จิตผู้ให้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ภาวนา”
กราบหลวงพ่อ ผมฟังเทศน์หลวงพ่อแล้วทำความสงบของใจให้มันลงดีมาก พอหลวงพ่อเทศน์จบสักชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาเกาะพุทโธต่อเลย ทำอย่างนี้ไปสักพักจนมันเข้ามาเรื่อยๆ พุทโธนี้มันชัดเข้ามาเรื่อยๆ มันแฉลบไปเห็นนิมิตบ้างแต่ไม่สน จดจ่ออยู่กับพุทโธอย่างเดียวจนรู้สึกว่าพุทโธมันเข้ามาจนตัวแข็งไปเลย
จากตอนแรกร่างกายรู้สึกว่าร้อน เพราะห่มผ้าห่มด้วย แต่กลับเย็นจนรู้ได้ชัดเจน พอรู้อย่างนี้แล้วผมก็พุทโธอยู่สักพักก็น้อมจิตเข้ามาดูร่างกายของตัวเองในท่านั่งสมาธิ มันเห็นร่างกายนี้นั่งอยู่ แต่พอจะให้ดูลึกเข้าไปข้างในส่วนกลางอก ส่วนท้องนั้นมันโล่งหมด มองไม่เห็นอะไรเลย แต่มันก็ยังเห็นเป็นร่างกายที่นั่งสมาธิ ดูได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะรู้สึกว่าถ้าดูต่อนี่มันไม่ใช่แล้ว ต้องกลับมาพุทโธเลย พอกลับมาพุทโธเท่านั้นแหละ สักพักหนึ่งกว่าจิตจะสงบรู้สึกเหมือนมันใช้พลังงานไปเยอะทั้งๆ ที่แค่เห็นแป๊บเดียว
ทำอยู่แบบนี้ได้ ๒ หน แล้วอีกหนทำความสงบใจใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้จะพาไปหาเวทนาอีกแล้ว รอบนี้รู้เลยว่าไม่ใช่แน่ สมาธิไม่พอ มันมีสมุทัยแน่ เพราะจำได้ที่หลวงพ่อเทศน์ ตรงหลวงพ่อเตือน หลวงพ่อบอก เวลาทำความสงบของใจแล้วสักพักจะได้ยินเสียงหลวงพ่อคอยมาบอกตลอดว่า ‘อย่าทิ้งพุทโธ’ ดังมาก มาเตือนตลอดเลยครับ จำได้แม่นเลย
เลยพุทโธสักพักก็ค่อยๆ ถอนออกจากสมาธิ พอถอนออกจากสมาธิเท่านั้น ปวดไปหมดเลยทั้งตัว กว่าจะลุกยืนได้ พอตอนนั่งสมาธิแทบไม่รู้สึกอะไรเลย นั่ง ๒-๓ ชั่วโมงนั่งได้ แต่พอออกจากสมาธิเท่านั้นปวดหมดเลย กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงครับ
ตอบ : อันนี้พูดถึงนั่งสมาธิๆ ใช่ไหม คำว่า “นั่งสมาธิ” เราก็พุทโธของเรา เราพุทโธของเรา อย่าไปสนใจว่าจะไปรู้จะไปเห็นอะไร
แล้วคำถามถามมาเยอะมาก ถามมาเยอะมากมันก็หลากหลาย คำว่า “หลากหลาย” ก่อนที่ปฏิบัติโดยจุดยืน โดยจุดยืนของคน คนที่ปฏิบัติแล้วอยากจะได้มรรคได้ผล อยากจะได้มรรคได้ผลแล้ว เวลาปฏิบัติไปแล้วไปรู้นิมิตไปเห็นนิมิต ไหลตามมันไป ก็คิดว่านั่นเป็นความรู้ นั่นเป็นผลของการปฏิบัติ เวลานั่นเป็นผลของการปฏิบัติมันเป็นสมุทัย มันเหมือนคนนั่งแล้วนั่งคิดนั่งจินตนาการไป
นั่งคิด คำว่า “นั่งคิด” นั่งคิดคือคนเรามีความคิดอยู่แล้วมันก็คิดของมันไปได้ แต่เวลานั่งภาวนาๆ ไป มันไปเห็นนิมิต ไปเห็นต่างๆ มันก็กิเลสปรุงแต่งให้นั่นแหละ กิเลสมันปรุงมันแต่งให้ดู
ยิ่งเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกจะเห็นเทวดาเห็นเปรตเห็นผี มันก็ปรุงมันก็แต่งมาให้ดูให้เห็น พอแต่งมาให้ดูให้เห็นแล้วเราก็สำคัญว่าเรารู้เราเห็น เรารู้เราเห็นไปแล้ว แล้วเห็นแล้วมันก็มีความทุกข์ความยาก เพราะมันเห็นเปรตเห็นผีเห็นเทวดามันก็มีความสุขมันก็มีความพอใจของมัน
เราประพฤติปฏิบัติเราอยากจะฆ่ากิเลส เราอยากจะเป็นคนที่มีความผาสุกในหัวใจ ถ้ามีความผาสุกในหัวใจ แต่เราไม่เข้าใจไง พอเราไม่เข้าใจ เรานั่งสมาธิไปแล้วเราไปรู้ไปเห็นอะไรเราก็คิดว่านี้เป็นผลของการปฏิบัติ
แต่เวลาหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนไง เห็นจริงๆ ไหม ใช่ เห็นจริงๆ แต่สิ่งนั้นไม่จริง สิ่งนั้นไม่จริง
เห็นจริงๆ สิ เพราะเราปฏิบัติไปแล้วจิตมันรู้มันเห็นจิตเข้าใจ มันเห็นน่ะมันเห็นจริงๆ แต่มันเห็นโดยกิเลสมันปรุงมันแต่ง กิเลสมันหลอกมันหลอน กิเลสมันปลิ้นมันปล้อน
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนในการประพฤติปฏิบัติ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
เราพยายามทำความสงบของใจ พุทโธๆๆ ไปจนมันเป็นจริตมันเป็นนิสัย มันเป็นจริตนิสัย มันสงบระงับเข้ามามันจะมีความสุขของมัน
แล้วเวลาชีวิตโดยปกติถ้าเป็นพระ เป็นพระก็มีข้อวัตรปฏิบัติ เขาก็พยายามอยู่กับสติ อยู่กับสมาธิ เวลาอยู่กับสติ พยายามทำความสงบ พยายามระลึกรู้ คือไม่ให้ใจมันเร่ร่อน ไม่ให้ใจมันแฉลบออกไป นี่ถ้าพระปฏิบัตินะ เขาอยู่กับพุทโธทั้งวันทั้งคืน อยู่ตลอดเวลา พุทโธๆๆ ไง
หลวงตาท่านสอน เหมือนวัว วัวเราผูกไว้ที่หลักไว้ เราให้มันกินหญ้า เราผูกไว้มันก็อยู่ตรงนั้นน่ะ ถึงเวลาเราจะใช้งานมัน เราจะเอามันเข้าคอกเราก็ไปปลดเชือกจากเสาที่เราตอกไว้ เราก็เอากลับเข้าคอกเราได้ แต่ถ้ามันวัวปล่อยๆ ทางภาคอีสานเขาเลี้ยงในป่า เขาปล่อยป่า เวลาจะไปหามา ทั้งวันหาวัวของตัวไม่เจอ
นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆ ทั้งวันๆ เหมือนเราผูกหัวใจเราไว้ เราผูกหัวใจเราไว้ นี้การประพฤติปฏิบัติเขาผูกหัวใจเราไว้กับพุทธานุสติไม่ให้มันแฉลบ ไม่ให้มันคิดนอกเรื่องนอกราว เวลาคนที่ปฏิบัติไง เขาถึงกำหนดพุทโธตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ทำอย่างนั้นจริงๆ หรือ ทำอย่างนั้นจริงๆ หรือ
เขาทำกันจริงๆ สมณะทางกว้างขวางไง ทางของสมณะคือปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง ทางของฆราวาสเป็นทางที่คับแคบ คับแคบเพราะเราต้องทำหน้าที่การงานของเรา ภาวนาได้ก็ตอนตื่นนอนกับก่อนนอน นอกนั้นก็ทำงาน เว้นไว้แต่วันไหนมีเวลาว่างก็จะมาปฏิบัติ เห็นไหม เราต้องพยายามกำหนดเวลา เราต้องพยายามหาเวลาในการปฏิบัติ
เวลามาบวชเป็นพระๆ พอบวชเป็นพระขึ้นมาเป็นพระปฏิบัติด้วย อยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านคุ้มครองดูแลโดยที่ท่านเป็นหัวรถจักร หัวรถจักรนะ จะฆราวาส จะมีหน้าที่การงานอย่างไรท่านรับผิดชอบไง
แล้วถ้าพระที่ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์เวลาเรื่องหน้าที่การงานท่านจะให้มีน้อยที่สุด แล้วถ้ามีก็มีเป็นข้อวัตรปฏิบัติ กวาดลานวัดพร้อมกัน ทำข้อวัตรพร้อมกัน ทำทุกอย่างพร้อมกัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายปฏิบัติ ไม่ให้กระทบไม่ให้กระเทือนกัน นี่พูดถึงว่าเวลาพระปฏิบัติ
ฉะนั้น เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติเรากำหนดของเรา พยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับ สงบระงับเข้ามาแล้วให้มันอยู่กับความสงบเล็กน้อย ก็ให้เป็นบาทเป็นฐาน แล้วให้มันเจริญงอกงามขึ้นไป ถ้าจะไปรู้ไปเห็นสิ่งใด ตัดๆๆๆ ไม่ไปสนใจมัน เพราะอะไร
เพราะกิเลสมันปรุงมันแต่ง เพราะความชอบของคนมันปรุงมันแต่ง จริตนิสัยของคนมันปรุงมันแต่ง ไอ้ขี้โลภนะมันก็อยากได้อยากดีอยากเป็น ไอ้ขี้หลงมันก็หลงว่าภาวนาแล้วมันจะได้ๆๆ ไอ้ขี้โกรธมันก็โกรธทั้งวันทั้งคืน โกรธทุกเรื่องโกรธทุกอย่างที่มันขวางหน้า นี่มันเป็นนิสัย
พอเป็นนิสัยมันธาตุแท้ พอธาตุแท้อย่างนี้ นี่เป็นภาวนาไหม
ภาวนา แต่ภาวนาลุยไฟไง ลุยไฟความโกรธ ลุยไฟความโลภ ลุยไฟความหลงไง ภาวนาแบบลุยไฟไง
แต่ถ้าเราพุทโธๆๆ ของเราไปนะ เราไม่ลุยไฟ เราอยู่กับพระพุทธเจ้า เราอยู่กับพุทธานุสติ พุทโธของเรา พุทโธของเราให้มันสงบระงับเข้ามา ให้มันมีธรรมโอสถให้มีความชุ่มเย็นของมัน เราไม่อยากลุยไฟไง
แต่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็อยากได้มรรคได้ผล ลุยไฟเข้าไปยังไม่รู้ว่าลุยไฟนะ ลุยไฟเข้าไปแล้วว่า “นี่เป็นปฏิบัตินะ ปฏิบัติแล้วมันทุกข์นะ” ก็ทุกข์อยู่นั่นแหละ
แต่เวลาครูบาอาจารย์เรานะ มันจะทุกข์มากทุกข์น้อยแค่ไหนมันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา พุทโธของเราไปเรื่อยๆ นี่ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนไง มันเป็นสมถกรรมฐาน แล้วถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นไปมันเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง
ถ้ามันรู้มันเห็น ทีแรกมันรู้มันเห็น เห็นจริงไหม จริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง มันไม่จริงหรอก มันไม่จริงหรอก มันก็เห็นเหมือนเรานี่ ตาเราเห็นอะไรเราก็เห็น แต่ตาเห็นมันก็เห็นโดยสถานะของความเป็นมนุษย์มีตาไง มีสัมผัสไง ก็รู้ก็เห็นไปนั่นแหละ รู้เห็นถ้ามันดีมันชอบใจมันก็ดีใจ ถ้ามันไม่ชอบใจมันก็เสียใจ ถ้ามันไปเห็นสิ่งที่เป็นกิเลสมันก็ลุ่มหลงไป
เราก็หลับตา ร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอมปลวก จอมปลวกมันมีช่องอยู่ ๖ ช่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดให้หมด เหลือแต่ใจของเราไว้ คอยจับเหี้ยตัวนั้นน่ะ คอยจับกิเลส ถ้ามันรู้มันเห็น เห็นเป็นกาย เห็นเป็นเวทนา เห็นเป็นจิต เห็นเป็นธรรม เห็นจากใจ ค่อยๆ ว่ากัน
ฉะนั้น เรื่องการปฏิบัติ เราจะบอกว่า ไอ้ที่ว่ารู้นั่นพิจารณานั่น วางเถอะ ยังอีกไกล ไอ้หน้าที่การงานในวิปัสสนาต่อเมื่อเรามีจิตใจมีกำลังที่กล้าแข็ง ถ้ากล้าแข็งแล้วเราค่อยๆ ทำเป็นชั้นเป็นตอน ขนาดกล้าแข็งขนาดไหน พระปฏิบัติ ในวงพระปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน
ปฏิบัติมียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้นจะตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้ ตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้วทำกิจการของเราก้าวหน้า นี่ก็เหมือนกัน จิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเจริญก้าวหน้าไป แล้วดูสิ ในทางธุรกิจ เวลาเราเปิดธุรกิจเราใหม่ๆ มันล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะกว่ามันจะตั้งตัวได้ กว่ามันจะอยู่ตัวได้ กว่ามันจะก้าวหน้าของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป
นี่ก็เหมือนกัน อย่าใจร้อน ปฏิบัตินะบอกว่า “ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เวลาเรียนกรรมฐานฟังครูบาอาจารย์มาแล้ว ทำจิตสงบแล้วก็วิปัสสนา วิปัสสนาจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม”...วิปัสสนึก นึกเอาไป แต่มันก็เป็นการฝึกซ้อม เป็นการปฏิบัติไง
