แยกถูก-ผิด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ถามแยกกาย แยกใจ”
๑. คำว่า “แยกกาย แยกใจ” คือถอดจิตใช่ไหมคะ ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วให้ความคิดหรือใช้คำบริกรรมว่ากายนี้ไม่ใช่เรา เวลามีทุกข์ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย แยกกาย แยกใจ ขอให้ความทุกข์น้อยลง (หลวงพ่อมีการเทศน์ถึงหลวงปู่มั่นแยกกาย แยกใจ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒)
๒. ฟังนิทานชาดก ๕๐๐ ชาติจากมือถือ แต่เป็นนิทานที่มาจากวัดหนึ่งที่มีปัญหาอยู่ หนูจะเข้าข่ายที่ว่า คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คบคนพาล พาลไปหาผิดไหมคะ
๓. ไม่ถึงทุกข์ ไม่เห็นธรรม เวียนว่ายตายเกิด เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ทุกข์จริงๆ ได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บแล้วจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดหลวงพ่อมากขึ้น ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อสร้างกุฏิอันวิเศษให้ผู้หญิงเรามีโอกาสปฏิบัติธรรมแบบนี้เจ้าค่ะ
๔. ดวงวิญญาณเราอยู่ในวัฏสงสาร ๓๑ ภูมินั้น พระอรหันต์ซึ่งนิพพานแล้ว เหนือวัฏสงสารแล้ว อยู่ที่ภูมิไหน ที่ไหนคะ เพราะนิพพานไม่สูญอยู่แล้วเจ้าค่ะ
๕. พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะที่ว่าเบื้องซ้ายเบื้องขวานั้นดูอย่างไรคะ หนูแยกไม่ออกว่าซ้ายมือหรือขวามือเป็นองค์พระสารีบุตร องค์ไหนเป็นพระโมคคัลลานะ คือถ้าดูจากคนเราซ้ายขวากับทิศทางที่พระพุทธเจ้าหันหน้ามาเป็นตรงกันข้ามพอดีค่ะ
๖. ถ้าคุณพ่อคุณแม่ดื่มเหล้าเล่นการพนัน ลูกหลานตำหนิคุณพ่อคุณแม่มันจะบาปไหมคะ แล้วเถียงพ่อเถียงแม่บาปไหมคะ ความคิดและหน้าที่การงานของแต่ละรุ่นมันเปลี่ยนค่ะ บางทีเราเถียงกันหนักๆ เข้าถึงขั้นทะเลาะกัน เรารู้แล้วว่าผู้ใหญ่ทำผิด แต่เขาไม่รู้สึกตัว แล้วเถียงกันอย่างนี้กับพ่อแม่จะบาปไหมคะ
หลวงพ่อสอนเสมอว่า การปฏิบัติธรรมต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดี ระวังปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นผิดๆ ถูกๆ ไม่ได้อะไรเลย
ถ้าข้อใดที่หลวงพ่อคิดว่าไม่สมควรถามหรือไม่ประสงค์ตอบคำถามนี้ ก็แล้วแต่ความเมตตาของหลวงพ่อเจ้าค่ะ หากคำพูดคำใดและความคิดใดที่ล่วงเกินหลวงพ่อ หนูขออโหสิกรรมด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ : นี่คำถามเนาะ “๑. คำว่า “แยกกาย แยกใจ” คือถอดจิตใช่ไหมคะ ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วให้ความคิด หรือใช้คำบริกรรมว่ากายนี้ไม่ใช่เราๆ”
ไอ้นี่พูดถึงว่า โดยธรรมชาติ โดยความทั่วไป โดยความรู้สึกของคน คนถ้ามีความรู้สึก เวลาฝึกหัดนั่งสมาธิ ฝึกหัดนั่งสมาธิ คนเราที่เราปรารถนาความดี เราต้องการความดี เวลานั่งสมาธิ ถ้าจะใช้คำว่า “โหดร้าย” หรือว่ามันใช้การบังคับจิต มันทรมานมาก นี่พูดถึงว่าคนที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดนะ
แต่มันมีคนจำพวกหนึ่ง คนจำพวกหนึ่งทำอะไรมันก็จะลง ทำอะไรมันก็จะเป็นสมาธิ มันจะรับรู้สิ่งใด แล้วคนพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วเขาจะทำสมาธิได้ เขาจะรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ แล้วพวกนี้เขาจะมาทายทัก ส่วนใหญ่เขาจะทายทักว่าไอ้นั่นเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่เป็นไอ้นั่น ไอ้คนที่ไม่เป็นสงสัยไปหมดน่ะ นี่คำว่า “สงสัยไปหมดนะ”
“คำว่า “แยกกาย แยกใจ” คือถอดจิตใช่ไหมคะ”
คำว่า “ถอดจิตๆ” คนเราจิตใจของคนมันไม่เหมือนกัน จิตใจของคนบางคนสร้างอำนาจวาสนาสิ่งใดมาเขาสามารถควบคุมเขาดูแลใจของเขาได้ แต่ถ้าเขาไม่มีอำนาจวาสนาเขาก็อยู่ได้แค่นั้นน่ะ ในปัจจุบันนี้ในเว็บไซต์เยอะแยะเลย เว็บไซต์อะไรนะ พิสูจน์ผีดูผีตอนนี้มากมายเลย ไอ้พวกที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ๆ มันเป็นประเภทนี้ ประเภทว่า ดูจิตถอดจิตอะไรต่างๆ ไปร้อยแปด แต่มันเป็นเรื่องของโลกไง เรื่องของโลกมันไม่ใช่เรื่องพระพุทธศาสนาเลย
ถ้าเรื่องของพระพุทธศาสนา ท่านสอนให้ทำความสงบของใจ คือทำสมาธิ ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบใจของเราเข้ามาเพื่อหัวใจของเรา เพื่อความสุขความทุกข์ในใจของเรา เพื่อให้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมาในใจของเรา ไม่ได้ให้ไปตรวจสอบไปทดสอบอะไรกับใครทั้งสิ้น
แต่ไอ้พวกทดสอบตรวจสอบสิ่งต่างๆ พวกนั้นน่ะมันเป็นเรื่อง ถ้าภาษาเรามันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไง เป็นเรื่องการทายโชคชะตา เป็นเรื่องทายทักความบาปกรรมของคน แก้กรรมๆ ก็เลยกลายเป็นเหยื่อ กลายเป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ สอนชาวพุทธนะ ให้ถือไตรสรณคม ให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มีศีล ๕ เช้าขึ้นมาจะมากจะน้อยเราทำบุญตักบาตรไปแล้วอุทิศส่วนกุศลที่ว่ามีเวรมีกรรม มีทุกข์มียาก ต่างๆ อุทิศส่วนกุศลไปบ้าง ทำบุญทำทานขึ้นมาแล้วให้เราได้ประสบความสุขในชีวิตของเราบ้าง
ไอ้ที่ว่าไปแก้กรรมๆ นั่นน่ะ มันเหมือนกับเราถมไม่เต็มหรอก แก้กรรมจากหมอดูคนนี้ก็จะไปคนนู้นๆ คนนี้ก็บอกอย่างหนึ่ง คนนู้นก็บอกอย่างหนึ่ง มันผลาญเงินผลาญทอง ผลาญเวลาเราไปหมดสิ้นเลย
แต่ถ้าเราเป็นชาวพุทธนะ เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในบ้านเรา เราทำวัตรสวดมนต์ เรากราบพระที่ไหนก็ได้ให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต ฟังสิ เป็นสิริมงคลกับชีวิตไง เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราเคารพพุทธะในใจของเรา เราเชื่อมั่นในสัจธรรม เราไม่เชื่อมั่นใครจะมาทายโชคชะตาทายทักของเรา
นี่พูดถึงว่าการถอดจิตไง นี้คำถามนะ “การแยกกาย แยกใจ คือการถอดจิตหรือไม่”
ไม่ใช่เลย การถอดจิต การรู้ต่างๆ มันเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง เวลาคนที่ฝึกหัดภาวนานะ มีพระหลายองค์เคยมาหาเราบอกว่า เวลาเขาทำสมาธิพุทโธๆ ไป เห็นจิตของเขาหลุดออกจากร่างของเขาไป ออกจากร่างนี้ไปเลยนะ เหมือนคนอีกคนหนึ่งออกไปเป็นนามธรรมแล้วมองมาที่ร่างกายเขา แล้วจะรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ทายโชคชะตา โอ้โฮ! มีคนนับถือ นับถือไป ตอนนี้สึกไปหมดแล้ว ถ้ามันดีงามขึ้นไปทำไมเขาไม่พัฒนาเป็นพระที่ดีขึ้นมาล่ะ
เขาเป็นพระอยู่แล้ว เขาถอดจิตได้ แต่ตอนนี้สึกไปหมดแล้ว สึกไปหมดแล้ว มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง มันเป็นเรื่องฌานโลกีย์ต่างๆ มันอยู่ที่วาสนาของคนที่ทำของเขาได้อย่างนั้นนะ
นี่พูดถึงคำว่า “แยกกาย แยกใจ”
คำว่า “แยกกาย แยกใจ” นะ มันอยู่ที่วุฒิภาวะของคนที่สูงส่งหรือคนที่ต่ำต้อย ถ้าแยกกาย แยกใจ เวลาคนที่เขาวางยาสลบมันก็แยกกาย แยกใจ การแยกกาย แยกใจ เวลาคนทำสมาธิได้ สมาธิถ้ามันลงสู่สมาธิแล้วสมาธิไม่รับรู้เรื่องกายเลยก็มี
แยกกาย แยกใจมันอยู่ที่วุฒิภาวะของคนที่สูงหรือต่ำขนาดไหน มันอยู่ที่อำนาจวาสนาไง ถ้าอำนาจวาสนาสิ่งที่รู้ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันทั้งสรรเสริญเยินยอตัวเอง ถ้ามันวิตกกังวลมันก็รัดคอมันตาย รัดคอมันตายคือความสงสัยนั้นมันรัดคอจนไปไหนไม่รอด
นี่ไง “แยกกาย แยกใจ คือการถอดจิตใช่ไหมคะ หรือการใช้นั่งหลับตาแล้วใช้คำบริกรรมว่ากายนี้ไม่ใช่เราๆ”
กายนี้ไม่ใช่เรา ถ้าเป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนาสอนถึงการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา เราเกิดมาเป็นสมมุติ สมมุติเป็นภพชาติหนึ่ง แล้วเราก็ต้องสิ้นชีวิตนี้ไป
ฉะนั้น ถ้าเราจะเป็นคนที่มีสติปัญญา เขาบอกว่า เรามาอาศัยเขาอยู่ชั่วคราว กายนี้ไม่ใช่เรา เรานี้ไม่ใช่กาย นี่เป็นการท่องบ่น เป็นการพยายามท่องบ่นให้จิตใจเราเชื่อให้เห็นตามความเป็นจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไม่ใช่ของเรา แต่มันเชื่อไหมล่ะ มันก็ไม่เชื่อ มันก็พูดที่ปากนี่ นี่พูดที่ปากไง
ฉะนั้นบอกว่า การแยกกาย แยกใจ มันเป็นความรู้สึกไง รู้สึกของคนว่ามันแยกเป็นอุปาทาน แยกโดยจินตนาการ แยกร้อยแปด ไอ้พวกนี้มันเป็นพวกที่ว่าคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาจะเชื่ออะไรเรื่องพื้นๆ ตื้นๆ กับเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องโลก ได้แค่นี้
แต่ถ้าคนเชื่อในพระพุทธศาสนา นี่มันเป็นเราทั้งสิ้น มันเป็นเราอยู่แล้ว พอเป็นเราอยู่แล้ว เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วเราก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติ แล้วเราเกิดอริยสัจในใจของเรา เกิดอริยทรัพย์ในใจของเรา มันจะทำความสงบเข้ามา แล้วถ้ามันเห็นกายแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา
เวลาจะแยกมันไปแยกก็ตรงนู้นน่ะ แยกโดยภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากจิตที่มันสงบระงับแล้ว ถ้ามันเห็นกาย มันวิเคราะห์วิจัยของมัน มันเห็นโทษของมัน เห็นการผูกมัดสังโยชน์ที่มันมัดกายกับใจไว้เป็นอันเดียวกัน มันไปพิจารณาตรงนั้นน่ะ มันไปแยกแยะกันด้วยมรรค ๘ ด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากจิตที่สงบแล้ว มันยกขึ้นสู่วิปัสสนา
นี่พูดถึงพระพุทธศาสนา มันก็ต้องมีวุฒิภาวะที่สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ว่าจิตเราจะสงบหรือไม่ สงบแล้วเราจะทำอย่างไร
ที่ถามว่าแยกกาย แยกใจ นี่พูดถึงโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ ฉะนั้น เขาบอกว่า ถ้าเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย การแยกกาย แยกใจ เพื่อให้มันทุกข์น้อยลง แล้วมันก็วงเล็บไว้ว่า ตั้งแต่หลวงพ่อเทศน์ตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เรื่องหลวงปู่มั่น
เราพูดเรื่องหลวงปู่มั่น เพราะมีพระหรือนักปฏิบัติมากมายเข้าใจผิดเรื่องธรรมโอสถๆ ธรรมโอสถ เวลาครูบาอาจารย์ของเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ถ้ามีกำลัง เขาใช้ธรรมโอสถไปรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นหายเลย
แต่หลวงตาท่านก็เคยทำบ่อย แล้วท่านสั่งลูกศิษย์ไว้เลย คนจะทำอย่างนี้ได้ต้องจิตใจมั่นคงนะ จิตใจเข้มแข็ง ถ้าจิตใจไม่มั่นคง จิตใจไม่เข้มแข็ง ไม่ต้องทำ ไปหาหมอเถิด เพราะอะไร เพราะเวลาทำไปแล้วมันรักษาไม่ได้ พอรักษาไม่ได้ขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บมันก็รุนแรงขึ้น เวลารุนแรงขึ้นแล้วพ่ายแพ้ก็จะไปหาหมอ หมอมันก็ตำหนิเอา “ปล่อยจนขนาดนี้ค่อยมาหาหมอ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วก็ไม่มาหาหมอ”
ไอ้พวกที่มันไม่เอาไหนมันดีแต่โม้ เริ่มต้นน่ะ “ธรรมโอสถๆ แหม! จะปฏิบัติ” เวลาไปแล้วมันสู้ไม่ได้หรอก พ่ายแพ้หมดน่ะ นี้ธรรมโอสถ ฉะนั้น เวลาพระหรือนักปฏิบัติมีความเข้าใจที่ผิดพลาดเรื่องอย่างนี้เยอะมาก
ธรรมโอสถเป็นธรรมโอสถ แต่เวลาเราพูดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาท่านไปอยู่ที่ถ้ำสาริกา ท่านเป็นโรคเสียดท้อง ท่านมีโรคประจำตัวของท่านอยู่แล้ว แล้วท่านก็ต้มยาสมุนไพรของท่าน
ยาสมุนไพรเขามีไว้ เอาไว้ให้ท่าน ต้มน้ำแล้วก็ใช้ยาสมุนไพรนั้น พอใช้ไปมากๆ เข้ามันดื้อยา พอมันดื้อยา มันไม่รู้สึกว่ามันจะดีขึ้น ท่านเลยตัดสินใจไง โยนทิ้งหมดเลย แล้วกลับมาภาวนา
ทีนี้คำว่า “ภาวนาของหลวงปู่มั่น” ท่านภาวนาแยกแยะเรื่องกายของท่านด้วย ร่วมกับความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย ฉะนั้น เวลาท่านพิจารณาของท่านจนด้วยมรรคด้วยผล ด้วยความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามความเป็นจริงโดยการพยายามของท่าน
เพราะว่ามันไม่มีใครบอกใครสอน มันไม่มีใครบอกวิธีการ ท่านต้องแสวงหา ท่านต้องค้นคว้าของท่านเอง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาท่านก็พิจารณาของท่าน แยกกาย แยกใจ แยกธาตุ แยกขันธ์ แล้วมันมีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ด้วย เวลามันแยกออกหมด มันแยก กายกับจิตแยกออกจากกัน จิตนี้รวมลงหมดเลย
นี้เราพูดถึงหลวงปู่มั่น ถึงบอกว่า ท่านพิจารณาเป็นอริยสัจ แยกกาย แยกใจ นี่แยกกิเลส แต่เจ็บไข้ได้ป่วยนี้มันเป็นเรื่องโรคประจำตัว
แยกกาย แยกใจมันเป็นการแยกเรื่องสังโยชน์ การผูกมัดระหว่างสังโยชน์ที่มันรัดกิเลสกับหัวใจไว้เป็นอันเดียวกัน เวลามันแยกออก กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ เวลาแยกกาย แยกจิตซ้ำต่อไป กายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมัน แล้วจิตนี้รวมลง แล้วเวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านได้อย่างนี้เหมือนกัน แล้วท่านก็ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง ไปรายงานผลกับหลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นบอก “เออ! เป็นเหมือนเราเลย เป็นเหมือนเราที่ถ้ำสาริกา แต่ของเรามียักษ์ ของมหาไม่มียักษ์”
คำว่า “มียักษ์หรือไม่มียักษ์” มันเป็นเรื่องอำนาจวาสนา เรื่องจิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่า อำนาจวาสนาบารมีที่ยิ่งใหญ่กว่ามันรู้มันเห็นที่ลึกซึ้งกว่า แล้วมันไปเห็นยักษ์ “ของมหาไม่มี”
นี่เราพูดเพราะอะไร เพราะพระ พระฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วตู่บอกว่าเป็นไอ้นั่นๆ เราก็เลยเอาประเด็นนี้มาให้เปรียบเทียบระหว่างที่ว่าขณะที่หลวงปู่มั่นท่านแยกกาย แยกใจ จิตท่านรวมลง มันมีเจ้าที่ สิ่งที่มากราบขอขมาท่าน
แต่เวลาของหลวงตา ของท่านก็เป็นเหมือนกัน แต่ท่านแยกกาย แยกใจออกจากกัน แล้วรวมลง มีความสุขมาก มันรู้ผลของมัน สังโยชน์มันขาดของมันออกไป ท่านไปรายงานไง
เราถึงบอกว่า เวลาทำแล้วมันไม่เหมือนกัน แม้แต่ประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับลึกซึ้งกว้างขวางแตกต่างกัน แล้วได้ผลที่แตกต่างกัน แยกกาย แยกใจ
การแยกกาย แยกใจ มันแยกตั้งแต่เรื่องทำสมาธิก็แยกได้ ทำสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลาอัปปนาสมาธิ จิตเข้าสมาธิแล้วมันไม่รับรู้เรื่องกายนี้เลย มันสักแต่ว่ารู้ในตัวของจิต มันไม่ปรากฏเรื่องของร่างกายเลย นั่นก็แยกได้ ถ้าแยกได้อย่างนั้น บอกการแยกกาย การแยกกาย แยกใจ อยู่ที่ว่าวุฒิภาวะของคนมากน้อยขนาดไหน
เพราะเขายืนยันว่า หลวงพ่อเทศน์เรื่องหลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นนี่เราเอามายืนยันว่าหลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ หลวงตาพระมหาบัวท่านก็เป็นพระอรหันต์ แล้วเวลาท่านประพฤติปฏิบัติกันไปไล่ตามกันไป แต่ความรู้ที่มันกว้างแคบแตกต่างกัน มันแตกต่างกันตรงนั้น มันแตกต่างตรงนั้น แต่ขั้นไหน ระยะไหน ไอ้อย่างนี้มันสำคัญ มันสำคัญนะ
ฉะนั้น คำถาม เขาบอกว่า “แยกกาย แยกใจ คือถอดจิตใช่ไหมคะ”
ไม่ใช่ แยกกาย แยกใจ แบบทำสมาธินั่นก็เรื่องหนึ่ง แยกกาย แยกใจ ถอดจิต จิตที่มันถอดออกไป ไอ้นั่นมันเป็นปรากฏการณ์ของจิตนะ มันเป็นจริตนิสัยนะ มันไม่ใช่อริยสัจ ไม่ใช่มรรค
ทีนี้ว่า เวลานั่งหลับตาไปแล้ว กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ไอ้นี่เป็นการท่องบ่น เป็นการท่องบ่นบริกรรมว่าไม่ใช่ของเรา นั่นก็ไม่ใช่ของเรา แต่ใจมันก็ว่าของเรา
ไอ้นี่เป็นคำบริกรรม ไอ้นี่ถ้าจะแยกจริงมันต้องจิตสงบระงับขึ้นมา มันเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป ปุถุชน กัลยาณชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ หัวใจที่มันพัฒนาขึ้นเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปมันมีมรรคมีผล นี่พูดถึงว่าตามความเป็นจริงไง
ทีนี้ว่า การแยกกาย แยกจิต เมื่อก่อนโดยโวหารของกรรมฐานก็บอกว่า การแยกกาย แยกใจ มันผ่านโสดาบันไปแล้ว ทีนี้เราก็บอก ใครมาก็บอก “ฉันแยกกาย แยกใจได้แล้ว ฉันแยกกาย แยกใจได้แล้ว”
แยกอย่างไรล่ะ เด็กๆ มันนอนหลับมันก็แยก มันไม่รับรู้อะไรหรอก การแยกแบบปุถุชน การแยกแบบโลกๆ การแยกแบบสมาธิ การแยกแบบอุปาทาน การแยกจากจินตนาการ ร้อยแปด
แต่ถ้ามันละกายได้จริง แยกกายกับจิตได้จริง โอ้โฮ! มันเป็นบุคคลหลายขั้นนะ นี่เป็นคำพูดของกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ที่ท่านสนทนาธรรมกันน่ะ คนที่มีคุณธรรมในหัวใจส่วนใหญ่แล้วจะอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะไม่พูดให้มันแบบดูมันยิ่งใหญ่ แต่พอมันพูดแบบอ่อนน้อมถ่อมตนว่า อย่างนี้ ระดับนี้ มีความรู้อย่างนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสนทนากันท่านพยายามอ่อนน้อมถ่อมตน
ทีนี้ไอ้คนที่ไปแอบฟังมาหรือได้ฟังท่านมาก็บอกเลย “อย่างเรานี่แยกกาย แยกใจ”
แยกที่ไหน นอนหลับไง กลับไปก็นอนหลับคร่อกๆ แยกหมดเลย แยกอะไร มันไม่มีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผล แล้วครูบาอาจารย์ท่านทำ เขาถามกันที่เหตุการกระทำอันนี้
นี่พูดถึงว่า การแยกกาย แยกใจ การถอดจิต กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ที่ว่าแยกกายแบบหลวงปู่มั่น
นี่พูดถึงมันฟังมามากมาย แต่วางไว้ ใครพูดอย่างไรมันก็วุฒิภาวะคือความรับรู้เขาแค่นั้น เขาเชื่อแค่นั้น ความหมายเขาแค่นั้น
แต่กรรมฐาน เวลาวงกรรมฐานนะ ละกายได้แล้วผ่านเป็นชั้นหนึ่ง กายกับจิตแยกออกจากกัน ผ่านอีกชั้นหนึ่ง ละอสุภะ เขารู้ของเขา แค่คำพูดคำเดียวเขารู้เลยว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันมีเหตุผลอย่างไร แล้วสำคัญที่คุณสมบัตินี้ ถ้าแยกกาย แยกจิตได้จริง มันต้องร่มเย็นเป็นสุข มันต้องมีศีลมีธรรม
ไอ้นี่แยกกาย แยกจิตแล้วอย่างกับโจรอย่างนี้ มันแยกกาย แยกจิตตรงไหนวะ ไอ้นี่โทษประหารไง ตัดคอ แยกกาย แยกจิตคือตัดคอ โทษประหาร จบ
“๒. ฟังนิทานชาดก ๕๐๐ ชาติจากมือถือ แต่เป็นนิทานจากวัดหนึ่งที่มีปัญหาอยู่ หนูจะเข้าข่ายคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล คบคนพาล พาลพาไปหาผิดหรือไม่เจ้าคะ”
อันนี้มันอยู่ที่เรามีสติสัมปชัญญะคัดเลือกได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ เราใช้ประโยชน์ เราอาศัยสิ่งนั้น แต่เรามีจิตใจระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นรัตนตรัยของเรา เป็นที่พึ่งที่อาศัย แล้วอย่างอื่นเรามองข้ามไป อย่าไปสนใจ
เรารู้อยู่แล้ว วัดที่มีปัญหา ถ้ามีปัญหาแล้วเราจะไปเอาบาปอกุศลใส่ในหัวใจเราทำไม ในหัวใจของเรามันก็มีทุกข์มียากพอแรงอยู่แล้ว สิ่งใดที่มันไม่เป็นธรรม เราไม่ไปข้องแวะ ไม่ไปข้องแวะให้มันเป็นอกุศล เป็นความเศร้าหมอง เป็นความเศร้าหมองในใจของเรา ถ้าเรารู้จริง เราวางซะ อย่าไปยุ่งกับเขา
“๓. ไม่ถึงทุกข์ ไม่เห็นธรรม เวียนว่ายตายเกิด เกิดแต่เจ็บตายนี้ทุกข์จริงๆ ได้อธิษฐานว่า ถ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บแล้วจะไปปฏิบัติที่วัดหลวงพ่อให้มากขึ้น กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมากที่สร้างกุฏิไว้ให้”
ไม่เก็บตังค์ด้วย มีข้าวให้กินอีกต่างหาก ขอให้ปฏิบัติเถอะ เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านปรารถนาตรงนี้ เวลาท่านพูดนะ หลวงตา “มาวัด มาวัดให้เอาหัวใจมา”
หัวใจนั่นน่ะเอามาประพฤติปฏิบัติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนั่นน่ะ ไม่คิดตังค์ด้วย แล้วส่งเสริมอีกด้วย เพราะต้องการให้ชาวพุทธร่มเย็นเป็นสุข ต้องการให้ศาสนานี้แจ่มแจ้งขึ้นมาให้มันเป็นธรรมสัจธรรม นี่พูดถึงว่าความเป็นธรรมนะ
แต่คนที่เขาไม่เห็นกับความเป็นธรรม เขาต้องการเอาความสะดวกเอาความสบาย ไอ้นั่นให้เขาไปพักรีสอร์ต ไปหาที่พักข้างนอก
