เทศน์บนศาลา

โคพาฝูงข้ามฝั่ง

๙ ก.ค. ๒๕๖๔

โคพาฝูงข้ามฝั่ง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาสิ่งนี้มาด้วยความมานะบากบั่น ด้วยอำนาจวาสนาของพระโพธิสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์ เห็นไหม เวลาตรัสรู้เองโดยชอบมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็ได้สร้างสมบุญญาธิการมาเหมือนกัน ถึงตรัสรู้เองโดยชอบ การตรัสรู้เองโดยชอบ โดยชอบ โดยชอบเพราะการกระทำนั้นโดยความชอบธรรม โดยความชอบธรรมมันเป็นธรรมไง 

แต่ถ้ามันเป็นโลก เห็นไหม มันร้อยเล่ห์ร้อยสันพันคมไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากทุกคนประกาศตัวเป็นศาสดาๆ มากมายมหาศาล แต่ว่างเปล่า ไร้สาระ แต่ความไร้สาระนั้นเพราะว่าด้วยความเยาว์วัยในอำนาจวาสนาบารมีของตนไง

แต่ถ้าเป็นจริงๆ เป็นจริงในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การสร้างสมบุญญาธิการมามันเป็นสุภาพบุรุษไง มันรับผิดชอบผิดชอบชั่วดีตามข้อเท็จจริง ไม่มีเอาสีข้างเข้าถู ไม่มีชิงดีชิงชั่ว ชิงดีชิงชั่วเอาแต่ความชั่วมาใส่หัวใจของตน แล้วคุณงามความดีเอามาจากไหน คุณงามความดีๆ ก็สร้างมาจากหัวใจของตนนี้ไง 

มโนกรรมๆ สำคัญที่สุด ถ้ามโนกรรม เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลาคิด คิดอย่างหนึ่ง นี่มโนกรรมๆ มโนกรรมถึงสำคัญอย่างนั้นไง ถ้าไม่มีมโนกรรม นี่พูด พูดอะไร ทำ ทำอะไร ถ้าไม่มีมโนกรรม นี่มโนกรรมๆ แต่มโนกรรมไม่มีผลทางกฎหมาย มันไม่มีความผิดตามกฎหมายบังคับว่าเป็นความผิด แต่แต่กรรมมี

มโนกรรมๆ เธอย้ำคิดย้ำทำจะเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ เธอคิดสิ่งใด เห็นไหม มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวใจของเธอ มันเผาอยู่ในหัวใจของเธอไง เวลาเผาหัวใจของเธอแล้วนี่ เห็นไหม ก็คิดกลคิดวิธีการเล่ห์กลในหัวใจของตน

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ สิ่งที่เป็นความจริงๆ ความจริงขึ้นมาแต่เป็นโดยชอบธรรมไง ถ้าโดยชอบธรรมมันเป็นสุภาพชนไง ปัญญาชนไง มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจดวงนี้ไง มันไม่มีเล่ห์ไม่มีกลไง ถ้าเล่ห์กลๆ ก็เล่ห์กลของกิเลสไง 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีนั่นไง เจ้าชายสิทธัตถะไง การเผชิญกับกิเลสในใจของตน การประพฤติปฏิบัติอันนั้นไง การประพฤติปฏิบัติในใจของตน ในการกระทำอันนั้น เวลาปฏิบัติมาด้วยเล่ห์ด้วยกลของกิเลสทั้งสิ้น จนท้อใจ จนปัดหัวใจทิ้งๆ ไปนะ เวลาทิ้งๆ ไปเพราะมาคิดของตน มาพิจารณาแล้วไง ใน ๖ ปีนี้การประพฤติปฏิบัติมา สิ่งที่ทำทุกรกิริยามามากมายมหาศาลขนาดไหน มันก็ไม่สิ้นกิเลสไปได้ 

เวลามันคิดว่ากิเลส เห็นไหม โดยธรรมชาติ อยู่กับเราโดยวิทยาศาสตร์ไง ในเมื่อเราอดนอนผ่อนอาหารแล้วนี่มันจะต้องกำจัดกิเลสได้ไง อดข้าว ๔๙ วัน ขนเน่าหมด หลุดหมด เวลากลั้นลมหายใจ สลบถึง ๓ หน คำว่า “สลบ ๓ หน” หลวงปู่มั่นท่านก็เคยสลบเหมือนกัน หลวงตาพระมหาบัวท่านเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่นท่านก็สลบเหมือนกัน เวลาสลบ เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมันจริงมันจังขนาดนั้น เวลามันจริงมันจังขนาดนั้นมันเอาจริง เอาจริงที่ไหนล่ะ

กิเลสเป็นเรา ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะกิเลสเป็นเราไง กระเทือนมันไม่ได้เลย ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ถ้ามันจูงจมูก ได้กิเลสจูงจมูกไป ได้ทำตามมันนั่นแหละ ครึ่งๆ กลางๆ โดยผ่อนผันโดยการทะนุถนอม ยอมจำนนกับกิเลส จบอย่างนั้นน่ะได้

แต่ถ้าเอาจริงเอาจังไม่ได้ มันอัตตกิลมถานุโยคมันทำให้ลำบากเปล่า แต่เอาจริงเอาจังขึ้นมาแล้วมันลำบาก มันลำบากตรงไหน กิเลสเป็นเราแล้ว มันครอบงำเราแล้ว แล้วชักจูงให้เรามีการกระทำแล้วจบ กิเลสมันพาไปหมดเลย ปฏิบัติบูชากิเลส ให้กิเลสเป็นใหญ่ กิเลสคือโลก ยอมจำนนกับมันแล้วให้โลกชี้นำ แล้วปฏิบัติธรรมหรือ ปฏิบัติธรรมๆ ธรรมเหนือโลก 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จะได้ขึ้นครองราชย์อยู่แล้วจะเป็นกษัตริย์ไง ยังละทิ้งเลย ละทิ้งสิ่งนั้นไป ถ้ามันเป็นภาระรุงรังยิ่งใหญ่นัก มันจะมัดให้ชีวิตนี้จบสิ้นไปอยู่กับโลกนี้ไง สละสิ่งนั้นมา แล้วออกไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ออกปฏิบัติขึ้นมา เวลาออกไปปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องสัจจะความจริงของเราละ ไม่ใช่กษัตริย์ ไม่มีอำนาจการปกครอง ไม่มีกฎหมายค้ำจุนทั้งสิ้น ไม่มีอะไรมาค้ำจุนทั้งสิ้นด้วยวาสนาของตน วาสนาของตนนะ ออกประพฤติปฏิบัติมันมีสิ่งใดล่ะ ก็เผชิญกับสิ่งนั้นตามสัจจะความจริงอันนั้น นี่แหละการเผชิญกับสัจจะความจริงไง 

กิเลสเป็นเราๆ ปฏิบัติอย่างไร จะเอาจริง เอาจริงขนาดไหน มันก็ครอบงำอยู่อย่างนั้น เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราทำมาเต็มที่แล้ว ศึกษาค้นคว้ามาหมดแล้ว ทุกคนมีความสามารถ ก็ไปศึกษากับเขามาหมดแล้ว มันไม่มีทางออกทั้งสิ้น มันก็ต้องเป็นการกระทำของเราเองทั้งสิ้นไง 

นี่ตัดสินใจมาฉันอาหารของนางสุชาดาไง ทิ้งไปหมด ปัญจวัคคีย์ทิ้งไปหมดเลย เพราะความเชื่อในสังคมในสมัยนั้น มันเป็นอย่างนั้น แสดงว่ากลับมามักมาก กลับมาไม่ทำทุกรกิริยา ไม่เผชิญหน้ากับกิเลส ไม่เผชิญหน้ากิเลสโดยที่ไม่รู้จักกิเลส แล้วให้กิเลสมันชี้นำไปยอมจำนนกับมัน อยู่กับกิเลสอยู่ ยังคิดไม่เป็น ยังคิดไม่ได้ๆ

เวลาจะตั้งใจคิดได้ ด้วยอำนาจวาสนาของตนที่สร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์นี่ไง เวลาคิดได้ๆ ขึ้นมาแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ไปมันก็เสียชีวิตตายเปล่า สลบถึง ๓ หน สลบ ๓ หนก็ตาย ๓ ครั้ง ตายฟื้นนี่ ๓ หน ทุกรกิริยาที่โลกเขาทำมากแค่ไหนก็ทำมาหมดแล้ว กลับมาว่ามันไม่ใช่ทางแล้วล่ะ แล้วทางเป็นจริง เทวดามาดีดพิณ ๓ สาย ทางสายกลางๆ ตึงไป ตึงไปก็ไม่ได้ หย่อนไปก็ไม่ดัง ถ้าสายกลางมันดีที่สุดแล้ว แล้วสายกลางมันอยู่ตรงไหน ยังไม่มีใครรู้ใครเห็น สายกลางมาจากไหนล่ะ 

เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วตัดสินใจไง คืนนี้ถ้านั่งแล้ว ถ้าไม่สำเร็จ จะไม่ลุกจากที่นั่งเลย บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้านี่ไง สิ่งที่เป็นธรรมทำลายอวิชชาพญามารในใจนั้นนี่ธรรม เวลาเป็นธรรมๆ เป็นธรรมขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าๆ มีรัตนะสอง มีองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมๆ แล้วพระธรรมสัจจะความจริงอันนี้ เห็นไหม

โลกกับธรรม เวลาเกิดมานะ ผลของวัฏฏะ การสร้างอำนาจวาสนาเป็นพระโพธิสัตว์เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรยข้างหน้า สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ๑๖ อสงไขย อายุจะ ๘๐,๐๐๐ ปี ประพฤติปฏิบัติจะง่ายดาย จะง่ายดายก็ต้องทำแล้วมันจะตรัสรู้ธรรมได้โดยรวดเร็ว นั่นทำอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะ ๑๖ อสงไขย 

แต่นี่มัน ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ก็ทำประพฤติปฏิบัติมา เป็นสัจจะ เป็นความจริงขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นจริงๆ สิ่งที่เป็นจริงเป็นโลก

โลกเกิดมาพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เรื่องโลกๆ สร้างอำนาจวาสนามาเรื่องโลก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การกระทำสร้างคุณงามความดีมาตลอด ผลของวัฏฏะๆ เกิดแล้วเกิดเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ แต่การเกิด เกิดที่ดีงามมาก็ได้ประพฤติปฏิบัติมาในสัจจะทำความจริงมา เวลาถึงที่สุดสิ่งต่างๆ เรื่องวัฏฏะเรื่องโลกทั้งสิ้น ผลของวัฏฏะ 

เวลาวิวัฏฏะ ข้าม ผลของการประพฤติปฏิบัติเวลาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธกับพระธรรม พระธรรมๆ ธรรมเหนือโลก เหนือวัฏฏะ พ้นจากวัฏฏะ วิวัฏฏะ สังสารวัฏ ทำลายอวิชชาทำลายจิตนี้ออกเป็นสังสารวัฏ ถึงมีฝั่งตรงข้ามไง ฝั่งของโลก ฝั่งธรรม ฝั่งโลก นี่ผลของวัฏฏะ ฝั่งของโลกๆ ฝั่งของวัฏฏะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย เวลาสิ้นกิเลสไปนี่ฝั่งของธรรมๆ เลยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมอันนั้น กราบธรรมอันนั้นเพราะอะไร 

กราบธรรมอันนั้นเพราะอวิชชา ครอบครัวมาร สิ้นไปจากใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ความทุกข์ความยากแม้แต่ธุลีไม่มีในใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขๆ สัจธรรมอันนั้นไง สัจธรรมอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าเกิดมา ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในวันวิสาขบูชา เพ็ญเดือน ๖ นะ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาเกิด เกิดในธรรม เวลาลาวัฏฏะ เห็นไหม เวลาถึงซึ่งขันธนิพพาน คือสิ้นกิเลสไป สิ้นชีวิตนี้ไป

นี่ไง วันวิสาขบูชาตรงกันทั้ง ๓ กาล นี่ความมหัศจรรย์ขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า บุญกุศลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมๆ เวลาแสดงธรรมๆ เวลาแสดงธรรมขึ้นมา เห็นไหม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม สงฆ์องค์แรกของโลก มันถึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีรัตนตรัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ๆ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม ปรารถนาเพื่อให้สัตว์โลกมีดวงตาเห็นธรรม พ้นจากกิเลสนี้ไป เวลาเทศนาว่าการมาได้พระอรหันต์ ๖๑ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนักๆ เธออย่าไปซ้อนทางกัน” เวลาจำแนกธรรม เวลาปฏิบัติธรรม เวลามีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมีดวงตาเห็นธรรมมากมายมหาศาล ในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ ก็ปรารถนามาไง ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ การรื้อสัตว์ขนสัตว์ นี่ผู้นำ ผู้นำนี่พุทธกิจ ๕ เช้าเล็งญาณ ใครมีอำนาจวาสนาไปเอาผู้นั้นก่อน ใครมีอำนาจวาสนาแล้วอายุเขาสั้นด้วย เวลาไปเอาคนนั้นๆ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ๆ พระอรหันต์มากมายๆ 

แต่แต่ก็มีฝ่ายตรงข้ามทั้งสิ้น เวลาผู้ที่มาบวชนะ บวชด้วยทิฏฐิมานะของตน ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน บวชมานี่ฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์ในพระพุทธศาสนา เป็นพระที่เป็นผู้ทำความผิดไว้ในพระพุทธศาสนา นี่บัญญัติ อนุบัญญัติในวินัยนี่เกิดจากภิกษุพวกนี้ทั้งสิ้น สิ่งที่ในวินัยที่บัญญัติ บัญญัติไว้นั่นน่ะ เพราะอะไร 

เพราะว่าเวลาบัญญัติธรรมและวินัย บัญญัติเพื่อศรัทธาที่มีศรัทธาให้มีศรัทธามากขึ้น ผู้ที่ไม่มีศรัทธาให้มันเกิดศรัทธา แล้วบัญญัติไว้พวกที่หน้าด้าน ตำหนิควรตำหนิ ควรเชิดชูบุคคลที่ควรเชิดชู บุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วนี่ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาสิ้นกิเลสไปเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในใจของเขา เป็นการยืนยัน ยืนยันสัจจะความจริงไง ยืนยันสัจจะความจริง สัจจะความจริงขึ้นมาต้องประพฤติปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์ มีองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ผู้นำที่ดีงาม 

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน เห็นไหม เวลาพระกัสสปะจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกพรรษาแล้วจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเวลาแล้วนี่ไป ไปถึง เอ๊ะ!มีคนเขาเดินผ่านมานี่

เห็นศาสดาของเราหรือไม่

โอ๊ยพึ่งตายไปเมื่อ ๗ วันที่แล้วไง นี่ที่มาในงานนี้ไง

เวลาพระที่มาด้วยกัน พระที่เป็นพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวช พระที่เป็นปุถุชนก็คร่ำครวญเสียใจ มีพระหลวงตาองค์หนึ่ง “จะร้องไห้ไปทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าอยู่ทำอะไรก็ไม่ได้ จ้ำจี้จ้ำไชตลอดไปไง” เวลาพระกัสสปะเป็นอาจารย์ของเขา ได้ยินได้ฟังแล้วมันสลดใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึ่งนิพพานไป ๗ วัน มันมีผู้คิดอย่างนี้แล้ว ไอ้ผู้ที่คิดอย่างนี้เพราะอะไร

เพราะเขาบวชมาแล้ว เขาจะปรารถนาความสุขในการดำรงชีพเท่านั้น บวชเป็นพระแล้ว ไม่ต้องทำมาหากิน ไม่มีอาชีพ อาชีพนี่บิณฑบาตเป็นวัตรไง เป็นอาชีพๆ หนึ่งไง แต่เวลาผู้ที่มีใจเป็นธรรมๆ เขาบวชมา บวชมาเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ บวชมาเพื่อจะชำระล้างกิเลส บวชมาเพื่อการข้ามฝั่ง ฝั่งโลกกับฝั่งธรรม นี่ฝั่งโลก เราเกิดมากับโลก เกิดมาจากวัฏฏะ เกิดมาจากเวรจากกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เกิดจากพ่อจากแม่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นคน แล้วมาบวชเป็นพระ เป็นนักรบ นักรบจะรบกับกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพื่อมารบไง แต่ในเมื่อบวชเป็นพระ พระก็เป็นคนใช่ไหม คนบวชเป็นพระๆ พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน ต้องดำรงชีพเหมือนกัน ดำรงชีพเหมือนกัน มาบวชแล้วนี่ก็ต้องมีสัมมาอาชีวะไง นี่บิณฑบาตเลี้ยงชีพโดยชอบ สิ่งใดได้มา ได้มาด้วยธรรมด้วยวินัย สิ่งที่ได้มานี่ สิ่งนี้เพื่อดำรงชีพไว้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะชำระล้างกิเลส ถ้ามันชำระล้างกิเลสมันเห็นคุณค่าของผู้นำไง

ประพฤติปฏิบัติเอง ดั้นด้นขนาดไหนมันก็ทุกข์ก็ยากอย่างนั้น แล้วสิ่งที่จะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันเป็นจริงเป็นจังที่ไหนล่ะ เป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ เวลากิเลสมันพลิกมันแพลง มันหลอก มันหลอกมันพาออกนอกลู่นอกทางมากมายมหาศาล เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญมีมากมาย ปฏิบัติแล้วนี่ท้อแท้อ่อนแอ นี่กรรมฐานม้วนเสื่อเลิกไป เดี๋ยวก็กลับมาประพฤติปฏิบัติใหม่ ประพฤติปฏิบัติใหม่ เห็นไหม ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น

แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม คนที่มีวาสนา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ผู้ที่มาศึกษา ศึกษาค้นคว้าแล้วนี่ในภาคปริยัติไง คันถธุระ วิปัสสนาธุระ คันถธุระเขาก็ส่งเสริมคิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เขาก็มีความสุข เขามีความสุขอยู่กับการสาธยายธรรมะ การสาธยายธรรมะเพื่อกลุ่มชนไง 

นี่คนเกิดมา เห็นไหม ทุกๆ คนในสมัยปัจจุบันนี้ หลายๆ คนมาก เกิดมาก็เป็นคนแล้ว แล้วก็เป็นคนดีแล้ว แล้วทำไมต้องมาประพฤติปฏิบัติ ความดีก็ดีแบบโลกๆ ไง ฝั่งโลกก็ดี ก็ไม่ได้ว่าไม่ดี ก็ว่าดี แล้วดีอะไรต่อล่ะ ดีก็ตาย ความดีเท่านั้นไง ความดีเท่านั้น 

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธรรมและวินัยนี้กึ่งกลางพุทธ-ศาสนา ศาสนานี้ ๕,๐๐๐ ปี กึ่งกลางพุทธศาสนา ศาสนา ๒,๕๐๐ ปีนะ ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งไง เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาเป็นคนนี่แหละ แต่ได้สร้างสมบุญญาธิการมา เวลาออกแล้วนี่หัวใจฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา เวลาออกมาประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ออกมาบวชแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่สิ่งที่ท่านค้นคว้า ท่านแสวงหา ท่านมีการกระทำของท่าน ตามความเป็นจริงในใจของท่าน 

ถ้าความเป็นจริงในใจของท่าน โคนำฝูง โคนำฝูงที่ดีจะพาฝูงโคนั้นพ้นขึ้นฝั่งได้ โคนำฝูง โคนำฝูงที่ดีงาม ถ้าโคนำฝูงที่ดีงาม แล้วโคนำฝูง โคที่นำฝูงมันจะหาหญ้าเลี้ยงชีพของมัน มันจะดื่มน้ำที่ไหน มันจะพาฝูงโค เห็นไหม ทวนน้ำวังน้ำวนที่มันจะพาขึ้นฝั่ง ขึ้นฝั่งอย่างไร หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านกระทำของท่าน ท่านมีการกระทำในความเป็นจริงของท่าน ถ้าในความเป็นจริงของท่าน ท่านทำของท่านมาเพื่อการชำระล้างกิเลสในใจของท่าน

มันต้องมีประสบการณ์ไง คนเรานี่คนทำงานไม่เป็นมันจะวิเคราะห์วิจัยสิ่งที่จะทำนี่มันคิดเพ้อเจ้อเพ้อฝันได้ทั้งนั้น แต่เวลาให้มันทำจริงๆ มันทำไม่เป็น นี่งานทางโลกนะ เขาเรียกคนทำงานไม่เป็น ในการสมัครคนงาน ใครมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีประสบการณ์มาก แล้วประสบการณ์นี่ เห็นไหม เขาเพิ่มค่าแรงงานให้ สิ่งที่มันมีประสบการณ์เพราะงานนั้นมันจะได้ราบรื่น ประสบการณ์น้อยก็ค่าแรงต่ำ ต้องมาฝึกหัด ต้องควบคุมดูแลกัน นี่แค่ประสบการณ์ในการทำงานนะ 

แต่แต่ในการปฏิบัติศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติๆ การศึกษา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา ใครแสดงธรรมก็แล้วแต่ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าทั้งสิ้น แล้วถ้าใจมันเป็นธรรมๆ ไง ฝูงโคที่ดีงามขึ้นมานี่มันก็จะสนใจฝักใฝ่เพื่อทำคุณงามความดีของเขา แต่ฝูงโคที่มันไม่รู้เหนือรู้ใต้ มันไม่มีความเป็นไป อันนั้นฝูงโคนั้นเป็นฝูงโคที่ไร้สาระ ก็ฉันเกิดมาเป็นคนดีแล้วไง คนดีแล้วทำไมต้องไปทุกข์ไปยาก ทุกข์ยากเพื่ออะไร 

นี่ไง คนที่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม คนที่มีอำนาจวาสนาถึงได้นับถือพระพุทธ-ศาสนา เวลานับถือพระพุทธศาสนาแล้วนี่นับถือไว้มันก็เป็นบุญเป็นกุศลนะ เนี่ยเพราะอะไร พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสัจจะความจริง ไม่อ้อนวอนขอสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ใครทำสิ่งใดได้อย่างนั้น ทำได้มากได้น้อยแค่ไหน ถ้าทำระดับของทานก็ได้บุญได้กุศล ได้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม 

ผลของวัฏฏะๆ นี่ไง นี่ฝั่งของโลก ฝั่งของวัฏฏะมีของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว จะมีพระพุทธศาสนา ไม่มีพระพุทธศาสนา มันเป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างนี้ นรก สวรรค์ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันมีของมันอยู่โดยดั้งเดิมอยู่ธรรมชาติของมัน 

แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ เรามาจากไหนเรามาจากพระเวสสันดรไปไง เรามาอย่างยาวไกลไม่มีต้นไม่มีปลายทั้งสิ้น สิ่งที่เรามานี่ผลของวัฏฏะๆ ผลของโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพ้นจากวัฏฏะไป นี่ ๓ โลกธาตุ 

เวลาพระในสมัยพุทธกาลประพฤติปฏิบัติถึงสิ้นกิเลสไป เห็นไหม มาร มารมันคอยตรวจคอยเช็กทั้งนั้น มันจะเอาสิ่งมีชีวิตอยู่ในอำนาจทั้งสิ้น “มารเอย เธอไม่ต้องค้นคว้าค้นหาหรอก เธอไม่เห็นลูกศิษย์ของเราทั้งสิ้น ลูกศิษย์สิ้นกิเลสแล้ว อย่างไรเธอก็ค้นหาไม่เจอ” นี่ไงถ้ามันพ้นจากโลก พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากการครอบงำของอวิชชาครอบครัวของมาร ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงแล้วมันเป็นที่ไหนล่ะ?

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ท่านก็มีการกระทำของท่าน ท่านมีความจริงของท่าน เวลาทำความจริงของท่านมันก็มีวาสนาของคน วาสนาของคนนะ เวลาเห็นคนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วนี่โอ้ยทำไมมันอุกฤษฏ์ ทำไมมันต้องทำรุนแรงขนาดนั้น” นั้นเป็นความรุนแรงของคนที่อ่อนแอ เป็นความรุนแรงของคนที่มักง่าย เป็นความรุนแรงของคนที่ไม่เอาไหน คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาจับจด ทำสิ่งใดก็ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ชีวิตเขาก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกัน

คนที่เขามีวาสนาของเขา เขาทำสิ่งใดเขาทำจริงจังของเขา เขาทำเพื่อประโยชน์ของเขา เขาทำของเขาแล้วนี่เขาได้ประโยชน์ของเขา ได้ของเขา เขาได้ประโยชน์จากการกระทำนั้น แต่การกระทำนั้นการกระทำเป็นกิริยาไง แต่ในความเป็นจริงมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจอันนั้นทั้งสิ้น จะทำมากน้อยขนาดไหน กิเลสตัณหามันก็ปลิ้นปล้อน มันก็หลอกลวงทั้งสิ้นไง

เวลาถ้ามันจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เขาต้องทำความสงบของใจเข้ามา ค้นคว้าหากิเลสของตน ถ้าเจอกิเลสของตน ได้พิจารณาของตน พิจารณาของตนเป็นวิปัสสนา เป็นวิปัสสนา เห็นไหม เวลาวิปัสสนาภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนา มันพิจารณาของมัน มันยอกมันย้อน มันปลิ้นมันปล้อน กิเลสมันปลิ้นมันปล้อนขนาดไหน มันพลิกแพลงขนาดไหน ปัญญามันดักหน้าดักหลัง ปัญญามันเข้าไปประหัตประหารไง มันเป็นชั้นเป็นตอนๆ 

ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ปฏิบัตินั้นมันส่วนปฏิบัติเป็นแค่กิริยาวิธีการปฏิบัติเท่านั้น แต่เวลาเป็นจริงเป็นจังมันจะมีมรรคมีผลขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น ถ้ามันมีมรรคมีผลในหัวใจดวงนั้น เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมาจนท่านสิ้นกิเลส ถึงได้เป็นผู้คุ้มครองดูแลลูกศิษย์ลูกหา คุ้มครองดูแล เพราะว่าสิ่งที่ปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติจะเป็นผู้นำ เป็นผู้นำฝูง ฝูงโคที่จะพาข้ามพ้นวัฏฏะ ฝูงโคที่ดีงามก็พาขึ้นฝั่งๆ ขึ้นฝั่งโดยสัจจะโดยความจริงไง

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ พาฝูงโคข้ามพ้นวัฏฏะ พาฝูงโคข้ามฝั่งถึงวิวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะนั้นไป ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันทำความเป็นจริงมันถึงมีการกระทำไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านจะเคารพบูชาครูบาอาจารย์มาก

เคารพครูบาอาจารย์เพราะอะไร เพราะเราประพฤติปฏิบัติแล้วมันมืดบอดไป มันมืด มันบอด กิเลสมันครอบงำมันทำสิ่งใดไม่ได้หรอก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าให้ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคด้วย ก็ศึกษามาเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้นน่ะ ทฤษฎีมันคือชื่อ แล้วชื่อเรามาตีความแล้วมันตีความได้หลากหลาย ได้ทุกแง่ทุกมุมที่กิเลสมันจะพาไป แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ?

แค่ทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจนี่แหละ เวลาทำความสงบของใจขึ้นมา ใจมันสงบระงับขึ้นมา ถ้ามันจะสงบระงับของมันขึ้นมา มันเกิดนิมิต มันเกิดความรู้ความเห็นต่างๆ ร้อยเล่ห์ร้อยสันพันคมไปกับมันทั้งสิ้น ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ยืนยัน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แล้วเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ไง ทำไมไม่บอกอภิญญาล่ะ ไม่บอกว่าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่สมาบัติไง สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ทำไมไม่พูดอย่างนั้น 

นั้นมันก็เป็นวิธีการปฏิบัติอย่างหนึ่ง ฌานสมาบัติ เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอุทกดาบส อาฬารดาบสมาเหมือนกัน ฌานสมาบัติมันมีมาอยู่โดยดั้งเดิม ลัทธิพราหมณ์เขา ๔,๐๐๐ - ,๐๐๐ ปี พระพุทธศาสนา ๒,๐๐๐ กว่าปี การทำทุกรกิริยาทำมาแล้วทั้งสิ้น นี่ผลของวัฏฏะเพราะอะไร เพราะมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไม่พ้นจากวัฏฏะไป ผลการประพฤติปฏิบัติของเขาไง

นี่ไง เวลามันปฏิบัติมันมีของมันอยู่แล้ว เรื่องสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ แต่เราจะทำความสงบของใจเข้ามา เพื่อเพื่อเข้าสู่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนศีล สมาธิ ปัญญา คนที่มีอำนาจวาสนาเขาจะระลึกถึงชีวิตของตน “เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วมีความทุกข์ความยากอย่างไร คนถ้ามันมีความสุข ความสุขอย่างไร” 

เวลาพวกฤๅษีชีไพรทำสมาธิทำสมาบัติ นี่ไงสมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ นี่เขาทำแล้วเขาได้อะไร ทำแล้วเขาเป็นผู้วิเศษไง เหาะเหินเดินฟ้าได้ รู้วาระจิตได้ อภิญญา ๕ ถ้าอภิญญา ๖ นะ อภิญญา ๖ คืออภิญญา ๖ คือเรื่องมรรค เวลามันเป็นจริงเป็นจัง อภิญญา ๕ อภิญญามันแก้กิเลสไม่ได้ พอแก้กิเลสไม่ได้ ทำสัมมาสมาธิ เวลาทำสมาธิ ที่เราศึกษาเล่าเรียนมา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค เวลาทำสมาธิ ทำสมาธิขึ้นมามันก็จะเกิดสิ่งที่เล่าเรียนมามันเข้ามาสู่หัวใจ เข้ามาสู่จิต เวลามันเป็นสมาธิมันก็จินตนาการไปร้อยแปดร้อยสันพันคม มันทำสิ่งใดไม่เป็นหรอก ทำสิ่งใดไม่ถูกหรอก แล้วทำไม่ได้ด้วย รู้มากเกินไป เรียนมากเกินไป ปฏิบัติแล้วกิเลสมันเอาไปใช้เป็นเครื่องมือ มันทำลายในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้หันรีหันขวางเลยล่ะ นี่ไง โคที่ไม่มีอำนาจวาสนาไง

เวลาโคที่มีอำนาจวาสนา เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มีการกระทำขึ้นมา โคนำฝูงๆ เวลาลงสู่แม่น้ำก็จะข้ามฝั่ง พอข้ามฝั่งไปถึงวังน้ำวนไง ปฏิบัติไปแล้วเกิดสงสัย เกิดความลำบากลำบน เกิดความทุกข์ความยาก กิเลสมันวน วนจนล้มเลิก วนจนไม่มีการกระทำ ถ้าโคนำฝูงที่ไม่ฉลาด 

ถ้าโคนำฝูง เห็นไหม โคนำฝูงที่ดีงาม เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านพูดนะ เวลาท่านอบรมบ่มเพาะไง แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ใครประพฤติปฏิบัติมา ให้มันมีเหตุมีผลขึ้นมาในหัวใจนั้น แล้วมีสิ่งใดสงสัยให้ถามมา” แล้วไม่ต้องถามด้วย ประพฤติปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว บุคคล ๔ คู่ 

เวลาทำความสงบของใจ ใจกว่าสงบระงับเข้ามา ใจมันไม่สงบระงับเข้ามาก็ฟุ้งซ่าน ใจฟุ้งซ่านๆ ใจก็มีแต่ความทุกข์ความยาก ใจมีความทุกข์ความยาก ใจมีแต่ความหิวโหย จะไปทำอะไร มันหิวมันโหย มันไปกว้านเอาความทุกข์มาเผาลนตัวมันเองตลอดเวลา ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แต่การปฏิบัติโดยความไม่รู้ของตนไง ไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนนะ จะสำเร็จขั้นนู้น จะสำเร็จขั้นนี้ จะมีคุณธรรมอย่างนั้น จะมีคุณธรรมอย่างนี้ มันเผาลนอยู่นั่น โดยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยล่ะ ไม่มีความจริงอะไรทั้งสิ้นเลย มันไปเอากิเลสมาเผาตัวเอง โดยอ้างว่าเป็นธรรมๆ 

เพราะไม่มีอำนาจวาสนา สิ่งที่รื้อค้นขึ้นมามันไม่เป็นจริงขึ้นมา ไม่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ไม่เป็นผลอะไรมาเป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น เพราะ เพราะโคใจบอด ใจมันมืดมันบอด ใจมันไม่เคยรู้เคยเห็น ใจไม่เคยประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันจะรู้อะไร มันนำฝูงไม่ได้ มันนำฝูงไม่เป็น แต่มันจะดันทุรังนำ นำก็พากันไปสู่วังน้ำวนนั่นแหละ หลุมทรายดูด ดูดตายหมดนั่นน่ะ การประพฤติปฏิบัติล้มเหลว การประพฤติปฏิบัติว่างเปล่า ไร้สาระทั้งสิ้น

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ทำความสงบใจเข้ามาก่อน ทำความสงบใจเข้ามาก่อน เป็นบุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเป็นบุคคล ๔ คู่ มันมีการกระทำ มันเป็นสัจจะ มันเป็นข้อเท็จจริง อริยสัจมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

เวลาปฏิบัติในแนวสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่เวลาปฏิบัติตามความเป็นจริง มันเป็นความจริงขึ้นมา มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นชิ้นเป็นอันนะ มันมีขั้นมีตอนของมันไง ถ้าไม่มีขั้นมีตอนของมัน ทำไมหลวงปู่มั่นท่านบอก แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ แล้วผู้เฒ่ารู้ด้วยว่าจิตมันอยู่ตรงไหน จิตมันสูงมันต่ำอย่างไร 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนานี่ถ้าทำสมาธิไม่เป็นจบแค่นั้น ปุถุชนคนหนามันก็ไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาลน ถ้าอยู่ทางโลกมันก็มีแต่ความทุกข์ความยาก อยู่ทางโลกเขาก็ต้องมีหน้าที่การงานของเขานะ เพราะถ้าคนเราเกิดมาไม่มีหน้าที่การงาน เราจะเอาอะไรเลี้ยงชีพ การเลี้ยงชีพๆ ถ้าเขาเป็นชาวพุทธแล้วเขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เขาก็ยังมีธรรมในใจของเขา คำว่า “ธรรมในใจของเขา” เขาซื่อตรงกับชีวิตการดำรงชีพของเขา ชีวิตในการกระทำของเขา เขามีศีลมีธรรมไง ถ้าเขามีศีลมีธรรมของเขา เขาก็ไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป เขามีความสุขความร่มเย็นในชีวิตประจำวันของเขา

แต่ถ้ามันคนที่มีกิเลสหนา กิเลสหนา เห็นไหม ทำสิ่งใดแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดแล้วก็มีความทุกข์ความยาก มันเผาลนใจทั้งสิ้นไง นี่พูดถึงผู้ที่ทำการดำรงชีพในทางโลกไง แล้วถ้ามีอำนาจวาสนาล่ะ เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติของเขาล่ะ ถ้าอยากประพฤติปฏิบัติของเขา เวลาประพฤติปฏิบัติของเขาถ้าเขามีครูบาอาจารย์ที่ดีไง เขามีโคพาพ้นจากวัฏฏะ โคพาข้ามฝั่ง มันมีฝั่งโลกกับฝั่งธรรม ฝั่งของวัฏฏะๆ

ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านวางข้อวัตรปฏิบัติของท่าน วางข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ทำความสงบใจเข้ามาก่อน การทำความสงบใจเข้ามา เห็นไหม นี่ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติการดำรงชีพนี่แหละ พระ เห็นไหม ก็มีวัตรปฏิบัติของตน ถ้ามีวัตรปฏิบัติของตนขึ้นมาเพื่อให้จิตใจของเราอยู่กับวัตรปฏิบัตินี้ ทำด้วยความชื่นบาน เพราะเราทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา สิ่งที่เราทำๆ นี้ เราจะเอาข้อวัตรปฏิบัติมันก็กิจของสงฆ์ มันเป็นกิจเป็นหน้าที่ของเราๆ หน้าที่การงานของเรา เห็นไหม ถ้าหน้าที่การงานของเรา เราก็มีสติสัมปชัญญะควบคุมหัวใจอยู่กับข้อวัตรปฏิบัตินี้ นี่เป็นเครื่องอยู่ๆ ไง ใจมันไม่คิดส่งออกไปข้างนอกไง แล้วเวลาเราจะรักษาหัวใจของเรา เราทำความสงบใจของเราเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา เห็นไหม มันเริ่มอิ่มเต็มของมัน

สัมมาสมาธิ คือ จิตสงบและตั้งมั่น ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามาแล้ว ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ฝึกหัดใช้ปัญญา “ทำไมต้องฝึกหัด ถ้าทำสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง” หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า เราติดสมาธิ ๕ ปี ถ้าปัญญามันจะเกิดเอง เราต้องพ้นจากการติดสมาธิ ๕ ปีนั้นพ้นไปแล้ว ที่มันพ้นมา มันไม่ใช่พ้นว่าสมาธิมันเปิด เปิดให้เกิดปัญญา มันพ้นมาได้ด้วยหลวงปู่มั่นท่านสับท่านเขก ท่านดึงออกมา ท่านสับท่านเขกท่านดึงออกมา 

สมาธิให้เกิดปัญญาเอง” มันเป็นไปไม่ได้ แล้วปัญญาจะเกิดเองโดยที่ไม่มีสัมมาสมาธิเลย โคใจบอดโคไม่มีหัวใจโคไม่มีหัวใจเพราะมันไม่มีชีวิต โคใจบอด โคไม่มีหัวใจ โคที่ไม่มีชีวิตมันไม่กินหญ้า มันไม่เคี้ยวเอื้อง มันไม่ขยับเขยื้อน โคใจบอด 

นี่ไง ถ้าบอกว่า “เวลาทำสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิดเอง” ครูบาอาจารย์มากมายเวลาท่านบอกว่า “นี่ทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง ทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง” ถ้ามันจะเกิดเอง หลวงตาบอก “เราติดสมาธิ ๕ ปี ถ้าเกิดเองมันเกิดนานแล้ว มันไม่เกิด” เพราะมันไม่เกิดขึ้นมา เวลาสิ่งที่มันจะเกิด มันจะเกิดเพราะไม่ใช่มันจะเกิดเอง มันจะเกิดเองเพราะหลวงปู่มั่นท่านบอก “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ” แล้วแก้จิต จิตที่มันมีขั้นมีตอนของมัน แล้วเข้าใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นนิพพาน เวลาจะเอาเหตุเอาผลดึงจิตนั้นออกมาแก้จิต เพื่อให้มันฟื้นออก ฟื้นจากการหลับใหลให้กิเลสมันครอบงำมันทำอย่างไร 

สิ่งที่ทำ “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ” มันต้องแก้เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานะ คนที่มีวาสนาขึ้นมามันเป็นชั้นเป็นตอน แล้วเวลาคนที่เขาประพฤติปฏิบัติเป็น เขามีระดับของเขา ระดับของเขาบุคคล ๔ คู่อยู่ในระดับใด แล้วอยู่ระดับใดมันมีคุณสมบัติอย่างไร มันเป็นอย่างไร มันถึงเป็นสัจจะเป็นความจริงไง นี่ เห็นไหม โคพาฝูงข้ามฝั่ง จะข้ามฝั่งไปสู่ฝั่งธรรมะ 

นี่ไง ไอ้นี่ถ้าโคใจมันบอด มันไม่รู้ว่ามีฝั่งโลกฝั่งธรรม ถ้าไม่รู้จักฝั่งโลกฝั่งธรรมก็คิดกันอยู่นี่ไง ก็ใช้ปัญญากันอยู่นี่ไง แล้วปัญญานี่มันจะบรรลุธรรมไง มันไม่มีฝั่งโลกและไม่มีฝั่งธรรม ไม่รู้จักฝั่ง ไม่รู้จักโลกกับธรรม ถ้ามันไม่รู้จักมันก็จบไง มันก็ย่ำอยู่นี่ไง นี่โคใจบอดไง

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นโคพาฝูงข้ามฝั่ง จะข้ามฝั่งนี้ เราอยู่ฝั่งนี้ เราเกิดมา เกิดมาเป็นโลก เรามีอวิชชา เราเกิดมาโดยพญามาร เราเกิดมาโดยกรรมจำแนกสัตว์ แต่มันมีเป็นบุญเป็นกุศลจำแนกให้เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ไง เราเกิดมา เราอยู่ฝั่งโลกแน่นอน มีโลกเพราะมีกิเลสไง 

ถ้ามีกิเลสถ้ามันประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เห็นไหม นี่โคพาฝูงข้ามฝั่ง เราจะข้ามสู่ฝั่งโลกไปสู่ฝั่งธรรม ในการประพฤติปฏิบัติถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงาม โลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญาไง ปัญญาที่เกิดขึ้นเขาเรียกว่าโลกียปัญญาๆ ปัญญาโลกๆ ปัญญาวิทยาศาสตร์ ปัญญาความรู้สึกนึกคิดนี่แหละปัญญาโลกๆ ปัญญาเกิดจากเรานี่ ปัญญาเกิดจากเราเกิดจากจิต ความคิดไม่ใช่จิต เกิดจากจิต เวลาเกิดจากจิตขึ้นมานี่จิตภวาสวะ ภวาสวะนี่โลก ภวาสวะคือภพ มันเกิดที่นี่ แล้วมันเป็นโลกทั้งสิ้น แล้วไม่รู้ไม่เห็น การกระทำนี่มันไม่เป็นสัจจะไม่เป็นความจริงอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลยหรือ

นี่ใช้ปัญญาไปๆ ปัญญาอะไร ถ้าทำสมาธิ สมาธิปัญญาจะเกิดเองนั้นเป็นโคใจบอด มันเป็นไปไม่ได้ มันปฏิบัติแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะข้ามลง เห็นไหม โคนำฝูงลงสู่วังน้ำวน ผ่านจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ผ่านจากสัตว์ร้าย นี่จะข้ามขึ้นฝั่ง แล้วฝั่งไหนล่ะ ก็ไม่รู้จักฝั่งอีก “ฝั่งไม่มี มันเป็นสระ มันเป็นทะเลสาบ มันไม่มีฝั่ง” กิเลสมันอ้างไปตลอด

เวลานะ ถ้าพูดถึงธรรมะนี่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลามันหลงผิด มันติดอยู่ในทิฏฐิมานะ มานะของตน เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแก้ไง “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ” แก้จิตแก้ยากนะ มันต้องให้มีเหตุมีผลให้เรายอมรับว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งที่เป็นโลกๆ โลกก็คือโลก ปฏิบัติเพื่อโลกก็ได้โลกนี่แหละ นี่ปฏิบัติ ปฏิบัติพอเป็นพิธีไง ปฏิบัติพอเป็นพิธี แต่แต่มันสร้างมรรคสร้างผลนะ เพราะมันไม่รู้จักฝั่งโน้นกับฝั่งนี้ไง แล้วทำไมต้องข้ามฝั่งล่ะ อยู่ฝั่งนี้ก็สุขสบายดีแล้วไง 

อ้าวอยู่ฝั่งนี้สุขสบายดีแล้วก็อยู่ในวัฏฏะนี่ไง อยู่ในฝั่งนี้ก็เกิด เกิดเป็นมนุษย์ด้วยบุญกุศลได้เกิดเป็นมนุษย์ไง นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเอาโดยเนื้อหาสาระไง การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ๆ อริยทรัพย์เพราะมนุษย์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐ ประเสริฐเพราะอะไร ประเสริฐเพราะท่านได้ประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านได้กระทำเนี่ยทำลายอวิชชาในหัวใจของท่าน เป็นรัตนะ ๒ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมๆ 

นี่ไง การเกิดเป็นมนุษย์ถึงเป็นอริยทรัพย์ๆ ท่านถึงได้ประพฤติปฏิบัติ ท่านเกิดมา เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่โลก นี่อยู่ฝั่งนี้อยู่ฝั่งโลก แล้วท่านก็ออกประพฤติปฏิบัติของท่านเป็นสัจจะเป็นความจริงจนทำลายอวิชชาข้ามโอฆะไปสู่ฝั่งธรรม ฝั่งธรรมนี่ด้วยภาวนามยปัญญาไง ด้วยโลกุตตรปัญญาไง ไม่ใช่โลกียะ โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญามันเกิดอย่างไร

โลกียะ โลกุตตระนี่มันเป็นธรรม ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา มันเป็นธรรมเป็นบาลีอยู่ในพระไตรปิฎกมากมายมหาศาล แต่แต่ไม่รู้จัก ไม่รู้จัก ไม่เคยภาวนา ไม่เคยได้สัมผัส ไม่รู้อะไร อะไรโลกียะ อะไรโลกุตตระนะ โลกียะโลกุตตระก็ตัวอักษรไง ก็คำพูดนี้ไง แต่ข้อเท็จจริงที่มันเป็นล่ะ โคใจบอด มันไม่รู้ไม่เห็นไง เพราะไม่รู้ไม่เห็นมันเลยเอาสีข้างเข้าถูตะบี้ตะบันทำแต่ความเข้าใจของตนไง แล้วมันได้ผลอะไรมา ได้ผลคือสัญญาอารมณ์ สัญญาที่มาคุยกันนั่นน่ะ ได้สิ่งนั้นมา ได้มาไม่เป็นความจริง

ถ้าได้ในการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง นี่โคพาฝูงข้ามฝั่ง เวลาข้ามฝั่งขึ้นมามันเป็นชั้นเป็นตอนของมัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาสิ่งที่พอจิตสงบแล้วจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาอย่างไร แล้วใช้ปัญญา ปัญญาพิจารณาถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นกายโดยจิตสงบแล้ว นี่มันไม่ใช่เห็นกายโดยสามัญสำนึกของเรานี่ไง เวลาการพิจารณา ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นจริงนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกให้พิจารณาเลย เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาแล้วพิจารณากายๆ

การพิจารณาก็พิจารณาสามัญสำนึกนี่ไง โลกๆ ทั้งนั้น สิ่งที่ว่าความเป็นโลกๆ พิจารณาฝึกหัดใช้ปัญญาไง จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าจิตสงบแล้วไม่ฝึกหัดใช้ปัญญานี่ปัญญามันจะเกิดเองหรือ มันไม่มีอยู่ใน ๓ โลกธาตุนี้หรอก ถ้ามันมีอยู่จริงนะ ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาลฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมาก่อนองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้านี่เป็นศาสดาไปหมดแล้ว ไม่มี

นี่พอไม่มีขึ้นมา เห็นไหม พอจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาฝึกหัดใช้ปัญญานี่ถ้ามันเห็นกาย ฝึกหัดใช้ปัญญา กาย พอเห็นกาย เห็นไหม ผู้ที่เห็นกาย เห็นกายแล้วถ้าคนที่ทำสมาธิไม่เป็น ก็พิจารณากายเหมือนการฝึกหัดใช้ปัญญาเหมือนกัน อันนั้นเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ นี่โคพาฝูงข้ามฝั่ง เขาจะรู้จักฝั่งนี้และฝั่งนู้น ฝั่งโลกและฝั่งธรรม 

แล้วโดยสามัญสำนึก เพราะการเกิดของเราเกิดมาบนโลก มันเป็นโลกโดยข้อเท็จจริง ปฏิเสธใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น ปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย เราเกิดกับโลก แล้วเป็นโลกทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเริ่มต้นปฏิบัติก็เริ่มต้นจากโลกๆ นี้แหละ แต่เวลาเริ่มต้นจากโลกๆ นี้แล้ว เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาผู้ที่ใช้ปัญญาด้วยปัญญาชนนะ ฝึกหัดใช้ปัญญานี่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิไง 

ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินี่พิจารณากาย พิจารณาถึงความแปรสภาพ ความฟั่นเฟือนของร่างกายนี้เห็นแล้วมันสลดสังเวช สลดขึ้นมานี่มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ จิตมันก็ปล่อยมันก็วางก็แค่สมาธิไง แค่สมาธินะ ถ้ามันเป็นจริงแล้วฝึกหัดบ่อยครั้งเข้าๆ ถ้าบ่อยครั้งเข้านะ ถ้าจิตมันตั้งมั่นขึ้นมา ถ้ามันเห็นกายเห็นกายซ้ำๆ นั่นแหละ แต่เห็นกาย ถ้าจิตมันเป็นสมาธิแล้วมันเห็นกายมันมีความแตกต่าง ความแตกต่างระหว่างโลกกับธรรม 

เวลาเป็นธรรม เห็นไหม โลกียปัญญาเป็นปัญญาเกิดจากโลกทั้งสิ้น แต่ถ้าพอมันเป็นธรรมขึ้นมา เป็นธรรมเพราะอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีความสงบระงับขึ้นมานี่ จิตถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา พอเป็นสมาธิขึ้นมา จิตมันเป็นสมาธิเพราะอะไร เพราะมันไม่มีกิเลสเป็นเจ้าของ มันไม่มีกิเลสเข้ามาครอบงำไง

ถ้ามันมีกิเลสมาครอบงำก็เหมือนเรานี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนให้พิจารณากายๆ ในพระไตรปิฎกนี่ไปเที่ยวป่าช้า ไปพิจารณาซากศพ อย่าไปดูซากศพใหม่นะ เราไปพิจารณาซากศพให้มันสลดสังเวช เวลาไปเจอซากศพใหม่แล้วกิเลสมันฟูขึ้นมา มันไปทำกับซากศพนั้นขึ้นมาอีกต่างหาก ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลาพิจารณาๆ ไป กิเลสมันฟูขึ้นมาแล้วทำอย่างไร การพิจารณากายๆ พิจารณาอย่างไรให้มันเป็นธรรม 

เวลาถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงเพราะมันพิจารณาขึ้นมาให้มันสลดสังเวช ให้มันสงบระงับ ให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา แล้วถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมาๆ เห็นไหม เกิดปัญญาขึ้นมามันเป็นภาวนามยปัญญา ถ้ามันพิจารณาร่างกาย พิจารณากาย พิจารณาโดยความเป็นโลกๆ ถ้าความเป็นโลกมันจะสงบ มันเป็นการปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิกับสมถะไง มันจะไปวิปัสสนาอะไรกัน นี่มันอยู่ในฝั่งโลกไง 

โคพาฝูงข้ามฝั่งๆ ฝั่งธรรม ฝั่งธรรมเอาอะไรข้าม โลกุตตรธรรม โลกียธรรม ธรรมของโลก ธรรมประจำโลก มันอยู่กับโลกเขาอยู่แล้ว โลกุตตรธรรมต่างหากที่มันจะข้ามพ้นจากฝั่งโลกไปฝั่งธรรม ถ้าข้ามจากฝั่งโลกไปฝั่งธรรมแล้วข้ามอย่างไร แล้วข้ามที่ไหน โคพาฝูงข้ามฝั่งนะ มันมีฝั่งโลกกับฝั่งธรรม ถ้าเป็นข้อเท็จจริงผลของวัฏฏะที่ครูบา-อาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วไง กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น แล้วนรกอเวจี เวลานี่วัฏฏะ 

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นทะลุปรุโปร่ง นี่จะข้ามฝั่ง มันข้ามฝั่งด้วยการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้ามันอยู่ฝั่งโลกมันก็เกิดแก่เจ็บตายนี่ไง ตายจากโลกนี้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมก็เกิดเหมือนกัน เวลาเกิดแล้วเกิดในวัฏฏะนี้ไง เกิดในวัฏฏะนี้ทำคุณงามความดีขึ้น เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมแล้วจะบอกนรกสวรรค์ไม่มี เรื่องชาติหน้า ชาติภพไม่มี” ถ้าปฏิบัติไปโดยความโง่เขลา ปฏิบัติโดย เห็นไหม นี่โคใจบอดแล้วจะชักนำฝูงไป ชักนำไปสู่วังน้ำวนไง มันไม่มีสิ่งใดปฏิบัติแล้วมันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา

ถ้าเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เห็นไหม เข้าสู่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าเลย กาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน ไม่ให้เชื่อ แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาประพฤติปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เทวดามาดีดพิณ ๓ สาย ทางสายกลางๆ ถ้าตกไปอยู่ฝั่งหนึ่งอัตตกิลมถานุโยค ตกไปฝั่งหนึ่งก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ทำสมาธิๆ มีความสงบความสุขความระงับนั่นน่ะ นี่กามสุขัลลิกานุโยคมันติดสุขไง

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาทำขึ้นมาอัตตกิลมถานุโยคทำให้ตัวตนลำบากอยู่อย่างนั้น ทำโดยไม่เข้าสู่สัจจะความจริง แล้วมันก็ต้องเป็นไปตามแต่กิเลสของคน จริตนิสัยของคนเวลาทำแล้วมันไปติดตรงไหน เวลามันติดขึ้นมาทำสมาธิๆ เวลาทำสมาธิก็คิดว่าสมาธิเป็นนิพพาน สมาธิก็เป็นสมาธิจะเป็นนิพพานไปได้อย่างไร 

กว่าจะทำสมาธิได้ ทำสมาธิคือชนะกิเลสชั่วคราว ถ้าไม่ชนะกิเลสชั่วคราวมันจะเป็นสมาธิไปไม่ได้ ทำสมาธินี่สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบ จิตสงบมันเป็นกลาง มันเป็นสากล มันเข้าใจได้ไง โอ๋จิตมันเป็นแบบนี้ กายมันเป็นแบบนี้ มาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมันจะซาบซึ้งมาก ศึกษานะแต่มันยังไม่ทำเป็นความจริงขึ้นมาไง 

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันเกิดภาวนามยปัญญา มันจะเกิดความมหัศจรรย์ มันจะเกิดปัญญาที่เคลื่อนโดยกำลังของธรรม ไม่ใช่ของโลก ถ้าเป็นของโลก ของโลกคือสัญญา สัญญาคือความจำ ความจำการวิเคราะห์วิจัย แล้วการวิเคราะห์วิจัยขึ้นมามันมีสัญญาอารมณ์ไง พอมีอารมณ์ขึ้นมาก็แหมชื่นบาน แหมธรรมอันเลอเลิศ เสื่อมหมด มันเสื่อมหมดเพราะอะไร เพราะมันเป็นมารยา มารยาสาไถยทั้งนั้น สมมุติบัญญัติๆ แล้วมันเกิดกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน มันเป็นมารยาสาไถยทั้งสิ้น มันเป็นมารยาไถยจิต นี่มันลากไป ไถยไปของมันอยู่อย่างนั้น

นี่ไง นี่จริตนิสัย อำนาจวาสนาของคน ถ้ามันมีอำนาจวาสนาของคนนะมันไม่ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ชักลากไป มันจะตั้งสติขึ้นมาแล้วกำหนดพุทโธๆ ทำอานาปานสติ กำหนดปัญญาอบรมสมาธิ ทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าจิตมันตั้งมั่น จิตมันตั้งมั่นกิเลสครอบงำไม่ได้ กิเลสจะชักนำไปโดยอำนาจของมันไม่ได้ กิเลสชักนำไปตามอำนาจของมันไม่ได้เพราะเรามีคำบริกรรม เพราะเรามีสติสัมปชัญญะรักษาใจของเรา

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะรักษาหัวใจของเรา ใจของเราจะเป็นสัมมาสมาธิ ใจของเราจะตั้งมั่น แล้วตั้งมั่นขึ้นมาแล้วถ้ามีอำนาจวาสนาให้น้อมไปฝึกหัด ฝึกหัดใช้ความสงบนั้นให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม จิตเห็นอาการของจิตๆ ถ้าจิตเห็นอาการของจิต เริ่มต้นฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นๆ ปัญญามันเกิดขึ้น เห็นไหม แล้วพิจารณาไป แล้วถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง 

ไอ้โคใจบอดที่มันอบรมบ่มเพาะ ที่บอกว่า “ใช้ปัญญา ใช้พิจารณาของมันไป ธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิม ไม่ต้องทำสิ่งใดจะบรรลุธรรมนะ” ตกไปหมดเลย ถ้าคนมันหลงทางนะ มันก็หลงทางไป แล้วมันไม่มีใครรู้จริงชักนำไป มันก็ไปกับเขาทั้งสิ้น แต่ถ้าวันไหนเราเห็นเส้นทางที่ถูกต้อง แล้วเราเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องบอกหรอกว่าโคใจบอดกับโคพาฝูงข้ามฝั่งมันแตกต่างกันอย่างใด

โคพาฝูงข้ามฝั่งนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่านี่เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นโรงงานใหญ่ที่ผลิตพระอรหันต์ นี่ธรรมทายาทๆ ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมากมายมหาศาล คำว่า “มากมายมหาศาล” เพราะได้รับการอบรมบ่มเพาะ หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดประจำ “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา” 

คนที่ประพฤติปฏิบัติมันไม่มีความผิดพลาด ไม่มีการกระทำที่หลงไปสู่ดงของกิเลส มันไม่มีเลยหรือ ทั้งนั้นหลงทั้งนั้น เพียงแต่ว่าใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนที่จะกลับตัวขึ้นมาได้ แล้วใครมีอำนาจวาสนาขนาดไหน ที่มีครูบาอาจารย์ที่ดีงามคอยอบรมบ่มเพาะไง แล้วใครมีอำนาจวาสนามากมายขนาดไหนที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านอบรมบ่มเพาะแล้ว เราจะพิสูจน์ตรวจสอบให้มันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงอันเดียวกัน 

ครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะสั่งสอนอย่างหนึ่ง ไอ้เราประพฤติปฏิบัติไปอีกอย่างหนึ่ง แล้วเราบอกว่า “ครูบาอาจารย์ท่านลำเอียง ครูบาอาจารย์ท่านไม่เมตตาเรา ครูบาอาจารย์ท่านเอาแต่ลูกศิษย์ของท่าน ท่านไม่ค่อยแก้เราให้ถูกต้อง” มันไม่ใช่แก้ มันเป็นการให้ท่านยอมรับ พอไปก็บอก “ของฉันอย่างนี้ต้องถูกต้อง ของฉันอย่างนี้ต้องเป็นจริง” มันไม่ใช่การแก้ มันเป็นการจะไปให้ท่านยอมรับ ให้ท่านส่งเสริม ให้ท่านเชิดชูบูชา มันคนละเรื่อง 

ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงกับความจริงมันเข้ากัน ความจริงกับความจริงมันพิสูจน์แล้วมันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเรามีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องขึ้นมา เรามีสิ่งใดที่เราเห็นผิดขึ้นมา ครูบาอาจารย์จะแก้ไขอันนี้ไง ถ้ามันแก้ไขอันนี้นี่โคพาฝูงข้ามฝั่ง ข้ามฝั่งไปสู่ตรงไหน ข้ามฝั่งไปสู่ธรรมไง 

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจิตใจใครสงบระงับแล้ว แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมามันจะมีความสุขของมัน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เน้นย้ำๆ เราเน้นย้ำอย่างนี้บ่อยมาก เพราะอะไร เพราะไอ้ที่ว่าว่างๆ ว่างๆ นั่นมันไม่เคยมีความสุขไง มันหน้าชื่นอกตรม มันไม่เคยมีความสุข มันไม่เคยรู้รสของสมาธิธรรม คนทำสมาธิไม่เป็นคือจิตมันสงบไม่เป็น มันไม่เคยได้รับรสอย่างนี้หรอก แล้วถ้าคนมันไม่ได้ลิ้นรับรสของความสงบในหัวใจมันแห้งผาก หน้าชื่นอกตรม แล้วก็อยู่กันด้วยกระแสสังคม มันเป็นอุปาทานหมู่ มันเป็นอุปาทานหมู่อยู่อย่างนั้น แล้วก็ชื่นชมกันอยู่อย่างนั้น หน้าชื่นอกตรม มันถึงว่ามันไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง

ถ้าจิตมันสงบระงับตามความเป็นจริง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไม่ต้องให้ใครบอก มันชัดเจนกลางหัวใจ แล้วจะบอกว่า “เอออันนี้จริง” อันที่ทำๆ มาทั้งหมด ปลอม อันที่ทำๆ มาทั้งหมด แต่การทำๆ มาทั้งหมดนั้นมันก็เป็นการฝึกหัด คนเราประพฤติปฏิบัติมันก็เริ่มต้นจากโลกๆ นี่แหละ ฝั่งโลกๆ เพราะเราเกิดมากับโลกมันอยู่ฝั่งโลก แล้วฝั่งโลกนี่มันอยู่กับจริตนิสัยอำนาจวาสนา

ถ้าจริตนิสัย จริตนิสัย เห็นไหม มันเข้ากับจริต คำว่า “จริตนิสัย” พุทโธมันเข้ากับพุทโธ พุทโธได้ราบรื่น ถ้าพุทโธแล้วมันเครียด พุทโธมัน เห็นไหม จริตนิสัย ศรัทธาจริต พุทธจริต จริตของเรา โทสจริต โลภจริต ถ้าโมหจริต จริตของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกัน ถ้าจริตบุคคลไม่เหมือนกันนี่หลวงปู่มั่นท่านถึงให้กรรมฐานแต่ละบุคคลไม่เหมือนกันๆ ไง 

ในวงกรรมฐานการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์บอกว่าเริ่มต้น เห็นไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้อง เราถึงชื่นชมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เพราะท่านรู้ถึงจริตนิสัยของคน นี่ให้ทำอยู่ชนิดเดียว ทำอยู่อย่างเดียว มันจะทำอย่างไร แล้วคนมันหลากหลายมาทั้งสิ้น แล้วจะให้ทำอยู่ชนิดเดียว ทำอยู่อย่างเดียว มันเป็นไปไม่ได้

แต่แต่โดยพื้นฐาน เห็นไหม โดยพื้นฐาน การออกกำลังกาย คนเดิน คนวิ่งออกกำลังกายส่วนใหญ่มันง่าย นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นก็พุทโธๆๆ คำบริกรรม เริ่มต้น เห็นไหม เวลากรรมฐาน ๔๐ ห้อง อันดับหนึ่ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ พุทธานุสติก็ได้ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เทวดานุสติ มรณานุสติ นี่กรรมฐาน ๔๐ ห้องไง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ เราก็บริกรรมของเรา ทำงานของเราให้มันทำงานให้จิตทำงาน ถ้าจิตมันไม่ทำงานมันสงบไม่ได้ 

เพราะเราเคลิบเคลิ้มหลงใหล “ใช้ปัญญาไปเลยๆ มันมีอยู่โดยดั้งเดิม” เราไม่เคยบังคับจิตให้มันปล่อยวางจากสัญญาอารมณ์ คือสิ่งที่กิเลสมันบังคับ กิเลสมันผลักไสให้คิดอย่างนั้น จิตมันรับรู้ได้หนึ่งเดียวๆ แต่รับรู้เรื่องกิเลสที่มันขับไสบังคับบัญชาให้คิดอย่างนั้นไง แล้วมันก็คิดธรรมด้วย เพราะธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิมไง ไอ้โคตาบอด ไอ้โคใจบอด มันสอนกันอย่างนั้นน่ะ “ของมันมีอยู่แล้ว หลับไปตื่นมาก็สำเร็จเลย” มันคิดอย่างนั้น มันทำอย่างนั้น สัญญาอารมณ์ไง มันก็เคลิบเคลิ้มไปโดยเป็นอุปาทานหมู่อยู่อย่างนั้นไง

แต่ถ้าเราบังคับพุทโธๆๆ นี่จิตทำงาน จิตที่มันเคยเสวยอารมณ์ที่มันพอใจที่มันคิดของมันโดยสิ่งที่โคใจบอดมันพาทำ มันไปอย่างนั้น คนบอกว่า “เราเป็นคนดีต้องไปวัดไปวาทำไม เราเป็นคนดีอยู่แล้วไง นี่คนปฏิบัติธรรมนะ แล้วมันมีอยู่แล้วอยู่ฝั่งนี้ไม่ต้องไปฝั่งโน้น ไม่ต้องข้ามไปข้ามมา มันไม่มีฝั่ง” เราเศร้าใจ เศร้าใจว่าเขาไม่รู้จักเลยหรือ ว่าโลกกับธรรมมันคืออย่างไร 

หลวงตาท่านบังคับอยู่ตลอดเวลานะ เรื่องโลกๆ ห้ามพูดนะ พระเวลาสนทนาธรรมให้สนทนาเรื่องสัลเลขธรรม เรื่องมักน้อย เรื่องสันโดษ เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องมรรคผล เรื่องนิพพาน ท่านให้คุยกันเรื่องอย่างนี้เรื่องธรรม อย่าคุยกันเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ การเมือง ธุรกิจการค้านี่เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ อย่าคุยกันเรื่องโลกๆ

โลกกับธรรมนี่หลวงตาท่านแยกชัดเจนตั้งแต่ต้นมาแล้ว แล้วความเป็นอยู่ของเรานี่อยู่แบบโลกๆ หรืออยู่แบบธรรม เวลาออกไปวิเวกๆ ถ้ากลับมาโดยที่ว่าไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ท่านบอกว่าไปเอายาเสพติด ยาเสพติดคือสัญญาอารมณ์ของโลกไง ความเป็นอยู่ไง ไปเที่ยวเล่นไง ไปเที่ยวไปเล่น ไปดูบ้านดูเมือง ไปในสังคม แต่เวลาท่าน ท่านอยากให้ไปก็ไปในที่สงบสงัด ไปที่มีคำบริกรรม ไปทำความสงบใจเข้ามา จิตสงบที่ไหน จิตสงบแล้วปัญญามันเดินได้หรือไม่ได้ ถ้ากลับมารายงานท่านอย่างนี้ ท่านชื่นชมลูกศิษย์ของท่านอย่างนี้ 

นี่โลกกับธรรม ความจริงพระปฏิบัติมันต้องรู้จักโลกและธรรม โลกคือการคลุกคลี โลกคือการหมักหมม โลกคือการสะสมกิเลส ธรรมคือการวิเวก ธรรมคือการไม่คลุกคลี ธรรมคือการไม่ให้โลกเป็นใหญ่ สิ่งที่เป็นธรรม นี่โลกกับธรรมนะ มันยืนยันมาตลอดไง นี่มันสองฝั่ง แต่ไม่รู้จัก มันเป็นสระ มันไม่มีฝั่ง นี่สระน้ำ มันเป็นคอนกรีต มันไม่มีฝั่ง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร 

เพราะสิ่งที่เป็นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ลุมพินีวัน “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” คำว่า “ชาตินี้” ชาตินี้ก็โลกนี้ไง เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย นี่เปล่งวาจาเลยล่ะ แล้วเวลาเติบโตขึ้นมา พระเจ้าสุทโธทนะให้แต่งงานกับนางพิมพาได้บุตร มีบุตรสามเณรราหุล นี่โลกไหม โลกชัดๆ โลก ฝั่งโลกกับฝั่งธรรมไง 

เวลาออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี ก็โลกๆ สมบุกสมบันเต็มที่เลย สมบุกสมบันกับโลก โลกที่เขาประพฤติปฏิบัติกันอยู่อย่างนั้นไง เวลาปฏิบัติเขาจนสุดความสามารถแล้ว มันจนตรอกกับโลกแล้วล่ะ ถ้าเราจะต้องมาประพฤติปฏิบัติเอง เราจะประพฤติปฏิบัติเอง ฉันอาหารของนางสุชาดา “นั่งคืนนี้ถ้าไม่สำเร็จ เราจะไม่ลุกจากที่นั่งเลย” เริ่มต้นกำหนดอานาปานสติ พอจิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามาเข้าสู่ฐานของจิตของตนเอง พอเข้าถึงฐานของจิต ข้อมูลเดิมของจิต ที่เราประพฤติปฏิบัติจิตสงบแล้วมีนิมิตมีต่างๆ 

แต่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตสงบแล้วเข้าสู่ข้อมูลในใจอันนั้น พอเข้าด้วยกำลังของจิต บุพเพนิวาสานุสติญาณมันไม่ใช่ ดึงกลับมา โลกๆ ทั้งนั้น ดึงกลับมา ดึงด้วยสติของตน ดึงกลับมา พอดึงกลับมาขึ้นมา เวลามัชฌิมยาม จุตูปปาตญาณ อดีต อดีตคือบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้ามันไม่สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จุตูปปาตญาณคือถ้ามันตาย ตายนี่มันอยู่กับโลกไง โลกคือวัฏฏะไง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าตายก็เกิดในโลกนี้ไง จุตูปปาตญาณก็อนาคต เกิดนั่น เกิดนี่ นี่เรื่องโลกๆ 

เวลาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายอดีต ทำลายอนาคต ทำลายปัจจุบัน ทำลายหมดเลย วิมุตติธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม แล้วเวลาแสดงธรรมๆ มีพระอรหันต์ขึ้นมามากมายมหาศาล นี่มีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมีการกระทำ จากการกระทำอันนั้นมันถึงบรรลุธรรม

แล้วนี่มีพิจารณา มันมีธรรมอยู่แล้ว พิจารณาไปแล้ว แล้วไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สติเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร มันอยู่กับโลกนี้ไง ถ้าสมาธิ สติ สมาธิ ปัญญาอยู่กับโลกก็ปัญญาของโลกนี่โลกียปัญญา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบระงับแล้วถ้ามันเห็นสติปัฏฐานตามความเป็นจริงๆ นี่ไงจะข้ามวัฏฏะ ข้ามโอฆะไง ถ้าข้ามโอฆะขึ้นสู่ฝั่ง ฝั่งของธรรมไง ถ้าฝั่งของธรรมโลกุตตรธรรมๆ ไง ถ้ามันข้ามฝั่ง

เวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มนุษย์ที่เกิดมา เกิดมาในวัฏฏะอยู่ในฝั่งสังสารวัฏ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เข้าสู่ฝั่งๆ พระโสดาบัน เห็นไหม ตีนแตะพื้นเหยียบฝั่งขึ้นมาตีนถีบไว้นี่พระโสดาบันพาดกระแส ถ้าขึ้นฝั่งล่ะ จากฝั่งโลกๆ จะขึ้นฝั่งธรรม ถ้าขึ้นฝั่งธรรม โคพาฝูงข้ามฝั่งคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โคพาฝูงข้ามฝั่งคือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราพาข้ามฝั่งคือจะขึ้นสู่ฝั่ง ฝั่งโลกุตตรธรรม จะขึ้นสู่ฝั่งคือสู่การไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

มันชัดๆ อยู่ของมันอยู่อย่างนั้น “มันต้องไม่ทำ มันมีอยู่แล้ว เราลูบๆ คลำๆ อยู่กับโลกอย่างนี้” แล้วมันจะเป็นปฏิบัติธรรมตรงไหนล่ะ มันมีอะไรเป็นธรรม ถ้ามันมีครูบา-อาจารย์ที่ใจบอดที่ไม่มีสัจจะความจริงในใจ แล้วเวลาจะพาฝูงมันพาให้เสียหายทั้งสิ้นนะ แต่ความเสียหายนี้คนจะรู้ได้ต่อเมื่อคนนั้นเป็นธรรม ถ้าคนที่เขาเห็นกระแสสังคมไง สังคมโลกไง ลูกศิษย์เยอะ ลูกศิษย์ล้อมหน้าล้อมหลัง คำว่า “ลูกศิษย์” คือสังคม คือโลก เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของปลอม 

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติด้วยกันเท่านั้น แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่มีสัจจะความจริงในหัวใจด้วยถึงจะรู้ตามเป็นจริง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีอำนาจวาสนาก็ไปตามกระแส ก็เกาะไปกับโลกเขาไง เวลาบวชเป็นพระแล้วกลัวแต่ความทุกข์ความยาก กลัวแต่จะไม่มีคนบำรุงรักษา ถ้าเราฝืนกระแสแล้วมันก็จะทุกข์จะยาก ไม่กล้า ไปตามกระแสโลกเหมือนกัน

นี่พูดถึงทางโลกนะ สิ่งที่จะพาข้ามฝั่งได้ ข้ามฝั่งได้ เห็นไหม มันต้องมีสติมีปัญญา มีการกระทำ เวลาข้ามโอฆะนะ มันมีสัตว์ร้ายในสังสารวัฏมากมายมหาศาล กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ดูสิดูครอบครัวของมาร อวิชชาคือเจ้าวัฏจักร ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นลูกสาวของมัน แล้วยังมีเหลนของมัน มีหลานของมันเต็มไปหมดเลย นี่ไงชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง สิ่งที่จรมา สัญญาอารมณ์สิ่งที่ความทุกข์ความยากกระทบกระเทือนเรามานี่ นี่พวกนี้พวกปลีกย่อย พวกจรมาทั้งสิ้น แต่แก่นของมันคือการเกิด ที่ไหนมีการเกิดที่นั่นมีความทุกข์

สิ่งที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ เห็นไหม โคพาฝูงข้ามฝั่งแล้วมันจะไม่มีการเกิด ไม่มีอวิชชา อะไรจะพาเกิด ไม่มีการเคลื่อนไปและเคลื่อนมา ถ้าเป็นธรรมแล้วมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันไม่มีการเคลื่อนไปเคลื่อนมามันก็ไม่มีมารยาสาไถย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมแล้วนะพูดชัดๆ พูดชัดเจน พูดสั้นๆ แล้วแทงหัวใจ ไม่มีมารยา 

แต่ถ้าเป็นโคใจบอดมันมีแต่มารยาสาไถย มันไม่มีสิ่งใดเป็นธรรมเลย ถ้าความเป็นธรรมๆ ไง แล้วเวลาเราปฏิบัติ เราปฏิบัติอะไร เราปฏิบัติเพื่อความเป็นธรรม เราแสวงหาสัจธรรม แสวงหาสัจธรรม แสวงหาที่ไหน ถ้าแสวงหาสัจธรรม ครูบาอาจารย์เราแสวงหาที่ในหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ไง เพียงแต่ว่าเราไม่มั่นคงของเรา ไม่มั่นใจของเรา เราก็หาที่พึ่ง ที่พึ่ง มันมีที่พึ่ง 

ดูสิ เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านจบมหา เห็นไหม แล้วท่านตั้งใจด้วย แล้วท่านมีวาสนาด้วย แล้วสร้างบารมีมามากมายมหาศาล แต่เวลาจะปฏิบัติดูกิเลสสิ เวลากิเลสมันทิ่มแทงทีเดียวสะอึกเลยนะ “แล้วเกิดถ้ามันไม่มีมรรคผลล่ะ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติเสียเปล่าหรือ อย่างนี้ต้องมีคนยืนยัน ก็ต้องไปหาหลวงปู่มั่น” เวลาหลวงปู่มั่นท่านยืนยันผลัวะเลย เพราะท่านมีความสงสัยอยู่เรื่องอย่างนี้ เวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้นเลย

ท่านถามเลยว่า ท่านมาหามรรคผลนิพพานใช่ไหม มรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่ในตำราที่ท่านเรียนมา เรียนมาจบเป็นมหา เรียนมาเรื่องนิพพาน แต่มันไม่ได้อยู่ในวิชาการที่เรียนมา มันอยู่ในหัวใจที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง

ถ้าหัวใจที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันแทงใจดำ เอ้อนี่ครูบาอาจารย์ของเรา แล้วครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นใช่ไหม เคารพมาก รักมาก แต่ก็กลัวมากด้วย กลัวมากเพราะอะไร เพราะกิเลสมันคอยลามทุ่งไง กิเลสไม่ได้ กิเลสความคุ้นชินความต่างๆ กิเลสมันคอยเอาสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องทำลายตนเองทั้งสิ้น ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านไม่ให้กิเลสอย่างนั้นเข้ามาทำให้พระองค์นั้นมีปัญหาได้ ฉะนั้น สิ่งที่เวลาท่านคอยชี้คอยขัดคอยเกลานั่นน่ะถึงบอกว่ารักมาก เคารพมาก และก็กลัวมาก แต่แต่กลัวแบบธรรม กลัวแบบธรรมคือกลัวแบบเคารพ กลัวแบบบูชา ไม่ใช่กลัวแบบทุรนทุราย กลัวแบบโลกๆ ไง กลัวแบบทุกข์ 

กลัวแบบนี้คือกลัวแบบสำรวม สำรวมระวังกิเลสของเราอย่าให้มันแลบออกไป พอแลบออกไปแล้วไปสะเทือนครูบาอาจารย์ เวลาท่านควบคุมท่านควบคุมอย่างนั้น ถ้าควบคุมอย่างนั้น เห็นไหม ถึงกลัวมากและเคารพมาก เวลาเคารพ นี่ไง โคพาฝูงข้ามฝั่ง ฝั่งกิเลสตัณหาความทะยานอยากเข้าไปสู่ฝั่งธรรม การเข้าไปสู่ฝั่งธรรมมันต้องมีเส้นทางดำเนิน

ทางสายกลางๆ ในพระพุทธศาสนา ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาคือมรรค ๘ ศีล สมาธิ ปัญญา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ งานชอบ ความชอบธรรม แต่แต่เราเวลาปฏิบัติเราก็ว่าชอบธรรมๆ ชอบธรรมตามความชอบใจของตน ชอบใจไม่ใช่โดยชอบ โดยชอบไม่ใช่ความชอบใจ โดยชอบคือความขัดแย้งใจ ขัดแย้งกิเลส ขัดแย้งความเห็น ขัดแย้งการตั้งประเด็น ขัดแย้งหมดเลย เพราะมันชอบ แต่เราชอบใจ ชอบแต่ความพอใจของเราไง

เวลาครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ท่านจะคุ้มครอง ท่านจะดูแลให้มีการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เราถึงแสวงหาครูบาอาจารย์แบบนั้น แล้วครูบาอาจารย์แบบนั้นท่านนิพพานไปหมดแล้ว 

โคพาฝูงข้ามฝั่ง ฝั่งวัฏฏะไปสู่วิวัฏฏะ ฝั่งโลกไปสู่ฝั่งธรรม ข้ามไปสู่สัจจะความจริง มันมีฝั่งโลกและฝั่งธรรม ไม่ใช่ว่ามันมีอยู่โดยดั้งเดิมแล้วก็ย่ำอยู่บนฝั่งโลก แล้วก็ว่านี่คือการปฏิบัติธรรม แล้วก็จะสำเร็จกับโลกอยู่นี่แหละ โคใจบอด เอวัง