ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เล่านิทาน

๓o พ.ค. ๒๕๖๓

เล่านิทาน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “นั่งสมาธิท่ามกลางภัยอันตราย”

กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมได้รับคำสอนจากหลวงพ่อให้กลับไปสู่พื้นฐานของการทำสมาธิโดยมีคำบริกรรม ได้ผลเป็นที่น่าพอใจครับ ที่เหลือก็ขึ้นกับความพยายามของตัวเองแล้ว

วันนี้อยากถามหลวงพ่อครับว่า เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดภัยอันตรายใกล้ตัว เช่น แผ่นดินไหว สัตว์ร้ายบุก หรือไฟกำลังไหม้บ้าน เราจะไม่รู้สึกตัวเพื่อมารับมือได้เลยหรือครับ หรือเราสามารถรับผลของภัยอันตรายในสมาธิเลย

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามเขางงไง งงว่า นั่งสมาธิไม่ได้สมาธินี่เกือบเป็นเกือบตาย พยายามจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาอยากจะบรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมด้วยการจินตนาการ ด้วยการจินตนาการว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมอย่างนั้น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะบรรลุธรรมอย่างนั้น

เพราะเราก็ศึกษาในพระไตรปิฎกมาหมดแล้วแหละ พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมอย่างนั้น พระสารีบุตรบรรลุธรรมอย่างนั้น ชฎิล ๓ พี่น้องเทศน์อาทิตตปริยายสูตร โทสัคคินา โมหัคคินา โลภัคคินา เป็นของร้อนเป็นไฟแผดเผาหัวใจ

เวลาเทศน์อบรมบ่มเพาะจนเป็นพระอรหันต์ไปทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอหิภิกขุบวชให้ด้วย อบรมบ่มเพาะจนเป็นพระอรหันต์ด้วย

แล้วเราก็ศึกษาตำรามาด้วย แล้วเราก็อยากจะเป็นพระอรหันต์โดยการวิเคราะห์วิจัยในธรรมะอันนั้นว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์

คิดไปเถอะ จินตนาการไปเถอะ เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากกิเลสไง ปัญญาเกิดจากเราไง

เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตมันมีอวิชชา มีอวิชชาในตัวมันน่ะ อวิชชาในตัวปฏิสนธิจิตเพราะมันไม่รู้สึกตัวมัน มันถึงโดนทับถมไว้ด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ เพราะเกิดเป็นมนุษย์มันถึงมีขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เวลาจิตนี้เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาไม่มีธาตุ ๔ เขากายทิพย์ เป็นพรหมก็กายทิพย์ แต่เขาก็มีขันธ์ มีความรู้สึก เพราะมีอวิชชา เพราะมีความไม่รู้

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์เรามีความไม่รู้เป็นพื้นฐาน มีความไม่รู้ในหัวใจ ตอนนี้รู้หมดเลย รู้โดยรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ไง ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ แล้วก็เอาขันธ์ ๕ มาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ศึกษาอาทิตตปริยายสูตร อนัตลักขณสูตร

พระพุทธเจ้าแสดงอนัตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ แสดงอาทิตตปริยายสูตร ชฎิล ๓ พี่น้องเป็นพระอรหันต์ ๑,๕๐๐ องค์ สวดทุกวันเลย นี่โลกียะก็เกิดจากความไม่รู้ไง เกิดจากการไม่รู้ของจิต

จิตนี้รู้ รู้โดยสถานะของความเป็นมนุษย์ นี่เขาเรียกว่าสมมุติ รู้โดยสถานะของมนุษย์นี่เขาเรียกสมมุติบัญญัติๆ เรารู้โดยสมมุติบัญญัติอยู่อย่างนี้แล้วก็พยายามจะเป็นพระอรหันต์ๆ

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาฝึกหัดของท่าน เวลาท่านมาฝึกหัดของท่านนะ ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะกลับมาเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญที่ไหน

เจริญเพราะว่าคนมีบุญ คนมีบุญคือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนมีบุญ หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์จะเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า แล้วท่านมาพิจารณาของท่านเองว่า

ถ้าต่อไปเราประพฤติปฏิบัติไป อบรมบ่มเพาะสร้างบารมีไปเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าในสมัยปัจจุบันนี้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วมันทุกข์มันยากอย่างนี้ แล้วถ้าเราตัดความเป็นพระพุทธเจ้าออก เราเป็นสาวกวิสัย เราก็จะได้เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน มันเป็นพระอรหันต์เหมือนกันแต่ต่างกันที่วาสนา ก็เลยตัด ก็เลยลาพระโพธิสัตว์ประพฤติปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์

ตอนเป็นพระอรหันต์นี่แหละที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่มาอบรมบ่มเพาะในวงกรรมฐานเราว่า ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

ต้องทำศีล มีศีลโดยปกติสามัญสำนึกของคน แล้วต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิคือตัวจิต สมาธิคือตัวที่มันไม่รู้ ไอ้ตัวที่ไม่รู้ๆ มันไม่รู้ตัวมันเอง

แล้วเราก็ศึกษามาทั่วเลย ก็พุทธานุสติ กสิณ ๑๐ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ท่องได้หมดน่ะ แล้วก็สร้างอารมณ์ได้ด้วย ทำให้เหมือนไง แต่ไม่เหมือน

แต่เพราะทำได้จริง ทำได้จริงมันต้องพยายามบริกรรม

บอกว่า “กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมได้รับคำสั่งสอนจากหลวงพ่อให้กลับมาสู่พื้นฐานการทำสมาธิโดยมีคำบริกรรม”

เพราะมีคำบริกรรม จิตมันมีนวกรรม จิตมีการกระทำ พอจิตมีการกระทำ กระทำแล้วกระทำเล่า ทำจนมันเห็นว่าสิ่งที่มันชักนำ สิ่งที่มันแฉลบต่างๆ มันเป็นเรื่องการยุแหย่ของกิเลสไง

พอมันท่องพุทโธๆ พร้อมกับจิตมันไปด้วยกัน คำว่า ไปด้วยกัน” คือว่ามันนุ่มนวล มันไม่ขัดไม่แย้ง ไม่ชักไม่นำ ไม่ให้ปลิ้น ไม่ให้แฉลบ ไม่ให้ต่างๆ จนคล่องตัว มีนวกรรม พอนวกรรมเต็มที่แล้วจบ งานมันจบ พองานมันจบ พุทโธไม่ได้เลย นั่นน่ะอัปปนาสมาธิ แต่ถ้ามันยังพุทโธได้ๆ มันจะว่างมีความสงบก็มีความสงบของเรา นี่คือการทำสมาธิ

ศีล สมาธิ ปัญญา

สมาธิไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

ผู้หญิงทำสมาธิก็เป็นสมาธิ ผู้ชายทำสมาธิก็เป็นสมาธิ ภิกษุณีทำสมาธิก็เป็นสมาธิ ภิกษุทำสมาธิก็เป็นสมาธิไง สมาธิไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นกลางไง

มันเป็นสมบัติที่ถ้ามันเป็นสมาธิแล้วถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เกิดวิปัสสนา วิปัสสนาคือการรู้แจ้งในจิตของตน การรู้แจ้งในจิตของตนคือการตีอวิชชา ตีความไม่รู้ในใจของตน