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ มันเห็นแล้วมันเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าที่ไหน เห็นคุณค่าจนควบคุมตัวเราไง ไม่ให้เราฟุ่มเฟือย ไม่ให้เราเอาแต่ใจ ไม่ให้เราออกนอกลู่นอกทาง ความจริงมันเป็นอย่างนี้ แค่นี้ มืดแล้วสว่าง สว่างแล้วมืด แค่นี้ แล้วเราจะเอาความจริง เราจะอยู่กับความจริง เราจะหาความจริง เราเอาชีวิตเราเข้าสู่ความจริง แค่นี้ แล้วปฏิบัติไปมันจะประสบความสำเร็จ
“๔. ดวงวิญญาณเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ๓๑ ภูมินั้น พระอรหันต์ซึ่งนิพพานแล้วเหนือวัฏสงสารแล้ว อยู่ที่ภูมิไหน ที่ไหน เพราะนิพพานไม่สูญอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
ก็ที่ผ่านมาไม่สูญอยู่แล้วมันไม่สูญ มันก็จบไง สูญจากกิเลส สูญจากกิเลส สูญจากวัฏฏะ แต่นิพพานก็คือนิพพาน ก็อยู่ที่นิพพานไง แล้วพูดไปแล้วเดี๋ยวมันจะเป็นประเด็น เพราะพูดไปแล้วเดี๋ยวก็เขียนมาถามอีก “วันนั้นหลวงพ่อพูดว่าอย่างนั้นน่ะ หลวงพ่อว่าอย่างไร” เออ! จบ
เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วนะ สิ้นสงสัย ไม่สงสัยแล้วไม่ถาม ไม่พูด ไม่บอก เงียบ
หลวงปู่มั่นเวลาท่านพูดต่อหน้าหลวงตา “แม้แต่อยู่หน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ถาม” ไม่ถามว่านิพพานอยู่ที่ไหน ไม่ถามอะไรเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้อยู่แล้ว
เวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลนะ มีพระไปโจษเรื่องอาบัติ เรื่องต่างๆ แล้วก็เวลาโจษแล้วพระพุทธเจ้าท่านเป็นธรรม ท่านก็เรียกประชุม เวลาท่านเรียกประชุมนะ ไอ้คนที่โดนโจษก็จะพูดว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร”
เป็นพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วก็รู้จริงๆ แต่เขาโจษ พอเขาโจษขึ้นมาแล้ว แล้วก็สอบสวน สอบสวนแล้วก็บริสุทธิ์ไง สอบสวนแล้วไม่มี
พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลที่เป็นพระที่ดีงาม แล้วไอ้พวกพระที่เป็นพระพาลโจษ โจษไปฟ้องพระพุทธเจ้า โจษพระองค์นั้นเยอะแยะไปหมด แล้วพระอรหันต์เขาก็รู้อยู่แล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอบสวนก็สอบสวนเพื่อให้เห็นความเป็นจริงเท่านั้นเอง แต่พระที่โดนโจษก็จะบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้อยู่แล้ว”
รู้ รู้แล้ว ถ้าเขาบอกว่าไอ้นี่พระอรหันต์ เรารับประกัน มันเหมือนกับเข้าข้าง ธรรมะไม่พูดว่า ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ ท่านพูดให้เป็นความจริงในวินัย จบ
“๕. พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ที่ว่าเบื้องซ้าย เบื้องขวา”
ไอ้นี่มันเป็นปัญหา ปัญหาแค่ทิศทาง แต่คำว่า “เบื้องซ้ายเบื้องขวาของเรา” เบื้องขวาคือธรรมเสนาบดี เป็นเสนาบดีแห่งธรรม เป็นผู้ที่มีปัญญารององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างผลประโยชน์ในพระพุทธศาสนา คอยแก้ไข คอยทำสิ่งที่ผิดในพระพุทธศาสนาให้เป็นสิ่งที่ถูก พระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องซ้ายที่มีฤทธิ์มีเดช เวลาพวกเดียรถีย์นิครนถ์ที่เขาแสดงฤทธิ์แสดงเดช โมคคัลลานะปราบได้หมดน่ะ
เบื้องซ้าย เบื้องขวา คือรับภาระเผยแผ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นนักรบเบื้องซ้ายและเบื้องขวา นักรบแห่งธรรม นักรบสัจจะความจริง นี้ต่างหาก ถ้าเบื้องซ้าย เบื้องขวาของเราอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ท่านเป็นแม่ทัพ แม่ทัพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก
แล้วทีนี้ชาวพุทธเราเคารพบูชา ก็หล่อรูปพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา แล้วเราก็จะไปสับสน นั่นเบื้องซ้าย นี่เบื้องขวา
ทองเหลืองเหมือนกันหมดน่ะ เขาหล่อจากทองเหลือง แบบอันเดียวกันเลย แต่ท่านให้ตั้งว่าเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เบื้องซ้ายและเบื้องขวาคือคุณธรรม คือคุณงามความดี คือท่านได้สร้างผลประโยชน์ไว้กับพระพุทธศาสนามหาศาล
แต่ทีนี้ด้วยเพราะมหาศาล ชาวพุทธเราถึงเคารพบูชา ว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ถึงสร้างรูปเคารพไว้คู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วเวลาไปมหายาน ไปในจีน อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเป็นพระกัสสปะกับพระอานนท์น่ะ
คนไปเที่ยวเมืองจีนนะ แล้วไปเห็นพระพุทธรูป ทำไมอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาองค์หนึ่งรูปแก่เฒ่าเหลือเกิน อีกองค์หนึ่งทำไมหนุ่มป๊อเลย ความเชื่อของเขา เบื้องซ้ายและเบื้องขวาคือพระกัสสปะกับพระอานนท์ เบื้องซ้าย เบื้องขวาของมหายาน
นี่ไง เวลาบอกว่า มหายาน เถรวาท
