ธรรมโดยชอบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “สภาวธรรมนิพพาน ไม่มีเกิด ไม่ดับ ไม่มา และไม่ไป”
มีวันหนึ่งขณะที่ขี่จักรยาน จิตใคร่ครวญเรื่องอนัตตา พิจารณาถึงการมาเองเป็นเอง ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเป็นเองทำงาน จนถึงจิตมันเป็นเองทำงานเอง ไม่ใช่เรา เข้าไปเจอว่างแบบไม่มา ไม่ไป ไม่เกิด ไม่ดับ เมื่อดับตรงจิต ตัวคิด ตัวรู้ ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้เองตัวอวิชชา อันนี้เข้าใจว่านิพพานเป็นแบบนี้ แต่รักษาไว้ไม่ได้นานค่ะ
ตอบ : นี่คำถามนะ สภาวะนิพพานๆ
เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาหลวงตาท่านสอนๆ ถ้านิพพานของปุถุชนก็เหมือนนอนหลับ นอนหลับสนิท นั่นน่ะคือนิพพานของคนที่มีกิเลส มันหลับสนิท พอหลับสนิทแล้วมันปล่อยวางของมันโดยธรรมชาติของมัน นี่เวลาหลวงตาท่านเปรียบเทียบๆ
แต่นี่มันบอกว่า เราขี่จักรยาน เวลาใคร่ครวญในธรรมะในเรื่องอนัตตาแล้วมันเป็นเองเกิดเองทำเองทั้งนั้นน่ะ
ก็ส้มหล่นไง เวลามันเป็นของมัน
ยังดีนะ นี่เราเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แล้วเราใคร่ครวญในธรรมนะ แต่ถ้าเป็นทางโลกนะ คนที่ทำงานหนักเวลาเขาวูบเป็นลมไปเป็นอย่างนี้ เวลาคนจะเป็นลมก็อย่างนี้ โอ้โฮ! ดาวมาเต็มเลย เวลาภาวนาดีๆ เห็นดวงดาว ดาวเต็มไปหมดน่ะ นี่มันเรื่องของประสาท เรื่องของความรับรู้สึก เรื่องของเรื่องภายนอก
แต่ถ้าเรา เขาบอกเขาขี่จักรยานอยู่ แล้วเขาใคร่ครวญธรรมะไง ใคร่ครวญในธรรม ขี่จักรยานไป เวลามันเกิดวูบเลย มันเป็นเอง ทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่มาแล้วมันก็ไม่ไป มันเจอแต่ความว่าง มันเป็น มันเป็นแป๊บเดียว แล้วที่เราสงสัย สภาวะนี้เป็นสภาวะนิพพานหรือไม่
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านเปรียบเทียบนะ ท่านเปรียบคนบ้ากับพระอรหันต์คล้ายๆ กัน
คนบ้า คนบ้ามันบ้ามันขาดสติ แต่พระอรหันต์มันจะเหมือนกันได้อย่างไร พระอรหันต์สติสมบูรณ์อัตโนมัติหมดล่ะ แต่มันไม่ยึดถือไง ความไม่ยึดถือ การไม่ยึดถือในตัวตนของตน คนบ้ามันก็ไม่ยึดถือ มันอยู่ตามสี่แยก เวลารถไปรถมา มันยืนขวางมันนอนขวางถนน นั่นคนบ้า
พระอรหันต์ไม่ทำแบบนั้นหรอก แต่เวลาเขาเปรียบเทียบไง เวลาเปรียบเทียบว่าพระอรหันต์กับคนบ้าใกล้เคียงกันคือเหมือนกัน ว่าอย่างนั้นเลย
แล้วครูบาอาจารย์บางที่ก็บอกว่า “นิพพานก็เหมือนกับความไร้เดียงสาของเด็กๆ เด็กๆ ที่มันเกิดมา ที่มันยังไม่บรรลุนิติภาวะ นี่สภาวะนิพพาน”
อู้ฮู! เวรกรรม มันจะนิพพานได้อย่างไรล่ะ ลองขัดใจมันก็ร้องไห้แล้ว มันขออะไรไม่ได้ เดี๋ยวมันดิ้นอยู่นั่นน่ะพราดๆๆ อยู่นั่นน่ะ นี่พระอรหันต์ดิ้น เขาว่าภาวะไร้เดียงสาไง
นี่มันเป็นเรื่องจินตนาการว่าภาวะไร้เดียงสามันไม่เป็นโทษไม่เป็นภัย
เขาบอกภาวะไร้เดียงสา นิพพานเหมือนกับเด็กๆ ที่มันไร้เดียงสา เขาว่าอย่างนั้นนะ
โอ้โฮ! มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลามันเกิดขึ้นมาๆ มันก็เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นมากับเรา เพราะอะไร เพราะเราขี่จักรยานใช่ไหม เราวิตก วิจาร คือเราตรึก ตรึกในธรรมๆ เรื่องอนัตตาไง
แล้วถ้าแบบมันวูบ มันส้มหล่น มันเป็นไปได้ มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แต่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์นะ แต่ถ้าสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ขี่จักรยานอยู่มันก็ล้มนั่นน่ะ คนเป็นลมมันวูบเลยน่ะ
อันนี้เราบอกว่า อาการของจิตมันเป็นไปได้หลากหลายนัก
เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดไง จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก
จิตนี้เป็น เป็นคนดีก็เป็นคนดีเป็นเหมือนเทวดาเลยนะ เวลาจิตบางคนมันเป็นคนชั่ว มันชั่วร้าย ดูข่าวสิ ฆ่าพ่อฆ่าแม่มันทำได้อย่างไร ทำร้ายลูกทำร้ายหลาน ทำร้ายคนในบ้าน เพราะฤทธิ์ของยาเสพติดเป็นไปได้หมดเลย
นี่ไง จิตที่เวลามันเลวร้ายมันเลวร้ายได้หลากหลายนัก เวลามันดี ดีเหมือนเทวดาเลย คนดีๆ นี่นะ จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก นี่เวลาจิตมันเป็น
ทีนี้มันจิตของเราไง นี่คำถามไง สภาวธรรมที่มันเกิดขึ้นมันเป็นสภาวะนิพพานหรือไม่
ไม่หรอก ไม่ใช่ อะไรก็ไม่ใช่ทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะคือการเปรียบเทียบไง ก็คือความไม่รู้ของเรา แล้วเราคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นไง
ถ้าพูดอย่างนี้นะ เวลาหลวงตาท่านพูดถึง ท่านเล่าให้ฟัง เล่าให้ลูกศิษย์ฟังด้วยความเป็นเรื่องตลก เรื่องการคาดหมายของคน ท่านยกตัวท่านเอง
ท่านออกประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ โอ๋ย! มันลงทุนลงแรง มันทำเต็มที่นะ มันต้องขวนขวายเต็มที่ ก็คิดในใจว่า ท่านพูดเองนะ ก็คิดในใจว่า เริ่มต้นมันก็ต้องลำบากหน่อยหนึ่ง พอต่อไปๆ มันก็คงจะดีขึ้น
แล้วเวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านรับประกันเอง เวลาท่านพิจารณาของท่าน พิจารณาเวทนาจนปล่อยวางได้หมด เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เวทนา ขึ้นไปกราบหลวงปู่มั่น
“เออ! มันต้องอย่างนี้สิ จิตมันไม่เกิดตายตามอัตภาพตลอดไปหรอกเว้ย”
นี่เวลาคนเป็นรับผัวะเลย รับผัวะแสดงว่าท่านก็มีคุณธรรมในใจเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป เวลามีคุณธรรมในใจของตนขึ้นไปก็คิดว่า ถ้าปฏิบัติไปแล้วถ้ามันสูงขึ้นดีขึ้นมันคงจะสบายขึ้น มันคงจะดีขึ้น ท่านพูดแล้วท่านก็หัวเรานะ แล้วตลก
แต่เวลาท่านปฏิบัติจริงๆ แล้วมันหนัก หนักหน้าไปเรื่อย เพราะอะไร เพราะกิเลสของขั้นโสดาบันมันก็สังโยชน์ ๓ ตัว กิเลสของขั้นสกิทาคามีมันละเอียดลึกซึ้งกว่า กิเลสของขั้นอนาคามีละกามราคะปฏิฆะมันยิ่งเหนียวแน่นแก่นกิเลสจะต้องฝ่าฟันกับมัน ยิ่งจะไปค้นคว้าอวิชชา ไปหันรีหันขวางจุดและต่อมอยู่นั่นน่ะ ๘ เดือน
ท่านบอกว่ามันหนักหน้าไปเรื่อย เพราะอะไร เพราะกิเลสมันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อย มันซับซ้อนมันซ่อนเงื่อนมากขึ้นไปเรื่อยไง
กิเลสเริ่มต้นมันก็หยาบ มันเล่ห์กลของมันพอจะเท่าทันกัน ก็ยังต่อสู้กันโดยศีล สมาธิ โดยปัญญาด้วยความสุขุมรอบคอบ แพ้ชนะเป็นครั้งเป็นคราว เดี๋ยวแพ้เดี๋ยวชนะ เดี๋ยวชนะเดี๋ยวแพ้อยู่อย่างนั้นน่ะ ระหว่างกิเลสกับธรรมประหัตประหารกันต่อสู้กัน
เวลาหัดเดินปัญญามันเดินอย่างนั้นน่ะ วิปัสสนาคือทำอย่างนั้นน่ะ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถ้ามันชนะมันก็เป็นการชนะชั่วคราว ชั่วคราวคือกิเลสมันหลบหลีก มันซ่อนตัวอยู่ การชนะชั่วคราวนี่ตทังคปหาน
ถ้ามันซ่อนตัวอยู่ เดี๋ยวมันก็พลิกแพลงเอาอุบายใหม่มาหลอกลวงต่อเนื่องไป ถ้าเรายังมีสติสัมปชัญญะ ยังเป็นนักปฏิบัติที่ดีงามอยู่ ก็พยายามจะตั้งสติแล้วทำความสงบของใจเข้ามาแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน ก็ได้พิจารณาพันตูกันระหว่างกิเลสกับธรรมประหัตประหารกันต่อสู้กันท่ามกลางบนหัวใจของสัตว์โลก บนหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น
ถ้ามันยังดีงามมีการกระทำต่อเนื่องไปมันก็ยังประหัตประหารกันต่อสู้กัน ถ้าสติสัมปชัญญะ ถ้าสมาธิกับปัญญามันสมดุลพอดีต่อกัน มันก็ชนะเป็นครั้งเป็นคราวๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ นี่เขาเรียกว่าตทังคปหาน ของชั่วคราว
ถ้าของชั่วคราว ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้คอยแนะคอยคุ้มครองดูแลให้ขยันหมั่นเพียร อย่าประมาท อย่าเลินเล่อ ถ้าประมาทเลินเล่อ เศรษฐีธรรม เศรษฐีสมาธิ เศรษฐีวิปัสสนาเวลามันเสื่อมแล้วเสื่อมหมดเลย
