อุบายฝึกจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เรื่องนี้เราเห็นมานานแล้ว แล้วเรารู้มานานแล้ว เพราะเขาพยายามส่งคนมาหาเรา ก่อนหน้านี้เยอะมากให้มีความเห็นคล้อยตามกันไป เพราะว่าเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะมา อยู่กับหลวงตามา อยู่กับครูบาอาจารย์มา มันต้องย้อนกลับมาเรื่องของพระก่อน
เรื่องของพระตั้งแต่สมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์โน่น แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมามันมีมุมมองอย่างไร แล้วสมเด็จวัดมหามงกุฎ ท่านเป็นสังฆราช ท่านถามว่าไอ้พระปฏิบัติ คามวาสีจะปกครองกันเองหรือ หลวงตาท่านพูดเองที่วัดป่าสาละวันไง บอกว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ปฏิบัติปกครองอย่างนี้ก็เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่คิดจะแยกตัวออกมาหรอก ไม่คิดจะแยกตัวออกมาเป็นอรัญวาสี คามวาสี
อรัญวาสี คามวาสี ที่ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ แต่เดิมมันมีตั้งแต่สมัยอยุธยามา แล้วพอสุดท้าย ทางฝ่ายปฏิบัติมันน้อยลงๆ เขาถึงยุบรวมกัน ให้เป็นการปกครองโดยเถรสมาคมไง ทีนั้นพอมันมีความเห็นอย่างนี้ นี่พูดถึงตั้งแต่สมัยอยุธยามานะ แล้วพออยุธยามาสมัยเรากู้ชาติกัน ตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากเห็นไหม ยึดแผ่นดินนี้มาเพื่อถวายพุทธศาสนาเห็นไหม แล้วดูสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเห็นไหม ถวายพุทธบูชาด้วยแผ่นดิน แล้วนี่มันก็มีหลายก๊ก หลายเหล่า มันมีอะไรกันมา
แผ่นดินไทยเรามันหลายร้อยปีมานี่ มันก็มีอะไรมาบ้าง นี่พอมันเรื่อยมาๆ มันก็แบบว่าคนปฏิบัติ มันน้อยลงไง แล้วก็มาถึงพระจอมเกล้ามาแยก เขาว่าแยก แต่ความจริงไม่ใช่ เราบอกว่าพระจอมเกล้า เป็นลูกของพระเลิศหล้าใช่ไหม พระเลิศหล้าท่านเป็นกษัตริย์ การบวชของลูกกษัตริย์ นี่มันต้องบวชแบบ โอ้โฮ สุดยอดเลยใช่ไหม แล้วเขาไม่ได้สึก
ถ้าสึกออกมามันแย่ใช่ไหม บวชไว้นะ กษัตริย์บวชลูกชายในแผ่นดินไทยนี่ พระต้องสุดยอดที่สุดใช่ไหม แล้วถูกต้องไหม ถูกต้อง พอบวชเสร็จแล้ว ท่านได้สิกขาลาเพศไหม ท่านไม่ได้สิกขาลาเพศ แต่พอศึกษาแล้วมาปฏิบัติ มาปฏิบัติแล้ว ทำไมพระเขาปฏิบัติกันหละหลวมอย่างนั้นไง เขาพยายามจะฟิตตัวเองให้มั่นคงขึ้นมา ทำดีขึ้นมา แต่ก็มีคนเห็นตามด้วยๆ บอกว่าเป็นสังฆเภทไหม ไม่เป็นหรอก
สังฆเภทหมายถึงว่า สังคมที่มั่นคงดีงาม แล้วพูดให้มันแตกแยก แต่สังคมมันเสื่อมทราม เราจะปฏิบัติตัวเราให้มันดีขึ้น มันจะเป็นอะไร มันก็ไม่เป็นอะไรเลย นี่เราจะเท้าความให้เห็นที่ว่า มุมมองมา พอมุมมองมาอย่างนี่ปั๊บนี่ พอปฏิบัติไปแล้วท่านต้องมีภาระ ท่านต้องสึกออกไปเห็นไหม ประสาเราว่าพระจอมเกล้าท่านไม่ได้ปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ว่างั้นเลย เพียงแต่ท่านทำให้พระเรานี่เข้าใกล้ธรรมวินัย
พอสุดท้ายแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาปฏิบัติของท่านแล้วท่านพยายามทำของท่าน จนสังคมเชื่อถือศรัทธาขึ้นมา พอสังคมเชื่อถือศรัทธาขึ้นมา แนวปฏิบัติก็มีคนเข้ามาศึกษามากเห็นไหม มันก็มีไอ้พวกนี้มา พวกอภิธรรม พวกนามรูปอะไรนี่เข้ามาทีหลังไง ทีนี้เราจะบอกว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ นี่เป็นพระอรหันต์ เหมือนพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วใช่ไหม ท่านมาสั่งสอนเห็นไหม ผู้รู้จริงสั่งสอน กับผู้ที่จำตำรามาสั่งสอนเห็นไหม มันแตกต่างกันล่ะ พอมันแตกต่างกันนี่ แนวทางปฏิบัติมันก็เลยมีอย่างนี้
อย่างในฝ่ายอภิธรรมเขาก็บอกเลย กึ่งพุทธกาลไม่มีพระอรหันต์ ไม่มีหมดเลย ไม่มีแล้วจะสอนทำไม ทีนี้การปฏิบัติของเขานี่มันพูดทฤษฎีเห็นไหม ที่เขาบอกว่า ทีแรกก็ว่าทำไมเขาพูดละเอียดมาก พูดชัดเจนมาก เราฟังแล้วไม่ละเอียดตรงไหนเลย เพราะเขาไปพูดทฤษฎีไง อารมณ์นี้เป็นอารมณ์นี้ เป็นอย่างนี้ อารมณ์นี้เป็นอย่างนี้ไง ค่าของเงินเป็นอย่างนี้ๆ แต่ในกระเป๋ากูไม่มีตังค์เลย แต่กูรู้ค่าของเงินหมดเลย แต่ในกระเป๋าเราไม่มีเงินเลย เราไม่เห็นความละเอียดตรงไหนเลย ไม่เคยเห็นเลย
แล้วพอเราพูดอยู่คำหนึ่ง ตอนเขาบอกว่าสติไม่ต้องฝึกนี่ เราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ โดยพื้นฐานเลยโดยบาลีเลย สติต้องการทุกเมื่อทุกสถาน เพราะสตินี่สำคัญมาก ถ้ามีสติปั๊บพวกเราจะทำได้หมดเลย ดูสิหลวงตาเวลาท่านเทศน์นะ ท่านบอกเลยนะ บอกว่าเดินจงกรมถ้าไม่มีสตินะ ท่านพูดเปรียบสุนัขเลย สุนัขมี ๔ ขา มันวิ่งไปวิ่งมาด้วย แล้วนี่บอกสติไม่ต้องฝึก อันนั้นเราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาเราพูดเราจะมีเหตุผล เพราะมีสติ มหาสติ สติอัตโนมัติ ถ้าสติไม่ต้องฝึก แล้วสติมันแตกต่างกันอย่างไร สติมันแตกต่างกันอย่างไรตอบไม่ได้ พอตอบไม่ได้เขาก็ว่าของเขาไป เราก็หยุดของเราไว้ เขารู้แล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเอาตรงไหน เอาความจริงไง สะอึกเลย
ทีนี้เขาก็ส่งคนมาแล้วพยายามจะสมาน ที่ใครๆ มาหาเรานี่ เขาต้องการแค่คำเดียว
กันเท่านั้น เออ เหมือนกัน เขาต้องการแค่นี้ แค่เรา เออ หรือเหมือนกันเท่านั้นล่ะ แต่เราก็เฉย เฉย เฉยมาเรื่อยๆ ไม่ค่อยพูดเท่าไร จนมาเห็นสุดท้ายนี่พอถึงว่ามันสุกงอมแล้วไง สุกงอมหมายถึงว่าเวลาเขาพูด เขาอธิบายถึงทางวิชาการนี่เขาอธิบายได้หมดนะ แต่เขาอธิบายข้อเท็จจริงอธิบายไม่ได้ เวลาเขาพูดที่คนบอกว่าละเอียดมาก ที่ว่าละเอียดมากนี่ ละเอียดมากมันพูดทางวิชาการ แต่พอมาพูดถึงข้อเท็จจริง จิตส่งออกไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร
โดยธรรมชาติของพลังงานมันคลายตัวตลอด โดยธรรมชาติของความคิด ธาตุรู้ ธาตุคิดนี่มันต้องคลายตัวตลอดเวลา มันคลายตัว จิตมันส่งออกโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว โดยที่เอ็งจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ จิตมันส่งออกมันคลายตัวออกเป็นธรรมดา ความร้อนมันคลายตัวตลอด ไม่มีความร้อนไหนที่มันคงที่ ไม่มี พอเอาข้อเท็จจริงมันก็พูดไม่เป็น แล้วบอกว่าสิ่งที่ส่งออก คือสัญญาอารมณ์ต่างหาก สัญญาอารมณ์คือความคิด ความคิดมันเกิดบนอะไร ถ้าไม่มีต้นขั้วความคิดเกิดจากอะไร ไม่ได้ เห็นไหม นี่ไงบอกว่าฉลาด โง่ตายห่า ดักตัวเองไง ฆ่าตัวเองไง
พอเราพูดออกไป มันเลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมาให้เขาค้นหา แต่ก่อนที่เรายังไม่พูด ตรงนี้ยังไม่ออก พอเราพูดตรงนี้ปั๊บ ทุกคนเริ่มมาค้นคว้าแล้ว คือเขาพูดนี่โดยข้อเท็จจริงแล้วเขาไม่รู้อะไรเลย เพราะโดยพื้นฐานนี่ คนภาวนาเป็นหรือคนทำงานเป็นนี่ แค่ทำงานก็รู้แล้วว่าทำงานถูกหรือทำงานผิด คนทำงานเป็นนี่ มองคนทำงานด้วยกันทีเดียว ก็รู้ว่าคนนี้ทำงานเป็นหรือเปล่า นักภาวนานี่ ฟังคำเดียวเท่านั้นล่ะรู้หมดเลย แต่จะพูดเมื่อไรเท่านั้นเอง แล้วพอพูดแล้ว มันจะเหมือนกันหมด ทุกอย่างต้องเหมือนกันหมด อ้างว่าเหมือนกันหมดเลย
แล้วมันก็อย่างนี้ก็เอาโลกมาบังคับไง ศาสนสัมพันธ์ พระจะทะเลาะกัน ใครไปทะเลาะกับมึง ไม่มีใครทะเลาะกับใครหรอก บอกว่าพระจะทะเลาะกัน มันพูดอะไรไปแล้วมันจะกระเทือนกัน ไม่มีความจำเป็น เอาความถูกต้องสิ ถ้าไม่มีตรงนี้ เมื่อก่อนมันพูดไปนี่ มันสงสารพวกโยมนี่ต่างหาก ก่อนหน้านั้นนะ เหตุการณ์มันไม่ชัดเวลาเขาเขียน เราดูออกหมด ดูออกอย่างที่ว่าเนี่ย เพราะฝ่ายที่ปฏิบัติไม่ได้ มันก็มีความลังเล พอลังเลแล้วก็บอกว่า กึ่งพุทธกาลแล้วจะไม่มีมรรคไม่มีผล เขาพูดอย่างนั้นตลอดนะ
ทีนี้ในกรรมฐานเราครูบาอาจารย์เรา ถ้ากึ่งพุทธกาลจะไม่มีมรรคมีผล พระศรีอริยเมตไตรยเกิดไม่ได้ พระศรีอริยเมตไตรยนี่เห็นไหม ศาสนานี้ ๕,๐๐๐ ปี หมดศาสนาอีก ๕,๐๐๐ ปี แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะตรัสรู้อีก ถ้ากึ่งพุทธกาลคือ ๒,๕๐๐ แล้วไม่มีพระอรหันต์ แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อะไร เพราะ ๒,๕๐๐ ปีก็ยังมีไม่ได้ใช่ไหม แล้ว ๕,๐๐๐ ปี จะมีได้อย่างไร แล้วอนาคตวงศ์จะมีได้อย่างไร
แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าบอกว่าอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ความทุกข์คือความทุกข์ ความสุขคือความสุข จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาปิดกั้นล่ะ มันปิดกั้นตรงไหนรู้ไหม ปิดกั้นแบบว่าพระกรรมฐาน คือการปฏิบัติเรานี่ พระอรหันต์ไม่มี เป็นไปไม่ได้ แล้วมรรคผลก็มีเพราะมันกึ่งพุทธกาลแล้ว
โยม : อันนี้นี่ของเดิมมาจากในตำราใช่ไหม
หลวงพ่อ : ใช่ เขาอ้างว่าอยู่ในพระไตรปิฎก เขาอ้างบาลี อ้างว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไง ใช่ เขาอ้าง พระไตรปิฎกนี่มันอยู่ที่คนอ้าง พระไตรปิฎกในตู้เดียวกันนี่แหละ ถ้าคนนั้นเห็นไหมเขาบอกว่านรก สวรรค์ไม่มี ของเขาที่เขาสอนกันว่านรกสวรรค์ไม่มี สวรรค์ในอกนรกในใจ
แต่ของพวกเรา ของครูบาอาจารย์เรานี่ ไม่ใช่ของพวกเราหรอก ของครูบาอาจารย์ที่ท่านทำจริงนี่ เพราะในพระไตรปิฎกเยอะแยะไปหมดเลย เรื่องเทวดามาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า แล้วพอปฏิบัติแล้วนี่เราบอกว่าเราปฏิบัติเรารู้เห็นอะไรเนี่ย เขาบอกว่าอันนี้หลงผิดหมด หลงผิดตรงไหนรู้ไหม นั่นน่ะจุดตายเลยล่ะ จุดตายที่พุทโธนี่ล่ะ สมถะนี่ล่ะทำให้เกิดนิมิต เขาบอกว่าไอ้พวกสมถะนี่ตัวร้ายมาก ไอ้พุทโธนี่ร้ายมากเลย แต่ความจริงของเรานี่พุทโธ นี่พระพุทธเจ้า พุทโธคือพุทธะ
โดยสมัยก่อนนี่นะ สมัยหลวงปู่มั่นยังไม่มีใครรู้จัก เขาสอนพุทโธกันทั้งนั้นล่ะ แต่เขาบอกพุทโธนี่จะเป็นสมถะ พอสมถะจะเกิดนิมิต เกิดสมถะจะไม่วิปัสสนา เพราะคนเขาไปคิดกันตรงนั้นปั๊บ คำสอนเขาถึงแยกออกไปว่าใช้ปัญญา แล้วปัญญาของใคร นิพพานสงบเย็นนะ กูบอกว่าควายนะมันกินหญ้า กินหญ้าเสร็จมันแช่น้ำ มันเย็นสบายมากเลย สงบเย็น คำว่าสงบเย็นนั้นใครตีความ ตีความว่าอย่างไรคือสงบเย็น นี่ไงเขาก็ใช้ปัญญาของเขาไง ถ้านิพพานคือความสงบเย็นคือควายนอนแช่น้ำ เขาก็ตีความธรรมะนิพพานออกไง เพราะความสงบเย็นมันรับรู้ได้ใช่ไหม ควายมันกินหญ้าอิ่มแล้วมันก็นอนแช่น้ำ มันเคี้ยวเอื้องของมัน นี่ความสงบเย็นไหม สงบของมัน เพราะอะไร เพราะมันเคี้ยวหญ้า
คือเราจะบอกว่า ความคิดอย่างนี้เราคิดเองได้เราตรึกได้ แต่เราตรึกถึงนิพพานไม่ได้ ในเมื่อเราอ่านแล้วเราก็ใช้ปัญญาของเรานี่ เราจะเน้นกลับมาที่คำว่าใช้ปัญญา นิพพานคือความสงบเย็น นิพพานคือความสงบเย็นนี่ มันปัญญาของใคร มันเป็นโลกียปัญญาไง คือปัญญาสามัญสำนึก ที่เราตีความพระพุทธศาสนากันไง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เขาไม่รู้วงรอบเหมือนครูบาอาจารย์เราไง ถ้าวงรอบของครูบาอาจารย์เราก็มีสุตมยปัญญา ปัญญาการศึกษาเล่าเรียน จินตามยปัญญา ปัญญาในทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาที่จิตสงบแล้วมันจินตนาการเห็นไหม
ไอน์สไตน์บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คนที่ไม่กล้าจินตนาการ คนที่ไม่กล้าคิดนอกกรอบ มันจะออกจากกรอบความคิดของตัวเองไม่ได้เลย ไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะเขามีจินตนาการของเขา เขามีการทดสอบของเขา เขาถึงค้นคว้าทางทฤษฎีสัมพันธ์ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ให้พวกเราใช้ประโยชน์ได้มหาศาลเลย เพราะอะไร เพราะเขาใช้จินตนาการของเขาเป็นตัวนำ
ภาวนามยปัญญา นี่ปัญญาของพระพุทธเจ้า มันตัวนี้ต่างหากที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอันนี้มันลึกซึ้งกว่าจินตามยปัญญา อีกหลายร้อยหลายพันเท่า จินตามยปัญญาจะเกิดขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีสมถะจินตามยปัญญาเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย นี่ไงสมถะ พุทโธๆๆ สมถะๆๆ มันไม่มีประโยชน์ พวกโยมมานั่งกันอยู่นี่นะ ถ้าพวกโยมไม่มีตังค์ ไม่สามารถหาเงินซื้อรถ หาเงินเติมน้ำมันมา โยมจะมานั่งกันอยู่อย่างนี้ไม่ได้เลย ที่มาอยู่นี่ได้เพราะมีรถมา จะมีปัญญาขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีสมาธิเป็นตัวนำนะ มันจะเป็นโลกียปัญญา คือปัญญาที่ว่านิพพานสงบเย็นแบบควายนอนกินหญ้าไง เพราะมันจินตนาการได้ มันคิดได้ตามนั้นเห็นไหม
เราจะย้อนกลับไปในพระไตรปิฎกไง ว่าพระไตรปิฎกนั้นต้องพุทธพจน์ พุทธพจน์นะ อู้ พุทธพจน์กูกราบทุกวันเลยล่ะ แต่กูไม่กราบคนพูดพุทธพจน์ ไอ้คนอ้างพุทธพจน์นั่นคนไม่รู้ นี่เขาบอกเห็นไหม เวลาเขาพูดในเว็บนะ จะเชื่อไอ้พระสมมุติองค์นั้น หรือจะเชื่อพระพุทธเจ้า จะเชื่อพระสมมุติองค์นั้นหรือจะเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามึงกับพระพุทธเจ้ากูองค์เดียวกันหรือเปล่า
โยม : ผมว่าคนที่เชื่อตามเขาเป็นคนไม่ได้ศึกษา จริงๆ แบบถ้าพูดแค่ในแง่ปริยัติ ที่จริงมันก็กระโดดข้ามไปข้ามมา ต่อกันไม่ติดอยู่แล้ว
หลวงพ่อ : มันต่อกันไม่ติด มันเป็นกระแสเห็นไหม กระแสสังคม เวลากระแสมันเกิดขึ้นมาแล้ว พอกระแสสังคม เพราะอะไร ต้องพูดตรงนี้ก่อน ตรงนี้เหตุที่มันเกิดเพราะอะไร เพราะแบบว่า ถ้าพูดถึงการประพฤติปฏิบัติของเรานี่ มันปฏิบัติได้ยาก พอปฏิบัติได้ยากใช่ไหม คนปฏิบัติมาแล้วนี่ มันจะเจียนอยู่เจียนตายก็ยังไม่ได้ใช่ไหม
แต่ถ้าเสนอแนวทางที่ง่ายขึ้นมาล่ะ นี้พอเสนอขึ้นมาแล้ว เขาต้องการันตีว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า พอได้ผลจริงหรือเปล่าปั๊บ เขาก็สร้างทฤษฎีขึ้นมาเห็นไหม เสียดายคนตายไม่ได้รู้ กูบอกเสียดายคนตายไปแล้ว มันไม่ได้เห็นความชั่วของมึงต่างหากล่ะ พอมันเอาตรงนี้ขึ้นมา เอามาเป็นประเด็นขึ้น ชักนำขึ้นมาใช่ไหม เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เสียดายคนตายไม่ได้เห็นว่ามึงจะหน้าแตก มึงจะโดนฉีกหน้า
แล้วพอมันมีประเด็นขึ้นมา มันเหมือนพรรคการเมืองเดี๋ยวนี้เลย พรรคการเมืองเห็นไหมเขาจะคุมสื่อ เขาจะพูดอยู่ข้างเดียวเห็นไหม ไม่ให้มีใครโต้แย้งเห็นไหม แล้วเว็บไซต์มึงนี้ใครจะออกอะไรได้ล่ะ เว็บไซต์นี้ของมึงลองออกไปสิ กระเด็นหมดล่ะ ถ้าคนจริงเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหม ยิ่งการสนทนาธรรมมากเท่าไหร่ ปัญญาเราจะได้แตกฉานมากขึ้นเท่านั้น
แล้วสนทนาธรรมนี่นะ เวลาครูบาอาจารย์เรา เวลาหลวงปู่มั่น เวลาพระที่ออกมาจากป่าเห็นไหม วิทยานิพนธ์นะ เราเข้าไปในป่าในเขา เราใช้ชีวิตของเรา เราใช้ประสบการณ์ของเราทั้งหมดเลยปฏิบัติมา แล้วเรามาคุยกัน เอามาเปิดเผยกัน ยิ่งคนปฏิบัติมาเท่าไรก็เอาสิ่งนี้มาคุยกัน แล้วคุยกันนี่พระปฏิบัติเรานะ พระป่าเรา ยิ่งใครไปปฏิบัติเห็นไหม
นี่หลวงตาท่านพูดประจำ มีพระ ๒ องค์ปฏิบัติด้วยกัน พระองค์หนึ่งอยู่ไม่ได้เลยนะ เพราะที่นั่นพอดีบังเอิญนะ โทษนะ มันเป็นเรื่องจริง มีผู้หญิงมันท้อง ท้องแล้วขึ้นไปเก็บผลไม้ แล้วมันตกลงมาตายคาท้องนี้ พอเวลาตายไปแล้วเขาก็เป็นเปรตอยู่ที่นั่น เขาก็มาลวนลามพระ พอพระองค์แรกเห็นไหม นัดกันว่า ๓ วัน จะเปลี่ยนที่กันไง พอคืนที่ ๒ มาแล้ว บอกทำไม บอกไม่ไหว ไม่ไหว ทำไมเอ็งไม่ไหว ก็อธิบายให้ฟัง ไอ้พระที่ยังไม่โดนบอกไม่เชื่อไง ก็ไปอยู่ที่เดิม โดนเหมือนกัน
นี่พิสูจน์ได้เห็นไหม ทีนี้ผู้ที่ปฏิบัติมา เขาไปปฏิบัติมา เวลาเขามาคุยกันเห็นไหมสิ่งนี้เขาพิสูจน์กันได้ เขาเอามาคุยกันนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหม การสนทนาธรรม ยิ่งสนทนาธรรมเท่าไรนะ ประสบการณ์ของใคร ใครเคยไปที่ไหนแล้วปฏิบัติขึ้นมาแล้วที่ไหนดี
อย่างเช่นหลวงปู่ฝั้น ไปอยู่เชียงใหม่ หลวงปู่มั่นมารับหลวงปู่ฝั้นไปอยู่ พอหลวงปู่ฝั้นไปอยู่ก็คิด ก็พระหนุ่มเนอะ โอ้ วัดที่โน่นดีกว่า ภูเขาลูกนั้นน่าอยู่กว่า โอ้โฮ ที่นั่นบรรยากาศมันจะดีมาก เช้าขึ้นมา ไปไหน ที่นี่ดีที่สุด ที่ไหนก็ไม่ดีเท่าที่นี่ ไม่ให้ไป หลวงปู่ฝั้นท่านก็พิจารณาของท่านเรื่อยๆ สุดท้ายมันลงพั้บ อู้ย สว่างหมดเลย
หลวงตาเล่านะ แล้วหลวงปู่ฝั้นท่านก็มาเก็บบริขาร เพราะพระเรานี่จะเคารพครูบาอาจารย์มาก ก็จะเอาบริขารลงมาที่ศาลาไง พอมาถึงจะมาเปิดกุฏิ ท่านยืนขวางเลย เห็นหรือยัง ที่ไหนดี ที่ไหนดี ดีตรงนี้เห็นไหม มันดีอยู่กลางหัวใจ เพราะสว่างโพลงหมดเลย นั่นล่ะ ได้ขั้นตอนเลย พอเสร็จแล้วท่านก็ให้ออกวิเวกเลย คือประสาเราว่าถ้ามันกำลังได้เสียอยู่นี่ เห็นไหม การสนทนาธรรม แล้วพูดถึงว่าเขาปิดตายเลย ไม่ให้เลย แล้วเขาใช้กระแสอย่างนั้นเห็นไหม แล้วมันไม่มีคนมาท้วงติงด้วย เพราะการท้วงติงเขาจะบอกว่ามันทุกคนจะศาสนสัมพันธ์ ศาสนาสัมพันธ์กัน ศาสนาอย่ามีความโต้แย้งกัน
ไอ้เรื่องโต้แย้งกัน เวลาพระพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยนะ ในปริยัติเห็นไหม ธรรมวินัยนี้บัญญัติขึ้นมาเพื่อข่มขี่ไอ้พวกหน้าด้าน ไอ้พวกที่ทำให้สังคมลำบากเห็นไหม ให้พวกที่อยู่ด้วยความเป็นสุข ไอ้พวกที่แบบว่ามีความละอายอยู่ด้วยความเป็นสุข เพื่อประโยชน์ของผู้ที่ยังไม่ศรัทธาให้ศรัทธา ผู้ศรัทธาแล้วให้มั่นคงในศาสนา เพื่อผู้ปฏิบัติให้เข้าถึง พระพุทธเจ้าบัญญัติธรรมวินัยไว้เพื่อเหตุนี้ แล้วทำไมจะมาคุยกันไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ให้พูดเห็นไหม ถ้าใครพูดอะไรก็โต้แย้ง ต้องถูกหมด ถูกหมด แล้วก็เอาตรงนี้
เราจะบอกว่าเราดูมานานแล้ว เราบอกว่าประสาเรานะ มันไปไม่ได้หรอก ไปไม่ได้ตรงไหนรู้ไหม เพราะคำพูด มันเป็นคำพูดที่รัดคอตัวเองทุกคำเลย ปฏิบัติลัดสั้น พุทโธไม่ได้ผล ทุกอย่างไม่ได้ผล ตอนนี้ผลเอามาสิ ผลเอามา พอผลเอามาปั๊บ มันก็เอาสิ ปฏิบัติแล้วๆ พวกนี้เป็นพวกที่ไว้ใจได้ บัญญัติเขาไว้ใจได้เชื่อใจได้ คือโสดาบันของเขานะ คนนี้ไว้ใจได้แล้ว คนนี้สอนได้แล้ว อ้าวก็ลัดสั้น พอลัดสั้นก็ต้องมีผลใช่ไหม แล้วถ้าไม่มีผลจะเอาผลอะไรมาให้มึง กูก็ต้องบัญญัติขึ้นใหม่ว่าไอ้พวกนี้ดีแล้ว แล้วโทษนะ แล้วมึงจริงหรือเปล่า ทำไมเราต้องไปคุยบอกว่าเราเป็นคนดีล่ะ
โยม : ก็เห็นหลายคนที่เขารับรองนี้ เป็นฆราวาส รับรองว่าบรรลุโสดา โสดา ก็เคยเห็นอยู่หลายคน แต่ว่าเท่าที่สังเกตนี่ก็คือแบบว่า จากคนที่ว่าตอนเป็นปุถุชนธรรมดา เหมือนแบบว่าไม่ก้าวร้าว อ่อนน้อม พอเป็นโสดาแล้วก้าวร้าว ถากถาง ขี้โมโห ด่าคนเก่ง ใครพูดแบบแย้งไม่ได้ โกรธหมด ว่าหมด
หลวงพ่อ : นั่นถึงว่าแปลกเห็นไหม มันขัดแย้งกัน แล้วทำไมขัดแย้งกันนี้ พูดถึงอันนี้กรณีของเขานะ แต่ถ้ากรณีของพวกเราปฏิบัติ นี่เราจะออกตัวไว้ก่อน เวลาพวกเราปฏิบัตินี่นะ เวลาพวกปฏิบัตินี่ จิตของพวกเรานี่นะ ผ้าสีผ้าที่สกปรก จะมีฝุ่นอะไรลงไปบ้างมันก็ไม่เป็นไรนะ จิตพวกเรานี่นะเหมือนกับผ้าขี้ริ้วไว้เช็ดเท้า ถ้าเท้ามันสกปรกเช็ดไปที่ผ้าขี้ริ้วแล้วเท้าสะอาดขึ้น แต่ผ้านี้สกปรกใช่ไหม ความคิดพวกเรานี่สกปรก พอเราพยายามเอาผ้าขี้ริ้วนี้ไปซัก ผ้าขี้ริ้วก็สะอาดขึ้นมา พอเราไปเช็ดเท้า จะเห็นผ้าขี้ริ้วนั้นสะอาดหรือสกปรก จิตของผู้ที่ปฏิบัตินี่นะ เวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันดีขึ้นเหมือนผ้าขาว ความสกปรกนั้นจะเห็นได้ชัดเจน