ถ้ามันตีไอ้ความไม่รู้จนแตกกระจายไป สังโยชน์ขาดไป ๓ ตัวเป็นพระโสดาบัน

กามราคะปฏิฆะอ่อนลงเป็นสกิทาคามี

กามราคะปฏิฆะขาดไปเป็นอนาคามี

รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์อย่างละเอียดขาดไป สิ้นกิเลส

นั่น นี่ไง ถ้ามันทำได้จริงๆ ไง

มันไม่ใช่การครอบงำ การเชื่อถึงการวิเคราะห์วิจัยจะเป็นพระอรหันต์ๆ แล้วก็ศึกษาธรรมะจะเป็นพระอรหันต์ ธรรมะศึกษาแล้วเข้าใจได้หมดเป็นพระอรหันต์...ไม่เห็นมีหันสักคน มีแต่หมูหัน หมูหันเมืองตรังอร่อยที่สุด หมูหันเมืองตรังมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย พระอรหันต์ไม่เห็น

นี่พูดถึงการทำสมาธิโดยพื้นฐาน

แล้ววันนี้อยากถามหลวงพ่อว่า เวลานั่งสมาธิเวลาเกิดภัยอันตรายใกล้ตัว เช่น แผ่นดินไหว สัตว์ร้ายบุกเข้ามา ไฟกำลังไหม้ เราจะรู้สึกตัวรับมือกับมันได้หรือไม่ครับ

มันอยู่ที่คนจริง อยู่ที่คนจริงไง เวลาหลวงตาท่านพูดถึงท่านเนตรๆ เวลาจะนั่งต้องไปนั่งหน้าผา เวลาเสือมาให้เสืองับคอเลย งับคอ จิตมันลงเลย แล้วท่านชอบอย่างนั้น ท่านทำอย่างนั้น

หลวงปู่จวนท่านไปสร้างภูทอก ภูทอกแถบหน้าผาเป็นที่นั่งสมาธิของท่าน ถ้าสัปหงกโงกง่วงร่วงมาตายเลย นั่นท่านตายจริงๆ นะ

แล้วมันก็มีพระไปทำกัน มีเยอะแยะไปนั่งบนที่อันตรายนะ ตกมาขาหักแขนหักเยอะแยะไปหมดเลย นั้นคือผู้ที่จิตใจไม่เข้มแข็งแล้วอยากจะทำตาม ไอ้ทำตามทำครึ่งๆ กลางๆ เวลาทำอยากจะทำให้เหมือน แล้วทำให้ดีกว่าด้วย ถ่ายวิดีโอไว้เลย นี่นั่งสมาธิ แล้วเวลาสัปหงกโงกง่วงตกมาขาหักแขนหัก เราได้ยินเยอะแยะ นี้คือคนที่ไม่จริงไม่จัง

ถ้าคนจริงจังนะ อย่างที่หลวงตาท่านพูดถึงท่านเนตรอย่างนี้ หลวงปู่จวนอย่างนี้ ท่านนั่งอยู่บนหน้าผา ตกไปก็ตาย เวลาตกไปนี่ตายหมดน่ะ เวลาคนเขาตกไปตาย เขาจริงเขาจัง เขาสัจจะ เขามีสัจจะ แล้วเวลาจริงๆ แล้วจิตเขาสงบได้

เขาไปหาที่อันตราย ไปหาที่เสียว ไปเที่ยวป่าช้า ไปอยู่กับเสือ ให้เสือเป็นอาจารย์ ถ้านั่งอยู่บนกุฏิมันนั่งแล้วมันไม่สะดวก มันนั่งแล้วมันมีแต่สัปหงกโงกง่วง มันมีแต่จะไหลไปที่หมอนนี่ ท่านก็ไปนั่งอยู่กลางทุ่ง ไปอยู่ที่ป่าเสือเยอะๆ นั่นน่ะ แล้วเสือมานี่ โอ้โฮ! เสียวสันหลังวูบ นี่ให้จิตมันลง นี่คนเขาเข้มแข็ง เขาซื่อสัตย์ เขาไปเผชิญกับสิ่งอันตรายด้วยศีล ไม่ใช่ด้วยการสร้างภาพ นี่ด้วยศีลไง

แล้วถ้าเป็นจริงนะ แล้วถ้าเป็นจริง เวลาหลวงตาท่านสอนไง บริกรรมพุทโธๆ เราอยู่กับพุทโธ เพราะมันจะแฉลบๆ มันจะคิดถึงอดีตอนาคต มันจะไปหมด แล้วทำอย่างไรล่ะ

ก็ตั้งสติไว้ พยายามบริกรรมให้มันชัดเจน ถ้ามันทำได้ไง ถ้ามันทำไม่ได้ ไปอยู่ที่อันตราย ไปอยู่ต่างๆ โลกนี้จะแตกสลายไปก็ช่างมัน ถ้ามันตั้งใจจริง คนจริงมันทำได้ไง

แล้วบอกว่า เวลาไฟไหม้บ้านล่ะ เราจะหลบอยู่ในสมาธิหรือ เราไม่สู้ภัยกับมันหรือ

ก็อยู่ที่เราเลือกนี่ไง อยู่ที่เราเลือกว่าเราเข้มแข็งแค่ไหน เรามีอำนาจวาสนาแค่ไหน

คนที่มีอำนาจวาสนานะ เขาธรรมะอยู่ฟากตาย ความตายนี่ยิ้มๆ เลย เผชิญหน้าได้หมดเลย สัตว์ร้ายไม่กลัวนั่นน่ะ เวลาวงกรรมฐานถ้าเป็นจริงๆ นะ ท่านไปอยู่ป่าอยู่เขา ท่านมีเสือมีสางจริงๆ

ไอ้พวกดัดจริตนี่ โอ้โฮ! เอาเสือมาขังไว้ในกรงแล้วไปนั่งอยู่ข้างๆ กรงไง เอาเสือขังไว้ กูนั่งอยู่กับเสือ มันไม่จริงน่ะ เอาเสืออยู่ในกรงแล้วก็นั่งติดกับมัน นี่เสือ

แต่เวลาครูบาอาจารย์เราไปนะ เวลาครูบาอาจารย์เราไป ไปอยู่ป่าอยู่เขาท่านไม่มีอาวุธ ไม่มีสิ่งใดจะเป็นอาวุธที่ไปสู้กับสัตว์ร้ายเลย มีแต่ศีลเท่านั้นน่ะ เวลาเป็นจริงเป็นจัง ท่านเป็นจริงเป็นจังอย่างนั้น ถ้าเป็นจริงเป็นจังอย่างนั้นนะ

แล้วเวลาถ้าเป็นจริง ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ อย่างที่หลวงตาท่านพูด ท่านเนตรๆ ไปนั่งกลางหน้าผาเลย เวลากลางหน้าผา พอเสือมันเดินมา พอจิตมันคิดถึงเสือ เสือเป็นครูสอนหน่อย งับคอเลย พองับคอมันก็เอาชีวิตแลกเลยไง พอชีวิตแลก จิตมันลง โอ้โฮ! ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง จิตลง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง เวลามันคลาย

นั่นน่ะอัปปนาสมาธิ สักแต่ว่า โลกนี้ดับหมด ร่างกายก็ไม่รับรู้ ไม่รับรู้อะไรเลย แต่รู้ตัวมันเองไง สักแต่ว่าปรากฏคือมีจิตอยู่ แล้วมีจิตอยู่ด้วยสติสมบูรณ์ สมาธิอย่างนี้ซาบซึ้งมาก แล้วสมาธิอย่างนี้ อย่างที่ว่านี่

นี่ไง อยู่ที่ไฟไหม้บ้าน

ถ้าสมาธิอย่างนี้นะ เวลานั่งในป่าในเขาเกิดไฟป่ามานะ ไฟมันจะมาดับอยู่วงนอกนั่นน่ะ เข้ามาไม่ได้หรอก เวลาไฟมานะ ไฟป่าล้อมมา จะมีพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางไฟนั้นโดยบริเวณนั้นไฟไม่ไหม้ รับประกัน ถ้าเป็นจริง

โธ่! ในสมัยพุทธกาลนะ นางอะไรที่โดนเผาตายนั่นน่ะ แต่เดิมเขาเป็นสนม เขาไปเล่นน้ำอยู่ ลงไปอาบน้ำในแม่น้ำแล้วมันหนาวไง ขึ้นมาก็จุดไฟ เอาฟางมาเพื่อจุดไฟเพื่อความอบอุ่นไง พอจุดไฟไป จุดไฟก็เผากองฟางนั้น เผาไปๆ พระปัจเจกพุทธเจ้านั่งอยู่นั่น เขี่ยเท่าไรมันก็ไม่ไหม้

พอเห็นอย่างนั้นแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของกษัตริย์ กลัวโทษไง กลัวโทษว่าเราไปทำร้ายอาจารย์ของกษัตริย์ไง ก็ให้พวกนางสนมด้วยกันไปหาฟืนหาไฟมาสุมจะเผา จะเผาร่างนั้น จะทำลายหลักฐานไง

ไม่มีทาง อยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่มีเลย

ถ้าเป็นสมาธิแล้วมีวาสนาจริง ไฟส่วนไฟครับ แล้วเข้ามาไม่ได้ ด้วยอำนาจวาสนาของบุญกุศลที่ทำ นี่ทำสมาธิได้จริงนะ

แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่จริงไง ครึ่งๆ กลางๆ จะทำอะไรก็อยากจะให้คนส่งเสริม แหม! เอาฟางมาเผารอบเลย เผาแล้วก็ดับนั่นน่ะ นี่มันจัดฉากจัดตั้ง มันไม่เป็นความจริงหรอก เพราะคนไม่จริงมันคือไม่จริง

ถ้าคนจริงนะ ถ้านั่งสมาธิ เวลาลงอัปปนาสมาธินะ ฝนตกฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ไม่มีสิทธิ์เลย ไม่มีสิทธิ์ คนอื่นน่ะ นี่บุญคุ้มครอง บุญรักษา

นี่ไง เวลาเรานั่งสมาธิอยู่ในป่าในเขานะ หลวงปู่ชอบ เวลาท่านมีบุญของท่าน เวลาไปอดอาหารอยู่ในป่า นางฟ้ามาเลย มาถึง เพราะอดอาหารไง เป็นแม่หรือเป็นภรรยาเก่าของท่าน สงสารมาก มาถึงก็คุยกัน ๒ คน คนอื่นไม่เห็น นั่งอดอาหารมาหลายวันแล้วแหละ จะเอาอาหารทิพย์มาทาตามเนื้อตามตัว มันจะซึมเข้าทางผิวหนังเลย

หลวงปู่ชอบบอก ไม่ได้ พระโดนผู้หญิงไม่ได้ ผู้หญิงมาโดนพระไม่ได้นะ

ไอ้นั่นบอกว่า มันไม่ใช่คนน่ะ มันไม่มีใครเห็นหรอก ถ้าเห็นก็เห็นตัวหลวงปู่ชอบกับท่านเท่านั้นเอง

ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ให้ทำ

เพราะว่าเห็นว่าอดอาหารนะ อยู่ในป่าแล้วมันหิวมันกระหาย พวกดูอยู่ข้างบนเขาเห็นไง ลงมาจะเอาอาหารทิพย์

อยู่ในประวัติหลวงปู่ชอบ แล้วเดี๋ยวเราจะพิมพ์ด้วย หลวงปู่ชอบมีเรื่องบุญเรื่องนี้มาก เรื่องเทวดามาใส่บาตร เรื่องต่างๆ

กรณีอย่างนี้มันขนาดนั้นแล้ว ไอ้เรื่องไฟนี่นะ จิ๊บๆ ไร้สาระมาก เพียงแต่เรามันไม่ได้เข้าสมาธิ เราไม่มีบุญกุศลขนาดนั้น ถ้าเราไม่ได้เข้าสมาธิหรือมีบุญกุศลขนาดนั้น อุบัติเหตุมันมีได้

คำว่า อุบัติเหตุมันมีได้” ใช่ไหม เวลาประสบอุบัติเหตุก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งก็เรื่องกรรมของคน

เวลาคน กรรมมันให้ผลแล้วมันให้ผล กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

เราได้ทำแต่คุณงามความดีของเราไว้ เราได้สร้างแต่บุญกุศลของเราไว้ แล้วถ้าถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดอุบัติเหตุเกิดเภทภัยต่างๆ นั่นมันเป็นเรื่องของเวรของกรรม ไม่มีใครจะชนะเวรชนะกรรมอันนั้นได้ ถ้ามันเป็นสิ่งนั้นน่ะมันก็เป็นเรื่องผลของวัฏฏะ เรื่องผลของวัฏฏะคือเรื่องอดีตไง เรื่องภพชาติที่แล้วใครไปแก้มัน อดีตอนาคตแก้ไม่ได้ แก้ในปัจจุบันนี้

แล้วแก้ในปัจจุบันนี้นะ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขาท่านเสียสละหมดน่ะ จะเสือ ๕ ตัว ๑๐ ตัวมาได้เลย จะสิ่งใดก็ได้

เพราะมันเห็นภัยในวัฏสงสาร มันเห็นภัยในความทุกข์ความยากในชีวิต มันเห็นภัยในเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะแล้วยืนยันอยู่อย่างนี้ ทำไมเอ็งไม่มีความสามารถ เอ็งไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอที่เอ็งจะพยายามปฏิบัติเอาชนะกิเลสในใจของเอ็ง ทำให้มันเป็นสมาธิขึ้นมา ทำให้เป็นสติปัญญาขึ้นมา

ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านคอยอบรมสั่งสอน ท่านคอยชี้แนะอยู่นี่มากมายมหาศาล เราต่างหากไม่มีอำนาจวาสนา เราต่างหากไม่สามารถจับหรือเอาสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่เล็กแต่น้อยแม้แต่ชิ้นเป็นสมบัติของเราเลย

สมบัติของเราไปวัดก็ มยํ ภนฺเตฯ จะขอแต่ศีลๆ มันจะเอาแต่ศีลสมมุติ เอาศีลที่ขอ ที่พระพูดพระบอกแล้วพูดตาม

แล้วเวลาหลวงตาท่านบอกเลย ขอศีล ๕ ศีล ๘ แล้วเหลือศูนย์ไง พอมันออกจากที่ไปมันก็ไม่เคยทำอย่างนั้นเลย

แล้วมันก็จะไปห่วงว่า นี่ไง เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดแผ่นดินไหว เกิดสัตว์ร้ายมาบุก เกิดไฟไหม้บ้าน เราจะทำอย่างไร เราไม่ตั้งท่าออกไปสู้เลยหรือ

เวลาถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา พระที่เป็นจริงเป็นจังนะ แล้วถ้าทำถ้าเป็นจริงนะ ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นจริงมันจริงในหัวใจ มันจริง

ดูสิ หลวงปู่ขาวเวลาออกจากวัดบ้านที่จะมาปฏิบัติ ญาติพี่น้องบอกเลยว่า จะไปทำไมให้มันทุกข์ อยู่นี่ญาติพี่น้องดูแลอยู่แล้ว

ทีนี้พอญาติพี่น้องทั้งหมดกับท่านองค์เดียวไง ท่านปฏิญาณในใจ ถ้าก้าวเท้าออกจากวัดนี้ไปไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะไม่หันหน้ากลับมาเลย แล้วก็ออกจากวัดนั้นไปท่านก็ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติจนสิ้นกิเลส นี่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นแบบนี้

เวลาปฏิบัติขึ้นมามันปฏิบัติที่หัวใจของเรา มันไม่มีใครมารู้เห็นกับเราหรอก

นั่งสมาธิ หลวงตาท่านพูดประจำ นั่งสมาธิ เดินจงกรมให้เขาเห็นไม่ได้ มันไม่ขลัง เวลาทำความดีทำไม่ให้ใครเห็น เวลาจะต่อสู้กับกิเลสของเรา สู้ของเราไม่ให้ใครรับรู้

แล้วกิเลสของเราต้องเรารับรู้นะ ใครไม่รับรู้ไม่อวดเขา แต่เราต้องรับรู้ เราต้องเห็นชัดเจนขึ้นมา เห็นไหม

หลานของมัน ถ้าทำลายหลานของมัน สังโยชน์ ๓ ตัว เป็นพระโสดาบัน ถ้าทำลายพ่อมัน นั่นน่ะกามราคะปฏิฆะขาดไป แม่ทัพใหญ่ นั่นเป็นอนาคามี เวลาทำลายอวิชชานั่นน่ะเป็นชั้นเป็นตอนมันเห็นหมดล่ะ ถ้ามันเห็นหมดแล้วอย่างนั้น นี่คือการทำลายกิเลส

ฉะนั้น ไอ้คำถามนี้จะบอกว่า เวลานั่งสมาธิแล้วเจอแผ่นดินไหว เจอสัตว์ร้ายบุก เจอไฟไหม้ แล้วเราจะไม่เตรียมตัวสู้เขาเลยหรือ หรือจะสู้ในสมาธิ

เอ็งหัดภาวนาก่อน แล้วถ้าเป็น เอ็งจะรู้ ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปสงสัยหรอก เพราะสงสัยเพราะไม่รู้นี่ไง แล้วเวลาคนที่ไม่จริงก็ครึ่งๆ กลางๆ ไง ในวงกรรมฐานเวลาเห็นครูบาอาจารย์ทำแล้วก็จะทำให้เหมือน นั่นครึ่งๆ กลางๆ แล้วมันไม่ได้ผล คำว่า ไม่ได้ผล” คือไม่จริงจังไง

เวลาหลวงปู่ชอบ เวลาหลวงตาท่านสละชีวิตทั้งนั้นน่ะ เวลาหลวงตาท่านนะ “อะไรตายก่อน ขอดูซิ อะไรตายก่อน”

เวลาอดอาหารไปนานๆ กิเลสมันจะหลอกเลย ตายแล้วแหละ พิการแล้วแหละ ป่วยแล้วแหละ

มันจะเป็นอะไร จะเป็นอะไร ถ้าจะตาย ตายเดี๋ยวพระเผาให้ ถ้าป่วย หมอเยอะแยะเลย

มันหลอกน่ะ มันหลอกให้คนอ่อนแอ มันหลอกให้คนเหลวไหล แต่ถ้าเป็นจริงนะ คนเป็นจริงนะ ไอ้ที่บอกว่า นั่งสมาธิแล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุ

ขอให้เป็นสมาธิจริง แล้วถ้ามันเกิดอุบัติเหตุถ้ามันจะตายไปจริง ก็ตายท่ามกลางความมีสตินั้น

ดูท่านอาจารย์กงมารถชนตาย รถคว่ำตาย หลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่จวนที่ว่าเครื่องบินตก พระอรหันต์นะ เครื่องบินตก อุบัติเหตุ แล้วอาจารย์สิงห์ทอง หลวงปู่จวนเผาแล้วเป็นพระธาตุ เป็นพระธาตุ พระอรหันต์

แต่พระอรหันต์เวลากรรมเก่า พระโมคคัลลานะก็ยังโดนโจรทุบตาย ถ้ามันเป็นบุญ มันเป็นบุญอันนั้นน่ะ ถ้าอุบัติเหตุถ้าสิ้นอายุขัยนั่นเรื่องหนึ่ง

แต่บอกว่า ไฟไหม้ขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไรๆ

จะเป็นอย่างไรก็กลับไปกินข้าวแล้วนอน จบ

ถ้าภาวนาแล้ว ทำให้จริงให้จัง มันเป็นจริงเป็นจังตามนั้น

ถาม : เรื่อง “อริยสัจแห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์”

ขอความเมตตาท่านอาจารย์อธิบายคติธรรมเรื่องอริยสัจแห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไปได้อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ของหลวงปู่ครับ ขอบพระคุณครับ

จิตที่ส่งออกนอกเป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกเป็นทุกข์

จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ

อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิตย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้นๆ โดยธรรมชาติของมันเอง แต่ก็ว่า ถ้าจิตส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้วเกิดความหวั่นไหวหรือเกิดกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นเป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่หวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นเป็นทุกข์

ถ้าจิตที่ส่งออกนอกไปรับอารมณ์แล้วแต่ไม่หวั่นไหวหรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ มีสติรู้อยู่อย่างสมบูรณ์เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหวหรือไม่กระเพื่อมเพราะจิตมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์เป็นนิโรธ

พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม จบอริยสัจ ๔

ตอบ : โกหก ไม่จริง

แต่ถ้าอริยสัจของหลวงปู่ดูลย์

จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตส่งออกนอกเป็นทุกข์

ถูก ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์

จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค

นี่ถูก

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ

นิโรธเกิดจากมรรค เกิดจากมรรค ๘ ที่วิปัสสนาแล้ว ถ้ามันรู้จริงมันเกิดนิโรธ นิโรธคือการดับทุกข์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เพราะมันมีทุกข์ มันมีเหตุ