แต่ถ้าจะเอาเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นชิ้นเป็นอันที่ปฏิบัติแล้ว ที่ว่าหลวงปู่มั่นแก้จิตๆ ท่านจะแก้จิต แก้ต่อเมื่อผู้ที่ภาวนาได้ ผู้ที่ภาวนาไม่ได้จะเอาอะไรไปแก้ มันไม่มีอะไรให้แก้เพราะมันไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่การใช้ปัญญา มันเป็นสามัญสำนึก เป็นสัญญาที่เราเคยชินกันอยู่นี่
นี่พูดถึงว่าเวลาที่จะปฏิบัติไง ไม่ต้องไปคาดไม่ต้องไปหมาย ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องได้อะไรไม่ได้อะไร ปฏิบัติบูชาเราก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้ามันจะเป็นได้ มันจะดีขึ้นมา มันก็ดีเป็นชั้นเป็นตอน
นี่พูดถึงการภาวนานะ ในการภาวนาเขาว่า เวลาฟังเทศน์หลวงพ่อเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็พุทโธไปชัดๆ พุทโธชัดๆ
คำว่า “พุทโธชัดๆ” มันสมบูรณ์แบบ ชัดๆ ต้องมีสติมันถึงจะชัดได้ แล้วถ้าชัดได้ คำบริกรรมจิตมันอยู่กับเรา มันรับรู้พุทโธ พุทโธเป็นคำบริกรรม มันเป็นเรื่องพุทโธ เรื่องคำบริกรรม เป็นนวกรรมของจิต คือให้มันคิดอยู่กับพุทโธ ไม่ให้ไปคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ เรื่องจริตนิสัยที่มันพอใจ ให้คิดกับพุทโธๆๆ คิดจนมันยอมรับ จนจิตมันยอมรับพุทโธๆ มันก็พุทโธได้คล่องแคล่ว พุทโธได้ชัดเจน
พอมันชัดเจนขึ้นไป พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธไปจนมันจะเกิดอาการของจิต เกิดการกระทำ พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วถ้าพอมันเหน็ดมันเหนื่อย พอพุทโธแล้ว พอจิตมันสงบมันวางบ้าง เราจะใช้สติปัญญาบ้างก็ได้
คำว่า “ใช้สติปัญญาบ้าง” หมายความว่า ที่มันรู้เรื่องอะไร เราจะพิจารณาบ้างก็ได้ ถ้าไม่พิจารณาเลยเดี๋ยวอกมันจะแตก พิจารณาของเราบ้าง ถ้าพิจารณาเป็นครั้งเป็นคราวไป
แต่ถ้ามันแฉลบไป อะไรไป เราไม่ตามมันไปหรอก เหนื่อยนะ เหนื่อย แล้วเราไปรับรู้เรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องสัญญาอารมณ์ แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ไปรับรู้มาแล้วก็มานั่งคิดทบทวนๆ ทบทวนอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่ได้อะไรหรอก
ในการภาวนาก็เหมือนกัน เราทำของเราดีๆ ทำของเรา พุทโธของเราไปเรื่อยๆ แล้วถ้ามันดีขึ้น มันสงบระงับขึ้นมา ถ้ามันส้มหล่น ไอ้ที่มันเป็นสมาธิๆ หรือว่ามันเห็นต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วส้มหล่น
ส้มหล่นหมายถึงคนที่มีบุญ คนที่มีบุญเขาทำสิ่งใดแล้วถ้าจิตมันสมควรมันพอดีแล้ว มันจะรู้มันจะเห็นของมันโดยส้มหล่น ส้มหล่นคือว่าเราไม่สามารถที่เราจะตบจะแต่งให้มันขึ้นมาเป็นดั่งที่เราพอใจได้
แล้วถ้าส้มมันหล่นเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบ มันมีกำลังของมัน มันรู้มันเห็น เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นอะไรต่างๆ นี่เป็นส้มหล่น
พอส้มหล่น เห็นแล้ว เพราะอาการที่เห็นมันแปลกประหลาด ส้มหล่นคือมันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เวลามันเกิดขึ้นมาโดยรสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง รสของมันนะ มันส้มหล่นสักทีหนึ่งก็ แหม! ติดใจ ติดหัวใจ ฝังหัวใจเลย แล้วจะเอาอีก
จะเอาอีกก็ไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นได้มันก็เป็นแบบส้มหล่น ผู้ที่ปฏิบัติใหม่น่ะ แต่ถ้าจะเป็นโดยที่เราตั้งใจ เราประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นตามจริงที่เราต้องการ...ยาก ยาก
แต่ถ้ามันเป็นก็เป็นส้มหล่น ส้มหล่นเพราะอะไร ส้มหล่นเพราะ หนึ่ง เราไม่ไปเกร็งกับมัน เราไม่จงใจไม่เจาะจงจนเกินไป มันสมดุลพอดีก็ส้มหล่น เห็นไหม ถ้าเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงก็อย่างนั้นแหละ มันมัชฌิมาปฏิปทา มันสมควร มันสมดุลพอดีมันก็จะเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วเป็นอย่างนั้นก็ฝึกหัดของเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปเพื่อประโยชน์กับเราไง
นี่พูดถึงในการปฏิบัติในการภาวนา ว่านั่งสมาธิ ฟังเทศน์เป็นชั่วโมงๆ แล้วนั่งสมาธิไปเวลามันแฉลบไปเห็นบ้างแต่ไม่สนใจ จดจ่ออยู่กับพุทโธๆ จนรู้สึกว่าตัวแข็ง ความรู้สึกว่าตัวแข็ง มันจะมีอะไรแข็ง ถ้าแข็งก็มีแต่เวลาจิตออกจากร่างไปแล้วสัก ๓-๔ ชั่วโมงไปเดี๋ยวมันตัวแข็ง
ไอ้นี่มันเป็นความฝังใจ แล้วใจมันคิดไปเอง ใจคิดไปเองนะ ร่างกายของคนมันมีเซลล์ มีเลือดเนื้อ มีลม มันต้องสมดุลพอดีของมัน มันก็อ่อนนุ่ม แต่ถ้ามันนั่งกดทับไปแล้วมันจะเจ็บมันจะปวดบ้างมันก็มีเป็นเรื่องธรรมดา เราเข้าใจอยู่แล้ว เราไม่ไปตื่นเต้นกับมันไง
แล้วเขาบอกว่า เวลาร่างกายมันร้อนๆ เวลาจิตมันลงมันเย็นไปหมดเลย
เย็นมันก็ดีแล้ว เดี๋ยวมันก็ร้อน ร้อน ความเร่าร้อนมันแผดมันเผาทั้งกายและใจ เวลามันร่มเย็นขึ้นมาถ้ามันมีสติปัญญาใคร่ครวญดีแล้ว ถ้าเป็นธรรมๆ เป็นธรรม ธรรมะมันเหนือทิฏฐิมานะ เหนือกิเลสไง มันก็ปล่อยวาง พอปล่อยวางมันก็วูบมันก็เย็นขึ้นมา
แล้วถ้าร่างกาย บอกว่า เวลานั่งแล้วมันเย็น พอนั่งไปแล้วก็ดู ดูให้เห็นกาย
ถ้ามันเห็นเราก็ดู ถ้าไม่เห็นเราไม่ต้องไปดูมัน เราเอาความสงบของใจๆ เว้นไว้แต่อกมันจะแตก มันพิจารณาบ้าง ได้ จะไม่ใช้ความคิดเลยมันไม่ได้ แต่เราจะใช้ความคิดไปโดยที่เราจะคิดว่าจะเป็นวิปัสสนาๆ มันเป็นวิปัสสนึก มันนึกเอาเองทั้งนั้นน่ะเพราะจิตมันไม่สงบ
สังเกตได้ไหม เวลาจิตมันสงบแล้วเราคิดสิ่งใดแล้วมันทะลุปรุโปร่ง นั่นน่ะมันมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน เราคิดสิ่งใดแล้วมันก็อั้นตู้อยู่อย่างนั้นน่ะ
แล้วเขาบอกว่า พอภาวนาๆ ไปแล้วมันเหนื่อย เวลาพิจารณากายเห็นส่วนท้อง ส่วนอะไร
ถ้ามันเห็นมันก็วางไว้ไง เวลาหลวงปู่เจี๊ยะ เวลาหลวงตาท่านพบหลวงปู่เจี๊ยะนะ ท่านพูดถึงหลวงปู่บัว ท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะ “เจี๊ยะๆ หลวงปู่บัวท่านกำลังพิจารณากายอย่างเข้มข้นเลย พิจารณากายอย่างเข้มข้นเลย”
เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านก็พิจารณากายไง ถ้าการพิจารณากายถ้าจิตมันสงบแล้วเห็นกายก็พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันเป็นชิ้นเป็นอันน่ะ แต่ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด เราไปพิจารณามันก็เป็นแบบว่าฝึกหัด
นี่ไง ที่ว่าวิปัสสนาอ่อนๆ วิปัสสนาอ่อนๆ ก็อย่างนี้แหละ พอจิตมันสงบแล้ว จิตมันสงบก็ฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาต้องฝึกหัด
สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิ ภาวนามยปัญญาเกิดไม่ได้
สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิมันเป็นสัญญาทั้งสิ้น
ถ้าเป็นสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ที่ว่าหลวงปู่บัวท่านกำลังพิจารณากายอย่างเข้มข้น พิจารณากายอย่างเข้มข้น ท่านพิจารณาของท่านมาแล้ว กำลังเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด ท่านพิจารณาของท่านไปด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา
ถ้าเป็นสมาธิแล้วมันมีปัญญานะ มันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ มันจับต้องได้นะ มันแยกมันแยะของมัน อันนั้นน่ะเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ที่พอจิตมันสงบแล้วเราฝึกหัดๆ นี่วิปัสสนาอ่อนๆ การฝึกหัดให้วิปัสสนาไง
เพราะสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน สัญญาทั้งสิ้น เป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ คือเรื่องความคิดสามัญสำนึกของเรา แต่เพราะเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบระงับเข้ามาแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาๆ นี่วิปัสสนาอ่อนๆ อ่อนๆ จนมันชำนาญ
พอจิตสงบแล้วมันเห็นกาย พิจารณากาย พิจารณาไปแล้วมันปล่อยวาง ปล่อยวางแล้ว แล้วกลับมาทำความสงบ สงบแล้วถ้ามันเห็นกายก็พิจารณาไป ถ้าไม่เห็นก็อยู่กับสมาธิ อยู่กับความสงบต่อเนื่องไปๆ เพราะต่อเนื่องไปแล้วมันทำสมาธิได้ง่ายขึ้น นี่กัลยาณชน ไม่ใช่ปุถุชน
ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ฝึกหัดของเราไปๆ ไม่ต้องไปทุกข์ไปร้อน ไม่ต้องไปให้มันก้าวหน้าไปถึงไหนหรอก ทำความสงบของใจ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วถ้ามันเป็นไปนะ สิ่งที่มันเป็นไปมันเป็นไปโดยคุณสมบัติ เป็นไปโดยจิตมันพิจารณาของมันไป แล้วจิตเราพิจารณา เวลาเราฝึกหัดวิปัสสนามันก็มีกาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้ารู้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เอาสิ่งเดียว แล้วพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถ้ามันเปลี่ยนไป มันจืดมันชืด มันจะไปทำอย่างอื่นบ้างก็ได้ มันทำได้เป็นสักพักๆ ไป ฝึกหัดไปอย่างนี้เป็นพื้นฐาน
ไม่ใช่เรียนหนังสือ เรียนหนังสือสอบแล้วก็จบ แต่การภาวนานี่นะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี เวลาครูบาอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ๙ ปี หลวงปู่มั่นตอนขึ้นไปเชียงใหม่ พรรษา ๓๘ ๓๘ นะถึงสิ้นกิเลส แต่ละองค์อยู่ที่วาสนา อยู่ที่การกระทำ ทำได้มากได้น้อยขนาดไหนเราก็ฝึกหัดของเราไป
นี่ก็เหมือนกัน เราทำไปแล้ว จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้
เราจะบอกว่า ฝึกหัดทำความสงบของใจ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเป็นชั้นเป็นตอน แล้วถ้าคำถามมันถามแล้วถามเล่ามันก็อยู่อันเก่านี่แหละ มันเป็นเรื่องความสงสัย เอาความรู้สึกนึกคิดความสงสัยถาม มันไม่จบไม่สิ้นหรอก มันไม่จบไม่สิ้น
ถ้ามันจบมันสิ้นขึ้นมา ถามเวลาที่มันติดขัดสิ แก้จิตๆ ก็แก้ตรงที่มันติดมันขัด มันไปไม่ได้หรือมันไม่มีทางออก หาทางออกไม่ได้
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน จะไปรู้อะไรก็แล้วแต่มันเรื่องของเขา