เออ! ความเชื่อมันต่างกัน แล้วความเห็นมันก็ต่างกัน แต่ถ้าปฏิบัติไปถึงแล้วสิ้นกิเลสเหมือนกัน ถ้าสิ้นนะ ส่วนใหญ่มันสิ้นจริงหรือเปล่าไม่รู้ อันนั้นคือเรื่องของนิกาย ความเชื่อแต่ละนิกาย แต่เป็นพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
นี่พูดถึงว่า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เบื้องซ้ายและเบื้องขวา หนูงงค่ะ
ไม่ต้องงง ไม่ต้องไปสนใจ พุทโธ พุทโธให้ใจสงบ อันนี้สำคัญกว่า
แต่ถ้าเป็นเบื้องซ้าย เบื้องขวาของเถรวาทที่เราเคารพบูชา ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา ท่านเป็นผู้ช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่ควบคุมพระพุทธศาสนามา เอาคุณงามความดีของท่าน เอาคุณงามความดี เอาแม่ทัพธรรมของที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา อันนั้นสำคัญกว่า จบ
อันนี้สำคัญเลย “๖. ถ้าคุณพ่อคุณแม่ดื่มเหล้า เล่นการพนัน ลูกหลานตำหนิคุณพ่อคุณแม่มันจะบาปไหมคะ แล้วเถียงพ่อเถียงแม่บาปไหมคะ ความคิดและหน้าที่การงานของแต่ละรุ่นมันเปลี่ยนค่ะ บางทีเถียงกันหนักๆ เข้าขั้นทะเลาะกัน เรารู้แล้วว่าผู้ใหญ่ทำผิด แต่เขาไม่สำนึก แล้วเถียงกันอย่างนี้กับพ่อกับแม่บาปไหมคะ”
บาปสิคะ บาปสิคะ ใช่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ ให้ชีวิตเรานี้มา ให้ชีวิตเรานี้มานะ ถ้าเราเป็นลูกอภิชาตบุตร ลูกที่ดีงาม เราทำตัวของเราดีงาม อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ตัวเราประพฤติปฏิบัติอยู่ในระเบียบในวินัย พ่อแม่จะเกรงใจ พ่อแม่จะไม่ให้เราทำความดีได้อย่างไร
แต่ด้วยธรรมชาติ ด้วยทิฏฐิมานะของคน ถ้าพ่อแม่อย่างไรก็ถือทิฏฐิว่าสูงกว่า ถึงจะผิดก็อาย ไม่กล้าพูด แต่จะเอาความถือตัวว่าเป็นพ่อเป็นแม่เอามาข่ม
ไอ้นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรารู้เรื่องกิเลสนะ เรื่องของทิฏฐิของพ่อของแม่ เขาต้องยิ่งใหญ่กว่าลูกอยู่แล้ว เราก็ใช้ตรงนี้เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ใช้ตรงนี้ให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนไปซะ
ถ้าพ่อแม่เขาถือว่าเขาเป็นเจ้าของ เขาเป็นเจ้าของชีวิต ไอ้เราก็จะดิ้นรนพราดๆๆ เลย จะไปโต้แย้ง ไร้ประโยชน์ โต้แย้งไปมันมีแต่การโต้แย้ง
เราต้องทำตัวใหม่ ทำตัวให้ติดดินเลย ให้เรียบราบไปเลย แล้วส่งเสริมให้ท่านอยู่ของท่านอย่างนั้น แล้วเราทำตัวของเรา เราทำตัวของเรา เช่น เราเคยทำอะไรไม่ดี เราก็ทำให้ดีขึ้น แล้วเขาก็เห็นเขาก็มอง ถ้าเขาเห็นเขาก็มองว่าเราดีขึ้นๆ เอ๊ะ! มันดีขึ้นเพราะอะไร ดีขึ้นเพราะว่าไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นการพนัน นี่เวลาเขาเห็นขึ้นมาน่ะ
ใช่ การดื่มเหล้า การเล่นการพนันนะ มันสูญเสียทรัพย์สินมาก แล้วสูญเสียทรัพย์สินมาแล้วเราจะต้องหามาใช้หนี้ใช้สินด้วย ความใช้หนี้ใช้สิน ตอนนั้นเราค่อยๆ พูด ค่อยๆ พูด ค่อยๆ บรรยาย
ถ้าพูดนะ ไอ้การเถียงพ่อเถียงแม่ ถ้าใช้คำว่า “เถียง” นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ใช้คำว่า “การเจรจา” การพยายามควบคุมการเปลี่ยนแปลงให้ทำให้ดีขึ้นมา ให้ดีขึ้นมา อะไรผิดอะไรถูก
จะบอกว่า ผู้ใหญ่ก็รู้ว่าผิดอยู่แล้ว แต่เขาไม่สำนึกตัว ไม่สำนึกตัวเพราะความเคยชิน เพราะเขาไม่มีศีล เขาไม่เคยทำ หรือตอนที่ว่าเราเป็นลูกเล็กๆ อยู่ เขาขวนขวายเพื่อหาเลี้ยงอยู่เลี้ยงดูพวกเรา ตอนนั้นท่านทุกข์ท่านลำบากของท่าน เวลาท่านสะดวกสบายขึ้นมา ท่านก็อยากจะใช้ชีวิตแบบนี้บ้าง เราก็ต้องคิด
ถ้ามันเคยทุกข์เคยยากมา มันไม่เคยใช้ชีวิตอย่างนี้มา เวลาเขามีเงินมีทองขึ้นมาเขาก็อยากจะลองกินเหล้าเมายาของเขาบ้าง ถ้าเราเห็นสภาวะแบบนั้น เราก็ต้องมาเห็นเรื่องความจำเป็นตอนที่ว่าเขาเลี้ยงดูเรามา ตอนที่ขวนขวายเพื่อเลี้ยงดูแลลูก ๔-๕ คนมันต้องทุกข์ต้องลำบาก แต่พอมันโตขึ้นมาแล้วมันสุขสบายได้บ้างก็อยากจะหาสุขหาสบายของตัวเล็กๆ น้อย
เวลาเขาพูดนะ กินเหล้าเมายามันสุขเล็กๆ น้อยๆ
แต่ไอ้เรามันไม่น้อยน่ะสิ เราก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม
อันนี้เราพูดถึงนะ แค่ศีล ๕ มันก็ผิดแล้ว สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา มันผิดศีลข้อ ๕ ไอ้คำว่า “ผิด” เราว่ามันผิดอยู่แล้ว แต่ทิฏฐิมานะเรื่องกิเลสในใจของคนมันจะเอาชนะเอาแพ้กัน
การที่จะเอาชนะเอาแพ้กัน แล้วเราเอาความอยากแพ้อยากชนะกันมาต่อรอง เวลามาต่อรอง การเป็นพ่อเป็นแม่ อย่างไรเขาก็ไม่ยอม อย่างใดๆ เขาก็ไม่ยอม มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เจรจาแล้วเขาบอกเขายอมแพ้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว ตรงนี้ไง
นี่เราพูดถึงผลของวัฏฏะนะ เราพูดถึงทุกชีวิตที่เกิดในโลกนี้ เราไม่ได้พูดถึงชีวิตของเราเท่านั้น กิเลสมันเป็นแบบนี้ ทิฏฐิมานะของคนมันเป็นแบบนี้ แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราศึกษาพระพุทธศาสนาแล้ว ในเมื่อกิเลสมันเป็นแบบนี้แล้วเราก็จะเอาการโต้แย้งเพื่อเอาชนะกัน มันได้ประโยชน์อะไร การโต้แย้งมันไม่ชนะกัน มันไม่ชนะกันแล้วทำให้พ่อแม่ถลำไปลึกกว่านี้อีก
แต่ถ้าเราเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เราเอาความดีเข้าให้ท่านเห็น ถ้ามันได้ มันได้นั่นคือการแก้พ่อแก้แม่ ถ้ามันไม่ได้ มันไม่ได้มันก็กรรมของสัตว์
นี่ไง หลวงตาท่านสอนไง ห้ามเถียงพ่อเถียงแม่ ห้ามเถียง ถึงพ่อแม่จะผิดก็ห้ามเถียง นี่หลวงตาท่านพูดไว้อย่างนี้เลย
คำว่า “ห้ามเถียง” เพราะอะไร เพราะมันเถียงไปแล้วมันทำให้แต่ลึก ไอ้ทิฏฐิมานะ ไอ้ความจะเอาชนะคะคานกันมันมีแต่ลึกไปๆ เอาชนะกันมากขึ้น แล้วมันจะแก้ยากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าดีที่สุด เงียบซะ
วันนี้กินเหล้าขวดหนึ่งเมา พรุ่งนี้เอาสองขวด พรุ่งนี้เอาสามขวดเลย
เขาก็รู้ เพียงแต่ว่ามันเป็นการยอมกันไง ถ้าเรายอมซะ เรายอมซะ เราก็รู้ว่ามันผิด บอกเลย “หนูไม่เห็นด้วย หนูไม่ต้องการ แต่พ่อแม่จะทำอย่างนี้ก็เอา แต่หนูไม่ชอบ” แค่นั้นพอ แล้วเราทำตัวเราดี
ไม่ใช่ประชดนะ พ่อกินสามขวด เรากินห้าขวด โอ๋ย! อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
นี่พูดถึงว่า ถ้าพ่อแม่ดื่มเหล้า เล่นการพนันนะ ผิดศีล ๕ อบายมุขมันก็ไปสู่อบายภูมิ ถ้าเราทำสิ่งที่ดีงามมันก็เป็นศีลเป็นธรรม ถ้าเป็นศีลเป็นธรรม มันก็ต้องมาจากความพอใจในใจของเขา
ถ้าความพอใจในใจของเขานะ แล้วมันเป็นกรรมของสัตว์ๆ นะ บางคนมันก็รู้ดีรู้ชั่วทั้งนั้นน่ะ เราว่าทุกคนรู้หมด ไอ้พวกกินเหล้าเมายาเขาก็รู้ว่าเขาทำสุขภาพเขาเสียหาย เจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องไปหาหมอ หมอเขาบอกว่า งดเหล้า งดบุหรี่ หมอก็สั่ง หมอก็บอก เขาก็รู้ดีรู้ชั่ว แต่เขาทนกิเลสเขาไม่ไหวไง เขาทนความอยากในใจไม่ไหว
ความอยากในใจ เพราะทำไปมันก็ผิด แล้วก็รู้ว่าผิดด้วย แต่ความอยากในใจมันทำ มันเรียกร้อง มันจะทำ ถ้ามันทำไป เราค่อยๆ คุย ค่อยๆ เจรจา
ทุกคน เราเข้าใจว่าทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดีนะ แล้วพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกเป็นคนดีด้วย แล้วถ้าพ่อแม่ที่ดีนะ จะทำตัวเป็นตัวอย่างด้วย ไม่ทำตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูก แต่นี่เขาทำอย่างนั้น ค่อยๆ เถียง ค่อยเจรจาไป
เขาบอกว่าถึงขั้นทะเลาะกันเลย
ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ ภาษาเรานะ เห็นแล้วเราเฉยเสียดีกว่า ทั้งๆ ที่มันเสียดแทงหัวใจนะ มันเสียดแทง เพราะคนที่ไม่ติดเหล้า ไม่ติดการพนัน มันบอก ของเล็กน้อย หยุดก็เลิก เลิกไม่ไปก็จบ พูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่คนที่ติดทำไม่ได้
ถ้าคนที่ติดทำไม่ได้ ก็ผ่อนกัน ต่อรองกันไปเรื่อยๆ ให้ลดลงน้อยลง จากมากให้เหลือน้อย ถ้าจากน้อยให้จบสิ้นกันไป พอถ้าจบสิ้นกันไปนะ ทั้งพ่อทั้งแม่และเราจะเห็นคุณประโยชน์ ประหยัดมัธยัสถ์ มีทรัพย์ที่เหลือ สุขภาพก็แข็งแรง ครอบครัวก็มีความสุข ถ้ามันเข้าสู่ศีลสู่ธรรม มันดีงามไปหมดเลยทั้งครอบครัว แล้วอบอุ่นด้วย
แต่เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม เพราะเราเกิดมาเจอสภาพแบบนี้ ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ถ้าเถียงกันไป มันจะเป็นบาปไหมคะ
ถ้าเราคิดว่ามันจะเป็นบาปแล้ว มันจะเป็นบาปเป็นกรรมไง เด็กๆ นะ ในพระไตรปิฎก พ่อแม่รักลูกมาก อุ้มลูกไว้ไง ลูกมันก็เล่น เอามือตบหน้าแม่ๆ ตายไปมือเป็นใบตาลเลย ตบหน้าแม่ที แม่ก็หัวเราะนะ เออ! ลูกมีความสุข ลูกยิ้มแย้มแจ่มใส
ลูกมันเล่น มันก็ฟาดไปฟาดมา ตบหน้าพ่อตบหน้าแม่ ตายไปนะ มือเป็นใบตาลลำตาลเลย ไม่ได้มีเจตนา แล้วพ่อแม่ก็พอใจด้วยนะ ตบแป๊ะ หัวเราะด้วย ลูกตัวเองมันไร้เดียงสา ลูกตัวเองมันมีความสุข ตบแป๊ะๆ พ่อแม่ก็ดีใจ เพราะลูกมันสนุกมัน ไม่มีโทษอะไรเลย ตายไปนะ มือเท่าลำตาล เพราะได้ตบหน้าพ่อหน้าแม่ อันนั้นเป็นบาปเป็นกรรม
ถ้าเป็นบาปเป็นกรรม หนูจะเป็นบาปหรือไม่คะ
เพราะเราเถียงโต้แย้ง ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ ความทุกข์ใจของพ่อแม่ เราก็บาปแล้ว เราบาปเรากรรมแล้ว พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกไง แต่มันเป็นหน้าที่ หน้าที่เราจะต้องเปิดตาใจของพ่อของแม่ให้ได้ว่า อบายมุขมันจะพาพ่อแม่ไปสู่อบายภูมิ
แต่ถ้ามันมีศีลมีธรรม มันจะพ่อแม่ไปสู่สวรรค์ ไปสู่สุคติ เราอยากให้พ่อแม่เราไปสู่สุคติ ความสู่สุคติ สุคโต มันต้องสุคโตตั้งแต่มีชีวิตอยู่
การมีชีวิตอยู่ ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้า ไม่ผิดศีล นี่คือสุคโตไง สุคโตตั้งแต่มีชีวิตอยู่ ตายไปมันก็สุคโต เราก็อยากให้พ่อแม่เป็นอย่างนั้น แต่พ่อแม่ไม่เห็นเจตนาของเราตรงนี้ไง
พ่อแม่บอกว่า อู้ฮู! กูเลี้ยงมึงมานะ เหล้าขวดหนึ่งก็ซื้อให้พ่อแม่กินไม่ได้เชียวหรือ ทวงอีกต่างหาก กูส่งเสียมึงเรียนมาตั้งเท่าไร เหล้าขวดหนึ่งเท่าไรเอง
แต่เขาไม่ได้เห็นหรอกว่าไอ้นั่นอบายมุข เราน่ะซื้อให้ได้ ซื้อให้เป็นลังก็ยังได้เลย แต่ไม่อยากให้พ่อแม่ได้กิน ไม่อยากให้พ่อแม่ได้เสียสุขภาพ แล้วมันเป็นอบายมุข มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม อยากให้พ่อแม่เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่อธิบายกันได้ยาก เพราะสายบุญสายกรรม มันมีเวรมีกรรมต่อกัน ฉะนั้น เราค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ไขไปเนาะ นี่พูดถึงว่าบาปไหม เขาถามนะ จบ
“หลวงพ่อสอนว่า การปฏิบัติธรรมต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดี ระหว่างปฏิบัติมันจะได้ไม่ผิดๆ ถูกๆ แล้วไม่ได้อะไรไปเลย”
อันนี้มันอยู่ที่ความเชื่อนะ ศรัทธาความเชื่อของคน เวลาพระเราเวลาธุดงค์ไปหรือเปลี่ยนวัดไป เขาให้ดูอาจารย์ของเรา ให้ดูอาจารย์ของเราว่านิสัยจะเข้ากันได้หรือไม่ เขาให้ดูกัน ๗ วัน ถ้า ๗ วันแล้วถ้าไม่ขอนิสัยต้องแยกจากกันไป ไม่อย่างนั้นมันปรับอาบัติปาจิตตีย์ เพราะอะไร เพราะไม่ขอนิสัย ไอ้นี่แม้แต่พระที่อยู่ด้วยกันเขายังต้องดูนิสัย
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดี ครูบาอาจารย์ที่ดี ดีจริงๆ นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดินนี่นวดเต็มที่เลยเพื่อจะปั้นโอ่ง ครูบาอาจารย์ที่ดีมันต้องตี เหล็กจะตีได้ต้องใส่ในเตา แล้วสูบลมให้มันแดงๆ เลย แดงๆ แล้วออกมาตี
ครูบาอาจารย์ที่ดีนะ ท่านคอยบอก คอยชี้ คอยแนะ ไอ้เราก็เบื่อฉิบหายเลย แต่ถ้าครูบาอาจารย์โอ๋ไปก็โอ๋มา นั่นครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี ลูกศิษย์ผิดก็ไม่บอก ลูกศิษย์ผิดก็เอาอกเอาใจไง เห็นไหม ไปวัดไหนนะ โอ๋ๆ เจริญพรๆ
ไปหาหลวงตาสิ ขึ้นไปบนศาลานะ แล้วท่านขัดศาลาไว้สะอาด ปูเสื่อไว้ โยมส่วนใหญ่ขึ้นไปแล้วเหยียบ มันจะลื่นไปเลย ล้มเลยล่ะ
พอล้มแล้วหลวงตาท่านบอกเลย “ศาลานี้ไม่ชอบคนเซ่อ”
นึกว่าจะโอ๋ จะได้ชม ขอโทษนะ แหม! ลูกศิษย์เราทำไม่ดี ทำให้โยมต้องลื่นล้ม ไม่ใช่
ท่านจะบอกเลย ศาลานี้ไม่ชอบคนเซ่อ คนต้องมีสติ การเหยียด การคู้ การเดินต้องมีสติระวัง นี่ท่านไม่เจริญพร
อาจารย์ที่ดีและอาจารย์ที่ไม่ดีอยู่ที่เหตุผล เหตุผลว่าท่านชักนำเราไปที่ไหน ชักนำเราพยายามให้ละให้วาง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เป็นของเดิม ของเก่าแก่ เราไม่ต้องการไม่ปรารถนาอย่างนั้น
เราปรารถนาจะรื้อค้นหาสัจจะหาความจริงในใจของเรา แล้วสัจจะความจริงในใจของเรามันโดนอวิชชาความไม่รู้มันปิดบังไว้ แล้วคนจะมาชี้จะมาบอก มันจะคอยว่าเลย “คนอื่นว่าถูก เวลาหนูว่าอะไรก็ผิดๆๆ เวลาคนอื่นถูกหมดเลย”
นั่นก็คนอื่น ไม่ใช่มึงไง ก็ไม่ใช่ใจเอ็งไง ไม่ใช่ความถูกผิดในใจไง เขาเอาความถูกความผิดในใจ แล้วเอาความถูกความผิดในใจแล้วนะ เวลาอุบายวิธีการอบรมให้เข้ามาถึงใจ ครูบาอาจารย์อย่างนี้หาที่ไหน คนชี้ขุมทรัพย์เลยล่ะ ขุมทรัพย์ในใจที่เราไม่รู้จัก
ดูสิ เวลาหาน้ำมันดิบ น้ำมันดิบอยู่ในหัวใจแล้วเจาะไม่ได้ๆ มีคนบอกให้เจาะน้ำมันดิบในใจเอ็ง เอ็งจะได้เงินทองมหาศาลขนาดไหน เอ็งจะบอกคนนั้นไม่ดีๆ อีกหรือ ไอ้คนที่หลอกมึงไปลงทุน ลงทุนแล้วไม่ได้อะไรเลย ไอ้นั่นดีใช่ไหม
นี่พูดถึงว่าหาอาจารย์ที่ดีไง พอบอกหาอาจารย์ที่ดีแล้วมันขึ้นเลยนะ มันดีตรงไหนวะ ดีที่เจริญพรหรือดีที่ชี้ขุมทรัพย์
คนที่จะชี้ขุมทรัพย์ของเรานี่หาไม่ได้ หาแสนยาก ขุมทรัพย์ของเราแท้ๆ อยู่กับใจเราแท้ๆ เรายังหาไม่เจอ ให้ครูบาอาจารย์ของเราหักเข้ามา ปัญญาคือการทวนกระแสกลับเข้าไปสู่จิตของตน
ถ้ามันเข้าไปสู่จิตของตนได้ มันไปค้นคว้าจิตของตนได้ หลวงตาเวลาท่านสิ้นกิเลส กราบแล้วกราบเล่าๆ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไร ท่านรู้ได้อย่างไร เวลาเรารู้แล้วมันขนาดนั้นนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปี เวลาหลวงตาท่านสิ้นของท่าน ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้น เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีนั้น เวลากราบ เห็นไหม
หาอาจารย์ที่ดี เวลาบอกว่าหาอาจารย์ที่ดี มันก็กรรมของสัตว์ ดีหรือชั่วมันอยู่ที่ว่าอำนาจวาสนาของเราไง ถ้าอำนาจวาสนาของเรา มันให้คะแนนเอง ดีหรือชั่วมันตัดสินของมัน ไม่ได้ตัดสินที่สัจจะความจริงไง เพราะกิเลสมันมีในใจใช่ไหม เราก็ว่าเราอยากหาอาจารย์ที่ดี แต่พอไม่ถูกใจล่ะดิ้นพราดๆ เลย
แต่ถ้ามันถูกใจ ถูกใจคือถูกกิเลส ถูกใจคือการส่งเสริมกิเลส
มันขัดใจ ขัดใจคือขัดกิเลส ขัดกิเลสในใจของเรา
มันเคยตัวแล้วไม่มีใครชี้นำ ครูบาอาจารย์ เวลาหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ตีหัวกิเลส ตีหัวกิเลสเลย ตีหัวไอ้หัวใจ ไอ้กิเลสในใจเอ็งนั่นน่ะ ไอ้ที่มันขัดมันแย้งในใจนั่นน่ะ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตีหัวกิเลส เอวัง