พยายามยับยั้งไว้ พยายามรักษาประคองไว้ให้มันดีงามของมันอย่างนั้น ดีงามแล้วเวลามันมีสติปัญญายกขึ้นสู่วิปัสสนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ จนสมุจเฉทปหานขาด เวลาขณะจิตมันเกิดขึ้นไง เวลามันขาด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕
เวลาขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวลามันขาด มหัศจรรย์มาก พอมหัศจรรย์มากก็คิดว่ามันจะสะดวกสบายขึ้นไปไง ท่านบอกพอไปข้างหน้า อู้ฮู! จากสติ พอสูงขึ้นไปก็เป็นมหาสติ พอขึ้นไปจุดและต่อมเป็นอวิชชา นั่นปัญญาญาณ ญาณมัคโค ไม่ใช่สติปัญญาอย่างหยาบๆ อย่างนี้
นี่พูดถึงว่าเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนะ
หลวงตาท่านพูดเอง ท่านพูดกับลูกศิษย์ลูกหาด้วยการขำตัวเอง ตลกความคิดของตัวเองไง มันจะดีขึ้น มันจะสบายขึ้น ท่านบอกมันหนักหน้าไปเรื่อย หนักหน้าไปเรื่อย หนักหน้าไปเรื่อยเพราะกิเลสมันละเอียดลึกซึ้งไปเรื่อย
พญามารเจ้าวัฏจักรมันเป็นพ่อของนางตัณหา นางอรดี เป็นพ่อของความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นลูกของพญามารนะ แล้วหลานของมันน่ะ แล้วเหลนของมันน่ะ แล้วนักปฏิบัติล่ะ
นี่พูดถึงว่า คนที่จะประพฤติปฏิบัติให้รู้ตามความเป็นจริงแล้วไปเห็นจริงอย่างนั้น สภาวะอย่างนั้นมันถึงจะเป็นนิพพาน ดับสิ้นไง
แต่นี่เขาบอกว่า สภาวะนิพพาน เขาเขียนมาถามนะ
เราบอก ถ้ามันเป็นความชอบธรรม เป็นความชอบธรรมมันเป็นกำลังใจของเรา เราเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราได้รับรู้สิ่งนั้น แล้วมันมหัศจรรย์ขนาดนั้นก็บอกว่าสภาวะนิพพาน
แต่เราไม่รับรู้นะ เราไม่รับรู้
เพราะว่าจิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก อาการที่เกิดขึ้นแต่ละบุคคล อารมณ์ความรู้สึกของคนมันแตกต่างหลากหลาย คนละเอียด คนหยาบ คนปานกลาง ผลกระทบของจิต ผลกระทบต่างๆ มันมหัศจรรย์ แม้แต่การทำสมาธิไง
การทำสมาธิ เวลาของหลวงปู่มั่นท่านเป็นของท่านเอง เวลามันจะลงก็ลงบาดาลไปเลย รั้งไว้ๆ ดึงขึ้นมาก็ขึ้นไปบนสวรรค์นู่นเลย นี่ของท่านมหัศจรรย์มาก
จิตที่มหัศจรรย์นะ จิตคึกจิตคะนอง จิตที่เวลามันเป็นไปมันมหัศจรรย์กว่านี้เยอะ แต่นี้ไม่ใช่ความถูกต้องนะ นี้คือบารมีธรรม นี้คือจริตนิสัยที่มีอำนาจวาสนาไง แต่เวลามันลงจนไปถึงบาดาล ลงไปถึงนรกก็ดึงมันขึ้นมา มันพุ่งขึ้นไปข้างบนก็ดึงมันกลับมา ให้มันสมดุลพอดีสัมมาสมาธิไง
สิ่งที่เป็นๆ บอกว่า จิตคนที่คึก จิตคนที่คะนอง จิตที่คนรับรู้สิ่งแปลกๆ มากมายมหาศาล นั้นสิ่งที่เขารับรู้ รู้ด้วยอำนาจวาสนาบารมี แต่ไม่ใช่สัมมาสมาธิ
ต้องดึงกลับมาปกติเป็นสัมมาสมาธิ มันถึงเป็นบาทฐานของการยกขึ้นสู่วิปัสสนา
นี้บอก เวลาคนทำอย่างนั้นแล้วมันผิด ทำอย่างนู้นแล้วมันผิด
มันเหมือนคนชอบ เราก็รู้อยู่ใช่ไหม ทานอาหาร อาหารที่มันเป็นคุณประโยชน์กับร่างกายมันแซ่บไหมล่ะ มันอร่อยลิ้นไหม ไม่ชอบ มันชอบตามลิ้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเป็น มันเป็นตามลิ้นนั่นน่ะ แต่สุขภาพกายมันต้องการอาหารที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย แต่สิ่งที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยมันให้ผลเป็นโทษแก่ร่างกาย
จิตของคนที่คึกคะนอง รสชาติที่มันสูงมันต่ำนั่นน่ะ อยู่ที่ต้องพยายามควบคุมแล้วดัดแปลงแก้ไขให้กลับมาเป็นสัมมาสมาธิจิตปกติที่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนา
สัมมาสมาธิคือพลังงานสะอาด พลังงานที่ไม่มีโทษ นี่สัมมาสมาธิโดยพื้นฐาน
แต่ถ้าบอกว่า เวลามันมหัศจรรย์ มันขึ้นไปบนก้อนเมฆ ไปเดินจงกรมบนก้อนเมฆ นั่นเป็นบุญญาธิการของจิตที่สร้างมา ลบล้างไม่ได้ มันมีของมันอย่างนั้น แต่มีอย่างนั้น ถ้าคนมีกิเลสอยู่มันไปยึดติดว่านั่นคือผลงานของตน นั่นมันก็ออกนอกมรรค ออกนอกเหตุนอกผล
