เทศน์พระ

เทศน์พระ ๖

๗ ต.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์พระ วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเข้าใจกันว่าคนมีชีวิตอย่างเดียวนะ คนมันมีชีวิต ดูสิ ดูเข้าพรรษาเห็นไหม ออกพรรษาวันนี้แล้ว ออกพรรษาแล้ว ๑ พรรษาผ่านไป ถ้าเป็นพวกสหายอยู่ในป่าเขาเรียก ๑ ฝน “เข้าป่ามากี่ฝน เข้าป่ามากี่ฝน” เขาเสียเวลาเปล่าไป เขาบอกเข้าไป พวกสหายเขาเข้าป่า เขาอยู่ในป่าของเขาใช้ชีวิตอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะลัทธิของเขาเป็นอย่างนั้น

แต่ของเราเป็นศาสนา ในศาสนาเห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อสิ่งนี้เราเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันแก้ไขกิเลสได้ไง สิ่งที่แก้ไขกิเลสได้ คำว่า “กิเลส” มันเสียเวลาเปล่า สหายเข้าไปอยู่ในป่า กี่ฝนๆ ของเขานี่เสียเวลาเปล่า

ของเรา ๓ เดือน เราเสียเวลาเปล่าไหม วันเวลามันผ่านไป สิ่งนี้ผ่านไป เราจะไม่สามารถเรียกร้องสิ่งนี้กลับมาได้อีกเลย วันเวลาที่มันผ่านไปแล้วมันล่วงไปแล้ว อดีตอนาคต ถ้าผู้ที่ภาวนาไม่เป็น อดีตอนาคตมันก็หลับตาคลำกันไป มันไม่เป็นปัจจุบัน

ถ้าเป็นปัจจุบัน การเห็นกาย เห็นกายในปัจจุบันนั้นมันไม่มีที่ติ คำว่าไม่มีที่ตินะ แม้แต่ว่าในปัจจุบันนี้ถ้าจิตสงบปั๊บ พอเราคิดปั๊บมันเคลื่อนไปแล้ว สิ่งที่มันเคลื่อนไปเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของเขา สิ่งนี้เรียกร้องกลับมาไม่ได้

๓ เดือนนี่ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วใน ๓ เดือนนี้ ก่อนเข้าพรรษาเราตั้งสัจจะอะไรกันไว้ ถ้าเราตั้งสัจจะไว้ เราทำตามสัจจะนั้นได้ไหม ถ้าเราทำตามสัจจะนั้นได้ ผู้ที่มีสัจจะ ผู้ที่มีจุดยืน การทำกล่าวสิ่งใดไว้ต้องทำตามสภาวะสิ่งนั้น แต่ถ้าเรากล่าวสิ่งใดไว้นะ

ในปัจจุบันนี้ ทุกคนว่ามีการศึกษา แล้วโลกนี้จะเจริญนะ ถ้าเราใช้แรงกาย เราทำสิ่งใดต่างๆ สิ่งนี้เป็นเรื่องของคนตกสมัย คนล่วงสมัย บัดนี้เป็นเรื่องของคนทันสมัย คนมีปัญญา จะอะไรต้องมีความสะดวกสบาย

การสะดวกสบายนะ มันเป็นการสะดวกสบายของกิเลส ถ้าสะดวกสบายของกิเลส มันมีความอิ่มเต็มในหัวใจนั้น อิ่มเต็มเลยนะ เพราะอะไร เพราะเดินไปจำนนกับมันหมด ความสะดวกสบาย ความเป็นไป สิ่งนี้โลกเจริญขึ้นมาก็มีความสะดวกสบายทั้งนั้น แต่กิเลสมันไม่สะดวกสบายเลย

ทุกคนไม่ถึงที่สุดนะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาจิตนี้จะออกจากร่างกายไปจะมีความลังเลสงสัยนะ เวลาหลวงตาท่านพูดไว้ เวลาท่านจะตาย ที่ท่านไม่สบายเห็นไหม ไม่อยากตายเพราะอะไร? รู้ว่าจะค้าง รู้ในหัวใจเลย ตายไปมันยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ยังไม่อยากตาย ต้องการต่อชีวิตนี้ไว้เพื่อจะภาวนา ถ้าภาวนาถึงที่สุดแล้วนะ ไปสิ้นกิเลสที่ดอยธรรมเจดีย์ จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ จะเป็นอย่างไรก็ได้ ไม่เคยคิดเลย ไม่เคยวิตกกังวลเลย พร้อมเสมอที่จะไปได้ตลอดเวลา แต่ถ้าเวลาที่ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ จิตมันยังค้างอยู่ ไม่อยากตาย

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราเชื่อว่าเราใช้ปัญญา ปัญญาของเรา เรามีปัญญา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงเวลาจิตออกจากร่างมันจะรู้เองว่าจริงหรือไม่จริง

ถ้าไม่จริงนะ มันมีความลังเลสงสัย จิตตายแล้วจะไปไหน? จะเป็นสภาวะแบบใด? จะคัดค้านกันขนาดไหนนะ โลกเขาคัดค้าน ตายแล้วไม่มีอะไรหรอก ชีวิตนี้เกิดมาแล้วเสวยความสุขไป ตายแล้วก็หมดสิ้นกันไป

จริงหรือเปล่า? เพราะตายแล้วหมดสิ้นกันไป ไอ้ตัวที่คิดอยู่นั้นมันเป็นใคร? ไอ้ตัวที่ว่าตายแล้วจะหมดสิ้นกันไป แล้วความเป็นไปน่ะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลามันพลัดพรากตอนนั้นมันเป็นความจริง สิ่งที่เป็นความจริงตอนนี้มันเป็นอดีตอนาคตไง ก็คิดคาดการณ์กันไป ไม่กลัวตาย ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่กลัวอะไรเลยนะ

แต่ถึงตรงนั้นแล้วกลัวไง เหมือนกับไฟบนหัว มันร้อน มันเผา มันร้อน คีมมันหนีบเราอยู่ บีบเราอยู่ มันมีความบีบคั้นอยู่ ภวาสวะ ภพ มันบีบอยู่ กิเลสมันบีบอยู่ มันไม่มีเป็นไปได้อย่างไร มันมีทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริงเพราะอะไร เพราะมันอดีตอนาคต

กาลเวลาเห็นไหม ถ้าเราไม่อยู่กับปัจจุบัน เราไม่อยู่กับความเป็นไปปัจจุบันของเรา เราไม่เข้าใจในชีวิตของเรา โลกนี้เป็นอจินไตย โลกนะ สภาวะโลกเลย โลกมีอะไร กามโลก รูปโลก อรูปโลก โลกนี้เป็นวัฏฏะ สิ่งนี้มันเป็นสมมุติ มันเป็นอนิจจัง ชีวิตนี้กาลเวลาเวียนไปอย่างนั้น

แล้ววัฏฏะเห็นไหม เราก็เกิดมาเป็นคน เราก็เกิดมีศรัทธามีความเชื่อ เราบวชในศาสนา แล้วบวชในศาสนา บวชแล้วก่อนเข้าพรรษาก็ตั้งใจกัน ตั้งใจว่า “พรรษานี้ต้องเอาให้ได้ผล การประพฤติปฏิบัติก็ต้องได้หลักได้เกณฑ์” ได้หลักได้เกณฑ์มันเป็นความคิดวูบหนึ่ง แล้วเวลาจุดยืนของเรา เราทำได้ไหม? มีความเป็นไปได้ไหม? เห็นไหม ธรรมนี้เกิดอย่างนี้ไง

