เทศน์พระ

มีไฟ

๒๖ ธ.ค. ๒๕๖๒

มีไฟ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


เทศน์พระ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


เราตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะเพื่อสัจธรรม เพื่อการประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม

ถ้าพ้นปีเก่าไป สิ่งที่ทำมาแล้ว สิ่งใดที่มันไม่ถูกต้องดีงามทิ้งมันไป ปีใหม่เอาใหม่ เราจะเอาความจริงในหัวใจของเราไง ถ้าเราจะเอาความจริงในหัวใจของเรานะ ถ้าคนเรามันยังสดชื่นแจ่มใสอยู่ มันยังทำประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องดีงาม ได้การประพฤติปฏิบัติมา สิ่งใดที่มันไม่เข้าสู่สัจธรรม อันนั้นก็เป็นประสบการณ์ มันต้องมีประสบการณ์การทำงาน ประสบการณ์ของการทำงานมันกี่ปีๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน ทำมาแล้วล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน เอาไว้ข้างหลัง สิ่งที่ต่อไปข้างหน้านี้เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเราให้เข้าสู่สัจจะความจริงๆ เวลามันเข้าสู่สัจจะความจริงมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก หัวใจดวงนั้นร่มเย็นเป็นสุข หัวใจดวงนั้นๆ น่ะ เห็นไหม หัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้น ผู้ที่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไง

นี่ก็หัวใจของเราๆ หัวใจของเรานี่แหละ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา มันต้องมีความร่มเย็นเป็นสุขสิ ถ้าความร่มเย็นเป็นสุข ทำอะไรอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ คำว่า “อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้” ธรรมมันเหนือโลกไง เหนือโลกเหนือสงสาร โลกสงสารมันเป็นอยู่อย่างนี้ไง ถ้าโลกสงสารเป็นอยู่อย่างนี้ เราอาศัยเขาอยู่ๆ แต่เราหาความจริงในหัวใจของเราไง

ถ้าหัวใจของเราผู้ที่มีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อเขาพยายามแสวงหา เขาพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ของเราถ้ายังมีไฟอยู่ไง ถ้ายังมีไฟอยู่มันยังสดชื่นนะ คนที่มีไฟอยู่ ดูรถ ถ้ามันสมบูรณ์แบบของมัน มันสมบุกสมบันไปได้ทั้งสิ้น

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราไง ถ้าเรายังมีไฟอยู่ ถ้ามีไฟอยู่มันสดชื่นมันแจ่มใส มันองอาจกล้าหาญ มันกล้าเข้าไปเผชิญกับกิเลสในใจของตน ไม่ใช่ไปเผชิญกิเลสของใครทั้งสิ้น

ขันติบารมี ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเขาติฉินนินทาเรา เราทนได้ นี่บารมีอย่างหยาบๆ ผู้ที่เสมอกันแล้วเขาชี้ช่องบกพร่องของเรา แล้วติเตียนเราได้ นี่บารมีอย่างกลาง ผู้ที่ต่ำต้อย ผู้ที่ไม่มีอำนาจวาสนาเลย เขาติเตียนเราได้ นั่นน่ะบารมีอย่างเอก ถ้ามันมีบารมี เห็นไหม

ผู้ที่ว่าเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา เราจะเข้าไปเผชิญกับสัจจะความจริงในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้ามันมีสิ่งใดกระทบกระเทือนจากภายนอก ถ้าเรามีขันติบารมี แล้วบารมีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ถ้ามีสัจจะมีความจริงในใจของตน นี่ถ้ามันมีไฟ

คนมีไฟมันอาจหาญ มันรื่นเริง มันสดชื่นน่ะ มันยิ้มแย้มแจ่มใสถ้ามันมีไฟ แต่เวลามันใช้ไป ประพฤติปฏิบัติไป มันก็ธรรมดา เวลาคุ้นชินสิ่งใดแล้ว มันคุ้นชินแล้วมันเลินเล่อ มันทำสิ่งใดแล้วมันมีความผิดพลาดตลอดไป

แล้วถ้ามันหมดไฟล่ะ

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระจะสึก เวลาคนจะคลอดบุตร ห้ามไม่ได้ๆ เวลาหมดไฟแล้วมันไปเลย มันไม่มีกำลังใจที่จะสู้สิ่งใดๆ เลย

แต่ถ้าคนมีไฟ เรายังมีฟืนมีไฟในหัวใจของเราอยู่ เรายังกระทำของเราอยู่ ชีวิตนี้ยังไม่สิ้น เรายังพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะพยายามค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของเรา

ถ้ามีสติ ไม่ต้องพูดเลย มันครอบคลุมได้หมดน่ะ

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ สติมันเหมือนฝ่ามือที่กั้นพายุร้ายได้ ถ้ามีสติ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติ เราอยู่กับท่ามกลางพายุร้าย ท่ามกลางโลกธรรม ๘ กระหน่ำใส่เรา เรามีสติสัมปชัญญะ ยิ้มเลย สติ ถ้าสติตัวจริงมันอยู่ที่ใจของเราไง

ส-เสือ ต-เต่า สระอิ สติๆๆ อยู่ข้างนอกนู่น นู่น ตามหาไม่เจอ กว่าสติจะคืนมานะ โอ๋ย! เกือบตาย ทุกข์เกือบตาย ถ้ามันอยู่กับเรานั่นสติตัวจริง นี่ถ้ามีสติตัวจริง

ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะ หลวงตาท่านสอนว่า ถ้าขาดสตินั้น สิ่งที่ทำนั้นสักแต่ว่าทั้งสิ้น ถ้ามีสติแล้ว เราจะยืน เดิน นั่ง นอน เราจะกระทำสิ่งใดมันสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น

สติตัวนั้นน่ะมันเป็นตัวชี้ช่องเลยว่าถูกหรือผิด ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะทำความจริงของเรา

เรายังมีไฟอยู่ ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะนะ ก็เรายังมีชีวิตอยู่ไง ชีวิตมันมีค่า มีค่าที่นี่ไง มันมีค่า มันได้ยินได้ฟังอยู่ มันยังมีโอกาสได้แก้ไข

เทวทัตๆ น่ะ เวลามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา จะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่ได้มาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ได้ทำแล้วมันเป็นเวรเป็นกรรมทั้งสิ้น ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมทั้งสิ้น เทวทัตต้องตกนรกอเวจีไปก่อน พอถึงที่สุดแล้ว เพราะว่าได้สติสัมปชัญญะขึ้นมา รู้จักถูกจักผิด ในอนาคตกาลพระเทวทัตจะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

สิ่งที่ทำมามันมีทั้งดีทั้งชั่ว เวลาสิ่งที่ดีงาม ทำฌานโลกีย์ได้ เวลาแปลงเป็นงูไปอยู่บนหัวอชาตศัตรู นั่นเขาก็ทำของเขาได้ ทำของเขาได้แต่มันไม่เข้าสู่มรรค มันไม่เข้าสู่สัจจะความจริง ถ้ามันเข้าสู่มรรค เข้าสู่สัจจะความจริงนะ สิ่งที่กระทำนั้นมันไม่กล้ากระทำหรอก มันมีความละอาย

มันเป็นกิเลส มันฟูขึ้นมาในหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระที่เป็นธรรมเขาเห็นหมดน่ะ มันไม่ถูกต้องดีงามทั้งสิ้น แต่การกระทำของกิเลสมันขับไส เวลาทำสิ่งใดขึ้นมา ถ้ามีสำนึกได้ มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาสำนึกได้ ขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เทวทัตจะไม่ได้เห็นหน้าเราเลยชาตินี้

มาถึงหน้าประตูวัด ยังไม่ได้เข้าเลย ธรณีสูบไปเลย นั่นน่ะ แต่เขายังได้สติสัมปชัญญะกลับมานะ

นี่ก็เหมือนกัน เราจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ถ้าเรายังมีไฟ เรายังมีไฟอยู่ เราพยายามขวนขวายของเรา มีการกระทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ เพื่อประโยชน์กับเราๆ น่ะ มันเป็นสมบัติของเราทั้งสิ้น

เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาจะกี่ก้าวก็แล้วแต่ นั่นผลการกระทำของเรา หัวใจรับรู้ทั้งสิ้น ผลออกมาจากหัวใจ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งปีทั้งชาติ มันจะเดินแล้ววนไปกี่รอบโลก มันก็เรื่องของการสมมุติบัญญัติที่วัดขึ้นมา แต่ในหัวใจของเราก็เพื่อหัวใจดวงนี้ไง ถ้าเพื่อหัวใจดวงนี้มันมีการกระทำไง เพื่อใจของเรานะ

เดินจงกรม เวลาเข้าทางจงกรมเลย ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมมันมีความรู้สึกอย่างนี้ ทำไมมันเลวทรามอย่างนี้

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าจะเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงามขึ้นมา ท่านเพ่งโทษตัวเอง

หลวงตาท่านพูด ไอ้ที่ท่านออกมาสั่งสอนประชาชนน่ะ ออกมาสั่งสอนพระ มันน้อยกว่าสั่งสอนตัวเอง เวลาด่าตัวเองๆ ด่าตัวเองตลอด พยายามค้นหาความผิดพลาดไง พยายามค้นหาความบกพร่องของตนไง ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ ทำไมไม่ทำอย่างนั้นๆ นี่ไง เข้าทางจงกรมไล่ต้อนกันเลย พิสูจน์เลย ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมเราทำไม่ได้อย่างนี้

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา เวลาพยายามค้นคว้าหาความผิดพลาดของตน นั่นยิ่งใหญ่นัก เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อหัวใจดวงนี้ไง ถ้ามันมีไฟอยู่ มันทำอย่างนี้ไง

แต่ถ้ามันหมดไฟ เรานี่มันเทวดาเลย คนทั้งโลกเลย ผิดหมดเลย ตัวเองถูกอยู่คนเดียว

แล้วมันถูกหรือไม่ล่ะ

เราจะถูกต้องหรือเราจะผิดพลาดสิ่งใดก็ตาม มันก็เป็นเวรเป็นกรรมของเราทั้งสิ้น เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดีทิ้งเหว ทำคุณงามความดีแล้วมันก็คือคุณงามความดี

พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านทำคุณงามความดีของท่านมาตลอดจนเป็นจริตเป็นนิสัย มันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วทำเป็นเรื่องปกติเลย นั่นเวลาคนที่เป็นธรรมๆ สิ่งที่ถ้ามันมีไฟ มันมีไฟมันทำสิ่งใดมันทำเต็มไม้เต็มมือ แล้วทำด้วยความสัจจะตามความเป็นจริง ไม่ใช่เล่ห์กลของทางโลกเขาไง ถ้าเล่ห์กลทางโลก เห็นไหม ได้มาด้วยเล่ห์ด้วยกล ด้วยมนต์ด้วยคาถา ได้มาทำไม

เราเสียสละแล้ว เริ่มต้นจากการบวชนี่ การบวชของเรา สิทธิเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีสิทธิตามกฎหมายทำอะไรก็ได้ มีเสรี เราเสียสละ เราเสียสละชีวิตของการเป็นฆราวาส เรามาบวชเป็นพระมีศีล ๒๒๗ มีอาวุโสภันเต มีสัจธรรมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ยังไม่มีในเรา

เราเสียสละมาจากโลกแล้ว แล้วจะไปแข่งขันอะไรกับเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เขาไว้กับโลกนั้น

ถ้าเรื่องของธรรมๆ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค เกิดมรรคเกิดผล เราต้องการ เราอยากได้ เราต้องการ เราอยากได้ขึ้นมา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราก็อยากมีความสงบมีความระงับของเรา ถ้ามีความสงบความระงับของเรา มันมีฟืนมีไฟในหัวใจนะ

ถ้ามีฟืนมีไฟในหัวใจ เวลาหลวงตาท่านชมหลวงปู่ขาว เคี้ยวเพชรแหลกเลยล่ะ

เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติ พวกญาติพวกตระกูลของตนมันอยู่สุขอยู่สบายอยู่แล้ว ญาติตระกูลของตนดูแลรักษาอยากให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขในวัดนี้ ทำไมต้องไปทุกข์ไปยาก

เวลาหลวงปู่ขาวท่านจะออกจากวัดนั้นไปนะ ท่านตั้งปฏิภาณในหัวใจเลย ถ้าได้ก้าวออกจากวัดนี้ไป ถ้าไม่สิ้นกิเลสจะไม่หันหน้ากลับมาอีกเลย แล้วท่านไปของท่านนั่นน่ะ นี่หัวใจเพชร มันเคี้ยวเพชรแหลกเลย หัวใจที่มันจริงจัง เพชรนี่เคี้ยวแหลกเลย แล้วไปตั้งสัจจะ ไปเผชิญกับกิเลส

เวลาเผชิญกับกิเลสข้างหน้านะ มันไปเผชิญโลก เผชิญโลกเราก็เห็นว่าเราเผชิญกับสังคมไง แต่จริงๆ ไปเผชิญกับกิเลสของตัวทั้งสิ้น กิเลสพอใจไม่พอใจ ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี มันติฉินนินทาเขาไปทั่ว ไปเผชิญกับกิเลสในใจของตนไง

โลกก็เป็นโลกอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ในปัจจุบันนี้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรามาฟื้นฟูของเราขึ้นมา แล้วเราจะมาประพฤติปฏิบัติ

ในสังคมของชาวพุทธ ชาวพุทธเขาต้องการบุญกุศลของเขาอยู่แล้ว เขาพยายามส่งเสริมเพื่อให้ศากยบุตรพุทธชิโนรสให้ประพฤติปฏิบัติได้ผลตามความเป็นจริง นี่คนส่งเสริมมีอยู่แล้ว ส่งเสริมในปัจจัยเครื่องอาศัย ส่งเสริมในการกระทำ ส่งเสริมสัจธรรมในหัวใจเราไม่ได้

ในสัจธรรมของเรามันต้องเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่จะเกิดขึ้นกับเรา แล้วมันเป็นวาสนานะ โอกาสอย่างนี้โดยทั่วไปเขาเรียกร้อง เขาอยากได้โอกาสอย่างนี้ โอกาสที่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วได้มาบวชเป็นพระ เป็นนักรบ แล้วรบกับกิเลสของตน นี่คือโอกาสทอง โอกาสของเราทั้งสิ้นเลย วันเวลา ๒๔ ชั่วโมงประพฤติปฏิบัติ เราเข้าไปเผชิญกับกิเลสในหัวใจของเราสิ สู้กับมันๆ ถ้ามันมีไฟ

มันมีไฟนะ มันสนุก มันสนุกมันสนาน มันไปเผชิญกับมันไง เราเผชิญกับมัน แล้วถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันพิจารณาของมันนะ กองทัพกิเลสกับกองทัพธรรมมันเข้าต่อสู้ประหัตประหารกันท่ามกลางบนหัวใจของเรานะ มันฟัดมันเหวี่ยงกัน แล้วเราเป็นคนมีสติสัมปชัญญะควบคุมดูแล เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่เป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้าจิตใจมันมีไฟ มันมีการกระทำ มันมีความเพลิดเพลินแล้วมีความมหัศจรรย์

มหัศจรรย์นะ เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส กราบแล้วกราบเล่าๆ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้ได้อย่างไรๆ

รู้ได้อย่างไรล่ะ แล้วที่เราเป็นอยู่นี่ล่ะ ที่เราเป็นอยู่นี่ถ้ามันหมดไฟไง คอตก หมดไฟ คอตกนะ แล้วกิเลสมันก็เหยียบย่ำทำลาย กระทืบซ้ำๆๆ

ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมานะ เชิดหน้าขึ้นมาเลย สะบัดหน้าสู้กับมัน!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธก็เป็นมนุษย์ ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นมนุษย์ ท่านมุมานะบากบั่นของท่าน ลูกศิษย์ลูกหาเต็มทั่วท้องฟ้าเมืองไทย ท่านไม่สนใจเลย ท่านสนใจแต่ในหัวใจของท่าน ท่านสนใจแต่ธรรมทายาท เวลาสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของศาสนา

เวลาผู้ที่ออกประพฤติปฏิบัตินะ เราออกประพฤติปฏิบัติ ทุกคนมันมีกิเลส ทุกคนมีความวิตกกังวลทั้งสิ้น มันจะเป็นไปได้ไหม เราจะมีโอกาสหรือไม่ ทำแล้วมันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ มันมีความวิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ แล้วมันต้องมีผู้ที่มีอำนาจวาสนาคุ้มครอง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นคุ้มครอง เราได้รับการคุ้มครองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมและวินัย

ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเขามีกฎหมาย เขามีอำนาจรัฐคุ้มครอง คุ้มครองเรา คุ้มครองเราให้มีสิทธิเสรีภาพเป็นภิกษุผู้เป็นนักรบได้ออกรบกับกิเลสในใจของตน มีสิทธิการบิณฑบาต มีสิทธิการอยู่ในเรือนว่าง มีสิทธิๆ นี่เขาคุ้มครอง

แล้วคุ้มครองไปทำไม คุ้มครองให้ประพฤติปฏิบัติไง

ถ้ามันมีไฟ มันมีไฟมันยิ้มแย้มแจ่มใส โอกาสอย่างนี้มันหาได้ยาก แล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา มันก็เกิดจากการกระทำของเรา