เวลานิโรธ นิโรธมันเป็นผล แต่เหตุก็เหตุจากมรรค ถ้าเหตุจากมรรคนี่มันถูก ของหลวงปู่ดูลย์ถูก ถูกเพราะอะไร ถูกเพราะท่านปฏิบัติถูก ท่านถึงมาพูดไว้ด้วยความถูก

แต่ไอ้พวกโลกๆ ไอ้พวกนักปราชญ์แห่งเมืองไทยมันไปศึกษามา ผิด ผิด มันศึกษามาผิดๆ เพราะมันไม่รู้ ไม่รู้แล้วก็เป็นนักปราชญ์เสียด้วยนะ รู้ธรรมะเยอะ ศึกษาธรรมะเยอะ ศึกษาธรรมะเยอะก็จินตนาการ สิ่งที่พูดกันนี่จินตนาการทั้งนั้นน่ะ เพราะว่าความจินตนาการของเขา

เพราะเวลาหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเป็นปัญญาวิมุตติ ถ้าปัญญาวิมุตติ สติปัญญาของท่าน ท่านปฏิบัติของท่านตามความเป็นจริงของท่าน หลวงปู่ดูลย์ เราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เราเชื่อๆ

แต่กว่าที่หลวงปู่ดูลย์จะเป็นพระอรหันต์ ท่านล้มลุกคลุกคลาน ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านขวนขวายมาโดยการอบรมบ่มเพาะของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นคนสอนหลวงปู่ดูลย์เอง หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์

ถ้าใครมีปัญญามากก็ใช้ปัญญา แต่เวลาใช้ปัญญามาก คนจะใช้ปัญญาอย่างเดียว มันไปอย่างเดียวมันเหมือนเดินเท้าเดียว ท่านก็กำหนดพุทโธ หลวงปู่ดูลย์สอนพุทโธ

ท่านให้ดูจิตๆ พอดูจิตจนมันไม่ได้คิดแล้วทำอย่างไรต่อ

ก็พุทโธต่อสิ พุทโธมันคิดแล้วก็ดูจิตต่อไปสิ

คำว่า ดูจิตๆ” คือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิแล้ว แล้วถ้าเวลามันไม่ได้คิด มันไม่คิดเพราะสติมันเท่าทัน กิเลสมันอายมันก็ไม่คิด ไม่คิดแล้วทำอย่างไรต่อ

ไม่คิดก็พุทโธต่อไง พุทโธต่อ บริกรรมพุทโธๆ

หลวงปู่ดูลย์สอนบริกรรมนะ หลวงปู่ดูลย์สอนพุทโธเหมือนกัน หลักฐานเยอะแยะ อันนี้เรื่องจริง

เขาบอก จิตส่งออกนอกเป็นสมุทัย ผลแห่งการส่งออกนอกเป็นทุกข์

นี่เป็นฝ่ายเหตุ

จิตเห็นจิตเป็นมรรค จิตเห็นจิตแท้จริง

จิตเห็นจิตแท้จริงนี่จิตที่ไหน เวลาทำสมาธิไม่เป็น มันเป็นอารมณ์ มันไม่ใช่จิต

แล้วธรรมชาติของจิตส่งออกๆ เขาบอกจิตส่งออกไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ นี่ไง จิตส่งออกแล้วหวั่นไหวมันถึงเป็นทุกข์ แล้วจิตส่งออกที่มันไม่หวั่นไหว

นี่ไง จิตใครส่งออกแล้วไม่หวั่นไหว ไม่มีหรอก บางคนนะที่ประพฤติปฏิบัติกัน “โอ้โฮ! เมื่อก่อนเป็นคนขี้โกรธมากเลย เดี๋ยวนี้ปฏิบัติแล้วไม่โกรธใครเลย” ไม่หวั่นไหว “เมื่อก่อนเป็นคนชั่วร้าย เดี๋ยวนี้เป็นคนดี๊ดี แล้วไม่หวั่นไหวเลย”

ดัดจริต!

เวลาหลวงปู่หลุย หลวงปู่หลุยนะ ท่านเผยแผ่ธรรมอยู่ไง เวลาท่านแสดงธรรมๆ ไอ้พวกนี้ไม่หวั่นไหวเลย มาให้หลวงปู่หลุยตรวจสอบนะ โลกธรรม ๘ ไม่หวั่นไหวเลย

แล้วที่บ้านล่ะ

ที่บ้านก็ไม่สนใจ ทรัพย์ก็ไม่สนใจ

แล้วเมียมึงขอได้ไหม

โอ๋ย! ขึ้นเลยนะ โอ๋ย! ไม่หวั่นไหว เวลาลูกใครอุ้มได้นะ เอาลูกมานี่ ใครขออุ้มลูกอุ้มได้นะ ใครขออุ้มเมียได้ไหม ขอหอมแก้มเมียหน่อยหนึ่ง ไม่หวั่นไหว ไม่ใช่พระเวสสันดรไง ยกเมียให้เขาเลย

เวลามันไปศึกษาธรรมะแล้วมันก็สร้างภาพอย่างนี้ “จิตส่งออกนอกแล้วไม่หวั่นไหว” มันมีความไม่รู้อยู่ในใจ มันไม่หวั่นไหวที่ไหนล่ะ มันไม่หวั่นไหวเพราะมันกดไว้ มันไม่หวั่นไหวเพราะมันจะสร้างจิตให้มันมีคำว่า ไม่หวั่นไหว”

เอ็งทำสมาธิยังไม่เป็นเลย จิตเห็นจิตเป็นมรรค เห็นอย่างไร

จิตส่งออกไม่ได้ เขาว่า จิตส่งออกไม่ได้ ที่ส่งออกคืออารมณ์

ไม่มีจิต มีอารมณ์ไหม ไม่มีจิต คนตายมีอารมณ์ไหม ทุกอย่างเกิดจากจิต ความคิดอารมณ์นี้จิตส่งออก

แล้วมันไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหวเพราะเราฝึกธรรมะไง ไม่หวั่นไหวเพราะเราฝึกธรรมะ เราอยากได้ธรรมะเราก็เลยทำให้มันไม่หวั่นไหว

โอ้โฮ! เรานี่เป็นคนขี้โกรธมากเลยนะ แล้วจ้างคนมายืนแล้วชี้หน้าด่า เราก็นั่งยิ้ม เพราะอะไร เพราะเราจะไม่หวั่นไหวไง ก็เราตั้งสติไว้จะไม่หวั่นไหว

แล้วมันเป็นการที่จะเอาชนะคะคานกัน มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง

ถ้าจิตที่ส่งออกแล้วมันไม่หวั่นไหว ที่ไหนมี ที่ไหน ไอ้จิตที่ส่งออกไม่หวั่นไหวน่ะ ลองเอาตายเข้าไปสิ ลองเอาจี้ใจดำมันสิ

คำว่า มันไม่หวั่นไหว” เพราะเราศึกษาแล้วว่ามันหวั่นไหวนี้มันเป็นความไม่ดีงาม แค่มารยาท มารยาทผู้ดีเขาก็พูดนิ่มนวลไง ทานข้าวหรือยังคะ นี่ไง ก็มารยาท ไอ้นี่การฝึกหัดนี่ก็แค่มารยาท มารยาทการแสดงออกของจิตเท่านั้น มันเป็นจิตเดิมแท้หรือ มันเป็นความจริงหรือ แล้วความจริงเป็นอย่างไรล่ะ