ธรรมเกิดจากการกระทำของเรา “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” สภาวธรรม “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมต้องเป็นอนัตตา ความเป็นไปต้องเป็นอนัตตานะ เอาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไม่ได้นะ เอาเป็นอัตตานะ จะเป็นกิเลสนะ จะทำจริงทำจังไม่ได้ เป็นอัตตกิลมถานุโยคนะ”

กิเลสมันอ้างธรรมนะ หมาบ้ามันกัดไปหมดเลย มันกัดแม้แต่ธรรมะ มันกัดไปหมด เห็นไหม “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมนั้นเป็นอนัตตา”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ถูกหมด โลกนี้เป็นอนิจจัง รู้หรือไม่รู้ เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ในพรรษานี้ ออกพรรษาแล้วเราจะจากกันแล้ว เพราะอะไร เพราะโลกนี้เป็นโลกอนิจจัง ชีวิตนี้ต้องตายเลย ไม่มีอะไรคงที่ของมันหรอก มันเวียนไป สิ่งนี้มันเป็นอนิจจัง มันเวียนไป

แล้วสพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ก็เหมือนกัน สภาวธรรมมันเป็นสภาวะแบบนี้ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตานะ ธรรมนี้มันเป็นอนัตตา อนัตตาที่มันมีจริงนะ แต่นี่มันเป็นอนัตตาที่มันไม่มีจริงด้วย อนัตตาคือตัวหนังสือไง แต่ความรู้สึกของเรามันเป็นอนัตตาไหม? ความเป็นไปของเรามันเป็นอนัตตาไหม?

อนัตตาคือสภาวธรรมที่มันมี สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อนัตตาคืออนิจจัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไตรลักษณ์ สิ่งที่เป็นอนัตตาเป็นไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้นมากับเราไหม? มันเกิดขึ้นมาเราก็เห็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเห็นจริงมันสลดสังเวชนะ สลดนะ

ธรรมสังเวช ความสลดในชีวิตไง ความสลดในการที่ว่า เราเกิดมา จุดยืนของเรา เราทำอะไรของเราขึ้นมา มันจะมีความสลดสังเวช สลดสังเวช พอคนสลดมันก็เหมือนเด็ก เด็กนั้นมันทำความคิดผิดเห็นไหม คนคิดผิด คนที่มันหลงผิดไปในแสง สี เสียง มันจะว่ามันโดนบีบคั้น มันมีเหตุผลที่จะแก้ตัวตลอดไป ถ้าวันใดมันคอตกไง

ชีวิตนี้เป็นของเรา เราทำผิดของเราเอง สิ่งต่างๆ เป็นเรื่องของเขานะ สภาวะกรรมทำให้เกิดนะ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย สังคมเป็นสภาวะแบบนี้ ถ้าเราเป็นอภิชาตบุตร ในเมื่อสังคมมันเป็นสภาวะแบบนี้ โลกมันเป็นแบบนี้ เราก็ประคองชีวิตของเราไป มันเรื่องของเขา นั่นเรื่องของเรา สังคมเป็นเรื่องของสังคม ชีวิตของเราคือชีวิตของเรา

ชีวิตของเราหัวใจเป็นของเรา สภาวธรรมที่มันเกิดขึ้นเป็นของเรา ถ้ามันสะเทือนใจ มันสะเทือนว่าสังคมเป็นแบบนั้น โลกสภาวะเป็นแบบนั้น มันได้รู้สึกตัวขึ้นมา ถ้ารู้สึกตัวขึ้นมามันก็ควบคุมตัวมันเองได้ เราจะทำอย่างไร? เราจะเป็นคนดี เราจะสร้างความรู้สึกสร้างสิ่งที่ดีขึ้นมา หรือเราจะประชดชีวิตของเรา เราจะประชดชีวิต เราจะทำอย่างไรก็ได้ให้สะใจกับเรา ถ้าสะใจกับเราแล้วใครไปรับผลล่ะ เห็นไหมกิเลสมันร้ายอย่างนี้

กิเลสมันเป็นคนสร้างนะ กิเลสมันเป็นคนยุแหย่ เป็นคนให้เรากระทำนะ แล้วกิเลสเป็นอะไร กิเลสเห็นไหม ตามภาพจิตรกรรมฝาผนัง กิเลสเขาวาดเป็นยักษ์เลยนะ มันจะกัดคน มันจะทำลายคนนะ เห็นไหมสิ่งนี้เป็นกิเลส แต่เวลากิเลสมันเกิดกับเรา กิเลสมันเป็นความรู้สึก

ในหัวใจของเรา ความรู้สึกนะ ความรู้สึกฝ่ายดี สภาวะของใจ ภวาสวะภพ วัตถุที่มี นามรูปๆ เห็นไหม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันกลับมีคงที่กว่า เพราะจิตนี้เวียนตายเวียนเกิด เวลาจิตมันได้สถานะเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ต่างๆ สิ่งนี้มันเกิดจากความรู้สึก คือภวาสวะ คือภพ คือตัวใจมันมีบุญกุศล มันส่งไปเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วสิ่งนี้มันเป็นนามธรรม แล้วมันเกิดมาเป็นเรา

เกิดมาเป็นเรานะ ปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาแล้วเกิดมา พ่อแม่ตั้งชื่ออะไรก็เป็นชื่อนั้นแหละ ชื่อก็เป็นสมมุติ ไม่พอใจที่พ่อแม่ตั้งให้ก็ไปเปลี่ยนที่ทะเบียนราษฎร์ อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้หมด จะให้ชื่อสดสวยขนาดไหนเราก็ไปเปลี่ยนเอา เราจะตั้งอย่างไรก็ได้เห็นไหม ชื่อนี้ก็เป็นสมมุติ สมมุติว่าให้สื่อกันในโลกนี้

แต่จิตมันเกิดในครรภ์ของมารดา แล้วเกิดเป็นเรา พอเกิดเป็นเรามา มนุษย์เรามีร่างกายกับจิตใจ จิตใจเห็นไหม ศาสนาสอนเรื่องความรู้สึก เรื่องใจ เรื่องประเพณีวัฒนธรรม สอนมาเรื่องเปลือกไง ดูสิ เขาจัดสวนกัน เขาต้องประดับต้นไม้ให้สวยงาม ต้องจัดให้เข้าระเบียบ

ในการเป็นพระเราก็เหมือนกัน วินัย ธรรมวินัย จัดเป็นระเบียบ จัดสวนจัดอะไรให้มันดูสวยงาม พระก็ต้องมีธรรม ถึงเวลามีข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งนี้ให้สวยงามขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นระเบียบ เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นเรื่องของวัตถุ แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอน เวลาว่า “เป็นธรรมๆ” นะ วัตถุเป็นธรรมหรือ? วัดวาเราเป็นธรรมหรือ?