ศีล ๕ หลวงปู่ฝั้นท่านสอน ศีล ๕ คือศีรษะ ๑ แขน ๒ เท้า ๒ เป็น ๕ นี่ศีรษะ ๑ แขน ๒ เท้า ๒ เป็น ๕ ศีล ๕ ศีล ๕ มันมีอยู่แล้ว ศีลเป็นความปกติของใจ

ใจของเรา ถ้าเราเป็นพระ เป็นพระทั้งทางร่างกายและจิตใจ เราเป็นพระขึ้นมา เรามีศีล ๒๒๗ สิ่งใดที่มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราก็พยายามถือสัจจะขึ้นมา กระทำขึ้นมาให้เกิดขึ้นมาในใจของเรา นี่มีการกระทำมา

เวลาหลวงตาท่านให้ศีล ท่านบอกว่า ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ให้มันมีศีลขึ้นมา มีศีลขึ้นมาคือมีข้อห้ามปฏิบัติของเราขึ้นมา

ข้อห้าม ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติ มันไม่ได้ทำสิ่งใดผิดศีลผิดธรรม มันสมบูรณ์แบบของมัน แล้วเรามีสติปัญญาขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเข้ามาให้ใจมันสงบเข้ามา

ใจมันไม่สงบ มันเป็นสามัญสำนึก มันก็คิดของมันอยู่อย่างนี้ ความรู้สึกนึกคิด ถ้ามีศรัทธาความเชื่อก็ค้นคว้าแสวงหา มีการกระทำ

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันเกิดขึ้นมา ถ้าความคิดเกิดขึ้นมา เราก็ใช้ตรึกในธรรมๆ พิจารณามัน ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เราไม่ต้องการอย่างนี้ ความรู้สึกนึกคิด คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วไม่จบไม่สิ้น คิดแล้วมันก็ต่อเนื่องกันไป เรากำหนดพุทโธซะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นวกรรมของจิต จิตมีการกระทำ มีการพัฒนา มันจะสงบระงับของมันเข้ามาโดยสัจธรรมโดยข้อเท็จจริง แต่มันอยู่ที่วาสนาไง

สัทธาจริต ผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อ พุทโธๆๆ แล้วมันสงบเลย บางคนไม่ต้องพุทโธ แค่จะนึกพุทโธมันสงบแล้ว นี่มันเป็นวาสนาของคน อย่างพวกเราพุทโธจนเกือบเป็นเกือบตายไม่สงบสักที

มีแต่เราชื่อสงบ มันได้แต่ชื่อไง แต่มันสงบจริงหรือเปล่า

ถ้ามันสงบ นวกรรมของมันให้มันเป็นความจริงขึ้นมา นี่ไง นี่คือพระกรรมฐานไง ที่เขาประพฤติปฏิบัติไง เขาประพฤติปฏิบัติที่หัวใจไง จิตตภาวนาๆ มันมีตบะธรรมไง ตบะธรรมๆ สัจธรรมที่มันแผดเผากิเลสในใจของเราไง

แต่นี่มันไม่ใช่อย่างนั้น จำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วก็เป็นสมบัติของเราๆ นกแก้วนกขุนทอง แก้วจ๋าๆ มันได้กล้วยชิ้นหนึ่ง มันนึกว่ากล้วยเป็นชื่อพ่อมันนั่นน่ะ พ่อแม่ๆ เขาก็ให้กล้วยชิ้นหนึ่ง มันก็เป็นนกแก้วนกขุนทองไง นกแก้วนกขุนทอง

สิ่งที่เป็นจริงๆ ขึ้นมามันเป็นจริงในหัวใจของเรา พระอรหันต์ไม่ลืมในอริยสัจ ไม่ลืมสัจธรรมในหัวใจ แต่ลืมสมมุติบัญญัติ

มิลินทปัญหา ไปถามเลย พระอรหันต์ลืมอะไร ไม่ลืมอะไร

ลืมในสมมุติบัญญัติ แต่ไม่ลืมอริยสัจ

อริยสัจคืออะไร อริยสัจคือหัวใจที่มันเป็นไง เวลามันบดบี้ชำระกิเลสไง มันบีบคั้น มันไล่ต้อนกิเลสเข้าจนมุมไง แล้วมันประหัตประหารด้วยสมุจเฉทปหานไง ประหารกิเลสซึ่งๆ หน้าไง เวลามันฆ่ากิเลส กิเลสตายต่อหน้าเลย

เวลาระหว่างสงครามธาตุสงครามขันธ์ที่มันเกิดขึ้นในหัวใจนะ เวลาพูดแล้วมันทำให้คนที่จิตใจที่เป็นโลก โอ้โฮ! โอ้โฮ! เลยนะ แต่เวลาทำไปแล้วน่ะ เวลาคนที่มันพัฒนาไป เหมือนคนหัดยกของ มันยกของแต่ของน้อยๆ นะ มันยกบ่อยครั้งเข้าๆ มันจะยกของได้น้ำหนักมากขึ้น

หัวใจที่มันประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เวลาที่มันเข้าไปเผชิญกับกิเลสตามความจริงน่ะ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะเราทำมา คนทำมามันพัฒนาของมันขึ้นไปเพราะมันต้องเอาความจริงไง ไม่ใช่อุปาทาน ไม่ใช่ความคาดหมาย ปฏิบัติธรรมด้วยความคาดหมาย สันนิษฐาน

เขาว่า นี่สันนิษฐานว่า

สันนิษฐานมึงไม่มีความจริง สันนิษฐานเอา สันนิษฐานว่ามันจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างนั้น สันนิษฐาน แต่กิเลส เวลาประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ใช่

ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา ธรรมดาๆ มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงอยู่ในโลกนี้ แต่เวลามันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรามันเกิดดับๆ อย่างนี้ มันเกิดดับโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันปลิ้นมันปล้อนมันหลอกมันลวงไง เพราะมันจะครอบงำหัวใจดวงนี้ไว้ในอำนาจของมันไง