เวลาออกนอกเหตุนอกผลแล้วต้องดึงกลับมา ดึงกลับมา ดึงกลับมาให้เป็นปกติ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ นั่นน่ะออกนอกกรอบ ออกนอกมรรค ดึงกลับมาอาสวักขยญาณ พอดึงกลับมาทำได้มันเป็นปกติ
คนที่ประพฤติปฏิบัติมามันต้องมีความหลงผิด แล้วเห็นผิด แล้วแก้ไขมา มันถึงจะกลับมาถูกต้องได้ คำว่า “ถูกต้อง” ทีนี้คนที่นักปฏิบัติขึ้นมามันจะย้ำอยู่ความผิดพลาด อยู่การกระทำที่ไม่เป็นผลมาเยอะแยะ
แต่เวลาเป็นผลนะ แป๊บเดียวแหละ แต่กว่ามันจะเป็นผลได้มันต้องแก้ไขนั่นมา นี่พูดถึงว่า ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาอย่างนี้มันถึงจะแบบว่าเข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป
แต่บอกว่า สภาวะนิพพานอย่างนี้
มันเป็นสภาวะอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึก แต่มันตรึกในธรรมๆ มันมีคุณค่าตรงที่เราตรึกในธรรมไง
เขาบอกว่า วันหนึ่งขณะขี่จักรยาน จิตใคร่ครวญเรื่องอนัตตา ขณะที่วันหนึ่งเราขี่จักรยานออกกำลังกาย เราขี่จักรยานอยู่ แต่เราตรึกในธรรมของเราไป
เวลาคนขับรถ พุทโธไป อะไรไป ถ้าจิตมันสมดุลพอดี จังหวะของมัน มันก็ให้อารมณ์ความสุขของเราได้ครั้งหนึ่งๆ เวลาอารมณ์ความสุขอย่างนี้เกิดขึ้นมาเราก็พอใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็อยากให้มันอยากได้อยากดีอยากเป็นอย่างนั้นมันก็ต้องรักษาอย่างนี้แหละ ค่อยๆ รักษา ต้องค่อยๆ กระทำไป
นี้ตอบแบบพระกรรมฐาน ตอบแบบนักปฏิบัติไง ไม่ใช่ว่า อู้ฮู! เราปฏิบัติแล้วจะได้ขั้นนู้นได้ขั้นนี้
บัญชีใครบัญชีมันนะ บัญชีในธนาคารเราไปตรวจสอบใครไม่ได้หรอก บัญชีใครมีมากมีน้อยขนาดไหนก็ตามเลขบัญชีที่ฝากไว้นั่นแหละ
นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติจะได้ผลไม่ได้ผลก็นี่แหละ อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อยู่ที่การปฏิบัติของคน
นี่พูดถึงว่าสภาวะนิพพาน
ไม่รับรอง แต่ถ้าเป็นความชอบธรรมนะ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง
ถาม : เรื่อง “ปฏิบัติแล้วมีคำถาม”
กราบนมัสการหลวงพ่อ หนูปฏิบัติมาระยะหนึ่งจึงมีคำถาม ขอหลวงพ่อได้ช่วยโปรดเมตตาด้วยค่ะ
ขณะที่ขับรถกำลังจะผ่านสี่แยก ก็มีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งตัดหน้ารถ ขณะนั้นมันเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาชัดมาก เกิดขึ้นแล้วก็ดับลง ขาดไปเลย มันเกิดขึ้นเร็วมาก ยังไม่ทันจะพ้นแยกนั้นด้วยซ้ำ พอมาดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่มีค้างคาติดในใจเลย
การเห็นแบบนี้เรียกว่าใช้สมาธิข่มไว้หรือเปล่าคะ หรือเขาเรียกว่าอย่างไรคะ คือมันเห็นถูกตามมรรคหรือยังคะ
การที่ดูลมไปเรื่อยๆ แล้วหัวใจมันเต้นเร็วขึ้น ร่างกายรู้สึกตึงขึ้นแน่นขึ้นเหมือนคนโดนรัดขึ้นแข็งขึ้นแล้วมันก็เกิดชาไปทั้งตัว มันเหมือนมีกำลังวิ่งวนในร่างกายมาก ถัดจากนั้นมาดูคำบริกรรมไม่มีแล้ว ร่างกายก็หายไปหมดเลย ทำอะไรไม่ได้ ก็ให้มันรู้อยู่เรื่อยๆ มันก็มีความรู้ว่างกว้างมากขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเลย
พอออกจากภาวะนั้นแล้วมานั่งทบทวน มันเหมือนไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ เลย สมาธิที่ทำนั้นเป็นสัมมาสมาธิใช่หรือไม่คะ
นั่งสมาธิไปสักครู่หนึ่งมันเหมือนจะเข้าไปในร่องที่มันเคยเข้าไปแล้วทำให้เกิดภาวะตัวแข็ง เหมือนมีพลังงานในร่างกายที่วิ่งซ่าน อาการแบบนี้เป็นการเข้าสมาธิที่ถูกต้องไหมคะ หนูขออนุญาตไปเรียนธรรมะกับพระอาจารย์ได้ไหมคะ
ตอบ : โอ้โฮ! จะเปิดโรงเรียน
