้าที่การงานของเรา ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เราต้องการอันนี้ต่างหาก เราต้องการจิตของเราเป็นสัมมาสมาธิ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

ถ้ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตสงบ พอมันสงบแล้วมันเวิ้งมันว้าง มันเบานะ คนที่เป็นสมาธิแล้ว จิตมันสงบระงับขึ้นมา เวลาลุกจากการภาวนาเหมือนมันลอยไปลอยมานะ เบามาก เวลาเดินไปๆ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในป่า เดินจงกรม เวลาตัวมันเบา โทษนะ มันเหมือนจะเหาะได้ เหาะ เหาะ เหาะเลย ไม่เหาะหรอก เพราะร่างกายมันหนักเท่าเก่า มันเบาที่หัวใจ ร่างกายมันไม่เบาให้เหาะได้หรอก แต่ใจมันเบาเหมือนจะเหาะได้เลย แต่เหาะไม่ได้

คนที่เขาจะเหาะได้นะ เวลาเขาเข้าฌานสมาบัติ เขากำหนดเลย จะเหาะ แล้วทำความสงบ พอจิตมันสงบ ไปเลย ไปแล้ว เห็นชัดๆ นี่ถ้าพูดถึงเหาะเหินเดินฟ้ามันทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นอะไรล่ะ นี่ไง ติรัจฉานวิชา วิชาทำให้จิตใจเนิ่นช้าต่อการเข้าสู่อริยสัจ ต่อการเข้าสู่มรรค นี่คนที่ภาวนาเป็นแล้วนะ

แต่คนที่ภาวนายังไม่เป็น อู๋ย! มันจะเหาะได้ มันจะเป็นผู้วิเศษ...หลงทางแล้ว เปลือก เห็นเปลือกมันดีกว่าไง โดยธรรมชาติของมนุษย์มันรับรู้ได้แค่นี้ไง

แต่ถ้าวางไว้ๆ มันจะละเอียดเข้ามา สิ่งที่รับรู้ เพราะจิตใจของคนมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เวลาพิจารณาไปแล้วมันเบา เดินจงกรมเหมือนจะเหาะได้เลยนะ เหมือนจะเหาะได้เลย แต่ไม่เหาะสักที เดินตัวเบาอยู่อย่างนั้นน่ะ เหมือนจะเหาะได้ แต่ไม่เหาะ เหาะไม่ได้

แต่เวลาคนที่มันจะเหาะได้เขาเรียกว่าอภิญญา เวลาอภิญญา นี่ติรัจฉานวิชา วิชาทำให้เนิ่นช้า เหาะเหินเดินฟ้า ทำไมจะทำไม่ได้ แล้วเดี๋ยวนี้ถ้าจะเหาะได้ ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ปีหนึ่ง ๔ ล้านคน มันเหาะ เดี๋ยวนี้เหาะเหินเดินฟ้าเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดาทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเรื่องที่เราจะเหาะได้โดยธรรมชาติของมนุษย์

เราเชื่อว่ามีครูบาอาจารย์ทำได้ แต่ที่ครูบาอาจารย์ทำได้ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีสติปัญญานะ ท่านจะเห็นโทษของมัน เห็นโทษของสิ่งที่ทำให้เนิ่นช้า เพราะว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่แก้ทุกข์ได้มันคือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ สมาธิคือตัวจิตของตน ถ้าตัวจิตของตน เห็นโทษของตนนะ ใช้ปัญญาวิปัสสนาของตน สำรอกคายทิฏฐิมานะ เห็นไหม สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด จิตใต้สำนึกเห็นลึกๆ ว่าเป็นของเรา จิตลึกๆ มันคิดว่าสมบัตินี้เป็นของเรา ชีวิตนี้เป็นของเรา มันเป็นของเราโดยสมมุติ มันเป็นของเราโดยวิทยาศาสตร์ โดยโลก แต่มันไม่ใช่เป็นของเราในทางธรรมะ

