ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พิณสามสาย

๒๑ มี.ค. ๒๕๖๓

พิณสามสาย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม เรื่อง “หลงในธรรมะมากเกินไปหรือเปล่า”

หลวงพ่อ : ไอ้นี่มันแบบเหมือนกับคอมมิวนิสต์ไง ศาสนาเป็นยาเสพติด ว่าเสพติดมากไปหรือเปล่า ไม่หรอก หลงในธรรมะมากเกินไปหรือเปล่า

ถาม กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ ลูกเริ่มฟังธรรมะมาตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๒ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ยิ่งฟังยิ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งฟังยิ่งสงบ พอถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ เริ่มสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน นั่งสมาธิบ้างวันไหนที่คิดว่าจิตตนฟุ้งซ่าน เพราะไม่กล้านั่งทุกวันเนื่องจากลูกยังไม่ได้รับกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ท่านใดเลยเจ้าค่ะ ลูกเลยไม่กล้านั่ง กลัวจิตเตลิดไปแบบไม่มีทิศทาง

ตอนนี้ลูกอยากลาออกจากงานบรรจุพนักงานรัฐวิสาหกิจเจ้าค่ะ เพราะหนูมีจิตคิดว่าหนูอยากอยู่กับแม่ทุกๆ วัน อยากทดแทนบุญคุณแม่ด้วยการดูแลท่านทางร่างกาย ไม่ใช่ใช้เงินและยศตำแหน่งเป็นตัวดูแลเจ้าค่ะ ลูกคิดว่าลูกควรเป็นลูกของแม่ ไม่ใช่เป็นลูกจ้าง ยิ่งฟังธรรมและสวดมนต์ ความกตัญญูยิ่งเข้ามาฝังในจิตมากๆ เลยเจ้าค่ะ จนลูกคิดว่าลูกควรกลับบ้าน อยู่บ้านดูแลแม่ เป็นลูกคนเดียวของแม่

พ่อของลูกไม่ทราบว่าท่านไปอยู่ที่ใดเจ้าค่ะ แม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ แต่ลูกก็ไม่เคยขาดความอบอุ่น ไม่เคยรู้สึกว่าลูกอยากมีพ่อให้ครอบครัวพร้อมหน้ากัน ลูกรู้สึกได้ว่า แม่คนเดียวกับป้า ลูกก็เหมือนมีพ่อกับแม่แล้ว ลูกเลยอยากลาออกจากงาน ขอกลับไปอยู่บ้านที่ราชบุรี อำเภอปากท่อ และจะทำสวนผักอินทรีย์ไว้กินเอง และอาจขายด้วยเป็นรายได้

มีเพื่อนที่ทำงานทุกคนตอนนี้ไม่อยากให้ลาออก แต่จิตหนูไม่ฟังคำใครเลยค่ะ จิตบอกว่า ต้องลาออก เราทำได้ เราอยากอยู่กับแม่มากที่สุด เราต้องทดแทนคุณแม่

ลูกคิดไว้ว่า ถ้าแม่ละกายสังขารไปแล้ว ลูกอยากไปบวชชีเจ้าค่ะ แต่มีเพื่อนคนหนึ่งพูดคำพูดหนึ่งว่า ลูกอาจจะหลงในธรรมะมากเกินไปหรือเปล่า

แบบนี้เรียกว่าหลงในธรรมหรือแค่ความกตัญญูเจ้าคะ ลูกหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยเจ้าค่ะ กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ

ตอบ : นี่คำถาม คำถามเขาบอกว่า คำถามเขาเป็นคำถามเพื่อธรรมะนะ ธรรมะคือการศึกษา คือความเข้าใจในสัจธรรม

แต่จะบอกว่า ให้อยู่แบบนี้ดีที่สุด ไม่ต้องลาออก ไม่ต้องลาออก ทำงานรัฐวิสาหกิจ ทำไปก่อน ทำไปจนกว่าเรามั่นคง ทำไปจนกว่าเรามีทุน ทำจนกว่าเราอิ่มเต็มใช่ไหม แล้วเราค่อยลาออก จะลาออกตอนไหนก็ได้มันไม่ช้าเกินไปหรอก แต่ตอนนี้ทำงานไปก่อน ทำงานไปเพื่อสะสมเพื่อเป็นกองทุนเพื่อเป็นสิ่งดำรงชีพให้เรามั่นคง แล้วถ้าจะลาออกตอนนั้นไม่สายเกินไป ไม่สายหรอก

ถ้าบอกว่าจะให้ลาออกๆ ยกตัวอย่างนะ เริ่มต้นตั้งแต่คำถามเลย อารัมภบทมาเลย “หลงในธรรมะมากเกินไปหรือไม่ หลงในธรรมะมากเกินไปหรือไม่”

ธรรมะไม่ใช่ยาเสพติด ธรรมะเป็นคุณธรรม ธรรมะนี้ยิ่งใหญ่ ธรรมะนี้ครอบคลุมสามโลกธาตุ เวลาเป็นพระอรหันต์พ้นจากวัฏฏะ วัฏฏะ กามภพ รูปภพยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ใจของพระอรหันต์ยิ่งใหญ่กว่า เพราะมันบรรจุไว้ด้วยสามโลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ พระอรหันต์ผ่านพ้นไป

หลวงตาท่านพูด เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วนะ เหมือนกับมังกรมันทะยานไปในอากาศ มันยิ่งใหญ่ มันกว้างขวาง มันไปได้สามโลกธาตุ

สามโลกธาตุเพราะอะไร สามโลกธาตุเพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกรงขัง กรงขังจิตนี้ไว้ จิตที่ทำคุณงามความดีก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม รูปภพ อรูปภพ เวลาจิตมันทำความชั่วของมัน มันก็เกิดนรกอเวจี ถ้ามันทำมนุษย์สมบัติมันก็เกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ไง

สามโลกธาตุขังจิตนี้ไว้ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันพ้นจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ มันพ้นออกไปสามโลกธาตุ มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น นี่พูดถึงว่าธรรมที่มันยิ่งใหญ่ไง

มันจะหลงในธรรมหรือไม่

สัจธรรมนี้ยิ่งใหญ่จนกว่าเราเข้าไม่ถึง เราเข้าไม่ถึงแล้วไม่ได้เศษเสี้ยวด้วย พอไม่ได้เศษเสี้ยวขึ้นมา นี่เป็นทางโลกไง ทางโลกเป็นความเชื่อ พอความเชื่อขึ้นมา “ศาสนาเป็นยาเสพติด ศาสนาเป็นยาเสพติด”

เวลามันเสพยาเสพติดมันฆ่าพ่อฆ่าแม่ เวลามันเสพยาเสพติด มันขายยาเสพติดไปทำลายสังคม มันไปทำความแตกแยกในวงศ์ตระกูลของเขาด้วยยาเสพติดไง แล้วศาสนาไหนทำให้ครอบครัวแตกแยก