ฉะนั้น ที่เขียนมา เขาผู้ปฏิบัติใหม่ไง เขาก็จะเขียนมาให้เห็นชอบไงว่าจิตส่งออกแล้วมันไม่หวั่นไหว

ปูนปลาสเตอร์ไง ปั้นปูนปลาสเตอร์ไว้แล้วก็ไม่หวั่นไหว มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ในการศึกษานะ แม้แต่คนที่มีปัญญามากแต่การศึกษาไม่มีใบวุฒิภาวะนี่เรียนต่อไม่ได้ อย่างเรานี่นะ เรามีวุฒิปลอม เราไปเรียนจบปริญญาตรี เรียนปริญญาตรีนี่เรียนจริงๆ นะ แต่วุฒิมัธยมกูน่ะของปลอม ปริญญาตรียกเลิกครับ เขารับรองวุฒิด้วยใบประกาศครับ แล้วต้องมีใบประกาศนั้นถึงจะเรียนต่อได้ ขนาดเรียนต่อเรียนจบเรียนจริงด้วย เรียนจบด้วย แต่มัธยมใบสุทธิปลอม ถอนหมดเลย

“ไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหว” มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไอ้พูดนี่มันพูดเป็นภาษาโลกๆ พูดไว้แอ็กต์กันเท่านั้นน่ะ แล้วเวลาพูดนะ เราไม่ค่อยอยากจะพูดกับใคร เพราะเวลาพูดเรายืนยันก่อนเลยว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เราเชื่อ

เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านซื่อสัตย์ ท่านมีความจริงในใจ ท่านไม่ดัดจริตไม่ตอแหล ไม่ปลิ้นปล้อน ไม่ออเซาะไม่ฉอเลาะ ไม่เลย

แล้วลูกศิษย์ท่านออเซาะฉอเลาะ แล้วบอกไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหว...ไร้สาระ

ไม่หวั่นไหวนะ จิตเห็นจิตเป็นอย่างไร ถ้าจิตเห็นจิต มันรู้แล้วแหละ จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ จะไม่มีเรื่องบาดหมางกันในสังคมไทยเลย สังคมไทยเชื่ออย่างนี้กลุ่มหนึ่ง เชื่ออย่างนี้กลุ่มหนึ่ง แล้วความเชื่อกับความเชื่อก็มาทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วทะเลาะเบาะแว้งกัน เอาอารมณ์ เอาความเชื่อมาปะทะปะทังกัน แล้วจิตที่ปฏิบัติไม่มีใครจริงสักคนหนึ่งเลย

แต่หลวงปู่ดูลย์ท่านปฏิบัติของท่านนะ เพราะอะไร เพราะหลวงตาท่านปฏิบัติท่านก็บอก ถ้าไม่มีเรา...

หลวงปู่ดูลย์ โทษนะ นี่มันไม่มีหรอก แต่เราโทษไว้

สมมุติหลวงปู่ดูลย์มีคนไปโต้แย้งท่านว่าท่านเป็นของปลอมท่านไม่จริง ท่านจะบอกว่า “เออ! ใช่ ของปลอม แล้วของจริงเป็นอย่างไรล่ะ”

ท่านจะไม่หวั่นไหวเลย ท่านจะไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม ๘ คนที่ออเซาะฉอเลาะที่จะไปยกยอท่าน จะไปเหยียบย่ำท่าน จะไปประจบสอพลอท่าน เข้าไม่ถึงหรอก เป็นไปไม่ได้ แล้วท่านอยู่วัดของท่าน ท่านเป็นที่เคารพบูชาของสังคมไทย แล้วไม่มีใครลังเลสงสัย ไม่มีใครคิดว่าหลวงปู่ดูลย์มีความเห็นผิดเลย

แต่ไอ้ลูกศิษย์ลูกหาที่มาพูดนี่ผิดทั้งนั้นเลย ผิดทั้งนั้นเพราะมันไม่มีความรู้จริงไง พอไม่มีความรู้จริง มันไปจำมาพูด พอจำมาพูดจะขยายความเป็นสมบัติของเราบ้างไง

บอก “จิตส่งออกไม่ได้ สิ่งที่ส่งออกไปคืออารมณ์” แล้วบอกว่า “จิตส่งออกไปแล้วหวั่นไหวถึงเป็นสมุทัย”

มันเป็นสมุทัยตั้งแต่ไม่ส่งออกนู่นน่ะ มันเป็นสมุทัยโดยหัวใจนั่นน่ะ มันเป็นสมุทัยโดยก่อนที่มันจะคิด ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้”

ดำรินะ ไม่ใช่คิด ไม่ใช่อารมณ์ส่งออก ตัวจิตนั่นแหละ นั่นน่ะตัวสมุทัยแท้เลย นั่นน่ะตัวเจ้าวัฏจักรด้วย แล้วเวลาชำระล้างเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

จิตส่งออกทั้งหมด เวลาผลของมันก็คือทุกข์ไง

จิตเห็นจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ จิตเห็นอาการของจิต

แล้วจิตเห็นอาการของจิต อาการคืออารมณ์ อาการน่ะ อาการดี อาการชั่ว ความรู้สึกนั่นน่ะ ถ้าจิตมันเห็น จิตมันจับได้ คือจิตมันจับอารมณ์เราเองได้ จิตของเราจับกิเลสของเราได้ นี่ผลงานอันยิ่งใหญ่

หลวงตาท่านพูดประจำ การขุดคุ้ยหากิเลส ถ้าใครยังขุดคุ้ยหาไม่ได้ เหมือนเราไม่มีที่นา เราจะไปทำนาที่ไหนกัน แต่ชาวนาเขามีที่นาของเขานะ พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาให้มา เขามีมรดกตกทอดมา เขามีที่นา ถึงเวลาแล้วเขาก็ไถนา เขาก็หว่านข้าว เขาก็เกี่ยวข้าว

ไอ้เราอยากทำบ้าง กูไม่มีที่นา เห็นเขาทำ กูก็ทำนา ไอ้นั่นได้เกวียน กูก็ได้เกวียนหนึ่ง ไอ้นั่นได้ ๒ เกวียน กูก็ได้ ๒ เกวียน เราไม่มีที่ทำนา นี่ไง จิตไม่เห็นอาการของจิต จิตจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมารมณ์ไม่ได้

การจับได้คือการจิตเห็นจิตโดยแจ่มแจ้ง จิตเห็นจิตโดยแจ่มแจ้ง

สิ่งที่เป็นอาการของจิตๆ ความรู้สึก อย่างเวลาใครถามอะไรมา มันวูบมันวาบ อาการทั้งนั้น อาการเกิดจากจิต จิตคือจิตปฏิสนธิวิญญาณ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