มันไม่เป็นของเราในทางธรรมะเพราะอะไร เพราะในธรรมะบอกนี่คือสังโยชน์ นี่คือเครื่องร้อยรัด เครื่องร้อยรัดให้จิตมันข้องเกี่ยวอยู่นี่ มันถึงไปไหนไม่ได้ไง มันหวงมันแหน มันสงวนรักษาของมันว่าของกูๆๆ มีปัญญาขึ้นมาก็กลัวจะไม่ได้โม้ให้คนอื่นว่ากูมีปัญญา ทำอะไรก็กลัวไม่ได้โม้ให้เขารู้ว่ากูทำได้ แต่ถ้าเป็นจริงแล้ว ไม่ เป็นจริงนะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สัจธรรมมันเป็นของมันโดยสัจจะ แต่เราทำได้ๆ เราทำได้มันก็คายออกมา

นี่พูดถึงว่าเห็นสีแสง คำว่า เห็น” เรารับฟังนะ เรารับฟังผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่ไปรู้ไปเห็นสิ่งใด เรารับฟัง เรารับฟังเพราะอะไร เพราะจิตนี้มันมหัศจรรย์นัก จิตนี้มันรู้เห็นได้ร้อยแปดพันเก้า รู้เห็น มันรู้เห็นด้วยวุฒิภาวะของมัน ถ้าเราเป็นช่างสายตา ช่างทำแว่น เราจะวัดเลย สายตาเอียง สายตาบอดสี อ้าว! สายตาสั้น สายตายาว ยาวสั้นเท่าไร เอียงเท่าไร บอดสีเท่าไร

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเห็นน่ะ เห็นร้อยแปด ถ้าเราเป็นช่างตัดแว่น เราจะตัดแว่นให้เลย ต้องตัดแว่นให้เข้ามาเป็นปกติ ถ้าสายตาเอียงก็ต้องแก้สายตาเอียง ถ้าสั้นก็ต้องแก้ให้มันยาว ถ้ายาวก็ต้องให้หนาหน่อย ให้มันสั้น ให้มันพอดีไง นี่ไง นี่พูดถึงถ้าเราเป็นช่างตัดแว่น ถ้าเป็นช่างตัดแว่น

จะเห็นสีเห็นแสงอะไร เห็นก็คือเห็นแล้ววางไว้ เห็นแล้ววางไว้ เพราะแสง หรือสี หรือภาพ ไม่ใช่จิต เราภาวนานี้เราค้นคว้าหาจิตของเรา ถ้าจิตของเราปกติ จิตของเราไปรู้ไปเห็นสิ่งใด เห็นแล้ววาง เพราะเห็นนั้นน่ะ เห็น มันเห็นเพราะอะไร เพราะโดยปกติ เราลืมตาก็เห็น เราหลับตาก็ไม่เห็น ถ้าหลับตาแล้วไม่เห็น แต่มันเห็นภายใน รับรู้ได้

แล้วในโลกปัจจุบันนี้ผู้พิการทางสายตาเขามีอักษรเบรลล์ เขามีวิธีการทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถสื่อสารกับเราได้ ให้เป็นปกติ ไอ้นี่สายตาเราก็ปกติ แล้วเวลาเราภาวนาขึ้นมา จิตของเรามันรู้มันเห็นสิ่งใดมันก็เป็นเรื่องปกติ เราดูเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไรทั้งสิ้น เรายังบอกว่า นี่มันเป็นการวัด วัดว่าสายตาเอียง สายตาสั้น สายตายาว บอดสี ต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน รู้เห็นสิ่งใด เราก็วาง เราก็วาง เพราะเราต้องการสายตาที่เป็นปกติมาตรฐาน มาตรฐานของสายตาคือสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธินะ มาตรฐานมันดี แต่มันเป็นคนขี้คร้าน คนที่ไม่เอาไหน มันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรขึ้นมา ถ้ามาตรฐานมันดี แล้วเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรขึ้นมา ยกขึ้นสู่วิปัสสนา งานมันรออยู่ข้างหน้ามหาศาลเลย งานค้นคว้าหากิเลสมันยังมีอีกมากมายมหาศาล

แต่นี่เพื่อสะสมกำลัง เพื่อความเป็นปกติ เพื่อให้คนสายตาเป็นปกติแค่นั้นแหละ ไม่ใช่เอียงซ้าย เอียงขวา บอดสี เตรียมทหารไง สอบติด พอเวลาตรวจร่างกาย บอดสี ตก ทุกอย่างพร้อมเลย บอดสี จบ ไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เห็นก็คือเห็น ไอ้ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่ามันผิดถูกอย่างใดหรอก วันนี้พูดโดยมาตรฐานเลย ถ้ามันเห็น เห็นก็คือเห็น แล้วทำไมล่ะ เพราะอะไร เพราะสายตานี่นะ เราทำงานด้วยสายตา เราอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยสายตา เราไม่เดินไปชนใคร นี่ก็ด้วยสายตา จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ ถ้ามันปกติแล้วเรายกขึ้นสู่วิปัสสนาไปทำงานอย่างอื่น

แต่นี่พอสายตา ไปตื่นนะ ตื่นก็เห็นเป็นสีขาวๆ มันขาวโพลนเลย

ถ้าจิตมันไม่เจริญขึ้น มันจะไม่รู้เห็นอะไรเลย แต่การเห็นก็ติดในนิมิต การเห็นก็คือเห็น แต่โดยธรรมชาตินะ เวลาจิตมันผ่องใส จิตมันสว่างไสว คำว่า สว่างไสวของเขา” มันสว่างไสวด้วยความเข้าใจก็ได้ มันสว่างไสวด้วยแสงก็ได้ แล้วแสงมันแสงมหัศจรรย์ แสงจะเป็นแสงดวงกลมก็ได้ แสงเป็นโคมแขวนอยู่บนอากาศก็ได้ จะเห็นเป็นดวงตะวันก็ได้ เห็นดวงอาทิตย์ทับซ้อนกันก็ได้ เห็นดวงที่พุ่งเข้ามาก็ได้ เห็นความสว่างหมดเลยก็ได้ อู๋ย! คนเห็นร้อยแปด อจินไตย ๔ เรื่องของฌาน เรื่องความสงบ

ไอ้เรื่องนี้เราจะบอกว่า เป้าหมายของเราคือทำความสงบของใจ เป้าหมายของเราคือสัมมาสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่น จิตที่มีพลังงาน จิตที่มีพลังงานแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ที่เราทำความสงบกัน ทำความสงบกัน เป้าหมายอยู่ตรงนี้ แต่ไอ้ที่รู้ที่เห็นนั้นของแถม ของแถมคือจริตนิสัย

จริตนิสัยมันเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ พอการเห็นนั้นก็คิดว่านี่คือวิปัสสนา เห็นนั้นก็คือการภาวนา แล้วพอเห็นนั้น การเห็นมันเป็นอนิจจัง มันเกิดดับ คือมันเจริญแล้วเสื่อม เวลามันดีมันก็ดีของมันอย่างนั้นน่ะ เวลาเสื่อมแล้วทำอีกไม่ได้เลย แล้วมันได้อะไรขึ้นมา

ที่มันเหลือไว้กับใจตัวเองก็เหลือแต่ประสบการณ์เท่านั้น มันไม่เหลือข้อเท็จจริง มันไม่เหลือมรรคไม่เหลือผล ไม่เหลือความรู้อะไรหรอก มันแค่ประสบการณ์เท่านั้นน่ะ แล้วพอประสบการณ์ พอมันเสื่อมแล้วเอาขึ้นมาไม่ได้ด้วย

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ จะรู้เห็นอย่างไรก็เห็น เห็นแล้ววาง เห็นแล้ววาง เห็นแล้ววาง เราก็พุทโธของเราต่อเนื่องไป พุทโธต่อเนื่องไป

นี่เพียงแต่เขาถามไงว่าสิ่งที่เขารู้ชัดๆ เพราะอะไร เมื่อก่อนใครรู้สิ่งใดมา ใครภาวนามา เราจะบอกว่านั่งหลับ ตกภวังค์ ทีนี้มันก็เลยค้างคาในใจ คำถามก็จะถามหลวงพ่อว่า “ผมไม่หลับเนาะ ผมไม่ตกภวังค์เนาะ ผมภาวนาได้แล้วใช่ไหมหลวงพ่อ” คงจะถามต้องการอย่างนี้ไง “ที่ผมทำอย่างนี้ผมภาวนาได้แล้วใช่ไหมหลวงพ่อ”

ภาวนาได้ทุกคน จะเด็กเล็กเด็กน้อยภาวนาได้ทั้งนั้น เพราะมีลมหายใจ อานาปานสติ ทุกคนภาวนาได้ทุกคน ทุกคนภาวนาได้ถ้ามีสติ แล้วหมั่นเพียรขึ้นมา ภาวนาได้ทั้งนั้น แล้วภาวนาแล้วมันอยู่ที่วาสนาของคนว่ามันจะได้ผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

ถ้ามันได้มากขึ้นมา คนเราอยากมีสติมีปัญญา อยากมีความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง แล้วทุกคน ถ้ามีสติปัญญามาจากไหน ก็มาจากการนั่งสมาธินี่ การนั่งสมาธิทำให้คนฉลาด การนั่งสมาธิแล้วทำให้คนไม่เป็นเหยื่อ การนั่งสมาธิแล้วทำให้คนไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้คนไม่เห่อเหิม เห็นไหม ทำสมาธิมันได้ประโยชน์ทุกๆ อย่างเลย

ทำสมาธิกลับมาให้เราเป็นปกติของมนุษย์ ทำให้เราเป็นคนดีคนหนึ่งเลย แล้วถ้าเกิดมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ มันใช้ปัญญาไปได้ จะทำให้คนคนหนึ่งเป็นอริยบุคคล คนคนนั้นเป็นอริยบุคคล เป็นอริยทรัพย์ ถ้ามันทำได้จริง มันเจริญของมันอย่างนั้น

นี่พูดถึงว่าเห็นสีแสงไง นี่เราจะสรุปให้เห็นว่า การที่เห็นมันเห็นถูกต้องไหม เห็นอย่างไร

เห็นนั้นเกิดจากจิตมันมีกำลังบ้าง มันถึงไปรู้เห็นบ้าง ถ้าเห็นแล้วก็วาง แล้วเราก็ทำความสงบต่อเนื่องกันไป

เพราะคำถามถามว่า ที่เขาเห็นภาพ เห็นเป็นสีขาววาว นั่นมันคืออะไร เพราะว่าเขาเขียนนะว่า ขณะนั้นไม่ได้หลับ เขาเขียนมา พันเปอร์เซ็นต์เลยนะ เพราะมันเป็นคำที่เราจะบอกว่ามันเป็นการตกภวังค์ มันเป็นการหลับในต่างๆ เราจะแก้ไขมาอย่างนี้ตลอด แต่คำถามวันนี้ถามมาอีก ก็จะอธิบายให้เห็นว่าที่เราพูดเพราะเหตุใด ที่เราพูดเพราะมันตกภวังค์ เพราะมันหลับ เราพูดเพราะเหตุอะไร

เราพูดเพราะว่า สิ่งที่รู้ที่เห็น ใช่ มันก็รู้เห็น เหมือนเด็ก เด็กมันเคยทำสิ่งใด ทำหน้าที่การงานมันก็ทำทั้งนั้นน่ะ แต่ต้องโตไปกว่านี้ ต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ ต้องมีหน้าที่การงานในโลกของเรา ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องมีธุรกิจของเรา ต้องมีหน้าที่การงานของเรา ต้องมีงานของเราเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเรา

การปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันเติบโตขึ้นไปมันจะมีมรรคของมัน มันจะเจริญไปข้างหน้า อันนั้นจะไปข้างหน้า ไอ้นี่แค่ทำความสงบ แต่มันไปติดขัดที่ไปรู้ไปเห็นต่างๆ แต่ถ้าบอกนี่ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ก็ใช่ ฝึกหัดใช้ปัญญาก็ใช่

“ขอให้หลวงพ่ออธิบายสภาวะการกระทำที่เป็นการกระชับ”

การกระชับมันอยู่ที่โอกาสที่เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป เพื่อความสงบระงับเข้าไป เพื่อความรับรู้เข้าไป นี่พูดถึงว่าถ้ามันจะเป็นประโยชน์นะ

แล้วย้อนกลับมา เมื่อคืนวันที่ ๖ อีกน่ะ คำถามเหมือนกัน เห็นไหม คำถามเหมือนกัน จริตนิสัยเหมือนกัน ผู้กระทำคนเดียวกัน สุดท้ายเห็นเป็นแสงสว่างโพลง พอวันที่ ๖ เหมือนกับจะหลับ แต่ไม่หลับ เพราะขณะนั่งสมาธิ ฟังเทศน์หลวงพ่อไปด้วย ถ้าฟังเทศน์หลวงพ่อไปด้วยก็รับรู้ไปด้วย

ถ้าฟังเทศน์ เราไม่ต้องกำหนดพุทโธ ไม่ต้องกำหนดสิ่งใดเลย เราตั้งสติไว้ เทศน์นั้นมันก็เป็นที่จิตไปเกาะไว้เอง ถ้าเกาะไว้เอง ถ้ามันฟังของมันได้นะ แล้วถ้ามันเปิดไว้เพื่อเป็นเพื่อนเฉยๆ เราเปิดไว้ เรากำหนดพุทโธก็ได้ เอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มันชัดเจนขึ้นมา ถ้ามันชัดเจนขึ้นมา แล้วเรากำหนดสติของเรา นี่เราฝึกหัดภาวนาของเรา ฝึกหัดภาวนาของเรา เหมือนนักกีฬา นักกีฬาถ้าซ้อมมากขนาดไหนมันก็จะมีความชำนาญมากขึ้นขนาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราฝึกหัดภาวนาของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา แม้แต่ตัวเราด้วย ตอนบวชใหม่ๆ ๒๔ ชั่วโมง ภาวนา ๒๔ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมง พวกโยมถามว่า เฮ้ย! ทำได้จริงหรือวะ ๒๔ ชั่วโมง

ทำไมจะทำไม่ได้ กำหนดพุทโธตลอด จะเดิน จะยืน จะไปไหน ทำหน้าที่การงาน ถ้าพุทโธได้ พุทโธไปตลอด แล้วนั่งสมาธิตลอด บางทีไม่นอนด้วย ทำทั้งวันทั้งคืนเลย ทำทั้งวันทั้งคืน เรารักษาขึ้นมา ถ้าทำหน้าที่การงานอย่างนี้ รักษาสติอย่างนี้ เพื่อทำความสงบของใจอย่างนี้ ถ้าใจมันสงบเข้ามาได้

แล้วถ้าพูดถึง ถ้าฟังเทศน์ พอฟังเทศน์ขึ้นไปแล้ว สิ่งที่มันฟังเทศน์ ถ้ามันรู้ซึ้ง รู้ตื่นขึ้นมา เขาบอกว่า พอเขาจบแล้ว แค่เอื้อมมือไปกดโทรศัพท์เท่านั้นที่คิดว่ามันเป็นการเผลอไป นอกนั้นไม่ได้เผลอไป ชัดเจนหมด

ชัดเจนหมดก็ชัดเจนหมด การกระทำนะ ถ้าเป็นมวยไทย ๕ ยก ถ้าเป็นมวยสากล ๑๕ ยก เราจะบอกว่า จะมากหรือจะน้อย กติกา ๕ ยกก็คือ ๕ ยก ถ้า ๑๕ ก็ ๑๕ ๑๒ ก็ ๑๒ แล้วการภาวนาของเรา เราจะภาวนา ๕ ยก ๑๒ หรือ ๑๕ มวยอะไรล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราภาวนาของเรา คนของเรานะ เรามีเวลาเมื่อไหร่ ถ้ามีสติปัญญา เราก็จะภาวนาของเรา ถ้าเรามีเวลาของเรามาก เราก็แบ่งเวลาให้เป็นวรรคเป็นตอนได้ ไอ้นี่เดินจงกรม ไอ้นี่นั่งสมาธิ เราก็แบ่งเวลาของเรา มันไม่ต้องไปซีเรียสอะไรกับมันไง เริ่มต้นของเรา เราไม่ซีเรียสอะไรกับมัน แต่ก็ต้องมีเป้าหมาย อธิษฐานบารมีเป้าหมายว่าเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติแล้วอยู่ที่วาสนาของเรานะ

เวลาคน เวลาเริ่มต้นปฏิบัติ ถ้าจิตมันสงบ ถ้าจิตมันมีมาตรฐาน อยากบวช บวชตลอดชีวิตเลย บวชไม่สึก เวลาจิตมันดีไง โอ้โฮ! ขอบวชเลยนะ บวชไม่สึก บวชไม่สึก

ไม่เห็นมีพระเหลืออยู่เลย สึกหมด เวลามันเสื่อมนะ เวลาพอบวชเข้าไปแล้วนะ สักอาทิตย์หนึ่ง เออ! ชักแปลกๆ นะ สักเดือนสองเดือน อืม! ไอ้ที่จะไม่สึกๆ ก็ต้องคิดใหม่แล้ว

ถ้ามันดีก็คือมันดี มันจะเป็นอะไรไป ดีก็คือดีไง แต่ถ้ามันไม่ดีหรือมันไม่ได้ดั่งใจ จะบอกว่าไม่ดีไม่ได้หรอก เราตั้งใจปฏิบัติคือดีทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันไม่ได้ดั่งใจก็บอกว่า อื้อหืม! ทำไมกิเลสเราหนากว่าคนอื่นเขา ทำไมคนอื่นเขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เขาสงบได้ ไอ้เราทำไมทำไม่ได้ล่ะ

ภาษาเรานะ เราคิดของเราเอง เราไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจเลย กูทำมาๆ จะดีหรือชั่ว เราทำมาทั้งนั้น จริตนิสัยที่เราเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นเพราะว่าเราได้สร้างมาอย่างนี้ ถ้าไม่ได้สร้างมาอย่างนี้ ทุเรียนก็ออกผลเป็นทุเรียน ส้มก็ออกผลเป็นส้ม เราทำมาอย่างนี้ก็ออกผลมาเป็นอย่างนี้ แต่ออกผลเป็นอย่างนี้แล้วเราไม่เสียใจไม่ดีใจไปกับมัน แต่เราพยายามตั้งสติ เราพยายามหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราพยายามปฏิบัติของเรา ถ้าการปฏิบัติคือคำบริกรรม การกระทำนั้น ถ้าการกระทำนั้น ฝึกหัดนั้น ถ้ามันสงบมาก็สงบมา สงบได้ ถ้านิสัยก็คือนิสัย ไม่เห็นสำคัญเลย เราไม่ได้เกิดมาเป็นนางสาวไทย นางสาวจักรวาล ได้สวยหล่อเต็มที่เลย ไม่เป็นไร ขอให้กูทำความดีเป็นก็พอ

แหม! ต้องสวยหล่อด้วย แล้วทำงานสำเร็จอีกด้วย โอ้โฮ! เอ็งเอามากไปหน่อยแล้วมั้ง จะเอาดีทุกอย่างเลย เกิดมาต้องสวยหล่อ ภาวนาแล้วเป็นพระอรหันต์ โอ้โฮ! เอ็งทำบุญอะไรมา

นี่พูดถึงว่า เราถึงไม่น้อยเนื้อต่ำใจอะไรทั้งสิ้น เราภูมิใจในความเป็นมนุษย์ แล้วมีจิตใจที่ฝักใฝ่ในการประพฤติปฏิบัติ แค่นี้เราพอใจมาก เราพอใจว่าเราได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วสนใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเป็นยอดคน เพราะนั้นคือโอกาสได้ปฏิบัติ นั้นคือโอกาสที่ได้แสวงหา นั้นคือโอกาสที่เราได้บุกเบิกการกระทำ

ถ้ามันไม่สนใจเลย มันจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าคนไม่สนใจแล้วมันเป็นพาลไง “ไม่ใช่ ไม่มี ไม่มีอยู่จริง เป็นของหลอกลวง” ถ้ามันไม่สนใจแล้วมันต้องหาเหตุผล พอหาเหตุผลมันก็พยายามตอกย้ำ นั่นคนไม่มีวาสนา

ฉะนั้น ไม่ต้องสวยหล่อเป็นนางสาวจักรวาลหรอก เป็นอะไรก็ได้ ขอให้สนใจปฏิบัติพอ ถ้าสนใจแล้วมันขวนขวายของมัน ไม่ต้องไปเอาว่า แหม! จะต้องเพียบพร้อม เพียบพร้อมไปหมดเลย มันไม่มี เพราะเราไม่มีปัญญาจะทำความดีได้มากขนาดนั้น

๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธลักษณะ โอ้โฮ! สุดยอด หนึ่งไม่มีสอง นั่นคืออะไร คือ ๔ อสงไขย แล้ว ๘ อสงไขยล่ะ แล้ว ๑๖ อสงไขยล่ะ แล้วมึงทำมากี่วัน เพิ่งอยากจะปฏิบัติเมื่อวานนี้ แหม! อยากจะสวยหล่อ ประสบความสำเร็จไปหมด อันนี้พูดให้เห็นว่า ปฏิบัติไปเถอะ

สิ่งที่ว่าให้หลวงพ่อยืนยันให้มันกระชับ

ความกระชับมันก็อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่ความชอบ ถ้าชอบใจสิ่งใด ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับเราได้ เราก็ทำของเรา ไม่ต้องตื่นเต้น เพราะอ่านคำถามแล้ว ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นการยืนยัน เพราะว่าคงจะฝังใจเนาะ หลวงพ่อคำหนึ่งก็ตกภวังค์ สองคำก็ฟลุก ปฏิบัติไปแล้วมันก็แค่สมาธิ ผู้ที่ถามก็ แหม! ผมปฏิบัติมาตั้งหลายปีแล้ว ผมจะได้อะไรมากน้อยแค่ไหน ให้หลวงพ่อแนะนำให้ความกระชับ

คำว่า กระชับ” มันก็เหมือนกับเด็ก ผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ทำงานสิ่งใดก็เป็นงานเล็กน้อยของเขา เขาก็ทำกระชับได้ เด็กๆ ไปเข้มงวดกับมัน มันก็ร้องไห้งอแง เด็กมันก็ตามประสาเด็ก ผู้ใหญ่เราก็ทำให้มันเข้มข้นขึ้นมา

จิตใจของเราถ้ามันมั่นคงมันดีงามขึ้นมา เราก็เข้มงวดไปกับมัน ถ้าจิตใจเรามันไม่เอาไหนเลย เราก็ล้อมคอกมันไว้ อย่าให้มันออกไปข้างนอกก็แล้วกัน จิตใจเวลามันเสื่อมนะ มันฟูมฟาย มันจะไม่เอา มันจะฟาดงวงฟาดงา เราก็ดูแลไว้ให้อยู่ในกรอบก็พอ ถ้าจิตใจมันดีขึ้นมา เราก็รักษาให้มันดีขึ้น แล้วเราเอาอะไรกระชับล่ะ เพราะคนเรา อารมณ์ เรารู้เขาไหมว่าวันนี้อารมณ์เขาดี วันนี้อารมณ์เขารุนแรง อารมณ์มันฟูขึ้นมา เราควบคุมได้ไหม

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามันดีงามขึ้นมา เราก็เร่งเข้าไป หลวงตาท่านสอน ถ้าจิตมันต้องการ จิตมันแสวงหานะ เหยียบคันเร่งเต็มที่เลย แต่เวลามันทุกข์มันยาก เหยียบเบรกไว้ เหยียบเบรกไว้ เบรกไว้เฉยๆ เวลามันฟูมฟาย มันไม่ต้องการ เหยียบเบรกไว้ รถนี่เหยียบเบรกไว้ อย่าให้มันไปชนใคร อย่าให้มันไปแฉลบไปโดนใคร แต่ถ้าเวลามันขยันหมั่นเพียร คันเร่งมี เหยียบมิดเลย เหยียบมิดเลย

นี่เขาถามว่า หลวงพ่อแนะนำวิธีการที่มันกระชับ

ถ้าทำแล้วมันได้ประโยชน์ไง กระชับมันก็อยู่ที่ว่าบุคคลคนนั้นมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน เขาทำจริงจังมากน้อยแค่ไหน แล้วคำว่า มีอำนาจวาสนา” คือมันมีสติปัญญาไง มันฉลาด ฉลาดในอารมณ์ อีคิว ฉลาดในอารมณ์ของเรา ฉลาดในการคุ้มครองรักษาเรา ถ้ามันฉลาดนะ ถ้ามันฉลาดแล้วก็ดูแลรักษา ปฏิบัติเพื่อเราไง ปฏิบัติเพื่อเรา

ไอ้ที่มันฟูมฟายต่างๆ คือเล่ห์กลมันทั้งนั้นน่ะ เล่ห์กลของกิเลส กิเลสมันมีเล่ห์มีกล มันฟาดงวงฟาดงากับหัวใจของเรา ฟาดงวงฟาดงากับผลที่เราจะทำดีงามขึ้นมา ให้อยู่ในอำนาจของมัน ให้เถลไถลไปตามมัน แล้วชักจูงกันไป ชักจูงกันไปตามกิเลสไป พอตามไปๆ นะ “เลิกดีกว่า ทำแล้วไม่เห็นมันได้อะไรเลย ทำอยู่คนเดียว ไปเที่ยว เพื่อนฝูงเยอะแยะ” มันพูดไปนู่น เพื่อนฝูงมันจะพาไปตามแต่สังคมนั่นน่ะ

ถ้าเราทำของเรา ทำประโยชน์กับเราอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้นะ ถ้ากระชับ กระชับอย่างนี้ จะบอกว่า ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมเพื่อฉลาด แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมามันทำแทนกันไม่ได้ ผู้ใดปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นต้องลงทุนลงแรงในการกระทำ แล้วผู้ที่ปฏิบัติได้จริง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เพราะท่านลงทุนลงแรงมาขนาดไหน ท่านถึงได้รู้จักกิเลสไงว่ากิเลสมันปลิ้นปล้อนขนาดไหน

แล้วมาลูบๆ คลำๆ กัน แล้วชักจูงกันไป ชักจูงกันมา แล้วสำเร็จหมดเลย มันเอามาจากไหน เดินตามๆ กันไปเป็นแถวๆ แล้วสำเร็จหมดเลย ที่ไหนมันมีล่ะ

ถ้าคนที่ลงทุนลงแรงจริงๆ นะ มันเห็นใจไง ครูบาอาจารย์เราท่านลงทุนลงแรงมา ท่านถึงดูแลพวกเรา ถึงพยายามเป็นหลักให้พวกเรา ให้เป็นแบบอย่าง แล้วถ้าเราทำ เราทำของเรา มีกำลังใจก็ทำได้ ไม่มีกำลังใจก็อย่างที่ว่า ล้อมคอกมันไว้ อย่าให้มันชักจูงเราไปจนเสียหาย แล้วปฏิบัติอย่างนี้ นี่พูดถึงถ้ากระชับ ก็กระชับที่หัวใจเรา เอวัง