ในการประพฤติปฏิบัติก็คือการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าการประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกว่าจะปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เพราะอะไร
ยิ่งหลวงปู่ฝั้นท่านสอนเลย อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ เวลาเราหายใจอยู่ ถ้าเรามีสติปัญญา เรากำหนดลมหายใจของเรา ไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ แล้วถ้าจิตมันกำหนดลมหายใจ นั่นเป็นการเริ่มปฏิบัติ ถ้าเป็นการเริ่มปฏิบัติแล้วปฏิบัติที่ไหนก็ได้
แต่ถ้าเป็นคำถาม คำถามนี้บอกว่า เวลาที่เราขับรถไปถึงสี่แยกแล้วมีมอเตอร์ไซด์ตัดหน้า แล้วมันเกิดอารมณ์ขึ้นมาชัดเจนมาก แล้วมันดับทันทีเลย
นี่มันก็วาสนานะ วาสนา เห็นไหม ถ้าเป็นทางโลก ถ้ามีมอเตอร์ไซด์มาตัดหน้า เวลามันโกรธ โกรธแล้ว ดูสิ มันมีปัญหากันตามท้องถนนมากมายไปเลยล่ะ
เวลาคนเอารัดเอาเปรียบมันก็จะเอารัดเอาเปรียบไป ไอ้คนซื่อ คนซื่อก็อยู่ข้างหลังนู่น อยู่นั่นน่ะให้เขาเบียดไปก่อน แต่ถ้าคนมีธรรมนะ เข้าหยุดให้ เขาให้ทาง เขาเปิดทางให้
มันอยู่ที่ว่าเราไปเจอคนในเวลาอะไร เวลาคนคนนั้นที่เขามีสติปัญญา เขามีสติยับยั้งอารมณ์ของเขาได้มันก็ไปดี เราไปเจอฟืนเจอไฟ เจอโทสจริต ไอ้คนขับรถมาแล้วมันเบียดเขาไปทั่ว แล้วเราไปเจออย่างนั้นเราก็ไปเจอความทุกข์ความยาก
ฉะนั้น เวลาที่เราอยู่ในประสบการณ์ที่ว่ารถติดขนาดนี้ แล้วเวลามีรถมาตัดหน้า อารมณ์มันเกิดขึ้น
มันเกิดขึ้น ที่มันดับไปๆ เพราะเวลาอะไรสิ่งใดมันเกิดขึ้น ถ้ามันดับไปนะ ถ้าเรามีสติเท่าทันมัน มีสติเท่าทันมัน มันเห็นผลไง แต่อารมณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นกับหลายๆ คนได้ เกิดขึ้นกับคนทั่วไปได้ แต่เขาไม่เคยสนใจจิตของเขาไง เขาไม่เคยสนใจอารมณ์ความรู้สึกของเขาไง เขาไปสนใจแต่เงินทองแต่ตำแหน่งหน้าที่การงานไง เขาไม่สนใจถึงจิตใจของตนไง
ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นนักปฏิบัติ เรามีเวลาเราก็นั่งสมาธิภาวนาของเรา ถ้าเรานั่งสมาธิภาวนาของเรา เราฝึกหัดหัวใจของเราไว้ไง เวลาหัวใจของเรามันไปเกิดผลกระทบอย่างนี้ ผลมันแสดงออกไง
เหมือนคนออกกำลังกายตอนเช้า คนที่ออกกำลังกายๆ ร่างกายเขาแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บเขาน้อยกว่าคนอื่นแน่นอน แต่ถ้าเวลามันจะเจ็บป่วยขึ้นมามันก็เรื่องธรรมดา แต่ร่างกายมันแข็งแรงกว่าเพราะอะไร เพราะเขาได้ออกกำลังกาย เขาได้ดูแลรักษาร่างกายของเขา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขาบอก เราเคยปฏิบัติ เราเคยหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราดูลมหายใจของเรา เราพิจารณาของเราตลอดเวลา แล้วเวลามันมีผลกระทบขึ้นมามันมีวัคซีนไง มันมีภูมิต้านทานไง เพราะเราฝึกหัด เราฝึกหัดของเราไว้
เราฝึกหัดของเราไว้ ถ้าเวลามันมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าสติมันทันมันก็ทัน ถ้าสติไม่ทันมันก็โมโหไปนิดหนึ่ง มีอารมณ์ไปพักหนึ่ง แล้วได้สติมันก็กลับมา แต่ถ้ามันขาดสติเลย พอมันโมโหนิดหนึ่งมันไปกับเขาแล้วไปยาวเลย แต่ถ้ามีสติปัญญาเราฝึกหัดอย่างนี้ มันจะเท่าทันของเรา
แล้วเท่าทันของเรานะ ในบ้านในครอบครัวของเรามันจะดีใจมากเลย เออ! เรามีผู้ที่ควบคุมอารมณ์ได้อยู่ในบ้านมันเป็นประโยชน์ไง
เวลาอยู่ในครอบครัวของเรา ต่างคนต่างสาดใส่อารมณ์เข้าใส่กันเหมือนสาดน้ำ มันมีแต่ผลกระทบทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามีคนเขาเก็บไว้ได้คนหนึ่ง มีคนเขาดูแลคนหนึ่ง การสาดน้ำก็สาดอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าเขาสาดอยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ มันก็จบ มันก็ไม่มีเรื่อง แต่ถ้ามันสาดน้ำมาเราก็สาดใส่ อ้าว! คนมีค่าเท่ากัน จะมาเหยียดหยามไม่ได้ มันก็ทำลายกันไปทั่ว
