ธรรมมา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ปัญหาจากการภาวนา”
กราบหลวงพ่อที่เคารพ ผมมีปัญหาจากการภาวนา จะขอความเมตตาจากหลวงพ่อให้คำชี้แนะครับ
เนื่องด้วยผมภาวนาเป็นเวลานานๆ จิตใจชอบคิดเตลิดคิดนู่นคิดนี่เป็นประจำ ผมจึงหาตัวช่วยโดยการเปิดฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์ฟังไปด้วยในขณะภาวนา แต่ผมมีปัญหาคือชอบคิดอกุศลในขณะฟังเทศน์
ผมพยายามข่มไม่ให้คิดโดยการตั้งใจกำหนดคำบริกรรมพุทโธเข้าช่วย แต่เมื่อเผลอก็จะมีความคิดพวกนี้แว็บออกมาเป็นประจำ จนผมเคยมีความคิดว่าจะหยุดภาวนา เพราะกลัวบาปกรรมจากการลบหลู่พระอรหันต์ แต่ผมตั้งใจว่า บาปก็บาป อย่างไรก็ขอภาวนาต่อ จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำครับ
จึงกราบขอหลวงพ่อชี้แนะคำสั่งสอนด้วยครับ ผมอยากภาวนา ไม่อยากไปสร้างบาปสร้างกรรมให้ตัวเองเพิ่มครับ
ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามๆ เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติด้วยความเป็นจริงๆ นะ เวลาปฏิบัติความเป็นจริงมันจะเข้าไปเผชิญกับความจริงในใจของตน
คนที่ภาวนาๆ ภาวนาเพื่อจะเข้าไปหากิเลสในใจของตน แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา มีสติปัญญาได้แก้ไข แล้วพยายามพิจารณาแล้วชำระล้างกิเลสในใจของตน นี้คือเป้าหมายของการภาวนา
การภาวนา ภาวนาคือการชำระล้าง คือการกำจัดกิเลสในใจของเรา ไม่ใช่ไปเอาชนะคะคานใครทั้งสิ้น ไม่ใช่ไปอวดใครทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อสังคมต่างๆ ร้อยแปด การภาวนาๆ ภาวนาเพื่อชำระล้างกิเลส
แต่กิเลสมันยิ่งใหญ่นักนะ ถ้ากิเลสนี้ยิ่งใหญ่นัก มันครองสามโลกธาตุ อย่าว่าแต่ครองโลกมนุษย์นี้เลย เทวดา อินทร์ พรหมมันก็ครอบครองหมด กิเลสครอบครองหมด ถ้ากิเลสครอบครองหมด เห็นไหม มันยิ่งใหญ่นัก การที่จะเอาชนะกิเลสมันถึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นเรื่องสุดกำลังของมนุษย์ก็แล้วกันแหละ แต่มนุษย์ทำได้นะ
เวลาอธิบายถึงเรื่องกิเลส แล้วกิเลสมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันทำลายคนทั้งสิ้น มันทำให้เราท้อแท้ ทำให้เราไม่มีกำลังใจไง
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้ว ท่านกระทำของท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเผชิญกับกิเลสมาก่อน ท่านทุกข์ท่านยากมาทั้งนั้นน่ะ แต่ด้วยอำนาจวาสนาที่ท่านมีขันติธรรม มีสติปัญญา มีบารมีเพื่อจะตั้งตัวให้ได้ ตั้งตัวให้ได้แล้ว ได้สร้างสม ได้พยายามประพฤติปฏิบัติด้วยสติด้วยปัญญา แล้วชนะมันไปทีละเล็กทีละน้อย กำจัดมันไปทีละกลุ่มทีละก้อน ทีละต่างๆ กำจัดไปจนถึงสิ้นกิเลสได้ แล้วท่านถึงเป็นครูบาอาจารย์ของเราไง ท่านถึงมาอบรมบ่มเพาะเรานี่ไง วางข้อวัตรปฏิบัติไว้เป็นเครื่องอยู่ของใจไง
แต่เวลาปฏิบัติแล้ว กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน
กรณีอย่างนี้ เราอยู่นี่ พระที่ถามปัญหาเรื่องนี้มีมาก พวกโยมที่มาถามปัญหาเรื่องอย่างนี้ก็มีมาก มีมากว่า เวลาบางคนยังไม่เคยภาวนาเลยนะ นี่การภาวนา มีหลายๆ คนบอกว่าเข้าไปในวัดมันมีแรงต้านในหัวใจ แล้วถ้าไปเจอพระแล้ว โทษนะ มันด่าเลย แล้วยิ่งเข้าไปใกล้ๆ ถึงพระพุทธรูป ด่าถึงพระพุทธเจ้า ด่าหมด
เพราะคำว่า “ด่าๆ” เราชาวพุทธใครจะกล้าด่าพระ มารยาท เสียมารยาทตายเลย เราชาวพุทธเราจะกล้าโจมตีพระพุทธเจ้าหรือ แต่กิเลสมันกล้า เพราะกิเลสมันด่าในหัวใจไม่มีใครรู้ มันทั้งต่อต้าน มันทั้งติเตียน มันทั้งก่นด่าเลยนะ
มีโยมมากมาย เวลามาหาเรานะ เขาเป็นคนดีในปัจจุบันนี้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนการแก้ที่ปัจจุบันนี้ แก้ที่อดีตอนาคตไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัจจุบันนี้มันมาจากอดีตไง อดีตที่ได้สร้างสมมาตั้งแต่ภพชาติใดก็ไม่รู้ แล้วเวลามันมาเกิดมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำผิดพลาด มันเป็นบาปอกุศลในหัวใจ
แล้วในปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญา เราเกิดเป็นมนุษย์ไง ปัจจุบันเป็นมนุษย์ ปัจจุบันนี้เป็นคนมีศรัทธา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราเป็นชาวพุทธๆ ชาวพุทธเราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ เวลาเข้าไปนะ พอเข้าไปถึงจิตใต้สำนึกมันจะเกิดอาการอย่างนี้