เวลากิเลสมันแย่งชิงในการปฏิบัตินะ เวลาหลวงตาท่านสอน เวลาประพฤติปฏิบัติไป สิ่งที่มันยากที่สุดก็คือกิเลสนี่แหละ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ศีล สมาธิ ปัญญามันมีความสุขนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วเกิดถ้าใช้วิปัสสนา ใช้ปัญญาไป มันมหัศจรรย์ มันเห็นแล้ว แหม! มันดูดมันดื่ม เหมือนมรรคผลนิพพานมันจะคว้าเอาเลยแหละ แต่เริ่มต้นถ้าเรายังตั้งหลักไม่ได้ เราทำแล้วมันจะจับจด แล้วมันไม่มีทางออก
เวลามีทางออกขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา จะกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่ ทำต่อเนื่องไปๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถ้ามันสงบระงับแล้วจะฝึกหัดใช้ปัญญาบ้าง วิปัสสนาอ่อนๆ
คือสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ก็ต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา แล้วปัญญาถ้าเกิดจากสมาธิเป็นบาทเป็นฐานนะ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์
แต่ถ้าสมาธิมันอ่อน สมาธิไม่มีกำลังแล้ว จืดๆ ชืดๆ แล้วตะเกียกตะกายทุกข์ยากมาก จะรู้สึกตัวก็ อ๋อ! กว่าจะอ๋อ! นี่ก็เหนื่อยไปครึ่งวันค่อนวันแล้ว แล้วถ้ากลับมา ค่อยกลับมาฝึกหัดใช้ปัญญาของเราต่อเนื่องไป นี่พูดถึงการฝึกหัดใช้ปัญญา
การหัดภาวนา สิ่งที่ทำมาแล้ว ผมภาวนา ๑๐ ปี ๒๐ ปี
ทำมาแล้วนะ เวลาไม่มีกำหนด ภาวนาได้หรือไม่ได้มันเป็นอำนาจวาสนาของตน แล้วฝึกหัดทำของเราไปๆ ธรรมโอสถ คนเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็อยากหาย เราเกิดมาเราอยากจะประพฤติปฏิบัติเพื่อจะฆ่ากิเลสของเรา เราก็พยายามฟื้นฟูของเราแล้วทำของเราไป ฝึกหัดของเราไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ฝึกหัดไปเรื่อยๆ นี่ภาคปฏิบัติไง
ปริยัติเรียนจบก็จบ ๘ ประโยค ถ้าเรียนจบนะ ถ้าจบแล้วก็จบ จบแล้วทำอย่างไรต่อ เพราะว่าปริยัติแล้วมาปฏิบัติ ปฏิบัติก็ต้องมาเริ่มต้น เริ่มต้นแล้วยิ่งล้มลุกคลุกคลานเลย แล้วล้มลุกคลุกคลานแล้วทำไม่ได้ด้วย
ถ้าทำได้ขึ้นมา เวลาแสดงธรรมๆ ธรรมภาคปฏิบัติ มันจากประสบการณ์ของจิต มันเคยผ่านความทุกข์ความยาก เคยผ่านวิกฤติมาทั้งสิ้น แล้วมันผ่านมาอย่างไร วิธีการเป็นอย่างไร นั่นน่ะภาคปฏิบัติ
นี่ของเรา เราปฏิบัติของเรา เราก็ทำของเราๆ ไป นี่พูดถึงว่าการฝึกหัดนะ ทำต่อเนื่องไป สิ่งที่ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไป แล้วค่อยฝึกหัดต่อเนื่องไป
เอาความจริง ไม่ต้องเขียนมาถามให้เป็นการตอบกระทู้กันอยู่อย่างนี้ จบ
ถาม : เรื่อง “จิตพระโพธิสัตว์สูงขึ้นแล้วย้อนกลับสู่มรรค”
กราบพระอาจารย์ที่เคารพ กระผมเคยฟังเทศน์พระอาจารย์ที่เคยกล่าวว่า “จิตพระโพธิสัตว์สูงขึ้นย้อนกลับสู่มรรค”
ประโยคนี้กระผมสงสัยมานาน ขอความเมตตาท่านอาจารย์ชี้แนะทางให้กระผมกระจ่างจิตด้วยครับ
ตอบ : เวลาว่าพระโพธิสัตว์ๆ นะ พระโพธิสัตว์ เวลาคนเกิดมาแล้ว ดูสิ อย่างเช่นหลวงปู่สิมท่านพูดไว้บอกว่า หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์เรา สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับมาจากดาวดึงส์ลงสู่นครราชคฤห์ เปิดโลกธาตุ นรกสวรรค์เห็นเหมือนกันหมดเลย
ประชาชนทั้งหมดปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คือปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพราะอำนาจวาสนาบารมีนี้มหาศาล
เวลาอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วถ้าใครเห็นในเทศกาลอย่างนั้นก็อยากจะมีอำนาจวาสนา อยากบำเพ็ญตนให้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป
ฉะนั้น ถ้าจะปรารถนาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป เขาก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือจิตเป็นผู้ให้ พระเป็นผู้ให้ เป็นจักรพรรดิ เป็นอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นน่ะเขาเรียกว่าพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ๆ ไง พระโพธิสัตว์หมายถึงคนที่ปรารถนาทำคุณงามความดีแล้วมีเป้าหมายในชีวิตปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์แล้วพยายามชักจูงเป็นหัวหน้าผู้ทำบุญ
หัวหน้านะ พระสีวลีๆ ไง เป็นพระอรหันต์ที่มีลาภมากที่สุดไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปที่ไหนถ้ามันอัตคัดขาดแคลน ท่านจะเหลียวหามองดูว่ามีพระสีวลีมาด้วยหรือไม่ ถ้ามีพระสีวลีมาด้วย ลาภสักการะ เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะไม่ขาดแคลน
พระสีวลี พระสีวลีที่มีลาภมากที่สุดเพราะอะไร เพราะท่านก็ได้สร้าง ท่านเป็นหัวหน้าทำบุญ ท่านเป็นผู้ทำบุญกุศลมามาก