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามาให้มากขึ้น หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา แล้วถ้ามันสงบระงับเข้ามา มีอำนาจวาสนาขึ้นมา ถ้ามันจับต้องของมันได้ เวลามันวิปัสสนาไปไง แต่การวิปัสสนานั้นมันจะเป็นการรื้อการถอน การรื้อการถอน การสำรอกการคายออกไป มันรู้มันเห็นหมดล่ะ ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมามันเป็นความจริงไง เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกให้ไว้กับสันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน รู้ในหัวใจของตน รู้แจ้งในใจของตน เวลารู้แจ้งในหัวใจของตน แล้วพอรู้แจ้งในหัวใจของตนนะ สาธุ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่าๆ สัจธรรมอันนั้นยิ่งใหญ่นัก

สัจธรรมอันนั้น ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา ธรรมะนี่แบตลอดเลย แต่มันปิดหัวใจโดยกิเลสเราต่างหาก มันปิดกั้นโดยความชอบของเรา ความรังเกียจเดียดฉันท์ของเรา ไม่กล้าเข้าไปเผชิญกับความจริงในใจของตน ไม่กล้า ไม่กล้าทั้งสิ้น

ธรรมะอยู่ฟากตายๆ ไง

เวลาจะทำอะไรขึ้นมาจะเป็นจะตายทั้งนั้นน่ะ “เราเป็นพระโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว เราไม่ต้องไปสมบุกสมบันขนาดนั้น ทำไมเราต้องไปสมบุกสมบันมันเพื่ออะไร”

กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรานะ เราเข้าไปจะขุดคุ้ยหามันต่างหาก ถ้าเราไม่ขุดคุ้ยมันนะ ปฏิสนธิจิต ถ้าไม่เข้าไปขุดคุ้ยมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่อย่างนี้ จะเป็นจะตายอยู่อย่างนี้

โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอด เราต้องมาเกิดมาตรากมาตรำอยู่กับมันนี่ ถ้ามันจะชำระล้างกิเลสให้สำรอกให้คายกิเลสได้ มันจะเอาอะไรมาคาย

เวลามันคาย มันคายในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ในหัวใจของเรานั่นน่ะ แล้วในหัวใจของเรานะ หัวใจของสัตว์โลก หัวใจของใครก็เป็นสมบัติของคนคนนั้น ถ้าคนคนนั้นมีอำนาจวาสนาหรือไม่

ถ้ามีอำนาจวาสนามันจะประพฤติปฏิบัติ จะทุกข์จะยากเราทำมาทั้งสิ้น เราทำของเรามาเอง ถ้าเราไม่ได้ทำของเรามาเอง เราไม่มีศรัทธาความเชื่อมาอย่างนี้ เราเสียสละการเป็นฆราวาสมาแล้ว

การเป็นฆราวาส สิทธิเสรีภาพๆ ก็ทางโลกไง เขาก็มีสิทธิเสรีภาพไง

เรายอมรับธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงมาบวชเป็นพระไง แล้วเรามาบวชเป็นพระแล้วเรายังเป็นพระปฏิบัติอีกต่างหาก พระปฏิบัติเขามีอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้า บิณฑบาตเป็นวัตร เรามีครูบาอาจารย์ของเรา มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเราไง

แล้วถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครจะเป็นคนชี้นำเรา ใครจะเป็นคนบอกเรา ถ้าบอกเรา เราเข้าหมู่ๆ หมู่เข้าทำกันอยู่อย่างนั้น ถ้าทำเหมือนกันแล้วมันเข้าหมู่ มันก็เป็นอันเดียวกันไง

คณะสงฆ์มันก็เหมือนกับร่างกายของมนุษย์ มนุษย์หนึ่ง ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายนี้ก็สมบูรณ์แบบ มันก็ไปของมันได้ไง ถ้ามันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาสิ่งใด มันก็ทำให้ทุพพลภาพไง

นี่ก็เหมือนกัน หมู่คณะสงฆ์ ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์ สงฆ์ถ้ามีความรู้เห็นเหมือนกัน มันเป็นสัปปายะ ๔ ความรู้ความเห็นเป็นสัปปายะ ผู้ที่มีจิตใจมั่นคง ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันมีไฟๆ ของมันไง

ถ้ามีไฟ พระบางองค์ไฟปานกลาง พระบางองค์ไฟกำลังจะมอด เวลาเห็นเขาเดินจงกรมกลางคืนเขาจุดเทียน มันน่ารื่นเริง มันอาจหาญ มันชักนำขึ้นไปให้เราทำร่วมกัน นี่ไง ถ้าทิฏฐิเสมอกันเป็นสัปปายะ ความรู้ความเห็นเสมอกัน ช่วยเหลือเจือจานกัน มีความเห็นอกเห็นใจกัน เราเห็นใจกันนะ

เวลาธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระป่วยแล้วไม่มีใครดูแลไง เวลาท่านไปตรวจวัดไง ท่านไปอุปัฏฐากเอง พอพระเห็น พระก็เข้าไปอุปัฏฐากตาม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์เลย “ถ้าเธออยากจะอยู่ใกล้ชิด อยากจะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ขอให้เธออุปัฏฐากพระภิกษุไข้เถิดๆ”

เวลาเราบวชมาแล้วเราไม่มีพ่อไม่มีแม่ พ่อแม่นี้พ่อแม่ทางโลก เราบวชแล้วเรามีอุปัชฌาย์อาจารย์ เรามีอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ เรามีอาจารย์ อุปัชฌาย์อาจารย์คุ้มครองดูแลเราไง ถ้าอุปัชฌาย์อาจารย์คุ้มครองดูแลเรา คณะสงฆ์ๆ สงฆ์ที่เป็นธรรมๆ สงฆ์ที่เป็นธรรมเป็นที่อบอุ่นไง เป็นที่อบอุ่น เป็นที่ระลึกถึงกัน

