โรคทุกข์
ถาม–ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “แฉลบ”
กราบนมัสการหลวงพ่อครับ ผมได้ฟังเทศนาตอบคำถามของหลวงพ่อ คำว่า “แฉลบ” หลวงพ่อ สะเทือนใจเลยครับ ขอบพระคุณที่เมตตาแนะนำครับ จะพยายามหมั่นฝึกฝนตัวเองครับ
ตัวผมเองเพศฆราวาสมีครอบครัว ต้องทำงาน ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติภาวนา แต่กลับเห็นว่าการปฏิบัติภาวนายังเกิดประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตในทุกๆ วันด้วยซ้ำ ไม่ใส่ใจกับบุคคล ๔ คู่ เพราะการใส่ใจว่าจิตอยู่ในระดับใดมันเป็นทุกข์ สุขที่ใจมีค่ามหาศาลยิ่งกว่าสุขใดๆ ทั้งมวล กราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งครับ
ตอบ : อันนี้คือคำถามถามครั้งที่แล้ว แล้วเราตอบไป พอเราตอบไป เราจะตอบไปว่าอย่าให้วิตกกังวล เพราะไม่ต้องการให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติวิตกกังวลกับบุคคล ๔ คู่ บุคคล ๔ คู่มันเป็นไปโดยสัจจะ เป็นไปโดยตามข้อเท็จจริง เป็นไปโดยการกระทำ
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ เวลาคนมีทุกข์มียากขึ้นมา ไปวัดไปวาเวลาประพฤติปฏิบัติมันเหมือนคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไปหาหมอ เวลาไปหาหมอ เราก็ต้องการหายจากการป่วยนั้น หายจากการเป็นไข้นั้น เราถึงไปหาหมอ ถ้าเราไปหาหมอแล้วอาการป่วยนั้นมันหายไป นั้นคือการไปหาหมอ
แต่เวลาคนที่จะประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้มันเอาบุคคล ๔ คู่มาเป็นเหยื่อล่อ ใครมาหาฉันแล้วจะได้เป็นโสดาบัน ใครมาหาฉันจะได้เป็นขั้นนั้นขั้นนี้ มันเลยกลายเป็นสินค้า เป็นสินค้าที่เอามาตีค่าซื้อขายกันในท้องตลาด แล้วในท้องตลาด แล้วสินค้านั้นเวลาถ้าใครยืนยันหรือการซื้อขายอย่างนั้นมันไม่มีอยู่จริง
เพราะสินค้านี้มันเป็นนามธรรม มันซื้อขายกันไม่ได้ มันไม่มีการซื้อขายกัน ไม่มีการโอนให้กัน ไม่มีการค้ำประกันกัน มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเรานี่
เวลาหลวงปู่มั่นเราท่านยืนยัน ยืนยันเพราะอะไร ยืนยันเพราะว่าเวลาท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ท่านบอกว่า “เราทำความดีไว้ให้กับโลกมากมายมหาศาล ใครคิดถึงความดีของเราหรือไม่”
หลวงตาท่านบอกว่า “คิดอยู่เต็มหัวอกเลยครับ จะเขียนเรื่องประวัติของท่าน แต่ตอนนี้เรื่องส่วนตัวยังไม่เสร็จ” คือเรื่องในหัวใจของตนยังไม่จบ
“เออ! เอาเรื่องตัวเองให้จบก่อน เรื่องตัวเองให้จบก่อน”
แล้วเวลาเอาเรื่องตัวเองให้จบก่อนเพื่ออะไร เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม เป็นประโยชน์กับโลก
แล้วเวลาท่านจะยืนยันๆ ประวัติหลวงปู่ขาว ยืนยัน เวลายืนยัน หลวงตาพระมหาบัว เวลายืนยันหลวงตาพระมหาบัว เพราะเวลาพระกรรมฐานเขาทำข้อวัตรกัน เวลากลางคืนท่านไปนวดเส้นหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็ถาม เห็นพระที่ไปนวดเส้น ไปหาวิชาความรู้
ไปหาวิชาความรู้ ทุกคนมันก็อ้างว้างใช่ไหม ทุกคนก็ต้องการความมั่นคงใช่ไหม เวลาไปจับเส้นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นถึงจะบอกว่า ถ้าเราตายไปแล้วจะพึ่งใครล่ะ เราตายไปแล้วจะพึ่งใคร
ท่านก็ห่วงไง ท่านก็ห่วงอนุชนรุ่นหลังไปว่ามันจะมีที่พึ่งที่อาศัยหรือไม่ ท่านถึงได้บอกเลยนะ “ถ้าเราตายไปแล้วนะ ให้พึ่งมหานะ”
ให้พึ่งมหาคือให้พึ่งพระมหาบัวนี่แหละ เพราะอะไร เพราะพระมหาบัวเป็นผู้ที่อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ เวลาคนที่อุปัฏฐากกัน คนที่อยู่ใกล้ชิดกัน คนที่ปฏิบัติมาร่วมกัน จะรู้เลยว่าหัวใจจะสูงต่ำขนาดไหน เป็นคนสอนมาเอง เป็นคนปั้นมาเอง ถึงบอกว่า “ถ้าเราตายไปแล้วให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอก”
นอกคือว่าความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่เป็นแบบอย่างได้ ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ในชีวิตของพระ ชีวิตของสมณะ ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง ผู้ที่บวชใหม่ ผู้ที่บวชตามมาก็จะอาศัยแบบอย่างนั้นเป็นที่อยู่ เป็นแบบอย่าง
“ดีทั้งนอกและดีทั้งใน”
ถ้าดีทั้งใน ข้างในมันไม่ดี ข้างในมันไม่มีความจริงขึ้นมา มันจะบอกมันจะสอนไม่ได้ มันจะบอกวิธีการไม่ถูกต้องหรอก มันต้องบอกวิธีการที่ถูกต้อง
นี้คือการแบบว่าไม่มีการค้ำประกันกัน ไม่มีการยกยอปอปั้นกัน ทำไมหลวงปู่มั่นพูดถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ล่ะ เป็นธรรมเพราะอะไร
เพราะคนที่ไม่มีสัจธรรมในหัวใจมันไม่มีสายตา ไม่มีความรู้ที่จะวัดได้หรอกว่าอะไรจริงและอะไรปลอม อะไรเท็จหรืออะไรไม่เท็จ ไม่มีความสามารถวัดได้
ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านเป็นผู้แสวงหาเอง ท่านเป็นผู้ค้นคว้าเอง แล้วท่านอยู่ในสังคมของพระปฏิบัติเอง ท่านเห็นถึงความกิเลสมันปลิ้นมันปล้อนมันหลอกมันลวงเอง เวลาคนที่ไม่เป็นจริงๆ พยายามจะสร้างค่ากันน่ะ
เวลาหลวงตาท่านพูด หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติในสังคมกรรมฐานลูกศิษย์ลูกหามหาศาล แต่ที่เหลือมาๆ เหลือมาพวกเรายังชื่นชมนะ หลวงตาท่านพูดประจำ ดูสิ โรงงานใหญ่ก็คือหลวงปู่มั่น เป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ๆ ขึ้นมา
เพราะว่าแต่ละองค์ๆ กว่าจะเป็นไปได้มันแสนยากแสนเข็ญ ว่าอย่างนั้นเลย เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาคนทำงานบอกมีทุกข์มียากลำบากลำบน ท่านบอกอย่าเพิ่งคุย ยังไม่ได้ปฏิบัติ ยังไม่ได้เอาชีวิตเข้าแลก อย่าเพิ่งพูดว่ามันทุกข์มันยาก
เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากจากการประพฤติปฏิบัติ จากการที่ว่าจะทำลายอวิชชาพวกความเป็นพิษในใจออกให้ได้ อันนั้นสำคัญมาก
ฉะนั้น เวลาทำอย่างนั้นแล้วมันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าเป็นความจริงอย่างนั้น ทีนี้สังคมของเราเป็นสังคมที่ตามกระแส ตามกระแสขึ้นไป
เราเห็นมามาก เห็นมามาก ถ้าอาจารย์ยกให้คนนั้นเป็นไอ้นี่ ยกให้เป็นไอ้นั่น เป็นขั้นนั้นเป็นขั้นนี้ แต่มีข้อแม้ข้อหนึ่ง ข้อแม้ข้อหนึ่งว่า ห้ามหันกลับมามองอาจารย์นะ ถ้าวันใดหันกลับมามองอาจารย์ ไอ้คุณธรรมในหัวใจเสื่อมหมดเลย
ฟังแค่นี้มันก็เศร้าแล้ว
นี่ไง เพราะว่า ให้ได้ เสื่อมได้ มันมีอยู่จริงหรือ ไม่มีก็ให้มันมีขึ้นมาให้ได้ แล้วถ้าวันไหนหันกลับมาดูอาจารย์ว่าอาจารย์พฤติกรรมเป็นอย่างไรจะเสื่อมทันทีเลยนะ
ก็แสดงว่าห้ามจับผิดอาจารย์ ห้ามมองว่าอาจารย์ทำผิด แต่ความเป็นไปในใจของตนมีหรือไม่มี
มันมีอย่างนี้มันมีมามาก แล้วสิ่งที่ว่าเวลาสังคมประพฤติปฏิบัติกันจะมีปัญหาแต่ละครั้งแต่ละคราวก็มีปัญหาเพราะว่าการยกยอปอปั้นกันนี่แหละ ให้ค่ากัน คนนั้นเป็นไอ้นี่ คนนี้เป็นไอ้นั่น
เราเป็นเรา พ่อแม่ให้มาอาการ ๓๒ นี้พอใจแล้ว คลอดมาจากท้องพ่อท้องแม่ พ่อแม่เลี้ยงมานี่สุดยอดแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาให้อะไรอีกแล้ว โอ้โฮ! ถ้าให้ก็ไปโรงพยาบาลไง เปลี่ยนอวัยวะ ไม่เอา ไม่เอาหรอก ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น แค่นี้สมบูรณ์แล้ว พอแล้ว แต่คุณงามความดีเราทำของเราเอง
อันนี้พูดถึงเวลาว่า บุคคล ๔ คู่ เราเห็นถึงกระแสสังคมที่มันหลอกมันลวงกันมหาศาล แล้วสังเวชมาก สังเวชมาก
ทีนี้พอสังเวชมาก เวลาการประพฤติปฏิบัติ เราเน้นย้ำประจำนะ ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราเน้นย้ำมาตลอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน บอกพระอานนท์ไง เวลาพระอานนท์
จะปรินิพพาน พวกมัลลกษัตริย์ พวกประชาชนเอาดอกไม้ธูปเทียนไปเคารพบูชาท่านมาก พระพุทธเจ้าเห็นแล้วพระพุทธเจ้าบอกเลย
“อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราดีกว่าปฏิบัติบูชาเราด้วยอามิส ดีกว่าปฏิบัติบูชาเราด้วยดอกไม้ธูปเทียน ดีกว่าทุกๆ อย่าง ปฏิบัติบูชาเถิด”
ทีนี้ปฏิบัติบูชา เวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราเป็นผู้ที่ทดสอบทดลองเองเลย เวลาได้ประโยชน์มันจะได้ประโยชน์มาก ผลของการประพฤติปฏิบัติสุดยอดมาก นี่พระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็ด้วยการประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านเทศนาว่าการ เวลาฟังเทศน์ ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมายมหาศาล เพราะด้วยอำนาจวาสนาบารมีของเขา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ถึงหัวใจของเขา
กิเลสในหัวใจของเขา เขาสงสัยเรื่องอะไรหรือเขามีปมอะไรในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมันก็ไปแก้ปมอันนั้น เพราะการแก้ปมอันนั้นเขาต้องแก้ปมด้วยสติด้วยปัญญาของเขา
เวลาเขามีสติปัญญาของเขา มันแจ่มแจ้งขึ้นมาในใจของเขา มันละความลังเลสงสัยในใจของเขา นี่ธรรมมันจะเกิด มันจะเกิดอย่างนี้ มันจะเกิดเพราะว่าเขามีสติมีปัญญาใคร่ครวญในใจของเขาให้เป็นคุณธรรมขึ้นมา แล้วเวลาเป็นก็เป็นในใจของเขา เห็นไหม
เวลามันเป็นจริง มันจริงอย่างนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติมันมีคุณค่าอย่างนั้น ถ้ามีคุณค่าอย่างนั้น เวลากึ่งสมัยพุทธกาลที่ว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติ
เราฟังหลวงพ่อพุธเวลาท่านเทศน์ในเทศน์ของท่าน ฟังแล้วเศร้าใจมาก เพราะหลวงพ่อพุธเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ อุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์อยู่ เวลาหลวงปู่เสาร์ออกไปธุดงค์ มันมีพวกปะขาว มีเด็ก มีปะขาวเด็ก แล้วก็มีเณรไปด้วย ชาวบ้านเขาเสียดสีนะ จะย้ายครอบครัวไปไหน จะอะไร
ก่อนที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราปฏิบัติมาจนสังคมยอมรับนับถือ มันไม่ใช่ได้มาของง่ายๆ หรอก เขาไม่เชื่อ ดูสิ ขนาดที่ว่าในประวัติหลวงปู่มั่น แม้แต่พระห่มผ้าสีคล้ำๆ ชาวบ้านเขายังแตกตื่น เขายังหนีเลย เขากลัวเป็นผีเย็น เขากลัวเป็นผู้ที่จะไปใส่คุณไสยให้เขา
สังคมเขาไม่เชื่อ เพราะสังคมมันปล่อยกันแบบว่าเป็นโลกๆ ไปหมดแล้ว สำมะเลเทเมา จะทำอะไรกันก็ได้ สะดวกสบายไปทั้งสิ้น แล้วจะมีพระกลุ่มหนึ่งมาเข้มงวด มาปฏิบัติด้วยธรรมและวินัย
เราบวชแล้วเราเที่ยวไปทางอีสาน แม้แต่ กปฺปิยํ กโรหิ เขาไม่ให้มีหรอก ฉันมื้อเดียวเขายังไม่ยอมรับเลย การฉันมื้อเดียวเขาบอกเป็นการอวดอุตริ เป็นไปไม่ได้
แต่เวลากรรมฐานเรามันไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ในกรรมฐานเราเพื่อดำรงชีพจริงๆ ดำรงชีพคือจะปฏิบัติตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณะฉันเพื่อดำรงชีพ ไม่เหมือนฆราวาส
ฆราวาสฉันเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรี เวลากินกัน อู้ฮู! ต้องมีเกียรติมหาศาล ไอ้นั่นมันสิ้นเปลือง มันเป็นเรื่องโลก
ถ้าเรื่องของสมณะเพื่อดำรงชีพ เราก็ฉันกันอย่างนั้น แล้วเวลาไปภาวนาสัปหงกโงกง่วง ใครอดนอนผ่อนอาหารมันก็เห็นคุณค่า ถ้าเห็นคุณค่าขึ้นมาแล้ว ฉันมื้อเดียวมันเลยเป็นของมากเกินไปเสียอีก
สำหรับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แค่นี้สังคมเขายังแบบว่ากีดขวาง แล้วมีการบาดหมางมามาก แต่ในประวัติหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเขียนแต่เรื่องดีๆ ท่านบอกว่า มันเป็นสามัคคีธรรม เรื่องอะไรที่ไม่ดีเราไม่พูดถึง
เรื่องที่กรรมฐานเรา ครูบาอาจารย์เราเวลาไปกระแสสังคม โดนกีดโดนกันร้อยแปด แต่ครูบาอาจารย์ท่านไม่ค่อยพูดถึง ท่านไม่ให้พูดถึงเพราะว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว มันไม่เป็นประโยชน์ เวลากรรมฐานเราจะพูดแต่เรื่องประโยชน์ๆ
แต่ทีนี้พูดเรื่องประโยชน์ พูดถึงเรื่องการประพฤติปฏิบัติ เราจะบอกว่า การปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยกย่องสรรเสริญ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เรายกย่องสรรเสริญ
ในการปฏิบัติ การปฏิบัตินี้มันก็เหมือนชาวพุทธเรามันมีพระพุทธศาสนา มีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เวลาการปฏิบัติบูชาๆ คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยได้มียาบำรุงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในสังคมนั้นมันก็ราบรื่น นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม เราก็ปฏิบัติบูชาๆ แค่ปฏิบัติบูชา
ย้อนกลับมาในคำถามนี้ เขามีความสุขใจ
เราเห็นนะ ยุวพุทธฯ ที่เขามีสอนเด็กๆ เรื่องอานาปานสติ แล้วเขาไปสัมภาษณ์เด็กๆ “มาครั้งที่หนึ่งครับ เมื่อก่อนนี้กลัวมากเลยครับ เดี๋ยวนี้หายแล้ว เมื่อก่อนเป็นคนที่วิตกกังวล เดี๋ยวนี้หายแล้ว”
เด็กๆ มันยังได้ประโยชน์จากการปฏิบัติเลย แต่พวกเราปฏิบัติแล้วนะ จะโสดาบันๆ
สถาบันไหน สถาบันไหนวะ โสดาบันๆ แค่ทำความสงบของใจเอ็งยังทำกันไม่เป็นเลย เอ็งยังไม่รู้ต้นเหตุของการเกิดเป็นอย่างไรเลย เอ็งยังไม่รู้ที่มาของชีวิตเลย
สิ่งมีชีวิตมันจะมีชีวิตได้ ดูสิ ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง เวลาสัตว์ สัตว์เดรัจฉานเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ เวลาเราเป็นมนุษย์ขึ้นมา จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตมีเวรมีกรรม สายบุญสายกรรมถึงได้เกิดกับพ่อกับแม่ เวลาเกิดกับพ่อกับแม่เป็นอภิชาตบุตร บุตรที่ดีงามกว่าพ่อกว่าแม่ เวลามีเวรมีกรรมต่อกันมา เกิดมาแล้วมามีปัญหากับพ่อกับแม่
นี่ไง สิ่งต้นเหตุ ต้นเหตุของชีวิตเอ็งยังไม่รู้จักมัน เอ็งยังไม่รู้ที่มาที่ไปเลย แล้วเอ็งจะประพฤติปฏิบัติบอกว่าเป็นโสดาบัน
เพราะเป็นโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ ถ้าเป็นปุถุชนไม่มีต้นไม่มีปลาย จะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไปตามกระแสบุญกระแสกรรม
เวลาคนเกิดๆ นี่บุญบาปพาเกิดทั้งนั้น ไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องเวรเรื่องกรรมขับไสให้มาเกิด แต่มีเวรมีกรรมกับพ่อกับแม่ มีเวรมีกรรมกับชาติตระกูลร่วมกันมาถึงมาเกิดเป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติเป็นตระกูลกัน มันเกิดมานั่น
แล้วนี่มันคือต้นเหตุ แล้วต้นเหตุ ถ้าเอ็งยังทำความสงบของใจไม่เป็น เอ็งทำสมาธิไม่ได้ เอ็งก็ไปหาต้นเหตุแห่งการประพฤติปฏิบัติไม่ได้ เอ็งจะปฏิบัติอะไรกัน
แล้วก็ไปนั่งนะ ถ้าถูกใจอาจารย์ อาจารย์ให้เป็นโสดาบัน ถูกใจอย่างนี้ให้เป็นสกิทาคามี ถูกใจให้เป็นอนาคามี แต่มีข้อแม้นะ ห้ามหันมามองพฤติกรรมของอาจารย์ ถ้าหันกลับมามองพฤติกรรมของอาจารย์ คุณธรรมนั้นจะเสื่อมทันที
ถ้ามันเจริญได้เสื่อมได้มันก็ไม่จริงแล้ว ถ้ามันเสื่อมได้ก็มึงโกหกตั้งแต่ต้น มึงหลอกลวงเขามาตั้งแต่ต้น แล้วก็หลอกลวงกัน
เราได้ยินข่าวมา ที่นั่นรับรอง ๑๕๐ ที่นั่นรับรอง ๑๗๐ ที่นั่นรับรองกัน รับรองแล้วก็ลงทะเบียนไว้ไง หนึ่ง สอง ไอ้นี่มันเอกสาร ไอ้นี่ต้องเอาไว้แล้วเอาไปขึ้นศาลแพ่งบอกว่าเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ทีนี้ไอ้ที่บันทึกๆ กันไว้นั่นน่ะ โสดาบัน ๑๕๐ ๑๗๐ อะไรนั่นน่ะ อันนี้เราเห็นอย่างนั้น มันเลยกลายเป็นเอาคุณธรรมมาเป็นสินค้าเอามาหลอกเอามาลวงกันเป็นอีกชั้นหนึ่ง ทั้งๆ ที่เราก็เห็นด้วยกับการประพฤติปฏิบัติ เราก็เห็นด้วยกับสังคมพุทธมันควรมีธรรมโอสถไว้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
เด็กๆ มันไปฝึกหัดอานาปานสติของยุวพุทธฯ มันให้สัมภาษณ์เลย เมื่อก่อนกลัวมาก เมื่อก่อนไม่กล้าออกหน้าชั้น เดี๋ยวนี้ทำได้ฉะฉานชัดเจน เพราะอะไร
เพราะเด็กๆ มันไร้เดียงสา มันกำหนดลมหายใจโดยธรรมชาติของมัน มีคุณค่าแค่ไหน จิตใจที่มันเข้มแข็งแค่ไหนมันก็ได้ประโยชน์ตามความเป็นจริงอย่างนั้น แต่ไอ้พวกเราปฏิบัติแล้วมันคาดหมายไปเลย จะเอาไอ้นั่นจะเอาไอ้นี่
เราปฏิบัติเพื่อความสุขของใจแบบคำถามนี้ จบ
ธรรมโอสถ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่แก้โรคแก้ภัย เรามีโรคมีภัย โรคความทุกข์ เรามีโรคทุกข์ โรควิตกกังวล โรคเครียด ทำงานแล้วเบื่อหน่าย เราก็มาปฏิบัติบูชา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ผ่อนคลาย เข้าสปานวดจิตใจมันก็เข้มแข็ง นี่การปฏิบัติมีคุณค่ามาก
แล้วที่บอกปฏิบัติแล้วจะได้ขั้นนั้นๆ
บุคคล ๔ คู่เก็บไว้ก่อน แต่จริงๆ เป้าหมาย ผลของมันต้องไปถึงที่นั่น แต่มันต้องให้ถึงตามความเป็นจริง แล้วถ้าถึงตามความเป็นจริงแล้ว คนที่ปฏิบัติจริงรู้จริงเพราะมันมีคุณค่าไง สักกายทิฏฐิ มันเห็นนะ เห็นร่างกายนี้เป็นสภาพตามร่างกายตามความเป็นจริง
แต่ในปัจจุบันนี้ใครเห็นร่างกายตามสภาพตามความเป็นจริงบ้าง ถ้าเห็นร่างกายนี้สภาพตามความเป็นจริง เครื่องสำอางไม่ต้องขาย เครื่องสำอางก็ไม่ต้องมีไว้มาโปะ ศัลยกรรมก็ไม่ต้องไปทำ
นี่มันไม่มี มีอย่างนี้จะให้เป็นอย่างนั้น มีอย่างนู้นจะให้เป็นอย่างนี้ มันไม่ถูกใจเลย ร่างกายของเราแท้ๆ ยังไม่ถูกใจเลย แล้วเป็นโสดาบันหรือ โสดาบันอะไรของมึงวะ ถ้าเป็นโสดาบัน สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิดในกาย วิจิกิจฉา ความหลงผิดในพระพุทธศาสนา
วิจิกิจฉานี่นะ เพราะถ้าถึงพระโสดาบันแล้วไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะรู้และเข้าใจในพระพุทธศาสนาถึงเนื้อใน ถึงสัจจะถึงความจริง รู้จริงเห็นจริงตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กิเลสที่ละเอียดกว่าเรายังไม่สามารถรู้ได้ แต่เริ่มต้นกิเลสตัวแรกเราได้ฆ่ามันแล้ว ได้ทำลายมันแล้ว เหมือนคนป่วยแล้วหายป่วยแล้ว มันรู้จักวิธีการหายป่วยนั้น แล้วคนที่ป่วยแล้วหายป่วยนะ โอ๋ย! มันจะเห็นคุณค่ามาก นี่วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส มันไม่ลูบไม่คลำถึงพฤติกรรมของมันอีกแล้ว พระโสดาบันจะจริงจะจังกับชีวิต จะจริงจะจังในการปฏิบัติ ไม่มีการลูบๆ คลำๆ เป็นพระโสดาบันแล้วยังเอ้อระเหยลอยชาย กูไม่เคยเห็น ไม่มี ไม่มีหรอก
นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงมันมีคุณสมบัติอย่างนี้ แล้วคุณสมบัติอย่างนี้เกิดกับใครบ้าง
ก็มีไง ที่บอกเลยนะ ถ้าทำถูกใจอาจารย์จะให้เป็นพระโสดาบัน ให้สกิทาคามี ให้อนาคามี ให้ถึงสิ้นกิเลสเลย แต่อย่าหันมาดูอาจารย์นะ ถ้าหันมาดูอาจารย์วันไหนเสื่อมหมดเลย
นี่ไง ก็มันไม่มีคุณค่าไง มันไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งสิ้น หลอกลวงอย่างนี้กันมาเยอะ แล้วเมื่อก่อนดูจิตๆ ก็ให้ค่ากัน โสดาบันเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วโสดาบันอย่างนี้หรือ