พระโพธิสัตว์ๆ ในสมัยปัจจุบันนี้สิ่งที่เกิดมาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระโพธิสัตว์ก็มี แล้วหลายๆ องค์ก็เป็นพระโพธิสัตว์ อย่างเช่นทางเชียงใหม่ ครูบาศรีวิชัยนี่พระโพธิสัตว์ ครูบาศรีวิชัย ครูบาศรีวิชัยก็พระโพธิสัตว์ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ดูสิ บุญกุศลของท่านทำอะไรประสบความสำเร็จทั้งนั้นน่ะ
แล้วเวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด เล่าให้หลวงตาฟังไงว่าท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ปรารถนามาแบบครูบาศรีวิชัย แล้วหลวงปู่เสาร์ก็ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
แล้วเวลาหลวงตาท่านพูดนะ ท่านบอกเลย อยู่ในเทปมันมี “เราไม่เคยบอกใครเลย ทำไมแม่ชีแก้วรู้ได้ว่าเราเคยปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์”
พระโพธิสัตว์ๆ นี่นะสร้างบุญกุศลๆ แล้วถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดยังไม่ได้พยากรณ์ กลับได้
เวลาหลวงปู่มั่นท่านเกิดมาชาตินี้เป็นหลวงปู่มั่น ท่านก็จากเป็นพระโพธิสัตว์มา พอเป็นพระโพธิสัตว์มา เวลามีบุญกุศลก็อยากจะบวช พอบวชแล้วขึ้นมาเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ภาวนาอย่างไรก็แล้วแต่ นี่พระโพธิสัตว์
แล้วพระโพธิสัตว์ เพราะมีอำนาจวาสนานะ มีปัญญาแก่กล้า เวลาแก่กล้าขึ้นมา แต่เวลาจิตสงบไปพิจารณากายแล้วไม่ไปไหนหรอก มันเหมือนเดิมๆ จนท่านมาพิจารณาของท่าน ท่านมาพิจารณาของท่าน แล้วเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็ทั้งนั้นน่ะ ภาษาเรา พระโพธิสัตว์ทั้งนั้นน่ะ
แล้วเวลาหลวงปู่มั่นท่านแก้ไขตัวท่านก่อน พอแก้ไขตัวท่านแล้ว พระโพธิสัตว์ๆ ถ้ามีอำนาจวาสนามากมายมหาศาล มีครูบาอาจารย์หลายองค์ที่เป็นพระโพธิสัตว์เวลาเขาจัดพิธีกรรม โอ้โฮ! พวกผลไม้เต็มไปหมดเลย นี่พระโพธิสัตว์
เวลาพระโพธิสัตว์ที่บารมีแก่กล้านะ แล้วพระโพธิสัตว์มันมีบารมีแก่กล้าแล้วพระโพธิสัตว์เพิ่งเริ่มต้นปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วพระโพธิสัตว์ที่เพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรภาวนา บำเพ็ญตบะธรรมของท่านมาเล็กน้อย เวลาทำสมาธิๆ พวกนี้เข้าได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เข้าได้ฌานโลกีย์ จะรู้วาระจิต จะรู้อะไร
ถ้าพระโพธิสัตว์หน่อมแน้ม พระโพธิสัตว์เด็กๆ ทายผิดทายถูก เพราะเป็นการฝึกฝน แต่พระโพธิสัตว์ที่เข้มแข็ง พระโพธิสัตว์ที่มีฌานโลกีย์ที่แก่กล้ากำหนดรู้วาระต่างๆ นี่เรื่องของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จะเข้าสู่อริยมรรคไม่ได้ เพราะพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอกว่า “เราวาสนาน้อย เราวาสนาน้อย อายุแค่ ๘๐ ปี” เพราะ ๔ อสงไขย ถ้า ๖ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลา ๘๐,๐๐๐ ปี นี่เพราะอำนาจวาสนาการเป็นพระโพธิสัตว์ได้สร้างสมบุญญาธิการมามาก มันส่งเสริม
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน สร้างมาแตกต่างกัน อำนาจวาสนาก็ต้องแตกต่างกัน สร้างมามากกว่ามันต้องยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน ความสร้างมาปานกลางก็ระดับกลาง สร้างมาน้อยก็ระดับน้อย นี่คือพระโพธิสัตว์ แล้วพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เข้าอริยมรรคไม่ได้
ถ้าเข้าสู่อริยมรรค โสดาบัน ๗ ชาติ มันไม่ไปแล้วไง สกิทาคามี ๓ ชาติ อนาคามีเกิดบนพรหม แล้วจะไปสร้างบารมีอย่างไร แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจบแล้ว
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านลาพระโพธิสัตว์ พอลาพระโพธิสัตว์แล้วกลับมาพิจารณากาย พอพิจารณากายขึ้นมา เออ! มันต้องอย่างนี้สิ พอจิตสงบแล้วพิจารณากายมันเริ่มเท่าทันแล้ว สักกายทิฏฐิ ๒๐ กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่กาย
แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ถ้าเข้าสู่อริยมรรคแล้วอีก ๗ ชาติ พระโสดาบันอีก ๗ ชาติ แล้วอย่างพระอานนท์ชาติเดียว เป็นพระโสดาบันแล้วก็สิ้นกิเลสเลย ครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี แล้วสิ้นกิเลสเลย พอสิ้นกิเลสแล้วจะไปสร้างอะไรต่อล่ะ นี่ไง พระโพธิสัตว์ถึงเข้าสู่อริยมรรคไม่ได้
แล้วเวลาพระโพธิสัตว์ เวลาคนที่ภาวนานะ คนที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองปรารถนาพระโพธิสัตว์มาก่อน เวลาภาวนาไปแล้วมันก็ไปรู้เรื่องวาระ รู้ล่วงหน้า รู้ภายหลัง รู้นี่มันก็เรื่องฤๅษีชีไพร การสร้างสมบารมี มันก็รู้อย่างนี้ พระโพธิสัตว์ทำนายทายทักเรื่องโชคเรื่องลาภ เรื่องแก้กรรม เรื่องปรารถนาให้คนมีความสุข นี่พระโพธิสัตว์ นี่เข้าสู่อริยมรรคไม่ได้
ฉะนั้นบอกว่า คำกล่าวที่ว่าจิตพระโพธิสัตว์สูงขึ้นย้อนกลับสู่มรรค
คำว่า “สู่มรรคๆ” ถ้าจิตพระโพธิสัตว์ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา การละพระโพธิสัตว์นะ มีมากที่คนที่ปรารถนามานะ เวลาเขารู้ว่าเขาอยากจะภาวนา อยากจะพ้นจากทุกข์ เขาบอกว่ามันติดขัดไปหมดเลย
ติดขัดไปหมดเลยนะ เวลาปรึกษาครูบาอาจารย์แล้วเขาบอกว่าเขากำหนดจะลาพระโพธิสัตว์ ลาพระโพธิสัตว์ก็จิตทำสมาธิเข้าไปสู่สมาธินั้นแล้ว ความรู้สึกจากภายในแล้วลา พอเข้าไปสู่ภายในของเขานะ เขาเห็นเลยนะ เห็นนิมิตเป็นช้าง ช้างทรงเครื่อง ช้างตัวใหญ่ๆ เลย ลาหนหนึ่ง พอทำความสงบของใจเข้าไป ช้างเล็กลงเรื่อยๆ ช้างเล็กลงเรื่อยๆ เพราะเขาจะลาพระโพธิสัตว์ของเขา นี่พูดถึงคนที่เห็นนะ แต่เขาก็ลาไม่ได้ เพราะอะไร เพราะสุดท้ายแล้วภายหลังเขาก็กลับไปสู่อย่างเดิมนั่นน่ะ เพราะเขาไม่เข้าสู่มรรคไง
คำว่า “พระโพธิสัตว์สูงขึ้นย้อนกลับสู่มรรค”
ถ้าเข้าสู่มรรคคือฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย การฆ่ากิเลสนะ สักกายทิฏฐิวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะปฏิฆะอ่อนลง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
มานะ ทิฏฐิมานะในใจ อวิชชาความไม่รู้ทำลายหมดแล้วนะ มันไม่มีกิเลส คือไม่มีเชื้อไขที่จะเกิดต่อไป ถ้าไม่มีเชื้อไขที่จะเกิดต่อไป แล้วพระโพธิสัตว์จะไปอย่างไรล่ะ พระโพธิสัตว์มันก็จบไง พระโพธิสัตว์ก็กลับมาเป็นสาวกไง เป็นบารมีสาวกบารมีญาณ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์อีกต่อไป
คำว่า “พระโพธิสัตว์” ลาพระโพธิสัตว์แล้วเข้าสู่อริยมรรคก็ได้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถ้าทำถูกต้องนะ ถ้าลาพระโพธิสัตว์แล้วนะ ภาวนาไม่เป็นก็จบอีกล่ะ
ลาพระโพธิสัตว์แล้วเวลามาภาวนา มรรค ๔ ผล ๔ ถ้ามรรค ๔ ผล ๔ แล้วก็เป็นสาวกญาณ มันไม่ใช่บารมีพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้ายังไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดพยากรณ์ พลิกได้ กลับได้ เขาเรียกว่ากลับได้ กลับมาสู่มรรค ถ้ากลับมาสู่มรรคก็กลับมาสู่การพิจารณาบุคคล ๔ คู่ จิตเป็นได้หลากหลายนัก โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล
กรณีอย่างนี้แล้วอย่างคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีเลย ไม่ได้สร้างสมบุญญาธิการมาเลย เวลาภาวนามันก็ถูลู่ถูกังไง เวลาครูบาอาจารย์เรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านก็บอกว่าท่านไม่เคยพูดให้ใครฟังนะ แต่ท่านพูดเองบอกว่า “ทำไมแม่ชีแก้วรู้ได้ว่าเราเคยปรารถนาพระโพธิสัตว์”
ถ้าปรารถนาพระโพธิสัตว์คือได้สร้างบุญสร้างกุศลมา คือมีจุดยืนน่ะ พระอรหันต์อย่างน้อยๆ ต้องมีจุดยืน มีจุดยืนที่ว่าไม่ให้กิเลสมันปั่นหัว ไม่ให้กิเลสมันทำให้หวั่นไหว ไม่ให้กิเลสมันพลิกแพลงจนการภาวนา การนั่งสมาธิ การวิปัสสนานี้คลาดเคลื่อนไป
กว่าที่ว่าสถานะการรองรับมรรคผล ถ้าจิตมันมีกำลังของมัน มันก็ต้องสร้างบุญกุศลมา สร้างบุญกุศลมามันก็เหมือนกับการปรารถนาแบบพระโพธิสัตว์นี่แหละ
การปรารถนาเพราะเราไม่มีเป้าหมาย เรารู้อย่างอื่นไม่ได้ เราก็ปรารถนาสร้างคุณงามความดีๆ ไง คุณงามความดีต่อเนื่องๆ ไป พระโพธิสัตว์ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเวสสันดร ตั้งแต่พระเวสสันดรไปนี่พระโพธิสัตว์ๆ ทั้งนั้นน่ะ ขนาดเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่เลย แต่เวลาจะมาตรัสรู้ธรรมแล้วเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบ เวลาครูบาอาจารย์ สหชาติๆ ก็เหมือนกัน
นี่พูดถึงว่า จิตพระโพธิสัตว์สูงขึ้นย้อนเข้าสู่มรรค
ไม่ใช่ จิตพระโพธิสัตว์ ถ้าจิตพระโพธิสัตว์ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องสร้างบุญสร้างกุศลต่อเนื่องไป เว้นไว้แต่เห็นว่า เราจะไม่ต่อ ไม่เป็นพระโพธิสัตว์ต่อไป กลับ ลาความเป็นพระโพธิสัตว์นั้นแล้วฝึกหัดศีล สมาธิ ปัญญา ฝึกหัดมรรคผล ฝึกหัดอริยมรรค แล้วเข้าสู่อริยผล
ถ้าเข้าสู่อริยมรรคแล้วถ้ามันเข้าสู่อริยผลได้ เพราะการลาพระโพธิสัตว์นั้นมันถึงจะเข้าสู่อริยมรรคอริยผล ถ้ายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ฌานโลกีย์ สมาบัติ ๘ พระโพธิสัตว์ทำสมาบัติ ๘ ทำฌานโลกีย์อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฌานโลกีย์ถ้ามันละเอียดลึกซึ้ง พระโพธิสัตว์ มี
พระโพธิสัตว์ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นหลายๆ องค์เลย ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีนะ โอ้โฮ! บารมีท่านสูงส่งมาก สร้างเจดีย์ สร้างสิ่งใดมหัศจรรย์มาก
แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่แบบว่าครึ่งๆ กลางๆ พระโพธิสัตว์ที่บารมีไม่ถึง บารมีน้อย ถ้าบารมีน้อย เวลาความรู้เห็นมันคลาดเคลื่อน พูดนี่นะ สิ่งที่มันเป็นจริง สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ การความรู้ยังคลาดเคลื่อน คำว่า “คลาดเคลื่อน” มันไม่เป็นตามความเป็นจริงไง
แต่ถ้าพระโพธิสัตว์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งนะ เขาไม่คลาดเคลื่อน ชัดเจน ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้า ถอย เข้า ถอย พระโพธิสัตว์ทำอย่างนี้ พอจิตมันสงบระงับก็กำหนดรู้กำหนดเห็น กำหนดต่างๆ นี่ฌานโลกีย์