แล้วถ้ามันเป็นจริง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เอาชนะตนเอง เอาชนะกิเลสในใจของตนเอง ถ้าเอาชนะกิเลสในใจของตนเองนี่ผู้ประเสริฐ
ผู้ประเสริฐคือเอาใจของตนไว้ในอำนาจของตน
คนพาลที่จะไปย่ำคนอื่นไง จะเอาชนะเขา จะย่ำยีเขา จะให้เขาเชื่อตัวเอง ไม่มีทาง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย กาลามสูตร อย่าให้เชื่อ อย่าให้เชื่อ แต่คนเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วยังเคารพนับถือกันอยู่เลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเคารพเต็มหัวใจเลย
ท่านไม่ให้เชื่อ แต่พวกเรากลับศรัทธามีความเชื่อ
นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน ที่เขาบอกว่า สิ่งที่เวลาไปตามสี่แยกแล้วโดนมอเตอร์ไซด์ตัดหน้า อารมณ์มันเกิดทันที แล้วมันก็ดับทันทีเลย
มันให้เห็นวุฒิภาวะสิ่งที่ได้ฝึกฝนฝึกหัดมันก็จะเกิดขึ้นกับเรา สิ่งที่ไม่ได้ฝึกฝนไม่ได้ฝึกหัดมันก็เกิดเป็นผลลบ เกิดเป็นโทสะ เกิดเป็นผลกระทบ แล้วมีเหตุผลนะ เวลากิเลสมันจะทำลายให้เรา เหตุผลมันเต็มเลย อ้าว! ก็เขาตัดหน้าเรา มันชี้เลยล่ะ มันชี้เลย มันจะไป เหตุผลมันเยอะมาก
แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ดับ
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย เขาอาจจะรีบด่วน เขาอาจมีธุระจำเป็น หรือเขาอาจจะพลั้งเผลอ เขาไม่ได้ตั้งใจ ถ้ามันสพฺเพ สตฺตา สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด ถ้ามันเป็นไปแล้วให้มันเป็นไป ถ้ามันไม่เป็นเราก็รักษาไว้ เพราะเราไม่ไปเป็นคดีกับใครทั้งสิ้น เราพยายามหลบหลีก เราไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับใคร หลบหลีก
เว้นไว้แต่หัวหน้าผู้รับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ไง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตัดสิน ต้องตัดสินเวลาเกิดปัญหาให้จบลงให้ได้ ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเขาต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเขา
อย่างเราเป็นหัวหน้า เป็นผู้รับผิดชอบในเขตอาวาส เราก็ต้องตัดสิน เราก็ต้องจัดการของเราให้มันสงบเรียบร้อย แบบหลวงตาท่านสอนไว้
ท่านบอก เหมือนชุมชนใดชุมชนหนึ่งมันมีสระน้ำอยู่สระหนึ่ง สระน้ำนั้นควรใสสะอาดเพื่อเป็นที่ดื่มกินของชุมชนนั้น แล้วมันมีคนพาลเที่ยวไปขับถ่ายอยู่ในสระนั้น แล้วน้ำใช้สอยของชุมชนนั้นมันจะเป็นน้ำใช้สอยของชุมชนนั้นได้อย่างไร
นี่เหมือนกัน หัวหน้าที่รับผิดชอบ สิ่งที่รับผิดชอบไว้เพื่อสังคมเพื่อชุมชน แล้วใครจะมาขับมาถ่าย มาสร้างสิ่งที่เป็นมลภาวะที่เลวร้าย แล้วหัวหน้าไม่รับผิดชอบ ใช้ไม่ได้ นี้เป็นหน้าที่ ถ้าพูดถึงว่าเวลาหน้าที่ต้องรับผิดชอบเป็นหน้าที่
แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เรารับผิดชอบชีวิตของเรา ถ้าเราฝึกหัดของเราแล้ว จิตใจของเราถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา สิ่งที่มันเกิดขึ้นเราเห็นเลย เราเห็นเลยนะ มีผลกระทบปั๊บ มันดับทันที มันเข้าใจทันที นี้คืออานิสงส์ของการประพฤติปฏิบัติ
แล้วเขาก็ถามต่อ ถามต่อว่า เวลานั่งสมาธิแล้วเวลาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธแล้วตัวมันแข็ง อาการแบบนี้มันเป็นแบบใด
ให้วางอารมณ์ตามสบาย ให้วางอารมณ์พอดีไง อย่างเช่นเรา เราทำสมาธิทำมาเกือบเป็นเกือบตายแล้วไม่เห็นได้สักทีหนึ่ง แล้วมันอยู่คราวหนึ่งเราก็ปล่อยตามสบาย จิตมันลง สมาธิขึ้นมา โอ๋ย! มันเด่นชัดมีความสุขมาก
หลวงตาท่านสอน ให้จำอารมณ์เหตุ ให้จำวิธีการที่เราทำวันนั้น วิธีการเรากำหนดอย่างใด เราตั้งสติอย่างใด แล้วเราพยายามทำอย่างนั้น เพราะทำอย่างนั้นแล้วมันสมดุลพอดีแล้วมันก็จะลง จะเข้าสู่สัมมาสมาธิได้
ถ้ามันเข้าสู่สมาธิได้ เวลามันเข้าสู่สัมมาสมาธิได้มันเป็นผลงานอันยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเพราะจิตของตนได้รับความสุข พอได้รับความสุขแล้วมันอยากได้ต่อ มันอยากได้ต่อ มันเป็นกิเลสซ้อนกิเลสไง ความอยากอันนั้นน่ะมันจะมาขุดคุ้ย มันจะมากระพือให้จิตสงบได้ยาก แล้วเวลามันทำแล้วทำเล่าด้วยความมุมานะของตนจนมันทอดอาลัย เดี๋ยวได้อีกทีหนึ่ง
ธรรมชาติของกิเลสมันก็เป็นแบบนี้ แล้วครูบาอาจารย์ก็รู้เป็นแบบนี้ แล้วเวลาปฏิบัติจริงๆ ไม่เท่าทันมันน่ะ ให้มันมาหยอกมาล้อ มาพะเน้าพะนอ แล้วก็อยู่กับกิเลสนั่นน่ะ ไม่อยู่กับธรรมนะ
ถ้าอยู่กับธรรมคือศีล สมาธิ ปัญญา คือจิตสงบระงับความดีงาม นี่เป็นธรรม ไอ้ความฟุ้งซ่าน ไอ้ความสงสัย ไอ้ความเลินเล่อ นั่นน่ะกิเลสทั้งนั้นน่ะ แล้วสิ่งที่เวลามันทำลายๆ ก็คือกิเลสมันทำให้เราประพฤติปฏิบัติได้ยากไง เราก็พยายามทำของเราให้มันถูกต้องตามดีงามอย่างนั้น ถ้ามันเป็นความจริงของมัน
แล้วสภาวะที่เขาบอกว่า เวลาตัวเขาแข็งเหมือนมันมีพลังงาน
จิตนี้มหัศจรรย์นัก เวลาทำนะ แล้วจิตประเภทใด สงบไปโดยธรรมชาติก็มี สงบไปโดยสงบแล้วออกรู้ก็มี เวลาออกรู้ รู้ในอะไร รู้ในภาพ รู้ในความเห็น รู้ต่างๆ
เขาว่าเกิดนิมิต เกิดต่างๆ
อันนั้นน่ะจิตสงบแล้วมันถึงออกรู้ ถ้าจิตมันไม่สงบ มันไม่ดีขึ้น มันออกรู้อย่างนั้นไม่ได้ แต่ออกรู้นั้นมันเป็นแค่น้ำจิ้ม แล้วน้ำจิ้มน่ะชอบ แต่ไก่ทั้งตัวไม่เอา จะเอาน้ำจิ้ม
เราอย่าไปสนใจน้ำจิ้มสิ เราก็พุทโธไปเรื่อยๆ บังคับไว้ พุทโธไปเรื่อยๆ ถ้าเรื่อยๆ มันจะละเอียดไปเรื่อยๆ
แล้วเขาบอกว่า เวลาเขากำหนดพุทโธๆ ไป เวลามันวูบมันหายหมด
ไอ้เรื่องภวังค์ไง
เวลาพุทโธๆ ไปแล้วร่างกายมันแข็งไปหมดเลย จนมันไม่เหลืออะไรเลย มันก็กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ มันรู้กว้างขึ้น มันรู้ดีขึ้น
ส่วนใหญ่นี้เป็นคำพูด เป็นความเข้าใจ แต่โดยข้อเท็จจริงมันปล่อยพุทโธมาแล้ว มันปล่อยคำบริกรรมมาแล้วมันถึงรู้นิ่งๆๆ อย่างนั้นน่ะ
ถ้ารู้นิ่งๆ ต้องกำหนดพุทโธ ต้องกำหนดไว้ คำบริกรรมไง
ดูสิ เวลาตะกอน น้ำถ้ามันหมุนเวียนอยู่มันก็ขุ่นอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันนิ่ง ตะกอนมันก็จมลงสู่ก้นแก้ว แล้วถ้าตะกอนน้ำ แล้วมันเกิดจากอะไรล่ะ มันเกิดจากอะไร มันเกิดจากการแกว่งสารส้ม มันเกิดจากอะไร
นี่ก็เหมือนกัน เหตุที่เราบริกรรมอยู่ มีการกระทำอยู่ จิตมันถึงมีการกระทำ จิตมันถึงมีกำลังขึ้นมา จิตมันถึงไม่ปล่อยให้มันลงสู่นิ่ง
ใครมาก็นิ่งๆ นิ่งๆ
แล้วบอกพุทโธได้ไหม
ได้ค่ะ
ไม่ทำ คือมันเหนื่อยไง มันเหนื่อย
เราพยายามนะ เวลาเราพุทโธๆๆ ไม่เอาสมาธิ เวลามันดิ่งลงนะ มันควงสว่านลงเลย ดึงอย่างไรมันก็ไม่อยู่ มันจะลง ถ้าลงอย่างนั้นลงโดยอะไร ลงโดยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ลงโดยเหมือนนั่งเด่นๆ อย่างนี้แล้วมันลง นี่ชัดๆ
แต่บอกว่า มันเงียบ มันเหมือนรู้
เข้าข้างตัวเองไง คนที่พูดส่วนใหญ่เข้าใจว่าตัวเองยังมีสติสมบูรณ์ แต่ความจริงคือมันหายไปหมดแล้ว ความจริงคือมันตกภวังค์ ความจริงมันวูบหายไปเลย แล้วพอรู้สึกตัว ถ้าภวังค์มันลึกๆ นะ เหมือนคนสะดุ้ง สะดุ้งจากตื่นนอนเลยแล้วกันล่ะ แต่ถ้ามันคนธรรมดามันไม่เหมือนสะดุ้ง มันก็รู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนตื่น โอ๋ย! เราไม่หลับหรอก เรานั่งชัดๆ
ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันต้องพิสูจน์ไปเรื่อยๆ เวลาปฏิบัติไปแล้ว ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เรารู้เอง รู้ชัดเจนมาก ความรู้ชัดเจนของเรารู้ชัดเจนต่อเมื่อมีผลกระทบ แต่การกระทำมีผลที่มันเกิดขึ้น ผลที่มันเกิดขึ้นจากบุญกุศลในการฝึกหัดภาวนา เวลาเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า
หนึ่ง รถมาตัดหน้า แล้วเราเกิดอารมณ์ขึ้น กับถ้ามันประสบอุบัติเหตุแล้วเรามีสติสัมปชัญญะพร้อมล่ะ เห็นไหม
ถ้ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์มันไม่ประมาทในชีวิต มันไม่เกิดอุบัติเหตุ มันไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง มันไม่เกิดผลกระทบ มันไม่เกิดคดี ถ้ามีสติ เราพาชีวิตของเราให้มันสมบูรณ์แบบไป
นี่ไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง
ในชาวพุทธเราอยากมีเบญจภาคี อยากมีครบเลย แต่ความจริงถ้าเราไม่ประมาทในชีวิต เรามีพุทธะ เรามีพระพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจ เราจะไปมีพระเครื่องไว้ห้อยคอทำไม
เรามีพระพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจ เราระลึกพุทโธๆๆ อยู่นี่ เราแขวนพระพุทธเจ้าอยู่ที่กลางหัวใจของเราเลย เราจะไปแขวนพระอะไรอีก แต่เขาต้องการเบญจภาคีกันนะ องค์หนึ่งหลายสิบล้านน่ะ
แต่เรามีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาทกับชีวิต แล้วมันจะไม่มีอุบัติเหตุ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะมีความสุขนะ
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตของเรา ชีวิตของเรา เราอยากก้าวหน้า เราอยากพัฒนาขึ้นไป เราเกิดมาเป็นคน แล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราจะเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์แล้วเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไป
ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ มนุษย์เป็นอริยชนได้ จิตใจที่เป็นอริยภูมิมันเป็นกันที่ไหน
พระนะ ดูสิ ดูหลวงปู่มั่น ดูหลวงตา ก็เป็นพระเหมือนเรา เป็นคนเหมือนเรานี่แหละ แต่หัวใจที่เป็นอริยชน เป็นอริยภูมิ จนถึงภูมิสูงสุด มันมีคุณค่าขนาดนั้นนะ
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะในการฝึกฝนในการควบคุมดูแลแล้วฝึกหัดของเราขึ้นไป แล้วมันทำต่อเนื่องไป
นี่พูดถึงว่า สิ่งที่เขาบอกว่า รถเขาปาดหน้าแล้วมันดับไปอย่างนั้นนะ มันคืออะไร
มันก็คือว่ามีสติตรึกในธรรม ในหัวใจของเรามันตื่นตัวตลอดเวลา มันตื่นรู้ จิตใจมันตื่นรู้ นี่เป็นรสชาติหนึ่ง
แล้วสิ่งที่ว่าดูลมหายใจแล้วหัวใจมันเต้นแรง แล้วมันเหมือนรัดตัวเอง ตัวมันแข็งหมดเลย
ค่อยๆ วางใจให้เป็นกลางแล้วฝึกหัดต่อเนื่องไป วางใจให้เป็นพิณสามสายไง เส้นกลางพอดี แล้วดูใจของตน ปฏิบัติต่อเนื่องไปๆ มันติดขัดอย่างไรค่อยๆ แก้ไขไป ให้มันสงบระงับเข้ามาให้เป็นสัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วใช้ชีวิตประจำวันก็ฝึกหัดใช้ปัญญา
จะทำงานมันก็ใช้ปัญญาอยู่แล้ว ใช้ความคิดอยู่แล้วไง ความคิดที่มีสติสมบูรณ์แบบมันก็มีผลมาจากจิตที่มันมั่นคง ฝึกหัดอย่างนี้มันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ อย่าขี้เกียจ พยายามฝึกหัดของตน พอปฏิบัติของตนขึ้นไปแล้วมันจะเป็นการฝึกหัดของเรา
อาการแบบนี้ใช่สมาธิที่ถูกต้องไหมคะ แล้วมันจะเป็นมรรคหรือไม่คะ
คำว่า “เป็นมรรคหรือไม่เป็น” สัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงาม เรารู้ชัดเจนของเรานะ
เรากินอาหารถ้ามันสมบูรณ์แบบ เราก็จะรู้รสชาติว่ามันสมบูรณ์แบบ ถ้ามันเปรี้ยวไป เค็มไป เผ็ดไป เราก็รู้เหมือนกัน
จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเป็นมรรคๆ มรรค ๘ สัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามแล้วมันจะดีงามต่อเนื่องกันไป
แล้วถ้ามันจะไม่ถูกต้องดีงาม เวลาเครื่องปรุงไง เติมหนักมือไปหน่อยหนึ่ง อารมณ์เราไง ความชอบความไม่ชอบต่างๆ มันไปปรุงแต่งมากเกินไป เราไม่ต้องใช้เครื่องปรุง ปรุงแต่งมากเกินไปแล้วเราก็หลงทางไป เราทำให้มันสมบูรณ์แบบของเรา ประพฤติปฏิบัติของเราเพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง