ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ความรู้หาย

๒๔ ต.ค. ๒๕๖๓

ความรู้หาย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “คำภาวนาหาย”

เรียนท่านอาจารย์ครับ พอดีทุกครั้งก่อนที่จะถอนสมาธิจะใช้วิธีการนับตัวเลข เพราะไม่อยากถอนสมาธิแบบพรวดพราด แต่ช่วงหลังจะนับเลขได้ไม่จบ เช่น นับ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วอยู่ๆ ก็หลุดไปเฉยๆ ต้องกลับมานับเลขใหม่ แบบนี้เกิดจากอะไรครับ และมีวิธีแก้อย่างไรครับ ปกติไม่เป็นครับ

ตอบ : นี่พูดถึงว่าเวลาที่จะประพฤติปฏิบัติไง เวลาเราจะประพฤติปฏิบัตินะ เราอยากจะหัดนั่งสมาธิ คนที่นั่งสมาธิหรือทำความสงบของใจ การนั่งสมาธิ นั่งสมาธิเพื่อทำความสงบของใจ

ทำไมต้องทำความสงบของใจ

เพราะใจของเรามันว้าวุ่น ใจของเรามันทุกข์มันยาก เวลาใจมันทุกข์มันยาก แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นธรรมโอสถ เวลาทุกข์เวลายาก เราฟังธรรมๆ เราคิดในเรื่องธรรมะ มันจะทำให้เราเห็นแจ้งได้ว่า สิ่งที่ว่าเป็นทุกข์เป็นยากอยู่นี่เพราะว่าเราเห็นผิด เราหลงผิด เราคิดผิด มันก็พอปล่อยวางได้ แต่มันก็ได้แค่นั้น

นี่พูดถึงว่าคนที่เวลามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาไม่มีที่พึ่งที่อาศัย เวลามาศึกษาธรรมะแล้วก็ โอ้โฮ! ยอดเยี่ยมๆ ยอดเยี่ยมมันก็เป็นการศึกษาธรรมะ ถ้าศึกษาธรรมะในภาคปริยัติ

เวลาภาคปฏิบัติ เวลาจะภาคปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติ หลวงตาท่านสอนไว้ เวลาทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว เวลาทำสมาธิได้คือทำความสงบของใจได้ อย่าออกแบบพรวดพราด อย่าออกจากสมาธิโดยพรวดพราด โดยความใจร้อน โดยความคิดของเราเอง ให้ค่อยๆ ออก

เพราะว่าถ้าออกพรวดพราด ท่านเคยเป็น คนที่ประพฤติปฏิบัติมาเวลาเคยเป็นสิ่งใดที่มันเป็นอุปสรรคหรือมันเป็นข้อผิดพลาดของใคร มันจะฝังใจคนคนนั้นมาก เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้วมีอะไรที่มันผิดพลาด มันฝังใจ พอฝังใจแล้วเวลาท่านมาเทศนาว่าการ มาอบรมสั่งสอน ท่านก็พยายามจะคอยเตือนไง ว่าเวลาออกจากสมาธิอย่าออกพรวดพราดนะ ถ้าออกพรวดพราดแล้วต่อไปจะเข้าสมาธิได้ยาก เพราะอะไร เพราะว่ามันออกพรวดพราดมันก็มีแบบมีแผนของมัน เห็นไหม

อย่างเช่นเครื่องยนต์ เวลาเครื่องยนต์ เวลาเขาแก้ไข เขาขันน็อตของเขา เวลาเกลียวต่างๆ มันต้องพอดีของมัน ถ้าเราใส่พรวดพราดเข้าไปมันปีนเกลียวหรือมันผิดเกลียวของมัน มันจะทำให้เสียหาย แล้วได้หนเดียว ใช้ไม่ได้อีกแล้วเพราะมันเสีย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาท่านสอน ท่านบอกอย่าออกพรวดพราด นี้ผู้ที่ปฏิบัติเขาก็ทำตาม ทำตามว่า เวลาทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว เวลาจะออกใช้วิธีนับ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วค่อยๆ ถอยออกมา มันทำอย่างนี้ได้ดีมาตลอด แต่อยู่ดีๆ มันนับ ๑ ๒ ๓ มันหายไปเลย มันหลุดไปเลย แล้วถามว่า นี่คืออะไรครับ นี่คืออะไรครับ

นี่คือว่ามันสะดุดไง ความรับรู้ของเรา เวลาทำสมาธิ ทำความสงบของใจขึ้นมา มันจะมีสติตามความรู้สึกเข้าไปตลอด ถ้ามันมีช่วงที่มันหายไปหรือช่วงที่เราคิดว่าเรารู้อยู่นะ นั่นน่ะหายไปแล้ว

ส่วนใหญ่คนจะบอกว่า ก็มีสติอยู่ พร้อมอยู่

มันพร้อมตอนแรก มันพร้อมตอนนั่งใหม่ๆ น่ะ พอนั่งไปนั่งมามันจะวูบหายไปเลย แล้วหายไปเลย คำว่า หายไปเลย” ความรู้สึกของเรา เราคิดว่ามันต่อเนื่องไง แต่ความจริงมันหายไปแล้ว นั่นคือตกภวังค์

เวลาตกภวังค์ขึ้นมาแล้ว แล้วถ้าใครที่แบบเชื่อมั่นในตัวเองไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ผิดมาแล้วๆ เวลาจิตเวลาภาวนาไปมันจะมีอุปสรรคของมัน มันจะมี ถ้าภาษาเรานะ มันมีกรรมของสัตว์ๆ ใครมีเวรมีกรรมมากน้อยขนาดไหนมันสนองทั้งนั้นน่ะ มันสนองทั้งนั้นน่ะ

ใครทำกรรมดี กรรมชั่ว ถ้าทำกรรมดีมา ขิปปาภิญญาไง คนที่สร้างคุณงามความดีมา คนที่สร้างบุญกุศลมา ขิปปาภิญญาคือปฏิบัติง่ายรู้ง่าย คนที่มีบาปอกุศลมา เราทำมาๆ เวลาทำอะไรไปมีอุปสรรคทั้งนั้นน่ะ

เวลาเราคิดถึงนะ คิดถึงท่านพ่อลี ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ท่านไปนั่งที่ชายทะเล ยุงทะเลมันมาทีมันเป็นลูกๆ อย่างพายุเลยนะ ท่านไปนั่งอยู่ที่ชายทะเล นั่งหลับตาเลย ให้ยุงมันกัด แล้วท่านใช้ขันติของท่านน่ะ

โอ้โฮ! ยุงกัดเราตัวเดียวเราก็ทนไม่ไหวแล้ว ไอ้นี่ยุงทะเลมาเป็นฝูงๆ เลย ท่านนั่งอยู่นั่นน่ะ หลับตาเฉย ตั้งสติของท่าน ตั้งสมาธิของท่าน ยุงจะกัดขนาดไหนก็เรื่องของยุง

ท่านบอกนะ เวลานั่งไปมันก็เป็นสมาธิไปนั่นแหละ จิตมันสงบได้มันก็แบบว่าอุเบกขาได้ วางได้ พอออกจากสมาธิ ท่านบอกผ้าจีวรนี่แดงหมดเลย ยุงมันกัดน่ะ

นี่พูดถึงว่าเวลาครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน ท่านจะมีเวรมีกรรมอย่างใดก็แล้วแต่ ท่านทำเพื่อให้ทาน นี่เวลาท่านทำได้ไง

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาถ้ามีสิ่งใดแล้วติดขัดหรือว่ามันจะเป็นอุปสรรค อุปสรรคว่าทำอย่างนั้นได้จริงไหม ได้ แล้วถ้าออกพรวดพราดหรือออกโดยที่ว่าเราเป็นคนหยาบ แล้วต่อไปมันจะเข้าได้ยาก

เพราะจิตนี้มันฝังใจ มันฝังใจแล้วมันมีอุปสรรคตลอดเวลา แล้วตอนนี้ก็ต้องค่อยๆ มาแก้ไข ค่อยๆ มาแก้ไขคือพยายามจะเข้าให้ได้ไง พยายามทำความสงบของใจ ทั้งล่อด้วยสติ ทั้งใช้ปัญญาชักนำ แล้วทั้งใช้บริกรรมไป

เมื่อกี้เวลาบอกว่าให้พุทโธอย่างเดียว เวลาอย่างนี้ แหม! ต้องมีเครื่องล่อ

คนที่เขาฝึกเป็นแล้ว เขาชำนาญแล้ว เขาทำได้ นายช่างใหญ่เป็นช่างซ่อมรถยนต์เขาหลับตาเขาทำได้หมดเลย ไอ้เราติดเครื่องฟังเสียง รู้ว่าเครื่องมันเสียแต่ไม่รู้ว่ามันผิดตรงไหน

นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่ชำนาญแล้ว สิ่งที่ว่าเวลาท่านแก้ไขของท่าน ท่านก็พยายามจะใช้ปัญญาหาเหตุหาผล ใช้สติยับยั้งให้ดี แล้วใช้บริกรรมต่อเนื่องไป ถ้าคนที่ชำนาญนะ

เพราะจิตมันเสื่อมๆ จิตมันเสื่อมถึงเวลามันมีผลกระทบ มันมีผลกระทบอย่างเช่นนั่งสมาธิไปแล้วสติของเราอ่อนแอ แล้วพอไปเห็นสิ่งใดเข้ามันตกใจมาก ผัวะ! หลุดเลย เห็นไหม นี่กรรมของสัตว์

ฉะนั้น เวลามีครูบาอาจารย์นะ ท่านจะให้ตั้งสติให้ดีๆ แล้วพุทโธต่อเนื่องไปๆ แล้วเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดเข้ามารบกวนเราหรอก เราตั้งใจ

แต่คน ดูสิ ดูเด็กๆ บางคนกล้าหาญมาก บางคนขี้กลัวมาก บางคนอ่อนแอ จิตก็เหมือนกัน จิตผู้ที่กล้าหาญ ผู้ที่มีอำนาจวาสนาเขาทำได้ ไอ้ผู้ที่อ่อนแอที่วิตกกังวลมันกลัวไปหมดเลยน่ะ มันก็ค่อยๆ แก้ไข ที่เวลามันพรวดพราด มันมีปัญหา นี่พูดถึงการทำสมาธิไง

ทีนี้ทำสมาธิเขาบอกว่า สิ่งที่ว่านับ ๑ ๒ ๓ แล้วมันหลุดมันหายไป นั้นมันคืออะไร

มันหลุดมันหายไป มันหลุดมันหายไปแต่เรายังมีสติอยู่ไง เพราะพอมันหลุดมันหายไป แล้วเราก็มานับ ๑ ๒ ๓ ใหม่ นี่ใช้ได้ แต่เวลามันหลุดมันหายไป มันหลุดมันหายไปเพราะว่าจิตของคนไง ความต่อเนื่อง ความต่อเนื่องบางทีมันหยุด มันสะดุดอย่างนี้ เป็นไปได้ มันเป็นไปได้

ทีนี้เป็นไปได้ บางคนเวลานับ ๑ ๒ ๓ ๔ มันสะดุดปั๊บ “อู้ฮู! นี่ลงสมาธิอย่างดี”

ไม่ใช่ ไปภวังค์แล้ว

ถ้าไปภวังค์แล้ว ทีนี้เรา เรากลับมานับใหม่ ๑ ๒ ๓ ๔ หลุด หลุดแล้วเขาก็กลับมาเริ่มต้นนับใหม่ มันไม่มีปัญหาหรอก อย่างเช่นการออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่เขาออกกำลังกาย เขาวิ่ง เขานั่งต่างๆ บางทีมันก็สะดุดได้ ล้มได้ พลิกแพลงได้ เราก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เหมือนกัน เวลาเขาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกาย ไอ้เราทำพุทโธๆ หรือเราปฏิบัติ เราเพื่อสุขภาพจิต แล้วสุขภาพจิตของคนที่ดีด้วย

เวลาครูบาอาจารย์ของเราสติสมบูรณ์แบบ ท่านเดินไปไหนนี่นิ่ง เดินไป ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะรอบหมด ท่านนิ่งของท่าน นี่สุขภาพจิตที่ดีงาม สุขภาพจิตที่ดีเพราะอะไร

เพราะเราในปัจจุบันนี้เราไม่นั่งสมาธิ ในปัจจุบันนี้เราเดิน เราทำหน้าที่การงานของเราอยู่ เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่กับการกระทำนั้น มันไม่ออกเลยไปมากกว่านั้นไง อย่างเรา เราทำหน้าที่การงานของเราอยู่ แต่มันคิดนอกเรื่องนะ เป็นห่วงเรื่องนั้น เป็นห่วงเรื่องนี้ เป็นห่วงเรื่องนู้น เป็นห่วงไปหมดเลย ทั้งๆ ที่บอกว่าทำงานอยู่นะ นี่เวลาถ้ามันไม่ปกติ ไม่ชำนาญจะเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าที่มันหลุดไปแล้ว

หลุดไปก็เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาของจิตที่มันมีอาการอย่างนั้น แต่มีอาการอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา มันไม่เสียหาย แต่มันเป็นประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติไง

เวลาเขาบอกว่าเขาทำสมาธิของเขา พอเราทำสมาธิ เคยทำสมาธิ เข้าสมาธิแล้วออกสมาธิ ไม่ให้ออกพรวดพราด นับ ๑ ๒ ๓ ๔ นั่นก็ประสบการณ์ที่ถูกต้องดีงาม มาคราวนี้นับ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วหายไปเลย มันก็เป็นประสบการณ์อันหนึ่งว่า

หนึ่ง ประมาทไม่ได้ เราต้องมีสติระวังตลอดเวลา เห็นไหม จิตนี้มันไวมาก ไวมากเราก็พยายามฝึกหัดจนสติเราทันมันหมด

สติ มหาสติ เวลาทำสมาธิ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ แล้ว

เราไม่อยากพูดไง เวลาพูดแล้วคนมันจะเอาตาม มันจะขี้เกียจไง

กำหนดปั๊บ ถอยหลังเข้าสมาธิหมดล่ะ เพราะสมาธิมันอยู่ที่กำหนดนั้น

แล้วเวลาพุทโธๆ มันห้าม ห้ามว่าปล่อยพุทโธหรือพุทโธหาย คำว่า พุทโธหาย” พุทโธหายนี่ไง

ภาวนาว่า ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วหายไปเลย

หายไปเลยก็ลงภวังค์หมด

เวลาถ้ามันหายไปเลย ทำไมครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า เวลาพุทโธๆ จนพุทโธมันหายไป

พุทโธมันหายไป มันหายไปด้วยสติสัมปชัญญะ มันหายไปด้วยความพร้อม มันหายหมดเลย อย่างเช่นเราเอาเงินหนึ่งล้านไปฝากธนาคาร หายหมดเลย ธนาคารเอาไปหมดเลย แต่มันมีตัวเลขไง เงินหนึ่งล้านไปฝากธนาคาร แล้วเงินไปไหนล่ะ ก็อยู่ในธนาคาร หายจากเราไป

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆๆ จนมันพุทโธไม่ได้ต่างหาก มันไม่ได้หายไปไหน แต่มันเป็นภาษาพูดไง ภาษาพูดว่าพุทโธๆ จนพุทโธหาย

พอพุทโธหาย พวกเราก็ตั้งใจจะให้มันหายไง แกล้ง แกล้งให้มันหาย

เขาไปธนาคาร เขามีเงินเขาไปฝากธนาคาร บัญชีเขาก็ขึ้นตัวเลขหนึ่งล้าน ไอ้เราไม่มีอะไร เราสมมุติว่าเรามีหนึ่งล้าน แล้วเราไปฝากไว้หนึ่งล้าน เราก็สมมุติว่าในบัญชีเรามีหนึ่งล้าน แต่ไม่มีเลย มันต่างกันอย่างนี้

เราพุทโธๆ พุทโธหายๆ แล้วทุกคนก็ต้องการตรงนั้น

พุทโธไปเถอะ พุทโธไปเรื่อยๆ อย่าให้หายนะ

แล้วถ้ามันจะหาย มันจะหายโดยข้อเท็จจริงโดยธรรมชาติ เรานึกพุทโธๆ พุทโธจนละเอียด พุทโธจนมันไม่พุทโธเลย จนมันไม่พุทโธ มันพุทโธไม่ได้เพราะอะไร มันพุทโธไม่ได้เพราะมันไม่เสวยอารมณ์ มันเป็นอิสระในตัวของมันเอง

วิตก วิจาร เรานึกขึ้นมันถึงมีพุท แล้วเราก็มาแบ่งเป็นพุทและโธ มันเลยเป็นวิจาร วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ ปล่อยว่างหมด จิตตั้งมั่น นั่นน่ะสมาธิ

แต่เราก็พุทโธๆ ของเราไป พุทโธเพื่อจะเอา เอาสิ่งนี้ให้มันเป็นอิสระ ถ้ามันเป็นอิสระ จนพุทโธหาย มันพุทโธไม่ได้หรอก อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่าปรากฏ สักแต่ว่า จิตรับรู้ในตัวมันเอง ไม่รับรู้อาการที่สอง ไม่รับรู้ผลข้างเคียง ไม่รับรู้อะไรเลย เวลาถ้ามันลงอัปปนานะ ดับหมด อายตนะนี้ดับหมดเลย นั้นคือตัวพุทโธแท้

แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่จิตสงบระงับแล้วก็ฝึกหัดใช้ปัญญา พอจิตมันสงบเป็นสมาธิแล้วเวลาเราเห็นสิ่งใดเราก็ใช้สติปัญญาใคร่ครวญอย่างนั้น

ถ้าจิตของคนมันสงบแล้ว มันมีกำลังแล้ว เห็นอะไรเป็นธรรมหมดนะ เห็นใบไม้ร่วง เห็นคนทะเลาะกัน บอกเพราะคนเขาไม่ศีลเขาถึงทะเลาะกัน เห็นอะไรก็แล้วแต่มันจะน้อมกลับมาเป็นแง่บวกของเราได้หมดเลย ถ้าจิตเป็นสมาธินะ

แต่ถ้าจิตไม่เป็นสมาธินะ เห็นใบไม้ร่วงมันก็ติ “ใบไม้ทำไมต้องร่วงให้เราเก็บให้เรากวาดด้วยล่ะ ทำไมเราต้องมาเก็บมากวาดอยู่ที่นี่” ถ้าจิตมันไม่สงบนะ ใบไม้ร่วงมันก็เป็นสิ่งที่กวนใจได้ คิดเป็นเรื่องจนเราทุกข์ เห็นเขาทะเลาะเบาะแว้งกัน “อืม! คนเขาทะเลาะเบาะแว้ง เดี๋ยวเราก็จะทะเลาะคนอื่นต่อไปอีก” มันคิดเป็นสิ่งอุปสรรคของคนทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีสมาธิ

แต่ถ้ามีสมาธิ ใบไม้ร่วงมันเป็นธรรมเลยล่ะ มันเป็นธรรมชาติ ใบไม้มันเกิดจากต้น จากกิ่งจากก้านของมัน เกิดจากกิ่งจากก้านของมัน พอมันเป็นใบไม้อ่อน ใบไม้แก่ เพื่อสังเคราะห์แสง เพื่อสังเคราะห์อาหารเข้าไปเลี้ยงลำต้นมัน ถึงหมดฤดูกาล หมดการใช้สอยแล้วมันก็สลัดใบมันทิ้ง มันเป็นธรรมขึ้นมา แล้วต่อไปฤดูกาลหน้ามันก็จะมีใบไม้อ่อนผลิออกมา แล้วมันก็จะทำหน้าที่กรองเอาแสงเพื่อเอาสารอาหารเข้าสู่ลำต้น นี่ถ้าจิตเป็นสมาธิ ฉะนั้น พอจิตมันสงบระงับแล้วก็ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ

ปัญญาจะเกิดเองไม่ได้ แล้วถ้าปัญญาๆ ของเรา ปัญญาเริ่มต้นเขาเรียกปัญญาอบรมสมาธิ คือปัญญาคิดแบบสามัญสำนึกของเรามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ จะตรึกจะตรองในปฏิจจสมุปบาท จะเป็นว่าอรรถกถา สิ่งนั้นมีถึงมีสิ่งนั้น สิ่งนั้นมีถึงมีสิ่งนี้ คิดอย่างไรมันก็เป็นโลกียะทั้งนั้นเพราะมันเป็นเรื่องโลกๆ เพราะมันไม่มีสมาธิ ไม่มีสมาธิคือไม่มีกำลังของจิต เวลาคิดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แต่ท่องจำ ท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองไง

แต่เวลามันเป็นขึ้นมามันเป็นของเราเอง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ นั่นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอมีสัมมาสมาธิมันเกิดของเรา นี่ของเราๆ มันเกิดเอง มันไม่ใช่ความจำ มันไม่ได้ไปฉ้อฉลใครมา มันเกิดจากการฝึกหัด พอจิตมันเป็นสมาธิแล้วก็ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ พอฝึกหัดใช้ปัญญาจนเป็นปัญญาของเราไง

อย่างเช่นปัญญาของหลวงตาพระมหาบัว จิตของท่านเปรียบเหมือนจุดและต่อม ปัญญาของหลวงปู่ขาว จิตของท่านเปรียบเหมือนเมล็ดข้าว ปัญญาของหลวงปู่บัว จิตของท่านเปรียบเหมือนขางคาน คานกุฏิ

จิตของแต่ละบุคคลเวลามันเกิดปัญญา ปัญญาที่มันเกิด มันเกิดมาจากสัมมาสมาธิ เกิดจากจิตตั้งมั่น เกิดจากมีคุณธรรมในใจ มันพัฒนาเป็นปัญญาของตน ไม่ได้ไปแย่งไปชิงไปโกงใครมา มันเป็นภาวนามยปัญญาเกิดจากการกระทำ จากการฝึกหัดนี่ไง

พอจิตมันสงบระงับแล้วเราก็ฝึกหัดใช้ปัญญาของเราๆ ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ไตร่ตรอง ไตร่ตรองในการก้าวการเดินการอยู่ของเรา พิจารณาได้หมดน่ะ มันเป็นธรรม แล้วเป็นธรรมไม่เป็นธรรมธรรมดาด้วยนะ มันเป็นธรรมมันมีรสชาติด้วย รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของสติธรรม

เวลามันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยาก มีสติสัมปชัญญะหยุดได้นะ เออ! นี่คือสติเนาะ สติตัวจริงมันเป็นอย่างนี้เนาะ สติในตำราก็อย่างหนึ่งเนาะ

สติสามัญสำนึกของปุถุชนไง ปุถุชน คนที่สติมั่นคง สติอ่อนแอ มันเป็นเรื่องของเวรกรรมของสัตว์ไง แต่นี่เราฝึกของเรา เราฝึกขึ้นเดี๋ยวนี้ไง มันยับยั้งความฟุ้งซ่านได้ ยับยั้งความคิดผิดได้ ยับยั้งความทุกข์ความร้อนได้ อ๋อ! นี่คือสติเนาะ

เวลาเป็นสมาธิๆ ถ้ามันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันเป็นจริง โอ้โฮ! สมาธิมันเป็นอย่างนี้เนาะ ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ อย่างที่เราเคยคิดไง ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ มันก็สร้างอารมณ์ว่าเป็นสองอยู่วันยังค่ำ

เป็นสมาธิก็เป็นสมาธิไง แล้วก็ฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดนี้เกิดอย่างนี้ นี่ฝึกหัดใช้จนมันเป็นไปได้ แล้วมันทำของมันขึ้น มันจะเจริญของมันขึ้น

นี่พูดถึงว่า เวลาผมนับ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วมันหายไปไหน สิ่งที่มันหลุดไปมันคืออะไร

นี่มันเป็นอาการ อาการของจิตมันเป็นได้หลากหลาย หลวงปู่มั่นท่านบอกไง “จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก”

จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก มันเป็นได้ทั้งหมด เป็นเปรตก็ได้ เป็นเทวดาก็ได้ เป็นอสุรกาย เป็นได้หมดเลยถ้ามันโดนกิเลสครอบงำ เวลามันมีคุณธรรมครอบงำนะ เป็นเทวดาก็ได้ มนุสสเทโว เป็นเทวดาก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ มันเป็นได้ทั้งนั้น เป็นได้ด้วยสติปัญญาฝึกหัดอย่างนี้ ฝึกหัดอย่างนี้

จิตของเรามันต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะ ได้จากการฝึกหัด ฝึกหัดจากการกระทำ เราฝึกหัดที่เรามีสติปัญญานี่

เราฝึกหัดๆ ฝึกหัดอะไร

โอ้โฮ! เรียนจบมาทำงานเยอะแยะ โอ้โฮ! เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โตเลย

นั่นของโลกเขา

ฝึกหัด ฝึกหัดจนรู้เท่าทันตัวเองนั่นน่ะ สมบัติสาธารณะเป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติของเรา ถ้าใครมีคุณธรรมในหัวใจมันจะเป็นประโยชน์กับโลก เป็นประโยชน์ทั้งตัวเราด้วย เป็นประโยชน์ทั้งเขาด้วย แต่ถ้าจิตใจมันไม่เป็นธรรมนะ เป็นโทษกับเรา

มีเศรษฐีมากมายมหาศาลไม่กล้าใช้ตังค์ มีเงินมากมาย ความเป็นอยู่ไม่เคยใช้ให้มันสมฐานะของความเป็นมนุษย์เลย ตังค์นี้หายาก ของนี้หายาก แล้วไม่ใช้ไม่สอยทั้งสิ้น เป็นโทษทั้งตัวเอง เป็นโทษทั้งเงินทอง เป็นโทษทั้งคนอื่นก็ไม่ได้ประโยชน์

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ เราก็ได้ประโยชน์ โลกก็ได้ประโยชน์ เพราะเศรษฐกิจมันหมุน ทุกคนได้ประโยชน์หมดเลยถ้าใจเป็นธรรม ใจมันไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไป นี่อยู่ที่การฝึกหัด

ฉะนั้นบอกว่า ที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วมันหายไปไหน

หายไปได้ มันสะดุดได้ อันนี้ก็เป็นประสบการณ์อันหนึ่งว่า อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้ ต่อไปมันจะมีแง่งอน มันจะมีเล่ห์เหลี่ยมที่ทำให้เราผิดพลาด

หน้าที่ของกิเลสคือการทำลาย ทำลายคุณงามความดี ทำลายการกระทำ ทำลายที่เราจะสร้างประโยชน์กับตัวเราเอง กิเลสมันก็มาขัดแข้งขัดขาตลอดไป แล้วถ้ากิเลสมันละเอียดกว่านี้จะหัวปั่นกว่านี้

โอ้โฮ! ปฏิบัติแล้วทุกคนต้องเชิดชูบูชา ทุกคนจะยกย่อง

แล้วเดี๋ยวจะรู้ว่ากิเลสมันจะยกย่องหรือไม่ หัวทิ่มบ่อเลยล่ะ เดี๋ยวเถอะ

แต่เรารู้จักมัน เราได้เห็นหน้ามัน เราได้มีการกระทำไง

ถ้าเราไม่ได้กระทำอะไรเลยนะ กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส คือความรู้สึกนึกคิดทิฏฐิมานะความเห็นของเราเป็นเราทั้งสิ้น คิดสิ่งใด ทำสิ่งใดดีงามไปทั้งสิ้น ทั้งที่การกระทำนี้เบียดเบียนคนอื่น ทำร้ายคนอื่นอยู่ตลอดเวลา มันก็ว่าเป็นความดีงามทั้งสิ้น ถ้ากิเลสเป็นเรา

แต่ถ้ากิเลสไม่ใช่เป็นเรา เออ! อันนี้เป็นกิเลสเนาะ กิเลสคือความเห็นแก่ตัว กิเลสคือการทำลายเขา เออ! มันไม่น่าทำ เพราะการทำลายเขานั่นคือเท่ากับทำลายตัวเรา ยิ่งกว่าทำลายตัวเราด้วย เพราะมันเป็นกรรมของเราไป

การกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่มันจะเป็นเวรเป็นกรรมของผู้ที่กระทำนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นสัจจะเป็นความจริงทั้งสิ้น แล้วเราโง่เขลา กิเลสมันปิดมันบังจนไปทำลายเขา สร้างเวรสร้างกรรม แล้วเมื่อไหร่ที่สิ่งที่เราทำนี้เราต้องไปชดใช้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ทำไปแล้วนี่เสียใจมาก

แต่ถ้าทำดีๆ ทำดีเราก็ได้ดี ทำดี ทำดีเพื่อความดี ทำดีไม่ต้องให้ใครรับรู้ ทำดีไม่ต้องมีใครรู้จัก ทำดีเพื่อความดีไง ทำดีเพื่อประโยชน์ แล้วแต่สัตว์โลกจะเห็นดีหรือเห็นชั่วมันเรื่องของเขา มันเป็นกรรมของสัตว์ ถ้าสัตว์โลกนัยน์ดวงตาเขาเบาบาง เขาก็รู้เองว่าดีหรือชั่ว แต่คนที่นัยน์ดวงตาเขาหยาบเขาหนา เขาก็ว่าอยากดัง อยากใหญ่ อยากสร้างความดี นั้นก็กรรมของสัตว์ ไม่ได้ทำความดีนั้นเป็นกรรมของสัตว์ไง

นี่พูดถึงว่าถ้าใจเป็นธรรมนะ ฉะนั้น ฝึกหัดไป สิ่งที่มันหลุดมันหายไป มันสะดุดนิดหน่อย มันสะดุดได้ มันไม่ราบรื่น

การกระทำของเราโดยทฤษฎีมันราบรื่น มันเป็นสเต็ปนะ ๑ ๒ ๓ ๔ ตามทฤษฎีไง แต่การกระทำมันอยู่ที่อุปสรรคของแต่ละบุคคล กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันเป็นกรรมทั้งสิ้น

เพราะลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเวลาท่านสนทนาธรรม เราเป็นคนพยายามศึกษาไง เวลาวิทยานิพนธ์ เวลาธรรมที่มันเกิดแต่ในหัวใจของแต่ละองค์ไม่เหมือนกัน

พระอรหันต์เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งสิ้น เวลาพิจารณาถึงขั้นสุดท้ายของใครของมัน ต่างคนต่างเป็นวิทยานิพนธ์ของแต่ละบุคคล เพราะเวรกรรมของคนมันไม่เหมือนกัน เวรกรรมของคนทำมาแตกต่างกัน แต่อริยสัจมีหนึ่งเดียว

ทำเหมือนกัน ทำถึงที่สุดแห่งทุกข์เหมือนกัน แต่วิธีการของแต่ละคน เพราะกิเลสมันหยาบมันหนาแตกต่างกัน นี่พูดถึงการกระทำนะ 

นี่คำถามว่า เวลาผมนับ ๑ ๒ ๓ แล้วมันหายไปไหน

มันสะดุดเฉยๆ สิ่งที่มันหายมันก็หายไปแล้ว เราไม่ต้องจะไปติดตาม จะหาว่ามันคืออะไร แล้วเวลาทำต่อไปเวลามันปลิ้นมันปล้อนมันจะหลอกมากกว่านี้อีก แล้วมันหลอกมากกว่านี้ แล้วถึงตอนนั้นก็แก้เป็นสเต็ปๆ แก้เป็นปัจจุบันๆ ไป ต้องแก้ไปอย่างนี้

การแก้จิตต้องแก้ตั้งแต่เริ่มต้นจนยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้

แล้ววิปัสสนาแล้วมันจะรู้ ถ้าคนยกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วมันจะรู้เลย อ๋อ! สมาธิเป็นอย่างนี้ เพราะรสของธรรมไง ความรู้สึกนึกคิด เหมือนอาหาร รสชาติเป็นอย่างนี้ เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้ ภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างนี้ เราก้าวต่อไป เวลามันสมุจเฉทปหาน อ๋อ! ขณะจิตที่มันสมุจเฉทปหานดั่งแขนขาดมันเป็นอย่างนี้ มันต้องมีสมบูรณ์แบบ เราไม่ตู่ ไม่ตู่ ไม่ไปกว้านเอาสมบัติของใคร แล้วไม่ทำให้เราทุกข์เรายาก

นี่พูดถึงผู้ที่ปฏิบัตินะ นี่เขาบอกจิตเขาหายไปไหน

ไม่ได้หายหรอก มันเป็นสะดุด มันเป็นเรื่อง เพราะกิเลสอวิชชามันอยู่กับเรา มันจะต้องเลื่อยขาเก้าอี้ มันจะต้องทำให้เราล้มลุกคลุกคลานไปอีกมากมาย เพราะยิ่งกิเลสมันยิ่งละเอียด เพราะเราจะได้คุณธรรมมันละเอียด มันยิ่งหลอกเอาเซ่อเลยล่ะ มันจะหลอกเอาหัวปั่นเลยล่ะ แต่เราก็มีครูบาอาจารย์คอยเป็นหลังอิง

เวลาหลวงตาท่านก็มีหลวงปู่มั่นเป็นผู้คุ้มครอง คุ้มครองในการปฏิบัติ เวลาของเรา เราปฏิบัติเราก็อยู่กับหลวงตา อยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ มีอะไรเราก็เข้าไปหาท่านทั้งนั้นน่ะ เพราะมันคิดเองไม่ได้

เวลาคิดไม่เป็นคิดไม่ได้นะ เวลาคนที่เก่งมาก เวลาปัญหาของตัวแก้ไม่ได้ ผงเข้าตาแก้ได้ยาก ผงเข้าตาใครจะเขี่ยให้ นี่เราหาครูบาอาจารย์ของเรามานะ นี่พูดถึงปฏิบัติ จบ

ถาม : เรื่อง “ผู้หัดเริ่มปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ”

กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ หนูเพิ่งเริ่มหัดนั่งสมาธิค่ะ อยากถามว่า วิธีการหายใจของผู้เริ่มหัดปฏิบัติ หายใจเข้าอย่างไรคะ หายใจแบบธรรมดาธรรมชาติอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวัน หรือดูที่สภาพลมกระทบที่จมูกอย่างเดียว หรือสูดลมเข้าพุทยาว ปล่อยลมออกโธจนสุดลม แล้วดูลมที่จะกระทบจมูก

ขอพระอาจารย์ช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ ฟังพระอาจารย์เทศน์เลยต้องหันมาปฏิบัติธรรมแล้วเจ้าค่ะ

และอีกคำถาม จิตส่งออก คิดออกไปทุกเรื่อง ท่านพระอาจารย์มีวิธีแนะอย่างไรเจ้าคะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

ตอบ : นี่พูดถึงว่าคนถามถามถึงการปฏิบัติ มันมีอยู่คำหนึ่ง “ฟังเทศน์ท่านอาจารย์จนต้องมาปฏิบัติ”

เออ! เทศน์นี้มันก็ไปขัดหูคนอื่นเหมือนกันเนาะ ไปทำให้คนได้คิดเนาะ

คำเทศน์ๆ เพราะว่าหลวงตาเวลาท่านพูด เวลาท่านเทศน์นะ ท่านบอกว่าเป็นหน้าที่ของท่าน หน้าที่ของหลวงตาพระมหาบัว ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาพระที่พรรษาน้อยเข้าไปทำข้อวัตรปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสั่งไว้เลย “ต่อไปท่านจะพึ่งใคร ให้พึ่งมหานะ มหาดีทั้งนอกทั้งใน” แล้วหลวงตาพระมหาบัวท่านก็ได้ฝึกหัดมาจากหลวงปู่มั่น

ฉะนั้น คนที่เกิดในธรรมๆ เวลาเกิดในธรรมมันเป็นหน้าที่ไง หน้าที่ท่านบอกท่านทำหน้าที่ของท่าน ท่านได้แสดงธรรม เกิดในธรรม มีคุณธรรมในหัวใจแล้วพอพูดอะไรก็เป็นธรรม

คนที่เป็นธรรมพูดอะไรก็เป็นธรรม

คนที่เป็นกิเลสพูดธรรมะมันก็เป็นกิเลส

คนที่เป็นกิเลสนะ มันพยายามพูดอริยสัจๆ มันเป็นสวนสัตว์ มันไม่ใช่อริยสัจ สวนสัตว์ของกิเลสไง

แต่ถ้ามันเป็นอริยสัจนะ ถ้าเป็นธรรมๆ นะ พูดเรื่องขี้ๆๆ มันก็เป็นธรรม ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เห็นไหม ถ้าใจเป็นธรรมๆ ไง

ท่านถึงบอกเป็นหน้าที่ของท่าน ท่านได้ทำหน้าที่แล้ว คือท่านได้แสดงธรรมแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของผู้ฟัง ของชาวพุทธ ว่าจะได้ประโยชน์มากหรือน้อยแค่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาฟังเทศน์ท่านอาจารย์จนต้องปฏิบัติไง

เราก็ทำหน้าที่ของเรา เราทำหน้าที่ของเรา เพราะเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ หลวงตาพระมหาบัวท่านเรียนจบมหา เวลาท่านจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จบมหาแล้วนะ ยังว่านิพพานมีจริงหรือเปล่าๆ ถ้ามีใครบุคคลคนหนึ่งชี้ให้เห็นว่ามีจริง คือมีพยานยืนยันว่าจริง สละชีวิตเลย

ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง

มหา มาหานิพพานหรือ นิพพานอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ในตำรา เพราะเรียนเป็นมหามา นิพพานมันก็ยังเป็นชื่อ มันไม่ได้อยู่ในภูเขาเลากา ไม่ได้อยู่ในอวกาศ ไม่ได้อยู่ในใดๆ ทั้งสิ้น อยู่ในใจของสัตว์โลก สัตว์โลก สัตว์โลกที่ทุกข์ๆ ยากๆ นี่ สัตว์โลกที่มีความทุกข์ในใจนี้ ถ้านิพพานมันอยู่ตรงนั้น ทุกข์ดับมันก็ดับทุกข์นั่นน่ะ อยู่ที่ใจนั้นน่ะ

นี่เวลาหลวงปู่มั่นยืนยัน ท่านสละทั้งชีวิตเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาท่านแสดงธรรมๆ ท่านบอกว่าเป็นหน้าที่ของท่าน แต่ผู้ที่ฟังได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องหนึ่ง

นี่พูดถึงว่า เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติเราก็โดนครูบาอาจารย์ที่มันไม่เป็นจริงเป็นจัง นี่หัวปั่นมาเหมือนกัน สุดท้ายแล้ว เริ่มต้นจากการตอบปัญหาๆ ก็ตรงนี้ เพราะเราก็เป็นเหมือนพวกโยมนี่แหละ เราก็ไปหาครูบาอาจารย์เหมือนกัน แล้วก็หัวปั่นมาแล้วตลอด พอสุดท้ายพอเริ่มตั้งหลักได้นะ เฮ้ย! นี่มันหลอกกูทั้งนั้นเลยนี่หว่า ตั้งแต่นั้นมาไม่ฟังใครเลย ไม่ฟังใครทั้งสิ้น

เวลาครูบาอาจารย์ เราหาครูบาอาจารย์ เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ท่านพูดทีไรมันผ่ากลางหัวใจ ผ่ากลางหัวใจเลย ท่านไม่สนใจใครทั้งสิ้น ท่านผ่ากลางหัวใจ คำพูดของท่านมันเหมือนขวานผ่าซาก ผ่าหัวกิเลสเลย

เออ! ใช่ เออ! ใช่ แล้วก็พยายาม

เออ! ใช่นี่ยังไม่ได้นะ เออ! ใช่คือว่าแก้ความเห็นต่าง แก้ความสงสัย แล้วพอเออ! ใช่แล้วก็ต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาต่อเนื่องไป เออ! ใช่ก็พยายามบุกเบิกต่อเนื่องไปๆ จนทำเป็นขึ้นมาบ้าง จนทำเป็นขึ้นมาบ้างแล้วก็ฝึกหัดมา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาคำถามนะ ฟังเทศน์ท่านอาจารย์จนต้องปฏิบัติแล้ว แล้วเวลาปฏิบัติเริ่มหัดใหม่ ลมหายใจจะหายใจธรรมดาหรือหายใจแบบพิเศษ

จะหายใจอย่างไรก็ลมหายใจนี่แหละ ไม่มีหายใจพิเศษดีเยี่ยมมาจากไหนหรอก

แล้วเราก็ฟังมา “หรือจะต้องลมหายใจยาวๆ”

นี่มันเป็นวิธีการสอนของผู้ที่เขาจำตามทฤษฎีมา เวลาลมหายใจเข้าต้องปลายจมูกเข้าไปถึงตรงลิ้นปี่ ตามลมหายใจเข้าไป เวลาลมหายใจออกก็ตามลมหายใจออกมา...ไม่ต้อง

วิธีการสอนเป็นวิธีการสอนจากครูบาอาจารย์ที่ท่านชอบสิ่งใด ท่านค้นคว้ามาได้แค่ไหนมันก็ได้แค่นั้นน่ะ นั่นวิธีการ แต่เราวางไว้หมดเลย เอาที่พระพุทธเจ้าบอก กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอานาปานสติ ลมหายใจของท่าน ตอนนั้นเขาบอก พระพุทธเจ้าไม่ได้พุทโธ ก็พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้จะเอาพุทโธมาจากไหน เพราะพุทโธมันยังไม่เกิด พุทโธเกิดต่อเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วพุทโธถึงเกิด

พุทโธคือพุทธะ พุทโธคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือในใจของพระพุทธเจ้า แต่ตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า มันยังไม่มีพุทโธ ท่านก็กำหนดลมหายใจอานาปานสตินี่ไง ลมหายใจอยู่ที่ปลายจมูก ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ กำหนดลมหายใจเพราะอะไร

เพราะเวลาท่านระลึกถึงตอนที่ท่านเป็นราชกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะไปทำแรกนาขวัญ แล้วก็ให้ท่านนั่งอยู่บนโคนต้นหว้า ท่านเด็ก ท่านกำหนดอานาปานสติของท่านเรื่อยๆ เพราะอำนาจวาสนาของพระโพธิสัตว์ไง จิตมันเป็นสมาธิได้ พอเป็นสมาธิได้ อันนั้นมันฝังใจ

เหมือนเราที่ปฏิบัติฝึกหัดกันนี่ ถ้าใครทำสมาธิได้หนหนึ่งมันจะฝังใจมาก แล้วการฝังใจอันนั้น นั่นน่ะเป็นต้นทุนของท่าน แล้วท่านไปประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปีก็จะไปพึ่งคนอื่นไง ไม่ได้คิดถึงต้นทุนเดิมของตนไง

พอปฏิบัติ ๖ ปีจนจนตรอก เพราะมันไม่มีใครรู้จริงเลยนี่หว่า ก็เลยมาระลึกถึงโคนต้นหว้านี่ไง ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วกำหนดอานาปานสติแบบโคนต้นหว้านี่ไง ราชกุมารหายใจ มีสติรับรู้กับลมหายใจของตน

นี่ก็เหมือนกัน หายใจธรรมดานี่แหละ แต่ตั้งสติแล้วมีการรับรู้ คือจิตต้องรับรู้ลมไง

ลม ถ้าลมมันเป็นของวิเศษ พายุมาลมมันพัดกระเจิดกระเจิงหมดเลย บ้านนี้ราบหมดเลย ลมมันทำลายบ้านเรือนของคนไปมากมายมหาศาล ลม เขาเอามาเป็นอุตสาหกรรมในการทำอุตสาหกรรมเรื่องลม เขามีมหาศาล มันก็เป็นธรรมชาติของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ

แต่ลมหายใจมันจะเป็นอานาปานสติเพราะจิตของเรามันรู้ลม

มันสำคัญตรงจิตของเราไง

จิตของเรา เราปล่อยเร่ร่อน ปล่อยให้มันเป็นอิสระ กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส มันคิดไปร้อยแปด คิดจนมันเป็นพระอรหันต์ ๕ รอบแล้วนะ มันคิดจนว่ามันเป็นพระอรหันต์ ๕ รอบยังไม่ได้เป็นอะไรเลยล่ะ นี่เราปล่อยปละละเลยไง

ทีนี้เราเอาจิตมากำหนดที่ลม พอกำหนดลม คิดเป็นอิสระไม่ได้ มันไปไหนไม่ได้ มันต้องอยู่กับลมของเราไปเรื่อยๆ

ฉะนั้น ลมหายใจเราธรรมดานี่แหละ แล้วกำหนดรู้ กำหนดรู้ที่ปลายจมูกนี้ กำหนดลม แล้วถ้าเข้านึกพุทก็ดี ออกนึกโธก็ดี เพราะพุทโธนี้เป็นพุทธานุสติ ลมหายใจนี้เป็นอานาปานสติ เราเอามารวมกันมันจะได้เป็นรูปธรรมไง

ลมก็จับไม่ได้ พุทโธก็ไม่รู้จัก อะไรก็ อู๋ย! มันยุ่งไปหมดเลย อู๋ย! มันวุ่นวาย เฮ้ย! จะทำดีทำไมมันยุ่งขนาดนี้วะ

ใช่ เพราะมันเป็นความละเอียดอ่อน มันเป็นเรื่องของนามธรรม เรื่องของหัวใจ หัวใจที่ประเสริฐ เวลาสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของหัวใจนี้มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนๆ

ฉะนั้น คนที่จะประพฤติปฏิบัติ หัวใจของคนจะต้องมีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา จะทำคุณงามความดี ทาน ศีล ภาวนา ทานเป็นเรื่องของทาน ศีลเป็นเรื่องของศีล ตอนนี้เราจะฝึกหัดภาวนา

ฝึกหัดภาวนา จิตกำหนดรู้ที่ลม สำคัญที่จิต เพราะอะไร เพราะเราค้นหาตัวมัน ลมก็มีอยู่แล้ว แต่ถ้าจิตกำหนดลม เห็นไหม จิตกำหนดลม มันกลับไปเอาตัวจิตให้มันกำหนดลมให้มันชัดเจนขึ้นมา พอชัดเจนขึ้นมา หายใจธรรมดานี่

อธิบายมาก เดี๋ยวเหมือนที่ว่าเขาหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ ตามเข้าไป

มันตามมันเป็นการเคลื่อนไหวไง ลมนี้ก็เคลื่อนไหวไง สมาธิคือตั้งมั่น ไม่ใช่เคลื่อนไหวไง แล้วเอาสิ่งที่เคลื่อนไหวไปจับการเคลื่อนไหวมันก็เคลื่อนไหวไม่จบไม่สิ้นไง

เราเคลื่อนไหวเพื่อเอาความนิ่ง นิ่งคือสัมมาสมาธิไง ฉะนั้น จิตกำหนดรู้สึกลม

กำหนดลมกำหนดอะไร

กำหนดความรู้สึกอุ่นๆ ที่ปลายจมูกน่ะ ฝึกหัดอย่างนี้ เริ่มต้น ลมหายใจธรรมดา ไม่ต้องตามเข้าตามออกอะไร ไอ้นั่นมันเป็นวิธีการที่ว่า ของฉันมันมหัศจรรย์กว่าของเธอ ของฉันดีกว่าของเธอ ของเธอดีกว่าของฉัน...ไม่ใช่หรอก

ของฉันคือจะเอาใจนิ่ง เอาสัมมาสมาธิ อย่างอื่นจะของใครดีของใครชั่ว เชิญตามสบาย เรื่องของเขา เรากำหนดลมของเรา กำหนดลมเฉยๆ

นี่พูดถึงว่า หายใจอย่างไรเจ้าคะ หายใจแบบธรรมดาหรือหายใจแบบพิสดาร

หายใจธรรมดานี่แหละ ลมก็คือลม จิตก็คือจิต ทุกอย่างเป็นของธรรมดาทั้งสิ้น แต่เรามองข้ามและไม่รู้จักของที่มีอยู่กับเรา

จิตนี้สำคัญมาก จิตวิญญาณของคนสำคัญมาก จิตวิญญาณของคนที่ดีทำให้คนคนนั้นเป็นคนดีมาก จิตวิญญาณของคนที่ชั่วช้าทำลายทั้งตัวเองและทำลายทั้งประเทศชาติ ทำลายทั้งบุคคลคนอื่นทั้งสิ้น

จิตสำคัญมาก

ฉะนั้น จิตของเรามันจะดีหรือมันจะชั่วมันเป็นนามธรรม มันอยู่ในหัวใจของเรา แต่ตอนนี้เราอยากจะค้นคว้า อยากจะพิสูจน์ว่าจิตเราจะดีหรือจิตเราจะชั่วแค่ไหน เราถึงเอาจิตนั้นมากำหนดลมหายใจ แล้วกำหนดลมหายใจรู้สึกอยู่อย่างนี้ รู้สึกอยู่อย่างนี้ ทำอยู่แค่นี้

ไอ้ที่คำถามมาจะยาวจะสั้น จะอะไร วางไว้ก่อนนะ ไม่ต้องเอามาเป็นโจทย์ ไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้างอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันเป็นทฤษฎีที่ทุกคนคิดค้นขึ้นมา แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับใครไม่เป็นประโยชน์กับใคร วางไว้ก่อน

ของเราไง ของเรากำหนดลมหายใจเข้า ถ้ากำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ทำของเราเป็นพื้นฐานนี่แหละ นี่เป็นพื้นฐาน นี่ข้อที่ ๑.

และอีกคำถามหนึ่ง จิตส่งออก คิดออกไปทุกเรื่อง

เพราะจิตส่งออก คิดออกไปทุกเรื่อง มันโดยธรรมชาติ ธรรมชาติของผู้รู้ จิตส่งออกเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องของจริง มันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วไอ้ที่กำหนดลม กำหนดลมก็ตรงนี้ไง

กำหนดลมหายใจ ลมหายใจก็ให้มันอยู่ที่ลม ให้มันอยู่แค่ที่ลมพอ ไม่ให้มันออกไปไหนเลย นี่ไม่ส่งออก แต่มันทำยาก ทำยากเพราะกำหนดที่ลมแล้วมันก็จะมีแทรกซ้อนเข้ามา แทรกซ้อนเข้ามา ถ้ามันแทรกซ้อนเข้ามานะ บอก ไม่เป็นไร เริ่มต้นใหม่ ไม่เป็นไร เริ่มต้นใหม่ อย่าไปเสียใจ

เวลามันกำหนดลมแล้ว แหม! ฉันจะทำดีนะ ไม่มีใครส่งเสริมเลย พอกำหนดแล้วก็จะมีอันนี้แทรกเข้ามาๆ

แทรกเข้ามาคือกิเลส กิเลสมันอยู่กับเรา กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจ แล้วไม่ให้มันแสดงตัวเลยหรือ ไม่ให้มันออกมาขัดขวางเลยหรือ มันก็ออกมาเป็นเรื่องธรรมดาไง

ฉะนั้น เวลาเรากำหนดลมหายใจ มันจะแทรก มันจะส่งออกอย่างไร ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เราจะไม่ไปกับมัน เรากำหนดอยู่ที่ลม ไม่ให้มันออกไปนอกที่ลมนี้

แล้วออกนอกที่ลมนี้หรือพุทโธนี้ มันเหมือนผู้หัดเล่นเทนนิสใหม่ๆ เขาไม่มีคนตีด้วย เพราะคนหัดใหม่มันตีไม่เป็น แล้วคนเขารำคาญ ก็เลยต้องตีเข้ากำแพงไง เวลาเราตีลูกเทนนิสเข้ากำแพง ลูกเทนนิสจะเด้งกลับมาหาเรา

พุทโธ กำหนดลมหายใจทั้งหมด เรากำหนดที่ลม มันจะกลับเข้ามาสู่ที่ใจของเรา กลับมาสู่ที่ใจของเรา มันไม่ส่งออกไปข้างนอกไง

ความคิดส่งออก พลังงานส่งออกทั้งหมดไปเลย กำลังที่มีอยู่ก็ส่งออกไปหมดเลย กำหนดอยู่ที่ลมๆ มันจะกลับเข้ามาที่ใจ กำหนดที่ลม กำหนดที่พุทโธ มันจะกลับเข้ามาที่ใจ แล้วถ้ามันกลับมาที่ใจได้ กลับมาที่ใจได้มันนิ่ง มันถึงเป็นข้อเท็จจริง

การส่งออกก็ส่งออกจากความนิ่งนี่แหละ แต่ความนิ่ง ความนิ่งแต่เคลื่อนไหวอยู่ ความนิ่งแต่เคลื่อนไหวอยู่เพราะอะไร เพราะมันเป็นขันธ์ มันเป็นพลังงาน

ชีวิตนี้คือพลังงาน พลังงานที่ส่งออกนี้ไง แล้วพลังงานที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีใครรู้ใครเห็นได้นี่ไง แล้วเรามากำหนดลมหายใจ เรากำหนดพุทโธอยู่นี่ไง ความเคลื่อนไหวที่เป็นนามธรรมที่ไม่มีใครเห็นอย่างนี้ เราจะเป็นปัจจัตตัง เราจะเป็นสันทิฏฐิโก

คนที่ทำสมาธิได้มันจะรู้พลังงานที่นิ่งในใจของตน แล้วความพลังงานที่นิ่งนี้เป็นสมถกรรมฐาน พื้นฐานของการฝึกหัดค้นคว้าหาใจของตนไง

การทำสมาธิ การทำสมาธิก็เพื่อสมาธิ เพื่อใจของเรานี้แล้ว ถ้าทำสมาธิแล้ว สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ที่จะมาค้นคว้าหาสิ่งที่เป็นนามธรรม อยู่ที่ความเคลื่อนไหวอันนี้ที่มันมีสิ่งแทรกซ้อนคืออนุสัยไง อนุสัย อวิชชา อยู่ในใจดวงนี้ไง แล้วถ้าไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส ภาวนาไม่เป็น มันจะไม่เห็นอะไรเลยไง

นี่คือการฝึกหัด ฉะนั้นว่าคำถาม “จิตส่งออก คิดออกไปทุกเรื่อง ท่านอาจารย์มีวิธีการอย่างไรเจ้าคะ”

ก็ฝึกหัดนี่แหละ การฝึกหัด มันอยู่ที่วาสนานะ แค่บอกว่าฟังเทศน์ท่านอาจารย์จนต้องออกมาปฏิบัติ มีวาสนาแล้วแหละ มีวาสนา คิดได้ วาสนาของคนนะ คิดได้ คิดเป็น หาเหตุผล นี่คือวาสนา แต่ถ้าไม่คิดได้คิดเป็น ไม่เคยคิดอะไรเลย ปล่อยชีวิตไหลไปตามโลกให้กิเลสมันบงการชีวิตอยู่ตลอดเวลา คิดไม่ได้ รู้ไม่ได้

คิดได้ คิดเป็น มันเริ่มเป็นวาสนาแล้ว แล้วพอคิดได้คิดเป็น คำถาม แล้วจิตส่งออกทุกเรื่อง คิดไปทุกเรื่องเลย

มันเป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้แหละ เพราะธรรมชาติเป็นอย่างนี้มันถึงเป็นสามัญสำนึกของมนุษย์ไง เพราะมนุษย์ต้องมีความคิด มีการสื่อสารกัน แล้วก็มีศีลมีธรรมเข้ามาเพื่อกรอง เข้ามาเพื่อจัดระบบความคิด ประเพณีวัฒนธรรมเพื่อความสมานสามัคคีในมนุษย์นั่นไง

เวลามนุษย์ต่างๆ มนุษย์แต่ละบุคคลให้คิดโดยอิสระมันก็เอาแต่ความโกรธ เอาแต่แรงขับดันของใจกระทบกันยุ่งไปหมดเลยล่ะ

ฉะนั้น พอมีศีลมีธรรม เก็บไว้ อันนี้มันผิดมารยาท อันนี้พูดไม่ได้ มันก็เก็บเข้ามาไง แต่ถ้าเป็นสมาธิมันจะล้างหมดเลย เพราะมันจะนิ่ง

สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วมันหยุดนิ่งได้ มันจะมีพลังงานที่สุด แล้วพลังงานที่มันเป็นจริงขึ้นมามันถึงเกิดความมหัศจรรย์ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิโดยข้อเท็จจริง

แต่นี่มันเป็นภวังค์ มันเป็นภวังค์ มันเป็นอาการ อารมณ์ มันเป็นอารมณ์ว่างๆ ว่างๆ ไอ้ที่ว่างๆ ว่างๆ มันเป็นอารมณ์ มันเคลื่อนไหว มันไหวของมัน แต่มันไหวโดยผลกระทบออกไปว่าเป็นความว่าง ไปคิดเรื่องอื่น

แต่ถ้าเป็นตัวมันจริงๆ นะ นิ่ง สิ่งที่เคลื่อนไหว อาการที่มันเคลื่อนที่มันไม่เคลื่อนออกไป แล้วถ้ามันรู้นะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! โอ้โฮ! นี้คือต้นทุน นี้คือสิ่งที่มีคุณค่าของมนุษย์

ที่การเกิดเป็นมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ ผีๆๆ กลัวผีๆ มันเป็นผี ไม่เห็นตัวไง แต่พอมันเป็นเรามันเป็นผีอยู่กลางหัวใจนี้ไง ปฏิสนธิจิต ตัวนี้ ตัวผีตัวนี้ ตัวผีตัวเรา นาย ก. นาย ข. นาย ง. ตัวผีนี้แต่ไม่เห็นผี พอมันเป็นสัมมาสมาธิ เออ! นี่ผี เห็นจิตของตนชัดๆ สัมมาสมาธิไม่ใช่ผี

พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เอวัง