แล้วถ้าเป็นที่อบอุ่น เป็นที่ระลึกถึงกัน วันนี้เราลงอุโบสถ เวลาลงอุโบสถ สามัคคีอุโบสถ มีทิฏฐิเสมอกัน มีความเห็นเหมือนกัน มันสังฆอุโบสถมันก็สมบูรณ์แบบ

ถ้ามันไม่สมบูรณ์แบบ เราต่างกันด้วยศีล ต่างกัน นานาสังวาส นานาสังวาสร่วมลงอุโบสถด้วยกันไม่ได้ คำว่า “นานาสังวาส” ร่วมลงอุโบสถกันไม่ได้เพราะว่ามันถือศีลต่างกัน ความเห็นต่างกัน ทิฏฐิต่างกันๆ เพราะทิฏฐิต่างกัน การกระทำไม่เหมือนกัน

นี่ไง ไฟของใคร

ถ้าไฟของเรา เรามีฟืนมีไฟของเรานะ เรามีทิฏฐิเสมอกัน เรามีความเห็นเหมือนกัน เห็นโดยกติกา เห็นโดยธรรมและวินัย คณะสงฆ์ๆ ถ้าคณะสงฆ์นะ ถ้ามันมีกำลังใจขึ้นมา มันทำสิ่งใดมันก็เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ เราฟื้นฟูในหัวใจของเรานะ

เวลาทางโลกเขาเวลาเขามองพระๆ ไง เขามองพระ คนอยู่ที่ใกล้ชิดกันมันเห็นกันหมดล่ะ ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อเจรจา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคลไง เพราะอะไร เพราะมันฉุดกัน มันดึงกัน

ดูสิ เครื่องยนต์ ลูกสูบ มันไปพร้อมกัน ถ้าลูกสูบใดลูกสูบหนึ่งมันติด เครื่องดับเลย

การสนทนาธรรม ความเสมอกัน ความเห็นเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกัน มันทำให้การกระทำของเรามันก้าวหน้าตลอดไป

ถ้ามันไม่ก้าวหน้า มันติดขัดอะไร มันควรจะทำอย่างไรให้มันหล่อลื่น ให้มันเคลื่อนขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ขับเคลื่อนไปด้วยอะไร ขับเคลื่อนด้วยสติด้วยปัญญาของเรานี่ไง

อะไรที่มันขาดตกบกพร่อง มันเป็นเรื่องธรรมดานะ เป็นเรื่องธรรมดาว่า จริตนิสัยของคนมันแตกต่างกันบ้าง ความแตกต่างกัน ความเห็นต่างกัน ความเห็นไง แต่เวลาทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เขาพยายามทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่คณะสงฆ์ๆ ไง ถ้าคณะสงฆ์ ถ้ามันคณะสงฆ์เหมือนกัน

วัดในสมัยพุทธกาลนะ พระอรหันต์ทั้งวัดเลย พระอรหันต์ทั้งวัดเพราะอะไร เพราะหัวหน้าเป็นพระอรหันต์ ท่านก็สั่งสอนอบรมต่างๆ เป็นพระอรหันต์ สามเณรน้อยยังเป็นพระอรหันต์ โปฐิละๆ ไปศึกษาน่ะ พระอรหันต์ทั้งวัดเลย ตั้งแต่เจ้าอาวาสยันสามเณรน้อย นั่นน่ะมีการกระทำอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันพิสูจน์ได้ๆ ธรรมและวินัย ตู้พระไตรปิฎก ผิดถูกก็เห็นน่ะ ทำผิดทำถูก เวลาประชุมสงฆ์ก็บอกสิ อะไรผิดอะไรถูก สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่อง เอามาเติมให้มันเต็ม อย่าให้เป็นความวิตกกังวลของใจ ไม่ต้องไปวิตกกังวลมันว่าเราจะไม่มีไอ้นั่น เราจะไม่มีไอ้นี่

มันมีเกิน มีจนท่วมท้น

เวลาหลวงตาท่านพูดไง น้ำอ้อยน้ำหวานมันจะท่วมปอดตาย มันจะท่วมปอดนู่นน่ะ มันจะเป็นปอดบวม ปอดบวมจากน้ำผึ้งน้ำอ้อยนู่นน่ะ มันมีอะไรขาด

เราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มานะ ถ่านไฟฉายตากแดดแล้วตากแดดอีก ทุบแล้วทุบอีกเพื่อให้มันมีไฟ อยากฟังเทศน์ครูบาอาจารย์น่ะ ถ่านก็ไม่มี เทียนก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างเลย แต่พระยิ้มแย้มแจ่มใส พระยังสู้อย่างเดียวเลย สู้กับกิเลสของตนไง

เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันก็อยากจะฟังเทศน์ อยากจะฟังเทศน์หลวงตาให้เป็นช่องทาง

เวลาหลวงตาท่านเทศน์นะ เวลาเราฟังเทศน์หลวงตา นี่พระอรหันต์พูด ถ้าพูดนะ เราปุถุชน เราเป็นคนหนา เราจะฟังเข้าใจหรือไม่ เราพยายามปีนบันไดฟังเลย พยายามคิด

คือท่านพูด พูดออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ แล้วเราฟังแล้วเราตีความออกไหม เราเข้าใจหรือไม่ มันยกระดับหัวใจของเราขึ้นมาไง ถ้ายกระดับหัวใจ เวลาท่านพูด พูดออกมาจากหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราล่ะ มืดบอด แล้วเรารู้ได้อย่างไรล่ะ

นี่ฟังเทศน์ เวลาฟังเทศน์ ท่านว่าอย่างนี้ เราว่าอย่างไร เราเดินจงกรมฟังเทศน์ตลอดๆ

เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านพูดนะ ท่านพูดเพราะว่าท่านเปรียบเทียบให้เราได้คิดไง ท่านบอกเลย เราก็เป็นผู้น้อยมาก่อน พระผู้ใหญ่มันจะมาจากไหน มันก็มาจากพระผู้น้อยเรานี่แหละ บวชมาพรรษา ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ ถึงพรรษา ๕ จะพ้นนิสัย มันไม่มีหรอกไอ้พระผู้ใหญ่จะลอยมาจากฟ้าแล้วเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่มีหรอก มันก็เป็นพระผู้น้อยมาทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาพระผู้น้อย เราก็เป็นพระผู้น้อยกัน พระผู้น้อยเราก็ฝึกหัดของเราสิ แล้วฝึกหัด นี่วาสนามีนะ

โม้ซะหน่อย

เราไปอยู่อีสาน หนาวเกือบตาย ไปขอผ้าเขาห่ม เขาบอก ไอ้พระกรุงเทพฯ ไม่เอามาด้วย

อุ้ย! ธุดงค์ต้องเอาผ้าห่มมาด้วยหรือ

หนาวเกือบตาย ไปหาที่ไหนนะ ถ้าไปเจอคนที่ไม่เป็นธรรมไง

แต่ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ โอ้โฮ! “ครูบาๆ ครูบาอยากได้อะไร” เขาต้อนรับ เขาดูแล โอ๋ย! สุดยอด

เพราะพระก็อยากจะช่วยเหลือเจือจานพระ เขาจะดูแลพระ เพราะอะไร เพราะของที่ได้มา เขาให้มาเพื่อพระ แล้วเราก็ใช้ประโยชน์เพื่อพระ ถ้าพระมา พระที่ขาดแคลนมา ทันทีเลย

แล้วเวลาพระบวชมาแล้วมันก็มีความรู้สึกนึกคิดเนาะ “เราก็บวชเป็นพระแล้วแหละ ต่อไปนี้เราจะอยู่อย่างไร เราจะคิดอย่างไร เราจะทำอย่างไร”

เวลาครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครองดูแลอย่างนี้ ไม่ต้องไปวิตกกังวล

หลวงตาท่านพูด “อยากเห็นนัก พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วขาดแคลนไม่มีจะกิน อยากเห็นนักๆ”

แต่ที่มันเห็นๆ ดูสิ ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนเลว เวลาคนดีคนเลว คนที่มันบวชเข้ามาแล้วทำความเสื่อมเสีย

หลวงตาท่านพูดเลย เวลามองหน้าคฤหัสถ์ยังดีกว่ามองหน้าพระ พระนี่ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากสุงสิงด้วยเลย

กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลม กลิ่นของการทำสกปรกโสโครกสะสมให้เน่าเสีย สิ่งที่เน่าเสียทำความเสียหาย ความเสียหายน่ะ

เวลาหลวงตาท่านจะเทศนาว่าการ ท่านบอกเลย เราจะพูดเฉพาะวงกรรมฐาน

วงกรรมฐานคือนักปฏิบัติของเรานี่ไง ถ้าวงกรรมฐานผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะรักษาศีลของเขา เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลากิเลสมันหลอกน่ะ นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด ปลงอาบัติ

เวลาเข้าไปธุดงค์ในป่า ถ้าพระที่ไม่แน่ใจ ปลงอาบัติก่อนเลย ปลงของเขาๆ แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ ศีลน่ะคุ้มครอง อยู่ในป่าในเขา ศีลคุ้มครองนะ

เขาบอกว่า “ดัดจริต จะต้องเข้าป่า ทำไมไม่ปฏิบัติของเรา”

กิเลสนะ ลูกเล่นลูกล่อลูกชนมันร้อยแปด อยู่ที่ไหนที่มันคุ้นมันชินแล้วมันก็จะครอบหัวครอบงำ เวลาไปเขาก็ไปอย่างนั้นน่ะ เขาไม่ได้ไปเที่ยวป่าเพื่อไปเอากิตติศัพท์กิตติคุณอะไรทั้งสิ้น เขาไปเอาหัวใจของเขา เขาอยากรื้อค้น เขาอยากค้นคว้าหาหัวใจของเขา

ถ้าไปอยู่ป่าแล้วมันวิเศษวิโสนะ กรมทรัพยากรธรรมชาติเขาเป็นพระอรหันต์หมดเลย พนักงานป่าไม้เขาตระเวนป่าทั้งปีทั้งชาติเลย สัตว์ป่าในป่ามันก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว

แต่มันเรื่องจริตนิสัยของจิต จิตมันอยู่ในที่สุขที่สบายแล้วมันเคยตัว เขาฝึกหัดมันเข้าไปเผชิญกับความขาดแคลน เผชิญกับความสงบสงัดครอบงำมัน เขาไปเพื่อหาหัวใจ เขาไปเพื่อเอาเป็นสัปปายะ เป็นสถานที่ฝึกหัดตน

เวลาฝึกหัดตนๆ แล้วเวลาจะฝึกหัดตน เราก็คุ้นเคย มนุษย์มีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาพลัดพรากจากที่นอนที่อยู่ที่อาศัยในวัดแล้ว พอไปแล้วมันจะวิตกกังวล แล้ววิตกกังวลแล้วมันจะได้สิ่งใดขึ้นมา เห็นไหม มันเกิดขึ้นทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญา ถ้ามีไฟ

ถ้าไม่มีไฟนะ มันตุนเอาไว้เลย โธ่! สั่งเขาไว้เลยนะ เอาไปกองไว้ที่นู่นก่อน เดี๋ยวกูจะไปอยู่ตรงนั้น เอาไปกองไว้นี่ก่อน เดี๋ยวจะไปอยู่ตรงนั้น อู้ฮู! มันยิ่งกว่ามันไปปิกนิก ไปเที่ยวยังดีกว่านั้นน่ะ เพราะสมองของคน ความคิดของคนมันแก้ไข มันซ่องสุม มันทำได้ทุกอย่างเพื่อจะให้ว่าเป็นธรรมๆ ไง

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นจริง ไปเฉพาะบาตร ไตรจีวร กาน้ำเท่านั้น มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่สำคัญ สำคัญคือเรามาค้นคว้าหาความจริงในใจของตน นี่ซื่อสัตย์ๆ เคารพธรรมและวินัย

หลวงตาท่านพูด “อย่าข้ามพระพุทธเจ้าไป อย่าข้ามศีล อย่าข้ามธรรม”

แล้วของเรา ถ้าเรามีไฟ เราไม่ข้ามศีลข้ามธรรม ถ้าข้ามศีลข้ามธรรมแล้วนะ เวลาเป็นอาบัติขึ้นมา มาระลึกได้ทีหลัง จะมาปลง จะมาทำ มันเสียเวลาไง

เราไม่ข้ามศีลข้ามธรรม แล้วหาหมู่คณะที่ดี หาเพื่อนที่ดี ถ้าเพื่อนที่ดีจะชวนกันเคารพธรรมและวินัย ชวนกัน พยายามชักนำกันเพื่อแสวงหาใจของตน ชวนกันเพื่อประพฤติปฏิบัติ

ไม่ได้ชวนกันจะไปนู่น จะไปเผยแผ่ธรรม จะไปยุโรป จะไปสหรัฐอเมริกา จะไปโลก

ทุกข์เกือบตาย มันยังจะไปทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อนน่ะ

ไอ้ที่เขาเผยแผ่กันนั่นเป็นหน้าที่ของเขา แต่พระกรรมฐานที่จะประพฤติปฏิบัติ เวลาจะไปเผยแผ่ เอาอะไรเผยแผ่

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านต้องพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัตินั้นคือเข้าไปเผชิญกับกิเลสของตน

วิธีการที่พ่ายแพ้กิเลส วิธีการที่กิเลสมันหลอกมันล่อ มันชักมันจูงไปตกหลุมตกร่องน่ะ นั่นน่ะเล่ห์กลของมัน แล้วเรามีประสบการณ์อย่างใดที่จะยับยั้ง ที่จะฟื้นฟู ที่จะเข้าไปเผชิญหน้า แล้วแก้ไขมา ครูบาอาจารย์ท่านต้องเห็น ท่านต้องรู้ของท่าน ฉะนั้น เวลาท่านรู้ท่านเห็นของท่าน ท่านประสบการณ์

เวลาหลวงตาท่านสอน เวลาพระกรรมฐานเทศน์ก็เทศน์จากหัวใจ

เวลาเทศน์ เทศน์ก็เทศน์ประสบการณ์ของใจที่มันล้มลุกคลุกคลาน ที่มันสมบุกสมบัน ที่มันโดนกิเลสหลอกๆๆ

ไม่ใช่กิเลสใคร กิเลสใจของอาจารย์นั่นแหละ อาจารย์ใดก็กิเลสของเขา แล้วเขาต้องฝึกต้องหัด ต้องรู้เท่าทันมัน แล้วเขาก็มีมรรคมีผล มีมรรคคือมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีสัจธรรม จับมัน ทำร้ายมัน ฆ่ามัน กลบมัน ฝังมัน จนเป็นความจริง นั่นน่ะครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เวลาเทศน์ก็เทศน์จากประสบการณ์อันนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันไม่มีล่ะ

มันไม่มีมันก็ท่องจำไง เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นี่เขาเรียกว่าสัญญาๆ ไง คำว่า “สัญญา” เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นว่า

มหา มหาเรียนถึงมหามานะ สิ่งที่เรียนมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด เทิดใส่ศีรษะไว้ ใส่ในลิ้นชักสมองแล้วลั่นใส่กุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมาแล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดจากสัจจะ เกิดจากความจริง เกิดจากการกระทำ ไม่ใช่เกิดจากการจำมา

สิ่งที่จำมานั้น นี่คือแนวทาง แนวทางในพระพุทธศาสนาสอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา สอนเรื่องการกระทำ สอนเรื่องการประพฤติปฏิบัติ สอนเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ แต่เวลาทำจริง หัวใจมันเป็นจริงขึ้นมานะ โอ๋ย! มันฝังใจ

นี่ไง พระอรหันต์ไม่ลืมในอะไร ไม่ลืมตรงนี้ไง ไม่ลืมในอริยสัจไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

เวลาทุกข์ สมุทัย นิโรธๆๆ นิโรธดับทุกข์ ขณะที่มันเป็นน่ะ

ขณะ อภิธรรมเขาสอน ขณะของเขาคือการย่าง การเหยียด การคู้ ขณะคืออิริยาบถที่เปลี่ยน นี่คือขณะของอภิธรรมเขา

แต่เวลาจิตที่มันเป็น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่พูดถึงคำว่า “นิโรธ” ท่านพูดถึงว่า ขณะจิต ขณะที่มันสมุจเฉท ขณะที่มันชั่วคราวตทังคะ รู้เท่า ปล่อยเฉยๆ นั้นมันชั่วคราว เวลามันสมุจเฉทปหาน กิเลสขาดดั่งแขนขาด กิเลสขาดไปจากใจชัดๆ เป็นบุคคล ๔ คู่

เพราะมันผิดพลาดมาเยอะมาก เวลามันขาดทีละคู่ เวลาทีละขั้นทีละตอนขึ้นไปมันชัดมันเจนขึ้นมา พอมันชัดมันเจนขึ้นมา อกุปปธรรม อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา กุปปธรรม ก็การศึกษาเล่าเรียน กุปปธรรม มันแปรสภาพของมัน เพราะเริ่มต้นจากความรู้น้อยก็เป็นความรู้มาก ความรู้มาก ความรู้สูงส่ง เดี๋ยวก็ลืมไป เดี๋ยวก็ผิดไป นี่ไง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา กุปปธรรม

เวลามันสมุจเฉทปหาน ขาด อกุปปธรรม อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่ขณะ ขณะที่ว่า เพราะว่าหลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราท่านอ่อนน้อมถ่อมตน เวลาท่านพูดมันเป็นศัพท์ของพวกเราไง

ขณะคือนิโรธ นิโรธคือการดับทุกข์ ดับทุกข์ในอริยสัจ

เอวัง