เทศน์พระ

เทศน์พระ ๑๒

๑๘ ม.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สังคมสงฆ์ สังฆะ ถ้าเป็นสังฆะเห็นไหม สังฆะ สังฆทาน สังฆะหมายถึงสาธารณะ สังฆะถึงหมายถึงสงฆ์ เราเป็นสงฆ์เห็นไหม ถ้าเราเป็นสงฆ์ สมบัติของสงฆ์คืออะไร เวลาเป็นวินัย สมบัติของสงฆ์นะ เราใช้ของสงฆ์แล้วไม่ได้เก็บของสงฆ์จะเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เอาของๆ สงฆ์มาใช้ พักที่ตั่งเตียงแล้วจากไปโดยไม่เก็บเอง หรือโดยไม่ได้สั่งให้เขาเก็บ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ สิ่งที่เป็นของสงฆ์นี่มันมีชีวิตหรือ เตียงตั่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต

เวลาเขาเตรียมตั่งเอาไว้ เหตุที่จะปรับอาบัติ เพราะว่าปลวกมันจะกิน เป็นสิ่งที่ทำให้เสียหาย มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เราไม่ได้เก็บมัน ทำไมเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะมันเป็นของๆ สงฆ์ นี่ก็เหมือนกันชีวิตของเรา ถ้าเราบวชขึ้นมาแล้วเป็นสังฆะ เป็นสงฆ์ สงฆ์เพราะอะไร สงฆ์เพราะมันมีวินัยไง มันมีธรรมและมีวินัย เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย เวลาทำอุโบสถ ถ้าจิตใจเป็นสงฆ์ เวลาทำอุโบสถร่วมสังฆกรรม มันจะมีความรื่นเริงอาจหาญ มันจะทำด้วยความสุข ไม่ได้ทำด้วยความจำเจ ความเบื่อหน่าย

มันเป็นความจำเจ ความเบื่อหน่าย ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสไง กิเลสมันต้องการความสะดวกสบายของเขา ของกิเลสนะ ของเขาเพราะมันไม่ใช่เรา บางทีเราก็รื่นเริงอาจหาญ บางทีเราก็ทุกข์จนเข็ญใจ เบื่อหน่าย เราคุ้นชินกับกิเลส แต่ถ้าเราคุ้นชินกับธรรมและวินัย แม้แต่ของที่เป็นวัตถุ เราไม่ทำตามนั้นยังเป็นอาบัติเลย แต่นี้เป็นสังฆกรรมนะ สิ่งที่เป็นสังฆกรรมทำให้เรารื่นเริงอาจหาญ เป็นสมบัติของพระ

พระมีสมบัติคือธรรมและวินัย สมบัติของโลกเขา เขาหาแก้วแหวนเงินทอง หาชื่อเสียง หาลาภสักการะเพื่อบำรุงกิเลสไง ถ้ากิเลสมันมีสมบัติอย่างนั้น มันจะว่ามันเป็นผู้ที่มั่งมีศรีสุข มันเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนา เป็นขี้ข้า หามันมาแล้วเป็นทาสมัน ถ้าใช้ไม่เป็นมันก็บาดหัวใจ มีดถ้าใช้ไม่เป็นมันจะฟันเจ้าของ มันจะทำให้ตัวเองมีบาดแผล นี่ก็เหมือนกัน สมบัติที่หามา แล้วใช้สมบัตินั้นไม่เป็นไง ทำให้หัวใจมันรั่ว หามาเท่าใดก็ไม่พอใช้ รายจ่ายกับรายรับต่างกัน

รายจ่ายเห็นไหม จ่ายขนาดไหนยิ่งจ่ายมาก จิตใจยิ่งต้องการมากขึ้น ต้องการมากขึ้นหัวใจก็รั่ว ถ้าหัวใจรั่ว เก็บทรัพย์สมบัติไว้ไม่ได้ หามาด้วยความเหนื่อยยาก แล้วทำลายหัวใจอีกต่างหาก ไม่ได้มาแล้วเป็นประโยชน์นะ แต่ผู้ที่มีคุณธรรมของเขา เขาหาของเขามา เขารักษาของเขา รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ หาได้มากแต่ใช้ได้น้อย มันจะเหลือสมบัติไว้เป็นของตน สมบัติที่มีมันมีใช้มีสอย มันก็ไม่เป็นที่เดือดร้อน มันไม่เป็นที่ต้องวิตกกังวล แล้วหัวใจก็ไม่รั่ว

หัวใจไม่รั่วนะ เพราะอะไร เพราะมันปิดยาไง มันยาหัวใจไว้ไม่ให้กิเลสมันออกช่องนั้น ออกช่องที่หาสมบัติมา แล้วใช้จ่ายไปจนเป็นความเคยชิน ใช้จ่ายจนเป็นคนที่เสียนิสัย ใช้จ่ายจนหัวใจรั่วไปหมดเลย แล้วมันก็ปิดไม่อยู่ แล้วผลที่ตอบกลับมามันคืออะไร คือหัวใจนั้นเป็นฝ่ายที่ทุกข์ ไม่ได้ทุกข์เลย กิเลสมันไม่ได้ทุกข์เลย กิเลสมันยุแหย่แล้วมันก็ไปแล้ว นี่สมบัติของโลกๆ เขา เขายังตรากตรำเขายังแสวงหากัน ด้วยความเข้าใจผิดๆ ของเขานะ

เราเป็นพระเราเป็นเจ้า สมบัติของพระคือธรรมและวินัย มีศีล มีคุณธรรม ธรรมในหัวใจ สมบัติของพระไม่เหมือนสมบัติของโลก สมบัติของพระ พระต้องทุกข์จนเข็ญใจ ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ แต่รื่นเริงอาจหาญด้วยความว่างเปล่าในหัวใจไง มันไม่พะรุงพะรัง อัฐบริขาร ๘ จะไปไหนก็ได้ ไม่ติดขัดในต่างๆ เลย สมบัติของโลก เราจะเป็นขี้ข้าหรือ เราจะมารักษาสมบัติของโลกหรือ ผึ้งมันยังมีรวงมีรังของมัน แล้วมันหาอยู่หากินในรังของมัน ในรวงรังของผึ้ง

นี่ก็เหมือนกัน ที่อยู่ที่อาศัยเห็นไหม วัดวาอาราม อารามเป็นที่อยู่ของใคร เป็นที่อยู่ของผู้มีศีล โยมเขาอยู่บ้าน คฤหัสถ์เขาอยู่ด้วยความเป็นส่วนตัวของเขา แต่นี่เป็นผู้ที่ไม่มีเรือน เห็นไหม ไม่มีเรือนในทางโลกก่อนนะ ถ้าหัวใจมันมีเรือน หัวใจมันมีที่เก็บที่ซ่อน ซ่อนกิเลสไว้ในใจไง แต่ถ้าเราทำลายกิเลสในหัวใจออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป อนาคามี เป็นผู้ที่ไม่มีเรือน แล้วผู้ไม่มีเรือนอาศัยที่ไหนอยู่ล่ะ ก็อาศัยอาวาสอยู่

อาวาสเป็นที่อยู่ของผู้มีศีล ถ้ามีศีลก็เป็นสมบัติของพระไง สมบัติของเรา เราเป็นพระ เราต้องมีหลักมีเกณฑ์สิ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของเรานะ กิริยามารยาทข้างนอกเป็นส่วนข้างนอก แต่จุดยืนของเราต้องมี จุดยืนของเราเห็นไหม โลกเขาจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา ปัจจุบันนี้พระก็เป็นเรื่องโลกๆ ไปหมดแล้ว อยู่กันเห็นไหม โลกเขามีแฟชั่น พระก็มีจีวรไง มีเครื่องอาศัย แสดงว่าตัวเองเป็นพระเฉยๆ แสดงว่าตัวเองเป็นพระ แต่ไม่มีสมบัติในใจไง ถ้าไม่มีสมบัติในใจ มันก็อยู่แบบเร่าร้อน

ถ้ามีบุญวาสนา ผ้าเหลืองไม่ร้อนเห็นไหม ก็อยู่ในบทของพระ ไปอยู่ในเพศของพระ ถ้าเพศของพระก็เป็นพระแต่เปลือก ถ้าไปบวชก็ทำแค่เป็นพิธี ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้เพราะเป็นสัญลักษณ์ของพระไง วินัยกรรม สัญญาของพระ มันเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ แล้วเราเป็นพระ เราก็ดำรงชีวิตในเพศของพระเห็นไหม เช้าขึ้นมาก็ออกบิณฑบาต แล้วทำกิจของสงฆ์ แต่ก็เป็นกิจของสงฆ์แต่เปลือกๆ

ถ้ากิจของสงฆ์จากหัวใจ มันทำจากหัวใจไง ถ้าทำจากหัวใจ มันจะไปขัดเกลากิเลส ถ้าเราถือธรรมและวินัย ถือธุดงควัตร มันจะไปขัดเกลากับกิเลส กิเลสมันคือความมักง่าย ทางโลกเขา เขามีสมบัติของเขา ถ้าเขาใช้สมบัติของเขาไม่เป็น ทำให้ใจของเขารั่ว ถ้าใจเขารั่ว สมบัติของเขายังเป็นโทษกับเขาเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราบวชขึ้นมา เราตั้งใจเป็นพระ เป็นนักรบ เป็นผู้ที่ปฏิบัติ จะหาคุณสมบัติหาธรรมของเรา

แล้วเราก็ใช้สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรม เป็นพิธีกรรม เป็นหน้าที่ เป็นเพศของพระ มันเป็นหน้าที่ มันไม่ได้ทำมาจากหัวใจ ถ้าทำจากหัวใจไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นงานของเรา มันเป็นการชำระกิเลสของเรา มันไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นธรรมจากความรื่นเริงอาจหาญแบบธรรมเห็นไหม ดูสิเวลาดำรงชีวิตแบบพระ มันต้องมีสติ การก้าวเดินไป การดำรงชีวิต มันต้องมีสติสัมปชัญญะ มันจะไม่ประมาท ไม่ทำความพลั้งเผลอไง

แต่นี่เดิ้นๆ ด้านๆ เหม่อลอย ทำตามหน้าที่ ทำตามแบบข้าราชการ เช้าชามเย็นชามไง ถึงเวลาก็ทำตามหน้าที่ไป มันไม่ได้ทำจากหัวใจ ถ้าทำจากหัวใจ ทำจากการขัดเกลากิเลส กิเลสมันไม่พอใจ กิเลสมันไม่ยอมทำอะไรหรอก กิเลสมันจะนอนจมในหัวใจ หัวใจนี้เป็นภวาสวะ เป็นสถานที่เป็นอู่ เป็นเรือนนอนของมัน แล้วมันก็ซ่อนตัวมันเองอีกชั้นหนึ่ง อวิชชามันปกคลุมไว้ แล้วพอขยับออกมาเป็นความคิด