จิตเดิมแท้มันเป็นสัมมาสมาธิ จิตเห็นจิต จิตมันเป็นอิสระ เป็นตัวมันเองแล้วเห็นความคิด เห็นกาย เห็นเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ เห็นอารมณ์ความรู้สึกคือธรรมารมณ์ ถ้ามันจับได้นะ โอ้โฮ! กิเลสมันแค้นมากนะถ้าใครจับได้ เพราะนั้นคือตัวจุดเริ่มต้นของการได้เผชิญหน้ากับกิเลสตามความเป็นจริง

ใครเห็นสติปัฏฐาน ๔ แม้แต่ปฏิบัติอภิธรรมต่างๆ ที่ว่าแนวทางสติปัฏฐาน ๔...อารมณ์ สร้างอารมณ์ เพราะศึกษาอภิธรรม ศึกษาแล้ว กี่ดวงล่ะ อารมณ์นี้เป็นดวงนั้นดวงนี้ สร้างอารมณ์ สร้างทั้งนั้น ไม่ใช่ความจริง

ถ้าความจริงจับปั๊บ โอ้โฮ! กิเลสมันสะเทือน นี่วงกรรมฐานเขาคุย ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ แค่ฟังก็รู้แล้ว พูดนี่เขาจะรู้เลย น้ำร้อนน้ำเย็น น้ำร้อนเวลาจุ่มมันก็ร้อน น้ำเย็นจุ่มมันก็เย็น

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ถ้ามันเห็นจริง นี่คุณค่าอันยิ่งใหญ่เลย จิตเห็นอาการของจิต นี้คือจุดเริ่มต้นของวิปัสสนา จุดเริ่มต้นของการใช้ปัญญา ปัญญาภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาจะเกิดเริ่มต้นจากจุดนี้ แต่คนที่ปฏิบัติไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น

จะบอกขี้โม้ เดี๋ยวจะว่ารุนแรง

อันนั้นเป็นกรณีข้อเท็จจริงของโศลกของหลวงปู่ดูลย์นี่ข้อเท็จจริง

แต่ไอ้คำต่อเนื่อง คำอนึ่ง ไอ้ที่จิตส่งออกแล้วหวั่นไหวนั่นเป็นสมุทัย จิตที่ส่งออกแล้วไม่หวั่นไหว...

ใครเป็นกรรมการ ใครเป็นคนให้ความรับรอง ใครรับรอง ใครรับรองว่าจิตเห็นแล้วมันไม่หวั่นไหว แล้วรับรองว่าคนนั้นเป็นคนดี

เราเคยเห็นไหม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดีๆ นะ ได้โล่ความสามารถปราบยาเสพติด แล้วเขาคลุกคลีกับการจับยาเสพติด สุดท้ายแล้วเขาไปเป็นพ่อค้ายาเสพติด เป็นตัวเอเลย

ไม่หวั่นไหว

เป็นตำรวจจับด้วย เป็นตำรวจเป็นผู้ที่สืบแล้วเป็นผู้ที่ใช้เงินแบบว่าล่อซื้อ แล้วพอล่อซื้อ พอคลุกคลีอยู่ต่อเนื่องๆ แล้วสุดท้ายแล้วเขาจะไปเป็นพ่อค้ายาเสพติดเสียเอง สุดท้ายพอเจ้าหน้าที่จับได้ เจ้าหน้าที่จับได้บอกว่า น่าเสียใจมาก เขาเคยได้โล่เป็นบุคคลดีเด่นผู้ที่ปราบยาเสพติด เป็นบุคคลดีเด่นของชาติเลย

แล้วก็กงกรรมกงเกวียน รอยล้อเกวียนจะซ้ำลงที่เดิมๆ นี่ เพราะคนมีกิเลส เพราะคนมีความมักใหญ่ใฝ่สูง คนมีความอยากได้ ทั้งทรัพย์สินเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์

แล้วบอก ไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหว

อย่ามาพูดให้เสียน้ำลาย ไร้สาระ

เราไม่อยากจะพูดนะ หลายๆ คนเลย “เมื่อก่อนเป็นคนขี้โกรธมากเลย เดี๋ยวนี้ไม่โกรธแล้ว”

เมียมึงมาให้กูอุ้มหน่อยได้ไหม เมียมึงน่ะ

มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะศึกษาธรรมะ พอศึกษาธรรมะก็พยายามจะสร้างว่าตัวเองมีคุณธรรม แล้วเวลาปฏิบัติไป ที่เราปฏิบัติกันอยู่นี่ แล้วมันทุกข์มันยากกันอยู่นี่เพราะความอยากได้

ความอยากได้ความอยากดีอยากเด่นต่างๆ อยากให้เป็นสมาธิ อยากให้มีปัญญา แล้วก็ใช้แต่สัญญา ใช้แต่ความคิดความปรุงของตนว่าอันนี้เป็นปัญญา เออ! ปัญญา ยิ่งคนที่มีเชาวน์มีปัญญา คนคิดพลิกแพลงได้ โอ๋ย! ยิ่งว่านี่ภาวนามยปัญญา

เศร้า ส่วนใหญ่แล้วผู้ปฏิบัติเป็นอย่างนี้ร้อยทั้งร้อยเลย อย่าว่าแต่ ๙๕ เลย ร้อยทั้งร้อย

ฉะนั้น เวลาผู้ปฏิบัติใหม่เวลาคุยธรรมะกันเราก็เออออห่อหมกนั่นน่ะ แต่ถ้าจะเอามรรคเอาผลต้องเข้าสู่สัจจะความจริง เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นสัจธรรมปฏิรูป ธรรมะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามันจะเหลือแต่ชื่อ เหลือแต่ชื่อ

แล้วใครมานะ ต่อหน้าก็ไม่หวั่นไหว ลับหลังมันไปเที่ยวไหนก็ไม่รู้น่ะ แล้วศาสนาพุทธจะมีแค่นี้ใช่ไหม พระพุทธศาสนาให้คนที่มันพลิกมันแพลงมันกะล่อนมันปลิ้นมันปล้อนมันหลอกมันลวง มีต่อหน้าลับหลัง

ธรรมะของพระพุทธเจ้า หลวงตาพูดชัดมาก

ธรรมะไม่มีเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่มีที่ลับที่แจ้ง

นี่ที่แจ้งเป็นคนดี ที่ลับจะคิดอะไรก็ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะที่ลับ มโนกรรมยิ่งแล้วใหญ่เลย เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติ ปฏิบัติที่นั่นเลย เอาในหัวใจเลย เอามโนกรรม เอาความรู้ในจิตเลย เอาปฏิสนธิจิตเลย จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสเลย แล้วจิตเดิมแท้นี้ข้ามพ้นกิเลส

มันอุปกิเลส ๑๖ ความว่าง โอภาส สว่างไสว อุปกิเลสทั้งนั้นน่ะ ไอ้ที่ว่ายอดเยี่ยมๆ ของเขานั่นน่ะ กิเลสทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น เราจะบอกว่าโศลกของหลวงปู่ดูลย์ ตั้งแต่บวชใหม่ๆ เราดูมานานแล้ว แล้วดูมานานแล้วพอภาวนาได้มันชัดเจน

จิตส่งออกเป็นสมุทัย ผลของการส่งออกเป็นทุกข์

จิตเห็นจิตเป็นมรรค อันนี้สำคัญมาก แล้วใครไม่เคยเห็น เพราะมันไม่เห็นตรงนี้มันถึงได้ลื่นไถล ได้หลุดไปจากข้อเท็จจริง

จิตเห็นจิตเป็นมรรคเขาไม่เคยเห็น พอไม่เคยเห็นปั๊บมันก็อนุมาน จินตนาการ คาดหมาย พอเกิดจินตนาการก็กลุ่มหนึ่ง เกิดคาดหมายก็กลุ่มหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์มีหลายกลุ่มนะ แล้วปะทะกันเอง มันจินตนาการกลุ่มหนึ่งก็ว่าอย่างนั้น จินตนาการกลุ่มหนึ่งก็ว่าอย่างนั้น เพราะมันไม่จริงไง

แต่ถ้าเป็นอริยสัจ ไม่มีกลุ่ม หนึ่งเดียว ถูกหมด

ผลของการจิตเห็นจิตเป็นมรรค

ผลแห่งการจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นนิโรธ

นิโรธคือการดับทุกข์ ขณะจิตมันเป็นอย่างไร

มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไมได้ ฉะนั้น ไอ้ที่พูดอย่างนี้ที่คำถามเวลาตั้งขึ้นมาให้เป็นของหลวงปู่ดูลย์แล้วก็สอดแทรกเข้ามา บอกว่า ถ้าจิตออกไปกระเพื่อมหวั่นไหวนั่นน่ะมันเป็นสมุทัย จิตที่ส่งออกไปแล้วที่มันไม่หวั่นไหวมันสมบูรณ์แบบนั่นเป็นมรรค

โรงเรียนไหนให้ใบประกาศ ใครเป็นคนยืนยันว่าอันนี้เป็นความจริง

ไม่มี

แล้วเขาบอกว่า ผลของการไม่หวั่นไหวไม่กระเพื่อมนี่เป็นรู้แจ้ง เป็นนิโรธ

เป็นนิโรธไม่ใช่ เวลานิโรธ กิเลสมันขาด ดับ นิโรธคือดับหมด ดับอะไรล่ะ

นี่เขาบอกเป็นนิโรธ เดี๋ยวจะไปเปลี่ยนชื่อจากสงบเป็นนิโรธ จะไปที่อำเภอเปลี่ยนชื่อใหม่ สงบไม่ดี ต้องเป็นนิโรธ แล้วต้องรู้แจ้งด้วย

สมมุติทั้งนั้น สมมุติทั้งนั้น

ไอ้นี่เวลาพูดไปมันเป็นจินตนาการ เป็นการคำนวณต่างๆ ไร้สาระมาก ไร้สาระมาก เพราะอะไร

เพราะว่าโศลกของหลวงปู่ดูลย์มันเป็นหัวใจ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว มันเหมือนกับเขียน ผู้ที่เวลาครูบาอาจารย์ท่านไปอยู่ป่าอยู่เขา เวลาจิตท่านเป็นสิ่งใดท่านจะเขียนไว้ตามถ้ำ เพราะอาการของจิตมันดูดดื่ม มันเป็นอย่างนั้นจริง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่ดูลย์ท่านเขียนของท่าน เขียนของหลวงปู่ดูลย์คล้ายๆ กับมหายานที่เขาว่าดูจิตๆ กันนั่นน่ะ

คำว่า ดูจิตๆ” หลวงตาก็เคยดูจิต พอดูจิตไปแล้ว เวลาเริ่มต้นท่านก็กำหนดพุทโธ แล้วเวลาไปเรียนเป็นถึงมหาใช่ไหม ก็ใช้ดูจิตๆ พรรษาแรกสงบลงได้จริง เวลามันเสื่อมแล้วเอาคืนไม่ได้เลย ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง

หลวงปู่มั่นบอกว่า จิตนี้เหมือนเด็กๆ มันต้องกินอาหาร

ดูจิตๆ ก็ดูกันไปดูกันมามันไม่มีอาหารให้ได้ดื่มกิน มันพุทโธๆๆ มันมีอาหาร เด็กมันต้องกินอาหาร เราหาอาหารให้มันไว้ เดี๋ยวมันหิวอาหารมันก็กลับมาเอง

ท่านก็กลับมาพุทโธๆ เหมือนเดิม ท่านบอกว่ากำหนดพุทโธ ๓ วันแรกอกแทบระเบิด แล้วพอกำหนดพุทโธๆๆ พอจิตมันสงบ เออ! จริงๆ เพราะจิตมันมีคำบริกรรม มันต้องมีนวกรรมการกระทำของมัน พอมันมีการกระทำของมัน พุทโธๆ จนมันสงบได้ ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่ทิ้งพุทโธเลย

แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ

ถ้าทิ้งผู้รู้ ทิ้งพุทโธ มันเหมือนกับพวก ๑๘ มงกุฎ มันเหมือนกับพวกที่ว่าจับฉลากแล้วไปหลอกคนแก่คนเฒ่า มันพวกขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วก็ไปหลอกชาวบ้าน นั่นน่ะมันไม่มีหลักเกณฑ์ จะว่าพวกดูจิตก็ได้

แต่พุทโธๆ เราทำเองหมดนะ เราเป็นเองหมดนะ แล้วเป็นตามข้อเท็จจริง เป็นตามข้อเท็จจริง ถ้าเป็นตามข้อเท็จจริง ผู้ทำอย่างนี้มันถึงจะได้จริง

ไอ้พวกเร่ร่อน พ่อค้าเซลล์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วก็ไปหลอกผู้เฒ่าผู้แก่ “ดูจิตๆ ไม่ต้องพุทโธ ห้ามพุทโธนะ”

ไอ้พวกขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไปหลอกขายพวกคนเฒ่าคนแก่บ้านนอกน่ะ น่าสงสาร

แต่ของเรานะ อยากจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เราไปที่ร้าน เขามีใบประกันสินค้า เขาบอกวิธีการใช้ แล้วจ่ายเงินเต็มราคา ได้เครื่องใช้ไฟฟ้าไป

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆ ชัดๆ จะได้จริงให้มันเป็นความจริง

อย่าไปเชื่อเซลล์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วจับฉลากได้ด้วย แต่ต้องเสียภาษี ต้องเสียเงินเพิ่ม ไอ้พวกดูจิตๆ แล้วห้ามพุทโธนี่พวกเซลล์ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วไปหลอกขายได้เฉพาะคนแก่ที่อยู่ในบ้านคนเดียวด้วยนะ ลูกหลานอยู่เขาหลอกไม่ได้ ลูกหลานเขาจะจับ เที่ยวหลอกอย่างนั้นน่ะ

นั้นเป็นกรรมของสัตว์ ถ้าสัตว์มันเชื่อแบบนั้น แล้วเอาหลวงปู่ดูลย์มาอ้างด้วย

หลวงปู่ดูลย์นี่ของจริง เป็นพระอรหันต์ แต่เซลล์ขายเครื่องไฟฟ้าไปหลอกชาวบ้านตามบ้านนอกนั้นพวกสอพลอ ฉอเลาะออเซาะในพระพุทธศาสนา ไม่มีความจริง นี่เล่านิทานให้ฟัง นิทานธรรมะ เอวัง