ไม่สิ้นสุด
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “สมองตาย”
สมองตาย หัวใจยังเต้น จิตอยู่ที่ไหนคะ
ตอบ : จิตก็อยู่ที่บุคคลคนนั้นน่ะ จิตอยู่ที่บุคคลคนนั้น ถ้าสมองตายนะ สมองตายแล้ว เพราะว่าสมองตาย สมองไม่ใช่ชีวิต สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ถ้าสมองตาย สมองตายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายนั้น เวลาสมองตายแล้ว ชีวิตนี้ถ้ามีเครื่องพยุง ออกซิเจนต่างๆ มันก็รักษาไปได้พักหนึ่ง นี่รักษาได้พักหนึ่ง
ถ้าคนตาย ทุกอย่างต้องดับหมด แต่ถ้ามันยังเริ่มสมองตาย สมองตายทางการแพทย์ ทางการแพทย์สมองตายแล้ว คนนั้นน่ะชีวิตนี้มันเอาให้ฟื้นกลับมาเป็นปกติไม่ได้ ถ้าฟื้นเป็นปกติไม่ได้ สมองตายแล้ว เดี๋ยวถ้าไม่มีเครื่องพยุงช่วยหายใจเดี๋ยวก็ตาย ไอ้นี่คำว่า “เดี๋ยวก็ตาย” เพราะว่าตายแล้วจิตออกจากร่างนั้นไป
“สมองตาย หัวใจยังเต้น จิตอยู่ที่ไหนคะ”
จิตก็อยู่ที่ในร่างกายนั้น มันยังไม่ถึงที่สิ้นสุดไง ถ้าถึงที่สิ้นสุดคือคนตาย แต่ถ้าเป็นสมองตายทางการแพทย์ ทางการแพทย์นะ เพราะพูดอย่างนี้มันเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย
กฎหมายว่า เวลากฎหมายนะ สิ่งที่มีชีวิตนั้น เวลาเด็กจะเกิดน่ะเป็นคนหรือยัง ถ้าคนแล้วทำลาย มันคือการฆ่าคนตาย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสมองตายแล้ว สมองตาย ในทางการแพทย์ว่าคนสมองตายแล้ว เดี๋ยวก็จะตาย ถ้าเดี๋ยวก็จะตายปั๊บ มันทางการแพทย์นะ มันมีคนเวลาสมองตายหรือประสบอุบัติเหตุ อวัยวะเขาได้ช่วยเหลือคนอื่นไว้มากมาย ฉะนั้น ถ้าถึงสมองตายแล้ว ถ้าทางญาติเขา เขาจะบริจาคอวัยวะ จะบริจาคหัวใจ จะบริจาคตับ บริจาคไตต่างๆ ให้แก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย นี่ทางการแพทย์
เพราะเวลาพูดไปแล้วมันจะไปขัดแย้ง มันจะไปกระทบกระเทือนกันไง มันจะไปกระทบกระเทือนทางการแพทย์ มันจะไปกระทบกระเทือนทางกฎหมาย
เพราะกฎหมาย ถ้าสมองตาย คนยังไม่ตาย ถ้าหมอทำให้ตาย หมอทำให้ตายมันก็จะผิดกฎหมายอีก ฉะนั้น เวลาทางกฎหมาย ทางการแพทย์นั้นยกไว้เพื่อประโยชน์ อย่างเช่นเราสละร่างกายของเราต่อเมื่อเราเสียชีวิตไปแล้ว เราสละอวัยวะต่างๆ ให้กับสภากาชาด นั่นเป็นบุญกุศลที่จะช่วยคนต่อไป
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาสมองตาย เราเห็น เวลาสมองตายแล้วเขาให้อวัยวะไปบริจาคให้กับผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนอวัยวะต่างๆ นั่นเขาก็ทำได้ เพราะสมองมันตาย ร่างกายมันแบบว่าอวัยวะมันมีเวลาที่มันจะหมดสิ่งมีชีวิตที่จะไปต่อกันได้ไง ฉะนั้น เขาต้องรีบเร่ง เขาต้องทำของเขา
ฉะนั้น เวลาทางการแพทย์ว่า สมองตาย หัวใจยังเต้นอยู่ จิตอยู่ที่ไหนคะ
จิตก็อยู่ที่ร่างนั้นน่ะ เหมือนเราเข้าไปอยู่ในห้องที่ปิดอับปิดมิดชิด เราอยู่ในห้องคนเดียว สืบต่อไม่ได้ เวลาสมองตาย เส้นประสาทหรือประสาทที่รับรู้จากภายนอกมันปิด แต่คนนั้นยังอยู่ จิตดวงนั้นยังอยู่
ถ้าจิตดวงนั้นยังอยู่ปั๊บ ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บ จะพูดให้ละเอียดไปมันไม่อยากพูด มันไม่อยากพูด เพราะทางการแพทย์เดี๋ยวนี้เจริญขึ้นมา พอเจริญขึ้นมานะ พอเขาบอก นี่สมองตายแล้วล่ะ เหมือนคนตาย เหมือนผักเหมือนปลานอนอยู่บนเตียง
แต่ถ้าพูดถึงข้อเท็จจริง ถึงธรรมะนะ ถึงเรื่องจิตวิญญาณ ยังไม่ตาย อยู่ในนั้นน่ะ ยังไม่ตาย แต่สมองตาย เหมือนพวกติดเตียง พวกที่แบบว่าเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต พวกติดเตียงเขาบอกมันตายหรือยัง ไม่ตาย ตายไม่ได้ ตายคือเน่าเฟะ
พอจิตออกจากร่างเดี๋ยวก็เน่าเฟะ เน่าหมด เพราะว่ามันไม่มีธาตุไฟไง ธาตุไฟคือสิ่งที่พยุงร่างกายนี้ไว้ ถ้าพยุงร่างกายนี้ไว้มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมนะ เรื่องเวรเรื่องกรรมของคน นี่เรื่องต่างๆ
แล้วถ้าพูดถึงมันมีคนที่สงสัยมาก เวลาพระเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ๘ วันอย่างนี้ เอ๊ะ! แล้วมันไม่หายใจมันอยู่ได้อย่างไร นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นั่นเรื่องที่คนที่เขาเป็นแล้วนะ มันเรื่องธรรมดา มันเรื่องปกติของเขา ถ้าคนทำได้แล้วหมด จบ ถ้าคนยังไม่ได้ก็สงสัยทุกคนน่ะ แต่ถ้าคนทำได้แล้วมันก็จบไง มันอยู่ของมันได้โดยข้อเท็จจริงของเขา โดยความสามารถของการกระทำของจิตของเขา นั่นทำได้
แต่นี่เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นไปตามเวรตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ฉะนั้น คำว่า “สมองตาย หัวใจยังเต้น จิตอยู่ที่ไหนคะ”
จิตอยู่ที่ร่างกายนั้น จิตอยู่ที่ร่างกายนั้น เพราะว่าเวลาคนที่เขาเป็นผักหรือว่าคนเขาประสบอุบัติเหตุเขาสื่อสารไม่ได้ แต่คนไปกระซิบข้างหู เดี๋ยวน้ำตาเขาไหลเลยนะ เขารับรู้ได้แต่เขาสื่อไม่ได้ มันเหมือนกับอยู่ในห้องหรือในโอ่งในไหที่สืบต่อไม่ได้
เวลาของเรา เวลาเราไปหาแพทย์แผนไทย เวลาจับเส้นๆ เส้นประสาท ปลายประสาทต่างๆ เขาพยายามรักษาไว้ให้มันสืบต่อได้โดยปกติ
นั่นพูดถึงว่าโดยอายตนะที่พูดถึงเวลาทางธรรมะนะ อายตนะ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความสัมผัสต่างๆ แล้วเวลาว่าสมองมันเป็นศูนย์ควบคุม เป็นศูนย์ควบคุมร่างกายนี้ทั้งหมด แล้วมันเร็วมาก มันไวมาก ถ้าทางการแพทย์เขาบอกว่ามันเป็นคลื่นไฟฟ้า ไอ้นั่นไฟฟ้าก็ไฟฟ้า ธาตุไฟของเรา ทางการแพทย์ส่วนทางการแพทย์
๑. ทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของเขา
๒. ทางกฎหมาย
๓. เรื่องธรรมะ
ถ้าธรรมะมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งไง ฉะนั้น จะไม่พูดให้ขัดแย้งกัน จบ
ถาม : เรื่อง “หัดทำ ๒”
กราบนมัสการหลวงพ่อครับ โยมขอรายงานการภาวนาของโยมครับ ตอนนี้โยมใช้หลักการภาวนาคือให้ผู้สังเกตผู้รู้ดูลมเข้าออกระหว่างปลายจมูกขึ้นไปดั้งจมูก รู้ลมไปเรื่อยๆ เริ่มสงบจะเห็นเหมือนนั่งยานตามลมไปเรื่อยๆ จนไปหยุดและเห็นดวงแก้วแสงลางๆ ที่กลางระหว่างคิ้ว และให้ผู้สังเกตตามดูกับแสงนั้นตลอด
สักพักผู้ที่สังเกตเห็นผู้รู้ดวงแก้วนั้นรวมตัวกัน แล้วเลื่อนลงมาที่กลางอก และนิ่งรู้ลมที่เบากว่าเดิม นิ่งรู้ลมไปเรื่อยๆ ก็หลุดไปคิด พอรู้ตัวว่าคิดก็รีบตัดกระแสที่คิดส่งออกไป แล้วกลับมาที่ดวงแก้วที่รู้ลมต่อ เป็นแบบนี้เรื่อยๆ ก็เกิดความคิดว่า ดวงแก้วคือจิตที่เป็นพลังงาน มีกระแสรอบดวงแก้วเวลาที่คิดส่งออก จึงส่งกระแสเหมือนเส้นฟ้าที่ผ่าไปที่สิ่งที่เราคิดคือขันธ์ ๕ เรารู้ตัวก็ตัดกระแสนั้นด้วยขวาน
(โยมนึกถึงขวานที่หลวงพ่อถือมาตอนมาฉันน้ำปานะ ๓ วันติดกันตอนที่โยมไปภาวนาที่วัด แต่โยมก็ไม่กล้าถามหลวงพ่อว่ามีกุศโลบายหรือเปล่าที่เกี่ยวกับขวานนั้น)
เมื่อจับวิธีตัดกระแสได้ การคิดส่งออกก็น้อยลง รู้อยู่กับลม และเกิดคิดว่า ลมที่รู้ก็เป็นเพียงธาตุ ๔ ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา ก็จะเพ่งรู้อยู่กับดวงแก้วนั้น แต่ก็รู้ลมควบคู่ไปด้วย เพราะยังวางลมไม่ได้ครับ และบางครั้งคิดส่งออกก็คิดว่าเป็นขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา
ตอนนี้โยมพยายามจะให้รู้อยู่กับดวงแก้วเฉยๆ โดยไม่ที่สนใจลม และโน้มว่า มันเป็นแค่ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเป็นธรรมชาติ มันก็ทำงานของมันไป ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยู่กับมันและใช้มัน แต่ก็เพ่งได้ไม่นานก็รู้สึกว่าเหนื่อย เลยกลับมาที่ลม แบบว่ารู้ดวงแก้วและลมควบคู่กันไปถึงจะภาวนาดีขึ้นสบายขึ้น ตอนนี้โยมภาวนาถึงตอนนี้ครับ โยมขอถามหลวงพ่อว่า
๑. ที่โยมมองว่าดวงแก้วพลังงานนั้นใช่จิตไหมครับ
๒. ที่โยมคิดว่าใช้ขวานตัดกระแสความคิดนั้นเป็นมรรคหรือสังขารปรุงครับ
๓. โยมควรจะดูดวงแก้วพร้อมกับรู้ลมไปเรื่อยไหมครับ หรือใช้พุทโธอัดเข้าไปเลย
๔. ขวานที่พระอาจารย์ถือมาตอนฉันน้ำปานะ มีกุศโลบายอะไรไหมครับ
โยมขอรบกวนถาม ๔ ข้อครับ
ตอบ : ไอ้คำนี้ ไอ้คำที่ว่าเราภาวนานี่นะ เริ่มต้นเอาอารัมภบททั้งหมดก่อน สิ่งที่ว่าเวลานั่งภาวนารู้ลมหายใจหรือกำหนดพุทโธ แล้วเวลาเรารู้เราเห็นสิ่งต่างๆ เห็นดวงแก้วต่างๆ อันนี้คือส่งออกทั้งหมด
จิตเห็นแสงสว่าง จิตเห็นสิ่งใดก็แล้วแต่ เพราะจิตมันรู้มันเห็น จิตรู้อะไรคือส่งออกไปอยู่ที่ไอ้นั่น
ทีนี้คำว่า “ดวงแก้วๆ” ดวงแก้วที่เขาสอนเพ่งดวงแก้วๆ กัน ถ้าไม่เห็นดวงแก้ว เขาให้นึกดวงแก้วขึ้นมา นึกดวงแก้วขึ้นมา เราก็เพ่งดวงแก้วนั้น แล้วขยายดวงแก้วนั้น อันนั้นเป็นการสอนของเขา การสอนของความเชื่ออันหนึ่ง
แต่ของเรา เราสอนกำหนดลมหายใจ ดูลมหายใจหรือกำหนดพุทโธๆๆ นี้คือคำบริกรรม ถ้าเรามีคำบริกรรมๆ เพราะจิตมันดีขึ้น เขาบอกว่า เวลาเขาพุทโธๆ แล้วเหมือน...เหมือนเลย เขาว่านะ...พุทโธไปเรื่อยๆ เหมือนนั่งยาน เหมือนนั่งยานตามลงไปเรื่อยๆ...นี่ส่งออกทั้งนั้น
พอส่งออกไปจนไปหยุดแล้วไปเห็นดวงแก้วลางๆ แล้วก็กลับมาพยายามพุทโธๆ ดวงแก้วมันก็จะเด่นชัดขึ้น...ส่งออกทั้งสิ้น
คำว่า “ส่งออกๆ” ดวงแก้ว เพราะจิตมันไปรู้ไปเห็นไง
แต่ถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้าออก กำหนดดูลมๆ เราอยู่กับลม แล้วถ้ามันสงบน่ะมันดีกว่าดวงแก้ว ดวงแก้วมันช่วยอะไรไม่ได้ ดวงแก้วถ้ามันดีนะ ร้านขายจิวเอลรีเยอะแยะไปหมดเลย จะซื้อดวงแก้วอะไรก็ได้ จะเอาโคมไฟดวงแก้วยังได้เลย เอาโคมไฟดวงแก้วไปแขวนไว้บนหัวนอนเลย แล้วก็นอนดูดวงแก้ว
เพราะตามันเห็นดวงแก้ว จิตมันเห็นแก้ว จิตมันเห็นดวง จิตมันส่งออก
ทีนี้พอคำว่า “ส่งออกๆ” เพราะไปกำหนดไง อารัมภบทมาหมด พอไปดูดวงแก้ว ไปอยู่ที่ดวงแก้วแล้วก็ไปเพ่งที่ดวงแก้ว แล้วมันก็เลือนลางหายไป ก็กลับมาพุทโธ พุทโธเสร็จแล้วก็ไปดูดวงแก้ว
จะรู้จะเห็นสิ่งใดแล้ว ตัด พุทโธอย่างเดียว กำหนดลมอย่างเดียว กำหนดอยู่กับลม อยู่กับลมของเราไปเรื่อยๆ สิ่งที่รู้ที่เห็นเพราะจิตมันมีกำลัง จิตมันมีการภาวนา
ธรรมดาเราปล่อยจิตเราเร่ร่อนตามธรรมชาติของมัน ตามธรรมชาติของมนุษย์นะ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ คนมีความคิดเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามีความคิดแล้ว พอมีความคิดนะ ขันธมาร พอความคิด สังขารขันธ์มันมีมารขึ้นมา มารมันก็ควบคุม พอควบคุมแล้วมันก็คิดของมันไปไง คิดเรื่องธรรมะมันก็เป็นกิเลส เพราะคิดเรื่องธรรมะแล้วอยากได้ไง คิดเรื่องธรรมะแล้วเราจะได้มรรคได้ผล เราจะได้สมาธิ เราจะได้ปัญญา นี่กิเลสทั้งนั้นน่ะ คิดเรื่องธรรมะก็กิเลส เพราะมันคิดอยากได้
ถ้าเราตรึกในธรรมๆ เราตรึกในธรรมโดยธรรมชาติ เราใช้ปัญญาของเราโดยธรรมชาติ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ อันนี้คิดให้หยุด ไม่ได้อยากให้เป็นอะไรทั้งสิ้น ให้มันหยุดของมัน ให้มันรู้ตามความจริงของมัน นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ
แต่ถ้ามันเหมือนนั่งยานตามลมไปเลย
เวลาเขากำหนดลมหายใจนะ มีหลายที่เขาสอนว่า ลมสั้นก็รู้ว่าสั้น ลมยาวก็รู้ว่ายาว ตามลมไปๆ
หลวงตาท่านสอนว่า เวลาเรากำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปากประตูคือปลายจมูก เหมือนอยู่ที่ประตูบ้าน ถ้าเรายืนอยู่ที่ประตูบ้าน เราเฝ้าประตูบ้าน ใครจะเข้าบ้านเรา ออกจากบ้านเรา เราจะรู้จะเห็นหมดเลย เพราะเรายืนอยู่ที่ประตูบ้าน
แต่ถ้าเราตามลมเข้าไปๆ เวลามีแขกมาสักคนหนึ่งเขาเดินเข้าไปในห้องรับแขก เดินไปในห้องครัวของเรา เราเดินตามไปไง ไปห้องรับแขกก็รู้ว่าไปห้องรับแขก ไปในครัวก็รู้ว่าไปในครัว มันปล่อยปากประตูทิ้งไว้น่ะ แล้วมันมีบุคคลที่สองที่สามมา มันเข้ามาโดยที่ไม่มีใครควบคุมมัน เข้ามาทำสิ่งใดก็ได้ นี่คือว่าลัทธิตามลม ลมสั้นก็รู้ว่าสั้น ลมยาวก็รู้ว่ายาว ลมละเอียดก็รู้ว่าละเอียด ลมหยาบก็รู้ว่าหยาบ นี่คำสอนเขาไง
แต่ถ้าเป็นกรรมฐานเรานะ อยู่ที่ปลายจมูก อยู่ที่ปากประตู จะเข้าจะออกรู้ตลอด มันจะสั้น มันจะยาว มันจะไปไหนเรื่องของมัน เรารู้เท่าความรู้สึกเราตลอดเวลา
เพราะเวลามันรู้สึกนะ รู้สึกลม เวลาลมละเอียดก็รู้ว่าละเอียด ละเอียดจนจับลมไม่ได้เลย เห็นไหม ละเอียดจนจับลมไม่ได้เลย จับลมไม่ได้ ตัวมัน มันจับลมไม่ได้เลย คือลมไม่ใช่เราไง ลมไม่ใช่จิต จิตก็ไม่ใช่ลม แต่จิตอาศัยลมโดยธรรมชาติการหายใจนี้เพื่อฝึกหัดให้จิตมันสงบ เป้าหมายเราอยู่ที่นี่ เป้าหมายเรา เราเกาะลมไว้ ถ้าไม่เกาะลมไว้มันก็เร่ร่อนไปทั่ว
เราก็เกาะลมเราไว้ แต่พอเกาะลมไว้มันก็ตามลมเข้าไป ตามไปตามมาก็ตามอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่เราเกาะลมไว้ เราเกาะลมไว้ ดูลมของเราหยาบละเอียดจนจับลมไม่ได้ แล้วจนจับลมไม่ได้ ความรู้ไม่ปรากฏ เขาเรียกสักแต่ว่า
จับลมได้นี่เราจับทั้งเต็มไม้เต็มมือเลย ลมกับเราเป็นสอง ความคิดกับเรา เรามีความคิดๆ ความคิดที่เกิดจากจิต เกิดจากจิตไม่ใช่จิต นี่เป็นสอง สองเพราะมีเรากับความคิด
เราพุทโธๆ ก็เป็นความคิด เป็นสองเหมือนกัน แต่คิดพุทโธไง บริกรรมไง บริกรรมจนมันละเอียดไง ละเอียดจนพุทโธไม่ได้
เพราะมันเป็นสอง เพราะหนึ่งคือจิต สองคือคำบริกรรม หนึ่งคือจิต สองคือพุทโธ หนึ่งคือจิต สองคือลม เราจับสิ่งใดก็แล้วแต่มันละเอียด ละเอียดเพราะว่าจิตมันกำหนดตัวมันเองคงที่ ลมก็คือลมไง พุทโธก็พุทโธไง พุทโธจนพุทโธไม่ได้ กำหนดอะไรก็กำหนดไม่ได้ นี่สักแต่ว่ารู้ ไง นี่สักแต่ สักแต่ว่า มันไม่ปรากฏเป็นสองไง เป้าหมายเราอยู่ที่นี่ไง
ไม่ใช่ไปดวงแก้วแล้วตามดวงแก้วไป
ไปตะครุบพระอาทิตย์นู่นน่ะ เข้าไปแล้วมันไหม้หมดเลยนะ ไปดวงอาทิตย์ เข้าไปย่อยสลายหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย
เราจะบอกว่า ดวงแก้วไม่เอา ไม่ต้องยุ่งกับมัน เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาดวงแก้ว เราภาวนาเพื่อจิตของเรา
แต่ผู้ปฏิบัติใหม่ไง ถ้าปฏิบัติใหม่ปฏิบัติได้แค่นี้ก็ว่าเก่งแล้วนะ เวลาผู้มาถามปัญหาเวลาปฏิบัติ เราก็ว่าใช่ เก่ง เพราะอะไร เพราะไม่อยากพูดให้เสียกำลังใจ กำลังใจนี้สำคัญนะ ไม่มีกำลังใจนี่ไม่ทำนะ
ฉะนั้น สิ่งที่ถามมานี่ “หัดธรรม ๒” เพราะครั้งที่แล้วเขาถามมา เราตอบไปว่า “หัดธรรม” ฝึกหัดไง นั่นครั้งที่ ๑ นี่ครั้งที่ ๒ เพราะเราถือว่าผู้ที่ฝึกหัดใหม่ได้อย่างนี้ ได้ที่เขาถามมานี่ ภาษาเรานะ ก็เก่งแล้ว คำว่า “เก่งแล้ว” มันเป็นโลก
เราเกิดมาเป็นคน ปฏิสนธิในไข่ ตั้งแต่ปฏิสนธิจนอยู่ในครรภ์ ๙ เดือนจนเกิดมาเป็นคน ทั้งชีวิตมันก็ใช้สามัญสำนึกของคน เพราะมันเป็นภพ เราเกิดเป็นมนุษย์ ชาติปิ ทุกฺขา ในชาตินี้ ถ้าเกิดในชาตินี้ สถานะของความเป็นมนุษย์มันมีอยู่โดยข้อเท็จจริง แล้วเราคิดของเราอยู่อย่างนี้
แต่เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บอกว่า นั่นเป็นธาตุ ๔ นั่นเป็นขันธ์ ๕ อะไรต่างๆ
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จิตสงบแล้วเขาจับ เขารู้ได้ตามความเป็นจริง เหมือนกับหมอให้ยาทางเคมี เคมีมันมีปฏิกิริยาของมัน นี่ก็เหมือนกัน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเป็นองค์ประกอบที่ชัดๆ นะ
แต่ของเรานี่เราลูบๆ คลำๆ แล้วเราคาดหมายว่าเป็น แล้วพอคาดหมายว่าเป็น “นี่จะเป็นธาตุ ๔ และเป็นขันธ์ ๕ เห็นหลวงพ่อถือขวานมาก็เลยเอาขวานฟันฉับเลย”
อันนี้มันเป็นแบบว่าโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากโลก ปัญญาเกิดจากเรา คือปัญญาเกิดจากเราที่เราคิดเองทำเอง เรามีอุปาทานที่เราจะให้เห็นเป็นอย่างนั้น แต่มันยังไม่เป็นความจริงหรอก มันไม่เป็นความจริงตรงไหน มันไม่เป็นความจริงตรงทำสมาธิยังไม่ได้ ยังไม่เป็นความจริงที่เราทำความสงบได้ไง
สิ่งที่ทำมาๆ นี่มันเป็นประสบการณ์ของจิตในการฝึกหัดภาวนา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา นี่เกิดจากสุตมยปัญญา การศึกษาการใคร่ครวญการกระทำของเรา แล้วที่เป็นอย่างนี้ไหม เป็น เป็นเพราะว่าเราก็ให้ชื่อไง เราให้ชื่อ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พอมันเป็นอย่างนั้นมันหยุดมันวางชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะ มันจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน
นี่พูดถึงที่เขาว่า นั่งยานตามลมไปเลย แล้วมันไปเห็นเป็นดวงแก้วลางๆ แล้วเราสังเกตให้มันชัดขึ้น มันก็ชัดขึ้น แล้วอยู่กับดวงแก้วแล้วก็ทิ้งลมเลย พอทิ้งลมเลย เดี๋ยวดวงแก้วมันหายไปแล้วเราก็กลับไปที่ลมใหม่
เห็นไหม เพราะสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากลม เกิดขึ้นจากอานาปานสติ เกิดขึ้นจากพุทธานุสติ จิตบริกรรม จิตฝึกหัดแล้วจิตมีกำลัง จิตมีความสงบ มันถึงรู้ถึงเห็นอย่างนี้ไง ถ้ามันถึงรู้ถึงเห็นอย่างนี้ การรู้การเห็นนั้นส่งออกไปรู้ ไม่จำเป็น เสียพลังงาน เหนื่อยเปล่า
กลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น
แต่ทำความสงบของใจมันยาก มันต้องตั้งสติ แหม! พุทโธๆ อู๋ย! เครียด กำหนดลมนี่จับผูกมัดไว้เลย มันทำยาก ไปที่ดวงแก้ว สบายๆ
สบายสิ ก็เอ็งปล่อยจิตไปอยู่ที่ดวงแก้วไง เอ็งปล่อยจิตไปอยู่ที่แสงไง แสงที่รู้ไง พออะไรก็ได้ที่สติมันปล่อย แล้วเราเป็นอิสระที่จะเรรวนอย่างไรก็ได้ นี่สบาย แต่ถ้าบังคับมันไม่ดี
แต่การบังคับนี้ฝึกหัดจนเห็นโทษ เห็นโทษของการที่ปล่อยปละละเลย
เริ่มต้นภาวนามันเห็นดวงแก้ว เห็นต่างๆ
การเห็นดวงแก้ว เห็นต่างๆ มันเป็นการบอกว่าจิตมันมีกำลังขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าไม่เห็นอะไรเลย ปฏิบัติไม่ได้อะไรเลย มันก็อึดอัดขัดข้อง แต่พอไม่เห็นอะไรเลย มันก็เหมือนเด็ก เด็กมันเห็นผู้ใหญ่ทำงาน “แม่ไม่ต้องทำ เดี๋ยวหนูทำให้” เด็กๆ มันจะบอกผู้ใหญ่เลย “ไม่ต้องทำ” มันว่ามันทำได้หมดน่ะ แต่คือมันทำไม่ได้ เด็กๆ มันทำอะไรไม่เป็นหรอก แต่มันเห็นผู้ใหญ่ทำนะ “เดี๋ยวหนูทำให้ เดี๋ยวหนูทำให้ หนูทำให้ดีกว่าอีก”
จิตฝึกหัดใหม่ก็เป็นแบบนี้ จะเป็นจะไอ้นั่น จะเป็นไอ้นี่ จะเป็นไอ้นั่น เหมือนหนูทำให้นั่นน่ะ มันไม่จริงหรอก แต่เวลาผู้ใหญ่เขาทำงานนะ เขาทำงานตามข้อเท็จจริงของเขา
นี่ก็เหมือนกัน มันต้องฝึกหัดให้จิตมั่นคงขึ้นมา มั่นคงขึ้นมาแล้ว แล้วถ้ามันจะไปเห็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไอ้ความคิดเป็นความคิด ความคิดนี้มันเกิด แล้วเวลามันคิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด
คิดเท่าไรก็ไม่รู้ แล้วเวลาคิดเท่าไรก็ไม่รู้ พอมีกำลังแล้วก็ใช้ความคิดนี้ที่ยังมีสมุทัย ยังมีตัณหาของเราอยู่ ยังมีความหลงผิดอยู่ แล้วก็คิดเห็นดวงๆ เห็นปัญญา เห็นขันธ์ ๕ มันมีสมุทัยปนไง มันมีเชื้อโรค มันมีกิเลสครึ่งหนึ่ง ธรรมะครึ่งหนึ่ง
แต่เดิมกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ เราทุกข์เรายากนี่กิเลสเต็มตัวเลย แล้วก็มาฝึกหัดกัน พอฝึกหัดกันมันสงบระงับเข้ามาบ้าง มันมีความสงบ มีกำลัง แต่กิเลสมันก็ยังมีอยู่ไง แล้วเราก็คิดอย่างนี้
มันขำตรงว่า นั่งยานตามลมไปเลยนะ แล้วไปเห็นดวงแก้ว เหมือนนั่งยานไปเลย ยานอวกาศ อู้ฮู! มันส่งออกแล้วมันนั่งยานไปอีก มันยิ่งส่งไปไกลเลย อันนี้มันการส่งออก
แต่ถ้าเห็นดวงแก้วๆ เห็นเพราะจิตมันสงบแล้วมันเห็น แล้วพอเวลาทิ้งลมไปแล้วมันหายหมด แล้วก็กลับมาที่ลมอีก
ฉะนั้น เราไม่ต้องการดวงแก้ว ถ้าเห็นดวงแก้วแล้วดวงแก้วนี้เป็นเป้าหมาย คือมันติดใจ พอมันติดใจแล้ว ใจมันหมายแล้ว ทีนี้มันทำอย่างไรมันก็จะไปเห็นดวงแก้วตลอด แล้วจิตถ้ามีกำลังก็จะไปที่ดวงแก้ว แล้วพอดวงแก้วมันหายแล้วก็กลับมานี่ อันนี้เพราะจิตมันหมายไว้
ถ้าจิตมันไม่หมาย จิตมันไม่ยึดมั่นถือมั่น มันภาวนาของมันไป จะเห็นอะไรก็ได้ จะสงบก็ได้ สงบเฉยๆ ก็ได้ สงบไม่เห็นดวงแก้วก็ได้ สงบมาโดยที่ไม่เห็นอะไรเลยก็ได้ แต่สติพร้อมในความรู้สึกอันนี้ไง แล้วถ้าสงบแล้วมันรู้เห็นอะไรก็ไม่เอาอีกต่างหาก รั้งไว้ๆ ไม่ให้มันออก รั้งไว้ด้วยสติไง
เห็นไหม เวลาดวงแก้วมันหาย เรายังกลับมาที่ลมหายใจเป็นเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าดวงแก้วมันมีอยู่ เราก็ดึงกลับมาที่ลมหายใจได้ นี่รั้งไว้ไง ไม่ให้มันไปไง
แล้วบอกว่า ถ้ามันเป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕
อันนี้เป็นการอนุมาน อนุมานเอา คนที่ประพฤติปฏิบัติศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วก็อนุมานเอาไง อนุมานคือคาดหมาย คือสันนิษฐาน คือเดา จบเลย
อันนี้อารัมภบทนะ ทีนี้คำถาม “๑. ที่โยมมองว่าดวงแก้วเป็นพลังงาน นั่นใช่จิตไหมครับ”
ไม่ใช่ จิตเป็นจิต ดวงแก้วเป็นดวงแก้ว มันเป็นเงา มันเหมือนความคิด ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดไม่ใช่เรานะ ความคิดนี้ไม่ใช่เรา แต่โดยสถานะ วัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ พรหมคิดอย่างหนึ่ง เทวดาคิดอย่างหนึ่ง มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง มนุษย์มีขันธ์ ๕ มีสมองคิด แล้วเราคิดด้วย
ฉะนั้น ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิตแต่ไม่ใช่จิต ถ้าความคิดเป็นจิต เวลาคิดไม่ได้ นิทรา เขาคิดไม่ได้ เขาทำไม่ได้ แต่จิตเขายังอยู่ นี่ความคิดไม่ใช่จิต
ความคิดเป็นความคิด เกิดจากจิตแต่ไม่ใช่จิต
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน “ดวงแก้วเป็นพลังงาน นั่นใช่จิตไหม”
จิตเป็นจิต จิตคือฐีติจิต จิตเดิมแท้ แต่เพราะจิตเดิมแท้สวมความเป็นมนุษย์เข้าไป
จิตเดิมแท้ เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เกิดในไข่มาเป็นไข่ เกิดในครรภ์มาเป็นเรา สวมความเป็นมนุษย์เข้ามา มนุษย์ก็มีประสาทสัมผัส มีสมอง
ฉะนั้น พลังงานดวงแก้วใช่จิตไหม
ถ้าพลังงาน พลังงานมันก็เป็นพลังงาน จิตนี้มันเป็นอีกตัวหนึ่ง พลังงานอะไรก็ได้ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานเกิดจากเชื้อเพลิงต่างๆ นี่มันเป็นพลังงาน ไม่มีชีวิต แต่จิตมันมี
ฉะนั้น “โยมมองว่าดวงแก้วนั่นใช่จิตไหม”
ไม่ใช่ ดวงแก้วคือจิตไปเห็น จิตไปรู้ จิตส่งออกไป แต่ถ้ามันไม่เอาดวงแก้ว เรายังรู้อยู่ไหม ถ้ามันรู้ก็อยู่ที่ลมไง เวลาอยู่ที่ลมก็อยู่ที่ลม มันไม่เห็นดวงแก้ว จิตมันก็ยังอยู่
ฉะนั้น ดวงแก้วพลังงานไม่ใช่จิต จิตเป็นจิต ดวงแก้วเป็นดวงแก้ว ดวงแก้วเป็นนิมิต เป็นเงา เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่ให้ผู้รู้ไปสิ่งที่ถูกรู้ รู้มันก็เกิดภาพขึ้นมาเป็นดวงแก้ว นี่ ๑.
“๒. ที่โยมคิดว่าใช้ขวานตัดกระแสนั้นเป็นมรรคหรือเป็นสังขารปรุงครับ”
เป็นสังขาร เป็นความคิด
มรรคมันเป็นมรรค มรรคมันเป็นศีล สมาธิ ปัญญานะ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เวลาเป็นมรรค มรรคจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อจิตสงบแล้ว
คนที่จิตสงบแล้ว คนที่ทำสมาธิได้ คนที่ทำสมาธิเป็นแต่ยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้ก็เกิดมรรคไม่ได้ เพราะทำความสงบนี้มันเป็นสมถะ สมถะคือฝึกหัดทำสมาธิ ถ้าทำสมาธิคือสมถะ ใช้ปัญญามากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่เป็นปัญญาอบรมสมาธิต่างๆ ลงสู่เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิแล้ว เป็นสมาธิแล้วติดในสมาธิ พอเป็นสมาธิแล้วนึกว่าสมาธิเป็นนิพพาน เวลาคนว่างๆ “นิพพานๆๆ” เดี๋ยวก็เสื่อมไง
แต่ถ้ามันจะเป็นมรรค เป็นมรรคต้องจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นจิตเป็นมรรค จิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเห็นอย่างไร
ไอ้นี่จิตเห็นดวงแก้ว จิตเห็นดวงแก้ว จิตมันสงบหรือไม่ ถ้าจิตเห็นดวงแก้ว ยังไม่เข้าใจว่าดวงแก้วมันคืออะไร
ถ้ามันจะเป็นมรรค นี่พูดถึงนะ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดไง
สามัญสำนึกของมนุษย์ที่ความคิดทั้งหมดที่คิดธรรมะนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาสามัญสำนึกของมนุษย์ไง มนุษย์ที่คิดดี พื้นฐานของการเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมานี่สมมุติว่า เกิดโดยสมมุติ คำว่า “สมมุติ” คือชั่วคราว ชั่วคราวคือ ๑๐๐ ปี ๑๐๐ ปีก็ต้องตาย ถ้าเราเกิดแล้วเป็นของเรา เราต้องไม่ตาย
นี่มันต้องตาย มันเลยเป็นสมมุติ
เราอยู่ในโลกสมมุติ สมมุติกันว่าเป็นมนุษย์ สมมุติว่าเป็นผู้หญิง สมมุติว่าเป็นผู้ชาย นี่เป็นสมมุติ ทีนี้โลกสมมุติเวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามา นี่มันเป็นสมมุติไง มันเลยเป็นโลกียปัญญาเกิดจากโลก เกิดจากเราไง
ถ้ามันเป็นสมมุติแล้ว เวลาจิตสงบแล้วถ้าจิตเห็นอาการของจิต เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้ามันเห็นไปแล้ว นี่มันเห็นกิเลส เวลาเห็นกิเลส ถ้าใช้ปัญญา นี่เป็นมรรค มรรคจะเกิดตรงนี้
ส่วนใหญ่แล้วคนทำความสงบไม่เป็น ทำความสงบแล้วคิดว่าสงบนั่นคือนิพพาน ติดหมดเลย มันเลยไม่ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค มันเลยทำมรรคกันไม่เป็น มันเลยไม่มีมรรคไง แล้วเอาความคิดนี้เป็นมรรค ความคิดเป็นเงา
ฉะนั้นจะบอกว่า โยมที่ใช้ขวานตัดกระแสนั้นเป็นมรรคหรือไม่ เพราะอะไร เพราะหลวงพ่อถือขวานมา ก็เลยเปรียบเทียบว่าขวานนั้นเป็นเหมือนมรรคที่ใช้กระแสที่ตัด
อันนี้คิดเปรียบเทียบ นี้พูดถึงคิดอย่างนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นปัญญาไหม เป็น เป็นการฝึกหัดไหม เป็น เป็นความดีไหม เป็น เป็นความดีนะ ความดีให้ฝึกหัดคิดต่าง คิดต่างจากความคิดเดิม คิดต่างจากกิเลสมันพาคิด คิดต่างที่เราใช้ชีวิตประจำวันอยู่นี่ คิดต่าง พอคิดต่างไปมันจะเป็นกระแส เป็นความคิดที่เราจะออกจากสมมุติไง เราต้องคิดต่าง
ฉะนั้น เวลาคิดต่างอย่างนี้ที่ว่าโยมใช้ขวานตัดกระแส นี่คิดต่าง แต่มันเป็นมรรคไหม
ค่อยๆ ฝึกหัดไป มันเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ มันเป็นการฝึกหัด บอกว่า ถ้าผู้ปฏิบัติใหม่ทำได้แค่นี้นับว่าดีไหม ดี เก่งไหม เก่ง เก่งแบบฝึกหัด แบบการกระทำของเรา
จะบอกว่าถ้ามันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมานี่ มันแบบว่าจะไม่เป็นความจริงไง
“๓. โยมควรดูดวงแก้วนั้นพร้อมกับรู้ลมไปเรื่อยไหมครับ หรือใช้พุทโธอัดเข้าไปเลย”
พุทโธอย่างเดียว ลมอย่างเดียว ดวงแก้วไม่เกี่ยว ดวงแก้วไม่เกี่ยว ดวงแก้วมันส่งออกไง ถ้าดวงแก้วนะ ถ้าเพ่ง เพ่งกสิณ เพ่งกสิณนะ เขาเป็นกสิณขาว กสิณแดง ก็เพ่งอันเดียว มันต้องเป็นอันเดียวไม่ให้มีสอง มีสองแล้วกิเลสมันจะแทรกตรงนั้นน่ะ กิเลสมันจะคอยแทรกตรงนั้น คอยชักให้เราล้มตรงนั้น คอยทำให้เราล้มลุกคลุกคลานตรงนั้น มันไปไม่ได้
ฉะนั้นจะบอกว่า รู้ลมอย่างเดียว พุทโธอย่างเดียว ดวงแก้วไม่เกี่ยว
ดวงแก้วเพราะมันไปเห็น แล้วดวงแก้วมันหลอก หลอกให้เราใช้พลังงานไปโดยสูญเปล่า...โดยสูญเปล่า มันส่งออกไปไง ทำเกือบตาย เหนื่อยเกือบตาย แล้วก็ไปอยู่กับดวงแก้ว แล้วเดี๋ยวดวงแก้วก็จางลง ก็กลับมาที่ลม
มันชัดๆ มันโดยข้อเท็จจริงของมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว โดยข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้นแต่เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจเราก็คิดว่าดวงแก้วเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำ แต่ความจริงไม่ใช่ ดวงแก้วเป็นสิ่งที่ส่งออกไปรู้ไปเห็น มันเป็นเงา ความจริงคือลมต่างหาก ลมต่างหาก
เพราะลมเกิดจากจิตรู้ลม กำหนดลมจนละเอียด จิตมีกำลัง จิตพุทโธๆๆ พุทโธจนมันจะพุทโธไม่ได้ มันมีกำลัง มันเกิดจากลม เกิดจากพุทโธ มันจึงไปเห็นดวงแก้ว ดวงแก้วมาเห็นทีหลัง ดวงแก้วเป็นนิมิต ว่าอย่างนั้นเลย ดวงแก้วเป็นนิมิตที่เราไปเห็น แล้วเราไปติดมันทำไม
แต่ดวงแก้วมันเห็นแล้วมันเคลิบเคลิ้ม มันเวิ้งว้างดีไง แต่ดูลมเหนื่อยน่าดูเลย
ต้องตั้งสติ พุทโธก็บังคับอีก
เวลาอะไรที่มันสะดวกสบายมันชอบอย่างนั้น แต่ความจริงคนมักง่ายจะทุกข์ยาก คนมีวิริยอุตสาหะ เวลามีวิริยอุตสาหะมันจะทุกข์มันจะยากแต่มันจะได้ผล
ไอ้มักง่ายมันจะได้ยาก มักง่ายๆ มักสะดวกมักสบาย นั่นน่ะไม่ได้ผล ไอ้ที่สมบุกสมบัน ไอ้ที่การกระทำ นั่นน่ะจะได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์เพราะอะไร เพราะความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ
นักมวย นักมวยเวลาซ้อม ๑๐๐ ยก ๒๐๐ ยก ขึ้นชกคราวนี้มั่นใจมากเลย ซ้อมมาดี นักมวยเวลาฝึกซ้อมนั่นน่ะ เวลาฝึกซ้อม ฝึกซ้อมความแข็งแรงของเขา ความมั่นคงของเขา นั่นน่ะมันดี
นี่ก็เหมือนกัน ความเพียรก็เหมือนฝึกซ้อม ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราทำของเราตรงนี้ ถ้าทำตรงนี้ได้แล้ว ไอ้ที่ได้มานะ อย่างที่ไปเห็นดวง เห็นต่างๆ ให้วางเลย ต่อไปนี้วางเลย ไม่ต้อง ให้มันสงบเข้ามา
แล้วถ้ามันจะเห็นกาย เออ! ยกเว้นแต่เห็นกาย เห็นตับ ไต ไส้ ปอด เห็นร่างกาย เห็นกระดูก เออ! เห็นแล้วมันสลดไง ถ้าเห็นร่างกายของมนุษย์มันเน่ามันเฟะ อืม! นี่มันสลด แต่ถ้าไปเห็นอย่างอื่นน่ะมันล่อ มันล่อให้ไปอยู่ในอำนาจของมัน นี่ข้อที่ ๓.
“๔. ขวานที่พระอาจารย์ถือมาตอนฉันน้ำปานะ มีกุศโลบายอะไรไหมครับ”
มีหน้าที่ หน้าที่หลวงพ่อถือขวานมาไง เอาไว้เวลาตัดไม้ค้ำต้นไม้ไง เวลาตอนบ่ายมาฉันน้ำร้อน เขาก็มารดน้ำต้นไม้ มาดูนะ ขวานนั่นเขาเอาไว้สับไม้ไง สับไม้ที่ตายแล้วเอาไปค้ำต้นไม้
เราคอยดูต้นไม้เราก็ถือขวานเรามา เพราะเราไม่ใช้ใคร เราไม่ชอบให้ใครมาเดินตามหน้าตามหลัง ธรรมชาตินะ เวลาจบจากตรงนี้แล้วนะ ใครเข้าใกล้เราไม่ได้เลยล่ะ อยู่คนเดียว ห้ามใกล้ ห้ามเข้ามา ห้ามทั้งสิ้น ฉะนั้น จะไปไหว้ไปวานคนอื่นมันเสียเวลา เราทำของเราเอง
ฉะนั้น ถามว่า “มีกุศโลบายอะไรไหมครับ
ถ้าใครมองใครเห็นแล้วก็คิด มันห้ามความคิดกันไม่ได้ ใครๆ คิดได้ทั้งนั้นน่ะ จะคิดในมุมมองของใคร จริตนิสัยของใคร ทัศนคติของใคร เขาก็คิดแบบนั้น
แต่สำหรับเรานะ มันเป็นหน้าที่ ถ้าเป็นโดยทางโลก เราเคยอยู่ทางภาคอีสาน พระเขาติหลวงปู่เจี๊ยะว่าหลวงปู่เจี๊ยะเวลาไปไหนแล้วงุ่มๆ ง่ามๆ ไม่มีคนอุปัฏฐาก
เพราะธรรมดาสังคม ถ้าเป็นเจ้านายต้องมี ทส. ถ้าเป็นพระต้องมีผู้อุปัฏฐาก ถ้าไม่มีคนอุปัฏฐากนั่นเป็นพระกิ๊กก๊อก
เราชอบเป็นพระมักน้อย พระสันโดษ เราไม่ชอบ ไม่ชอบอย่างนั้น แต่ทางโลกต้องเป็นอย่างนั้น เวลาไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลังเขาถึงบอกเลย โอ๋ย! ไม่มีวาสนา ไม่มีบารมี บารมีต้องคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไปไหนต้องเป็นขบวนเลย นั่นน่ะคนมีบารมี
ถ้าคนเป็นธรรมเขาเห็นแล้วสังเวช ในที่สงบสงัด ไม้หลักปักขี้เลน มันถึงต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง เพราะมันจะล้มแล้วคอยประคองไว้ไง
ถ้าไม้หลักมันปักลงดินนะ ไม้ ๘ ศอก ฝังดินไป ๔ ศอก พ้นจากดินมา ๔ ศอก ให้ลมกระหน่ำมาเถอะ ลมไหนพัดมามันก็ไม่ไหวติงทั้งนั้นน่ะ จิตของคนถ้ามันมั่นคงแล้วไม่ต้องอาศัยใครทั้งสิ้น
ถ้าอาศัยเขาอยู่น่ะ ไม้หลักปักขี้ควาย มันกลัวล้มไง เฮ้ย! คอยยันไว้เดี๋ยวกูล้ม คนล้อมหน้าล้อมหลัง นี่พูดถึงว่าทางโลกไง เราเห็นทางโลกมาเยอะ แล้วอยู่ในวงสังคมถ้าจะมีศักยภาพนะ จะไปไหนต้องมีรถนำน่ะ รถปิดหัวปิดท้าย
เราถึงได้พูดไง สมเด็จสังฆราช วัดมกุฏกษัตริย์ เป็นสังฆราช ไปไหนก็มีรถนำหน้าและนำหลัง ไปราชการทางจังหวัดชลบุรีแล้วกลับมาไง มีรถนำนะ รถนำหน้า รถสังฆราชอยู่ตรงกลาง มีรถปิดท้าย รถมันมาจากไหนไม่รู้มันเสียหลักพุ่งไปชนรถสังฆราชสวรรคต
มีรถนำนะ สังฆราชวัดมกุฏฯ ไปดูประวัติ มีรถนำหน้านำหลังนะ ไอ้รถมันมาจากไหนไม่รู้มันเสียหลัก มันพุ่งเข้าไปชนรถสังฆราชสวรรคต
มีรถนำ แต่ของเราไม่มี
นี่พูดถึงว่าเวลาในสังคมเขามอง เขามองตรงนั้น มองว่าคนมีบารมีๆ
แต่ครูบาอาจารย์นะ ถ้าเป็นความจริง มันเป็นการกีดขวางกันน่ะ มันเป็นเรื่องจุ๊บจิ๊บๆ เรื่องจุกจิกน่ารำคาญ แต่ถ้าอยู่คนเดียวสบาย
ฉะนั้น “ขวานที่ท่านอาจารย์ถือมาตอนฉันน้ำปานะ มีกุศโลบายอะไรหรือไม่” นี่เขาเขียนมาให้เราได้พูดไง
เป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ของเรา เราถือของเราอยู่ในมือของเรา เราดูแลวัด เราจัดการอย่างไรเราทำของเรา มันเป็นงานของเรา ไม่มีกุศโลบายอะไร มีกุศโลบายถือให้มันหนักมือไง มันจะได้ไม่ลอย ถือให้มันหนักมือไว้ เดี๋ยวมันจะลอย แล้วมันก็เป็นงานของเราไง ไม่มีสิ่งใด
แต่ถ้าคนที่เป็นธรรมนะ แม้แต่ใบไม้หลุดจากขั้วเขายังคิดเป็นประโยชน์ได้ ถ้าใครคิดให้มันเป็นประโยชน์เป็นธรรมขึ้นมา จากบุคคลคนนั้นมันเป็นสิทธิ์ มันเป็นปัญญา มันเป็นสิทธิ์ของคนนั้น คนคิดเป็น
คนคิดเป็นนะ มันคิดเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ เห็นอะไรมาปั๊บ ทำไมเขาทำอย่างนั้นน่ะ เราห้ามทำเด็ดขาด ทำไมเขาทำดีอย่างนี้ โอ๋ย! เราต้องรีบๆ ทำเลย เห็นไหม คนถ้ามีสติมีปัญญารู้เห็นสิ่งใด มองเห็นสิ่งใด มันจะเป็นประโยชน์กับเรา รู้จักผิดชอบชั่วดี
ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติรอบตัว ถ้าเราเป็นธรรมนะ มันเห็นเป็นสัจธรรม ถ้าเรามีกิเลสนะ โอ้โฮ! เจ็บปวด ไอ้นู่นก็รังแกเรา ไอ้นี่ก็รังแกเรา ไอ้นู่นมันก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่ดี
เพราะมึงไม่ดี มันเลยมองสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ดีหมดเลย
แต่ถ้ามันดี ธรรมสังเวช ชีวิตนี้เขาทุกข์เขายาก ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ นี่ถ้ามันเกิดธรรมสังเวช ถ้าใจเป็นธรรมนะ มันมองโลกนี้เป็นธรรมะและสังเวช สังเวชถึงผลของวัฏฏะ ถ้าเราทำใจเราได้มันจะเป็นประโยชน์ตรงนี้ไง นี่พูดถึงว่าคนที่มีสติปัญญานะ มันจะเป็นประโยชน์กับคนคนนั้น
แต่ถ้าบอกว่า หลวงพ่อถือขวานมามันมีกุศโลบายหรือไม่
มันเป็นภาระ ถือขวานไว้ให้มันหนัก กลัวมันจะลอย กลัวมันจะหลงคารมชาวบ้านแล้วมันจะลอยไง จบ เอวัง