กตัญญูกตเวที รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักความสูง ความต่ำ ศาสนามันเป็นยาเสพติดตรงไหน ศาสนามันทำลายใครที่ไหน

ศาสนามันยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่จนทำให้คนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พ้นจากวัฏฏะไปเลย ศาสนานี้ยิ่งใหญ่มาก

แต่ถ้าว่าจะหลงในธรรมะหรือไม่

ไม่หลง แต่มันเป็นกาลเทศะ เป็นอำนาจวาสนาของคน

เราเห็นมามากนะ เวลาอยู่ที่บ้านตาดเมื่อก่อน พอเวลาท่านถึงจุดพีกสูงสุด โอ้โฮ! หมอพยาบาลไปเยอะแยะเลย จะลาออกๆ ท่านไม่ให้ลาออกหรอก อยู่โรงพยาบาลประจวบฯ อยู่โรงพยาบาลต่างๆ ไปขอลาออก ท่านไม่ให้ลาออก

แล้วมีพยาบาลคนหนึ่ง หลวงตาบอกไม่ให้ออก ให้ทำงานไป

ไม่ยอม ฝืน ลาออก ลาออกไปภาวนา โอ้โฮ! ภาวนายิ่งใหญ่ ภาวนาไป ภาวนาไปถึงเวลามันหลุดเลย หลุดไปแก้ผ้าโทงๆ วิ่งกลางตลาดเลยนะ

นี่ไง ลาออกๆ ไง คนที่ลาออกท่านควรให้ลาออกนะ ท่านบอกนี่ควรลาออกๆ

คำว่า ควรลาออก” หมายความว่า เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขามีอำนาจวาสนาของเขา จิตใจเขาเข้มแข็ง เขาเจออุปสรรคสิ่งใดแล้วเขาจะผ่านพ้นสิ่งนั้นไปได้

เวลาการภาวนาหรือการอยู่ทางโลกทางวิชาชีพ คนเรามันต้องมีอุปสรรคบ้าง ไม่ใช่คนเราชีวิตนี้จะราบเรียบจะปูด้วยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทาง เป็นไปไม่ได้ คนเรานะ มันมีอุปสรรคทั้งสิ้น เวรกรรมของสัตว์โลกมันมีสูงมีต่ำ มันถึงวาระของมัน วาระของมัน มันจะประสบมันจะพบสิ่งที่ไปทดสอบใจนั่นน่ะ แล้วถ้าใจมันไม่มีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมามันหลุดนะ มันเสียคนไปเลยนะ มันทำลายตัวเองไปนะ

ไอ้ว่าลาออกๆ พระโดยทั่วไปจะให้คนนู้นลาออกคนนี้ลาออก เขามีแต่จะให้ทำงาน ทำงานๆ ทำงานเพื่อความมั่นคงของชาติ ทำงานเพื่อความมั่นคงของครอบครัว ทำงานเพื่อความมั่นคงของชีวิต ทำงานเพื่ออะไร

นี่ไง เขาว่าทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมๆ ทำงานเป็นความรับผิดชอบหน้าที่ไง หน้าที่ทำงานของตน

นี่ก็เหมือนกัน ว่าจะลาออกๆ ลาออกอะไร

ลาออก ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังมีอำนาจวาสนานะ เขาลาไปแล้ว ลาออกมาแล้วนะสมบุกสมบัน

เราอยู่ในวงพระปฏิบัติ เวลาพระปฏิบัติที่ดีงามก็เยอะมากไป เวลาพระปฏิบัติไปแล้วมันไปเจออุปสรรค มันไปเจอกรรมที่กระทบรุนแรงขึ้นมา ชีวิตนี้เข็มทิศเปลี่ยนเลย เปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย มากมายมหาศาล แต่เวลาพระที่ดีงามก็เยอะ

เวลาพระที่ดีงามขึ้นมา มันมีอยู่องค์หนึ่ง เราไม่เคยเห็น แต่ว่าพระเล่าให้ฟัง เป็นลูกของโรงงานเหล็ก เป็นลูกชายคนโต แล้วคนจีนเขาสำคัญมากว่าลูกชายคนโตต้องถือกระถางธูปให้เขาตอนเขาตาย ลูกชายเขาไปบวช บวชแล้วพ่อตามล่าเลย นั่นก็หนี หนีไปอยู่ไหนไม่ได้ อยู่ไหนไม่ได้ พ่อเขาตาม

เพราะเขาถือเป็นประเพณีไง ประเพณีของคนจีนเขาถือว่าลูกชายคนโตเป็นตัวแทน ตัวแทนของตระกูล ตัวแทนของตระกูลเขาต้องมารอฝังศพเขา เขาถือสิทธิ์ว่าลูกชายคนโต เวลาเขาตายไปแล้วต้องมาถือกระถางธูป ต้องดูแลศพเขา นี่พ่อถือสิทธิ์อย่างนั้น แต่ลูกมันเป็นคนสมัยใหม่ มันไม่เชื่อ แล้วลูกคนรองๆ เขาก็มี แต่เขาไม่ยอม

นี่พูดถึงว่าเวลาเราอยู่ในวงการพระ ในวงการพระนี่นะ มีแต่ผู้ที่ดีงามอยากจะมาบวชแล้วก็ไม่มีโอกาสก็มากมาย ไอ้เวลาผู้ที่ดีงามแล้วอยากมาบวช บวชไปแล้วพอไปถึงที่สุดนะ ไปฆ่าตัวตายในศาสนาก็มี นี่พูดถึงว่าถ้าจิตใจมันไม่เข้มแข็งแล้วเวรกรรมยังมาไม่ถึง อย่าอวดดี อย่าอวดดีนะ

ฉะนั้น ถ้าบอกว่าจะต้องลาออก ต้องมีกตัญญู

กตัญญู พ่อแม่ ความผูกพัน ดูสิ เวลาลูกหลานของคนไทยตอนนี้ไปอยู่ในอเมริกา ไปอยู่ในยุโรปเยอะแยะเลย เขาไปทำงานต่างประเทศด้วย แล้วเขาส่งเสียพ่อแม่เขา เขาดูแลพ่อแม่เขาได้ด้วย แล้วพ่อแม่เขาก็ภูมิใจด้วยว่าลูกเขาไปทำงานอยู่ต่างประเทศ

ไอ้นี่แค่ทำรัฐวิสาหกิจ แล้วพ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่ของเราอยู่แล้ว เพราะพ่อแม่เขาเคยคุยกันแล้วพ่อแม่ไม่อยากให้ออก คำว่า พ่อแม่ไม่อยากให้ออก” ความกตัญญูก็เชื่อฟังพ่อแม่