แต่ก็มีมากมายมหาศาลนะที่ไม่มี เราไม่เคยมีเลยนะ เรื่องอาการที่ต่อต้านในใจเราไม่เคยมี เราไม่เคยมีเลย เราทำของเรากระเสือกกระสนมาเกือบเป็นเกือบตาย
จะบอกว่าเราปฏิบัติมาราบรื่น ปฏิบัติมาดีงามหมด ไม่มีหรอก ปฏิบัติมาเกือบเป็นเกือบตาย แต่เรื่องการต่อต้าน เรื่องการต่างๆ อย่างนี้ไม่เคยมี มีแต่ว่ามันหลงใหล มันล้มลุกคลุกคลาน มันสู้ตัวเองไม่ได้ มันอ่อนแอ โอ๋ย! เผชิญมาหมด
แต่มันมีหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตาพระมหาบัว ท่านเป็นกำแพงให้ ท่านคอยให้กำลังใจ ท่านคอยเสริมคอยส่ง เราได้อย่างนี้เป็นที่ชโลมใจเพื่อสู้กับมันได้ไง
เวลาหันรีหันขวางเลยนะ ไปไหนไม่ถูก เหมือนนักมวยบนเวทีโดนยำอยู่อย่างนั้นน่ะ แก้ลูกไหนก็แก้ไม่เป็น พี่เลี้ยงมันต้องคอยบอก เฮ้ย! ยกมือสูงๆ สิ การ์ดน่ะยกขึ้น การ์ดน่ะ ยกขึ้นกำหมัดสิ ยกขึ้น ไอ้เราไม่รู้หรอก มันโดนต่อยจนเมาหมัดไง โอ๋ย! เละเลย พี่เลี้ยงข้างล่างก็สอนใหญ่เลย
นี้ก็เหมือนกัน เวลาไปเจอกิเลส เราไม่เห็นตัวเห็นตนมันน่ะ มันเหยียบมันย่ำมันทำลายล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ เวลาใจมันท้อแท้ เราก็ไปชาร์จไฟกับหลวงตาเสียทีหนึ่ง ไปถึงชาร์จไฟก็คือท่านก็ใส่
คำว่า “ใส่” ทางโลกก็เหมือนติ เหมือนเตียน เหมือนเอ็ดนั่นแหละ เหมือนกับว่าด่า แต่ความจริงไม่ใช่ นั่นน่ะชาร์จไฟๆ ทำให้มันฟื้นฟูขึ้นมา ทำให้มันตื่นๆ ยกการ์ดขึ้นสูงๆ สิ ยกการ์ดสูงๆ นี่เวลาล้มลุกคลุกคลานเป็นอย่างนั้น
นี่ปฏิบัติมาอย่างนั้น เวลาปฏิบัติมา เราล้มลุกคลุกคลานมาอย่างใด เราทุกข์เรายากอย่างใดเรารู้นี่ แล้วใครเป็นคนช่วยเราล่ะ ใครเป็นคนค้ำจุนเราขึ้นมาล่ะ
แล้วคนค้ำจุนขึ้นมา พ่อแม่ครูจารย์ เป็นทั้งพ่อทั้งแม่นะ บริขารก็มีหาให้ ข้าวปลาอาหารหาให้กินได้ นี่พ่อแม่ ครูอาจารย์ ครูอาจารย์ก็สอนหัวใจไง ‘พ่อแม่ครูจารย์ พ่อแม่ครูจารย์’ พระกรรมฐานถึงติดครูบาอาจารย์ไง
ครูบาอาจารย์ให้ความอบอุ่นนะ หลงใหลอย่างไรท่านก็ทำให้ฟื้นขึ้นมาได้นะ ไม่มีสัญญาณชีพแล้วยังปั๊มหัวใจขึ้นมาได้เลย นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์มีคุณค่าอย่างนี้ แล้วถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ขึ้นมา
นี่พูดถึงว่าในการประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลาคนที่จะประพฤติปฏิบัติคิดว่าจะปฏิบัติทั้งสิ้น แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ไง
หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่มั่น เวลาภาวนากันน่ะ เดินเหมือนกับกองทัพ ไอ้พวกย่องๆ ไปมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่ฝึกทหาร เวลานั่งภาวนา ที่จัดอบรมภาวนาๆ อันนั้นมันเป็นเรื่องวัฒนธรรม เป็นเรื่องประเพณีถึงสำนักปฏิบัติมีการปฏิบัติก็จัดระดมปฏิบัติ เวลานั่งก็นั่งเป็นแถวเลย
แต่เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาไม่เป็นอย่างนี้ ท่านบอกว่าเฉพาะคน เราอยู่กับครูบาอาจารย์มาไง ทำวัตรสวดมนต์เย็นท่านบอกว่าให้ทำส่วนตัว
เพราะเวลาทำวัตรสวดมนต์แล้วต้องนั่งสมาธิ เวลานั่งสมาธิไปแล้ว บางวัดนั่งชั่วโมงหนึ่ง บางวัดนั่ง ๒ ชั่วโมง บางวัดนั่ง ๔–๕ ชั่วโมง แล้วในชั่วโมงสองชั่วโมง จิตใครจะลงหรือไม่ลงก็ไม่รู้ แล้วลงไปแล้ว เวลาเขาเลิกแล้วยังไม่รู้สึกตัว มันเป็นการอึดอัดขัดข้องไปหมดน่ะ
เวลาท่านปล่อยเลย สวดมนต์ให้สวดมนต์ของตนเอง สวดมนต์ที่อยู่ที่อาศัยของตน ใครอยากจะสวดมนต์ ๕ บท ๓ บท ๔ บท แล้วแต่ตามถนัดเลย แล้วถ้าใครถนัดในการนั่งภาวนาก็นั่งภาวนาไปเลย แต่เอาจริงเอาจังนะ เพราะท่านตรวจสอบตลอดเวลา ถ้าขี้เกียจ ถ้าไม่ภาวนา ท่านไล่ออกๆ ทั้งนั้นน่ะ นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงไง
เราจะบอกว่ามันเป็นทางโลก มันเป็นการฝึกหัดกองทหาร มันเป็นทีมฟุตบอลน่ะ ต้องเล่นประสานกันเป็นทีมเวิร์ก แต่การภาวนาเป็นเรื่องส่วนตัว ความเป็นเรื่องส่วนตัวนะ
ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ว่าจิตผมเป็นอย่างนี้ จิตผมเป็นอย่างนี้
มันเป็นกรรมของสัตว์ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน นี่ไง เวลาคนที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมามาก พาหิยะไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย แต่เบื้องหลังที่เขาทำมามากมายมหาศาล
ไอ้อย่างของเราเวลาประพฤติปฏิบัติ อย่างที่ว่า มีคนมากที่แบบว่าเวลาเข้ามาใกล้พระมันมีแรงต้าน
เวลาเขาบอกนะ คนที่เคยมาที่นี่เขาบอกว่า เวลามากลางศาลา มาฟังหลวงพ่อเทศน์ มันก็ต่อต้านทั้งสิ้น แล้วถ้าเดินเข้ามาใกล้พระพุทธรูป โอ้โฮ! มันยิ่งแรงเข้าไปใหญ่เลยนะ แล้วเขาก็มากราบ แล้วเขาทำอย่างไร
เราก็บอกว่า ก่อนภาวนา ก่อนทำบุญ ก่อนนอน หรือตื่นนอนแล้ว ให้สวดมนต์นะ ให้สวด นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต แล้วก็ขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
การขออภัยต่อกันๆ ขออภัยต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าจิตใจของเราไม่มีเวรมีกรรมต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันจะไม่มีแรงต้านอย่างนั้น
ถ้าแรงต้านขึ้นมา เราอ่านพระไตรปิฎกสิ ในพระไตรปิฎก ในพวกอลัชชี พวกเดียรถีย์ เวลากลั่นแกล้งพระในสมัยพุทธกาล แล้วเวลาพระในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไป ลัทธิศาสนาอื่นเขาก็กลั่นแกล้ง เขาก็โต้แย้งกัน นี่เรามองถึงความขัดแย้ง
ในพระไตรปิฎกนะ สุตตันตปิฎก ไปอ่านสิ เยอะแยะไปหมดเลย
แล้วจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตเวียนตายเวียนเกิดจนมาถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ด้วยบุญด้วยกรรมสิ่งใดก็ไม่รู้ที่เราได้สร้างขึ้นมา เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่ชาติปัจจุบันนี้ไง คำว่า “ชาติปัจจุบันนี้” ปัจจุบันนี้เรามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา เศษบุญเศษกรรมที่มันตกอยู่ในหัวใจที่ว่ามันต่อต้านนี่
กรรมคือการกระทำ กรรมดี กรรมชั่ว ไม่หายไปไหน อยู่ในใจนั้นตลอดไป
แต่ในปัจจุบันนี้ผิวเผิน คือในสภาพความเป็นมนุษย์นี่ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่น เราศรัทธา เราจะปฏิบัติ แต่เวลาปฏิบัติไป เริ่มต้นปฏิบัตินะ ปฏิบัติก็คือศรัทธาความเชื่อ เราเกิดเป็นชาวพุทธ ถ้าเรามีบุญกุศล เราสร้างบุญกุศลมา เราประกอบสัมมาอาชีวะ เรามีทรัพย์สินเงินทอง มีทุกอย่างพร้อมหมด นี่ไง นี่ผิวเผินไง นี่ปัจจุบันไง
ปัจจุบันของความเป็นมนุษย์ การเกิดมาในภพชาตินี้ แต่จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกที่มันสร้างเวรสร้างกรรมมามันมหาศาล นี่ไง เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาต้องทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบระงับแล้วเขาขุดค้นหาสติปัฏฐาน ๔
แล้วที่ใช้สติปัญญา สติปัญญานี่ไง เข้าไปในจิตไง ในจิตที่มันสร้าง สันดาน อนุสัยที่มากับจิต มากับความรู้สึกนึกคิดอันนั้นน่ะ เวลาเขาไปแก้ เขาไปแก้ที่ตรงนั้นนั่น แล้วแก้ที่ตรงนั้น มันต้องทำความสงบของใจเข้ามา
ทีนี้ทำความสงบของใจเข้ามา มันก็เรื่องเวรกรรมที่บอกว่าไปรู้ไปเห็นอะไร นี่กรรมของสัตว์ เวลากรรมของสัตว์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านสอน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านจะรู้หมด รู้หมดนะ มันควรทำอย่างไร มันควรจะเป็นอย่างใด
ขนาดอย่างพวกเรา เขาเรียกว่าอินทรีย์ความสำนึกในการตั้งสติมันอ่อนแอ มันปานกลาง มันเข้มข้น แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
เวลากิเลสของคน ในพระไตรปิฎกนะ มีพระเขาบอกว่าเขาไปปฏิบัติร่วมกัน ๖ องค์ แล้วเวลาเขามาตกลงสัญญากันว่า องค์หนึ่งจะสำรวมทางตา พยายามสติปัญญาอยู่กับตา องค์หนึ่งก็อยู่ทางหู อยู่ทางลิ้น อยู่ทางกาย ต่างองค์ต่างรักษาอายตนะทั้ง ๖ แล้วก็มาคุยกัน ตกเย็นก็มาคุยกันว่ารักษาได้หรือไม่ได้ โอ้โฮ! ทุกคนบอกว่ามันยาก มันยาก มันยากทุกคนเลย ยากเฉพาะเขารักษาเฉพาะของเขาไง
แต่โดยความเป็นจริง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารักษาทั้งหมดเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย
หัวใจที่มันยิ่งใหญ่ หัวใจที่มันทุกข์มันยาก เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามามันไม่เป็นขี้ข้า มันไม่ใช่เป็นขี้ข้ากิเลสโดยเป็นทาสเลยล่ะ
เราเป็นขี้ข้ากิเลสโดยเป็นทาสเลยนะ คนบ้าห้าร้อยจำพวก เห็นชมรมไหม ชมรมรถจักรยานยนต์ ชมรมรถเก่า ชมรมนกเขา นั่นน่ะบ้าแต่ละอย่าง บ้าห้าร้อยจำพวก แต่เขาเป็นชมรมนะ เราเป็นคนรักนกเขา เราเป็นคนรักไก่แจ้ ก็ไปตั้งชมรมขึ้นมา
เพราะความรักไง ความรัก ความผูกพัน เขารักเหมือนกัน เขาชอบเหมือนกัน เขาก็ตั้งชมรมขึ้นมานะ เวลามานั่งกันก็มีกาแฟ นั่งคุยกันทั้งวันได้ ไก่แจ้ก็คุยเรื่องไก่แจ้ได้ทั้งวันเลย นกเขามันคุยนกเขา ๑๐ ปีก็ไม่มีวันจบ เพราะมันรักเหมือนกัน นี่มันเป็นชมรม บ้าห้าร้อยจำพวก
แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามาๆ เพราะบ้าห้าร้อยจำพวกมันเรื่องของปุถุชน เรื่องของสามัญสำนึกของมนุษย์ มนุษย์เกิดมา ความเป็นมนุษย์โดยสัญชาตญาณ โดยสัญชาตญาณนะ เราป้องกันภัยทั้งสิ้น สัตว์มันมีสัญชาตญาณป้องกันภัยของมัน มนุษย์ก็มีสัญชาตญาณของมนุษย์ มนุษย์มีสัญชาตญาณไง
ฉะนั้น สิ่งที่เป็นความผิวเผิน ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นสมบัติของโลก เราเกิดมา ใครมีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ นั่นก็บุญกุศลของตน แล้วถ้ามีอำนาจวาสนานะ เราจะหาทรัพย์ของตน อริยทรัพย์ ทรัพย์ของหัวใจ เขาก็ต้องมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่ออริยทรัพย์ เพราะอะไร
เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้มันสร้างสมบุญกุศลของมันมามันถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง แล้วมันตายจากมนุษย์แล้วมันไปไหนล่ะ มันก็ไปของมันไง แต่ถ้าคนมีสติปัญญาในปัจจุบันนี้ เราทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ไง ถ้าทางคนจีนเขาไปเติมน้ำมันเทียน เขาเติมน้ำมันเพื่อชีวิตของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราสร้างบุญกุศลของเรา
หลวงตาท่านสอน อย่างน้อยก็ให้ได้ตักบาตรพระวันละองค์ก็ยังดี วันละองค์ก็ยังดี
รู้จักสร้างบุญกุศลนั่นน่ะของเราทั้งสิ้น ที่ใส่บาตรของพระไปนั่นน่ะคือบุญกุศลของเรา ไอ้ที่อยู่ในบ้านของเรา ใช้ในปัจจุบันนี้ไง ถ้าตายไปแล้วมันไปกับเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่เราได้เสียสละไปแล้วมันจะไปกับเรา เพราะเราเสียสละไปแล้วล่วงหน้า เราเสียสละไปแล้ว เราได้สร้างไว้แล้ว สร้างไว้แล้วนี่บุญกุศลของเราไง แล้วคนถ้าเขาไม่ได้สร้างบุญกุศลของตน เขามีพรรคมีพวก เวลาเขาสิ้นชีวิตไปนะ มันไปเคาะโลงป๊อกๆๆ
ไอ้เราไม่ต้องเคาะ เราสร้างไว้ตอนนี้ไง เราสร้างไว้ ตักบาตร เราได้สร้างบุญกุศลของเรา เราพร้อมเพรียง เรามีเสบียงแล้ว ถ้ามันจะสิ้นอายุขัยไปโดยธรรมชาติเราก็พร้อม ไม่ตื่นเต้นนะ คนที่มีบุญกุศลเวลาไปไหนมันเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถ้าคนไม่มีมันกระเสือกกระสนนะ ไปข้างหน้าจะไปทำอะไร ว้าเหว่ ไม่เห็นเลย ข้างหน้ามืดมน แล้วไม่รู้ว่าไปไหน เพราะไม่ได้ทำอะไรไว้เลย แล้วถ้าไม่ได้ทำอะไรไว้เลย ก็สั่งลูกหลานนะ แม่ชอบกินข้าวต้มนะ ถึงโลงก็ป๊อกๆๆ
ไม่ได้กินหรอก แมลงวันมันตอมอยู่นี่ นั่นอยู่นั่นน่ะ
แต่ถ้าเราทำบุญกุศลตั้งแต่ตอนนี้มันไปกับเรา แล้วถ้าคนมีอำนาจวาสนาขึ้นมาจะปฏิบัติแล้ว
เวลาปฏิบัติ เราจะพูดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นกรรมเฉพาะตน กรรมของตน ถ้ากรรมของตนนะ กรรมของตนๆ ใครที่มีอำนาจวาสนา พาหิยะฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติดี ในสมัยปัจจุบันนี้ในวงกรรมฐาน หลวงปู่บัว ในวงกรรมฐานคุยกันว่า หลวงปู่บัวเวลาท่านบวชโกนศีรษะ โกนผม ผมตก ท่านบรรลุโสดาบันเลยล่ะ
หลวงปู่บัววัดหนองแซง ไม่ใช่หลวงตาพระมหาบัว ครูบาอาจารย์ชื่อบัว มี ๔–๕ องค์ องค์ที่เป็นที่สำคัญๆ ท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ องค์ที่ไม่สำคัญให้เป็นพระที่ดีก็พอใจแล้ว นี่พูดถึงแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกันไง เวลาปลงผม ผมตก พิจารณา เอาอะไรพิจารณา
สมัยพุทธกาล สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ คำว่า “เป็นพระอรหันต์” มันต้องมีอาสวักขยญาณ มันต้องมีมรรค ๘ มันต้องอรหัตตมรรคชำระอวิชชาถึงเป็นพระอรหันต์ แล้วสามเณร ๗ ขวบมีปัญญาอย่างนั้นน่ะ
ปัญญาทางโลกจะเรียนจบดอกเตอร์ จะศาสตราจารย์ต่างๆ ก็ต้องมีเรื่องวิชาการของเขา ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่สำเร็จได้มันต้องมีมรรคมีผลในหัวใจ แล้วมรรคผลในหัวใจนั้นน่ะ มรรค ๘ มันเกิดจากการกระทำของตน ไม่ใช่เกิดจากตามตำรา ไม่ใช่เกิดจากท่องจำมา ไม่ใช่เกิดจากการโกงพระพุทธเจ้า
ว่าอย่างนั้นเลยนะ
มันเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ แล้วคนที่จะมีสติปัญญาเท่ากับพระพุทธเจ้าแล้วเห็นเหมือนกันมันมีที่ไหน ไม่มี ไม่มีหรอก พระสารีบุตรก็บรรลุธรรมของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะบรรลุธรรมของพระโมคคัลลานะ พระอรหันต์แต่ละองค์ก็บรรลุธรรมของท่านเป็นสมบัติของท่านแต่ละองค์ นี่ไง เวลาบรรลุธรรมๆ ไง ฉะนั้น สิ่งที่ว่าถ้ามันมีมรรคมีผลขึ้นมาในหัวใจมันก็จะเป็นความจริง
แต่เวลาคนที่ปฏิบัติไปเริ่มต้นจากตรงนี้ คนที่ปฏิบัติเป็นไม่เป็นเขาวัดกันตรงนี้ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
ทำความสงบของใจเข้ามาก่อนทำไม
เพราะเวลาจะแก้กิเลส เวลาการภาวนาๆ เราภาวนาเราไปทำอะไรกัน ภาวนาเขาเรียกว่าจิตตภาวนา
เวลากรรมกรแบกหาม ชาวไร่ชาวนา เวลาเขาทำงานเขาใช้มือใช้เท้าเขานะ เขาขุดดิน เขาพรวนดิน กรรมกรแบกหามท่าเรือ คนทำงานออฟฟิศเขาก็ใช้สมองเขาทำงานนะ มือกดใหญ่เลย เขามีงานของเขา ไม่มีงานของเขา เขาจะมีอาชีพได้อย่างไร
นี่ก็เหมือนกัน เวลานักภาวนาๆ ภาวนาอะไร มานั่งภาวนาอยู่นี่ มาก็มีกายกับใจ ทุกคนก็มีกายกับใจ สงบไหมล่ะ
จิตตภาวนา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาได้ จิตสงบระงับแล้วจิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา งานของจิต ถ้างานของจิตมันจะเริ่มต้นอย่างนั้น ทีนี้งานของจิตก็เริ่มต้นงานของจิต ก็ต้องกลับมาที่คำถามแล้ว
“ผมภาวนามานานมาก แต่จิตมันชอบคิดเตลิดเปิดเปิงไปเลย เสร็จแล้วผมก็ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์มันดีขึ้นมานะ แต่มันก็ชอบคิดอกุศลไง”
นี่ไง เริ่มต้นมันก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา สาธุ คำสั่งคำสอนในพระไตรปิฎกถูกต้องทั้งสิ้น แต่เราใช้ไม่เป็นหรอก แล้วเราใช้ไม่ได้ เราใช้ไม่เป็น ใช้ไม่ได้เพราะอะไร
เพราะสติก็สติของเรา ไอ้นั่นมันชื่อ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชื่อของความรู้สึก เป็นชื่อของวิธีการ เป็นชื่อของการยกระดับของจิตขึ้น มันเป็นชื่อ มันเป็นสูตร มันเป็นทฤษฎี แล้วก็เอาทฤษฎีมาท่อง แต่ใจไม่เคยทำ ใจไม่เคยเป็น
แต่ถ้าใจเคยเป็นๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำมาก่อน ท่านถึงบอกว่าให้ทำความสงบของใจเข้ามา ให้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา มันก็เข้าคำถาม
เพราะเวลาจะทำความสงบของใจเข้ามามันก็จริตนิสัย มันก็กรรมของสัตว์ ทำสมาธิได้ง่าย ทำสมาธิได้ยาก ทำสมาธิไม่ได้เลย ทำสมาธิแล้วมันเครียด ทำสมาธิ นี่ไง กรรมของสัตว์ ทุกอย่างมันอยู่ที่การกระทำ
กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราภาวนามาไง แล้วภาวนามา พอเราภาวนาเราก็มีอุปสรรคเยอะแยะไปหมดน่ะ แต่อุปสรรคแบบนี้ไม่มี อุปสรรคแบบว่าคิดต่อต้าน ภาษาเรานะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านลงในธรรมและวินัย ลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงในรัตนตรัย คือจิตมันไม่ต่อต้าน
จิตที่มันต่อต้านมันต้องเริ่มกำราบปราบปรามจิตของเราให้ลงก่อน ให้ลงคือการเคารพ เห็นไหม “พ่อแม่ที่เคารพ” อู๋ย! ลับหลังมันด่าเช็ดเลย
ถ้าเคารพก็ให้มันเคารพจริงๆ ลงในธรรมวินัยคือมันเคารพ เคารพมันก็ไม่คิดแหวกแนว ไม่คิดพลิกแพลงไปในทางกิเลสไง
เวลาพลิกแพลงไปทางกิเลสนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเลิศล้ำกว่า ของเราศีล สมาธิ ปัญญา มันเตลิดเปิดเปิงบ้าบอคอแตกเลิศล้ำกว่าไง มันอุตตริไง มันอุตตริว่ามันยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้ายังรู้น้อยกว่าเราซะอีกนะ นี่เวลามันเตลิดเปิดเปิงไป มันไม่ใช่ นี่ไม่เคารพไง
แต่ถ้ามันลงนะ มันเคารพ ถ้าเคารพแล้วนะ มันไม่คิดแหวกแนว
หลวงตาท่านสอนประจำ ไอ้พวกทะลุกลางปล้อง ไอ้พวกหมาบ้า หมาบ้าคือมันกัดธรรมวินัยไง มันเอาธรรมและวินัยคือธรรมะของพระพุทธเจ้ามาตั้งเป็นโจทย์ แล้วก็แยกแยะว่าทำเป็นทางวิชาการ บอกว่าจะติจะเตียน มันทำของมัน นี้คือความไม่เคารพ
ถ้าความเคารพ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งไว้มันคืออะไร แล้วเรารู้หรือไม่ นั่นมันชื่อของมัน เวลาทำเสร็จแล้วไปถึงตรงนั้นนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส เห็นไหม ภิกษุองค์หนึ่งกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบซ้ำกราบซาก กราบอยู่อย่างนั้น เพราะอะไร กราบด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความมหัศจรรย์ กราบด้วยบุญกุศล กราบด้วยบุญคุณของท่าน กราบด้วยทางวิชาการที่ท่านเข้าถึง แล้วเวลาปฏิบัติไปถึงมันเป็นอย่างนั้นไง
ฉะนั้น เวลาที่ว่าเวลาจิตมันจะสงบมันจะมีแรงต่อต้านอย่างนี้ แล้วเขาถามว่า “แล้วให้หลวงพ่อชี้แนะว่าควรทำอย่างใด ผมอยากจะภาวนา ไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรม”
ไม่อยากสร้างเวรสร้างกรรมนะ จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ให้ขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ขอขมาลาโทษด้วยความเคารพไง
โดยธรรมชาติเราก็เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยเคารพ เพราะปัจจุบัน พื้นฐาน ผิวเผินนี่เคารพ แต่ไอ้ลึกๆ ไอ้จิตใต้สำนึกนี่ ไอ้กิเลสที่มันได้สร้างเวรสร้างกรรมกันมานี่ แล้วเวลาเราจะทำความสงบของใจเข้ามาจะเข้าไปตรงนั้นน่ะ จะเข้าไปตรงนั้นมันก็มีปัญหาอย่างนี้ ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน
ทีนี้เวรกรรมไง บางสำนักที่ปฏิบัติเขาว่าแก้กรรมๆ แก้กรรมไปแก้กันที่ไหน แก้กรรม แก้กรรมก็พิธีกรรมเท่านั้นน่ะ พิธีการ พิธีๆ พิธีแก้กรรม แต่แก้อย่างไรล่ะ โอ้โฮ! ตั้งโต๊ะใหญ่โตเชียวนะ โอ๋ย! ไหว้กันใหญ่เลย แก้กรรม ควันโขมงเลย
มันข้างนอก
แก้กรรม แก้กรรมเขาแก้ในหัวใจนี้ ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราด้วยความเคารพความบูชา ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษคือว่าสำนึกตัว ด้วยความเคารพ สำนึกแล้ว พอสำนึกแล้ว ขอขมาลาโทษ
มีพระและผู้ที่เป็นอย่างนี้หลายคนมาก เวลามาปรึกษาเรา เราให้ขอขมาลาโทษ เพราะเรื่องธรรมนะ เรื่องธรรมคือความถูกต้องชอบธรรม ความถูกต้องชอบธรรม
มันมีถูกกับผิด เวลาเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเห็นผิด เราเคยทำความผิด เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรามีสามัญสำนึก เราขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษ
กรรมก็คือกรรมนั่นแหละ แต่ขอขมาลาโทษคือฟื้นฟูไง ฟื้นฟู ขอขมาลาโทษไปเรื่อยๆ ขอขมาลาโทษไปเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นเราโง่ เราอาจจะมีความเห็นผิด เราอาจจะมีเพื่อนที่ชวนให้ผิด เราอาจจะมีครูบาอาจารย์ที่ผิด จะพาให้เราเห็นผิดมาตลอด เพราะตอนนั้นเราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เราไม่ได้เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราได้จาบจ้วง เราได้ทำลายสิ่งใดไปแล้ว นั่นน่ะมันเป็นบาปเป็นกรรมในหัวใจนั้นน่ะ นั่นเพราะเราไม่รู้
เพราะไม่รู้ ทำด้วยความไม่รู้มันทำเต็มไม้เต็มมือนะ เพราะมันไม่เห็นภัยไง แต่เวลาทำไปแล้ว กรรม กรรมคือการกระทำ เขาทำไปแล้ว ทำไปแล้วมันให้ผลไปแล้ว แต่นั่นมันก็เป็นอดีตกาลไกลแต่โพ้นมา เราไม่รู้นะ
พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระที่มีฤทธิ์มีเดชมาก เวลาท่านสำเร็จแล้วเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นผู้ที่เชิดชูศาสนานะ พวกเศรษฐีกุฎุมพีที่ไหนที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะโปรดนะ ให้พระโมคคัลลานะไปโปรดแทนๆ พระโมคคัลลานะทำหน้าที่แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายมหาศาลเลย แต่สุดท้ายแล้วคนจะมาทุบท่านๆ
ด้วยฤทธิ์ด้วยเดช เพราะท่านเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก ท่านรู้หมดน่ะ ครั้งที่ ๑ ก็เหาะหนี ครั้งที่ ๒ ก็เหาะหนี พอครั้งที่ ๓ อ๋อ! พิจารณาแล้วมันเป็นกรรมเก่าของเราเอง อดีตกาลแต่ไกลโพ้นนู่นน่ะ ชาติหนึ่งเป็นแม่ลูกกันสองคน แม่ก็มีลูกชายคนเดียว ก็อยากให้ลูกมีครอบครัว ลูกก็ไม่อยากมีครอบครัว เพราะลูกรักแม่มาก แม่ตาบอด ก็ดูแลแม่มาตลอด แม่ก็อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ก็พยายามไปหาลูกสะใภ้มาให้
พอหาลูกสะใภ้มาให้ ลูกสะใภ้ทีแรกหน้าฉากก็เป็นคนดี หลังฉากก็พยายามสร้างปัญหาว่าแม่เป็นผู้ที่ไม่น่าดูแล ทำให้เป็นความลำบากลำบนทั้งนั้นน่ะ เป่าหูจนสามีเชื่อ สามีก็พยายามเอาแม่ไปส่งญาติ ก็จะไปทุบทำลายแม่เสีย ไปฆ่าไว้เก่าไง ตกนรกอเวจีไปมหาศาล
พ้นจากนรกอเวจีมาแล้วต้องสร้างบุญสร้างกรรมนะ เพราะว่าพระอรหันต์หนึ่งแสนกัป เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา ต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีมาไง เพราะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีมามาก
ฉะนั้น พ้นจากนรกอเวจี สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอีกมากมายมหาศาลถึงได้มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ ยังโดนโจรทุบตาย จากเศษกรรมอันนั้นน่ะ เศษกรรม เห็นไหม นี่พระอรหันต์นะ
แต่พวกเราปุถุชน กำลังจะปฏิบัติเลย “หลวงพ่อ ผมอยากปฏิบัติมากเลย”
เราจะพูดถึงเศษกรรม เราพูดถึงกรรมอันนั้น มันเป็นเรื่องของบุคคลคนนั้น คนใดทำแล้วคนนั้นจะมีในหัวใจอย่างนั้น
ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปด้วยกัน นั่งบนศาลานี้เต็มศาลาเลย แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย จิตคนสงบก็สงบเลย บางคนสงบ โอ๋ย! ตัวพอง ตัวใหญ่ มาเล่าให้ฟังเยอะแยะ บางคนน้ำตาไหลพราก ขนลุกขนพอง ขนชัน นั่นเฉพาะบุคคล อีกบุคคลหนึ่งนั่งสัปหงกโงกง่วง อีกคนหนึ่งทุกข์เกือบตาย นี่มันแต่ละบุคคลไง
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน นี่เราจะบอกว่า มันเป็นเรื่องภายในของเรา
ถ้าอยากจะประพฤติปฏิบัติ เวลาฟังเทศน์ไปแล้วมันเกิดการโต้การแย้ง คิดว่ามันจะเป็นเวรเป็นกรรม คิดอยากจะหยุดภาวนาไป แต่เพราะกลัวบาปกลัวกรรม แต่ก็พยายามจะฝืนทน พยายามจะตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อยากจะประพฤติปฏิบัติ ให้หลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วย
ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ อย่าทิ้ง การปฏิบัติ ปฏิบัติสุดกำลังสุดฤทธิ์เราเลยล่ะ ทำของเราไปเรื่อยๆ นี่คือสมบัติของเรา
นักกีฬาออกกำลังกายเท่าไรมันก็สุขภาพแข็งแรงเท่านั้นน่ะ นั่งสมาธิมากน้อยแค่ไหน จิตใจของเราก็ได้ประสบการณ์เท่านั้นน่ะ คนฉลาดจะคนโง่ก็อยู่ที่การปฏิบัตินี้ คนที่ฉลาดๆ อยากจะฉลาดมาก นั่งสมาธินี่ฉลาดที่สุดเลย เพราะนั่งสมาธิมันมีสติเท่าทันความคิดมันหมดเลย แล้วถ้าความคิดมันดีแล้ว คนมีสติสัมปชัญญะ คนที่สมาธิลึกๆ เวลามันทำสิ่งใดมันอ่านเกมขาดหมดเลย คนที่ฉลาดคือคนที่นั่งสมาธิ คนที่จะมีปัญญาคือคนนั่งสมาธิ
นั่งสมาธิก็นั่งสมาธิสิ นั่งสมาธินี่เรื่องหนึ่งนะ นั่งสมาธิแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันยกขึ้นสู่ปัญญาไง นี่มันเป็นผู้ฉลาด
คนที่ฉลาดๆ นั่งสมาธิ ดูสิ อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้ารู้รอบขอบชิด สามเณรน้อย ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ คำว่า “พระอรหันต์” รู้รอบขอบชิดในหัวใจทั้งหมด นิ่ง
อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้ารู้หมดเลยแต่นิ่ง ไม่พูด เพราะโลกเขาไม่รู้กับเราหรอก พูดไปเขาว่ามึงบ้า กูกำลังจะรวย มึงจะมาขวางกูได้อย่างไร มันไปนู่นน่ะ ฉะนั้น เขาเลยนิ่งไง
อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า
นี่ก็เหมือนกัน เวลาที่ปฏิบัติ สิ่งที่ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติแล้ว ก่อนปฏิบัติก็ขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอขมาลาโทษเลยแหละ
“อ้าว! ก็ผมเพิ่งเกิดมา ผมไม่เคยทำอะไรเลย ผมจะไปขอขมาลาโทษใคร”
เออ! เอ็งขอขมาลาโทษเถอะ เดี๋ยวเอ็งจะเห็นผล
บางคนก็ว่า “ผมเกิดมาตั้งแต่เด็กจนป่านนี้ ผมเป็นคนดีเลิศ ผมไม่เคยทำความผิดอะไรเลย ทำไมผมมีกรรมอย่างนี้”
ไม่รู้มันทำตั้งแต่ชาติไหน ชาตินี้มันดีหมดแหละ คำว่า “ชาตินี้ดีผิวเผิน” การเป็นมนุษย์นี่ดี ดีนี่สุดยอดก็ปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่ปัจจุบันนี้ การแก้กรรม แก้กรรมก็แก้ที่ปัจจุบันนี้
อดีตอนาคตแก้ไม่ได้หรอก แต่อดีตอนาคตมันส่งผลมาปัจจุบันนี้ แล้วอดีตอนาคตที่ดีมันส่งมาปัจจุบันที่ดีงามมาก แล้วอดีตอนาคตปานกลางก็ส่งมาเป็นแบบพวกเรานี่ ครึ่งๆ กลางๆ แล้วเวลาทำไปมันมีสิ่งนี้สอดแทรกเข้ามา สิ่งที่สอดแทรกเข้ามาแต่ละบุคคลนะ เป็นเฉพาะบุคคล
มีคนมาถามปัญหานี้เยอะมาก แล้วสั่งสอนไป ให้ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษ มีวิธีการเดียวกันแก้กรรมๆ คือสำนึก สำนึกถึงการกระทำผิดที่มันทำไปโดยขาดสติภพใดชาติใดก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้มีสติ ตอนนี้รู้ว่าผิด
สิ่งที่เราทำมาแล้ว เราทำด้วยความสำนึก เราก็ขอขมาลาโทษ ขอไปเรื่อยๆ บางคนบอกเบาลงมาก บางคนเขียนมาถึงนี่เลย “หลวงพ่อ หายแล้ว” คือว่ามันเข้าไปสงบแล้วมันไม่เห็นไง มันไม่มีไง
เห็นไหม ไข้ โรคภัยไข้เจ็บเวลามีมันก็แสดงตัว เวลาด้วยคุณธรรมถึงที่สุดแล้วเวลามันหมดไปนะ จบ ไข้ก็หายไป แล้วเขาก็ภาวนาของเขาต่อเนื่องไป
มีคนทำแล้วหายก็เยอะ แต่ถ้ามันหนักหนาสาหัสสากรรจ์มันก็เบาบางลงนะ เบาบางลงก็ดีแล้วแหละ เบาบางลงมันไม่เดือดร้อนไง อย่างเช่นเรารู้ว่าไฟ เราจะไปหยิบไฟทำไม
ไอ้นี่รู้ว่าไฟนะ แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดอย่างไร เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นเรื่องอยู่ที่จิตสำนึก เขาเรียกมันผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุมีผล ผุดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วมันผุดขึ้นมาทำไม แล้วมันผุดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ แต่มันผุด นี่มันทำ
ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษ นี่กรรมของสัตว์ นี่พูดถึงวิธีการแก้ไง
“หลวงพ่อช่วยชี้แนะวิธีการด้วย”
ตอนนี้ให้ภาวนาต่อเนื่องไป อย่าทิ้ง แล้วก่อนภาวนาขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คือพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยที่แต่ละภพแต่ละชาติที่เราเคารพบูชา เราไปได้มีส่วนการกระทำที่ผิดพลาด มีส่วนการกระทำสิ่งใดที่ขาดสติยับยั้งหรือที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ทำไปแล้ว ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษ
มันเป็นสิ่งที่ดีงามของผู้ที่มีกตัญญูกตเวที ของที่เป็นสุภาพบุรุษที่เขาขออภัยต่อกัน เขาขออภัยต่อกันต่อเมื่อทำความผิดพลาดต่อกัน
นี่ก็เหมือนกัน จิตใจถ้ามันไม่เคยทำความผิดพลาดมามันจะไม่เกิดอาการอย่างนี้เด็ดขาด เกิดอาการอย่างนี้มันเป็นบอกเลยว่ามันเคยทำสิ่งใดมามันถึงเกิดอาการแบบนี้ แล้วเราก็ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษ
แล้วถ้าขอขมาลาโทษที่สุดยอดเลย เวลาภาวนาไปแล้วจิตสงบ เวลาคลายออกมาแล้ว นั่นน่ะมีผลมากเลย ภาวนาแล้ว ก่อนจะลุก ขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตลอดไป
แล้วบอกว่า “มันไม่มีเหตุมีผล”
เออ! มันไม่มีเหตุมีผล แต่ทุกข์ฉิบหายเลย เวลามันเห็น โอ๋ย! มันฟูหมดเลย ไม่มีเหตุมีผล
คนอื่นมันเรื่องของเขา คนเขาไม่มีเหตุมีผลมันเรื่องของเขา แต่เรามี ทุกข์เกือบตาย แล้วขอขมาลาโทษไปนะ แล้วจะรู้เอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะเบาบางของเราไปเรื่อยๆ พอมันเบาบางไป เราก็มั่นใจว่าเราทำถูกทาง แล้วทำมากขึ้นๆ แล้วมันจะเบาลงจนหายไป แล้วเราก็กลับมาภาวนาของเราให้ดีขึ้น นี่ผลจากการภาวนานะ
ฝึกหัดภาวนา ภาวนาเพื่ออะไร
ภาวนาเพื่อจิตสงบ จิตที่สงบระงับแล้ว จิตตั้งมั่นมีกำลังแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตตภาวนา แล้วเวลาเกิดปัญญา ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา
ปัญญาเกิดจากการภาวนาไม่ใช่ปัญญาจากการศึกษา การทรงจำ การวิเคราะห์วิจัย ไม่ใช่ทั้งสิ้น
เกิดจากการภาวนาเรียกว่าธรรมจักร จักรมันเคลื่อน จักรมันหมุน ธรรมจักร เวลามรรค ๘ มันเคลื่อนมันหมุนไป จักรนี้มหัศจรรย์มาก แล้วจักรนี้เวลามันสมุจเฉทปหานนะ มันมรรคสามัคคี สมุจเฉทปหาน กิเลสมันจะขาดออกไปจากหัวใจ มหัศจรรย์ๆ
ปฏิบัติเถิด แล้วจะรู้จะเห็น ถ้ารู้เห็นแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านเทศนาว่าการมาแล้ว สัจจะ ถ้าเราเป็นจริงแล้ว การศึกษามันทันกันได้
การปฏิบัติ ถ้าคนมีอำนาจวาสนาเขาทันครูบาอาจารย์ได้ แล้วถ้าปฏิบัติไปแล้วนะ กาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อผลจากการประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงอันเดียวกัน มันจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่ เพราะมันอันเดียวกัน
แต่ถ้ามันคนละอัน เออ! ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีการขัดการแย้งกัน ถ้ามีการขัดการแย้งกันต้องผิดคนหนึ่งแน่นอน ต้องมีคนหนึ่งผิด แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดไม่มีแย้ง
หลวงปู่มั่นท่านเคารพบูชาหลวงปู่เสาร์มาก หลวงตาถ้าวันไหนไม่ได้กราบหลวงปู่มั่นก่อน นอนไม่ได้ ก่อนจะนอนต้องกราบหลวงปู่มั่นก่อน หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมา หลวงปู่มั่นเลี้ยงมาฟูมฟักมา ฟูมฟักขึ้นมาให้เป็นธรรมทายาท ให้เป็นศาสนทายาท ทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อประชาชนที่ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย ได้เป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นเกาะเป็นดอน ได้หลบจากกิเลส หลบจากภัยเข้ามาพึ่งพาอาศัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอวัง