ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ผ่านทางโลก

๗ ก.ย. ๒๕๖๒

ผ่านทางโลก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ทุกขเวทนา”

ขอโอกาสหลวงพ่อครับ กระผมมีความสงสัยในการปฏิบัติเกี่ยวกับทุกขเวทนา ประสบการณ์ของผมคือมีความรู้ว่าจะผ่านทุกขเวทนาได้ดังวิธีนี้คือ

เมื่อกระผมเกิดเวทนาขึ้นมาก็อาศัยเพ่งจิตไปจับจุดชัดๆ ที่ปลายจมูกบ้าง กลางหน้าผากบ้าง เพ่งชัดๆ ลงไปจนจิตรู้สึกเหมือนทะลุเข้าไปในจุดนั้นที่เพ่ง เวทนาที่เกิดอยู่ก็เบาบางไปจนจิตรู้สึกสบายๆ หรือบางครั้งไม่มีความเจ็บอยู่เลย ถ้าจิตทะลุไปแบบนี้ ออกจากสมาธิลุกเดินได้เลย ไม่ต้องยืดขาเหยียดขาก่อนลุกเสมอ จึงเชื่อในการปฏิบัติแบบนี้ เพราะผลเราได้สัมผัส

แต่กระผมได้ฟังประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงตาพระมหาบัวเป็นผู้เขียนตอนหนึ่งว่า มีพระที่ป่วยเป็นไข้มาลาเรียใช้วิธีเพ่งจิตจนไข้นั้นบรรเทาลง

แต่เมื่อเข้าไปพบหลวงปู่มั่นท่านตำหนิว่า ทำไมท่านถึงทำแบบนั้น แบบนั้นมันเป็นเหมือนพวกฤๅษีเขาทำกัน ทำไมท่านจึงไม่ใช้ปัญญาพิจารณาคลี่คลายทุกข์นั้นให้เห็นความจริงของมัน

ดังนี้ ในการปฏิบัติแบบหลวงปู่มั่นนี้ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างไรครับ ถ้าจิตยังไม่มีความสงบ มันไม่กลายเป็นใช้ความคิดฆ่าเวทนาไปหรือครับ

ตอบ : “มันไม่กลายเป็นใช้ความคิดฆ่าเวทนาไปหรือครับ” นี่คือคำถามไง เวลาคำถามๆ คนที่ประพฤติปฏิบัติ คนก็หวัง หวังได้มรรคได้ผล หวังได้ตามความเป็นจริงนั่นแหละ แต่หวังได้ความเป็นจริงโดยความเข้าใจของเราๆ ไง

ถ้าความเข้าใจของเรานะว่า เราเป็นการประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมตามครูบาอาจารย์ก็ได้ ปฏิบัติธรรมแนวทางไหนก็ได้ เวลาปฏิบัติไง เวลาปฏิบัติไปเราปฏิบัติโดยความเห็นของเรา โดยความเห็นของเรา

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอก ให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน พอใจมันสงบระงับแล้ว ใจมันตั้งมั่นแล้ว ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ก็ยกขึ้นไปสู่กาย เวทนา จิต ธรรม

กาย เวทนา จิต ธรรมเป็นแนวทางในการปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ถ้าแนวทางสติปัฏฐาน ๔ จิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันจะเป็นการประพฤติปฏิบัติเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ใจเราสงบหรือยัง ใจเราก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ไง ใจเราก็เป็นความรู้สึกนึกคิดเรื่องปกตินี่ไง ถ้าใจเรารู้สึกนึกคิดปกติ ใจเราสงบหรือยัง

ใจเรายังไม่สงบใช่ไหม แต่คำถามของเขาว่าเขาเพ่งจิตไปที่จุดใดชัดๆ เช่น ที่ปลายจมูก ที่กลางหน้าผาก เพ่งให้ชัดๆ เพ่งชัดๆ แล้ว เวลามันเพ่งชัดๆ แล้ว เวลามันทะลุเวทนาไปเลย เวลาทะลุเวทนาไปเลยมันรู้สึกสบาย บางครั้งไอ้ที่มีความเจ็บอยู่หายหมดเลย มันทะลุไปหมดเลย แล้วลุกจากสมาธิลุกได้เลย อย่างนี้ผมเข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติที่ได้ผล ได้ผลนี้มันถูกไหม

มันก็ถูก คำว่า ถูกของเรา” นะ ถูกในการทำความสงบของใจเข้ามาไง ถูกในการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นไง ถูกในการฝึกหัดของเรานี่แหละ มันถูกทั้งนั้นน่ะ มันถูกเริ่มต้น แต่เริ่มต้นที่เราจะปฏิบัติเราก็ต้องพยายามทำความสงบของใจเข้ามา

แต่เวลาคนที่ยังไม่สงบเข้ามาเขาก็พิจารณากาย คนที่พิจารณากายทั่วไป คนที่ทำความสงบของใจไม่ได้ คนที่คิดฟุ้งซ่าน เขาให้ไปเที่ยวป่าช้าๆ ไง

วัยรุ่นมากมายมหาศาลเวลาเขาบอกว่า เพราะวัยรุ่นมีความรู้สึกนึกคิด หญิงเห็นชาย ชายเห็นหญิงมันจะมีความรู้สึกนึกคิดไง เขาบอกว่าเขาพิจารณาอสุภะๆ เลย

พิจารณาอสุภะมันจะเป็นอสุภะไปหรือไม่

แต่ถ้าจิตมันมีกำลังของมัน เราพิจารณาของเราได้ แต่ถ้าจิตมันไม่มีกำลังมันพิจารณาแล้วมันตามกิเลสไปเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่บอกว่าเรากำหนดลมชัดๆ เราเพ่งไปที่จุดชัดๆ มันทะลุเวทนาไปเลย มันเป็นไปได้ แต่สิ่งที่มันเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปได้ เขาบอกว่า “จะผ่านทุกขเวทนาด้วยวิธีอย่างนี้”