คนที่ได้โสดาบันมาหาเราเยอะแยะเลย เขาบอกว่าเขาได้รับการการันตีว่าเป็นโสดาบัน แต่เขาไม่รู้อะไรเลย เขาไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วอาจารย์เขาบอกว่านี่แหละเป็นพระโสดาบัน เพราะเอ็งไม่อยาก ถ้าเอ็งอยาก เอ็งไม่ได้ เอ็งไม่อยากคือว่าเอ็งไม่อยากอะไรเลย เอ็งไม่รู้อะไรเลย
ก็เหมือนกับเราพิการ ลิ้นพิการไม่รับรส เป็นพระโสดาบัน เพราะไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้รสเปรี้ยวหวานมันเค็ม เผ็ดก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้ เป็นพระโสดาบัน
เราได้ยินได้ฟังมาอย่างนี้มากแสนมาก พอมากแสนมากแล้ว แล้วเวลาปฏิบัติไปมันไม่มีคุณธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีค่าของคุณธรรมจริง แล้วเอ็งจะเป็นอะไรกัน แล้วถ้าเราไปตั้งเป้าหมายกันอย่างนั้น มันก็เลยด้วยอยู่กับโลกก็เลยเป็นเหยื่อ
เป็นเหยื่อว่า ที่ไหนเขาสนับสนุนว่าเราได้ขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว เราจะเข้าสังคมนั้น ถ้าสังคมไหนยังแปลกแยก ยังโต้แย้งความเห็นเรา ยังโต้แย้งว่าเรายังปฏิบัติไม่ถึงขั้น เราจะไม่เหยียบที่นั่นเลย แล้วเหม็นหน้าด้วย เหม็นหน้ามากเลย ติทั้งนั้นเลย อะไรก็ผิด อะไรก็ผิด ผิดๆๆ ไม่ไปสังคมนั้นอีกเลย แต่ถ้าสังคมไหนเขายกย่องยกยอสรรเสริญ อู้ฮู! สุดยอด
ที่เราพูดก็เพราะเหตุนี้แหละ แต่เรื่องการประพฤติปฏิบัติ อยากให้ประพฤติปฏิบัติ คุณงามความดีนี้อยากให้ทำทั้งสิ้น
แต่ธรรมโอสถทำคุณงามความดีเพื่อสุขที่ใจ สุขในใจ ธรรมโอสถ ใครสามารถประพฤติปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหนมันก็คลายกังวล คลายความวิตกกังวล คลายทุกข์ในใจของตน
เด็กๆ ๔ ขวบ ๕ ขวบทั้งนั้นน่ะ ยุวพุทธฯ ไปดูสิ เราเห็นสัมภาษณ์แล้ว แหม! ไอ้พวกที่บอกว่าเมื่อก่อนเคยโกรธ เดี๋ยวนี้ไม่โกรธแล้ว เมื่อก่อนกินเหล้าแล้วไม่กินเหล้าแล้ว ต้องเอามาฟังไอ้เด็กๆ พวกนี้ เอามาฟังไอ้เด็กๆ พวกนี้ เด็กๆ พวกนี้มันบอกเลยนะ เมื่อก่อนมันทุกข์มากเลย เดี๋ยวนี้มันหายหมดแล้ว ยุวพุทธฯ ไปดู ๕ ขวบ ๑๐ ขวบเต็มไปหมดเลย
ธรรมโอสถ ผลของการประพฤติปฏิบัติที่ดีมากๆ เพราะมันไร้เดียงสา ตามข้อเท็จจริงปฏิบัติได้อย่างใด ปฏิบัติมากขนาดไหนก็ได้ตามนั้น แต่พวกเราพออายุมากขึ้นดัดจริต มายาเยอะ ถูกใจก็โสดาบัน ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ใช่...เวรกรรม
แต่ถ้าเราปฏิบัติเพื่อสุขใจ ความสุขของใจสุดยอด เหมือนกับย้อนกลับไปที่เด็กๆ ยุวพุทธฯ นี่แหละ กลัวนัก วิตกกังวลนัก เรียนหนังสือเครียดไปหมดเลย กลัวทั้งครู กลับไปที่บ้านก็ไม่ได้ดั่งใจพ่อแม่ พ่อแม่ก็ตีหน้ายักษ์ใส่ ไปโรงเรียนแล้วเพื่อนก็แกล้ง อู๋ย! ทุกข์ไปหมดเลย เดี๋ยวนี้หายหมดเลย ดีหมดเลย หลายๆ คน นี่พูดถึงหลายๆ คนนะ
แต่โดยข้อเท็จจริงการปฏิบัติมันจะไม่ได้อย่างนี้ทุกๆ คนหรอก มันอยู่ที่เวรที่กรรมของคน ที่เวรที่กรรมถ้ามันปิดกั้นหัวใจมันปิดจนมืดบอด มันไม่เปิดรับสิ่งใดเลย นั้นมันก็เป็นกรรมของสัตว์
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ไม่ใช่ใครมีอำนาจวาสนาจะชี้นำได้ เว้นไว้แต่ถ้าเขาทำของเขาเอง มันจะดีไปทั้งหมดมันไม่มีหรอก แต่นี่พูดถึงว่าสังคมเขายังทำกันได้ เด็กๆ ทั้งนั้น นี่พูดถึงว่า ถ้าปฏิบัติ ให้ปฏิบัติแบบนี้
อย่าให้เอาบุคคล ๔ คู่มาเป็นเป้าหมาย แล้วทุกคนต้องทำได้อย่างนั้น แล้วมันกดดัน มันกดดันตัวเอง มันเครียดตัวเอง แล้วพอทำแล้วก็อยากจะได้อยากจะดี แล้วทีนี้พอมันไม่ได้ มันไปได้แฉลบๆ มันก็ว่าใช่ๆ พอว่าใช่ มันหลงไปเลยไง พอมันหลงไปเลย คนหลงทางมันไม่มีโอกาสกลับมาบนเส้นทางได้
เราเดินของเราไปให้มันถูกต้องดีงาม เส้นทางระยะทางมันจะสั้นหรือมันจะยาวขนาดไหน เราก็เดินอยู่บนเส้นทางนั้น ถ้าจิตของเราไปถึงเส้นทางใดถึงขนาดไหนก็ให้มันเป็นไปตามข้อเท็จจริงนั้น อย่าไปเสริมค่าหรือตัดทอนมัน ทำตามความเป็นจริงนั้นด้วยอำนาจวาสนาของเรา เราซื่อสัตย์สุจริตไง มันความสัตย์จริง
สัจธรรมๆ มันก็ต้องการความสัตย์จริงจากใจของเรา ถ้าใจของเรามีแง่มีงอนมีเล่ห์มีเหลี่ยมขึ้นมาแล้ว เราจะไปสัตย์จริงกับความเป็นจริงนั้นได้อย่างไร เราปฏิบัติเพื่อเหตุนี้ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะได้ขั้นนั้นๆ
ถ้าได้จริงๆ ก็ดีน่ะสิ เราก็อยากให้ได้ เราอยากได้ของจริง อยากเห็นของจริง เพราะของจริงแล้วเป็นธรรมทายาท เป็นธรรมทายาทเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวพุทธ ชาวพุทธจะได้พึ่งพาอาศัยจากครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เราอยากได้ใจจะขาด แต่ถ้ามันไม่จริงก็บอกว่ามันไม่จริง แต่ถ้ามันจริง ใครไม่อยากได้
หลวงปู่มั่นท่านทุกข์ท่านยากมาทั้งชีวิตก็เพื่อเหตุนี้แหละ ครูบาอาจารย์ที่ท่านทุกข์ท่านยากก็เพราะเหตุนี้ เหตุที่อยากให้มันได้ตามความเป็นจริงนี่แหละ
แต่มันด้วยอำนาจวาสนาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ อำนาจวาสนาของคนมันไม่ถึง มันไม่ได้ เหมือนเมล็ดพันธุ์มันเน่าเสียแล้วมันเกิดไม่ได้แล้ว แล้วไปปลูกกันมันไม่งอก เมล็ดพันธุ์ที่มันสมบูรณ์แบบเวลามันลงดินไปแล้วมันงอกนั่นน่ะ ต้องการอย่างนั้น
แต่จิตใจของคนถ้ามันพร้อม มันพร้อมแล้ว ถ้ามันเป็นจริงมันก็เป็นแบบนั้น มันต้องให้มันเกิดเองจากใจดวงนั้น นี่ต้นเหตุของการเกิดไง
ต้นเหตุของการเกิด จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันยังไม่รู้ต้นเหตุมาจากไหน แล้วมันจะปฏิบัติอะไรกัน
มันจะปฏิบัติมันต้องปฏิบัติจากต้นเหตุนั้น ต้นเหตุนั้นคือใจดวงนั้น จิตที่เป็นสมาธิๆ ถ้าจิตที่เป็นสมาธิมันยังเข้าถึงจิตมันไม่ได้มันจะทำอะไร
นี่พูดถึงว่าแฉลบ
อันนี้เวลาคำถามว่า แฉลบ มันสะเทือนใจมาก คำว่า “สะเทือนใจมาก” เพียงแต่ว่าเราเตือนสติกันเท่านั้นเอง เราไม่ต้องการให้มันกดดันตัวเองแล้วเครียด
แล้วปฏิบัติแล้วเราจะบอกเลย ไปปฏิบัติที่ไหนมันได้โสดาบัน ได้บุคคล ๔ คู่หมดเลย ถามหลวงพ่อทีไรโดนด่าทุกที
จะตอบเพราะเหตุนี้ เวลาถามหลวงพ่อทีไรหลวงพ่อด่าทุกทีเลย เวลาไปที่อื่นเขาให้โสดาบันๆๆ หมดเลย
นี่พูดถึงเหตุที่เราจะพูด เราอยากให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุขในใจ เพื่อคลายความกดดัน เพื่อให้ชีวิตเราอยู่แล้วมันมีความสุข นี่คำถามที่ ๑.
เขามีเพิ่มเติม
ถาม : เรื่อง “เพิ่มเติมข้อแฉลบครับ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ กระผมเพิ่มเติมจากประโยคที่ว่าสุขที่ใจมีค่ามหาศาลกว่าสุขใดทั้งสิ้น เป็นประโยคนี้ครับ สุขในการประพฤติปฏิบัติ
ตอบ : นี่คำถามย้ำมานะ จบ
ถาม : เรื่อง “โรคซึมเศร้าใช้ธรรมะแก้ได้ไหมครับ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเขาเป็นโรคซึมเศร้าครับหลวงพ่อ ถึงขั้นทำร้ายตัวเองด้วยนะครับ ก่อนหน้านี้เขาผ่านการรักษามาแล้ว แต่ก็บอกผมว่ามันไม่หาย
เห็นแล้วอดสงสารเขาไม่ได้ครับหลวงพ่อ เลยคิดว่าธรรมะและการเจริญพระกรรมฐานน่าจะช่วยให้เขาหายหรือดีขึ้นได้ เพียงแต่ผมไม่ทราบว่ากรณีคนเป็นโรคนี้ควรจะใช้กรรมฐานกองไหน หรือธรรมะบทที่เหมาะสมกับการแก้ไขแนะนำเขาได้ครับ
อีกทั้งเพื่อนผมคนหนึ่งยังเตือนผมอีกว่า ห้ามนำธรรมะให้คนเป็นโรคซึมเศร้าครับ
รบกวนหลวงพ่อ
ตอบ : ไอ้นี่มันเป็นดาบสองคม ไอ้อย่างที่ว่าโรคซึมเศร้าๆ มันโรคซึมเศร้านะ เราดูจากกรมสุขภาพจิต ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทยเป็นโรคซึมเศร้า ๘ เปอร์เซ็นต์อายุต่ำกว่า ๘ ขวบเป็นโรคซึมเศร้าแต่ไม่แสดงอาการ การแสดงอาการออกมา
เราดูสถิตินี้ตลอดนะ เห็นแล้วมันก็เศร้าใจ ถ้าสถิตินี้มันมีแล้ว เพราะโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ามันมีความกดดัน เป็นความกดดันระหว่างครอบครัว เป็นความกดดันมาจากที่ทำงานต่างๆ เป็นโรคซึมเศร้า
ถ้าโรคซึมเศร้าขึ้นมาแล้ว ถ้าอาการที่เวลามันรุนแรงไปมันจะหนักไปเรื่อยๆ อาการของความเป็นโรคมันจะรุนแรงขึ้น แต่ถ้ามันรักษาแล้วมันจะเบาลง บางทีรักษาไม่หาย ไอ้นี่สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมๆ
แต่เวลาความเห็นเรานะ โรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้ามันแบบว่าเป็นโรคผิดปกติของหัวใจ ของจิต ถ้าโรคผิดปกติของจิตมันก็ควรแก้ไขด้วยธรรมะ มันควรแก้ไขได้ แต่มันเป็นดาบสองคมไง
เราก็ไม่เห็นด้วยนะ เราไม่เห็นด้วยกับคนที่เวลาบอกว่า ไอ้นู่นก็ต้องใช้ธรรมะ ไอ้นี่ใช้ธรรมะ
คำว่า “ธรรมะๆ” ธรรมะเวลาหลวงตาท่านพูดนะ ธรรมะเปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้า มันมีตั้งแต่ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาจนเพชรนิลจินดา สินค้ามหาศาล
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดๆๆ แต่คนที่เอาไปใช้ใช้ไม่เป็น เวลาบอกเอาธรรมะไปแก้โรค มันก็เอาธรรมะเลย เอาขั้นของ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เลย เอาขั้นของผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เลยนะไปแก้ไอ้โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าหรือโรคจิตต่างๆ แก้ไขได้ด้วยหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
คำว่า “หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ” คนเราเวลามันซึมเศร้า เวลามันทุกข์ยากขึ้นมาเพราะมันมีความตึงเครียดในใจ มันขาดสติ ขาดต่างๆ ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธได้ ทำความสงบของใจ ถ้าใจมันมีสติ มันกลับมาสงบระงับขึ้นมา ไอ้โรคภัยไข้เจ็บมันจะเบาบางลง
แต่คนโดยส่วนใหญ่ว่า “ถ้าเป็นธรรมะ ธรรมะต้องใช้วิปัสสนา ธรรมะต้องใช้ปัญญา”
ใช้ปัญญานั่นน่ะเป็นเชื้อโรคเลยล่ะ โรคนะ มันมีสิ่งที่ไปยั่วยุให้มันฟุ้งกระจายไปอีก คนที่ผิดปกติมันจะฟุ้งกระจาย มันจะควบคุมจิตมันไม่ได้ แล้วเราให้มันวิตกวิจารณ์ ให้มันคิดด้วยนะ นั่นล่ะเข้าทางโรคเลย โรคที่มันจะหายมันจะกระพือให้หนักขึ้นไปเลย
แล้วพอกระพือขึ้นไปแล้วเขาบอก “นี่ไง ป่วยเพราะปฏิบัติธรรมนี่แหละ ป่วยเพราะปฏิบัติธรรม เพราะวิปัสสนานี่แหละ เพราะวิปัสสนานี่แหละ”
แต่ความจริงไม่ใช่ เขาเป็นโรคซึมเศร้ามาแล้ว เขาผิดปกติมาก่อน เวลาเขาผิดปกติมาก่อนนะ แล้วเวลาเขามาประพฤติปฏิบัติ มันมีลูกศิษย์เรานี่แหละ เวลามาอยู่ที่นี่เขาก็มาถามธรรมะ เราก็ตอบไปเรื่อย
แต่เขาดีมากนะ เวลาถึงที่สุดแล้วเขามาคุยกับเราเลย “หลวงพ่อ หนูกินยาอยู่ค่ะ” หนูกินยาอยู่คือหนูเป็นโรคซึมเศร้าไง
อ๋อ! ถ้าโรคซึมเศร้าอย่างนั้นนะ ไอ้ที่หลวงพ่อสอนๆ ไประงับหมดเลยนะ ระงับหมดเลย แล้วต่อไปนี้ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธเท่านั้น เท่านั้น เท่านั้นเลย
เพราะอะไร เพราะเวลามันซึมเศร้ามันวิตกวิจารณ์ มันเครียด มันคิดไปก่อนแล้ว ถ้ามันคิดไปก่อนแล้ว
ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ บอกเวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิคือว่าให้มีสติเท่าทันความคิดของตน ถ้ามีสติเท่าทันความคิดของตน ถ้าเท่าทันความคิดของตน เท่าทันธรรมะมันจะเห็นโทษนะ คิดอย่างนี้ผิด คิดอย่างนี้ไม่ถูก คิดอย่างนี้ไม่ถูกๆ มันวาง มันวางมันก็กลับมาสู่ความปกติ
ธรรมะจะสอนให้เขากลับมาสู่ความเป็นปกติ ศีลคือความปกติของใจ ใจที่ปกติสมบูรณ์เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์โดยสมบูรณ์ที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
แต่ถ้าโรคซึมเศร้ามันเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยจิต แต่เวลาปฏิบัติ ธรรมะๆ โอ๋ย!ใช้ธรรมะเลย วิตกวิจารณ์ไป มันเป็นการไปกระตุ้น เพราะเราเองเราก็ฟุ้งซ่านอยู่แล้ว เราก็ควบคุมใจเราไม่ได้อยู่แล้ว แล้วเราไปกระตุ้นมันให้มันคิดมากขึ้นไปอีก มันไปเพิ่มไง พอไปเพิ่มขึ้นมา
ธรรมดาเราเป็นคนป่วย พอเราไปวิปัสสนา คราวนี้เราบอกเลย เพราะวิปัสสนาทำให้เราป่วย เราเลยรอดจากผู้ผิดไปเลย ธรรมะเลยเป็นคนผิดไปเลย มันไม่ใช่
แต่ถ้ามันเป็นโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้านะ การที่เขาจะกลับมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้ยาก มันเป็นไปได้ยากเพราะอะไร เพราะคนที่ยืนนิ่งๆ ได้มันต้องมีสติสมบูรณ์ใช่ไหม คนที่หลุกหลิกๆ แล้วให้ยืนนิ่งๆ มันยืนนิ่งๆ ไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน เราจะหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราต้องเป็นคนบังคับให้เราหายใจเข้านึกพุท ให้เราหายใจออกนึกโธ ถ้าเรายังหายใจโดยปกติเราก็ยังฟุ้งซ่านอยู่แล้ว แล้วเราจะไปหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธมันเป็นเรื่องแสนยาก
ถ้าเรื่องแสนยาก ฉะนั้นบอกว่า ถ้าจะรักษาได้ ถ้าธรรมะที่มีประโยชน์ มีประโยชน์ตรงนี้ มีประโยชน์ตรงทำให้เขากลับมาเป็นปกติ
แต่ถ้าบอกว่า ทีนี้พอบอกธรรมะปั๊บ ไอ้ตรงนี้มันเป็นสมถะ มันเป็นการเริ่มต้น พอเป็นสมถะปั๊บ ถ้าสมถะรักษาไม่หายก็ต้องใช้วิปัสสนา ต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญาทีนี้มันฟุ้งซ่านไปหมด
ธรรมดามันฟุ้งซ่านอยู่แล้ว แล้วเราก็ไปเพิ่มให้มันฟุ้งซ่านมากเข้าไปอีก นี่คือการรักษาหรือ
นี่คือการรักษาที่เขาบอกว่า เพื่อนผมแนะนำ เพื่อนผมห้ามเด็ดขาดเลยนะ คนเป็นโรคซึมเศร้าห้ามปฏิบัติธรรมเด็ดขาด
ไอ้นี่ก็ถูก แต่ที่เราพูดบอกว่า ถ้ามันมีสติแล้วฝึกหัดให้กลับมาเป็นปกติได้สมบูรณ์แบบ อย่างเช่นรถยนต์ รถยนต์คันหนึ่งมันผิดปกติที่เบรก น้ำมันเบรกรั่ว ผ้าเบรกไม่ดี เราก็ต้องรักษาที่เบรกนั้น ถ้าเรารักษาที่เบรกนั้น ถ้าเบรกนั้นกลับมาเป็นปกติ รถยนต์คันนั้นก็จะสมบูรณ์
รถยนต์คันนี้มันมีปัญหาที่เบรก แต่เวลามันแก้ไขมันจะไปเพิ่มเครื่องยนต์ให้แรงกว่านี้ จะไปตบแต่งตัวรถให้มันแวววาว มันไม่ใช่ มันไม่ใช่
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันซึมเศร้า ถ้ามันจะเป็นไปได้ เราก็จะมาฝึกหัดสติเท่านั้นน่ะ คนที่ผิดปกติควบคุมตัวเองไม่ได้มันถึงเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเราก็รักษาไปตามอาการ กินยาตามหมอสั่ง แล้วเราฝึกหัดใจเราด้วย ใจนี้สำคัญมาก แต่การรักษาดูแลมันต้องรักษาดูแลไปตามขั้นตอนของมัน
แต่ถ้ามันไม่รักษาดูแลตามขั้นตอนของมัน ใช้วิปัสสนาๆ คือจะใช้ธรรมะ ธรรมะข้อไหนล่ะ ธรรมะอะไรล่ะ
แต่ถ้าในการปฏิบัติธรรม โรคซึมเศร้า หรือการใช้ธรรมะแก้ไข เราก็ฝึกหัดให้กลับมาเป็นปกติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าทำได้ เขาทำได้ เขาอยากทำ แล้วถ้าเขาทำได้เล็กๆ น้อยๆ พอฝึกหัดไป ถ้าเขาเห็นเป็นผลดีของเขา เขาจะทำต่อเนื่องของเขาไป
เพราะคนป่วยทุกข์ โรคทุกข์นะ ใครๆ ก็ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ทุกข์แล้วทุกคนอยากจะหายจากทุกข์ ทุกคนอยากพ้นจากทุกข์ แล้วมันจะแก้ไขได้อย่างไร
ไอ้นี่พูดถึงว่า เพื่อนของเขารักษาแล้วไม่หาย แล้วเคยคิดทำร้ายตัวเองด้วย
ถ้าเคยคิดทำร้ายตัวเองหรือทำอะไร ส่วนใหญ่แล้วถ้ามันรุนแรงไปมันเป็นแบบนั้น ไอ้นี่มันกรรมของสัตว์ๆ นะ แต่เราก็มีความปรารถนาดี เราก็อยากจะให้เขาหายจากโรค
เราจะบอกว่า เขาต้องไปหาหมอเป็นเรื่องปกติ แล้วถ้าคุยกันได้หรือฝึกฝนได้ ค่อยๆ ให้เขาฝึกหัดของเขา แต่ถ้าปฏิบัติธรรมๆ มันไม่ได้ คนเราแบบว่ามันป่วยไข้แล้วจะมาทำแบบคนปกติ แล้วคนที่ปฏิบัติได้มรรคได้ผล
แล้วเวลาคนที่ปฏิบัติ คิดดูสิ สังคมไทย ๓๐ เปอร์เซ็นต์เป็นโรคซึมเศร้า แล้วที่ปฏิบัติไปๆ ไปหาครูบาอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์ให้ขั้นนั้นขั้นนี้ ครูบาอาจารย์รู้ไหมว่าลูกศิษย์เขาเป็นโรคซึมเศร้ากันอยู่ โรคซึมเศร้าปฏิบัติธรรม โรคซึมเศร้าปฏิบัติแล้วได้บรรลุธรรม บรรลุธรรมด้วยความซึมเศร้า นี่พูดถึงทางโลกนะ
นี่เปรียบเทียบทั้งผู้ป่วย เปรียบเทียบทั้งครูบาอาจารย์ที่สอนโดยที่ไม่วินิจฉัยว่าต้นเหตุมันคืออะไร
ธรรมะต้องสอนให้กลับมาเป็นปกติก่อน อย่างเช่น ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจปกติแล้วทำสมาธิ ยกขึ้นสมาธิได้ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ต้นเหตุๆ แล้วถ้ามันวิปัสสนาเป็นนะ วิปัสสนาคือเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง
การที่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง สติมันต้องสมบูรณ์ จิตเป็นสัมมาสมาธิ เพราะอะไร เพราะมันเป็นโลกุตตระ ไม่ใช่โลกียะ ไม่ใช่เรื่องโลก ไม่ใช่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องจินตนาการ ไม่ใช่เรื่องอุปาทาน
แต่ถ้ามันเป็นวิปัสสนามันเป็นพุทธศาสน์ มันเป็นวิปัสสนาที่รู้แจ้งในจิตของตน รู้แจ้งในจิต รู้แจ้งในจิตที่มีอวิชชาที่ความไม่รู้นั้น วิปัสสนาคือการรู้แจ้งในใจของตน ชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน นี่คือวิปัสสนาที่มันจะถูกต้องดีงาม นี่พูดถึงการปฏิบัติ
ฉะนั้น เราจะบอกว่า ถ้าคุยกันได้ เพราะเขาสงสารมาก แล้วสงสารเพื่อนมาก ค่อยๆ คุยกันก่อน คุยกันก่อน หมายความว่า ถ้าลองทำอย่างนี้ได้หรือไม่ อย่าไปบังคับหรืออย่าไปยัดเยียด ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามแล้วค่อยๆ ทำ ถ้าไม่ยัดเยียด ไม่บังคับ มันก็ไม่เพิ่มความกดดัน
เวลาไปหาครูบาอาจารย์มันเหมือนไปหาหมอเลย ถ้าเราแจ้งถึงสมุฏฐานของโรค หมอเขาจะรักษาตามอาการที่ดีขึ้น
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรักษาศักดิ์ศรีไง “ภาวนากำลังดีเลย โอ้โฮ! เห็นวิมาน วิมานไปหมดเลย”
เออ! เรามาแก้กันก่อน มันไปไม่ได้ มันไปแล้วนะ เพราะอะไร เพราะขาดสติ คนขาดสติเหมือนคนขับรถที่ผิดปกติ ตอนนี้เมาแล้วขับ เมาแล้วขับติดคุกเลยนะ เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ในตัวมันควบคุมไม่ได้ แล้วทำอย่างไรต่อไป
ถึงต้องกลับมา สติ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามข้อเท็จจริงนั้น แล้วถ้าเป็นจริงเราค่อยแก้ไขกัน
ภาษาเรานะ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันมีทุกข์มียากมาทุกๆ คน แล้วถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราจะแก้ไข เราช่วยเหลือเจือจานกัน ใครมีวาสนามากน้อยแค่ไหน ช่วยเหลือเจือจานกันมากน้อยตามนั้น เราทำตามนั้น
เป็นกรรมของสัตว์ เวลาเขาทำเวรทำกรรมมา เราไม่รู้ว่าทำอะไรมากันบ้าง แล้วเวลาวิบากกรรมให้ผลอย่างนี้ แล้วพวกเราเห็นแล้วก็เศร้าใจไง อยากช่วยเหลืออยากเจือจานทั้งนั้นน่ะ
แต่เวลาทำกรรมมันไม่ฟังใครนะ เวลามันทำคนอื่นมันไม่ฟังเขาเลย เวลากรรมมันให้ผล พวกเราก็มาช่วยเหลือกัน มาเห็นแล้วเราก็เศร้าใจไง เศร้าใจ แก้ไขตอนนั้น
นี่พูดถึงว่า เขาอยากจะช่วยเหลือเพื่อนโรคซึมเศร้าเนาะ เอวัง