สิ่งก่อสร้างนะ เดี๋ยวนี้โลกเขาสร้างดีกว่าวัดเยอะแยะไป จิตรกรรมต่างๆ เขาสร้างแต่ละชิ้นตีค่าไม่ได้เลย เขาสร้างขึ้นมาได้ทั้งนั้น วัตถุใครก็สร้างได้ แต่วัดนะ วัดเกิดจากน้ำใจ เกิดจากสิ่งต่างๆ เป็นจิตรกรรม เป็นสิ่งต่างๆ เป็นวัดให้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีศีล อารามเป็นที่อยู่ของผู้มีศีล ที่อยู่ของผู้ที่หัวใจเป็นธรรมด้วย

สิ่งนี้เกิดขึ้นมา แล้ววัดเป็นศาสนวัตถุ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ศาสนธรรมเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอยู่ในตู้พระไตรปิฎก ตู้พระไตรปิฎกนะ จดจารึกเอาไว้เป็นชื่อของธรรมทั้งนั้นเลย เหมือนกับศาลเลยนะ เวลาเขามีเรื่องมีราวกันเอาคำพิพากษาของศาลฎีกามาตัดสินกัน เคยฎีกาไว้อย่างนี้แล้ว สิ้นสุดกระบวนการตรงนั้นนะ

แต่สิ่งที่ว่าศาลต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา กว่าเขาจะต่อสู้กันมา ด้วยหลักฐาน ด้วยพยานต่างๆ ด้วยเทคนิคทางกฎหมาย นั่นเป็นการต่อสู้กันจนกว่าศาลฎีกาจะตัดสินนะ นี่ก็เหมือนกัน ธรรมเป็นสิ่งที่ตัดสินแล้วเป็นคำตัดสินของศาลฎีกา เก็บไว้เห็นไหม กฎหมายแดง ดำ เลขที่ต่างๆ เก็บไว้เป็นสภาวะเอามาอ้างอิงกัน

ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่านั้นนะ เพราะคำว่าศาลต่างๆ มันเป็นเรื่องของโลกที่เขาตัดสินกันด้วยวิชาชีพของเขา แต่ธรรมวินัยเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาในหัวใจ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าสิ่งนี้มา มันประสบขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วเอามาเผยแผ่ พยายามจะวางธรรมไว้ให้พวกเราเป็นสาวก สาวกะ ผู้มีอำนาจวาสนา เชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วประพฤติปฏิบัติ

สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกจากภายใน ธรรมเกิดอย่างนี้ไง คนดีคนเลวอยู่ที่หัวใจ หัวใจถ้ามันได้สั่งสมมานะ ทำไมเรามาบวชกัน ทำไมเราขอนิสัยครูบาอาจารย์ล่ะ เราเชื่อมั่นเห็นไหม เช่นหลวงปู่มั่นนะ เวลาสมัยหลวงปู่มั่นนะ พระไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ไปฟังธรรมแล้วไม่ลง หนีก็มี ต่างๆ ก็มี

แต่เวลาเราเชื่อกัน พอเราเชื่อกัน สิ่งที่หลวงปู่มั่นเป็นนามธรรมไปแล้วไง เพราะหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว ได้แต่คำสั่งสอนที่ครูบาอาจารย์สืบๆ ต่อกันมา เราก็อยากพบอยากเจอ อยากจะได้อย่างนั้นมาชำระจิตใจของเรา แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ เราดัดแปลงเราได้ไหม? เราควบคุมตัวเราได้ไหม? ถ้าเราควบคุมไม่ได้ นี่นามธรรมไง

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไปโรงพยาบาลเขามียา เขามีเครื่องบล็อกนะ แต่อย่างไรเขาแก้ไขได้เรื่องของร่างกาย แต่ถ้าคนไข้อ่อนแอ ช็อกตายเลยนะ นี่ก็เหมือนกัน ในเรื่องของกิเลสครูบาอาจารย์แค่ชี้นำ ถ้าเราไปขอนิสัย แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติตาม ขอนิสัยเพื่อให้ดัดแปลงจิตใจ ให้จิตใจมันเข้าร่องเข้ารอย ให้จิตใจมันควรแก่การงาน ควรแก่การงานนะ เจตนาไง ถ้าใครมีเจตนาดี เปิดหัวใจ สิ่งนี้จะเข้ามา

เวลาฟังธรรมนะ ถ้ามันฟังธรรมแล้วมันสะเทือนหัวใจ ขนพองเลยล่ะ ในหัวใจสะเทือนหัวใจนะ วูบวาบในใจ นั่นล่ะวาสนา สิ่งนี้สภาวธรรมเห็นไหม ธรรมเข้าไปสะเทือนหัวใจ ถ้าสะเทือนหัวใจกิเลสมันเริ่มสะเทือนตัวมันเองนะ ถ้ากิเลสมันเริ่มสะเทือนตัวมันเอง ธรรมอยู่ตรงนี้ไง

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตรัสรู้ธรรมมาที่โคนต้นโพธิ์ หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วมันแก้ไข แก้ไขกิเลส ชำระกิเลสในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปรารถนาอย่างนี้นะ

เราไม่ใช่พระป่าแล้วยกยอกันเองนะ ในพระไตรปิฎก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลีกเร้น ห้ามภิกษุเข้ามาพบ จะวิเวก ถ้าใครเข้ามาต่อ.. เรียนปริยัติไง เรียนปริยัติไม่มีตำรา เขาเรียนกันด้วยปากนะ เขามาต่อกัน ห้ามพบ ใน ๓ เดือนนี้ห้ามพบ เว้นไว้แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

แล้วพระบ้าน พระป่า ในสมัยพุทธกาลต่างกันอย่างไร ไม่มีสันถัต สันถัตคือเครื่องหล่อ จะไปไหนพระบ้านต้องมีสันถัต มีอะไร พระป่าไม่มี พระป่ามีบริขาร ๘ พระป่าจะเข้าหาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ เวลาหัวใจมันติดขัดแล้วมันเข้าไปอั้นตู้ มันต้องหาคนเปิดนะ ถ้าอะไรมันติดขัด พออะไรมันเข้าไปติดขัดในหัวใจนะ แล้วเราก็พยายามใช้ปัญญาเราใคร่ครวญ เราพยายามรื้อค้นของเราเอง มันเป็นได้โดยบางคราว

แล้วถ้าเรารื้อค้นแล้ว บางทีไม่ได้ มันจะหมักหมมในใจจนทำให้หดหู่ได้นะ ทำให้หดหู่ ให้ใจหดหู่ แล้วให้การกระทำของเราออกนอกความคิดไป เพราะอะไร เพราะเป็นการย้ำคิดย้ำทำ อย่างนี้พวกจิตแพทย์เขารู้นะ พวกย้ำคิดย้ำทำแล้วใจมันออกนอกลู่นอกทางไป

ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยแก้ไขให้ คอยเปิดให้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติจะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะอะไร เพราะหัวใจนะ เวลาธรรมเกิดๆ เขาถามว่า ธรรมเกิดๆ สภาวธรรมเวลาเดินจงกรม เวลานั่งสมาธิ ธรรมผุดธรรมเกิดนี้ธรรมเกิด ไม่ใช่อริยสัจ

เวลาธรรมเกิด เวลาสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาในหัวใจ เราสงสัยสิ่งใดอยู่ แล้วเวลาเราภาวนาไปจะขึ้นเป็นบาลีก็ได้ เป็นภาษาไทยก็ได้ ขึ้นมามันจะมาแก้ไขความลังเลสงสัยของเรา นี่ธรรมเกิด ธรรมเกิดนี่หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ บอกนี่คือกิเลสเกิด กิเลสเกิดตรงไหนล่ะ? กิเลสเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? สิ่งใดเกิดขึ้นมา เราเข้าใจสิ่งนี้ใช่ไหม? มันก็มีตัวตนขึ้นมา

