จิตจะดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “จ้องและพิจารณาแบบนี้ถูกหรือไม่”
กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ กว่า ๕ ปีแล้วเกล้าไม่ได้เขียนมาถามหลวงพ่อ เกล้าได้เปิดฟังธรรมหลวงพ่อตอนทำงานไปด้วย ฟังไปด้วย หลายกัณฑ์เทศน์มีประโยคหนึ่งที่ติดใจมาคือ “อย่าหมายเอาผลการภาวนาในอดีตที่เคยได้เคยเป็น อย่าคาดหมาย อย่าเอาผลการภาวนาที่เกิดขึ้นว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้อยู่ในปกติ”
ปัจจุบันเกล้าก็ทำความเข้าใจพอเข้าใจประมาณหนึ่ง ช่วงเวลากลางคืนก่อนนอนจะนั่งภาวนาตามโอกาสตามกำลังเพราะเป็นฆราวาสต้องทำงาน ช่วงภาวนาบริกรรมพุทโธสักพักจะง่วง และเป็นแทบทุกครั้งไป
ครั้งนี้รำคาญความง่วงมาก เลยจ้องดูว่าอาการหลับมันจะเป็นอย่างไร จุดหลับเป็นอย่างไร มันก็สว่างอยู่อย่างนั้น เห็นสิ่งของชัดก็ไม่ได้สนใจ เลยน้อมมาจับลมหายใจเข้าออกแบบยาวๆ ช้าละเอียดๆ สักพักลมหายใจมันเป็นกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ ลมยาวเข้า กลิ่นมันก็ยาวเข้า พอลมออก กลิ่นมันก็ออกกับลม เป็นอยู่อย่างนั้น เกล้าเลยรำพึงพิจารณาว่า โอ้! ขนาดยังไม่ตาย สังขารร่างกายยังเน่าเหม็นยันลมหายใจ ถ้าตายไปจะเน่าเหม็นขนาดไหน
พอดีไม่ได้ปิดโทรศัพท์ไว้ มีคนส่งข้อความมาเลยตื่น รู้ว่าพลาดแล้ว กลับเผลอหลับจนได้ เป็นเวลาตี ๒ พอดี แต่เกล้าพยายามน้อมลงที่อาการนั้นอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ผล ก็สังเกตดูลมหายใจเข้าออกก็ไม่ปรากฏกลิ่นอะไร ปกติทั่วไป แต่ร่างกายและใจรู้สึกสบาย เหลือไว้แต่ความมึนงงสงสัย จึงกราบขอคำแนะนำเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติภาวนาที่เหมาะสมสำหรับฆราวาสผู้มีกิจอันมากอย่างเกล้ากระผมด้วยครับ
๑. จะแก้อาการรู้ไม่เท่าทันได้อย่างไร
๒. จะน้อมจิตเข้าไปสู่อาการที่เป็นได้อีกหรือไม่ในขณะนั้น
๓. การพิจารณาอาการการรำพึงถูกต้องหรือไม่
กราบขอความเมตตาพระคุณหลวงพ่อด้วยครับ
ตอบ : อันนี้เวลาคำถามเนาะ คำถามเขาบอกว่าปฏิบัติมา ๔ ปี ๕ ปี แล้วคนปฏิบัติมาส่วนใหญ่แล้วก็ปฏิบัติมานะ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายมหาศาลปฏิบัติมา ๕ ปี ๑๐ ปีทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลามาหาเรา เพราะคนที่ปฏิบัติมาแล้วมันละมันวางแล้ว ละวางแล้วว่า เวลาปฏิบัติเอาจริงเอาจังขึ้นมาแล้วไม่ได้ผลก็เลยละวางไปใช้ชีวิตเป็นปกติ
แล้วเวลามาหาเรานะ มีอยู่คำพูดหนึ่ง ทุกคนชอบพูดคำนี้มาก “หลวงพ่อพยายามพูดให้ผมกลับมาภาวนาใหม่สิ หลวงพ่อพยายามพูดให้ผมกลับมาภาวนาใหม่สิ”
อันนั้นมันก็เป็นกรรมของสัตว์ๆ เวลากรรมของสัตว์ เวลาคนที่ภาวนาไปแล้วนะ เวลาทุ่มเทก็ทุ่มเท เวลาจิตมันตก เวลามันไม่มีกำลังใจแล้วเลิกราไปเลย ไอ้นั่นก็เป็นกรรมของสัตว์ๆ นะ
แต่ถ้าเป็นผู้ที่ฉลาด นี่เขาบอกว่าเขาฟังเทศน์มา ๕ ปี แล้วปฏิบัติมาต่อเนื่องมาๆ ทั้งๆ ที่มีหน้าที่การงานนะ ทั้งๆ ที่เขาทำงานอยู่นี่แต่เขาก็ยังปฏิบัติต่อเนื่องมาๆ
ถ้ายังปฏิบัติต่อเนื่องมานี่เป็นอำนาจวาสนา เพราะการที่ประพฤติปฏิบัตินั้นจะเป็นจริตเป็นนิสัย มันจะฝังกับดวงใจดวงนี้ไป ดวงใจดวงใดก็แล้วแต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามีสิ่งใดที่มันฝังใจๆ ไป มันจะเป็นจริตเป็นนิสัยฝังกับดวงใจนั้นไป
นี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เพราะศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง ถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเราให้เป็นจริตให้เป็นนิสัยของเราไป ถ้ามันประพฤติปฏิบัติไปแล้วถ้ามันได้ผลขึ้นมา อันนั้นก็เป็นวาสนาของเรานะ
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตมันสงบแล้วมันจะฝังหัวใจนี้ไปมาก ถ้าฝังหัวใจนี้ไปมาก เราก็ฝังหัวใจของเราไป แล้วกิเลสมันก็มากระพือไง จะเอาอย่างนี้ๆ แล้วก็ไม่ได้อย่างนี้ไป พอไม่ได้อย่างนี้ไป มันพยายามทำๆ ทำไปโดยกิเลสที่ชักนำอยู่ มันก็จะไม่ได้ผล
แต่คนถ้าได้สติขึ้นมา วางหมดเลย แล้วกลับมาทำแบบเด็กๆ ทำแบบว่าเราทำแต่เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ หน้าที่ของเรา เราพยายามเอาฟืนเติมเข้าไปในเตา แล้วเราพยายามรักษากองไฟนั้นไว้ด้วยใส่ฟืน ด้วยรักษาไฟนั้นไว้ ไฟนั้นมันอยู่ตลอดไป
เรามีแต่เหตุ เรามีแต่การสร้างสติ เรามีแต่การฝึกหัดภาวนาของเราไป ฝึกหัดภาวนาของเราไปจะมากจะน้อยก็ฝึกหัดภาวนาของเราไป
เวลาคนเขาทำมาหากินของเขา เขาต้องลงทุนลงแรงของเขา เขาจะไปพักผ่อนที่ไหน เขาจะไปผ่อนคลายในชีวิตของเขา นั่นก็เรื่องของเขา ไอ้ของเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเราไป ถ้ามีเวลาเราก็ประพฤติปฏิบัติของเราไป นี่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา
ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ เราทำหน้าที่การงาน งานมันจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ๆ ไอ้นั่นก็เป็นเพราะกิเลสมันยุมันแหย่
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ถ้างานมันเจริญมามากกว่านี้ มันเป็นประโยชน์มากกว่านี้ เราก็ดูแลด้วยสติด้วยปัญญา เพราะเราฝึกหัดภาวนา เรามีสติ เราบริกรรมพุทโธ เรามีสมาธิขึ้นมา สติ สมาธินั้นก็จะสามารถขยายกิจการนั้น ทำงานนั้นให้มั่นคงขึ้นไปของมันได้ ถ้าใจมันดี คนมันคิดดีนะ ความคิดดีๆ มันดีไปหมดน่ะ ถ้ามันดีไปหมดแล้วอันนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา
ฉะนั้น เขาบอกว่า เวลาที่ว่าเวลาเขารำคาญในการง่วงนอนๆ ในการหลับ
ในการหลับนะ มีคนมากมายเวลามาหาเรา มาให้แก้หลับๆ บางคนเราดูด้วยทรวดทรงนะ เราบอก นี่มันเหมาะสมกับการอดอาหารมากเลย
เพราะร่างกายมันกำยำแข็งแรงมาก ถ้าร่างกายกำยำแข็งแรงมาก เราห่วงไง เราห่วงแต่ว่าเราจะต้องทำงาน เราต้องทุกๆ อย่าง เราก็ห่วงแต่ว่าต้องมีสารอาหาร มีธาตุอาหารอยู่ เพราะธาตุอาหาร ขันธ์ ๕ ทับจิต ขันธ์ ๕ ทับจิตนี้สำคัญมากเลย
ถ้ามันง่วงนอนๆ อดอาหาร รับประกันได้เลยว่าถ้าผ่อนไปเรื่อยๆ นะ จบ รักษาได้แน่นอน
แต่คนมันไม่กล้าทุ่มเท แล้วมันไม่กล้ากระทำ แล้วภาษาเรา คนที่ภาวนาไม่เป็นเริ่มต้นใหม่ๆ มันหันรีหันขวาง มันทำสิ่งใดผิดไปทั้งสิ้น แต่ถ้าคนเป็นแล้วนะ มันรู้จังหวะจะโคน สิ่งนี้ทำได้
นี่พูดถึงว่าแก้ง่วงนอนไง แก้ง่วงนอน ง่วงนอนเราก็ลุกเดินจงกรมซะ ถ้าง่วงนอน เราก็นอนซะ ถ้านั่งได้ก็นั่ง ถ้านั่งไม่ได้ เราก็ปฏิบัติในทางอื่นของเราไป ถ้ามันเป็นการปฏิบัตินะ ถ้าปฏิบัติ มันปฏิบัติของมันอย่างนี้
อันนี้พูดถึงว่าเขาง่วงนอนๆ สุดท้ายแล้วนะ เขาจะแก้หลับด้วยการจ้องดูไง จ้องดูอาการหลับนั้น มันก็ถึงอาการจุดหลับไป
พออาการจุดหลับไปนะ สิ่งที่จุดหลับไป เวลาหายใจเข้า หายใจออก สิ่งที่ว่าเวลาหายใจเข้าและหายใจออกแล้วมันมีกลิ่นต่างๆ ตามมา อันนี้เราว่าไม่ใช่อาการหลับ ถ้าอาการหลับมันจะได้กลิ่นนั้นได้อย่างไร มันไม่ได้กลิ่นนั้น
อาการนี้มันเป็นอาการที่เป็นภวังค์ หรือจิตมันเป็นสมาธิโดยที่ไม่รู้ตัวได้ เพราะอะไร
เพราะเวลาโทรศัพท์มันดังขึ้นมาไง เวลามันดังขึ้นมา เราเองเราก็บอกผิดพลาดแล้ว ต้องมารับโทรศัพท์ แล้วก็พยายามอยากจะได้อาการอย่างนั้นอีก จะทดสอบกลิ่นนั้นอีก กลิ่นมันไม่มี เห็นไหม
เพราะเวลาที่ว่าจิตมันลงได้ พอลงได้ กลิ่นที่มากับลมหายใจ ถ้าลมหายใจยาว กลิ่นก็ยาวตาม ลมหายใจสั้น กลิ่นมันก็ลมหายใจสั้น แล้วเกิดปัญญาขึ้น
ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาเกิดขึ้นจากจิตที่สงบแล้ว “โอ๊ะ! คนเรายังไม่ตายมันยังเหม็นขนาดนี้ ถ้าตายจะเหม็นขนาดไหน”
ถ้าตาย เราไม่ได้ดมกลิ่นเราหรอก คนอื่นเขาเหม็นแทน แต่ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ แล้วเราได้กลิ่นนั้นน่ะมันสะเทือนใจ อันนี้เวลาธรรมมันเกิดๆ
เวลาธรรมสังเวชๆ อารมณ์ที่เกิดที่ว่าเวลากลิ่น แล้วเราเกิดปัญญาที่เราสังเวชในร่างกายนี้ ในสิ่งที่เราได้ประสบ กลิ่น กลิ่นเหม็น กลิ่นกองขยะ กลิ่นน้ำเน่า กลิ่นโลงต่างๆ มันมีอยู่ทั่วโลกเลย มันไม่สะเทือนใจเหมือนกลิ่นลมหายใจเราหรอก
เพราะกลิ่นที่ลมหายใจเรา ใจมันรับรู้ ปัญญามันเกิดจากกลิ่น กลิ่นที่เรากระทบนี้ มันเลยเกิดธรรมสังเวช พอมันเกิดธรรมสังเวช เห็นไหม คุณค่าไง เวลาปัญญาของเรา ปัญญาของเรามันเกิดจากหัวใจของเราจะมีคุณค่ามาก
ปัญญาของใครก็แล้วแต่ที่มันจะเลอเลิศประเสริฐศรีขนาดไหนนั่นเป็นของคนอื่นทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธุ ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่อจินไตยเลยล่ะ ไม่มีใครจะมีความสามารถเทียบเท่าได้ ไม่มี ไม่มีหรอก
แต่เวลามันเกิดกับเรา แม้แต่มันจะเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วแต่ แต่มันสะเทือนใจมาก แล้วฝังใจมาก นี่ไง ปัญญาเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากอะไร
จากการจ้องเพ่งดูการหลับนั้น เพ่งดูแล้วมันก็หลับไป แต่มันหลับไปด้วยการจ้อง ด้วยการตั้งสติไว้ เวลามันเกิดลมหายใจนั้นขึ้น อันนี้เราว่ามีผลของสมาธิ มีผลของมัน มันเป็นอย่างนั้น มันถึงทำให้เราสะเทือนใจ
ไม่อย่างนั้นเวลาเราเคยตื่นเคยหลับมาตลอด แล้วมันมีสิ่งใดที่มีผลสะเทือนใจบ้าง แต่เวลากลิ่นอันนี้มันสะเทือนใจแล้วฝังใจ แล้วอยากจะเป็นกับเรา นี่พูดถึงว่าผลของการปฏิบัตินะ แล้วถ้าเราปฏิบัติแล้วเราฝึกหัดปฏิบัติของเราไป การทำสม่ำเสมอนี้สำคัญมาก
การทำสม่ำเสมอ นักกีฬา นักกีฬาที่มีชื่อเสียง นักกีฬาที่ได้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้วเขาจะมีวินัยในการฝึกซ้อมของเขา นักกีฬาที่เขามีวินัยของเขา เขารักษาของเขา แล้วความสามารถเขาคงเส้นคงวาตลอด
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติด้วยความสม่ำเสมอของเราอย่างน้อย อย่างน้อยปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันจะเป็นจริตนิสัยของเรา
แล้วผลที่เกิดจากการกระทำทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดมาขึ้นมาลอยมาจากฟ้า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน สันทิฏฐิโกเรารู้ของเราเอง
ถ้ารู้เอง กลิ่นต่างๆ มันสะเทือนหัวใจของเราแล้วแหละ แล้วสะเทือนหัวใจของเรา เกิดจากผลของการปฏิบัตินี่ ถ้าผลของการปฏิบัติแล้วมันสังเวชในใจเรา แล้วเรามีหิริ มีโอตตัปปะ มีความละอายกับใจนี้ เรามีสติปัญญาในใจนี้ มันมีคุณค่าแค่ไหน
ให้คนอื่นมาสอนมาบอกเท่าไรขนาดไหนก็แล้วแต่ ไม่เกิดจากการที่เรารู้เห็นจริงในใจขึ้นมา ถ้ารู้จริงเห็นจริงขึ้นมา อันนี้เป็นประโยชน์กับเรา
คำถาม ยังไม่ได้ตอบเลยเนาะ
“๑. จะแก้อาการรู้ไม่เท่าทันได้อย่างไร”
สิ่งที่ว่าเขาบอกว่าเขากำหนดเพ่งดูลมหายใจไง
เรามีสติอยู่กับลมหายใจนั้น รู้ชัดๆ ไว้ รู้ชัดๆ ของเราไว้นะ ถ้าเราอยู่กับลมหายใจใช่ไหม เราอยู่กับลมหายใจ มันแก้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น อยู่กับลมหายใจ ถ้ามันละเอียด คำว่า “ละเอียด” คือลมหายใจมันจะเบาลงไง ลมหายใจจะเบาลงแต่เราจะรู้สึกตัวตลอด
เราอย่าไปตื่นเต้น อย่าไปตื่นเต้นว่า ลมหายใจชัดๆ ชัดๆ แล้ว เวลาลมหายใจมันเบาลงๆ เบาลงเราก็มีสติพร้อมไป เบาลงๆ นะ ถ้าเบาลงจนลมหายใจกับพุทโธ ลมหายใจกับจิตนี้เป็นอันเดียวกัน ถ้ามันเป็นอันเดียวกันๆ ให้มันเป็นไปพร้อมกับสติของเรา ไม่ใช่ว่ามันจะต้องชัดๆ อยู่ตลอดไปไง
คำว่า “ชัดๆ” หยาบ กลาง ละเอียด เวลาละเอียดแต่มันก็รู้ของมันไง รู้ของมัน เวลาถ้ามันเข้าสมาธิ มันเป็นสมาธิ สักแต่ว่าปรากฏ สักแต่ว่ารู้ในตัวมันเอง
ลมส่วนลม ลมไม่ใช่เป้าหมาย ลมไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายของเราที่ได้อาศัยเกาะลมไปๆ เป้าหมายของเราคือความสงบของใจ
แล้วถ้าสิ่งที่เป้าหมายของเราอยู่ที่ความสงบนั้น ลมนี้เป็นอาการ ลมนี้เป็นการสืบต่อ ลมนี้เป็นการส่งต่อเข้าไปสู่ความรู้สึกอันนั้น ลมอันนี้มันต้องเบาลงๆ เป็นเรื่องธรรมดา ลมนี้เบาลงๆ แต่ความรู้สึกเราเด่นชัด แล้วถ้าทำต่อเนื่องไปบ่อยครั้งเข้าๆ มันจะชำนาญ มันจะรู้ของมันว่าอะไรเป็นความจริงไม่เป็นความจริงไง
แต่ถ้ามันไปบอกว่า ต้องชัดๆ อยู่อย่างนั้น ต้องชัดๆ อยู่อย่างนั้น
ชัดๆ อยู่อย่างนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ ความรู้สึกของเรา อารมณ์ความรู้สึกของคนมันมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ถ้ามีหยาบ มีกลาง มีละเอียด รู้เท่าทันแล้วรู้เท่าทันอารมณ์ไป รู้เท่าทันอารมณ์ แต่หยาบละเอียดเราต้องมีสติปัญญาละเอียดเข้ามา ปล่อยมันชัดเจนของเราเข้ามาในความละเอียดอันนั้น
นี่พูดถึงการรู้เท่าทัน การรู้เท่าทันมันแค่แว็บเดียวน่ะมันไปไง เวลามันจะตกภวังค์ วุบ! หายเลย วุบ! หายไปเลย ถ้า วุบ! หายเลย
เวลาที่เราเป็นนะ เราตั้งใจไว้ว่า เราปฏิบัติสมาธิโดยไม่ต้องการสมาธิ เพราะเราไปต้องการสมาธิคือมีเป้าหมาย กิเลสมันจะเอาเป้าหมายนั้นมาหลอก แว็บ! ลงหาย “นี่สมาธิไง จะเอาสมาธิมาให้ จะเอาสมาธิมาประเคนให้ ตรงนี้จะเป็นสมาธิ” เราก็พยายามจะไปลงสู่ร่อง ลงไปสู่การตกสู่ภวังค์อันนั้น
เราภาวนาโดยไม่ต้องการสมาธิ
คำว่า “ไม่ต้องการ” นี้เป็นการตั้งเจตนาเท่านั้น แต่ถ้าเหตุมันสมควรแก่สมาธิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง สองบวกสองต้องเป็นสี่ สี่บวกสี่ต้องเป็นแปด ถ้ามันมีเหตุมีผลของมัน ผลมันต้องต่อมาเป็นสอง สี่ หก แปด สอง สี่ เป็นแปด เป็นสิบหก มันต้องตอบชัดๆ เป็นอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เราไม่ต้องการสมาธิ ไม่ต้องการสมาธิ แต่เรามีเหตุของเราๆ ถ้าเหตุมันสมควรของมัน มันต้องเป็นของมันไง
แต่ถ้ามันบอกว่า เราไม่เท่าทันๆ
ส่วนใหญ่แล้วเราไปคาดหมายไง หวังผลอย่างนั้นไง แล้วกิเลสมันก็จะเอาอย่างนี้มาหลอก ต้องเป็นอย่างนี้ๆๆ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ แล้วจะเป็นอย่างไรๆ ไปหมดน่ะ
ตอนที่เราเป็นนะ ปฏิบัติมา เราเคยแก้การตกภวังค์ของเราเองมา เราบอกว่า ปฏิบัติโดยไม่ต้องการสมาธิ โดยไม่มีเป้าหมาย แต่เหตุต้องให้ชัดเจนของเรา นี่ว่าถ้ามันรู้เท่าทัน แล้วถ้ามันจะเป็นอย่างไรให้มันเป็น
สุดท้ายเวลาพุทโธๆๆๆ เวลามันจะลงนะ ควงเลยความรู้สึก เหมือนเราควง ไอ้ที่เครื่องเล่นของสนามเด็กเล่นน่ะ จิตมันเหวี่ยงลงอย่างนั้นนน่ะ ว้าบ! ว้าบ! ว้าบ! โอ้โฮ! สุดยอด พร้อมตลอด ไม่เคยตกใจ ไม่เคยกลัว ไม่เคยใดๆ ทั้งสิ้น เชิญตามสบาย นี่เวลามันเป็นไปชัดเจนขนาดนั้นนะ แต่ถ้ามันเป็นขณิกะ เป็นอุปจาระ ก็ว่ากันไป แต่มันจะเป็นอย่างไร มันเป็น นี่พูดถึงว่าผลของการทำสมาธิ
ถ้าเราจะรู้เท่าทันๆ มัน ถ้ารู้เท่าทันมัน เพราะความรู้เท่าทันมันก็ต้องไปตั้งเป้าว่าจะรู้เท่าทันอย่างไร พอรู้เท่าทัน ไอ้ตรงจะรู้เท่าทันอย่างไรตรงนั้นแหละ ตรงนั้นแหละจิตมันจะหายตรงนั้นน่ะ
ถ้าบอกต้องทำอย่างนี้ๆ เราก็ไปตั้งอย่างนี้ๆๆ ไอ้ตรงนั้นแหละ ไอ้ตรงที่ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็จะหายตรงนั้นน่ะ
แต่เราไม่ต้องการอะไรเลย เราไม่มีเป้าหมายอะไรทั้งสิ้น เราชัดเจนกับลมหายใจของเรา รู้เท่าทันตัวเองตลอด เว้นไว้แต่หยาบ กลาง ละเอียด
เวลามันหยาบๆ มันก็หยาบๆ อย่างนี้ ถ้ามันละเอียดเข้ามาเราก็ชัดเจนของเรา ถ้ามันจะละเอียด ละเอียดก็ละเอียดชัดเจนของเรา ชัดเจนนั่นคือเป้าหมาย ชัดเจนนั่นคือผู้รู้ ชัดเจนนั่นคือจิต สิ่งที่ทำคือทำทั้งนั้น
นี่พูดถึงว่า “เราจะรู้เท่าทันเหตุการณ์ได้อย่างไร” นี่ข้อที่ ๑. นะ
“๒. จะน้อมเข้าไปสู่อาการที่เป็นอีกหรือไม่ในขณะนั้น”
น้อมจิตให้เข้าไป เข้าไปรับรู้ พอจิตมันจ้องจับ คำถามว่าเขาจ้องตลอดเวลาเลยนะ จ้องดูอาการง่วง เพราะต้องการแก้ง่วง ต้องให้รู้เท่าทัน ต้องอาการอย่างนั้น แล้วเวลาต้องอาการอย่างนั้น สิ่งที่อาการอย่างนั้นจะเข้าได้อย่างไรอีก
จะเข้าด้วยพุทโธไง จะเข้าด้วยพุทโธ จะเข้าด้วยดูลมหายใจ ถ้าจะเข้าไปแล้วมันจะเข้าไปถึงตรงนั้น หรือเข้าลึกกว่านั้น หรือเข้าตื้นกว่านั้น
คำว่า “เข้าถึงตรงนั้น” เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วพอได้ผลสิ่งใดแล้วมันจะฝังใจ พอฝังใจแล้ว เวลาจะปฏิบัติแล้วจะคร่ำครวญ จะเรียกหาอารมณ์อย่างนั้นๆ นี่กิเลสซ้อนกิเลส
กิเลส หมายถึงว่า จิตของเราเป็นปุถุชนเป็นคนหนา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้าเราเข้าใจด้วยสติด้วยปัญญา เราผ่านรูป รส กลิ่น เสียงที่เป็นพวงดอกไม้ แล้วเป็นบ่วง ผ่านทะลุเข้าไปสู่ผู้รู้สู่ใจของเรา
แต่ถ้าเราว่าอาการอย่างไร จะเป็นอย่างไร มันจะเป็นสิ่งที่ให้เราไปติดไปข้อง ฉะนั้น สิ่งที่ว่าอาการอย่างนั้น อาการอย่างนั้นที่เรารับรู้แล้วมันจะเป็นสัญญาๆ
จิตเราควรดีกว่านั้น หรือเลวกว่านั้น หรือเสมอนั้น มันอยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่การกระทำ
แต่เรามีสัญญาไปผูกมัดไว้ตรงนั้น ไอ้ตรงนั้นน่ะมันเป็นที่กิเลส เป็นภูเขากิเลสกองใหญ่ๆ เลยที่กีดขวางการภาวนาของเรา
สิ่งที่ว่า จะน้อมจิตไปสู่อย่างนั้นได้อย่างไร
ใช่ เราก็ฝังใจอารมณ์อย่างนั้น อารมณ์ที่จิตที่ว่ามันลงสู่สมาธิอย่างนั้น แล้วลมหายใจละเอียดอย่างนั้น เราก็รับรู้ได้อย่างนั้น ถ้ารับรู้ได้อย่างนั้นมันเป็นข้อเท็จจริง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
แต่ที่เราจะสร้างรูปแบบให้เป็นอย่างนั้นนะ โอ้โฮ! นี่เป็นบ่อเป็นเหวที่ให้กิเลสมันเอามาหลอกให้หัวใจไปตกผับๆๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ
ทิ้งให้หมด สิ่งที่เป็นไปแล้วเป็นอดีต อดีตที่รับรู้ไว้ว่าเราก็ได้ภาวนามา เป็นการยืนยันว่าเราปฏิบัติแล้วจิตของเราเคยสงบได้รับรู้สิ่งนี้ แล้วถ้าทำต่อไปมันอาจจะดีได้ยิ่งกว่านี้ หรือเสมอนี้ หรือยังไม่ได้เท่านี้ สิ่งที่ได้มาแล้วนั้นคือประสบการณ์ของจิต อาการอย่างนั้นเป็นประสบการณ์ของจิต
บอกว่า จะเข้าได้อย่างไร
มันจะเข้าได้ด้วยเหตุ ด้วยสติ ด้วยลมหายใจเข้าออก ด้วยบริกรรมพุทโธ แล้วถ้าจิตเข้าไป พอเข้าไปอย่างนั้นก็ได้ ดีกว่านั้นก็ได้ หรือเข้าไปไม่ถึงก็ได้ เข้าไปแล้ว พอเข้าไปแล้ว ถ้าฝึกหัดเข้าไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาได้เพราะอะไร
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุทั้งหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ความเพียร คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ นี่เป็นองค์ของมรรคทั้งสิ้น ความเพียรชอบ ระลึกชอบ งานชอบ มันจะเข้าไปสู่ได้ มันเข้าไปสู่ที่ความชอบธรรม ถ้าความชอบธรรม เห็นไหม
แต่อารมณ์อย่างนั้นๆ อารมณ์อย่างนั้นเป็นเป้าหมาย เป็นผล เป็นวิบาก แต่ถ้าเราไปเอาอย่างนั้น แล้วทำอย่างไรให้ได้อย่างนั้นล่ะ
ก็เหมือนกับแบงก์บาท เราจะได้แบงก์บาทมาด้วยอะไร ก็ด้วยทำงานไง ด้วยการซื้อขายไง ไม่ใช่ไปพิมพ์แบงก์ ไปพิมพ์แบงก์ก็ผิดกฎหมายน่ะสิ
นี่ก็ได้อารมณ์นะ อารมณ์นั้นได้มาอย่างไรล่ะ ก็ได้มาจากคำบริกรรมไง ได้มาจากคำบริกรรม ได้มาจากการกระทำ มันจะได้มาจากความวิริยะความอุตสาหะอันนี้ ถ้าได้มาจากความวิริยะความอุตสาหะอันนี้ เราก็กลับมาที่นี่ไง
“จะน้อมจิตเข้าไปสู่อาการอย่างนั้นอีกได้อย่างไร”
กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ลมหายใจเข้าออก กลับมาที่เราฝึกหัดของเรา ฝึกหัดตรงนี้ ถ้าจิตสงบก็เข้าไปสู่ตรงนั้นไง ถ้าจิตสงบก็เข้าไปสู่ตรงนั้น ดีกว่านั้นหรือเลวกว่านั้น ฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเราให้มันเป็นไป
ถ้ามันเป็นไปได้นะ สิ่งที่ปฏิบัติไปแล้วมันเป็นผลของการปฏิบัติ เป็นวิบาก เป็นผล เป็นผลของมันแล้วนะ แล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่โดยสัจจะเขาบอกว่าสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ ความจำได้หมายรู้มันคือการคาดหมาย
โดยธรรมชาติของเราทุกคนอยากเป็นคนดี ทุกคนอยากทำคุณงามความดี แล้วความดีคืออะไรล่ะ ความดีของเรา เราทำได้มากน้อยแค่ไหน เราเป็นคนทุกข์คนจน เราแค่ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดก็เป็นคนดีแล้ว ที่ไหนที่มันสกปรก เราไปทำความสะอาด เพราะเราไม่มีทุนไม่มีรอนจะไปทำอะไรมาก แค่นี้ก็เป็นความดี ความดีของคนทุกข์คนจน ความดีของคนที่มีอำนาจวาสนา เขาช่วยเหลือสังคมต่างๆ ก็เป็นความดีของเขา นี่ความดีของใครล่ะ นี่ด้วยอำนาจวาสนาของคนมันไม่เท่ากันไง
นี่ก็เหมือนกัน ย้อนกลับมาที่เรา เราจะ “อู๋ย! จะไปวิปัสสนา” มันยังไม่ถึงเวลา ไอ้คนเวลาคนที่ว่าเป็นคนทุกข์คนจนทำความสะอาดเก็บเล็กผสมน้อย ต่อไปเป็นเศรษฐีก็ได้ ต่อไปสถานะเขาดีกว่าไอ้คนที่ว่าเคยร่ำเคยรวยอีก
นี่ก็เหมือนกัน จะเก็บเล็กผสมน้อย มันสำคัญที่จิตของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันสำคัญที่จิตดวงนี้ มันสำคัญที่จิตที่ทำแล้วมันเจริญงอกงามมากน้อยแค่ไหน แล้วถ้ามันงอกงาม มันเป็นอัตตสมบัติ เป็นอัตตสมบัตินะ
เพราะเป็นคนทุกข์คนจนคนเข็ญใจมันจะทำความดีความงามมากน้อยขนาดไหนมันก็สะสมลงที่ใจ แล้วก็ไม่มีใครมาปล้นใครมาชิง ไม่มีใครมาแย่งความดีความชอบไป เพราะมันเป็นปัจจัตตังกับใจดวงนั้น
เป็นความดีความชอบ ความดีความชอบอะไร มึงไม่รู้หรอกว่าไปกวาดที่ไหนไปเก็บที่ไหน ไปปลูกต้นไม้ที่ไหน มึงรู้ได้อย่างไร
กูทำเอง กูรู้เองไง มันสะสมไว้ในใจ นี่ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คุณงามความดี การปฏิบัติภาวนาขึ้นมามันเป็นอัตตสมบัติของใจดวงนั้น ใครจะมาปล้นมาชิงไม่มี มันไม่รู้หรอกว่าเราภาวนาอย่างไร เราพุทโธอย่างไร มันสงบอย่างไรมันไม่รู้หรอก มันไม่รู้กับเราหรอก แต่เราทำมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา นี่ไง มันเจริญงอกงามกว่าคนอื่นก็ได้
นี่พูดถึงว่า ถ้าจะน้อมจิตเข้าไปสู่อาการอย่างนั้นอย่างไร ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไประลึกถึงมัน วาง
สิ่งที่เราเคยเป็นมันเอามายืนยันได้ว่า เออ! เคยมีความสุขอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมมันสุขอย่างนี้ แต่เวลาเราจะปฏิบัติเรากลับมาที่พุทโธ ลมหายใจ แล้วถ้าจิตได้เข้าไปนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะต้องทำให้เป็นอาการอย่างนั้น อาการอย่างนั้นน่ะมันจะมาหลอก อะไรก็จะไปตกตรงนั้นน่ะ
ทิ้งมันไปเลย ทิ้งมันไปแล้วมันก็เป็นสมบัติของเรา ใครมาปล้นมาชิงไม่ได้ แต่นี้สมบัติของเราเอามาหลอกตัวเอง เอาสิ่งที่เคยเป็นแล้วมาทำลายตัวเอง คนที่ปฏิบัติที่มันไม่ก้าวหน้านี่เอาตรงนี้มาถ่วงตัวเอง
คำว่า “ทิ้งไป” ทิ้งโดยไม่ให้กิเลสเอามาหลอกมาล่อ แต่ทิ้งอย่างไรมันก็อยู่ในใจนั่นน่ะ แต่เวลาปฏิบัติต้องทิ้ง เวลาปฏิบัติด้วยสติด้วยปัญญา นี่ความเพียรชอบไง ขณะทำความเพียรก็อยู่กับความเพียรอันนั้น ไม่ไประลึกถึงอดีตอนาคตต่างๆ แล้วทำความเพียรของเราไป
“จะน้อมจิตเข้าไปสู่อาการที่เป็นอีกนั่นได้อย่างไร”
เวลามันเป็น มันจะเป็น เป็นจากพุทโธ เป็นจากอานาปานสติ เป็นจากสติปัญญา เป็นจากความเพียรของเรา
“จะเข้าไปได้อย่างไร”
จะเข้าไปด้วยความเพียรชอบ
“๓. การพิจารณาอาการการรำพึงถูกต้องหรือไม่ครับ”
ถูกต้อง เพราะคำว่า “ถูกต้อง” นี่เวลารำพึงไง เวลารำพึงกลิ่นมันเหม็น กลิ่นมันมากับเรา เวลารำพึงไปมันเป็นปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนาของเรา มันเป็นปัจจุบัน ฝังใจมาก ถูกต้อง
ทีนี้พอถูกต้อง เพียงแต่ว่าโทรศัพท์มันดังก่อนไง มันเลยไม่ต่อเนื่อง โทรศัพท์มันดังก่อนมันเลยออกมาไง
เวลามันเกิดขึ้นมันเป็นปัจจุบันนะ แล้วไม่ต้องไปคาดไปหมาย เวลาถ้ามันภาวนาไปถ้าไปเจออีก ปัญญาที่เป็นปัจจุบันนั้นน่ะมันเหมือนกับว่าสดๆ ร้อนๆ ไง สดๆ ร้อนๆ
จะเติมเครื่องปรุงอะไรให้มันรสชาติดีขึ้นก็ปรุงตอนนั้น แต่ตอนนี้มันไม่มี ตอนนี้เรามาคิดกันเอง จะใส่อะไรดี จะปรุงอย่างไรให้มันอร่อย ไม่มีอะไรให้กินเลยไง
ถึงตอนนั้นเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก การพิจารณาอย่างนั้น เราจะบอกว่าเป็นปัจจุบัน แล้วคำว่า “เป็นปัจจุบัน” มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นนะ
โอ๋ย! เตรียมไว้เลย เครื่องปรุงเตรียมไว้เต็มเลย ไม่มีอะไรให้ปรุง มันเน่าอยู่นั่นน่ะ
ไม่ต้องเตรียม ตั้งสติของเราแล้วหัดภาวนาของเรา พยายามหัดภาวนาของเราอย่างนั้นนะ แล้วถ้ามันขึ้นมามันจะเป็นปัจจุบันตอนนั้น
ไอ้ที่เวลามันพิจารณาเรื่องกลิ่น เรื่องร่างกาย มันก็เป็นตอนนั้น เราไม่ได้คิดมาก่อน แล้วเราก็มาคิดทีหลังว่าจะไปคิดอย่างนั้น
มันคิดตอนนั้น ปัจจุบันตอนนั้น สมบูรณ์อย่างนั้น มันถึงเกิดผลที่มันสะเทือนใจอย่างนี้ ถ้าตอนนั้นมันคิดไปเรื่องอื่น มันคิดไปเรื่องเป็นการขยะแขยง มันคิดเป็นการที่ว่าเราโดนทำร้ายต่างๆ คิดเป็นความผูกโกรธ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อย่างนี้ไง
ความคิดอันนั้นที่มันเกิดขึ้นมันสมดุลพอดี มันถึงทำให้เราสังเวช นี่ถ้ามันมัชฌิมามันถึงผลอย่างนี้ ถ้ามันเป็นอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค คิดผิดคิดถูกมันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น ตอนที่ว่าจะพิจารณาอย่างไร
พิจารณาเป็นปัจจุบัน ถ้าพิจารณาเป็นปัจจุบันมันถึงจะผลออกมาเป็นปัจจุบัน ถ้าเป็นอัตตกิลมถานุโยคคือคิดเบียดเบียน คิดทำลาย มันก็ผลออกไปอีกอย่างหนึ่ง ออกมานี่นั่งคอตกเลย ภาวนาแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย จะออกมาอย่างนั้น ถ้าเราคิดเป็นอัตตกิลมถานุโยค
ถ้าเราคิดเป็นกามสุขัลลิกานุโยค โอ๋ย! ภาวนานี้เลิศเลอ ภาวนานี้ดีงาม ออกมามันก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเป็นมัชฌิมาปฏิปทาสมดุลพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ศีล สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์ รอบคอบ พอดี มันจะออกมาเป็นธรรมสังเวช ออกมาสะเทือนจิตใจ ออกมาสะเทือนกิเลส นั้นคือความสมบูรณ์พอดีตรงนั้น
เพราะความสมดุลพอดีมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ละเอียดสุด มันจะต้องสมบูรณ์พอดีตลอดไปต่อเนื่องๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ในการประพฤติปฏิบัติ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสติ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยการกระทำของเราขึ้นไป
จิตใจพอมันภาวนาต่อเนื่องไปๆ พอมันเกิดอย่างนี้บ่อยๆ เข้ามันจะเข้าใจ พอมันเกิดบ่อยๆ เข้า “หลวงพ่อไม่ต้องบอกหรอก ผมทำเป็น”
แต่ตอนนี้มันเพิ่งเกิดครั้งแรกแล้วมันก็ตื่นเต้นนะ เพราะบอกว่า “ผมฟังเทศน์หลวงพ่อ แล้วภาวนามา ๕ ปี”
การภาวนามา ๕ ปี เหมือนนักกีฬาฝึกหัดทักษะของตนให้มันฝึกหัดของมันมา แล้วเวลาฝึกหัดมายังน้อยเนื้อต่ำใจว่านั่งง่วงเหงาหาวนอน สิ่งที่เป็นอาการหลับเป็นการทรมานที่สุด สิ่งที่ว่านั่งสัปหงกโงกง่วงทรมานเรามาตลอดที่สุด นี่ภาวนามา ๕ ปี แต่การภาวนามาต่อเนื่องๆ การภาวนาตลอดจิตใจจะเข้มแข็ง จิตใจเข้มแข็งขึ้น สุขภาพกาย สุขภาพจิต
จิตใจของคนที่อ่อนแอ จิตใจของคนที่ล้มลุกคลุกคลานมันก็ท้อแท้ พอจิตใจของคนพอมันมีกำลังขึ้นมา มัชฌิมาปฏิปทาสมบูรณ์พอดี สมดุลพอดี พอสมดุลพอดีขึ้นมา มัชฌิมาปฏิปทา จิตใจเข้มแข็ง จิตใจแข็งแรง แข็งแรงขึ้นมานี่ทำงานเป็น ทำงานเป็นขึ้นมา แล้วผลของมันเป็นการตอบสนองว่านี่ทำถูก เหมือนขับรถอยู่ในเลน มันจะไปตามถนนหนทางนั้น เป็นประโยชน์กับอันนั้น นี่สมบูรณ์พอดี
การประพฤติปฏิบัติมา ปฏิบัติมาต่อเนื่องๆ ต่อเนื่องมา สิ่งที่ต่อเนื่องมา ผลการที่ปฏิบัติต่อเนื่องมา เวลาที่มันให้ผลไง เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านภาวนาขึ้นมาเป็นอย่างนั้นๆๆ แล้วเป็นอย่างนั้นมันเป็นมาจากไหนล่ะ
ก็เป็นมาจากที่หลวงปู่มั่นท่านชี้แนวทางมาตลอด แล้วหลวงตาก็ต้องฝึกหัด ต้องมีประสบการณ์ ต้องพัฒนา พัฒนามาเรื่อย พัฒนามาเรื่อย ไอ้ตอนที่พัฒนามาเป็นเวลาระยะยาว ไอ้นั่นไม่ใช่วิธีการหรือ นั่นน่ะผลมันทั้งนั้นน่ะ
แต่เวลามันมาประสบ การชนะเวทนา ขึ้นไปหาท่านเลย “พิจารณาไป เวทนามันขาดไปทั้งนั้นน่ะ”
“เออ! เออ!”
แต่กว่าจะ “เออ!” เราต้องสมบุกสมบันมาขนาดไหน
นี่พูดถึงปฏิบัติมา ๕ ปี ฟังหลวงพ่อมาตลอด ๕ ปี ภาวนามาเรื่อย ไม่ได้เขียนมาเลย พอมันเกิดสังเวชขึ้นมา มันสะเทือนใจ นี่เขียนมาเลย ถ้าเขียนมา ถูกหรือไม่ การพิจารณาอาการ การรำพึงถูกหรือไม่
เราบอกว่า ถูก แต่ห่วงว่าพอถูกแล้วจะคิดแต่ตรงนี้ พอถูกแล้วจะยึดจะกอดไว้เหมือนว่าเป็นสมบัติของเรานะ
มันเป็นอดีตไปแล้วแหละ สิ่งที่ถูก ถูกคือเกิดธรรมสังเวช เกิดความสะเทือนใจ เกิดรสของธรรม อันนี้ถูก แต่ที่การภาวนามาแล้ว อดีตไปแล้ว แล้วเวลาทำแล้วให้เป็นปัจจุบันอย่างนี้ พิจารณาของเราไป
สิ่งที่ผ่านมาแล้วเป็นการยืนยันว่าเราได้ผลการปฏิบัติมาแล้ว แต่เวลาจะปฏิบัติแล้ว กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อานาปานสติ มรณานุสติ
หลวงตานะ เวลาท่านพิจารณาไป เวลาออกจากสมาธิไป ไปเจออสุภะ แล้วพิจารณาต่อเนื่องไปตลอด มันไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นนะ “สมบัติบ้า สมบัติบ้า”
ท่านต้องกลับมานะ นั่นน่ะอนาคามิมรรค ยังต้องมาหัดกำหนดพุทโธๆ เหมือนผู้หัดใหม่เลย ท่านพูด
นี่ไง เวลาผ่านไปแล้วขนาดไหนนะ กรรมฐาน ๔๐ ห้องต้องใช้ตลอดไป จะสูงส่งขนาดไหน เวลามันไม่ได้พักผ่อน จิตใจไม่มีกำลัง ก็ต้องกลับมาพุทโธ กลับมาพุทโธเพื่อกำลัง เพื่อความสดชื่น เพื่อการกระทำงานนั้น มันไม่ต่ำต้อยหรอก มันของมีคุณค่าทั้งนั้น จะใช้ตอนไหนเท่านั้น จะใช้ตอนไหนเพื่อในการประพฤติปฏิบัติ แล้วพอปฏิบัติไปๆ มันจะเข้าใจต่อเนื่องไปๆ
นี่มันเป็นการยืนยันไงว่า “ผมฟังหลวงพ่อมา ๕ ปี ผมปฏิบัติมาตลอดเลย”
แล้วเวลามันเกิดผลขึ้นมา เกิดผลอันนี้มันเกิดปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในใจดวงนั้น ในใจของผู้ถาม สัจธรรมอันนี้มันฝังใจอันนั้น
เพียงแต่ว่า ถูกหรือไม่ แล้วให้ทำอย่างไรต่อไป
พุทโธ กลับไปที่พุทธานุสติ เพราะเหตุที่ได้มันได้มาจากนั้น ได้มาจากลมหายใจ ได้มาจากพุทโธ แล้วเราก็ต้องกลับไปเติมเหตุ เหมือนคนจะทำอาหารต้องติดเตา ต้องมีไฟ ถ้าไม่มีไฟ ไม่ได้ติดเตาขึ้นมา มันทำอาหารไม่ได้หรอก อาหารไม่สุกหรอก อาหารมันจะสุกได้ต้องมีเตา มีกระทะ มีที่ทำ
นี่ก็เหมือนกัน กระทะก็ร่างกายเรานี่แหละ อาหารก็คือปัญญาของเรา คือจิตใจของเรา ความขยันหมั่นเพียรของเรา เราทำของเราไป ทำของเราไปเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรานะ
การพิจารณาอาการแบบนี้ การรำพึงอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่
ถูกต้องตอนที่ได้ผลอันนี้มา แต่ตอนนี้ต้องเป็นปัจจุบันที่มีการกระทำของเราเพื่อจิตใจของเรา จิตใจจะแข็งแรง สุขภาพจิตจะดีขึ้นจากการภาวนา เอวัง