แต่ถ้ามีอำนาจวาสนาไม่ต่อเนื่องจากพระโพธิสัตว์ต่อเนื่องไป ลาแล้วกลับมาประพฤติปฏิบัติมันก็เข้าสู่มรรค ๔ ผล ๔ มรรค ๔ ผล ๔ ต้องทำให้ถูกต้องนะ ถ้าทำไม่ถูกต้องมันก็ไม่เข้าสู่อริยสัจสู่ความจริง
อริยสัจมีหนึ่งเดียว
ฉะนั้นว่า จิตพระโพธิสัตว์สูงขึ้น
ไม่ใช่ จิตพระโพธิสัตว์จะยิ่งใหญ่ หรือปานกลาง หรือเล็กน้อย นั้นก็อยู่ที่เหตุและผล อยู่ที่เหตุ เหตุคือการที่ท่านได้สร้างสมมามากน้อยแค่ไหน เหตุและผล นี่พูดถึงว่า พระโพธิสัตว์ที่ว่าละเอียด ปานกลาง หรืออย่างหยาบ
เวลาที่หลวงปู่มั่นท่านขึ้นไปที่เชียงใหม่ ตอนนั้นครูบาศรีวิชัยท่านอยู่ที่นั่น แล้วครูบาศรีวิชัยท่านปรารถนาท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านทำสิ่งใดท่านมีอำนาจวาสนาบารมี ทุกคนเชื่อถือศรัทธาท่าน แล้วเวลาทำสิ่งใดไปแล้วมันไปขัดแย้งกับโลก
โลกเขาอยู่กันด้วยลาภสักการะ อยู่กันด้วยความเห็นแก่ตัวไง พอท่านไปทำสิ่งใดแล้วมันไปขัดหูขัดตาคนอื่น หลวงปู่มั่นท่านเล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาท่านพูดเองว่า หลวงปู่มั่น เวลาครูบาศรีวิชัยมากราบหลวงปู่มั่น บางทีหลวงปู่มั่นท่านก็ไปคารวะครูบาศรีวิชัย ครูบาศรีวิชัยมาคารวะหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกเลย หลวงปู่มั่นพยายามจะแก้ไง บอกให้ลาพระโพธิสัตว์แล้วประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ไป อย่าให้ใครมาบีบคั้น อย่าให้ใครมารังแกอย่างนี้
ครูบาศรีวิชัยบอกว่า “ผมกลับไม่ได้แล้วครับ ผมต้องมีเป้าหมายมุ่งหน้าไป”
หลวงปู่มั่นท่านก็หยุดเลย
นี่หลวงตาท่านเล่าให้ฟังเอง ครูบาศรีวิชัยท่านบอกท่านกลับไม่ได้แล้ว ท่านจะต้องไปต่อหน้า แล้วดูชีวิตของครูบาศรีวิชัยสิ ทำสิ่งใดเป็นบุญเป็นกุศลนะ แต่ไอ้พวกกิเลสมันขัดหูขัดตา ไอ้พวกกิเลสมันรับไม่ได้ เพราะอะไร
ไอ้พวกกิเลสมันมียศถาบรรดาศักดิ์ มันมีอำนาจการปกครอง แต่ครูบาศรีวิชัยท่านทำแต่คุณงามความดีของท่าน ทำแต่คุณงามความดีของท่านแล้วประชาชนนับหน้าถือตาไง มันก็เลยโลกธรรม ๘ มันรุนแรงไง แล้วรุนแรง พระโพธิสัตว์จะเจอวิบากกรรมอย่างนี้ตลอดไป เพราะอะไร
เพราะมันต้องมีฝ่ายมารกับฝ่ายเทพ ฝ่ายที่เห็นคุณงามความดี ฝ่ายที่สนับสนุนก็เยอะแยะ ไอ้ฝ่ายที่อิจฉาตาร้อน ฝ่ายที่ทำลาย เจ้าชายสิทธัตถะตั้งแต่สร้างบุญญาธิการมาก็อย่างนี้ พระโพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญเพียรไปอย่างนี้ อยู่ระหว่างการสร้างคุณงามความดีของเรากับไอ้พวกมารที่คอยขัดแข้งขัดขา จะต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ นี่พระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ไม่เข้าสู่อริยมรรค พระโพธิสัตว์ โสดาบันไม่มี ถ้าโสดาบันมันจะต่อเนื่องสร้างบารมีไปอย่างไร แล้วมันเข้าไม่ได้ด้วย เพราะความเป็นพระโพธิสัตว์ปัญญามากรู้มาก สงสัยมาก ลังเลสงสัยมาก จะให้เป็นจริงเป็นจังยาก
พระโพธิสัตว์ส่วนพระโพธิสัตว์ แล้วถ้าพระโพธิสัตว์ลาความเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่จะสร้างอำนาจวาสนาบารมีมามากมาย แล้วถ้ามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ที่ท่านก็ปรารถนาเหมือนกัน ท่านแก้ใจของท่านแล้ว
“แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”
ใครที่มีอำนาจวาสนาเกิดมามีครูบาอาจารย์คอยแก้ให้นี่ เออ! วาสนาของเขา
นี่พูดถึงว่า กลับเข้าสู่มรรค
กลับเข้าสู่มรรค ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัย สมุทัยสัจจะ สมุทัยอริยสัจ สมุทัยกับกิเลสเป็นอริยสัจ กิเลสเป็นนามธรรมเป็นความจริง เอ็งเคยรู้เห็นบ้างไหม เอ็งเคยเป็นหรือเปล่า
เวลาหลวงปู่มั่นท่านคอยชี้คอยแนะคอยบอก เวลาหลวงตาท่านติด “สุขอย่างนั้นสุขแค่เศษเนื้อติดฟัน”
สกิทาคามีนะ สุขแค่เศษเนื้อติดฟัน เพราะมันมีอนาคามีกับมีพระอรหันต์อยู่ข้างหน้า สุขอันยิ่งใหญ่รออยู่ข้างหน้า นี่เวลาเขาแก้กันเขาแก้ทิ่มใจดำเลย แล้วแก้ไขได้มา
นี่พูดถึงว่าสิ่งที่กลับเข้าสู่มรรค
กลับเข้าสู่มรรคคือกลับเข้าสู่อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง
นี่พูดถึงจิตพระโพธิสัตว์ จิตเป็นผู้ให้มาตลอดไง ให้ ให้ทำคุณงามความดีเพื่อสร้างสมบุญญาธิการ แล้วถ้ายังต่อเนื่องไปก็ปรารถนาต่อเนื่องไป ปรารถนาต่อเนื่องไปก็บารมีมากบารมีน้อย บารมีมากก็สร้างสมบุญญาธิการมันยิ่งใหญ่มาก
แต่พระโพธิสัตว์ใหม่ๆ เยอะมาก พระโพธิสัตว์เพิ่งเริ่มเพิ่งหัดมันผิดๆ ถูกๆ ครึ่งๆ กลางๆ ทำอะไรไม่มีสัจจะความจริงมากน้อยขนาดไหนก็ต้องสร้างบารมีไป นี่ไง ผลของวัฏฏะไง ผลของการเวียนว่ายตายเกิดไง
แต่ถ้าเข้าสู่มรรค เข้าสู่มรรคพ้นจากวัฏฏะไง เหนือโลกไง เหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือทุกๆ อย่าง เหนือเพราะอะไร เหนือเพราะมันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจดวงนั้นไง เอวัง