จะผ่านทุกขเวทนา มันจะผ่านทุกขเวทนาทางโลก คำว่า ทางโลกๆ” หมายถึงว่า เริ่มต้นประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเรามาจากโลก โดยสามัญสำนึกมนุษย์เป็นโลกหมด เป็นโลกเพราะเราเกิดบนโลกไง เราเกิดมาในวัฏฏะไง

เวลาเกิดมาในวัฏฏะ โดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดไง ถ้ามนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดเป็นเรื่องธรรมดาไง แล้วเราก็ใช้ความรู้สึกนึกคิดเพ่ง

การเพ่งนะ มันเพิ่งกสิณ กสิณแดง กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว กสิณไปเพ่งอากาศ เพ่งไฟ นี่การเพ่ง แต่นี้เรามาเพ่งที่เวทนา มันก็เป็นการเพ่ง การเพ่งจุดชัดๆ จุดชัดๆ ถ้ามันเพ่งมันทะลุไปเลย นี่มันทะลุไป นี่มันทะลุไปมันก็เป็นความสงบไง มันทะลุไป

เขาบอกเลย ถ้าพูดถึงนั่งสมาธินี่ลุกเดินได้เลย

ลุกเดินได้เลยก็เป็นความเห็นของเราไง นี่ความเห็นของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

ในการประพฤติปฏิบัตินะ ในแนวทางการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ในการทำความสงบทำวิธีการใดก็ได้ให้มันตรงกับจริตนิสัย

แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือบริกรรมพุทโธ หรือใช้อานาปานสติ มันไม่ทะลุ มันไม่ลง มันไม่สงบ นั่นมันเป็นการต่อต้านของกิเลสชนิดหนึ่ง

แต่ถ้าเราเวลาปฏิบัติขึ้นมา เราเพ่งเลย เพ่งเวทนาๆ เพ่งจนมันทะลุไป ทะลุไปมันก็เป็นกำลังของใจไง

จะผ่านเวทนาๆ ผ่านเวทนาด้วยกำลังของตน ผ่านเวทนาด้วยสติปัญญาของตน มีมากน้อยแค่ไหนเราก็เพ่งๆๆ เพ่งจนมันทะลุไป ทะลุไปก็เดี๋ยวมันเดินผ่านไป พอเดินผ่านไป พอผ่านไปแล้วลุกได้เลย มันสงบเลย ก็เป็นสมาธิไง ผ่านทางโลกไง ผ่านแบบโลกๆ ไง การผ่านนี่ผลไง

จะทำความสงบในทางกรรมฐาน ๔๐ วิธีการ หรือเราจะใช้สติปัญญาเรามากน้อยแค่ไหนด้วยความฉลาดความโง่ของเราทำได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามันทะลุ มันสงบ มันก็คือสมาธิไง นี่ผ่านทางโลก

คำว่า ผ่านทางโลก” นะ โดยธรรมชาติของเรา เราเกิดมานี่นะ เรามีความรู้สึกนึกคิด แล้วความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากไหน เกิดมาจากจิต จิต ภวาสวะ ภพ เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้ามันมีความทุกข์ความยาก มันก็มีทุกข์ยากของมันไป เวลามันถือตัวถือตน ไปหยิบจับสิ่งใดแล้วมันมีความเจ็บช้ำน้ำใจตลอดเวลา นี่ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

เวลาความทุกข์ของคน เราเกิดมากับโลก ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติเราก็ปฏิบัติแบบโลก

แต่เวลาถ้าเป็นลูกศิษย์กรรมฐานนะ ลูกศิษย์กรรมฐานท่านบอกว่า ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

ทำความสงบใจเข้ามาก่อน ก็เหมือนกับที่โยมเพ่งแล้วทะลุเข้าไปนั่นน่ะ เวลามันทะลุเข้าไป แต่การเพ่งมันเป็นกสิณ เวลามันทะลุ ทะลุไปด้วยกำลังของใจ กำลังของใจ เวลาไปถึงความสงบแล้วไม่รู้ว่าสงบอย่างไรด้วย เพราะมันทะลุไปแล้ว ทะลุไปแล้วมันก็ปล่อยวาง ทะลุไปแล้วมันเป็นสมาธิไง ถ้ามีสติปัญญารักษาได้ รักษา

รักษาอย่างไร ก็มันเพ่งทะลุไปแล้วมันก็สบาย สบายแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อ

ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ พอเพ่งทะลุไปก็พุทโธต่อเนื่องไปไง พุทโธต่อเนื่องไป รักษาหัวใจนั้น รักษาอาการที่มันปล่อยวางนั้นต่อเนื่องไปๆๆ แล้วถ้ามันคลายตัวออกมาเห็นเวทนาอีกรอบหนึ่ง นั่น!

อันนั้นน่ะมันจะเข้ากับที่ว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้ การผ่านเวทนาของเขา ความที่เขาเข้าใจว่านี่คือการผ่านเวทนา มันเป็นการผ่านเวทนาโดยการเพ่ง โดยการเพ่งมันเหมือนเพ่งกสิณ การเพ่งกสิณเป็นการกำหนด

กำหนดพุทโธๆ ก็เหมือนกัน กำหนดพุทโธมันดีกว่า มันดีกว่าตรงไหน ดีกว่า มันครบองค์ นี่เรานึกขึ้น เรานึกแล้วพุทกับโธ วิตก วิจาร

การเพ่งมันเพ่งเฉยๆ การเพ่ง การเพ่งเหมือนกำลังที่กดไว้ แต่ถ้าพุทโธหรือลมหายใจ จิตเราจับลม มันหายใจเข้า หายใจออก มีการเคลื่อนไหว มันมีสติสัมปชัญญะ เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กำหนดพุทโธๆ มันเป็นวิตก วิจาร

วิตก วิจาร ใครเป็นคนวิตก วิจาร

จิตเป็นคนวิตก วิจาร พอจิตมันวิตก วิจาร วิตก วิจาร เพราะถ้ามันสม่ำเสมอ มันมัชฌิมาปฏิปทา มันสมดุลของมัน เกิดปีติ มันจะมีปีติ มีความสุขของมัน มีปีติ ปีติแล้วสุข สุขแล้วถ้ามีสติรักษาอยู่ มีกำลังตั้งมั่น นี่คือองค์ของสมาธิ คือสมาธิมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์