เรารู้อย่างนั้น มันมีสภาวะอย่างนั้น ถ้าไปยึดตรงนั้นนะ ตายเลย ตายเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นอนัตตา มันเกิด มันตั้งอยู่ปั๊บมันก็ดับไปแล้ว พอดับไปแล้ว เราก็คิดเอาของเก่านะ เอาเรื่องของอดีตมาอุ่นกิน เอาอาหารที่บูดแล้วเน่าแล้วมาอุ่นกินอยู่อย่างนั้น คือเราไม่ก้าวเดินเลย เหมือนอย่างนั้น ดูสิ น้ำท่วมแล้วมีสวะลอยมาตามน้ำ มันไปติดอะไรที่มันติดอยู่ มันก็ติดอยู่อย่างนั้น ติดอยู่มันเป็นสวะนะ นี่มันยังเป็นสภาวะ นี่จิตของเรา ความเห็นของเราๆ ไปติดเห็นไหม

ธรรมเกิดหรือไม่เกิดก็แล้วแต่ เพราะการประพฤติของเราเราปฏิบัติขึ้นมา เราไม่ต้องการสภาวะแบบนั้น ในการประพฤติปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้วนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา ในเมื่อเราต้องมีสมาธิ เราต้องมีหลักเกณฑ์ของใจ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา สิ่งที่ผุดขึ้นมานั้นมันเป็นเรื่องของสุดวิสัยนะ ถ้ามันผุดมันเป็นธรรมดาของจิตที่มันมีอำนาจวาสนา

ถ้ามันไม่ผุด แต่ขอให้มันสงบ เพราะมันสงบมันจะรู้เอง จิตสงบมันมีกำลัง สดชื่นไง ดูสิ เวลาคนเขาง่วงเหงาหาวนอน คนเขาทำงานเหนื่อยล้านะ เขานอนแล้วเขาตื่นขึ้นมาแล้วเขาจะสดชื่นมาก ความสดชื่นอันนั้น เขาได้พักผ่อนของเขา

จิตก็เหมือนกัน จิตถ้ามันทำความสงบของใจได้นะ มันจะมีความสดชื่น มันจะมีความองอาจกล้าหาญ แม้แต่สมาธินะ ถ้าสมาธิไม่มีรสชาติของสมาธิ พระเราจะไม่ติดสมาธิกันหรอก ถ้ามันติดสมาธินั่นก็ต้องแก้ไขเอาไปข้างหน้า ถ้ามันติดสมาธิ ขอให้มันติดเถอะ ว่าศาสนาเป็นยาเสพติดๆ ขอให้มันติดเถอะ มันไม่ติดอีกต่างหากนะ แล้วมันพาลพาโลว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ไปประพฤติปฏิบัติแล้วเดี๋ยวมันจะเสพติด ไปวัดแล้วจะติดวัด ไปไหนก็จะไปติด ขอให้มันติด ติดคุณงามความดีขอให้ติด เพราะเราต้องอาศัยคุณงามความดีเป็นการก้าวเดินไป ขอให้มันเป็นสมาธิเถอะ

ถ้ามันสงบขึ้นมามันจะมีหลักมีเกณฑ์ของมัน จิตสงบขนาดไหนนะ เวลาเป็นสมาธิจิตสงบลงไปต้องปล่อยให้จิตนั้นลงเต็มที่เลย อย่าไปห่วง บางทีห่วงว่าจิตสงบแล้วต้องใช้ปัญญานะ ไปกวนไง ไปกวนเห็นไหม ดูสิ เด็กมันนอนหรือเด็กมันพักผ่อนของมัน เราไปปลุกไปกวนมันนะ แล้วมันนอนยาก มันทำยาก สมาธิก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบแล้วเราไปกระตุ้นมันขึ้นมา เราไปห่วงว่าข้างหน้าไม่เป็นงาน วันหลังเข้าสมาธิยากนะ

สมาธิเป็นทุน ถ้าใครไม่มีทุนจะไปประกอบธุรกิจได้อย่างไร ถ้ามีสมาธิ สมาธิจะย้อนไปวิปัสสนา ย้อนไปวิปัสสนา อยู่ที่อำนาจวาสนา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา หรือไม่อนตฺตาพิสูจน์กันจากภาคปฏิบัติ ถ้ามันเห็นความเป็นไปนะ อ๋อ มันเป็นอนตฺตา ความเป็นอนฺตตาธรรมชาติมันเป็นอยู่แล้วนะ ดูสิ รถยนต์กลไกเครื่องยนต์ เราซื้อมาทิ้งไว้ จะใช้ไม่ใช้ก็แล้วแต่ มันต้องย่อยสลาย มันต้องเสียไปเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดาของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมนุษย์ทุกคนเกิดมา มันเป็นอนตฺตาในตัวมันเอง คือว่าเกิดขึ้นมามันเป็นสมมุติ มันต้องตาย ดูกาลเวลาสิ ตั้งแต่เข้าพรรษามา ๓ เดือน มันหมดไปแล้ว จะออกพรรษาวันนี้ วันนี้มันเป็นวันปวารณา ปวารณาเพื่ออะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมเอาไว้นะ สุดยอดเลย ปวารณาไว้ เราปวารณากับสงฆ์

ถ้าวันนี้เราปวารณากับสงฆ์ใช่ไหม เราทำผิดพลาดขึ้นไป ให้สงฆ์ตักเตือนกัน เราปวารณาไว้ เพราะอะไร เพราะคนเรามีความผิดพลาดได้ คนเราเมื่อไหร่มันมีความเผลอได้ อะไรได้ เตือนกัน เตือนกันเพื่ออะไร เพื่อให้รักกัน เพื่อให้ทะนุถนอมกัน เพื่อให้สังคมมันร่มเย็นเป็นสุข

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๔๐ กว่าปี วางธรรมและวินัยไว้เพื่อให้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สังคมบริษัท ๔ อยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

อนตฺตานะ สิ่งนี้มันเป็นอนตฺตา อนตฺตามันเป็นในตัวมันเอง น่าสลดสังเวชมาก มันเป็นในตัวมันเอง เหมือนอาหารเลย เราทำอาหารสุกแล้วมันจะบูดมันจะเน่ามันเป็นธรรมดา ชีวิตนี้ต้องตายเป็นธรรมดา สิ่งนี้มันเป็นอนตฺตา อนตฺตาคือว่ามันย่อยสลาย มันทำลายตัวมันเอง มันกินกัดกร่อนตัวมันตลอดเวลา แต่เราไม่ได้ประโยชน์อะไรกับมันเลย เกิดมาลมหายใจเสียเปล่า ชีวิตนี้เกิดมาแล้วก็ตายเสียเปล่า เกิดมาแล้วก็ตายมือเปล่า ไม่มีอะไรติดมือไปเลย

แต่ถ้าจิตมันสงบมันเห็นนะ พอจิตสงบแล้วน้อมไปวิปัสสนา แล้วแต่ความคิด ความคิดเกิดดับ..ความคิดนี้เกิดดับ.. การเกิดดับถ้าเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เกิดดับเกิดดับ นามรูปเกิดดับ หินทับหญ้าไว้เป็นสมาธิ

แต่ถ้าใช้ปัญญาวิปัสสนา การเกิดดับอะไรมันเป็นการเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับเห็นไหม ทำไมรูปนี้มันเกิดดับ? ทำไมรูปนี้มันเกิดแล้วไม่ดับล่ะ รูปที่มันพอใจ ทำไมมันไม่ยอมดับ ทำไมมันคิด ทำไมมันพอใจ มันมีอะไรยุแหย่อยู่ในเกิดดับนั้น มันมีอะไรยุแหย่อยู่ในเกิดดับนั้น เกิดดับนั้นมันมีอะไรยุแหย่ล่ะ มันมีสิ่งที่ยุแหย่อยู่ในเกิดดับนั้น

ถ้าเกิดดับเราก็แยกมัน เพราะอะไร เพราะเราวิปัสสนา วิปัสสนาเราจับได้แล้ว ถ้าเราวิปัสสนาในเรื่องของความคิด มันเป็นขันธ์ ๕ มันมีอะไรเกิดดับในนั้น มันจะเกิดดับโดยตัวมันเองหรือ? แล้วสิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งที่มันไม่มีรสชาติทำไมมันไม่คิดไปล่ะ? มันมีอะไรอยู่ในนั้น

ถ้ามีอะไรอยู่ในนั้นมันก็แยกแยะ ถ้าแยกแยะไป สิ่งที่แยกแยะทั้งๆ ที่มันเกิดดับโดยธรรมดาของมัน ชีวิตนี้กาลเวลามันกินตัวมันเองตลอดเวลา ยักษ์ตัวใหญ่ที่กินชีวิตมนุษย์ไปตลอดเวลา มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่วิปัสสนาไปเห็นเข้า เห็นเข้าเป็นธรรมของเรา ธรรมของเรานี่สันทิฏฐิโก เราเห็นของเรา แปรสภาพของเรา

วิปัสสนาไปมันคลายตัวออก..คลายตัวออก..คลายตัวออก.. ความคลายตัวออกนั้น มันจะคลายตัวออกโดยตัวมันเองไม่ได้ มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน ย่อยสลายก็ย่อยสลายไปโดยธรรมและกิเลสในหัวใจ เวลาย่อยสลายไปชีวิตนี้ดับสิ้นไป เกิดมาแล้ว ตายไปมันธรรมดา นี่มือเปล่า มือเปล่าเพราะอะไร เพราะมันเป็นไปตามบุญตามกรรม

มันเป็นไปตามบุญ ดูสิ คนปฏิเสธศาสนา ไม่สนเรื่องศาสนาเลย เขาสร้างบาปอกุศลหรือบุญกุศลของเขาเป็นไปตามอำนาจของเขา เหมือนกับคนตาบอด คนตาบอดมันไม่ได้ทำสิ่งใดเลย มันเป็นไปตามในวัฏฏะไง

แต่เวลาถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา เราเป็นพระ เราบวชมาเราเป็นนักรบ สิ่งที่เห็นเราเป็นคนเห็น สภาวธรรมเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมนี้ไม่สามารถจะเอาไปยัดเหยียดให้ในหัวใจใครได้ แต่ชี้นำได้ ชี้นำได้เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา กิเลสมันอยู่กับใจดวงนี้ไง เหมือนหม้อ เขาจับผีใส่หม้อถ่วงน้ำ ในหม้อนั้นมันมีผีอยู่

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายนี้เปรียบเหมือนหม้อ แล้วผีตัวนี้มันอยู่ข้างใน แล้วเขาถ่วงน้ำอย่างนั้นแล้วใครจะไปช่วยอะไรมันล่ะ เขาไม่ได้เปิดหม้อนั้นออกมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันอยู่ในหม้อนั้น แล้วหัวใจอยู่ในร่างกายนี้ แล้วถ้าหัวใจอยู่ในร่างกายนี้แล้วมันสงบตัวขึ้นมา มันสงบตัวขึ้นมามันอยู่ในหม้อใช่ไหม นี่ผีอยู่ในหม้อ ใจอยู่ในร่างกาย แล้วใจอยู่ในร่างกายใจมันสงบเข้ามา

แล้วใจมันอยู่ในหม้อมันทำงานในหม้อนั้น มันแง้มออกมา มันทำร้ายผีตัวนั้น ให้จากผีเป็นเทพ เป็นสิ่งที่มีคุณธรรม เป็นสิ่งที่มีคุณงามความดีขึ้นมา พอมันเห็นอย่างนั้น มันเห็นสภาวะอย่างนั้น มันเห็นเรื่องของกิเลส มันก็เริ่มปล่อยวางๆ

ผีเพราะมันทำผิดของมัน มันทำโทษให้เขา เขาถึงจับมันใส่หม้อถ่วงน้ำ ไอ้ผีตัวนี้ ไอ้ผีเรามันก็ทำให้เราเสียเวลา ทำให้เราเกิดตายๆ ไอ้ผีตัวนี้แล้วถ้ามันทำความสะอาดขึ้นมา จากผีคือสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา เป็นสิ่งที่ทำลายสังคม

แต่ถ้าเราเป็นเทพขึ้นมาล่ะ ทำไมเขาไปวอนขอคุณงามความดีขอการกระทำล่ะ แล้วตัวใจตัวที่มันทำความผิด มันเป็นผีไปทำลายเขามันก็เป็นผี แต่เวลามันทำดีขึ้นมา แล้วใจมันอยู่ไหน ใจทำไมจากผีมันกลายเป็นเทพขึ้นมาได้อย่างไร

เพราะกิเลสมันหลุดออกไปไง ถ้ากิเลสมันหลุดออกไป มันวิปัสสนาไปกิเลสมันจะหลุดออกไปเรื่อยๆ ถ้ากิเลสมันหลุดออกไปอย่างนี้ การกระทำของเราเป็นประโยชน์ขึ้นมา ชีวิตเราจุดยืนของเราในศาสนาของเรา ถ้าเราทำของเราได้นะ เราทำของเรา เราต้องควบคุมเรา

การใช้ชีวิตของเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะ การเคลื่อนไหว หลวงปู่มั่นพูดไว้ในมุตโตทัย ดื่ม กิน เหยียด คู้ เราจะมีสติของเรา ถ้าเรามีสติของเรามันฝึกฝนตลอดเวลา ถ้าเราฝึกฝนตลอดเวลา กิเลสนะ ไฟ ดูสิ เราจุดไฟขึ้นมา ไฟมันจะเผาไหม้จนกว่าเชื้อจะหมดใช่ไหม ถ้าเชื้อหมดไปไฟมันก็มอด

แล้วกิเลสมันอยู่ในหัวใจ มันเผาเราตลอดเวลา มันเผาตลอดเวลาเลย แล้วเราเคลื่อนไหวเราไม่สังเกตเลยหรือ เราจะไม่สังเกตความเป็นไปของเราหรือ ทำไมอันนี้มันชอบใจ? ทำไมอันนี้มันไม่ชอบใจ? อันนี้มันเป็นส่วนหนึ่งนะ แต่ถ้าเวลาเราเคลื่อนไหวอยู่ เวลาเรากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ ตัวนี้เป็นสัจจะความจริงทั้งหมดเลย

แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ มันเกี่ยวกับธาตุขันธ์ด้วย ธาตุขันธ์นะ บางทีคนมันแพ้ ความแพ้ของร่างกายคนไม่เหมือนกัน ความแพ้อันนั้น ถ้ามันเข้าไปแล้วมันทำให้เกิดเบียดเบียน ทำให้ทับธาตุขันธ์กัน อันนี้เราก็ปฏิเสธ

การปฏิเสธนี้ไม่ใช่กิเลส มันเป็นเพราะว่าสิ่งนั้นเติมเข้าไปในร่างกายแล้วมันจะทำให้โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่กิเลส แต่ถ้าในการประพฤติปฏิบัติอยู่ ใช่ มันไม่ใช่กิเลสก็แล้วแต่ แต่มันยังมีกิเลสมันก็เสริม เพราะมันทำลายธาตุขันธ์ มันเบียดเบียนธาตุขันธ์ด้วย แล้วกิเลสมันยิ่งยุแหย่

ไฟ! ไฟในหัวใจของเรา ไฟมันเป็นไฟร้อน ถ้าไฟร้อนการดื่ม กิน เหยียด คู้ มันถึงต้องมีสติตลอดเวลา ถ้าเรามีเป้าหมายนะ เราบวชใหม่ๆ นะ อ่านพระไตรปิฎก ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์นะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สิ่งนี้มันต้องได้ผล

เรามีความตั้งใจ แล้วเราว่าเราทำได้แค่ ๗ ปี เราพยายามตั้งใจของเรา แล้วเราทำของเรานะ เรื่องของความเรียกร้องของกิเลสนะ มันจะทำให้เราไปตามอำนาจของมันตลอดไป ถ้าความเรียกร้องของกิเลส แล้วความเรียกร้องของกิเลสใครจะควบคุมมันได้ล่ะ แต่ความเรียกร้องของธรรมนะ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นการพิสูจน์มา ๒,๐๐๐ กว่าปี ถ้าไม่มีหลักฐานความจริง มันยืนยงไม่ได้อย่างนี้หรอก มันต้องมีหลักฐาน ต้องมีความเป็นจริง

เราบวชใหม่ๆ เวลากำลังใจมันท้อถอยนะ ชอบไปมาก มูลนิธิหลวงปู่มั่น ไปดูพระธาตุหลวงปู่มั่น ไม่หลอกเรา พระธาตุเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงมีอยู่นี้ แล้วชีวิตเราทำไมเราไม่ทำจริงขึ้นมาล่ะ เอาอย่างนี้มาชโลมใจแล้วมันก็คึกคักขึ้นมา มันน่าเห็นใจ เพราะการปฏิบัติ เดินจงกรมนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี มันไม่ท้อถอยหรือ

มันท้อถอยเพราะอะไร เพราะไฟในหัวใจมันมีอำนาจอยู่แล้ว มันต้องทำให้เราท้อถอยแน่นอน ถ้ามันท้อถอย ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นหลังอิง ท่านดำรงชีวิตของท่านอย่างไร ทำไมท่านทำของท่านได้ แล้วเราขอนิสัย ขอนิสัยเห็นไหม นิสัยควบคุมตัวเองให้ได้

เรื่องภายนอกเป็นเรื่องภายนอก เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของเขา แต่ขณะที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ สิ่งใดถ้ามันกระทบกระเทือนกันเราเตือนได้ เราเตือนกัน เราบอกกัน เพราะบางทีนะ คนชอบกัน คนรักกัน มันถือวิสาสะ ถือวิสาสะว่า “ไม่เป็นไรๆ” แต่หมู่คณะมันมีความสะเทือนใจ เพราะความไม่พูดออกมาก็ไปความสะเทือนใจ

เพราะธรรมวินัยมีวิสาสะนะ ถือว่าเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส บวชมาด้วยกันเห็นไหม บางคนก็น้อยใจ ลูกกำพร้า พ่อไม่มี แม่ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ “ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา” พ่อเราคือศาสดา คือกติกา ที่เป็นกติกาอย่างนี้ แล้วหมู่คณะ สิ่งที่ว่าเราวิสาสะ เรารักกัน เราเชื่อกัน มันมีอะไรกระเทือนใจกันถึงให้บอกกัน

ถึงบอกไว้เวลาวัชชีบุตรนะ ที่พระมีปัญญากันเรื่องน้ำในขัน เวลาสามัคคีให้อุโบสถสามัคคี สิ่งนี้สมานกันๆ เพราะการเวียนตายเวียนเกิด ฟังให้ดีนะ! คนที่ไม่เคยมีอะไรกระทบกระเทือนกันมาในโลกนี้ไม่มี ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “คนที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่เคยเป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้องกัน ไม่มี” ไม่มีเลย เวียนตายเวียนเกิดมาไม่รู้เท่าไหร่ เพราะการที่เป็นพี่ เป็นน้อง อยู่ในบ้านเดียวกันมา จะไม่ทำอะไรกระทบกระเทือนใจกันบ้างเลยหรือ เป็นไปไม่ได้ ต้องมีมา ถ้ามีมามันก็จะสะสมมาเป็นกรรมมา

เป็นกรรมมา เรามาเจอกัน บางอย่างมันกระเทือนกัน มันกระเทือนกันโดยที่บางคนไม่รู้นะ เพราะอะไร เพราะถือวิสาสะไง นี่เพื่อนกัน รักกัน ชอบกัน สิ่งใดที่มันรักกัน เราเตือนกัน เราบอกกัน ถึงบอกว่าเป็นอริยวินัย ผู้ใดทำผิดแล้วสารภาพ สารภาพขอโทษ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า “ขอโทษ” สิ่งนี้มันจะทำให้มิตรภาพยั่งยืนมาก มิตรภาพของเราจะยั่งยืนก็ต่อเมื่อว่าผิดแล้วขอโทษ ผิดแล้วพลาดแล้ว ไม่ตั้งใจ ขอโทษเถอะ นี่ปวารณา

สิ่งที่ปวารณานี้เป็นเรื่องของสังคมเรานะ สิ่งนี้เป็นสมมุติ ดูสิ ชีวิตนี้มันต้องพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องตายเป็นที่สุด กิเลสให้อภัยมันไม่ได้ กิเลสในหัวใจเราให้อภัยไม่ได้ ให้อภัยนะ มันไม่ตายไง มันจะตามเราไปอีกเป็นภพเป็นชาติ

ถ้าเรื่องของหมู่คณะ เราขอโทษ เราให้อภัย แต่เรื่องของตัวเราเอง เรื่องของกิเลสเรา เรื่องของสัจจะความจริงจากภายใน กิเลสมันก็เป็นสัจจะอันหนึ่งนะ มันเป็นสัจจะฝ่ายดำ มันเป็นอกุศล ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมมันเป็นกุศล มันอยู่ในใจเรา มันมีอยู่แล้ว เราเลือกเฟ้น เราแสวงหา การอยู่ด้วยกัน การจากกัน การพลัดพรากจากกัน กฎอนิจจังเป็นเรื่องธรรมดา

๓ เดือนผ่านไปแล้ว สิ่งที่ผ่านไปเราได้สิ่งใดติดไม้ติดมือไป สิ่งใดเป็นคติธรรม การดำรงอยู่ด้วยกัน เรื่องการไม่กระทบกระเทือนกันที่ไหนก็ไม่มี สังคมของเรา เราอยู่ในวัดวาอารามของเรา เราสะเทือนกัน เรามีอะไรที่มันสะดุดกันในการอยู่ด้วยกัน