เชื่อฟังพ่อแม่ พ่อแม่มั่นใจ พ่อแม่มีความสุขใจว่า ลูกเรามีอาชีพมั่นคง ลูกเราไม่ตกระกำลำบากจนเกินไป เขารู้เขาเห็นของเขาใช่ไหม ถ้าเขารู้เขาเห็นของเขา เขาภูมิใจอย่างนี้ นี่ก็เป็นความกตัญญูอันหนึ่ง การไม่ลาออกจากงาน ทำงานก็เป็นกตัญญูอันหนึ่ง

ไอ้นี่ แหม! จะออกไปอยู่กับแม่ จะไปทำอะไร

แต่ถ้ามันถึงเวลามันมั่นคงในเศรษฐกิจ มั่นคงในการเงิน มั่นคงว่าเรามีที่ทำกิน แล้วเราจะลาออกไป ไอ้นั่นถึงเวลาของคน

คนเรานะเวลามันพัฒนา ต้นไม้ปลูกในถัง ในกระถางต้นไม้ ปลูกต้นไม้ไว้ ต้นยางไว้ เวลาปลูกพอมันโตขึ้น กระถางมันเล็กไปแล้ว มันเบ่งจนกระถางแตกเลย เขาต้องเปลี่ยนไปลงในที่ดิน ต้องไปเอาต้นไม้ลงดินไว้เพราะว่ากระถางมันเล็กเกินไป

คุณงามความดีของเรา ความประพฤติปฏิบัติของเรา ทำความจริงจังของเราจนพ่อแม่เห็นด้วย พ่อแม่เห็นด้วย ถ้าแม่เห็นด้วย ป้าเห็นด้วย เชิญเลย แม่เห็นด้วย แม่เตรียมที่ดินไว้เลยให้ทำเกษตรอินทรีย์ ป้าก็จะหมักปุ๋ยไว้ให้เลย

ไอ้นี่ไม่มีใครเห็นด้วยสักคน เขาไม่เห็นด้วยเพราะว่าเขาทำการเกษตรอยู่แล้วเขาก็ไม่ต้องการให้ลูกมาลำบากลำบนกับเขา แต่ถ้าลูกบอกว่า มันเป็นวิชาชีพที่ดีงาม เกษตรอินทรีย์เป็นสิ่งที่ดีงาม

สิ่งที่ดีงามนะ จะเริ่มทำขึ้นมาเราก็ต้องมีความพร้อมของเรา เราต้องฝึกหัดงานของเรา เราต้องปลูกได้ เราปลูกได้ทำได้ ในทางเกษตรกรรมเขาเรียกคนมือเย็น คนมือเย็นปลูกต้นไม้ก็ได้ คนมือร้อนปลูกต้นไม้ก็ตายหมด บางคนทำอะไรไม่ได้เลย ทำสิ่งนี้ไม่ได้ๆ บางคนทำแล้วมันดีงามมันเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปมันก็มีโอกาสของเขา นี่พูดถึงว่าในข้อเท็จจริงของโลก

แหม! บอกว่า ฉันเป็นคนกตัญญู ฉันเป็นคนดี ฉันจะลาออก ฉันจะไปดูพ่อแม่

พระเรานี่เยอะมากเลย ตอนอยู่บ้านนะ มันไม่เคยดูแลพ่อแม่มันเลย แล้วมันก็มาบวชพระ พอบวชพระขึ้นมาแล้วมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว แหม! มีกตัญญู อยากจะสึก อยากจะไปเลี้ยงดูพ่อแม่ แล้วถ้ามันสึกไปมันเลี้ยงพ่อแม่มันไหม ยังไปแบมือขอจะไปซื้อยาบ้าอีกต่างหาก มันคิดของมันไปร้อยแปดน่ะ ความคิดมันเชื่อไม่ได้

ไอ้นี่พูดถึงเรานะ เราบอกว่า เริ่มต้นตั้งแต่ฟังธรรมมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ เริ่มฟังขึ้นมา สวดมนต์แล้วนั่งสมาธิภาวนา

ถ้ามันได้แค่นี้มันดีขึ้นมันก็เป็นประโยชน์แล้ว ที่ว่าเว็บไซต์ เว็บไซต์เปิดไว้ก็เพราะแบบนี้ แล้วยิ่งคนที่ภาวนาด้วย เรานี่โดนมาก่อน บวชใหม่ๆ แสวงหาอาจารย์ ไปไหนมา สามวาสองศอก ถามช้าง ตอบม้า ถามม้า มันตอบวัว มันตอบไปไหนมา สามวาสองศอก ตอบไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็เชื่อ เพราะอะไร เพราะเราเพิ่งบวช

เพิ่งบวชมา วุฒิภาวะของสังคมโลกพูดเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ธรรมะนะ สัจจะความจริงมันซับซ้อนกว่านั้นหลายร้อยหลายพันเท่า หลายร้อยหลายพันเท่าเพราะอะไร เพราะว่ามันเรื่องของจิตเรื่องของใจมันแง่งอน มันพลิกมันแพลง มันกะล่อนมันปลิ้นปล้อน กิเลสในใจของตนน่ะ

แค่ทำให้ใจของตนซื่อตรง สัจจะ พูดจริงทำจริง แค่นี้ก็แสนยากแล้ว แล้วทำเป็นสัจจะเป็นความจริงแล้วทำให้มันสงบขึ้นมาอีก พอสงบขึ้นมาแล้วกว่าจะแสวงหากิเลสให้เจอ

ที่ทำๆ แล้วว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะ นั่นสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ อากาศก็ว่าง ในอวกาศยิ่งว่างใหญ่เลย มีแต่ขยะอวกาศ มีแต่ขยะดาวเทียมอยู่นู่นน่ะ ว่างอะไรของเอ็ง มันไม่มีเจ้าของ ไม่มีสติควบคุมไง

ถ้าความว่าง สมาธิคือสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความว่างคือความนิ่งที่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ว่างแบบเหม่อลอย ว่างแบบว่าจะไปเดินสะดุดเอาลูกปืนคนอื่นอย่างนั้นน่ะ ไร้สาระเลยล่ะ

นี่พูดถึงนะ เวลาเราเจอกับตัวมาก่อน เวลาปฏิบัติปีแรกๆ โอ้โฮ! ไปไหนมา สามวาสองศอกทั้งนั้นน่ะ ถามช้าง ตอบม้า แล้วหาตอบได้ตรงได้ยาก นี่ไง ถึงมันเป็นเหตุเหตุหนึ่งที่ให้มีเว็บไซต์นี้ เพราะอะไร เพราะมีเว็บไซต์นักปฏิบัติ

แล้วนักปฏิบัติถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงเป็นสัตย์ ต้องมีสัจจะ พูดจริง ทำจริง พูดกันหนเดียว ถามหนเดียวแล้วตอบหนเดียวจบ

