เทศน์พระ

บวชแต่ตัว

๙ เม.ย. ๒๕๕๒

 

บวชแต่ตัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ชีวิตทางโลกเป็นชีวิตทางโลก โลกพร่องอยู่เป็นนิจนะ โลกไม่เคยเต็ม ประเพณีวัฒนธรรมเห็นไหม ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีปีใหม่ มีประเพณีตลอดไป ประเพณีทำให้คนหมุนเวียน ถึงหน้านักขัตฤกษ์ทีทำให้คนย้ายถิ่น ย้ายกลับบ้านกลับช่อง กลับไปไหว้พ่อไหว้แม่ เวียนไปเวียนมานั้นล่ะคือชีวิตโลก

เราก็เหมือนกันนะ อุโบสถนี้ลงทุกปักษ์ เวลาถึงปักษ์ต้องลงอุโบสถตลอดเวลา มันเป็นเรื่องโลก บวชมาแล้วบวชแต่ร่างกายนะ บวชตามประเพณีวัฒนธรรม เป็นสงฆ์ตามสมมุติ เป็นจริงตามสมมุติไง จริงตามความสมมุติเป็นพระไหม? เป็น! เป็นพระโดยสมมุติโลกไง

โลกเขาคนนับถือศรัทธากัน เวลาบวชเป็นพระกันนี่มนุษย์เห็นไหม พอมนุษย์ห่มผ้าเหลืองก็เป็นพระ เป็นพระตามสมมุตินะ กิเลสมันไม่ได้บวชกับเรา เราบวชแต่ร่างกาย บวชแต่ประเพณีวัฒนธรรม แต่กิเลสมันไม่ได้บวชด้วย พอกิเลสไม่ได้บวชด้วย บวชแล้วถ้าจิตใจเป็นธรรมมันจะอ่อนน้อมถ่อมตน มันจะแก้ไขการกระทำของเรา แก้ไขกิเลสของเรา มันจะตั้งใจศึกษา

ศีลสิกขา สิกขาไง การศึกษาเล่าเรียน ศึกษาเพื่อความรู้จริง ศึกษาทางปริยัติ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางวิชาการเห็นไหม ใครไม่มีการศึกษาเป็นคนไม่มีความรู้ มีการศึกษาต้องศึกษา ศึกษามาแล้วก็ต้องทบทวน ทบทวนแล้วก็ต้องศึกษา

เวลาจะสังคายนากันทีต้องรื้อแล้วรื้ออีก ต้องรื้อค้นแต่ตำรานะ แต่มันไม่รื้อค้นที่ใจ ใจรื้อค้นไม่เป็น รื้อค้นใจไม่ได้เห็นไหม ใจเร่ร่อน เวลาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา จริงตามสมมุติ ห่มผ้าจีวร ผ้ากาสาวพัสตร์คือธงชัยของพระอรหันต์ เป็นพระแล้วมีศีล ๒๒๗ เป็นที่น่าเคารพบูชา น่าเลื่อมใสบูชา แต่เราบูชาตัวเราได้ไหม ความหมักหมมในใจของเรา เราข้องใจหมองใจเราไหม ถ้าหัวใจเรายังทับถมไปด้วยกิเลส ด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันน่าเคารพบูชาไหม

ความเคารพบูชามันต้องเคารพบูชาจากเราไปก่อน มือเราต้องสะอาดก่อนนะ มือเราไม่เป็นแผล ถ้ามือไม่เป็นแผลนี่มันจะจับต้องสิ่งใดได้มันองอาจกล้าหาญมาก ถ้ามือเราเป็นแผลมันไม่กล้าจับต้องสิ่งใดเลย แม้แต่น้ำเกลือนี่มันยังไม่กล้าจับต้อง ความเค็มนี่มันจะเจ็บแสบในมือนั้น ใจมันหมักหมมมาขนาดนี้เห็นไหม ถ้ามันบวชแล้วกิเลสมันบวชด้วยมันก็ต้องเป็นความสุขสิ กิเลสมันบวชด้วยนี่ พระเรานี่ถ้ามันบวชแล้วมันต้องเป็นพระที่ดีทั้งหมดเลย

ดูพระเราสิ บางโอกาสก็เป็นพระที่ดี บางโอกาสทำไมมันอย่างกับเปรตเลยล่ะ ในใจเรามันคิดสิ่งที่ไม่ดีมันยิ่งกว่าเปรตอีก มันเหยียบย่ำหัวใจเรานะ มันบวชมาแต่ร่างกาย มันไม่ได้บวชจิตใจ

หน้าที่ของพระเรา หน้าที่ของเราเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นเรื่องของสมมุติเหมือนกัน ธรรมและวินัยนี่เห็นไหม ธรรมนี่เป็นความจริง สัจจะความจริงถ้าใจเป็นธรรมแล้ว วินัยเห็นไหม สมมุติบัญญัติ สิ่งที่บัญญัติเป็นสมมุติทั้งนั้นล่ะ แต่สมมุติเพื่อบังคับให้ใจมันทำ ถ้าใจไม่มีการเคลื่อนไหวไม่มีการกระทำ มันจะสะอาดไปได้อย่างไร คนเราบวชมาดีๆ บวชมาแล้วให้มันสำเร็จไปเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาอยู่ ๖ ปีนะ ค้นคว้ารื้อค้นอยู่ ๖ ปี แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองมันมีการกระทำของใจ ใจมันมีการประพฤติปฏิบัติ ใจมันมีการกระทำของมัน ใจมันได้เคลื่อนไหวออกไปเพื่อกลับมาทำความสะอาดของตัวเอง ใจมันมีการเคลื่อนไหว มันเคลื่อนไหวไปจากอะไร ถ้ามันนอนจมอยู่กับความรู้สึกอันเดิม นอนจมอยู่กับอวิชชา นอนจมอยู่กับทิฏฐิมานะของเรา มันจะเคลื่อนไหวไปไหนล่ะ มันเคลื่อนไหวไม่ได้นะ

พุทโธๆๆๆ นี่ พยายามทำสมาธิขึ้นมา ทำความสะอาดในตัวมันเองให้ตัวมันเองสะอาดขึ้นมา ถ้าตัวมันเองสะอาดขึ้นมามันจะมีโอกาสได้ทำความดีความชอบขึ้นมาบ้าง ถ้าตัวมันเองไม่สะอาดขึ้นมานี่มันเป็นความคิดเห็นไหม มันเป็นอวิชชา มันเป็นมารทั้งนั้นน่ะ คิดดีขนาดไหน ตัวมันสกปรก สิ่งสกปรกมันคิดแต่สิ่งที่ดีมันก็สกปรกไปกับสิ่งที่เป็นความคิด ครูบาอาจารย์บอกว่า “ถ้าใจสะอาด...กำขี้มามันก็ดี ถ้าใจมันสกปรก...กำเพชรมามันก็ชั่ว”

ความคิดเห็นไหม เพราะใจมันมีอวิชชาเต็มหัวใจอยู่นี่ มันกำอะไรมาล่ะ มันไปคิดเรื่องตรึกในธรรมะน่ะ ปัญญาอบรมสมาธิ ตรึกในธรรมะ นี่ใจมันชั่ว พอใจมันชั่วขึ้นมา ใจมันไม่คิดตามความเป็นจริง มันเห็นเกินกว่าความเป็นจริง เห็นขาดตกบกพร่องกว่าความเป็นจริง ในเมื่อใจมันไม่เป็นความจริงมันตรึกในธรรมะ มันคิดในธรรมะเห็นไหม ถ้าใจมันชั่วกำเพชรมามันก็ชั่ว ใจมันชั่วขนาดนี้ มันมีอวิชชาในตัวมันเอง ศึกษาธรรมะ ท่องจำธรรมะกันทั้งนั้นล่ะ แล้วใจมันจะเป็นจริงตามธรรมะนั้นไหมล่ะ

เพราะความจริงมันคือใจของเรา ธรรมะเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใจมันชั่วกำเพชรมามันก็ชั่ว ใจมันมีอวิชชาในหัวใจ ศึกษามาขนาดไหนกิเลสก็เต็มหัวอยู่อย่างนั้นล่ะ มันไม่ได้ชำระกิเลสแม้แต่นิดเดียวเลย แต่ถ้าเราบังคับตัวเรา ข้อวัตรปฏิบัติที่ว่าพระปฏิบัติๆ เห็นไหม ศึกษามาเหมือนกัน ศึกษานั้นเป็นตำราทางวิชาการ แต่เวลาดำรงชีวิต ศีล สมาธิ ปัญญา ข้อวัตรปฏิบัติคือการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นศีลวัตร ข้อปฏิบัติคือศีลวัตร มันเป็นวินัยกรรม

สิ่งต่างๆ ธรรมวินัยบัญญัติเอาไว้ เราทำตามนั้น การเคลื่อนไหว ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวไปมันจะกลับมาทำอะไรของมัน ใจมันสกปรกอยู่ ใจมันจะทำอะไร ถ้าใจมันยังสกปรกอยู่ ทิฏฐิมานะเต็มหัวใจ เรารู้ เราฉลาด เรายอดเยี่ยม เราเป็นยอดมนุษย์ ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพชรเป็นเพชร เราเป็นเรา กิเลสมีกิเลสนะ ศึกษามานะเป็นเพชรเลย

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหมือนเพชรนิลจินดาเลย เป็นเครื่องประดับทั้งนั้นเลย ดูสิ ดูคนเห็นไหม ใส่เพชรนิลจินดาเต็มตัวเลย เราอาบน้ำทุกวัน เพชรนิลจินดามันสกปรกไหม มันสกปรกอยู่กับคราบเหงื่อคราบไคลของเราใช่ไหม นี่คราบเหงื่อคราบไคลของเราเห็นไหม เพชรนิลจินดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตัวตนเรามีอะไร ศึกษามานี่เฟอร์นิเจอร์ เพชรนิลจินดาก็ประดับที่ตัว เพชรนิลจินดามันไม่ได้สกปรกด้วยตัวมันเองนะ มันสกปรกเพราะเรา มันสกปรกเพราะขับเหงื่อขับไคลจากเราไปทำให้เพชรนิลจินดานั้นมันสกปรกโสโครก ต้องทำความสะอาดมันด้วย ร่างกายเราก็ต้องทำความสะอาดเหมือนกัน

หัวใจก็เหมือนกัน! ในเมื่อหัวใจมันสกปรกโสมมอยู่ มันตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ข้อวัตรปฏิบัติบังคับให้มันทำ! บังคับให้ใจมันทำ บังคับให้สิ่งสกปรกมันทำ ร่างกายนี้สกปรก ถ้าอาบน้ำชำระร่างกายมันก็สะอาดกันชั่วคราวใช่ไหม ร่างกายนี่มันสกปรก พออาบน้ำขึ้นมามันก็ทำความสะอาดชั่วคราว ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา มันก็สงบลงชั่วคราว ถ้ามันทำความสะอาดตัวมันเอง ร่างกายเราทำความสะอาดขึ้นมา เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกนั้นไปเศร้าหมองในเพชรนิลจินดานั้น

จิตถ้ามันสงบขึ้นมา ถ้าตรึกในธรรมขึ้นมานี่ โอ้โฮ มันกระจ่างแจ้งนะ ตรึกในธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเพริศแพร้วไปหมด โอ๊ย ใจว่างหมดเลยเห็นไหม ขนาดตรึกในธรรมที่มือมันสะอาดนะมันยังเพริศแพร้วขนาดนั้น แล้วถ้าตัวมันเป็นล่ะ ถ้าใจมันเป็นขึ้นมา ใจมันสงบขึ้นมา ใจมันดีขึ้นมา พอใจมันดีขึ้นมา ใจมันแก้ไขตัวมันขึ้นมา

ตัวใจเห็นไหม มันถึงทำความสงบของใจเข้ามา พอทำความสงบของใจขึ้นมา เพราะกิเลสมันไม่ได้บวชกับเรานะ เราบวชแต่ร่างกายเป็นสมมุติสงฆ์ กิเลสมันไม่ได้บวชกับเรา ในเมื่อกิเลสไม่ได้บวชกับเรามันก็จินตนาการไป พอจะทำความสงบเข้ามา ความสงบหรือ มันไม่มีประโยชน์ ต้องใช้ปัญญาไปเลย

พอใช้ปัญญาไปเลย มันก้าวล่วงเห็นไหม มันข้ามขั้นตอนมันไป มือมันยังไม่สะอาด มือยังสกปรกอยู่มันทำอะไรมันก็สกปรกไปทั้งนั้นน่ะ มือสกปรกหยิบต้องสิ่งใดมันก็สกปรก ในเมื่อใจมันมีอวิชชา ใจมันสกปรกอยู่ มันตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ปัญญาไปเลยมันก็สกปรกอยู่วันยังค่ำ มันสะอาดไม่ได้ไง ถ้ามันจะทำความสงบเข้ามามันก็บอกว่า เสียเวลา ไม่มีประโยชน์

ถ้ากิเลสไม่ได้บวชกับเรานะ กิเลสมันจะขัดแย้งในการกระทำของเราเอง เราปฏิบัตินี้กิเลสมันโต้แย้งกับเราเอง กิเลสเราเองทำร้ายเราเองทั้งนั้น ทำให้เราเสียหายไปเอง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพชรนิลจินดาจากข้างนอก เพชรนิลจินดาไม่ใช่ของเรา ถ้าเพชรนิลจินดาเป็นของเรานี่ มันเกิดมานี่ใจเป็นเพชร เพชรน้ำหนึ่ง ถ้าใจเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว กำขี้มานะไม่ต้องมีเฟอร์นิเจอร์เลย

ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเครื่องประดับสิ่งใดๆ บ้าง ถ้าเป็นพระเป็นเจ้าเรานะ สิ่งที่เป็นเครื่องประดับของพระคือศีล มีศีลมีธรรมในหัวใจนี่เป็นเครื่องประดับของพระ พระต้องรวยศีลรวยธรรม ไม่รวยทรัพย์สมบัติ โลกเขามีทรัพย์สมบัติกัน มีเพชรนิลจินดาของเขา เขาบอกเขาเป็นคนมั่งมี เขาจะมีทรัพย์สมบัติของเขามหาศาล เขาเป็นคนมั่งมีศรีสุข

แต่ของพระเราถ้าไม่มีศีลมีธรรม ศีลธรรมมันเกิดจากอะไร ข้อวัตรปฏิบัติมันจะเป็นสมบัติของเรา เพราะบังคับให้มันทำ ถ้าบังคับให้ใจทำเห็นไหม ใจมันทำได้ ใจมันมีการเคลื่อนไหว นี่มันเคลื่อนออกไป ใจของคนใครบ้างมันอยากจะขวนขวาย มันไม่ขวนขวาย เว้นไว้แต่ใจที่เป็นธรรมมันขวนขวายโดยธรรมชาติของมันนะ มันเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลา เพราะมันรู้ของมันว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นของชั่วคราวทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงเลย

ถ้าเราอยู่จมที่กับมัน ดูสิทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเรานั่งสมาธิภาวนาอยู่ตลอดเวลา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเดินจงกรมอยู่ ดูสิเวลาเดินจงกรมอยู่น่ะ หมอชีวกพาอชาตศรัตรูไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนกลางคืน ท่านเดินจงกรมของท่านอยู่ สงบสงัดมากจนอชาตศรัตรูกลัวมาก กลัวว่าหมอชีวกจะลวงมาฆ่า “เฉยๆ เฉยๆ จุ๊ๆ จุ๊ๆ นั่นตถาคตเดินจงกรมอยู่นั่น” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดาของเราด้วย ยังเดินจงกรม ยังนั่งสมาธิภาวนาอยู่ บริหารอยู่ตลอดเวลา

นี่ขนาดผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วท่านยังเดินจงกรม นั่งสมาธิของท่าน ท่านไม่อยู่เฉย ท่านเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวเพราะอะไร? เพราะความปล่อยวาง ความเป็นธรรม สัจธรรมมันเคลื่อน สัพเพ ธัมมา อนัตตา ในโลกไม่มีอะไรคงที่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะ วิวัฏฏะ มันวนอยู่ตลอดเวลา

ชีวิตของเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาจนวันตาย อายุขัยเรามีเท่าไหร่? วันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ วันเวลามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วใจล่ะ ใจนี้คงที่แล้วเห็นไหม การเคลื่อนไหวนี่คือการตรึกในธรรม ในวิหารธรรม วิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ เห็นไหม ใจมันเป็นเพชร ใจมันมีเครื่องอยู่ของมันแล้ว มันยังมีที่อยู่อาศัยของมันอีกต่างหาก

แต่ใจของเรานี่ใจมันสกปรกโสมม ใจมันเต็มไปด้วยอวิชชา แต่มันอยากประดับ เฟอร์นิเจอร์ ประดับธรรมนะ เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประดับนั้นเต็มเนื้อเต็มตัวเลย แต่ถ้าหัวใจมันสกปรกเห็นไหม แล้วมันก็นอนจมอยู่กับขี้ มันนอนจมอยู่กับขี้ของมัน ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แต่มันเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเฟอร์นิเจอร์ มาเป็นเครื่องประดับ แล้วมันบอกมันมีคุณธรรม มันมีคุณธรรม มันจะมีคุณธรรมมาจากอะไร ในเมื่อหัวใจมันสกปรกโสมมขนาดนั้น

แต่ถ้ามันมีข้อวัตรปฏิบัติมันเคลื่อนไหวน่ะ ข้อวัตรปฏิบัตินี่เป็นสิ่งที่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ เพราะอะไร เพราะความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ความขี้เกียจขี้คร้าน มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก การกระทำนี่มันเป็นการฝึกฝนเห็นไหม

นี่ชีวิตสมณะ พระที่ไม่ร้างจากข้อวัตร พระที่มีข้อวัตรปฏิบัติ มีสมบัติ มีศีลมีธรรม สิ่งที่มีศีลมีธรรมนี่เป็นสมบัติของพระ ถ้าพระมีศีลมีธรรมมันมีข้อวัตร มันมีพฤติกรรมของมัน มันเป็นคนดีของมัน มันมีการกระทำของมัน มันมีการเคลื่อนไหวของมัน เคลื่อนไหวเพื่ออะไร? เพื่อทำความสะอาดของใจ

ถ้ามันมีการเคลื่อนไหวเพื่อความสะอาดของใจ กิเลสมันไม่ได้บวชกับเรา เราบวชมาแต่ร่างกายนะ เราบวชมาเป็นอะไร? ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราบวชเป็นพระ พระเอาอะไรเป็นสมบัติ? เอาผ้าเหลืองหรือ? ธงชัยพระอรหันต์ใช่ไหม บวชมาแล้วได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ใช่ไหม แล้วที่ร้านขายผ้ามันมีอยู่เต็มตู้น่ะ มันเป็นศากยบุตรหรือเปล่า? มันเป็นศากยบุตรไหม? ร้านขายสังฆภัณฑ์มันเป็นศากยบุตรไหม? มันไม่ได้เป็นเลย มันเป็นเพราะเรา เพราะจิตของเรา เพราะเราเป็นคนใช่ไหม เราเป็นคนเราได้บวชได้เรียนใช่ไหม เราบวชขึ้นมาจากญัตติจตุตถกรรม เราเป็นพระขึ้นมาจากธรรมวินัย

ในเมื่อเราเป็นพระจากธรรมวินัยนี่ ใครเป็นคนไปบวชล่ะ ถ้าคนตายเขาบวชไหม? คนตายเขาไม่บวช ซากศพเขาไม่ให้บวชหรอก เขาให้คนเป็นนี่บวช เพราะอะไร เพราะมันมีหัวใจ มันมีความฝักใฝ่ มีความใฝ่รู้ มันมีความอยาก มันมีบุญกุศลในหัวใจ มันไปเรียนรู้ขึ้นมา มันบวชขึ้นมา นี่บวชขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์

สมมุติสงฆ์มันต้องประพฤติปฏิบัติสิ ทรัพย์สมบัติเขามีแล้วหรือยัง บวชแล้วพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เอาเลือดเอาเนื้อ เอาร่างกายที่ได้มาจากไข่ของแม่ สเปิร์มของพ่อที่มาบวชนี่เข้ามาเป็นญาติกับศาสนา มันเป็นโดยสมมุติ มันเป็นทางวิชาการ เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางไว้เรื่องวัฏวน เห็นไหม

กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตมันเวียนตายเวียนเกิด นี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคฤหัสถ์ แล้วเรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เราบวชขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิต เรามีหัวใจเราถึงบวชขึ้นมาได้ เราบวชเป็นพระขึ้นมาด้วยสมมุติ ด้วยการกระทำ ด้วยธรรมวินัย ด้วยอุบายวิธีการ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมที่พระพุทธเจ้าวางไว้เพื่อจะให้ฝึกฝนศากยบุตร ฝึกฝนพวกเรา

เราบวชเข้ามาแล้ว เราจะฝึกฝนไหม? เราจะมีการกระทำไหม? ถ้าเรามีการกระทำ เราจะเกิดสมบัติของเราขึ้นมาในหัวใจของเรา ที่มันมีความขยันหมั่นเพียร มันมีวัตรปฏิบัติของมัน นี่กิจของสงฆ์!

กิจของสงฆ์มันมีอะไร กวาดลานเจดีย์ วัจกุฎีวัตร วัตรในห้องน้ำ วัตรในส้วม วัจกุฎีวัตรนี่การเข้าส้วม การออกจากส้วม การทำความสะอาดส้วม วัตรในโรงฉันตั้งแต่น้ำเขียงเท้า น้ำล้างเท้า น้ำล้างบาตร ถ้ามีวัตรปฏิบัติขึ้นมาคนมันไม่ร้าง

สิ่งใดบ้างใช้สอยจากข้างนอกมันจะมีอะไรขาดตกบกพร่อง ความขาดตกบกพร่องในการดำรงชีวิตของเรามันจะมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เพราะวัตรเราสมบูรณ์ เราทำสิ่งนั้นก็สมบูรณ์ พอสมบูรณ์ขึ้นมาแล้วนี่ถึงการเคลื่อนไหวออกไป กิจกรรมของเรานี่เราต้องมาขบมาฉัน เราต้องมาล้างบาตร ทุกอย่างมันพร้อมมูลไปหมด ในเมื่อการกระทำเสร็จแล้ว เราก็ทำความสะอาดของเราไปแล้ว เราก็ทำต่อไป สิ่งนี้เพราะมันสมบูรณ์ขึ้นมาจากข้อวัตรของเรา นี่ไงธรรมวินัยมันเกิดขึ้น นี่เป็นสมบัติของสงฆ์ ถ้าเราบวชแล้วนี่บุญกุศลได้จากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นญาติกับศาสนา เราได้บวชมาแล้ว พ่อแม่ได้บุญกุศลไปแล้ว

แต่ในปัจจุบันล่ะ ในปัจจุบันที่เราจะก้าวเดินต่อไป เห็นไหม มันต้องบวชใจ บวชมาแล้วน่ะเราบวชแต่ร่างกายมา เราบวชร่างกายมานี่เราเป็นสงฆ์ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสมันเป็นโดยพิธีกรรม มันเป็นสมมุติ มันเป็นโดยสิ่งที่จับต้องได้ แต่มันยังไม่ได้เป็นสงฆ์ขึ้นมาจากความเป็นจริง เรายังไม่ได้บวชใจขึ้นมาไง ในเมื่อยังไม่ได้บวชใจขึ้นมานี่ กิเลสมันยังเต็มหัวใจเห็นไหม บวชมาแต่ตัว แต่ใจมันยังไม่ได้บวช ศากยบุตรมันเป็นมาจากที่ไหนล่ะ

นางวิสาขาไม่ได้เป็นพระ แต่ทำไมเป็นพระโสดาบันล่ะ เราเป็นพระกันแท้ๆ เลย หัวโล้นๆ นี่ ห่มผ้าเหลืองด้วย แล้วใจเป็นพระไหม? ใจมีข้อวัตรไหม? ใจมีสมบัติไหม? ถ้าใจอยากมีสมบัติเราต้องเข้มแข็ง เราเข้มแข็งนะ ในเมื่อบวชมาแล้วนี่ โลกเขาพร่องอยู่เป็นนิจ เขามีประเพณีวัฒนธรรมของเขา ถึงเวลาแล้วเพื่อการปกครอง เพื่อความเป็นไปของโลก โลกมันหมุนเวียนไปอย่างนั้น

ธรรมของเรานี่ธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลกมันจากไหนล่ะ ธรรมเหนือโลกเห็นไหม เราต้องตั้งใจของเรา เราต้องมีการกระทำของเรา เราต้องมีความเข้มแข็งของเรา ถ้าเรามีความเข้มแข็งของเรา เราจะไม่เป็นคนวัตรร้าง เราจะมีข้อวัตรปฏิบัติ

ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัตินี่มันเป็นเครื่องแสดงออก สมบัติเรามีแล้ว ถ้าสมบัติเรามีขึ้นมา การเคลื่อนไหว การกระทำของเรารื่นเริงอาจหาญมาก นี่ธรรมวินัยนะ ธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่เป็นวินัยกรรมที่ทำขึ้นมาเท่านั้นเอง แล้วมันทำขึ้นมาแล้วนี่มันเฉาไหม หัวใจมันเศร้าสร้อยมันหงอยเหงาไหม ถ้ามันไม่หงอยเหงาทำไมมันไม่รื่นเริงอาจหาญล่ะ ทำไมมันคอตกล่ะ สิ่งที่คอตกเพราะอะไร เพราะสิ่งที่หมักหมมในหัวใจมันเป็นความเศร้าหมอง ต้องมีสติสัมปชัญญะสิ เราทำบุญมาจากข้างนอก เราเตรียมพร้อมมาจากข้างนอก

สิ่งต่างๆ โคผูกไว้ หัวใจนี่เห็นไหม มันมีข้อวัตรปฏิบัติ มันอยู่กับข้อวัตร มันไม่ดิ้นรนไปประสาโลกเลย ถ้ามันไม่มีข้อวัตรปฏิบัติเหนี่ยวรั้งมันไว้นะ มันไปแบบโลกเลย ร่างกายเป็นพระแต่หัวใจเป็นโลก เป็นเปรต มันออกไปอยู่กับโลก มันคิดแต่เรื่องหยาบๆ มันไม่คิดเรื่องละเอียดเลย มันไม่คิดเรื่องการเสียสละเลย มันไม่คิดถึงว่าหัวใจเราควรจะชักออก ฟืนที่มันเผาไฟอยู่จะชักออกได้อย่างไร เราจะใส่แต่ฟืนเข้าไป เอาแต่ไฟเผาใจตัวเอง มันเผาไปเพื่ออะไร

ข้อวัตรเป็นข้อวัตรนะ ข้อวัตรเป็นสิ่งหยาบๆ เป็นการประพฤติปฏิบัติแบบหยาบๆ สวดมนต์ คำบริกรรม มันก็พุทโธๆๆ มันเป็นคำบริกรรมขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อเอาใจไว้ ถ้ามันอยู่ของมัน มันมีสติสัมปชัญญะของมันๆ ละเอียดกว่านั้น สิ่งที่ละเอียดกว่านั้นเห็นไหม สิ่งที่ควรกระทำต้องควรกระทำ นกมันยังมีรวงมีรัง ถึงเวลานกมันวางไข่มันต้องทำรังของมันขึ้นมานะ มันจะฟักไข่ของมันเพื่อให้ไข่ของมันเป็นตัวขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะฟักใจของเรา เราจะเอาใจของเราให้อยู่ สิ่งนี้เราทำไว้ ศีลธรรมของเราต้องมีกรอบขึ้นมา ถ้ามีกรอบขึ้นมาแล้วนกมันมีรวงมีรังใช่ไหม หัวใจมันมีอาการของใจ ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดที่ดี ความคิดเป็นคุณธรรม เป็นการเสียสละเห็นไหม พอเสียสละไปเราไม่มีสิ่งใดเศร้าหมองในหัวใจ ถ้ามีสิ่งเศร้าหมองในหัวใจเพราะเหตุใด? เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว ความยึดมั่นถือมั่น ความต้องการ ความทะยานอยาก มันคิดว่ามันจะเอาเป็นสมบัติของมันนะ สิ่งนั้นจะเป็นของเรา สะสมไว้ สะสมไว้ แล้วมันก็ไม่ได้ใช้สอย สะสมไว้เป็นขี้ข้าของมัน ต้องเก็บรักษา

ดูสิ เอาของมาไว้ที่กุฏิ ต้องรักษาไหม ต้องทำความสะอาดไหม ถ้ามันทำความสะอาดเราก็ใช้สอยแค่ดำรงชีวิตใช่ไหม ถึงเวลาทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ถึงเวลาแล้ววัตรในโรงฉัน วัตรในโรงน้ำร้อนต่างๆ มันก็มีพร้อมอยู่แล้ว ถึงเวลาเราไปใช้สอยที่นั้นไม่เอามาหมักหมมในหัวใจ ถ้าจิตใจมันไม่หมักหมมมันเปิดโล่งไหม ถ้ามันเปิดโล่งขึ้นมา เวลาเราตั้งใจขึ้นมาจิตใจมันไม่เศร้าสร้อยหงอยเหงา มันรื่นเริงอาจหาญของมัน แล้วนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมขึ้นมา มันมีหลักของมันขึ้นมา มันต้องมีการกระทำ น้ำมันจะเดือดขึ้นมามันต้องมีไฟ มันต้องมีอุณหภูมิขึ้นมา น้ำมันถึงจะเดือดขึ้นมา ไฟที่จะทำให้ความอบอุ่นนี่มันต้องมีการแสวงหามา

ดูสิ เวลาเขาอยู่ในป่าในเขา ถึงเวลาเขาต้องเก็บฟืนของเขาสะสมไว้เวลาหน้าฝน ข้อวัตรของเราก่อนเข้าหน้าฝน ก่อนเข้าพรรษา ต้องเก็บฟืนไว้หาฟืนไว้ เวลาหน้าฝนขึ้นมาเราไม่มีฟืนต้มน้ำร้อน ต้มต่างๆ มันมีวัตรในโรงไฟ เราต้องแสวงหา เราต้องทำของเรา เราต้องคำนวณเวลาของเรา

ถึงเวลาเก็บฟืน ถึงเวลาเอาฟืนมาสะสมไว้ ถึงเวลาต้มน้ำร้อนฉันเป็นยาปรมัตถ์ สิ่งต่างๆ มันแสวงหาเพราะอะไร เพราะมันไม่ใช่วัตรร้างไง เพราะหัวใจมันไม่ร้าง ถ้าหัวใจไม่ร้างแล้วความเป็นอยู่มันจะทุกข์ยากไปไหน ความเป็นอยู่เราพร้อมเสมอเลย เราจะมีโอกาสได้เสมอเลย พอทุกอย่างมันพร้อมหมดแล้ว ข้างนอกพร้อมหมดแล้ว ความเป็นอยู่นี้พร้อมหมดแล้ว แล้วหัวใจพร้อมหรือยัง

ถ้ามันพร้อมหมดแล้วในการภาวนามันก็มีโอกาส เพราะมันมีเวลาภาวนาด้วยใช่ไหม มันไม่ตกหล่น มันไม่ใช่พอจะนั่งสมาธิภาวนา ฟืนก็ยังไม่ได้เก็บ เดี๋ยวฝนมา เดี๋ยวลมมา เดี๋ยวอยู่ในพรรษาขึ้นมามันจะเปียกแฉะไปหมดเลย แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร แล้วถึงเวลาเข้าพรรษาขึ้นมานี่ต่างคนต่างละล้าละลัง แล้วก็อยากไปนิพพาน บวชมาแล้วต้องภาวนา ถึงเวลาหน้าแล้งก่อนเข้าหน้าฝน เขาต้องหาฟืนสะสมเอาไว้เพื่อจะเข้าหน้าฝน ก็ไม่ทำ เพราะอยากจะภาวนา พอถึงเวลาเข้าหน้าฝนพอนั่งภาวนาไป ถึงเวลาจะใช้สอยมันก็ไม่มี ไม้กวาดก็ไม่มี ฟืนก็ไม่มี ข้อวัตรไม่เคยทำไว้เลย แล้วก็วิตกกังวล อยู่ละล้าละลัง นี่ไงจับพลัดจับผลู หน้าก็ไม่ได้ หลังก็ไม่ได้ อนาคตก็ไม่มี ไม่ได้สิ่งใดๆ เลย

แต่เราจะเดินไปเป็นสัจธรรม ถึงเวลาทำข้อวัตรเราต้องทำ ถึงเวลาต้องเก็บฟืนต่างๆ ก็ต้องทำ เพราะเดี๋ยวมันเข้าหน้าฝน ถึงหน้าฝนแล้วเราได้ใช้สอยของมัน ออกพรรษาแล้วเห็นไหม จีวร สิ่งต่างๆ เครื่องใช้ไม้สอย ต้องปะต้องชุนไหม ถ้าต้องปะต้องชุนแล้วนี่เราจะออกวิเวก เราจะออกต่างๆ เขาเตรียมพร้อม ข้างนอกมันพร้อมหมด นี่เตรียมพร้อมแบบธรรมนะ ถ้าเตรียมพร้อมแบบกิเลสมันคาดไปแต่อนาคตนะ เตรียมไว้หมดเลย ถึงเวลาจริงๆ แล้วไม่ทำอะไรเลย ไม่เอาอะไรเลย ใจมันไม่เอาเห็นไหม

ถ้าใจมันเอา นี่กิเลสมันบังเงานะ กิเลสมันทั้งแซงหน้าแซงหลัง มันมีทั้งยุทั้งแหย่ในหัวใจ มันหลอกไปหมดเลย เวลาทำความดี เตรียมไว้หมดเลย แต่ถึงเวลามันไม่ทำ ถึงเวลาทำมันก็อ้าง อ้างไม่ทำอีก อ้างเล่ห์เห็นไหม เมื่อนั้นจะทำ....ไม่ทำ แต่ถ้าพอเราเตรียมพร้อมจะออก ถึงเวลามันก็ไม่ออก

นี่กิเลสมันละเอียดนัก กิเลสมันอยู่กับเรานะ กิเลสมันจะหลอกเราตลอดเวลา วัตรปฏิบัติเราต้องมีเพื่อเรานะ เพราะการกระทำ ดูนักกีฬาสิ ที่เขาออกกำลังกายกันเขาได้อะไรมา เขาได้ความแข็งแรงของร่างกายเข้ามานะ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่กระทำ เราทำทั้งหมด ทั้งการกระทำของจิตนะ จิตเวลามันตรึก มันคิด มันกระทำ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ สติมันตามไป ผลที่ได้มานะจิตมันหยุดเพราะมันใช้พลังงานไป สติมันยับยั้งได้ ปัญญามันยับยั้งได้ เรารู้เอง เราเห็นเอง

พอเรารู้เอง เราเห็นเอง มันให้ค่าอะไร? ก็ให้ค่าด้วยปัญญา ปัญญาเป็นสัจจะความจริง พอปัญญามันรู้ทันเห็นทันมันยับยั้งได้หมดเลย นี่ไง ธรรมะนี่เป็นเพชรนิลจินดาของเรา ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์เพชรนิลจินดาไปซื้อตามตลาดแล้วเอามาผูกไว้ตามคอ ตามข้อมือเห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในตู้พระไตรปิฎก ไปศึกษามาเป็นความจำกันทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเพชรนิลจินดาเกิดจากเรา ใจเป็นเพชรไง ใจมันรู้จริงเห็นจริงนะ ถ้าใจมันรู้จริงเห็นจริงพอสติมันตามทัน มันหยุด มันเห็น มันรู้ มันหลอกเราไม่ได้

พอมันหลอกเราไม่ได้ มันหยุด มันรู้ นี่สัมมาสมาธิเท่านั้นจิตมันหยุดได้ หยุดได้เพราะอะไร เพราะมีการกระทำเห็นไหม สิ่งที่ทำขึ้นมานี่ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน เรารู้เอง เราเห็นเอง เรารู้ เราเห็น เราจับต้อง เรากระทำ นี่มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเราเห็นไหม สิ่งนี้เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำเราไม่ใช่พระป่า

พระป่า พระปฏิบัติ พระกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานของพระคืองานรื้อค้นใจนะ งานของพระคืองานขุดลอกหัวใจ สิ่งที่เป็นอยู่นี้มันเป็นนกในรวงรังเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติต้องทำ ทำเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นเครื่องประกอบ มันเป็นเครื่องเคียงที่แสดงให้เห็นกิริยามารยาท

อย่างเช่น ในสังคมเราไปไหนเรามีของไปฝากเขา มันเป็นการแสดงน้ำใจว่าเราคิดถึงกัน เรามีของมาเจือจานกัน มันเป็นเครื่องแสดงออกของใจ เรามีของกำนัลมา เครื่องกำนัลเป็นน้ำใจ

นี่เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติ สิ่งที่มันทำใจมันทำใช่ไหม พอใจมันทำมันเห็นไง เห็นว่าพระองค์นี้มีวัตรปฏิบัติ พระองค์นี้ไม่ใช่วัตรร้าง พระองค์นี้มีสมบัติในหัวใจ มีศีล มีธรรมเป็นสมบัติในหัวใจ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจมันเป็นขึ้นมามันมีสมบัติของมัน มันละเอียดเข้าไป ถ้ามันปฏิบัติมันเข้าไปเป็นสมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีการกระทำจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะเห็นของใจดวงนั้น มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความเห็นของใจดวงนั้น

ถ้าใจดวงนั้นมันรู้มันเห็น นี่อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา โอปนยิโกเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม นี่มันแค่ทำความสงบของใจเข้ามาเท่านั้นนะ แล้วถ้ามันเกิดปัญญาของมันขึ้นมา โลกุตตรปัญญามันถึงชัดเจนมากนะ คนที่ปฏิบัติมันจะชัดเจนมาก สุตยมปัญญาเป็นอย่างไร จินตมยปัญญาเป็นอย่างไร ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร ถ้าไม่เกิดภาวนามยปัญญามันฆ่ากิเลสไม่ได้หรอก ถ้าคนฆ่ากิเลสให้ได้ มันบอกวิธีการ บอกการกระทำของใจ มันไม่มีเหตุ ใจมันไม่มีเหตุการณ์กระทำ ผลที่มันเกิดขึ้นมามันไม่มี มันมีแต่ไปตลาดไง แล้วก็ซื้อแก้วแหวนเงินทองมาว่าเป็นของเราไง มันไม่ใช่เป็นการกระทำของเรา

ถ้าเป็นการกระทำของเรา เราไม่ได้ซื้อมา เราขุดค้นขึ้นมาจากใต้บึ้งของหัวใจ ใต้บึ้งหัวใจนี่เราขุดค้นขึ้นมาแล้วเราทำลายมันขึ้นมา มันเป็นสมบัติของเรา เราทำของเราขึ้นมาเอง แล้วเราจะไปหวั่นไหวกับสิ่งใด? มันเป็นสมบัติส่วนตน มันเป็นสมบัติที่ใจดวงนั้นที่ไม่มีใครจะสามารถมาทำลาย มายื้อ มาฉุด มาแก่งแย่ง มาฉ้อฉล มันเป็นไปไม่ได้

“มารเอย เธออย่าตามหาจิตใจของสาวกเราเลย เธอมองไม่เห็นหรอก เธอค้นหาไม่ได้หรอก”

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งใดที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ เราทำลายของมันขึ้นมา ทำลายอวิชชาจากหัวใจไปแล้ว ใครมันจะมาฉุดกระชาก ใครมันจะมาฉ้อฉลออกไป มันเป็นไปไม่ได้เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นไปมันเป็นสมบัติของใจของเราที่เราจะกระทำ นี่กรรมฐานเป็นอย่างนี้

มันถึงว่าเราบวชแต่ตัวนะ กิเลสไม่ได้บวชกับเรา ในเมื่อกิเลสไม่ได้บวชกับเรา ถึงเป็นหน้าที่ของเรา เราจะรื้อมัน เราจะทำลายกิเลสของเรา เราจะต้องทำลายกิเลสของเรา มันถึงจะมองข้ามสิ่งความเป็นอยู่รอบข้าง ความเป็นอยู่รอบข้างนี้มันเป็นการฝึกฝนไง

ดูสิ ดูนักมวยเห็นไหม กว่าเขาจะเป็นแชมป์ขึ้นมา ดูสิ เด็กฝึกหัดขึ้นมา เด็กฝึกหัดในค่ายมวยมันจะแค่เก็บทำความสะอาดเครื่องใช้ไม้สอยในนั้นแค่นั้นเอง เด็กฝึกหัดในสำนักต่างๆ เขาจะเข้าไปทำความสะอาดก่อน แค่เป็นคนเทน้ำมาให้กิน เป็นคนทำความสะอาด แล้วเขาฝึกขึ้นมา เก็บขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติของเรามันก็เหมือนกัน แต่เด็กนั้นมันเป็นการฝึกเด็กจากข้างนอก เป็นการฝึกของค่ายมวย เขาจะฝึกเด็กขึ้นมาเพื่อจะดำรงสถานะของสำนักเขา แต่ของเรานี่มันเป็นสังฆะ สังฆกรรมสงฆ์ร่วมกัน แต่การกระทำทุกๆ ดวงใจมันเป็นสมบัติของดวงใจดวงนั้น มันเป็นสมบัติของเราเองนะ เรากระทำจากข้างนอก ผลตอบสนองมันกลับมาหาใจเรา

สำนักค่ายมวยมันเป็นสมบัติส่วนตนของเขา ส่วนตนของเด็กที่มันจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์แล้วมันรวมตัวกัน แต่ของเรามันเปรียบเทียบถึงสังคมทั้งหมด แต่ผลตอบสนองถึงใจของเราคนเดียว ใจของเรามันฝึกหัดขึ้นมา มันมีการกระทำของมันขึ้นมา แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา

ฝึกใจ! เราต้องฝึกใจ เราต้องแก้ไข ข้างนอกเขาจะเป็นไปเราอย่าหวั่นไหวนะ ดูสิ เราออกไปเห็นไหม เขาสนุกครึกครื้นกัน สงกรานต์เขาได้ไปเที่ยว เขาได้ไปเล่นน้ำสงกรานต์กัน เขาไปเล่นของเขานะ จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาเป็นไปก็เพื่อใจของคนนั้นไง ไปรดน้ำดำหัวก็เป็นความกตัญญูกตเวทีกับผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อสังคม เพื่อเขา ถึงที่สุดแล้วนะ ถ้าใจคนที่เป็นธรรมเขาก็ต้องออกประพฤติปฏิบัติ ถ้าไม่มีการภาวนา ไม่มีการต่อสู้ แก้กิเลสไม่ได้

ในศาสนาพุทธของเรา พุทธศาสนาสอนเรื่องการถึงที่สุดแห่งทุกข์ เป้าหมายของศาสนาคือการพ้นจากทุกข์นะ พอพ้นจากทุกข์ขึ้นมา เราจะพ้นจากทุกข์ สิ่งที่เป็นความสุขหยาบๆ เป็นความเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมประเพณีที่เขาทำกันน่ะ เราเห็นเขาเราก็อยากเล่นอยากสนุกไปกับเขา เราไม่เคยหรือ ก่อนบวชเราก็ทำมาทั้งนั้นล่ะ ถึงเราไม่เคยทำ เราเห็นเขาทำเราก็รู้ว่าเขาทำอย่างไร แล้วทุกคนมีสิทธิทำได้เหมือนกันหมดเลย

แล้วนั่งสมาธิภาวนาของเราล่ะ เราเอาใจของเราไว้นะ เราเห็นโลกแล้ว ที่เขาสนุกครึ้นครื้นไปเราก็อยากจะเป็นไป ดูสิ พระนาคิตะเห็นไหม เห็นเขาไปเที่ยวนักขัตฤกษ์ เดินจงกรมอยู่ในป่า “อู้ย...เราเป็นคนขี้ทุกข์ขี้ยาก พวกนี้เขามีความสุข เขาไปรื่นเริงกัน เขาไปงานประเพณีวัฒนธรรมกัน เรานี่เป็นคนไม่มีหลักมีเกณฑ์เลย เราเป็นคนไม่มีประโยชน์ เราเป็นคนเศษคน เราเป็นคนอยู่ในป่า”

เทวดามาหยุดยั้งกลางอากาศเลยนะ “ไอ้พวกที่เขาไปเที่ยวกันนั้นน่ะมันเป็นเศษคน มันเป็นเศษสวะของวัฏฏะไง วัฏฏะมันเวียนไป พวกเศษคน”

ก็เหมือนกับดูเครื่องยนต์สิ น้ำมันหล่อลื่นมันทำให้เครื่องยนต์นั้นมันหมุนไปได้ใช่ไหม มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์ที่อยู่ในสังคมมันก็หล่อลื่นโลกให้มันหมุนไปนั้นน่ะ คนที่มันหมุนไปมันสนุกครึกครื้นกันน่ะ มันก็เป็นแค่น้ำมันหล่อลื่นให้สังคมมันเวียนไปเห็นไหม แล้วเราจะมีสถานะเป็นแค่นั้นเองหรือ เขาสนุกครึกครื้นไปก็เพราะน้ำมันหล่อลื่นมันไม่มีชีวิต มันไม่รู้หรอกว่ามันมีประโยชน์อะไร มันแค่หล่อลื่นให้สังคมหมุนเวียนไป คนที่มันอยู่ในสังคมที่มันสนุกครึกครื้นกันไป ใช้จ่ายจับจ่ายกันไป ใช้จ่ายเงินทองให้เศรษฐกิจมันหมุนเวียน สังคมมันมีการใช้จ่าย มันก็เป็นแค่น้ำมันหล่อลื่นให้สังคมมันหมุนไป

เราจะเป็นอย่างนั้นไหม? เราเห็นภัยในวัฏฏะไหม? ถ้าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราสละออกมาเป็นนักพรต เราบวชมาเพื่อจะพ้นออกมาจากโลก เราบวชออกมาจากสังคมแล้วนะ เราจะต้องต่อสู้กับตัวเราเองให้ใจเราเข้มแข็งขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมา มองสังคมสิ มองโลกเขา มองความเป็นอยู่ของเขา มองแล้วเราสงสารเขาไหม ถ้ามีสติสัมปชัญญะสงสารนะ เขาไม่มีสติสัมปชัญญะเลย เวลาเขาตายไปเขาทำบุญกุศล บาปกุศล มันจะติดตัวของเขาไปด้วยอำนาจของเขา เราบวชมาแล้วเราเป็นนักรบ เราอยู่ใกล้ศีลธรรม เราจะมีอะไรติดใจเราไป ถ้าจะมีอะไรติดใจเราไปเราต้องเข้มแข็ง

เพราะอะไร ดูสิเวลาถือพรหมจรรย์เห็นไหม ไม่มีรสชาติเลย ชีวิตจืดชืด ชีวิตเขามีรสชาติ...รสชาตินั้นรสชาติของนรก รสชาติของสิ่งที่หมักหมมในใจ รสชาติของเรารสชาติของธรรมเว้ย รสชาติของเราจืดสนิท น้ำฝนจืดสนิทไม่มีโทษกับร่างกายเลย

ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะมีประโยชน์กับร่างกายของเรา มันจะมีประโยชน์กับจิตใจของเรา เราต้องบวชใจ กิเลสมันไม่ได้บวชกับเรา เราบวชมาแล้วมันบวชแต่ร่างกายมาด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยประเพณีวัฒนธรรม แล้วบวชมาแล้วศึกษามาแล้วมันก็เป็นเพชรนิลจินดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย เราก็ยังต้องมาประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม ให้เกิดเพชรนิลจินดาขึ้นมา ถ้าเกิดความสงบของใจขึ้นมาบ้าง ให้มันมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าใจมันสงบขึ้นมาใจมันจะมีหลักมีเกณฑ์

คนเราไม่มีความสงบของใจขึ้นมาเลย มันจะมีเครื่องอยู่ได้อย่างไร ถ้าใจมันสงบขึ้นมาบ้าง แล้วฝึกหัดปัญญา ภาวนามยปัญญานี่ปัญญาที่แก้กิเลส ไม่ใช่ปัญญาที่มันอยู่ในหัวสมองนี่หรอก ปัญญาในหัวสมองมันเป็นปัญญาที่หาอยู่หากิน ปัญญาวิชาชีพ

ดูพระสิ พระเราออกไปเขียนหนังสือกัน ออกไปหาอยู่หากิน มันเป็นเรื่องของสังคม มันเป็นเรื่องของโลกนั้นน่ะ พระเราทำไมมันไม่มีปัญญาแก้กิเลส ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถอนอุปาทาน ถอนศรปักอกอยู่นั้นน่ะ ปัญญาอย่างนี้ ภาวนามยปัญญานี่ ปัญญาของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ต่างหาก ปัญญาอย่างนี้มันถอนกิเลสของเราออกมานะ มันไม่ใช่วิชาชีพ นี่บวชขึ้นมาเป็นพระ พระอาชีพไง มีพระเป็นอาชีพ ถึงเวลาก็ไปสวดมนต์สวดพรหาแต่เงินแต่ทองเป็นอาชีพหรือ เราบิณฑบาตเป็นอาชีพไหม เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เรามีสัมมาอาชีวะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยไว้ ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร บิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราไม่ได้เลี้ยงชีพด้วยซองกระดาษอย่างนั้น ไม่ได้วิ่งไปหากับโลกเขา มันหยาบมันละเอียดต่างกัน ถ้าใจเป็นธรรม ใจมีข้อวัตรปฏิบัติ ใจมันจะเห็นของมันขึ้นมา แล้วเห็นทางโลก เขามี เขาเป็นแล้ว.. เป็นคตินะ เป็นคติธรรม คติเตือนใจเรา ไม่ใช่เห็นเขามีเขาเป็นแล้วอยากเป็นกับเขา

ดูสิ เราเห็นสุนัขมันกินขี้ไหม แล้วเราอยากกินขี้กับมันไหม เราอยากกินขี้แบบสุนัขไหม เราก็ว่าเราเห็นชัดเจนว่าสุนัขมันกินขี้ เราไม่กินขี้กับมัน แต่เวลาเขาทำกัน ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันขี้ทั้งนั้น แต่มันมองไม่เห็น มันไปเห็นแต่วัตถุว่ามันมีค่า แต่ถ้าใจมันเห็นโทษขึ้นมาน่ะ มันก็ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันก็เท่ากับสุนัขกินขี้ ถ้าสุนัขกินขี้ เราจะกินกับเขาไหม ถ้าเราไม่กินกับเขา เราตั้งสติของเรา เราทำของเรา เราฝืนใจเรา

เราฝืนตัวเรานะ เพราะว่าถ้าเราไม่เตือนใจกัน เราฟังเทศน์กันเพื่อปลุกเร้าใจเรา ให้เป็นอิสระนะ ให้กิเลสมันอย่าครอบงำ ถ้าเราเทศน์ไม่ทิ่มแทงหัวใจของเรา กิเลสในหัวใจของเรามันไม่ได้บวชมากับเรา เราบวชมาแต่ร่างกายนะ กิเลสในหัวใจเรามันเต็มหัวใจ แล้วมันเกาะกินใจเราอยู่นะ มันจะเอาอะไรเข้าไปสั่นคลอนมัน สั่นคลอนกิเลสกับใจเราให้มันแยกกันอยู่ชั่วคราวบ้าง ให้เรามีโอกาสได้ต่อสู้ ให้เรามีโอกาสได้มีการกระทำ ไม่ใช่ให้กิเลสมันครองหัวใจ แล้วให้กิเลสมันเหยียบย่ำใจนะ

บวชใจ! กิเลสมันครอบงำเราอยู่นะ เราอย่าให้กิเลสมันมีอำนาจเหนือเราจนเกินไป เราเกิดมาเรามีอวิชชาพาเกิด คนเกิดมาธรรมชาติมันมีอวิชชา มันมีกิเลสอยู่แล้วล่ะ แต่เพราะบุญกุศลนะ เกิดดีเกิดชั่ว เกิดมาแล้วทำดีทำชั่ว เกิดมาแล้วมีโอกาสได้สร้างสมมีสติสัมปชัญญะขนาดไหน ถ้ามันสร้างบุญมามาก ความดีมันมีมากกว่ามันจะฝืนใจ มันจะพยายามฝืนทำสิ่งที่ดี กรรมดีสร้างกรรมดีเห็นไหม กรรมดีๆ ต่อเนื่องกันไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์

ถ้ามีกรรมดีกรรมชั่ว ดีก็ทำ ชั่วก็ทำ มันก็มีกรรมดีกรรมชั่ววิ่งแข่งกันอยู่ในหัวใจของเรา หัวใจเรามันก็ไม่ถึงเป้าหมาย แล้วถ้ากรรมชั่วมันมีมากกว่าจะทำความดีนี่มันน้อยเนื้อต่ำใจนะ จะทำความดีนี่ก็เสียศักดิ์ศรี คนอื่นเขาไม่ทำดีกับเรา คนอื่นเขาไม่เห็นทำ ทำไมเขาอยู่ได้ คนอื่นเขาหลีกเลี่ยง เขาหลบหลีกกันไป เขาอยู่สุขสบายของเขา ทำไมเราต้องมาแบกรับภาระ ทำไมต้องทุกข์อยู่คนเดียว

ถ้ากิเลสมันมีมากกว่ามันก็จะทำให้ความดีเราก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าความดีมันก้าวหน้าไม่ได้ มันทำขึ้นมาแล้วก็มีแต่ความชั่ว ถ้าความชั่วทำขึ้นมาแล้วเวลามันตายไปมันก็เกิดดีเกิดชั่วไปตลอดเวลา แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา เราทำดีของเรา ทำดีต้องมีอำนาจวาสนา ต้องมีพื้นเพพื้นฐานรองรับ ว่าทำแต่ดี ทำแต่ดี เขาจะติฉินนินทา กิเลสมันจะเหยียบย่ำหัวใจ กิเลสมันจะแทงใจตลอดเวลานะ ว่าเราเป็นคนต่ำต้อย เราเป็นคนทำแต่ให้คนอื่นเขา คนอื่นเขามีแต่ทำความดี นั้นกิเลสมันพูด

แต่ถ้าเวลาใจเราเป็นธรรมขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมาน่ะ เรามีสติสัมปชัญญะ เราทำของเรา เราพอใจของเรา เราทำเพื่อเราเห็นไหม เพื่อเรานะ นี่ธรรม สิ่งที่เป็นธรรม คุณธรรมเห็นไหม ชนะคนอื่นหมื่นแสนคูณด้วยล้านมีแต่เวรแต่กรรม ชนะใจของเราเองคนเดียวขึ้นมา นี่ธรรมะชนะใจของเรา

ถ้าเราชนะใจขึ้นมาได้จะนั่งสมาธิที่ไหนก็ได้ จะเดินจงกรมที่ไหนก็ได้ เขาจะมีความสุข โลกเขาจะไปเที่ยวดวงจันทร์กัน เขาจะไปอวกาศ เชิญเขาไปเล้ย เราอยู่โคนไม้ เรามีความสุขมาก นี่จุดยืนเรามี ถ้าธรรมในใจเรามี เราอยู่ของเราได้นะ แล้วเราทำของเราได้นะ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีที่พึ่งของเรา แล้วเราจะทำใจของเราให้พ้นจากทุกข์ได้ เอวัง