เพ่ง เพ่งกดทับไว้ กดทับไว้ กดทับไว้ เวลามันผ่านก็คือผ่านเหมือนกัน นี่เราบอกว่า ผ่านทางโลกไง ผล ผลก็บอกไว้ ผลของการผ่านเวทนาโดยการปฏิบัติของตน นี่ก็คือผลไง

แต่เขาบอกว่า เวลากระผมได้ไปฟังประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงตาท่านเขียนไว้ มีพระป่วยเป็นไข้มาลาเรียแล้วก็เพ่ง เพ่งจนไข้นั้นหาย เวลาไปเฝ้าหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านตำหนิ ทำแบบนี้ทำเหมือนฤๅษีชีไพร

การเพ่ง การกำหนดไว้ เวลาเกิดปัญญาๆ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา พอยกขึ้นวิปัสสนา เห็นไหม ในกรรมฐานถ้ามันเจ็บไข้ได้ป่วย อย่างเช่นเป็นไข้มาลาเรียก็ใช้สติปัญญาแยกแยะมันสิ ถ้าสติปัญญาแยกแยะมัน เวลามันปล่อยวาง นี่ธรรมโอสถ

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา คนที่มีกำลังนะ ความเจ็บไข้ได้ป่วย อะไรมันเจ็บ อะไรมันเจ็บไข้ได้ป่วย ไข้มันมาจากไหน ก่อนหน้าที่จะเป็นไข้ก็ไม่มีไข้ เวลามันเป็นไข้ๆ ขึ้นมาแล้ว แล้วเป็นไข้จะอยู่กับเราตลอดไปหรือไม่ นี่มันพิจารณามันแยกมันแยะของมันไปนะ เวลามันแยกออก นี่ธรรมโอสถ

แต่ถ้าจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้ามันจับของมันได้

สิ่งที่ว่าหลวงปู่มั่นท่านตำหนิ ทำอย่างนี้ทำเหมือนฤๅษีชีไพร

กรณีนี้ยกตัวอย่าง เวลาหลวงตาท่านพิจารณาเวทนาของท่าน ท่านพิจารณาเวทนาของท่านนะ ท่านนั่งจนจิตมันสงบแล้วเวทนามันเกิดขึ้น เพราะท่านนั่งตลอดรุ่งใช่ไหม ก่อนนั่ง พอนั่งไปแล้ว ๒-๓ ชั่วโมงท่านบอกว่าหลานเวทนามันมา อีก ๔ ชั่วโมง ลูกเวทนามันมา ถ้าอีก ๖ ชั่วโมงพ่อเวทนามา ถ้า ๘ ชั่วโมง

เราจะบอกว่า ถ้าลูกเวทนามา มันก็เหมือนเวทนามันเกิดขึ้น ท่านก็จับเวทนาพิจารณาใช่ไหม พอพิจารณาไปแล้วมันปล่อย ๒ ชั่วโมงก็ปล่อย มันก็ว่าง พอมีสติสัมปชัญญะกำหนดพุทโธต่อเนื่องไป ๔ ชั่วโมงเดี๋ยวลูกมันมา ลูกมันมา เวทนามันแก่กล้าขึ้น เวทนามันเข้มข้นขึ้น มันเจ็บปวดมากขึ้น แต่ด้วยสติด้วยปัญญาที่เข้มข้นขึ้น ท่านก็จับ จับแล้วพิจารณาแยกแยะ

ก่อนหน้านั้นมันก็เคยพิจารณามาแล้ว เราเคยผ่านเวทนามาแล้ว เราเคยจับเวทนาได้ เราพิจารณาเวทนาของเราจนเวทนาสักแต่ว่าเป็นเวทนา เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันปล่อยมันวางกันน่ะ จิตก็เป็นจิต เป็นอิสระ เวทนาก็เป็นเวทนา เวทนามันก็มีอยู่ อาการอย่างนั้นมันมีอยู่ แต่มันคาไว้อย่างนั้น มันกึ่งๆ อยู่ จิตมันก็ปล่อยมา

เวลาจิตพอมันวาง มันสงบลง สงบลงนะ ๖ ชั่วโมง พ่อมันมาแล้ว พ่อมันมานี่มันเจ็บปวดมากกว่า มันรุนแรงมากกว่า มันรุนแรงมากกว่า ท่านก็พิจารณาต่อเนื่องไปๆ พิจารณาต่อเนื่องไป

เวลาพิจารณาไปมากๆ แล้ว เวลาใช้ปัญญา จิตสงบแล้วใช้ปัญญามันจะเหนื่อยอ่อนมาก มันใช้ความคิด มันจะใช้กำลังมาก แล้วมันเหนื่อยมาก ท่านก็ยันไว้ เพ่ง ตั้งสติไว้ แล้วเวทนาเป็นเวทนา เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตเป็นจิตยันไว้ ยันไว้จนมันมีกำลังขึ้นมาค่อยพิจารณาใหม่

แล้วตอนเช้าท่านไปทำข้อวัตรคือไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น “มหา มหาภาวนาอย่างนั้นหรือ ภาวนาอย่างหมากัดกัน”

หมากัดกัน เวลาหมามันกัดไม่ปล่อย เวลามันงับแล้วไม่ปล่อย มันฟัดกันอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่ปล่อย นี่ยันไว้ๆ

แล้วหลวงตาท่านเคารพ ท่านกราบไหว้ ท่านฟังคำติชมของอาจารย์ของท่าน แล้วท่านก็เก็บไว้ในใจ แล้วท่านมาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังไง ท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นกำหนดจิตมาดูท่านก่อนหน้านั้นที่ท่านกำลังพิจารณา พิจารณากับหลานของมัน พิจารณาด้วยกำลัง ด้วยความรุนแรง เวลามันปล่อยวางแล้ว พอ ๒-๓ ชั่วโมงต่อมา ลูกมันมา พิจารณาด้วยความรุนแรง

ท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาตอนนั้น ท่านจะไม่บอกว่าหมากัดกันเลย เพราะมันฟัดกันด้วยปัญญา เวลามันเหนื่อยอ่อนมากแล้วท่านยันไว้ พอยันไว้ ท่านบอกว่า “มหา มหาภาวนาอย่างนั้นหรือ ภาวนาเหมือนกับหมากัดกัน”

หมาเวลามันกัดมันไม่ปล่อย กัดแล้วมันกัดคาไว้อย่างนั้นน่ะ เหมือนยันไว้เฉยๆ

นี่พูดถึงว่า ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นแล้วท่านจะรู้วาระของมันว่า อะไรควรทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วใจยกขึ้นสู่วิปัสสนา บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเป็นระดับของปัญญาที่มันสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ถ้าเป็นสติก็สติ พอขึ้นไปมันจะเป็นมหาสติ มันจะเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เห็นไหม

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่า โยมที่ถามคำถามว่า การผ่านเวทนาจะผ่านอย่างใด

การผ่านเวทนามันผ่านเวทนาโดยโลกๆ ก็ได้ อย่างเช่นเรา เรามันมีความฝังใจสิ่งใดอยู่ มันเจ็บช้ำน้ำใจมาก วันใดมีสติปัญญาขึ้นมา มาใคร่ครวญแล้ว สิ่งที่เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นเพราะเราหลงเชื่อ เราหลงผิด เราคิดของเราไปเอง พอวันไหนมีสติปัญญาขึ้นมามันเท่าทัน มันปล่อยหมดเลย เออ! โง่ มึงน่ะโง่เอง ทำลายตัวเอง เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญามันปล่อย นี่ปล่อยอะไร นี่โลกๆ ไง

แล้วเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเปรียบเทียบขึ้นมา แล้วเราเข้าใจได้นี่มันปล่อยทางโลก มันปล่อยทางโลกคือปล่อยโดยสัญญาอารมณ์ในใจมันปล่อยวางๆ ไป

การเพ่ง การเพ่งอยู่ การเพ่งอยู่มันด้วยกำลัง มันก็เพ่งไป มันผ่านทางโลก

เขาบอกว่า การผ่านเวทนาในประสบการณ์ของเขาโดยการเพ่ง เพ่งจนมันทะลุ

พอมันทะลุ การเพ่งมันทะลุไปมันก็เหมือนกับการทำสมาธิ มันเป็นกสิณ เป็นการกดทับอย่างหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นคำบริกรรม เวลามันปล่อยวางมันก็สงบเหมือนกัน นี่มันเป็นทางโลก มันเป็นทางโลกไง มันเป็นทางโลกเพราะอะไร

เพราะหนึ่ง จิตมันไม่สงบเข้ามาเป็นเอกัคคตารมณ์

จิตสงบเข้ามาเป็นเอกัคคตารมณ์แล้วมันเห็นเวทนา เห็นไหม อย่างคนที่เวลาภาวนาขึ้นมา เวลานั่งไปแล้วเวทนาเป็นเรา นั่งใหม่ๆ สรรพสิ่งนี้เป็นเราหมด คือเป็นตัวตนของเราไง นั่งไปนี่เจ็บปวดทั้งนั้นน่ะ เจ็บปวด มีความรู้สึกทั้งนั้นน่ะ พยายามอดทน พุทโธๆๆ จนมันเลยไป พอมันเลยจากเวทนาไปมันก็ว่าง

ถ้าจิตมันสงบ มันตั้งมั่นนะ แล้วถ้ามีกำลังพอ พอมันคลายออกมา รู้สึก จับเวทนาได้ พอออกมา นี่เวทนา ถ้าจิตสงบแล้วเวทนามันเกิดนะ เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา จิตนี้จับเวทนาได้

แต่ถ้าเวทนาเป็นเรา เจ็บปวดมาก แต่อาศัยการเพ่ง อาศัยการกดทับไว้ มันก็ทะลุไปได้ ทะลุไปได้แต่ไม่มีปัญญาเลยไง

ขั้นของปัญญาๆ ปัญญาอบรมสมาธินี้เป็นขั้นของสามัญสำนึก เป็นขั้นของมนุษย์ มนุษย์โดยธรรมชาติมันก็มีความรู้สึกนึกคิดเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดเป็นเรื่องธรรมดา มีความรู้สึกนึกคิดเป็นเรื่องธรรมดามันเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ไง แล้วมนุษย์มันก็คิดไปโดยสะเปะสะปะ คิดไปโดยสัญชาตญาณของตน

แต่พอเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะตรึกในธรรม คิดสิ่งใดก็เปรียบเทียบกับธรรมะ อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของเราเปรียบเทียบกับธรรมะว่าเราถูกหรือผิด ถูกหรือผิด

เราผิดทั้งนั้นน่ะ เพียงแต่เราไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ พอเราผิด เราจะไปอยู่กับความผิดไหม พออยู่กับความผิดแล้วมันทุกข์ แต่ถ้าอยู่กับความผิดแล้วมันทุกข์ โดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเรา แต่เราใช้สติปัญญาตรึกในธรรม ตรึกในธรรมพิจารณาเปรียบเทียบ ธรรมะมันต้องชนะอธรรมแน่นอน เหตุผลของธรรมะ สัจธรรมมันเหนือกว่าความรู้สึกนึกคิดของเรา พอเราเห็นโทษมันก็ปล่อยๆๆ พอปล่อย นั่นน่ะตัวจิต นั่นน่ะสัมมาสมาธิ

ไอ้เวลาเพ่งๆๆ ไป มันก็เพ่งอย่างนี้ มันก็ผ่านเข้าไป มันก็เข้าไปถึงตรงนั้น มันผ่านไปโดยโลก มันผ่านไปโดยทำความสงบของใจไง มันผ่านเข้าไปโดยสมาธิ

แล้วถามว่า สิ่งนี้ถูกต้องไหม

มันถูกต้องโดยการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น แต่ถ้าการผ่านเวทนาโดยธรรม การผ่านเวทนาโดยธรรมนะ เพราะการผ่านเวทนาโดยธรรม ดูที่หลวงตาเวลาท่านผ่านเวทนาโดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญาของท่านไง เวลามันเจ็บปวดขนาดไหน ที่ว่าพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันผ่านไปๆ เวทนาเป็นเวทนา ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต มันแยกออกจากกันหมด โอ๋ย! มันมหัศจรรย์

เวลาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นมันคนละกรณีกัน มันคนละกรณีกัน หมายความว่า เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่ว่าผ่านทุกขเวทนาดั่งวิธีที่ปฏิบัติมา ไอ้นี่คือประสบการณ์จริงเลย แล้วประสบการณ์จริง เวลามันผ่านมันทะลุไปแล้วเขาบอกว่า มันเป็นสมาธิมันลุกขึ้นจากการนั่ง ไม่ต้องเหยียดขาเลย ลุกได้ตามสบายเลย

นั่นเพราะจิตมันลงไง มันเป็นเรื่องธรรมดาไง พอเรื่องธรรมดาแล้ว ถ้ามันเป็นจริงมันจะไม่เกิดการสงสัยขึ้นมาว่า แต่ผมไปฟังประวัติหลวงปู่มั่น ถ้าไปฟังประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงปู่มั่นติพระที่เป็นมาลาเรีย หายจากมาลาเรียว่าทำแบบฤๅษีชีไพร

ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันจะเข้ามาสู่อันหลังนี้เลย

สิ่งที่เริ่มต้นขึ้นมา การเพ่งจนทะลุไปนั้นเป็นการทำความสงบ แล้วถ้ามันเป็นการผ่านเวทนามันก็สมบูรณ์แบบแล้ว ในประวัติหลวงปู่มั่นที่หลวงปู่มั่นติพระองค์นั้น กับเรา มันจะไม่ขัดแย้งกัน

แต่ที่มันขัดแย้งกัน มันไม่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่อันเดียวกันไง มันเป็นขั้นโลก เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องในสามัญสำนึกในปัจจุบันนี้

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาจากโลก มาจากโลก หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงมีวัตรปฏิบัติ ให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนก็เหมือนกับโยมเพ่งจนทะลุเวทนาเข้าไปนั่นแหละ แต่เป็นการทะลุโดยการเพ่ง แต่ของเราทำความสงบของใจเข้ามา มันก็สงบเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาจนมันเป็นอิสระ เป็นสากล สัมมาสมาธิ จิตมันเป็นสากล เทวดา อินทร์ พรหมก็มี

แล้วโดยสามัญสำนึกของมนุษย์เราก็มีสมาธิขึ้นมา คำว่า มีสมาธิๆ” มนุษย์มีสมาธิแต่เป็นสมาธิของปุถุชน เป็นสมาธิของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยต่างๆ เขาก็มีสมาธิที่แข็งแรงกว่าเพื่อจะทำวิเคราะห์วิจัยของเขา มันก็เรื่องโลกทั้งสิ้น โลกๆ หมด แต่โลกๆ เพราะอะไร โลกๆ เวลาทำงาน ทำความถูกต้องดีงามก็บอกว่า นี่เป็นงานที่ซื่อตรง เป็นงานที่ถูกต้องชอบธรรม ก็งานโลกอีกน่ะ

แต่ถ้าเป็นงานของธรรมล่ะ งานของธรรม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาที่ว่าเป็นเรื่องโลกๆ ให้มันวาง พอวางขึ้นมามันจะรู้เลยล่ะ พอวางขึ้นมา ดูสิ เวลาที่คำถามของผู้ถามเขาบอกว่า เขาอาศัยเพ่งจิตไปที่ปลายจมูกชัดๆๆ อย่างนั้นน่ะ เวลามันทะลุไปทำไมเขารู้ได้ล่ะนั่งสมาธิอยู่นะ เวลาลุก ลุกสบายๆ ไปเลย

สบายสิ เวลาหลวงตาท่านถ้าจิตมันลง ลุกได้สบายๆ เลย อันนี้มันเป็นผลของสรีระของร่างกาย เป็นผลของหัวใจที่มันเป็นจริงอย่างนั้น

แต่ถ้าจะผ่านทางธรรม จะผ่านทางธรรมก็ “กระผมได้ฟังประวัติหลวงปู่มั่นติพระๆ ท่านทำอย่างนั้นทำเหมือนฤๅษีชีไพร”

ฤๅษีชีไพรเขาไม่มีปัญญาไง ฤๅษีชีไพรเขาทำฌานสมาบัติกันไง แล้วพอฌานสมาบัติเขากำหนดได้ มันเป็นอภิญญาไง รู้วาระจิต เหาะเหินเดินฟ้า ทำได้ทั้งสิ้น ทำได้เพราะกำลังของจิตไง แต่มันไม่ใช่มรรค

เวลามรรคมันเกิดขึ้น สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องชอบธรรม ชอบธรรมในอะไร ชอบธรรมในการเห็นกิเลส ชอบธรรมในการพอเห็นกิเลส จับกิเลสขึ้นมา พอจิตเป็นตัวตน เริ่มต้นเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ตั้งอยู่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ

สติปัญญาใคร่ครวญ เวลาตั้งอยู่แล้วพิจารณา ถ้าสมาธิไม่พอ สมาธิไม่ได้ มันก็ล้มลุกคลุกคลานไป แล้วก็เป็นสัญญาทั้งสิ้น แล้วถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมาก็ต้องกลับมานี่ กลับมาทำความสงบของใจเข้ามา กลับมาเป็นสัมมาสมาธิ

สัมมาสมาธิเป็นกำลัง สัมมาสมาธิเป็นบาทฐาน สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาขึ้นมา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาก็เป็นที่ประวัติหลวงปู่มั่นที่ท่านบอกพระ “ทำไมท่านไม่ใช้ปัญญา”

คำว่า ใช้ปัญญาๆ” ปัญญามันมีหลายระดับหลายขั้นนัก เวลาหลวงตาท่านพูด “สมาธินี่น้ำล้นแก้ว”

ทำสมาธิ ทำสมาธิมันเป็นกำลัง เวลาใช้ไปแล้วมันเบาบางลง นี่สมาธิจับ หลวงตาท่านสอนเลย ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา สมาธิจับ

จับอะไร

จับจิตของตนไง จิตของตนมันอยู่ที่ไหน จิตของตนมันแสดงออกโดยกาย โดยเวทนา โดยจิต โดยธรรมไง

เวลาตัด ตัดด้วยปัญญา

สมาธิจับ ปัญญาตัด

ไอ้นี่สมาธิไม่มี จับอะไร ทะลุทะลวงไปก็ทะลุทะลวงไป แล้วมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าผ่าน ผ่านก็ผ่านทางโลก ผ่านทางโลก หมายความว่า มันสบายใจ เราได้ปฏิบัติธรรม มันมีความสุข มันมีความสุข มีความเวิ้งว้าง มีความปลอดโปร่ง อ้าว! นี่ผ่านทางโลกไง ผ่านทางโลก เวลาเดี๋ยวสมาธิเสื่อม ปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นคนดีคนชั่ว มีการผิดชอบชั่วดีได้

แต่ถ้ามันจะผ่านเวทนา ผ่านเวทนาโดยทางธรรมไง จิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วเวลาจับเวทนา จิตสงบแล้วมันจับเวทนาได้สบายๆ เลย แล้วถ้าเวทนา ก่อนหน้านั้นมันก็ไม่มีเวทนา เวลาเรามานั่งหลายๆ ชั่วโมงเวทนามันเกิดขึ้น แต่ถ้าเราลุกขึ้น เราคลาย เวทนาก็หายไป

แต่ขณะที่เราใช้ปัญญามันไม่ใช่หายไปโดยการลุกขึ้น ไม่ใช่หายไปโดยการพลิกแพลงเพื่อจะให้เราหลบจากเวทนา มันพิจารณาเลย เวทนาเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากที่ไหน เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เวลามันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเพราะอะไร พอเกิดขึ้นมา ไล่ไปถึงที่แล้ว เกิดขึ้นมาเพราะจิตโง่ เพราะจิตมันโง่ จิตมันไปแบกรับภาระไง

แต่โดยธรรมชาติของมันนะ มันเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ดับไปเพราะอะไร ดับไปเพราะจิตมันปล่อยวางไง มันไม่มีเจ้าข้าวเจ้าของ ไม่มีใครไปยึดมั่นถือมั่นมัน มันก็เป็นเวทนาสักแต่ว่าเวทนา อาการที่เกิดขึ้นมันก็เก้อๆ เขินๆ ของมันอยู่อย่างนั้น จิตก็เป็นจิตไง ทุกข์ก็เป็นทุกข์ไง

เวลามันพิจารณาของมันไปด้วยปัญญาไง มันต้องพิจารณาด้วยปัญญา มันต้องแยกแยะด้วยปัญญาขึ้นมามันจะผ่านโดยธรรม ถ้าผ่านโดยธรรม จิตมันสงบแล้วมันจับต้องขึ้นมาแล้วมันแยกแยะของมัน แยกแยะด้วยสติปัญญา ด้วยมรรค ๘

ถ้ามันจะผ่านเวทนาโดยธรรม มันจะต้องมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานก็เหมือนท่อนที่ว่าเพ่งเวทนานั่นน่ะ เวลาผ่านไปนั่นน่ะผลของมันคือสมถะ ผลของมันคือสมาธิที่มันผ่านทะลุไปนั่นน่ะ แล้วสมถะแล้วเป็นอย่างไรต่อ ก็ลุกเดิน

เวลามันผ่านไปแล้วจะทำอย่างไรให้มันตั้งมั่น จะทำอย่างไรให้มันเข้าและออกอยู่อย่างนั้น ถ้าอยู่อย่างนั้นได้จนมันมีกำลังของมันนะ แล้วมันไปจับเวทนาได้ นั่นน่ะเป็นงาน ถ้าจับเวทนาไม่ได้ ไม่เป็นงาน

สมาธิเป็นสมาธิ เวลาขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต กิเลสมันพลิกมันแพลง มันหลบมันซ่อน เวลาจับแล้วใช้ปัญญาแยกแยะมัน พิจารณาเวทนาก็ได้ พิจารณากายก็ได้ พิจารณาจิตก็ได้ พิจารณาธรรมก็ได้ ในสติปัฏฐาน ๔ แล้วแต่ว่าในปัจจุบันนั้นมันมีสิ่งใดเกิดขึ้น จิตมันจับสิ่งใดได้

ถ้าจับสิ่งใดได้คือจิตมันสงบแล้ว จิตมีกำลังแล้ว มีกำลังแล้วจับสิ่งใดก็ได้ พิจารณาอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะพิจารณาเวทนาจะเป็นเวทนาตลอดไป เพราะมันมีเวทนากาย เวทนาจิต

เวทนากาย หมายความว่า อาศัยกาย เวทนาเกิดขึ้นโดยอาศัยกายเกิดขึ้น

เวทนาจิต ไม่มีร่างกาย ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีสิ่งใดกระทบเลย มันก็ไม่พอใจ มันหงุดหงิด นี่เวทนาจิต เวทนาจิตมันไม่ต้องอาศัยอะไรเลย ตัวมันมันเกิดขึ้นโดยตัวมันเองเลย ไอ้ความคับแค้นข้องใจไม่พอใจ นั่นน่ะเวทนาใจทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าเวทนาโดยทั่วไปเจ็บปวดเมื่อย อาศัยร่างกายเกิดขึ้น แต่ร่างกายมันไม่มีชีวิต มันรับรู้ไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยจิต เพราะจิตมันโง่ เพราะจิตมันโง่ จิตมันไม่มีสติปัญญา ไม่มีกำลังเท่าทัน มันก็แยกแยะอะไรไม่ได้ แต่ถ้ามันเท่าทันขึ้นมามันฝึกหัดอย่างนี้

นี่พูดถึงว่า เขาว่าจะผ่านทุกขเวทนาโดยวิธีการปฏิบัติ ด้วยการเพ่ง เป็นการเพ่ง เพ่งจนทะลุทะลวงไป แล้วเขาบอกถึงผลไง ผลที่มันทำไปแล้ว โอ้โฮ! มันมีความสุข มีความสบาย ความเจ็บปวดมันผ่านไปเลย ถ้าจิตทะลุไปแบบนี้ ออกจากสมาธิจะลุกขึ้นได้ ไม่ต้องเหยียดขา ลุกได้เสมอๆ

ในการแบบนี้เป็นผลของการปฏิบัติโดยความสัมผัสของเขา สิ่งนี้จะบอกว่าถูกไหม เราก็ว่าถูก ถูกในการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นก็ต้องฝึกหัดไปอย่างนี้

โดยธรรมชาติของคน ธรรมชาติของคนจริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน เวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ บางคนก็ทำได้ บางคนก็ทำไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้นะ ส่วนใหญ่ทำไม่ได้

ถ้าทำได้เป็นสัทธาจริต สัทธาจริตมันมีความมุ่งมั่น แล้วเวลาทำไปแล้วเราจะรู้ผลของเรา ภาษาเราเลยนะ เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะให้กำลังใจตลอดว่า เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออย่าไปคาดไปหวัง การคาดหวังนั้นกดดันตัวเองมาก แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้วมันไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปกว่าการปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วการปฏิบัตินี้เป็นการฝึกหัด

นักกีฬา คนเล่นกีฬาชนิดใดเป็น เขาลงเล่นมันจะเล่นได้เลย จิตก็เหมือนกัน จิตเวลาเราไม่เคยฝึกหัดการภาวนาเลย มันก็คลุกเคล้ากับโรคทั้งสิ้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง

ฝึกหัดภาวนา ฝึกหัดภาวนาเป็นวิธีการฝึกหัดใจให้ใจได้บริหารใจของเราให้มันมีช่องทางของมัน ถ้ามีช่องทางของมัน เวลาฝึกหัดจนเป็นจริตเป็นนิสัย ถ้ามันทำของมัน เหมือนการสวดมนต์ทำวัตร ถ้าคนเคยสวดมนต์ทำวัตรทุกวันๆ ถ้าไม่ได้สวดมนต์ทำวัตรปั๊บ มันเหมือนขาดอะไรไป

นี่ก็เหมือนกัน ฝึกหัดจนเป็นนิสัย มันเป็นวาสนาของเรานะ นี่พูดถึงว่า วิธีการประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติจนเป็นจริตเป็นนิสัย นี่เป็นบุญกุศลของเรา แล้วถ้ามันปฏิบัติไปแล้วถ้ามันได้ผลขึ้นมา จิตสงบแล้ว จิตสงบบ้าง จิตไม่สงบบ้าง เราก็ฝึกหัดไป แก้ไขไป

พอสงบแล้วถ้ามันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม อันนั้นถึงจะผ่านเวทนาโดยคุณธรรม จะผ่านเวทนาโดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ขณะที่มันเพ่งอย่างนี้มันผ่านโดยโลกๆ ไง มันผ่านโดยความเข้มแข็ง ผ่านโดยการกระทำของเราไง เพราะจิตมันยังเป็นโลก โลกกับธรรมๆ ที่ว่า “อันนั้นเป็นโลก อันนี้เป็นธรรม”...โลกหมด

คนเกิดมากับโลก โลกหมดเลย จนกว่าเราทำความสงบของใจก็ยังเป็นโลกอยู่ แต่ถ้าใจน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ น้อมไปเห็นเวทนา นั่นน่ะจะเป็นธรรม เริ่มเข้าสู่ปากทาง

ทำความสงบของใจเข้ามา ทำสมถกรรมฐาน แต่ยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็น เพราะกว่าที่มันจะสงบมันก็ผ่านกาย เวทนา จิต ธรรม ผ่านโดยสามัญสำนึก ผ่านโดยโลกไง แล้วก็เข้าใจว่านี่เป็นวิปัสสนา นี่เป็นการปฏิบัติธรรม แล้วปฏิบัติธรรมแล้วก็ผ่านมาแล้ว จะทำอะไรอีกไง

เหมือนนักเรียนสอบ เวลาสอบผ่านแล้วต้องให้ผ่าน จะให้เรียนซ้ำชั้นไม่ได้ ต้องให้ผ่าน แต่ในการปฏิบัติเวลามันผ่าน มันผ่านมันก็ผ่านชั่วความทุกข์ความยากในใจนั้นผ่านไป แล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาอีก มันไม่เหมือนกับการศึกษาที่ว่าจบแล้วก็จบเลย พอสอบผ่านแล้วก็ผ่านเลย ไอ้นี่มันชนะชั่วคราวๆๆ ไง คำว่า ชั่วคราว” มันไม่จีรังยั่งยืน

แต่ถ้ามันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาพิจารณา จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะตทังคปหานคือมันปล่อยวางชั่วคราวๆ มันก็ผ่านชั่วคราวๆ นี่ขนาดว่าเป็นธรรมแล้วนะมันยังชั่วคราวๆ

เวลามันขาด ไม่ต้องบอกเลย ไม่มีการกลับมา อฐานะ

เวลามันเป็นบุคคล ๔ คู่แล้ว ถ้ามันเป็นความจริงแล้ว เพราะมันเห็นความจริงอย่างนี้ไง มันถึงรู้ว่าความจอมปลอม ความที่ไม่จริงที่มันล้มลุกคลุกคลานมา คนที่กว่าจะไปถึงความจริงได้มันจะเป็นผ่านแบบโลก ผ่านแบบกิเลส ผ่านแบบกิเลสมันปลิ้นมันปล้อน ผ่านแบบกิเลสมันเผอมันเรอ ผ่านแบบกิเลสหลอกมันลวง นี่มันผ่านชั่วคราว เพราะกิเลสมันเป็นคนบงการ กิเลสเป็นคนบงการนะ

ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานึกว่ากิเลสมันจะอำนวยอวยพร ไม่ใช่หรอก มันคอยปลิ้นปล้อน คอยทำให้เราพลั้งเผลอ คอยทำให้เราหลงทาง เพราะมันมีกำลังเหนือกว่า แต่พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นี่พูดถึงการปฏิบัตินะ

บอกว่า จะผ่านทุกขเวทนาด้วยวิธีการที่เขาทำมา บอกว่าอย่างนี้ใช้ได้ไหม

อย่างนี้มันทุกคนที่ฝึกหัดทำงานมันต้องผ่านวิธีการของแต่ละคนขึ้นมา การผ่านมา ถ้าเป็นคำถามถามว่า ที่ทำมานี้ถูกต้องไหม

ถูก ถูกอะไร

ถูกโดยการเอาชนะตนเองในทางโลกๆ แต่มันยังไม่เห็นสัจจะไม่เห็นความจริง คือมันยังไม่เห็นกิเลสไง

การเห็นกิเลสคือจิตสงบแล้ว เวลามันผ่านไปแล้วจิตสงบอย่างไร แล้วมันผ่านไปแล้วลุกขึ้นมาสบายๆ สบายๆ แล้วรักษาหัวใจอย่างนี้ไว้ได้ไหม

สติ คำบริกรรม

เพราะมีสติ มีคำบริกรรม มันจะรักษาหัวใจของมัน ถ้าไม่มีคำบริกรรม ใจจะไปไว้กับอะไร เห็นไหม ใจมันจะปรากฏขึ้นต่อเมื่อเราคิด แล้วเวลาเราคิดไปแล้วมันก็ส่งออกไปแล้ว แต่เวลามันผ่านไปแล้ว ที่มันสบายๆ เราเอาอะไรดูแลมัน

ถ้าเวลาดูแลมัน นี่ไง นี่สมถะ นี่สมาธิ แล้วสมาธิมันเป็นมิจฉาหรือสัมมา

มิจฉาเพราะหลงผิด มิจฉาเพราะไม่รู้จัก มิจฉาเพราะรักษาไว้ไม่ได้ มิจฉาหมดน่ะ

สัมมา สัมมาเพราะมีสติสัมปชัญญะ เพราะเรารักษาเป็น เพราะเราเคยเห็นมันคลายออกไปแล้ว แล้วมันเสื่อมไปแล้ว เวลาเราเข้ามาได้แล้วเรารักษาของเรา

ถ้ามันทะลุไปแล้วรักษาด้วยคำบริกรรม ด้วยกำหนดลมหายใจก็ได้ ให้มันตั้งไว้ ตั้งไว้แล้วรักษา ถ้าเวลามันคลายตัวออกมา ดูการเข้าและการออก ถ้าการเข้าและการออก พอเราออก จนมันมีกำลังแล้วน้อมไปเลย เวทนาที่เพ่งๆ อยู่มันอยู่ไหน จับมันขึ้นมา พอจับขึ้นมาแล้วมันแยกมันแยะมันก็จะเข้าสู่ที่ว่า ประวัติของหลวงปู่มั่นที่หลวงตาท่านเขียนไง ไม่ทำแบบฤๅษีชีไพร ทำแบบอริยสัจ

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับด้วยวิธีการที่เราทำอยู่นี่ วิธีการที่เราทำมันจะดับทุกข์

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ แต่เวลาจะก้าวเดินมาถึงจุดนี้ ลำเค็ญ

ถ้ามันเป็นจริงนะ เราพยายามฝึกหัดของเรา ถ้าใครฝึกหัดได้ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงแล้ว ความจริงมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว

จะปฏิบัติมากี่ร้อยกี่พันปี สองพันกว่าปี เวลาหลวงตาท่านอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลาชำระอวิชชา “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพันกว่าปี เป็นเวลาเดียวกัน ไม่มีระยะของเวลา อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา

นี่เหมือนกัน เวลาปฏิบัติแล้วอริยสัจมีหนึ่งเดียว ถ้ามันไม่เหมือนกัน ผู้ที่สนทนาทั้งคู่ต้องมีคนผิดคนหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน การปฏิบัติของเราเป็นความเข้าใจของเราเอง ทั้งๆ ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน สันทิฏฐิโกรู้แจ้ง แจ้งในหัวใจของตนทั้งหมดเลย

แล้วเราชมนะ เราชมคนถาม เพราะว่าสิ่งที่เขาบอกว่าเขาผ่านทุกขเวทนาดั่งที่เขาทำมา เขาว่านี่เป็นความจริงในใจเลย แต่...ตรงนี้สำคัญ “แต่ผมฟังประวัติหลวงปู่มั่นโดยหลวงตาพระมหาบัว ท่านบอกว่าทำแบบฤๅษีชีไพร”

ใช่ ความรู้ของเราที่เราทำมานี่อาบเหงื่อต่างน้ำมาขนาดนั้นน่ะ แต่พอมาตรวจสอบตามข้อเท็จจริงในประวัติของหลวงปู่มั่นไปอีกชั้นหนึ่งเลย ไปอีกชั้นหนึ่งเลย

เพราะเราผ่านมาทางโลก ผ่านโดยสามัญสำนึก ผ่านเข้ามาด้วยความเป็นสมถะ แต่กว่ามันจะเป็นธรรมๆ สิ่งที่ว่าเป็นโลกนี่โลกียปัญญา สิ่งที่เราทำมานี่ การเพ่ง การกระทำ นี่โลกียปัญญา เกิดจากการกระทำของตน เวลาจิตสงบแล้วถ้าเห็นเวทนาอีกชั้นหนึ่ง นั่นถึงจะเป็นโลกุตตระ

โลกุตตรธรรมจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ วิธีการดับทุกข์ๆ เห็นไหม วิธีการคือมรรค วิธีการคือจับเวทนา วิธีการคือวิเคราะห์วิจัย นั่นน่ะจะผ่านทางธรรม นี่โลกุตตรธรรม

โลกุตตรธรรมมันอยู่ที่นู่น มันอยู่ที่อริยสัจ อยู่ที่การฝึกหัดใช้ปัญญาจากจิตที่สงบแล้ว เอวัง