ถามแล้วถามเล่า ถามแล้วถามเล่านี่ไล่ออกหมดน่ะ ถามแล้วถามเล่าแสดงว่าเป็นคนเหลวไหล เป็นคนไม่เอาไหน เป็นคนไม่ฟังเหตุผล เป็นคนที่ไม่รับรู้ข้อเท็จจริง แค่นี้อำนาจวาสนาการภาวนาน้อยแล้ว

กรรมฐานเขาพูดกันคำเดียวเท่านั้นน่ะ ใช่ ไม่ใช่ จบ

นี่เหมือนกัน พูดถึงในสังคมมันเป็นแบบนั้นไง ถ้าในสังคมเป็นแบบนั้น เวลาฟังธรรมแล้ว สวดมนต์ขึ้นมาเป็นคนดี ภาวนาขึ้นมาจะไม่ให้จิตมันฟุ้งซ่าน แล้วไม่กล้านั่งสมาธิภาวนาเพราะยังไม่ได้ขอกรรมฐานจากใคร

ขอจากใคร ไปขอจากใคร จะไปผูกมัดกับใคร ก็ขอแล้วไง นี่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง เป็นชาวพุทธไง เป็นชาวพุทธ กรรมฐานก็พระพุทธเจ้าให้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจไง เวลาไปบวชพระก็ผม ขน เล็บ ฟัน หนังนี่ไง

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นคนขึ้นมาเราก็มีกายกับใจไง ถ้ามีกายกับใจเรามีพุทธะไง เรามีพระพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจไง เราเป็นชาวพุทธเราก็ขอกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วจะไปขอกับใครอีกล่ะ ไปขอกับใครก็ไปให้เขาบงการชีวิตหรือ

ไปขอกรรมฐานกับใครนี่มันเป็นประเพณีไง แต่กรรมฐานนะ เวลาพระธุดงค์เราเขาอยู่ในป่าในเขา ตาเป็นเทียน นิ้วเป็นธูป จิตของเราเป็นธรรม กราบไหว้ ไม่ต้องมาหาดอกไม้ ไม่ต้องหาธูป เทียน ไม่มี เราทำขึ้นมาสัจจะความจริงในใจของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

แล้วขอกรรมฐานกับใคร

ก็ขอกับพระพุทธเจ้าไง ขอกับพุทธะในหัวใจนี้ไง พุทโธๆ จิตสงบแล้วจนพุทโธไม่ได้ มันเป็นพุทโธเสียเอง นั่นน่ะตัวแท้ ถ้าถึงตัวแท้ขึ้นมา กรรมฐานอยู่ที่นี่ ถ้ากรรมฐานอยู่ที่นี่ ไปขอกับใคร มันจะไปขอกับใคร

มันมีแต่ธรรมดามันด้วยความเคารพบูชา เวลาธรรมวินัย อาวุโส ภันเต เวลาพระเราถ้าเป็นนวกะก็ต้องขอนิสัย ขอนิสัยจากครูบาอาจารย์ ถ้าขอนิสัยจากครูบาอาจารย์ ถ้าบวชอุปัชฌาย์แล้ว สัทธิวิหาริกของอุปัชฌาย์องค์ใด ๕ ปี ถ้าอุปัชฌาย์ตายไปแล้วก็ให้ไปขอกับอาจารย์

ถ้าอาจารย์ นิสัย ก็นี่ไง มันฆราวาสธรรมๆ ความเคยชินของเราเป็นฆราวาสไง ความเคยชินของเรา สิทธิเสรีภาพไง ทุกอย่างเสมอภาค ทุกอย่างเป็นประชาธิปไตย ไม่มีสูง ไม่มีต่ำ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว นวกะ ทำอะไรก็ไม่เป็น

พระเรายืนดื่มน้ำไม่ได้ เวลาฉันอาหารต้องนั่งอยู่ เวลาฉันอาหารแล้ว เจออาวุโส ภันเต ถ้าฉันอาหารอยู่ กาลเทศะที่จะกราบได้ไม่ได้ เขาต้องฝึกหัดให้เป็นสมณสารูปไง ถ้าสมณสารูปเขาต้องถือนิสัย พระที่ฉลาด ๕ พรรษาท่องปาฏิโมกข์ได้ พ้นนิสัย

คำว่า ท่องปาฏิโมกข์ได้” เหมือนจบนิติศาสตร์ จบนิติศาสตร์คือมันรู้กฎหมาย ท่องปาฏิโมกข์ได้คือศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ มันท่องได้ มันเข้าใจได้

คนเราถ้าไม่รู้สิ่งใดเลยมันก็งงใช่ไหม ถ้ามันท่องได้มันก็มีหลักเกณฑ์ของนิติศาสตร์ นิติบัญญัติว่าเราควรทำอย่างไรได้ นี่จะพ้นนิสัย

ถ้าพระที่โง่เขลา ๑๐๐ พรรษาก็ไม่พ้นนิสัย คำว่า พ้นนิสัย” เพราะยืนด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีสติปัญญาที่สามารถรักษาตัวเองได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ว่าคนไหนถูก คนไหนผิด นี่ไม่พ้นนิสัย นี่พูดถึงพระไง

เขาบอกว่าต้องขอกรรมฐาน นั่นเรื่องหนึ่ง อันนี้เราเปรียบเทียบถึงธรรมและวินัยของพระ ถ้าธรรมวินัยของพระขึ้นมา

จะขอนิสัยกับใคร

นี่คิดของเราขึ้นมาแล้วก็หลงแต่อารมณ์ความคิดของตนไปไง ว่าจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น

บอกว่า อยากจะมาอยู่กับแม่ อยากจะมาอยู่กับแม่ทุกวัน

นี่มันเป็นธรรมไง

อยู่กับแม่ด้วยกายด้วยใจ ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ใช่ตำแหน่ง จะอยู่กับแม่ด้วยกตัญญู

กตัญญูอยู่ไกลๆ ก็ได้ แล้วรักแม่จริงๆ รักแม่จริงๆ ก็ทำตามที่แม่บอก ทำตามที่แม่ขอ ถ้ามันเป็นความจริง มันต้องเป็นความจริงขึ้นมา

นี่ไง ถ้ามันเป็นธรรมๆ สิ่งที่เป็นธรรมมันควรเป็นธรรม ถ้ายังไม่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมมันเป็นธรรมกับเรา คิดเองเออเอง คิดคนเดียว

ไวรัส ถ้าไปเจอที่ไหนเขาตรวจสอบแล้วว่าเป็นนะ แล็บเดียวเขาไม่รับ ต้องสองแล็บมาชนกัน ตรวจที่แล็บนี้เป็นบวก ยังไม่ถือว่าติด ต้องตรวจอีกแล็บหนึ่ง แล็บที่สองว่าบวก เออ! ตกลงว่าติดไวรัส

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน คิดเองเออเองอยู่คนเดียว คิดกับใคร ตรวจสอบกับใคร

นี่รักพ่อรักแม่

แม่เขาก็รักเอ็ง รักเอ็งแล้วแม่ก็ทำอย่างนั้น แล้วแม่ไม่อยากให้อยู่ใกล้หรือ ถ้ามันเป็นจริงนะ เขาก็อยากจะกอดกันอยู่อย่างนั้นน่ะ เขาไม่ยอมหลุดจากกันหรอก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในโลกแห่งความเป็นจริงเราต้องคิดแบบวิทยาศาสตร์ คิดถึงความเป็นจริง การดำรงชีวิต การดำรงชีพมันต้องมีหน้าที่การงาน มันต้องมีการกระทำ

อ้าว! ก็จะลาออกไง จะมาทำเกษตรอินทรีย์ไง

ลาออกมาทำเกษตรอินทรีย์ประสบความสำเร็จก็มี แล้วถ้าไม่ประสบความสำเร็จ การที่มาทำเกษตรอินทรีย์เริ่มต้นผู้ที่ทำใหม่จะต้องโดนถากถาง โดนดูถูกโดนดูแคลน ตลาดก็ไม่มี ทำสิ่งใด

แต่ถ้าคนเข้มแข็ง เราเห็นผู้ประสบความสำเร็จจากการเกษตรอินทรีย์เยอะมาก แล้วเกษตรอินทรีย์นี่นะ ไอ้พวกผักสลัด ไอ้พวกผักที่ส่งโรงแรม ของเขานี่ต้องการสิ่งที่มีคุณภาพ ถ้าเราทำได้ระดับนั้น ทำได้สิ่งนั้นนะ ของของเราตลาดกว้างขวางมาก แต่มันต้องเป็นคนที่ละเอียด คนที่รอบคอบ คนที่แบบว่าเกินความขยันของคน จนกลายเป็นความรักความผูกพัน ความรักความผูกพัน เห็นต้นไม้เป็นที่รัก มันแสวงหา มันรักษา มันคุ้มครอง เพราะด้วยความรัก ความผูกพันด้วยนิสัยของเขา นี่ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น

ไอ้เราคิดครึ่งๆ กลางๆ เห็นเขาเสร็จ เราก็จะเสร็จ

เขาเสร็จ เราไม่เสร็จนะ

อันนี้พูดถึงนะ บอกว่า เรารักแม่ เราอยากอยู่กับแม่ เราอยู่ด้วยร่างกาย ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ยศตำแหน่ง

เวลากิเลสมันหลอกคนมันหลอกอย่างนี้ มันหลอกว่าเราเป็นคนดี เราทำความดี ความดีของใครล่ะ แล้วนี่ที่ทำอยู่นี่ไม่ดีใช่ไหม ที่ทำอยู่นี่มันก็หน้าที่การงานของเราไง ที่ทำอยู่นี่ก็แม่พอใจไง ป้ากับแม่ก็พอใจไง เพราะป้ากับแม่เขาทำการเกษตรเขาก็ทุกข์ก็ยากอยู่นี่ไง แล้วเราอยากจะไปช่วยเหลือๆ

ออกไป ไปทะเลาะกับพ่อแม่ก่อนแน่นอน เพราะเกษตรอินทรีย์กับเกษตรเคมีมันต้องทะเลาะกัน ออกไปก็ไปทะเลาะกัน ทะเลาะกันจนลงกันได้ถึงจะเริ่มทำเกษตรอินทรีย์ ออกไปยังต้องไปทะเลาะกันก่อนว่าเคมีเลิกใช้ๆ แล้วไอ้เคมีเลิกใช้เขาไม่เชื่อเพราะเขาทำเคมีทั้งชีวิต เขาจะเลิกใช้ไหม กว่าจะเลิกใช้ แล้วเราจะพิสูจน์

สิ่งที่แก้ยากที่สุดคือแก้พ่อแก้แม่นี่แหละ เพราะพ่อแม่คลอดเรามา เขาถือว่าเป็นสมบัติของเขา ไปพูดกับใครนะ โอ้โฮ! เป็นเจ้านายใหญ่โตนะ เป็นผู้อำนวยการเลย ลูกน้องเยอะแยะเลย พอกลับไปบ้านเขาเรียกไอ้หนู แม่ก็เห็นเป็นเด็กวันยังค่ำน่ะ มึงจะเป็นนายพลนายพัน “ไอ้หนูกินข้าวหรือยัง” พ่อแม่เห็นเอ็งเป็นตลอดไปแหละ พ่อแม่ไม่เคยเห็นเป็นผู้ใหญ่เลย แต่เราต้องทำให้เขาเห็น ทำให้เขาเข้าใจได้

เราจะบอกว่า สิ่งที่คิดมันดีทั้งนั้นน่ะ แต่ความจริงในโลกนี้เป็นเรื่องหนึ่งนะ ความจริงในโลกนี้ แล้วความจริงกับความคิด ความคิดมันใช้ได้ แล้วอย่างที่ว่านี่เป็นธรรมทั้งนั้นน่ะ

คำว่า เป็นธรรม” สิ่งที่ศึกษาๆ อยู่ทางโลกจบ ๙ ประโยค จบ ๙ ประโยคนี่ก็ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าจบแล้วแหละ แต่ไม่รู้อะไรเลย มาปฏิบัติ ๙ ประโยคไปถามหลวงปู่ฝั้น ผมจบ ๙ ประโยค รู้ไปหมดเลย แล้วให้ผมภาวนาอย่างไรล่ะ เพราะอะไร เพราะสอนพระสารีบุตรอย่างหนึ่ง พระโมคคัลลานะอย่างหนึ่ง สอนพระแต่ละองค์ไม่เหมือนกันเลย แล้วผมจะทำอย่างไรล่ะ

หลวงปู่ฝั้นบอกว่า ทุกข์มึงอยู่ไหนล่ะ ทุกข์มึงน่ะ

เวลาคนมันมีความรู้มากแล้วมันจับต้นชนปลายไม่ถูก เริ่มต้นไม่เป็น แล้วทำไม่ได้หรอก

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน แหม! จะทำเกษตรอินทรีย์ เอ็งต้องไปเถียงกับแม่เอ็งก่อน ถ้าจะลาออกนะ ทะเลาะกับแม่ก่อน แล้วถึงมาทะเลาะกับป้าอีก

แต่ถ้าเราทำของเรา ทำอะไรก็สำเร็จหมด ทำหน้าที่การงานของเราเก็บหอมรอมริบจนมีทุนมีรอน นี่ไง ทุกอย่างพร้อมไง มันทำพร้อมแล้วใครเขาจะไปขัด ทำสิ่งที่ดีงามมันดีงามทั้งนั้นน่ะ แต่สิ่งที่ดีงามมันต้องจับต้องได้ แต่ทำสิ่งที่ดีงามมันเป็นความเพ้อฝันเพ้อเจ้อ แล้วชีวิตออกมาแล้วมาทำอะไร ออกมาแล้ว เดี๋ยวพอถึงที่สุดแล้วก็วิ่งเต้นจะไปสมัครงานใหม่ แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ นะ ค่อยทำเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วทำให้ได้จริง มันได้จริง

สิ่งที่พูดมานี่ นี่ฟังธรรมไง ฟังธรรมหลวงพ่อตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ เลยกลายเป็นคนดีเลย สวดมนต์เลย ภาวนาเลย อยากไปอยู่กับแม่เลย

นี่ก็ฟังของหลวงพ่อเฉยๆ ไง แต่ไม่ใช่ของเอ็ง หลวงพ่อนี่คนด่าทั้งประเทศนะเว้ย เอ็งนึกว่าหลวงพ่อเอ็งคนดีนะ เขาด่ากันทั่วบ้านทั่วเมือง ขวางโลกไปทั่ว

นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงอันหนึ่ง เป็นความจริงอันหนึ่งมันต้องกระทำอย่างนั้น นี่ไง พิณสามสาย พิณสามสายนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คืนที่ตรัสรู้ เวลานั่งไปเลย ความรู้สึกนึกคิดมันไปร้อยแปดเลย มีเทวดามาดีดพิณให้ฟัง พิณสามสาย ถ้ามันตึงไป ปึ๊งขาดเลย หย่อนไปนี่แปะๆๆ ไม่ได้ยินเลย ถ้ามันขึงไว้พอดีนะ เสียงมันไพเราะไง พิณสามสาย ทางสายกลาง

ไอ้ที่พูดมานี่ เวลาโยมพูดเป็นความถูกต้องดีงามจริงไหม จริง แต่ข้อเท็จจริงมีหรือยัง เอ็งได้พิสูจน์ตัวหรือยัง

สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา ถ้าเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว ถ้ามีธรรมในใจแล้วนะ อย่างหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น จะฟ้าถล่ม ดินทลาย จักรวาลจะทลายไปทั้งสิ้นเลย ธรรมก็เป็นธรรมวันยังค่ำ

ไอ้ของเราเป็นธรรมๆ พอโลกขยับหน่อยน่ะ วิ่ง เซไปแล้ว ไร้สาระ

ถ้ามันเป็นจริงๆ มันมีคุณธรรมในหัวใจ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นจริงมันยิ่งใหญ่อยู่แล้ว อย่างที่ว่าเป็นสัจธรรมที่ว่า ฟังเทปหลวงพ่อมาแล้วมันดีขึ้นนะ

มีคนมาพูดหลายคนแล้วแหละ เพราะว่าฟังของเราแล้วบอกว่า หลวงพ่อเน้นย้ำกตัญญู เน้นย้ำกตัญญู คำว่า คนดี” คนดีต้องมีความกตัญญู กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะมาวัดความดีความชั่วของคน วัดไง วัดด้วยกตัญญูกตเวที

คนเขามีบุญมีคุณกับเรามันต้องฝังใจ ใครเคยมีคุณกับเรามันฝังใจนะ แล้วถ้ามีโอกาสนะ เราจะตอบแทนสังคม ไม่ใช่ตอบแทนเขาหรอก

คนที่มีความดีกับเรา เขาต้องมีฐานะ เขาต้องมีสถานะที่สูงกว่า เขาถึงได้เจือจานเรา เขาไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนจากเราหรอก เขาต้องการให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข

แล้วถ้าเรายืนตัวได้ เราสามารถช่วยตัวเองได้ คนที่ต่ำต้อย คนที่มันทุกข์มันยาก เราจะแบ่งปันเขา เราจะช่วยเหลือเขา เพราะเราได้เคยรับการช่วยเหลือจากคนที่เขาช่วยเหลือเรา ถ้ามีกตัญญูกตเวทีในใจมันจะคิดถึงคุณงามความดีแล้วมันจะเผื่อแผ่กับสังคมไง

มีคนมาพูดหลายคนแล้วแหละ ฟังเทศน์หลวงพ่อเน้นกตัญญูๆ

มันเป็นเครื่องหมายไง เราจะอวดกันว่าคนนู้นดีคนนี้ดี...ไม่ ดูที่พฤติกรรมเอ็งนั่นแหละ พฤติกรรมเอ็งเป็นอย่างไร พฤติกรรมนะ แม่อยู่ในบ้านยังไม่เคยมอง ญาติพี่น้องไสหัวทิ้งเลย มึงเป็นคนดีตรงไหน แม้แต่แม่เอ็งยังไม่สนใจ กูเป็นเพื่อนมึง กูจะไว้ใจมึงได้หรือ

ใครจะคิดอย่างไรเรื่องของเขา แต่เราคิดถึงข้อเท็จจริง

ทีนี้ข้อเท็จจริงมันเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าเครื่องหมายคนดี ทุกคนดูแลพ่อดูแลแม่ ดูแลครอบครัวของตน นี่คนดี ถ้าคนดีครอบครัวอบอุ่นแล้ว

ลูกเต้าน่าสงสารมาก ลูกเต้าถ้าเรามีคุณงามความดีมันอบอุ่นมันน่ะ ถ้าครอบครัวนะ พ่อแม่มีแต่ปัญหา ลูกมันเป็นอย่างไร ลูกมันจะมองหน้าใคร ไปหาเพื่อนมันด้วยความเศร้าสร้อย แต่ถ้าพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีงาม ลูกมันรื่นเริงมีความสุข มันไปคบเพื่อนด้วยความสุขของมัน นี่เครื่องหมายไง เครื่องหมายก็นั่นน่ะ กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ก็ต้องการให้สังคมเป็นคนดีไง

ทีนี้ว่า ความกตัญญู ฟังเทศน์หลวงพ่อแล้วจะลาออก

ลาออกไปพ่อแม่ก็เดือดร้อน แม่เขาไม่ต้องการ ถ้าแม่ไม่ต้องการ เราต้องพิสูจน์สิ พิสูจน์ ทำหน้าที่การงานออกมา

แต่นี่บอกว่า หน้าที่การงานก็ไม่ดี ที่ทำงานเขาทำงานแล้ว...

สังคม หนีมนุษย์ไม่ได้ หนีคนไม่พ้น การบริหารจัดการมนุษย์ การบริหารจัดการเรา การบริหารจัดการครอบครัวของเรา คนทั้งสิ้น แต่ด้วยอำนาจวาสนาถ้ามีสติมีปัญญานะ วาสนาของคนนะ วาสนาของคนเราเจอใคร เจอคนดีน่ะบุญของเรา เราเจอแต่คนที่พฤติกรรมที่เหยียบย่ำทำลายเราตลอดเวลา อันนั้นก็กรรมของสัตว์

เขาบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการยอมจำนน

ไม่ใช่

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญามันรู้เท่า ปัญญามันรู้เห็นไง

ทำไมเขาเหยียบย่ำแต่เรา ทำไมเขาไม่เหยียบย่ำคนอื่นล่ะ เวลาของคนอื่นเขาเป็นคนดี เวลากับเราทำไมเขาเป็นโทษกับเราล่ะ

เราก็สร้างคุณงามความดีของเราให้เหมือนคนคนนั้นสิ ให้มันดีขึ้นมา

นี่พูดถึงว่า มีคนมันวิทยาศาสตร์ไง เวลาพูดไป “ศาสนาพุทธเป็นเบี้ยล่าง เป็นการยอมจำนน ไม่อาจหาญ”

มึงจะเป็นจังโก้ใช่ไหม เจอก็ยิงทิ้งหมดเลย มันไม่มีหรอก

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้น ใครทำสิ่งใดก็เป็นกรรมของสัตว์ ทำกรรมดีก็ได้ของเขา เขาทำชั่วก็กรรมของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเราต่อเนื่องไป

นี่พูดถึงว่า เขาว่าเขากตัญญูกตเวที

กตัญญูกตเวทีมันเป็นกตัญญูอยู่แล้ว แต่จะอ้างว่ากตัญญูแล้วจะบิดเบือน จะทำตามความพอใจของเรา นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่งนะ แต่ของเรา เราอ้างกตัญญูเพื่อคนดีเพื่อความดีของเราไง ไอ้นี่เพื่อประโยชน์กับเรานะ

นี่พูดถึงว่าสุดท้ายมีกตัญญู อยากจะกตัญญูให้มาก อยากจะรักแม่มาก

นี่เรื่องหนึ่ง

เวลาบอกว่าเราจะลาออกจากงาน ไม่มีใครเขาเห็นด้วย

คำว่า ไม่มีใครเขาเห็นด้วย” เพราะว่า เวลานักการเมืองเวลาหาเสียงมันจะสร้างตำแหน่งการงานสร้างงาน เพราะคนปรารถนาอยากมีหน้าที่อยากมีงานทำ พอจะลาออกเขาก็ไม่เห็นด้วยทั้งนั้นน่ะ

แต่เว้นไว้แต่ว่าเราไม่ใช่ลาออก เราทำงานที่ดีขึ้น เราทำงานที่ตำแหน่งสูงขึ้น เราทำงานองค์กรที่ใหญ่ขึ้นอย่างนี้ นั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

แต่ไอ้นี่ถ้าพูดถึงว่าจะลาออกเลยแล้วมาทำเกษตรอินทรีย์

มันต้องทำความเชื่อถือให้แม่เชื่อถือก่อน ให้แม่เห็นด้วย ให้แม่คล้อยตามก่อน นี้ถึงจะเป็นการกตัญญู

ไอ้นี่ชนกันอย่างกับรถไฟเลยล่ะ แล้วก็บอกกตัญญู นี่มันไม่ได้ อันนี้วางไว้

ทีนี้มีเพื่อนบอกว่าเพื่อนไม่เห็นด้วยกับการลาออกจากงาน แล้วเขาบอกว่าออกจากงานแล้ว ที่ว่าเวลาคำพูด คำพูดว่าหลงในธรรมของตัวเอง หลงในธรรม

ไอ้ว่าหลงในธรรม ไอ้คำพูดเขาคำเดียวนะ คำพูดเขาคำเดียว เขาบอกว่าหลงธรรมะมากเกินไปหรือเปล่า คำว่า เขาบอกว่าหลงธรรมะมากเกินไปหรือเปล่า” นี่เขาเตือนเรานะ เขาเตือนเราให้ได้สติได้ปัญญา

แต่เวลาสำหรับเรา คำว่า ธรรมๆ” ธรรมของใคร ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของพระอรหันต์ก็เรื่องหนึ่ง ธรรมของทั่วๆ ไปก็เรื่องหนึ่ง ธรรมของสัตว์ สังคมสัตว์ หัวหน้าฝูงมันปกครองฝูงมันก็เป็นธรรมของมัน ฝูงสัตว์ ผู้นำสัตว์ ดูฝูงวัวฝูงควายสิ มันจะมีผู้นำอยู่ตัวหนึ่งมันเดินออกหน้า มันเดินก่อน ลูกน้องจะเดินตามมันหมดเลย นั่นธรรมของฝูงสัตว์

นี่หลงในธรรมๆ ธรรมอะไร

เราจะไปอ้างว่า แหม! เราฟังธรรม เราชื่นใจในธรรม แล้วเราจะขวางโลกไปเลย

ไม่ใช่หรอก ธรรมมันเหนือโลกด้วย โลกเขาจะเห็นว่าเราเป็นคนดี

แล้วเวลาอยู่กับสังคม เวลาคนที่ปฏิบัติใหม่ๆ เวลาเข้าไปอยู่ในหมู่เพื่อน ศีล ๕ นี่โอ้โฮ! รักษายากเลย แล้วถ้ารู้ว่าศีล ๕ นะ กูจะหลอกให้มึงโกหก กูจะพูด

แต่เราก็ต้องพิสูจน์จนกว่าว่าเราเป็นจริง ถ้าเราเป็นจริงแล้วนะ พอเพื่อนยอมรับแล้วนะ เขาก็จะอนุโลมไปกับเรา เพราะทุกคนแสวงหาความจริงทั้งสิ้น แต่เขาไม่เชื่อใจไง

นี่ก็เหมือนกัน หลงในธรรมมากไปหรือเปล่า

อันนั้นเขาพูดมาตั้งแต่หลายปีแล้วนะ แต่ไอ้คนเขียนเอาคำนี้มาอ้างว่า “คนอื่นเขาบอกว่าหนูหลงในธรรม แสดงว่าหนูมีธรรม แสดงว่าหนูดีกว่าเขา เขาพูดจะให้หนูต่ำต้อย” มันเกิดเป็นทิฏฐิอันหนึ่งนะ ทิฏฐิว่าหลงในธรรมหรือเปล่า แสดงว่าเรามีธรรมน่ะสิ

เราจะมีธรรมหรือไม่มีธรรมมันอยู่ที่ความสุขความทุกข์ในใจ ถ้ามันมีคุณธรรมนะ ความถูกต้องชอบธรรม ถ้าเราทำความถูกต้องชอบธรรมนะ โลกธรรม ๘ อาจจะโดนติฉินนินทา อาจจะโดนถากโดนถาง

ที่ว่าเกษตรอินทรีย์ออกมาจะต้องโดนเขาถากเขาถางจนกว่าเราจะพิสูจน์ตัวเองได้ ถ้าพิสูจน์ตัวเองได้ สังคมจะยอมรับว่า เออ! เขาทำได้จริงๆ เราจะโดนถากโดนถางโดนดูถูกดูแคลนมาตลอด แล้วมันเป็นอะไรล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เขาบอกว่าหนูหลงในธรรมหรือเปล่า

คำถามนี้ถามหลายทีแล้ว หลงในธรรมหรือเปล่า

หลงไม่หลงก็เรื่องของเรา เราดื่มน้ำสะอาด เขาจะดื่มเหล้าดื่มไวน์ก็เรื่องของเขา เขาอยู่กับโลกไง รสของเขา รสเขาเอร็ดอร่อยนะ มีไวน์ มีเบียร์ มีทุกอย่าง เราดื่มน้ำสะอาด

เขาบอกว่าหลงในธรรม

อ้าว! ร่างกายเราสมบูรณ์ เดี๋ยวอีก ๔ ปี ๕ ปีก็รู้เองน่ะ ไอ้พวกกินเหล้าเดี๋ยวมันตับแข็ง ของเรายังดีอยู่เลย มันต้องพิสูจน์กันอย่างนี้สิ ไอ้ปากคนน่ะ ไอ้แค่เขาพูด ติดใจอยู่ว่าหลงในธรรม เราก็บอกใครๆ ก็ว่าหนูหลงในธรรม

แสดงว่าเอ็งมีธรรมใช่ไหม แสดงว่าเอ็งยิ่งใหญ่สิ

นี่เขาเหน็บเอา เขาเหน็บเอาให้เราได้สติ ให้เราทำในทางสายกลาง

ในวงกรรมฐาน หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราเวลาประพฤติปฏิบัตินะ เดินจงกรมก็ไม่ให้ใครเห็น ทำความดีไม่ให้ใครเห็นหรอก แต่มันเป็นความดีในใจ ความดีในใจเพราะอะไร หนึ่ง มีความสุข มั่นคง ไม่ผิดศีล มันมีหลักเกณฑ์

ไอ้คนที่ว่าคนดีคนอะไรน่ะ ผลุบๆ ผลับๆ โลๆ เลๆ มันทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน นั่นคนดีทั้งนั้นน่ะ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ไอ้คนทำนะแอบทำ เพราะทำต่อหน้ามันเหมือนทำอวด

นี่ก็เหมือนกัน แหม! เขาว่าหนูหลงในธรรม ธรรมะมากเกินไป หลงในธรรม

ทิฏฐิ เขาพูดคำสองคำ เอาคำนี้ เอาคำว่า ฉันมีธรรม” เหนือกว่าเขา เอาคำนี้มาเป็นการแสดงออกว่าฉันมีธรรม

เก็บไว้ในใจ สิ่งที่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนะ พิณสามสาย ถ้ามันตึงไปก็ขาด หย่อนไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรทั้งสิ้น กลายเป็นขี้ลอยน้ำเลย พอดีๆ แล้วหลบหลีก หลบหลีก

กว่าจะเป็นคนดีได้ แล้วในสังคมนะ ไม่มีใครเชื่อถือหรอกว่าใครเป็นคนดี แต่ถ้ามันพิสูจน์ตามความเป็นจริงขึ้นมาแล้ว จริงในตัวมันเองน่ะเป็นความดี แล้วเป็นความดีแล้วมันดีเหนือโลก

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ท่านพูดกันในสังคมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สังคมที่ปฏิบัติด้วยกัน สังคมที่เคยผ่านเคยเห็นมาเหมือนกันไง

คนที่เคยผ่านเคยเห็นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านผ่านไปแล้ว เวลาท่านพูดอะไร เวลาหลวงตาพระมหาบัวปฏิบัติกับท่าน ทำอะไรเข้าไป ท่านรู้แล้ว ท่านรู้แล้ว ท่านรู้แล้ว ท่านเคยผ่านมาแล้ว ท่านเคยกระเสือกกระสน ท่านเคยเจ็บแสบมาแล้ว แล้วท่านผ่านมาแล้ว ไปอยู่ในที่สุขที่สบาย ที่อุดมสมบูรณ์ ท่านผ่านมาแล้ว

ไอ้เรายังไม่ได้ผ่านอะไรเลย สบายๆ

สบายๆ ก็ไอ้เบิร์ดไง เพลงสบายๆ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องนามธรรม มันเป็นเรื่องเราคิดของเราเอง

ฉะนั้น พิณสามสาย ให้คิดของเราอย่างนี้

แล้วพูดถึงว่า ถามว่า ควรจะลาออกจากงานหรือเปล่า

ไม่ควร สะสมจนกว่าทุกอย่างพร้อมมูล ไอ้นี่แค่คิดแค่จินตนาการ ทุกอย่างพร้อมมูลแล้วพ่อแม่เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ทดลอง ต้องพิสูจน์กัน เออ! พร้อมแล้ว อย่างนั้นแล้วนะ ออกไปแล้วหรือเราไปทำงานแล้วนะ พ่อแม่ก็ไม่เสียใจ ไม่เจ็บช้ำน้ำใจ แล้วพอไม่เจ็บช้ำน้ำใจ เราก็ต้องพิสูจน์ทางเดียวคือเกษตรอินทรีย์ทำให้ประสบความสำเร็จ

ไอ้นี่พ่อแม่ก็คอยเป็นห่วงเป็นใย มีแต่ความเดือดร้อน มีแต่ความตรอมใจ ไอ้เราก็จะเกษตรอินทรีย์ๆ ไอ้สองคนนั่งร้องไห้อยู่นั่น เกษตรอินทรีย์ เราขุดดินเขาก็ร้องไห้ แต่ถ้าเขาเห็นด้วย เราขุดดินเขาก็มาช่วย เขามาพร้อมมูลกับเรา

พิณสามสาย ทางสายกลางทำให้เหมาะสม

ไม่ใช่ว่าเราคิดของเราคนเดียว เราก็เก่งคนเดียว แล้วไปเจออุปสรรคแล้วนะ เราเห็นมามาก อย่างที่ว่าตั้งแต่ตอนต้นนั่นน่ะ เวลาปฏิบัติไปๆ เหลวแหลก ปฏิบัติไปแล้วไอ้ที่ว่ายอดเยี่ยมๆ หลุดไปบ้าไปเยอะแยะไปหมด

แต่ถ้าเราเป็นจริงๆ ของเรานะ ทำให้เหมาะสมดีงาม ไม่ขวางใครทั้งสิ้น ถ้าจะขวางจะขับไสก็ขับไสกิเลสในใจนี่ไม่ให้มันมาหลอกลวง

จำไว้ให้ดีนะ เกษตรอินทรีย์ แล้วต่อไปเราจะรอดูอีก ๒๐ ปีข้างหน้า เราจะได้กินผักสลัดจากเอ็งบ้างหรือเปล่า เกษตรอินทรีย์ กูจะรอเอ็ง ๒๐ ปี แล้วกูจะรอกินผักเกษตรอินทรีย์จากเอ็ง เอวัง