ดูลมพัดเห็นไหม มันพัดมา มันยังพัดเอาต้นไม้ พัดเอาอะไรต่างๆ ล้มไป ต้นอ้อมันยังอ่อนลู่ไปตามลม มันอยู่ของมันได้นะ

นี่ก็เหมือนกัน ทุกสังคม ในสงฆ์เราปวารณากับสงฆ์ สงฆ์ทุกสงฆ์จะมีการกระทบกระเทือนกันโดยธรรมดา นี่สงฆ์ทุกสงฆ์นะ แต่ถ้าสงฆ์นั้นในหมู่คณะนั้นมีการเตือนกัน มีการให้อภัยกัน สังคมเราจะยั่งยืน เพราะสงฆ์เป็นผู้ชี้นำ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้ ฟังแล้วมันสะเทือนใจมาก

ถ้าธรรมเราน้อมเข้ามาในหัวใจแล้วคิดนะ “พระโสดาบันทำไมต้องร้องไห้ ร้องไห้เพราะอะไร” ร้องไห้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ “ดวงตาของโลกดับแล้ว เราก็ยังมีกิเลสอยู่ เราก็ยังต้องการคนชี้นำอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องจะปรินิพพานจากไป”

พระโสดาบันนะ เพราะอะไร เพราะพระโสดาบันเป็นอกุปปธรรมของขั้นพระโสดาบัน ขณะที่ก้าวเดินไป “เรายังต้องการผู้ที่ชี้นำอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะจากเราไป” เห็นไหม ยังสะเทือนใจขนาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เรานี่สิ่งที่พลัดพรากนะ เราพลัดพรากจากธรรมวินัย ธรรมวินัยพลัดพรากจากเรา เราจะพลัดพรากจากกัน สิ่งที่พลัดพรากจากกันอย่างนี้มันเป็นกฎอนิจจัง มันเป็นกฎธรรมดา ถ้าเราเข้าใจมัน เราทำความเข้าใจกับมัน สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดาเพราะอะไร เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด

ความพลัดพรากอย่างนี้ มันพลัดพรากเป็นของโลกไง ดูการพลัดพราก ดูจิตสิ ตายจากดวงนี้ก็ไปเกิดดวงนั้นๆ แต่ถ้าวันไหนกิเลสมันสิ้นไปแล้วนะ จะดูสิว่าความพลัดพรากนั้นคืออะไร ความพลัดพรากมันหลอกกัน ความตายมันหลอกกัน ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ ไม่มีอะไรเป็นของจริงเลย แม้แต่ความตายยังไม่ใช่ของจริงเลย เพราะอะไร เพราะมันตายไม่จริง

ตายไปแล้วนะ จิตมันก็ไปเกิดอีก ดูสิ ดูธรรมบทของพระสารีบุตร ที่ไปโปรดเพื่อนของพ่อเห็นไหม “อายมาก..อายมาก..” สุดท้ายได้ผ้าอย่างหยาบมาถวายพระสารีบุตร แล้วปรารถนาไปเกิดในตระกูลที่อุปัฏฐากพระสารีบุตร แล้วก็มาบวชในสำนักของพระสารีบุตร ก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาตั้งแต่เป็นสามเณร เห็นไหมตายไปแล้วเกิดมา ยังเกิดทันพระสารีบุตรเลย เอาความตายจริงมาจากไหน?

แต่ถ้าเมื่อไหร่กิเลสมันสิ้นไปจากหัวใจนะ ในการประพฤติปฏิบัติ ทุกคนนะว่าเรานี่เป็นคนดี เราเป็นคนเข้มแข็ง ถ้าเราเป็นคนเข้มแข็งต้องเข้มแข็งที่หัวใจ ข้างในอ่อนโยน จะแข็งกระด้างขนาดไหน ต้องให้หัวใจเราเข้มแข็ง ถ้าหัวใจเราเข้มแข็งนะ ในการประพฤติปฏิบัติเรามันจะขึ้นมาได้

เขื่อนนะ เขื่อนที่มันกักเก็บน้ำไว้ได้ มันต้องแข็งแรงพอสมควร มันจึงกักเก็บน้ำไว้ได้ ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจเรามีจุดยืนมันจะกักหัวใจ กักความรู้สึกให้มันเป็นสมาธิขึ้นมาได้ แล้วมีเชาว์ปัญญา มีจุดยืน เปลี่ยนแปลงให้มันเป็นปัญญาขึ้นมาได้ เปลี่ยนแปลงเป็นปัญญาขึ้นมานะ สิ่งนี้มันจะเข้ามาในหัวใจของเรา

นี่จุดยืนในหัวใจ เข้มแข็งให้เข้มแข็งที่นี่ เข้มแข็งให้เข้มแข็งในหัวใจของเรา อะไรเป็นบาปอกุศลสิ่งนั้นอย่าทำมัน เพราะทำสิ่งนั้นขึ้นไปนะ ทำบ่อยครั้งๆ เข้ามันจะเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยนี้เป็นอันหนึ่งนะ แต่กรรมสำคัญมาก

การกระทำสิ่งใดๆ มันเป็นกรรมทั้งนั้นนะ กรรมเห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วสิ่งที่เป็นบาปอกุศลเรายังฝืนทำอยู่ มันเป็นกรรมอะไร คำว่าบาปอกุศลมันเป็นกรรมดำ แล้วถ้ากรรมดำมันอยู่ในหัวใจของเราบ่อยครั้งๆ เข้า มันมืดๆๆ ไป แล้วการประพฤติปฏิบัติของเรามันจะสะดวกไหม

กรรมของใครของมันนะ การกระทำเป็นอกุศลหรือกุศลของใครก็แล้วแต่ มันเป็นสมบัติของคนนั้นนะ ครูบาอาจารย์หรือใครก็แล้วแต่ไม่มาแบกรับให้เราหรอก แต่ถ้าเราทำของเรา มันซับสมมาที่ใจของเรา ถ้ามันซับสมมาที่ใจของเรา แล้วเราอยากจะพ้นทุกข์กัน

พระถ้าบวชแล้วไม่ปรารถนานิพพาน เราจะบวชมาทำไม เราบวชกันมาเราต้องปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์ แต่ถ้ามันจะเมื่อไหร่ มันมีการกระทำของเราไป อย่างขณะที่ปัจจุบันนี้จะอ่อนแอ จะทำสักแต่ว่าไปก็แล้วแต่ แต่ถ้าเมื่อใดกรรมมันให้ผล มันจะมีอะไรสะเทือนใจ

นางปฏาจารา ขณะที่ว่าหนีไปกับคนใช้ เวลาจะกลับไม่กล้ากลับมา เวลากลับมาสามีตายก่อน ลูก ๒ คนตาย เสร็จแล้วจะกลับไปพ่อแม่ตายหมดเลย เวลามันกว่าจะได้คิดนะนางปฏาจารา น่าจะเอามาเป็นคติเตือนใจมาก

ก่อนที่จะเข้ามาในศาสนานะ เสียสามีก่อน งูกัดตาย ลูกโดนน้ำพัดไป โดนอีแร้งคาบไป พ่อแม่โดนฟ้าผ่า ตายหมดเลย! สะเทือนใจจนสติไม่มีเลย เสียสติไปเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ นางปฏาจาราวิ่งมาเลยนะ “ปฏาจารา เธอเป็นอะไร” ได้สติกลับมา อายเห็นไหม

เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราอ่อนแอ หัวใจเราไม่มีจุดยืน ถ้าไม่คิดถึงว่าเราบวชมาเพื่อนิพพาน ถ้าวันไหนมันมีความกระทบกระเทือนหัวใจล่ะ มันจะเหมือนนางปฏาจารา คิดค้น อยากมีความสุข อยากมีครอบครัวไปกับเขา ถึงเวลาเสียหมดเลย เสียทุกอย่างเลย เวลามาวิปัสสนา พิจารณาเทียน เทียนมันเผาไหม้ตัวมันเอง พอมันเผาไหม้ตัวมันเอง สิ่งต่างๆ มันเผาไหม้ตัวมันเอง

ย้อนกลับมาโอปนยิโก ย้อนกลับมาในหัวใจของเรา ชีวิตของเรามันก็เผาผลาญตัวเราเอง มันเผาผลาญเรามาหมดเลย เผาผลาญๆ มันเป็นอนัตตา คำว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ขอให้เห็นเถอะ เห็นความเป็นไปแล้วจะไม่เถียงเลย

ความเป็นไป สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ก็เหมือนเรากินข้าว ขณะที่กินข้าวอยู่ กลืนข้าวไปคำหนึ่ง นั่นแหละอนตฺตา เพราะมันลงไปในท้อง ถ้าพอมันอิ่มเต็มขึ้นมานะ อาการของกินข้าวกับข้าวที่อยู่ในกระเพาะ มันอันเดียวกันไหม? มันไม่ใช่หรอก เพราะมันไปเต็มกระเพาะมันก็อิ่ม แต่ขณะที่กิน เพราะอะไร เพราะมันกลืนไหลไปในลำไส้ กว่าจะไปถึงกระเพาะ ทานเข้าปาก

สภาวธรรมที่มันเกิด ถึงบอกว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ที่ว่านิพพานเป็นอนตฺตาๆ นกแก้วนกขุนทอง นี่ว่ากันไป ไม่ใช่อนตฺตา แล้วไม่ใช่อตฺตา แต่ถ้าวิตก วิจารไป มันก็เป็นจินตมยปัญญา แต่ถ้ามันเกิดมา มันเห็นจริง เห็นจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา อันนี้มันถึงเห็นจริง สภาวธรรมอันนี้เป็นเห็นจริงไง อยู่ที่การปฏิบัติ พระเรามีวุฒิภาวะตรงนี้ ถ้าประพฤติปฏิบัติเห็นจริงขึ้นมา องอาจกล้าหาญ การแสดงออกของผู้รู้จริง ถ้าการแสดงออกของผู้รู้จริงนะ แม้แต่คนพูดเห็นไหม

เวลามีคฤหัสถ์เขามาถามธรรมะ เวลาเขาถามขึ้นมา แค่เขาพูดมาอันนี้มันเป็นจินตมยปัญญา อันนี้ไปอ่านหนังสือมาเป็นสุตมยปัญญา ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาอันนี้เป็นความจริง มันพูดออกมา การแสดงออกมาต่างกัน ความเห็นๆ ต่างกัน แค่นี้ก็เห็นว่ามันเป็นความต่างกัน ความต่างกันเพราะความรู้สึกมันต่างกัน ความคิดการพูดออกมามันต่างกัน ผลก็ต่างกัน แต่เราประพฤติปฏิบัตินะ ถึงสิ่งที่มันเห็นจริง พอมาเห็นในหัวใจของเรา มันถึงจะรู้จริง ถ้ารู้จริงอย่างนี้มันจะเป็นความจริงของเรา เป็นสันทิฏฐิโกของเรา

อันนี้เกิดขึ้นมา นี่คือกาลเวลาภายใน กาลเวลาภายนอกมันจะสิ้นสุดลงพรรษาวันนี้ เรามาฟังธรรม ฟังธรรมนะ หัวหน้า ผู้ที่เป็นประธานสงฆ์ เป็นหัวหน้าสงฆ์เห็นไหม สังฆกรรม

สังฆกรรมเพื่อหมู่สงฆ์ สงฆ์ต้อง ๔ องค์ขึ้นไปถึงเป็นสังฆะ เราเป็นหนึ่งในสังฆะนั้น เราจะปวารณากับสงฆ์ที่สังฆะนั้นเพื่อหัวใจของเรา จะให้บอกว่าความเป็นไปของสังคม ความเป็นไปเป็นอยู่มันเป็นเรื่องของเหมือนกับวัตถุ ศาสนวัตถุ แล้วร่างกายนี้ก็เป็นศาสนวัตถุอันหนึ่ง อาศัยปัจจัย ๔ เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต

แล้วธรรมในหัวใจไง สิ่งที่เป็นศาสนธรรมในหัวใจ มันเป็นเรื่องสงฆ์จากภายใน ถ้าเป็นเรื่องสงฆ์จากภายในนะ มันมีธรรมหล่อเลี้ยงจิต ถ้ามีธรรมหล่อเลี้ยงจิต พระโสดาบันนะไม่ลูบคลำ แล้วสิ่งใดที่เกิดขึ้นมันสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนตลอดเวลา เพราะจิตมันมีจุดยืนของมัน

ถ้ามันสะเทือนหัวใจตลอดเวลา มันก็ได้ลิ้มรสตลอดไป เห็นสภาวะเปลี่ยนไปของโลก เห็นสภาวะเปลี่ยนไปของสังคม เห็นสภาวะเปลี่ยนแปลงไปของผิวหนังเรา ผิวหนังมันหย่อน มันชราภาพ มันเป็นไป สิ่งต่างๆ เห็นไหม ร่างกายเรา อวัยวะต่างๆ มันเสื่อมสภาพไป เห็นความเปลี่ยนไปมันสะเทือนนะ ธรรมสังเวชตลอด ธรรมมันเตือนตลอด แล้วเราวิปัสสนาขึ้นมาย้อนกลับมา คนดีๆ ที่นี่ คนดีๆ ที่หัวใจ ดีที่ความเป็นไป

ถึงบอกว่า จะออกพรรษาเราได้สิ่งใดติดมือไป สิ่งต่างๆ นี้จะเป็นคุณประโยชน์กับเรา แล้วโอกาสหน้าถ้ามันยังอยู่ด้วยกัน จะได้จำพรรษาหน้า ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันสิ่งนี้เป็นธรรมดาของโลก ความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่เป็นธรรมดาเก็บไว้เป็นคติเตือนใจ เก็บไว้ในหัวใจ เก็บไว้สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์ชีวิตกับสิ่งที่ดีๆ ถ้าปฏิบัติดีก็ได้ดีไป ถ้าปฏิบัติอย่างไร ตายไป ทำคุณงามความดีอันนี้

ในสมัยพุทธกาลนะ ไปทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปเกิดบนสวรรค์ เราได้สมบัตินี้มาจากใคร? สมบัตินี้เราได้มาจากใคร? เราได้มาจากการกระทำอย่างนั้นๆๆ

นี่ก็เหมือนกัน เราทำสิ่งที่ดีๆ เอาไว้ในศาสนา เวลาเราได้สถานะใหม่ สิ่งนี้เราได้สมบัติมาจากการกระทำอันนั้น การกระทำอันนั้น สิ่งนี้มันจะเป็นคุณประโยชน์กับเรา พลัดพรากก็เอาสิ่งนี้เป็นคุณธรรม สิ่งที่ดีๆ ไปกับหัวใจเรา เอวัง