แค่คิดนะ คิดนี้เป็นมโนกรรม แค่คิดมันก็เบื่อ เบื่อมาก เพราะคิดแล้วมันเหนื่อย ถ้าปฏิเสธว่างๆ ว่างแบบขี้ลอยน้ำ ว่างแบบกิเลส ว่างแบบเอากิเลสเหยียบหัวไว้ ว่างอย่างนี้มันเป็นประโยชน์อะไร คุ้นชินกับกิเลส หมกกิเลสไว้ในใจแล้วก็ว่าว่างๆ ไม่ทำอะไรเลย สิ่งนั้นมันไม่ได้ขัดเกลากิเลสหรอก การขัดเกลากิเลสมันต้องรื่นเริงอาจหาญเห็นไหม มันทำออกมาจากใจ เพราะอะไร

เพราะนี่เป็นสมบัติของสงฆ์ เห็นไหม เตียง ตั่งต่างๆ สมบัติของสงฆ์เห็นไหม เวลาปลวกขึ้นกุฏิ เราสามารถรักษาได้ มันไม่กล้าทำเลย มันเป็นปลวกเป็นชีวิต ใช่ มันเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ แต่เราก็พยายามทำความสะอาด ให้ไม่ไปทำลายถึงชีวิตเขา แต่สิ่งนี้ก็เป็นของๆ สงฆ์ เราต้องรักษา ดูสิ ดูทางโลกเขา กว่าจะหาเงินได้ ๕ บาท ๑๐ บาท แสนทุกข์แสนยาก แล้วสละทานไปให้กับภิกษุเอาไปสร้างอาราม เป็นของๆ สงฆ์ แล้วทำไมเราจะรักษาไม่ได้

ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา เราทำจากหัวใจที่มีธรรมวินัย เจตนาบริสุทธิ์ เจตนาทำเพราะเป็นความดี เราจะถนอมรักษาสิ่งนั้นเพราะว่าเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นที่อยู่ของสงฆ์ เห็นไหมนกยังมีรวงมีรัง ไอ้นี่ก็เป็นที่อยู่ของผู้ที่ไม่มีเรือน แล้วเราจะรักษาสิ่งนี้ มันจะเป็นอาบัติไปจากไหน เวลาเราจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาก็หาว่าเป็นอาบัติ ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ กิเลสปิดหัวใจไว้ ทำแค่เป็นพิธีเฉยๆ ลอยไปก็ลอยมา พระแท้ๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ไหน สัมมาสัมพุทธเจ้าของมาร ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธเจ้าจากธรรมและวินัย

ธรรมวินัยนี้มันตัดสินจากหัวใจ จากความเป็นจริง มรรคหยาบ มรรคละเอียดไง ความคิดหยาบๆ อย่างนั้น เริ่มต้นจากบวชขึ้นมา จะถือธรรมถือวินัย สิ่งนี้เป็นความลำบากไปหมดเลย ทำอะไรก็เป็นความลำบากไปหมดเลย แต่ถ้าทำตามความพอใจของก็ว่ากิเลสสิ่งนี้เป็นธรรมไง เพราะไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้อะไรเลย เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราไม่ได้บำรุงรักษา ไม่ได้แสวงหา ไม่ได้จัดการ ไม่ได้ทำอะไรเลย เราเป็นแต่ผู้ใช้สอยของเขา

หมู่คณะทำกันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ทำสิ่งนี้มันเป็นเพราะอะไร มันมีวัตรในศาลา เช้าขึ้นมาจัดหาน้ำใช้ น้ำฉัน น้ำล้างเท้า สิ่งนี้มันมีอยู่แล้ว มันเป็นวัตรปฏิบัติ แล้วเราก็อยู่ในสังคมของสงฆ์นั้น การปฏิบัติด้วยกัน การทำด้วยกันเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นธรรมและวินัย สิ่งนั้นมีพระทำแล้ว เราไม่ต้องทำสิ่งใดเลย นี่กิเลสมันบังไว้ในหัวใจนะ เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็ไม่ได้อะไรเลย เราใช้สอยสิ่งของเขาที่เขาแสวงหาเพื่อสังฆะ

หน้าที่การงานที่เขาทำกันมา เพราะมันมีคนทำกันอยู่แล้ว ใช่สิ เขาทำอยู่แล้วเพราะอะไร เขาทำ เพราะเขามีคุณธรรมในหัวใจ เขาเป็นพระ เขามีคุณสมบัติของพระในหัวใจ พระที่มีคุณสมบัติ แต่เราเป็นพระที่ไม่มีสมบัติ เราเป็นพระแค่เปลือก พระที่เปลือกมันก็ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เพราะเขาทำให้พร้อมแล้วไง เช้าขึ้นมาทุกอย่างก็พร้อมหมดแล้ว เราก็เป็นพระ เขาก็เป็นพระเหมือนกัน แต่เขามีคุณสมบัติของพระ เราไม่มีสมบัติของพระ เรามีแต่เศษสมบัติของเปลือกของพระไง มีแต่พิธีกรรมเห็นไหม

สิ่งนี้มันเป็นสมบัติของพระ มันแสดงออกได้นะ มันแสดงออกมา ผู้ที่มีหูมีตาจะเห็นสภาพแบบนั้น ถ้าเห็นสภาพแบบนั้น คุณสมบัติของพระมันจะออกมาจากทางนี้ นี่สมบัติ สมบัติของโลกเขาก็หาของเขานะ แต่ถ้ามีสมบัติของธรรม ใช่ ถ้ามองในทางของโลกเขาจะว่าเป็นผู้เสียเปรียบ เป็นคนที่ต้องแบกรับ เป็นคนที่มีหน้าที่การงานต้องรับภาระ

ดูสิ ดูหลวงตาท่านพูด สมัยท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านเป็นบ๋อยกลางวัดเลย เป็นผู้นำไง เป็นผู้นำนักรบ การจะหาผู้นำได้นี้แสนยาก ผู้ตามนี่มีมหาศาลเลย สิ่งที่เป็นคนชั้นกลางมีมาก เพราะอะไร เพราะถึงเวลาต้องตัดสินใจต่างๆ มันตัดสินใจไปไม่ได้ มันเป็นคนทำสิ่งนั้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะขาดคุณสมบัติไง เพราะเวลามีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา จะวินิจฉัยสิ่งนั้นด้วยความไม่ชัดเจน เพราะอะไร เพราะไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ

ถ้าเราฝึกมาจากตรงนี้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ ทุกคนจะเป็นเด็กมาก่อน พระเราบวชมา คนเราเกิดมาจากทารกก่อนนะ แล้วต้องฝึกฝนขึ้นมา เราก็เหมือนกัน เราบวชเข้ามาแล้ว เราจะมีจุดยืนไหม เราจะหาสิ่งใดเป็นสมบัติของเรา ถ้าเรามีสมบัติของเรา เราฝึกฝนของเรา ต้นไม้ไม่ต้องการจะโต ถ้าดินดีน้ำดีทุกอย่างดี มันต้องโตเป็นธรรมชาติของมัน นี่ก็เหมือนกัน เราฝึกของเรา เราไม่รู้หรอกว่าเราโตหรือไม่ แต่ถ้าเราฝึกเป็นนิสัย

ถ้าเป็นนิสัยขึ้นมา สมบัติมันเกิดอย่างนี้ไง สมบัติมันเกิดจากการดัดแปลงความรู้สึก ดัดแปลงหัวใจของเรา ดัดแปลงแล้วทำให้มันเข้ากับธรรมและวินัย ถ้ามันเข้ากับธรรมและวินัย สิ่งใดๆ ของโลกเขา มันเป็นเรื่องของโลกเขา ถ้าสิ่งของโลกเขามันเป็นการเสียเปรียบหมดเลย นี่ไงพระเป็นผู้เสียสละ ขณะที่ว่าเราเสียสละ เวลาถามว่าเราอยากได้มรรคผลไหม ทุกคนบวชมานะ โสดาบัน สกิทา อนาคาใครบ้างไม่ปรารถนา ทุกคนปรารถนาทั้งนั้นเลย

แต่เริ่มต้นของการกระทำ มันไม่เปิดทางให้เข้าถึงโสดาบันได้เลย มันลังเลสงสัยในธรรม มันลังเลสงสัย มันเอารัดเอาเปรียบ มันไม่พอใจ มันไม่ยอมเปิดใจ แล้วมันจะไปเอาโสดาบันมาจากไหน ถ้าโสดาบันเห็นไหม ก็พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเรามีพระธรรมเห็นไหม เราทำธรรมโอสถ ถ้าเราเปิดธรรมขึ้นมา ถ้าเราเริ่มต้นจากทางเข้าไป เราก็จะไปเอาธรรมอันนั้น มันจะไปเอาโสดาบันอันนั้น

เราอยากได้โสดาบันอันนั้น แต่การประพฤติปฏิบัติ การจะเข้าไปทำ มันไม่เอา แล้วใจก็อยาก ก็ปรารถนาโสดาบัน แต่ไม่ยอมทำตามธรรมวินัย แล้วมันจะเข้าไปเอาโสดาบันได้อย่างไร จะเอาโสดาบันมาจากไหน ถ้ามันไม่มีเครื่องมือเข้าไปเอา มันไม่มีมรรคญาณ ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปหยิบโสดาบันอันนั้น มันจะเข้าไปหยิบโสดาบันอันนั้น มันถึงต้องกลับมาที่ศีลไง กลับมาที่ศีล กลับมาที่ข้อวัตร แล้วถ้าทางโลกเขาจะบอกว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมลำบาก สังคมที่อยู่กันแบบไม่มีความสุข มันเป็นความเห็นของโลกๆ นะ เพราะอะไร

เพราะความเห็นของโลก เพราะเขาต้องการมีความสุข เขาต้องการมีความรื่นรมย์ของเขาตั้งแต่เริ่มต้น พอเริ่มต้น มันก็เป็นคุณสมบัติของโลก เป็นคุณสมบัติของกิเลส แล้วมันจะเอาอะไรไปเอามรรคผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นความเห็นของโลกมันผิดหมด ถ้าเริ่มต้นด้วยความเห็นของธรรมสิ มันก็ดัดแปลงตรงนี้มาไง ดัดแปลงคุณสมบัติของเราไง ที่เราจะเข้าไปเอาธรรมะอันนี้ไง ถ้าดัดแปลงเข้าไป ธรรมะอันนี้มันก็ย้อนกลับมาที่เราเห็นไหม ย้อนกลับมาที่เรา

แล้วคุณสมบัติอันนี้มันเป็นของใคร มันเป็นธรรมะส่วนตน ถ้าตนเปิดทางให้ตน เวลาที่เราเดินทางไป ต่างคนต่างอยู่ในวัดเดียวกัน เราปฏิบัติอยู่ด้วยกัน อยู่ในศาลาเดียวกัน อยู่ในสังฆกรรมเดียวกัน แต่เวลาหัวใจมันเป็นไป ถ้าหัวใจมันเป็นไป มันเป็นขวากหนามของแต่ละบุคคลนะ ทางเดินของใครของมัน ทางจงกรมของเรา ถ้าเราเดินจงกรมอยู่ ทางจงกรมของเราจะโล่ง จะเดินได้สะดวก

แล้วถ้าทางจงกรมของเรา แต่เราไม่ได้เดินในทางจงกรมเรา มันก็จะเกิดหญ้า มันจะเกิดวัชพืช เกิดขวากเกิดหนามมาปิดทางนั้น นี่ก็เหมือนกันในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราเดินอยู่ด้วยกัน แต่ถ้าหัวใจของเรามันเปิดโล่ง ทางมันสะดวกสบาย ทางมันเป็นไปเห็นไหม แต่ถ้าหัวใจของเรามีขวากมีหนามขัดขวางกั้นอยู่ เราจะเบิกทางของเราไปได้อย่างไร ถ้าจะเบิกทางของเราไป ก็นี่ไง ธรรมและวินัย ธรรมที่เราลงอุโบสถ อุโบสถสังฆกรรม อุโบสถสังฆกรรมเพื่ออะไร ก็เพื่อดูความบกพร่องของใจเราไง

ในสมัยพุทธกาลนะ เพราะภาษาบาลี เป็นสงฆ์ด้วยกัน จะเข้าใจภาษาบาลีเห็นไหม ตั้งแต่ปาราชิก ๔ ลงมาเลย ใครผิดใครไม่ผิด จะคอยสะกิดกันเห็นไหม เราผิด เราผิดเห็นไหม นี่ไงพยายามจะเปิดขวากเปิดหนามที่มันขวางใจอยู่ ให้มันเข้าไปหาได้ เสขิยวัตร เราฟังกัน เวลาฟังอุโบสถ เราฟังอุโบสถ แล้วเราทำอย่างนั้นบ้างไหม เราเป็นอย่างนั้นบ้างไหม เราเป็นไปไหม ในเสขิยวัตร นี่การออกบิณฑบาต การทำอะไรต่างๆ มันมีธรรมและวินัยไว้หมดแล้ว สิ่งนี้มีไว้หมดแล้ว

สมบัติจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติ ธรรมและวินัยวางไว้ให้เราก้าวเดิน วางไว้ให้เราเปิดทางของใจ ถ้าใจเราได้เปิดทางอันนี้เข้าไป เวลาผลของมัน เราถึงอยากได้ไง ถ้าเราอยากได้ผลอันนั้น อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าเราอ่อนแอ เครื่องอำนวยความสะดวกใครๆ ก็หาได้นะ แล้วจะประพฤติปฏิบัติกันอย่างนั้น จะต้องสะดวก จะต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหมดเลย

มีเครื่องอำนวยความสะดวก มันจะอ่อนแอหมด จิตใจอ่อนแอหมดเลย ได้แต่สมบัติของโลก สมบัติของโลกได้แน่นอน เพราะอะไร เพราะโลกก็เห็น เราก็เห็น เราก็เสพอยู่ด้วย เพราะเราเอาสิ่งนั้นมาอำนวยความสะดวกเรา แต่ผลของธรรม ผลของใจล่ะ เพราะผลของใจมันเกิดจากความเพียรชอบ ความเพียรในการประพฤติปฏิบัติ จะส่งผลให้เกิดความสงบของใจ เกิดยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ มันเกิดไหม ถ้ามันเกิดแล้วถามทำไม เป็นอย่างนั้นไหม มันเกิดแต่การคาดหมายไง

เกิดแต่การคาดหมาย เกิดจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ได้เกิดจากสันทิฏฐิโก มันไม่ได้เกิดจากภายใน เพราะอะไร เพราะจากข้างนอกมันอ่อนแอ มันไปเสวยสุข เสวยแต่ความสะดวกสบายไง มันไปเสวยแต่เรื่องของโลกๆ ไง ว่าโลกจะเปิดทางให้ประพฤติปฏิบัติไง แต่หัวใจ กิเลสมันซ้อนไปอีกชั้นหนึ่ง ปฏิบัติไปเถอะ ปฏิบัติเป็นพิธีอย่างนั้น มันจะเข้าถึงใจไหม ใจจะได้ดัดแปลงไหม ใจมันไม่มีการดัดแปลง ใจไม่มีการแก้ไข แต่ปฏิบัติเป็นพิธีว่า สิ่งนี้คือการปฏิบัติเท่านั้นเอง

ถ้าอย่างนั้นแล้ว มันจะเข้าถึงธรรมไหม ถ้าไม่เข้าถึงธรรม ก็มันได้ภาษากิเลส ภาษาโลก ปฏิบัติเป็นพิธีคือโลก ปฏิบัติโดยธรรม ถ้ากิเลสมันอยากสะดวก อยากหาช่องทางลัด ทางที่มันจะเป็นไป นั่นล่ะมันพาออกนอกทางหมดเลย แล้วเราจะดัดแปลงอย่างไร เราจะแก้ไขอย่างไร เราถึงต้องอยู่โดยสัจจะ โดยธรรมชาติอยู่ในสภาวะแบบนี้ เราอยู่โคนไม้กัน อยู่เรือนว่าง ธุดงควัตรไง อัพโภกาสิกังคะเรือนว่าง รูดผ้าไปก็ว่างหมดเลย แล้วอากาศถ่ายเท ถ้าอากาศธรรมชาติ มันเป็นตามธรรมชาติ มันจะมีอากาศถ่ายเท มันมีการประพฤติปฏิบัติตามสัจจะอย่างนี้ จะให้มันยิ่งไปกว่านี้ไม่ได้ แต่ถ้าอย่างนี้โดยสัจจะ โดยสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ เราเอาตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นว่า เราจะย้อนกลับไปทวนกระแส เข้าไปหากิเลสในหัวใจ เริ่มต้นจากตรงนี้ เริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติต้องมีอยู่แล้ว แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เห็นไหม ธุดงควัตร บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียว ฉันมื้อเดียวแล้ว เขาก็ยังอดอาหารอีก อด ผ่อนอาหาร เพราะอะไร

ผ่อนเข้าไปก็เพื่อจะย้อนกลับไม่ให้สิ่งนี้มันทับถมหัวใจ ก็ธรรมชาติมันต้องกินอยู่แล้ว ธรรมชาติร่างกายมันต้องการอยู่แล้ว แล้วเราไปผ่อนทำไม ก็เราจะผ่อนเพื่อไปหาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าไง เราจะผ่อนอาหารเพื่อเข้าไปหาคุณธรรมในหัวใจไง ฉันตามธรรมวินัย ครูบาอาจารย์สอนไว้ ก็ทำตามประเพณี ทำตามคำสั่งสอน แต่ผลประสบการณ์ของจิตของเรามันมีไหมล่ะ ประสบการณ์ของจิตสิ่งใดที่มันขัดขวาง สิ่งใดที่มันเป็นสิ่งที่กีดขวาง สิ่งที่ทำให้ตกภวังค์ ทำให้ภาวนาแล้วไม่ได้ผล

เราก็ต้องหาทางหลบหลีก เราก็ต้องหาอุบายวิธีการ จะดัดแปลง จะหาช่องทางไง หาช่องทางเป็นธรรมะของเรา เราจะเอาประสบการณ์ของจิต จิตเวลาง่วงเหงาหาวนอน ตกภวังค์ จิตมันไม่สงบ จิตมันเป็นสภาวะแบบใด มันต้องเช็คหมด ต้องทดสอบหมด ต้องย้อนกลับหมด มันถึงว่าไม่ไปนอนจมกับกิเลส ทำแต่เป็นพิธีๆ ไง มาโม้ มาคุยกันนะ ๑๘ ชั่วโมง ๒๐ ชั่วโมง ให้มัน ๑๐๐,๐๐๐ ชั่วโมงด้วย เพราะการเกิดการตายนี่มันซับซ้อนมากี่ภพกี่ชาติแล้ว มันจะกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่ มันต้องมีผลจากการประพฤติปฏิบัติไง

มันมีการสืบต่อ มีการต่อเนื่อง มีความสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอของการประพฤติปฏิบัติ ความสม่ำเสมอของจิต จิตนี้มันรับรองอย่างไร ผลมันมาเป็นอย่างไร เอาผลของมันไง เอาความต่อเนื่องไง แต่นี่เอาเวลาไง เอาเวลาคือเอาสิ่งของโลกไง เวลามันบัญญัติมาจากไหน ๒๔ ชั่วโมงใครบัญญัติขึ้นมา มืดสว่างใครบัญญัติขึ้นมา โลกบัญญัติขึ้นมา แล้วธรรมมันอยู่ไหน ธรรมมันมีเกิดมีตายไหม มันก็ย้อนกลับไง มันย้อนกลับมาเพื่อเอาคุณธรรมอันนี้

ถ้าเอาคุณธรรมอันนี้ ความเป็นอยู่ มันต้องทดสอบ มันต้องไตร่ตรองไง มันเป็นจริตนิสัยนะ ไม่ใช่กฎตายตัว ถ้ากฎตายตัว หน้าร้อน เดี๋ยวฤดูกาลมันก็เปลี่ยนแปลง จิตของคนก็เปลี่ยนแปลง จิตหยาบๆ ก็เป็นจิตหยาบๆ พอจิตมันละเอียดขึ้นมา มันก็ละเอียดขึ้นมา จิตของเรามันก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กลอุบายวิธีในการประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องมีเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงเพราะอุบายมันจะซ้ำ จะอยู่โดยกฎอันเดิมอยู่นี่ วิธีการอย่างเดิมๆ นี่ กิเลสมันหัวเราะเยาะ มันเปลี่ยนไป แต่กฎอันเดิมนี้ก็มาใช้ได้อยู่ต่อเมื่อมันทำไปถึงที่สุดแล้ว อุบายวิธีการอย่างนี้ก็กลับมาใช้ได้ใหม่อีกไง กลับมาใช้ได้ใหม่ถ้ากิเลสมันไม่ทัน มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ถ้ากิเลสทันนะ กิเลสมันเอาอุบายนี้มาหลอกเรา กิเลสมันเอาอุบายนี้มาคล้องคอเรา ให้เราไม่รอบคอบ ทำไปถึงที่สุดนะ ทำไปอดอาหาร หรือภาวนาวาระหนึ่ง พอภาวะหนึ่งกิเลสมันก็ซ้อนเข้ามานะ จนออกมาฉันข้าวอีกรอบหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่ากิเลสมันหลอกนะ กิเลสมันหลอกแล้วหลอกเล่านะ กิเลสมันหลอก จะฉันก็ได้ จะไม่ฉันก็ได้ จะหาวิธีการอย่างไร มันอยู่ที่เรา ความชนะความแพ้ในใจ ความชนะความแพ้ระหว่างธรรมกับกิเลสนะ ถ้ากิเลสมันชนะ มันก็หลอกเราหัวปั่นเลย

ถ้าปัญญามันหมุนไปโดยสภาวธรรม เป็นเรื่องของกิเลสมันออกหน้าหมดเลย แต่ไม่รู้เลยนะ แต่ถ้าเป็นปัญญาของธรรมออกนะ มันวิปัสสนาไป มันใช้ปัญญาไป มันจะเข้าใจ มันจะตัดความวิตกกังวล ตัดอวิชชา ตัดความลังเล ตัดทุกอย่าง มันจะปล่อย มันจะว่าง มันจะโล่ง มันจะโถง เห็นไหม ถ้าธรรมออก มันพิจารณาไป เหมือนกับมีดที่มันคมกล้า ฟันสิ่งใดขาดๆๆๆ ความสงสัยในใจ มันจะปล่อยๆๆๆ นั่นคือปัญญา ถ้าปัญญามันสมดุล ปัญญามันออกหน้า

ถ้าเป็นกิเลสออกหน้านะมันอั้นตู้ คิดจนหัวชนฝา หัวนี่ชนภูเขาเลยคิดไม่ตก คิดไม่ได้ ทำไม่ได้ กิเลสมันออกหน้าเห็นไหม ถ้ากิเลสออกหน้า ที่ว่าอุบายวิธีการ ตรงนี้เอามาใช้ ถ้ามันกิเลสออกหน้า กิเลสมันออกไป เรากลับมาที่พุทโธก่อน กำลังไม่พอ มีดเราทื่อมาก มีดเราใช้ไม่ได้ละ ฟันไปก็ฟันไปโดยสุดกำลังสุดแรง มีดบิ่น ก็ฟันไปอย่างนั้น เหมือนอดอาหารแล้วเราดันทุรังไปเห็นไหม อดได้ อดจนตายก็ตายได้ แต่มันเป็นประโยชน์กับเราไหม

แต่ถ้ามันอย่างนั้นปั๊บ เราก็ผ่อนหาวิธีการ ให้กิเลสมันตามปัญญาของเราไม่ทัน แล้วเราก็ย้อนกลับมาให้เปลี่ยนวิธีการไปเลย เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนต่างๆ เห็นไหม มันจะไม่ให้กิเลสมันครอบงำในการปฏิบัติไง แต่กิเลสมันเป็นเรา กิเลสมันอยู่กับเรา ทำสิ่งใดมันจะรู้ทันหมด อุบายถึงต้องใหม่ตลอดไป อุบายจะมีตลอดไป พลิกไปพลิกมา ต้องพลิก ต้องทดสอบ ต้องดูอารมณ์ของจิต เวลาจิตมันพิจารณาไปรอบหนึ่ง จิตมันภาวนาไป ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมมันดีอย่างนี้ ทำไมมันเข้าใจอย่างนั้น

ถ้ามันเข้าใจทดสอบ ทดสอบ หมุนตลอดเวลา นี่คือผู้ที่จะพ้นจากกิเลสไง มันจะเป็นความเพียรชอบ ความเพียรของเราต้องมี ปัญญาของเราต้องมี ปัญญาจากภายใน ปัญญาจากภายนอก โลกอย่าไปตื่นมัน สมบัติของโลกๆ ไม่ต้องไปตื่นหรอก สมบัติของโลกนะ แล้วถ้าเราไม่ใช่ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีจุดยืน เวลาเขาเอาโลกมาเสนอก็ไปกับเขาหมดเลย น่าสงสาร ภาวนาไป ไม่มีใครดูแลเลย จะทุกข์จะยาก จะเอานั่นมาช่วย ก็อ่อนแล้ว แค่นี้ก็ตายแล้ว

เพราะกิเลสมันอ่อนแออยู่แล้วไง พอคนจะเข้ามาช่วยเหลือ มันทอดสะพานไปเลย มันตายเดี๋ยวนั้นเลย เขายังไม่ทันเอาโลงศพมาเลย มันตายก่อนแล้ว นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติไป พอใครเขาจะมาช่วยสนับสนุน ตายก่อนแล้ว ยังไม่ได้ปฏิบัติก็ตายไปเลย แต่ถ้าเป็นเรา เราจะเอาธรรมะฉลาดนะ ปัจจัยเครื่องอาศัยที่เราบิณฑบาตมาพอไหม พอ อะไรที่เราใช้อยู่มันเหลือเฟือด้วย ไม่ใช่ไม่พอ พอจนเหลือเฟือ แต่ที่มันทุกข์กันอยู่นี่ มันไม่ใช่ปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา ไม่ใช่ปัจจัยเครื่องสงฆ์นะ

อยู่ในหมู่คณะอย่างนี้ มันก็พอใช้แล้ว แต่นี่มันทำเพื่อสังคมไง ในเมื่อมันมีสังคม มีคนเข้ามาอาศัย เราถึงจะต้องแสวงหา สิ่งที่จะทำมันเกินกว่าที่สังคมของสงฆ์ เพราะอะไร เพราะมันอยู่ฝั่งนอกแล้ว การชำระของเรา มันอยู่นอกวัตรอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้มันเป็นการเจือจานเอื้ออาศัย ในเมื่อมีการเอื้ออาศัยกัน เราก็เอื้ออาศัยกันเพราะเรื่องของโลกๆ แต่ต้องย้อนกลับมา ต้องมีจุดยืน เราจะรักษาหลักการของเรา รักษานะ ทุกคนในเมื่อไฟมันอยู่กลางหัวของเรา เราต้องเอาไฟจากหัวของเราออกก่อน

เราไม่ใช่เห็นไฟหัวของหัวคนอื่นเป็นสิ่งที่เป็นความทุกข์หรอก ไฟในหัวของเรานะ เราต้องปัดไฟจากหัวของเราลงจากหัวของเราก่อน กิเลสของเรา ในหัวใจของเรา หน้าที่การงานของเรา คือดัดแปลงกิเลส ดูกิเลสของเรา หน้าที่การงานของข้างนอก มันเป็นธรรมและวินัยเห็นไหม มันเป็นสิ่งที่เราบำรุงรักษาเท่านั้นใช่ไหม ถึงว่าถ้ามีความจำเป็น เราจะไม่มีความจำเป็นจนเกินกว่าเหตุ ถ้ามีความจำเป็นนะ เราจะเอาคนเข้ามาให้เขาดูแลต้นไม้มากกว่านี้อีกก็ยังได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา

เราเพียงแต่ดูนโยบาย ดูแต่ความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือ ความควบคุมไง ควบคุมให้สิ่งนี้มันอยู่ในร่องในรอย ไม่ใช่ของที่เขาเอาเข้ามาให้ สิ่งนี้ที่เขาเอาเข้ามาให้ แล้วไม่มีใครดูแล ปล่อยให้มันตาย ปล่อยให้มันเสียหายไป เห็นไหมศรัทธาไทยตกร่วงไง ไม่ได้ไปประจบสอพลอเขา เพียงแต่ของที่มาถึงมือเราแล้ว เราจะดูแลรักษาให้มันเป็นประโยชน์แค่ไหน แต่ไม่ใช่ไปสอพลอใครทั้งสิ้น ไม่ได้ออกไปเรียกร้องให้ใครมาเลย แต่สิ่งที่มาแล้ว เราจะดูแลรักษา รักษาสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์เท่านั้น

ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่รักษา ทิ้งเลย ทิ้งออกไปข้างนอก สิ่งนี้ไม่จำเป็นกับสงฆ์ ไม่จำเป็นกับการดำรงชีวิตของภาคปฏิบัติ ทิ้งๆๆ แต่ถ้าจำเป็นต่อภาคปฏิบัติเราก็ดูแลรักษา ดูแลรักษาโดยธรรม ถ้าธรรมอยู่ในหัวใจของใคร อยู่ในหัวใจของเศรษฐี สมบัติมันก็ไม่เสียหาย อยู่ในหัวใจของยาจก ถึงจะทุกข์จนเข็ญใจ แต่ใจก็เป็นธรรม มันก็มีความสุข อยู่ในใจของพระ อยู่ในใจของผู้อาศัย สิ่งใดเป็นประโยชน์ต้องเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ก็ตัดทอนมันไป

เพียงแต่ตอนนี้เรามีกิเลสในหัวใจ อะไรก็แล้วแต่มันจะขัดแย้งกับกิเลสเราไปหมดเลย ถ้าเขาให้มาก็ว่าสิ่งที่ไม่ดี เขาไม่ให้มาก็ว่าสิ่งนั้นมันขาดแคลน ถ้าใจมันเป็นกิเลสนะ อะไรมันจะขัดแย้งไปตลอด ถ้าอะไรเป็นธรรมนะ เราต้องเลือกต้องเฟ้น เพราะอะไร เพราะคนที่เป็นปัญญาก็มี คนที่เขามานี่นะ เขาอาจจะมาทดสอบก็ได้นะ เขาไม่เห็นด้วยเลย เขาเอาสิ่งที่ไม่ดีมาให้ ดูสิว่าพระจะรับไหม ถ้าพระรับพระไม่มีจุดยืนเลย เพราะผิดก็ยังรับ แต่ถ้าเขาเอามาแล้วเห็นพระไม่รับ เอ้อ พระนี่มีจุดยืน ต่อไปเขาจะทำสิ่งที่ดีมาก็ได้

ถ้าเราอยู่ในธรรมและวินัย สิ่งนี้มันจะตัดสินได้ไง ตัดสินว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ถ้าไม่ควรนะ มันไม่ควรก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ โลกเขาทดสอบเราก็ได้ เราจะทดสอบใจเราเองก็ได้ เราจะดูแลรักษาก็ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย หน้าที่ของเรานะปฏิบัติไป ปฏิบัติเพื่อให้ใจเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมนั้น เป็นสมบัติของเรา สุดยอดนะ สมบัติของโลกเขาหาเงินหาทองกัน

สมบัติของพระให้มีธรรม ธรรมในหัวใจนี้ ให้มันพัฒนาขึ้นมา พัฒนาขึ้นมาเพื่อสังฆะนะ ไม่ใช่เพื่อใครเลยนะ ถ้าเรามีคุณธรรม สิ่งใดๆ มันเกิดขึ้นมา เราตัดสิน เราไม่ติดนะ กิเลสมันเป็นกาว ยางเหนียว มันติดไปหมด อะไรมาก็ไปแปะเขาหมดเลย แต่ถ้ามันเป็นธรรม สิ่งใดเป็นประโยชน์มันถึงจะรับ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ไม่ควรเอาเข้ามาเลย มันทำลายทั้งเราด้วย ทำลายทั้งหมู่คณะด้วย แล้วทำลายศาสนาด้วย เอวัง