จิตของเรานี่เขาเรียกชวนะ สิ่งต่างๆ นี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะนี่มันกระทบเร็ว ฉะนั้นพระปฏิบัติเรานี่ถึงไม่ให้คลุกคลีกันมาก ไม่ให้อะไรมาก เพราะมันกระเทือนกันได้ อันนี้พูดถึงโดยข้อเท็จจริงนะ แต่นี่ ไอ้สิ่งที่ว่า เขามาโมโหมาอะไรต่างๆ นี่ ไอ้อย่างนี้มันอีกกรณีหนึ่ง เพราะกรณีอย่างนี้ โธ่ หลวงปู่มั่นนะ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ โอ้โฮ ไปหมดเลยเหมือนกัน เทศน์นี่ไปหมดเลย กระโถนอันหนึ่งนะ ปัง ปัดทีเดียวกระโถนกระเด็นเลย พอกระโถนกระเด็นไปบอก อ้าวไม่ได้เทศน์ให้กระโถนฟังนะ เทศน์ให้พระฟัง กระโถนมันกระเด็นไปเลย แล้วพระนี่กระเด็นไปหรือเปล่า กิเลสนี่กระเด็นไปจากพระไหม ขนาดปัดกระโถนกระเด็นไปแล้วนะ ยังเป็นมุกได้เลย หลวงปู่มั่นนะ
จะบอกว่าพระต้องเป็นแบบพระพุทธรูป ไม่ใช่นะโว้ย พระพุทธรูปนั่นนะ พระสมมุติเขาหล่อขึ้นมาไว้กราบ สมมุติเป็นพระพุทธเจ้านะโว้ย พระจริงๆ มีชีวิตนะมึง อันนี้อันหนึ่ง ถ้าเรามองกันแค่นี่นะ เรามองเป็นกิริยา แต่ความจริงต้องฟังเนื้อหาสาระจากการพูดนั้น เนื้อหาสาระที่พูดออกมา จริงคือจริง ปลอมคือปลอม ปลอมขนาดไหน จะหลบเร้นขนาดไหนก็ปลอม แต่ถ้าจริงนะจะหลบขนาดไหนก็จริง ฉะนั้นเวลาเราบอกคำพูดของเขาที่ว่า คำว่ารัดคอของเขานี่เห็นไหม เขาพูดอย่างนี้ไงลัดสั้นๆ ความจริงลัดสั้นนะ ผู้ปฏิบัติรู้ได้จริง ความเป็นลัดสั้นนะ มันขิปปาภิญญานี่มันได้ คนที่มีอำนาจวาสนามา พระพาหิยะฟังพระพุทธเจ้าหนเดียว เธอจงมองโลกนี้สักแต่ว่า แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ
ไอ้คำว่ามองว่าสักแต่ว่าๆ นี่ พวกเราเคลมกินกันเป็นเปรตหมดเลย นู่นก็สักแต่ว่า นี่ก็สักแต่ว่า สักแต่ว่าสิ มันก็เหมือนไก่ เวลามันเห็นพรานมามันก็วิ่งเอาหัวซุกใบไม้เลยนะ ไม่มีใครเห็นกู มันเอาหัวซุกใบไม้ไง แล้วคนจะเห็นมันไหมล่ะ ก็ตัวมันโผล่อยู่นี่ แม่งก็จับไปเลย นี่ก็เหมือนกัน สักแต่ว่า สักแต่ว่า ปฏิบัติก็สักแต่ว่า แล้วมึงล่ะ มึงทุกข์ไหม เธอจงมองโลกนี้สักแต่ว่า แล้วกลับมาถอนไอ้คนที่รู้ว่าสักแต่ว่า เราเห็นเขาก็สักแต่ว่า แล้วมึงเป็นสักแต่ว่าจริงหรือเปล่า มึงทุกข์หรือเปล่า ตรงนี้ไงสมถะ
ถ้าจิตเราสงบ เราเห็นอะไรทุกอย่าง เราจะมองทุกอย่างนี้สักแต่ว่าเลย สักแต่ว่าเรื่องของเขา เห็นไหมที่เขาพูดว่า ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู แล้วใครพูดล่ะ ใครพูด ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกูก็คือกู ก็กูพูด เธอจงมองโลกนี้สักแต่ว่า พระพาหิยะฟังทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลยนะ แต่คำว่าอย่างนี้ คำว่าพระอรหันต์ปั๊บนี่ ก็ย้อนกลับไปถามพระพุทธเจ้าว่าทำไมเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ย้อนอดีตเลยว่า เขาเคยภาวนามา เขาเคยสมบุกสมบั่นมามหาศาลเลย คนที่จะเป็นอย่างนั้น มันคือพันธุกรรมทางจิต จิตนี้ถ้ามันได้สร้างพันธุกรรมสิ่งที่ดีมา มันลงที่ไหนมันจะดีไปหมด จิตของเรานี่นะ โอ้โฮ ทำแต่สร้างบาปอกุศลมานะ อู้ฮูย เปิดธรรมะนี่กรอกเข้า ๒ รูหูเลยนะ มันยังไม่ฟังเลย พันธุกรรมทางจิตเขาดี พอมีสิ่งใดปั๊บนี่มันจะย้อนกลับมาเป็นประโยชน์กับเขาหมด แต่พันธุกรรมทางจิตเราไม่ดีนี่ กอดพระพุทธเจ้าไว้เลยนี่ พระพุทธเจ้านี้อาจารย์ของเรา อาจารย์เรานะ แต่ใจกูแม่งมันจะไปเที่ยวป่า มันจะวิ่งไปไกลเลย
ยากง่ายนี่ มันไม่มีใครสามารถจะไปบังคับให้ใครง่ายหรือยากได้ มันเป็นผลมาจากพฤติกรรมของจิต ที่เราสร้างมาแต่อดีตชาติ แล้วคนที่สร้างมามาก มันก็ลัดสั้น คำว่าลัดสั้นนี้มันเป็นบัว ๔ เหล่า แต่พวกเวไนยสัตว์ พวกเรานี่มันต้องถูไถ สั้นอย่างไรก็ไม่ได้ นี่พูดถึงข้อเท็จจริงของจิตอันหนึ่งโดยข้อเท็จจริง การประพฤติปฏิบัตินะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วนี้ อย่างมหายาน ลัดสั้นๆ ลัดสั้น ทำไมเขาถึงปฏิบัติกันขนาดนั้น มีสามเณรเห็นไหม อาจารย์เขาบอกว่าจิตหนึ่ง สามเณร ก็บอกว่าจิตหนึ่ง อาจารย์ก็จับเอามือลงเลยนะ เอามีดตัดทิ้งเลยนะ พั้บ อาจารย์ก็บอกว่าจิตหนึ่ง เณรก็บอกว่าจิตหนึ่ง สำเร็จเลย
เพราะการตัดนิโรธทิ้งนี่เจ็บไหม แค้นไหม ปวดไหม ถ้ารักษาใจไม่ได้นะมันพุ่งออกเลย ในมหายานเขาทำกันขนาดนั้น ไอ้นี่มาคุยเล่นกันเฉยๆ นี่มันเป็นสัญญาอารมณ์ การปฏิบัติในทางมหายานที่ว่า ใช้ปัญญาวิมุตติที่ว่าสว่างโพลง ลัดสั้นของเขามันเป็นโวหาร นิพพานอยู่ในขี้ นิพพานอยู่ในสัตว์ นิพพานอยู่ในมด เพราะอะไร เพราะพวกเรานี่มันทะนุถนอมกันเกินไป จนไม่กล้าไง
ในเซนเขาบอกว่านิพพานอยู่ในขี้นะ พวกเราพระนิพพานนี่กราบแล้วกราบอีก โอ๊ย กราบกันใหญ่เลย เขาบอกว่าอยู่ในขี้ มันทำให้คุณค่าการยึดของเรา คำพูดของเขา มันเป็นคำพูดให้เราปล่อยวาง ไม่ใช่เอามาเป็นแนวทางปฏิบัติ คำพูดให้เราถอนทิฏฐิของเราเอง แต่ในการปฏิบัติเขาต้องสู้นะ ในเซนญี่ปุ่นเราไปอ่านเจอนะ อาจารย์เขาสอนลูกศิษย์เขา ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร เขาเป็นหมอนะ
เขาค้นคว้าอยู่นะ พอเป็นหมอเขารักษาคนไข้อยู่ เสียงน้ำตกนี้ ซ่า ซ่า วิ่งไปหาอาจารย์เลย ตบมือข้างเดียวเสียงน้ำตกครับ ไม่ใช่ เขาค้นคิดอย่างนี้อยู่ ๑๔ ปี จนเขาไปหาอาจารย์เขาบอกว่า ตบมือข้างเดียวเสียงอะไร เขาตอบไม่ได้ อาจารย์บอกว่าไม่มีหรอก กูหลอกให้มึงคิด เพื่อให้ใจมันเป็นสมาธิ นี่เรื่องของการลัดสั้นนะ ๑๔ ปี แค่ทำพุทโธๆ ให้สงบ แล้วนี่บอกลัดสั้น คำพูดนี่นะถ้าศึกษาขบวนการทั้งหมด ศึกษาถึงทฤษฎีวิธีการของแต่ละลัทธิศาสนาแล้ว มึงจะเข้าใจเลยว่าคำว่าลัดสั้นคืออะไร
ถ้าคำว่าลัดสั้น สว่างโพลงนี่นะ กับกรรมฐานเรา หลวงปู่มั่นสอนประจำ ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นจบ ลัดสั้นไหม สว่างโพลง แม้แต่ก้าวข้ามธรณีก็คือการพ้นจากกิเลสไป แต่มึงหาธรณีอยู่ตรงไหน ธรณีมึงอยู่ไหนวะ แล้วกว่ามึงจะมาก้าวใครมาก้าวล่ะ มรรคญาณ เวลาพระเราปฏิบัติ กว่าเราจะทำให้มรรคสมดุล มรรคสามัคคีรวมตัวสมุจเฉทปหานนั่นลัดสั้น แต่กว่าจะสั้นนะ
ถ้าเข้าใจนะ ถ้าเข้าใจเรื่องอย่างนี้ เวลาพูดไปนะ มันไม่น่าตื่นเต้นไม่มีอะไรเลย เพียงแต่คนเข้าใจผิด คนเข้าใจผิด คนหลงผิด แล้วไปสอนอย่างนั้นไง มันเป็นโวหาร เหมือนลูกเรา อยากให้ลูกเป็นคนดีแค่นั้นล่ะ แต่มึงทั้งชีวิตเลยนะมึง ความดีเหรอ มึงทำทั้งชีวิตเลยกว่าจะได้ดี ถ้าเข้าใจแล้วนะ มันต้องเข้าใจ เข้าใจถึงลัทธิศาสนาว่ามหายานเขามาอย่างไร แล้วเขามีมุมมองอย่างไร อาจาริยวาทเชื่อมั่นอาจารย์อย่างไร เถรวาท หีนยาน เอามาอย่างไร
เขาไปประชุมกันอยู่ที่ญี่ปุ่น ทางฝ่ายมหายานเขาบอกเลยว่า ถ้าเขาพูดได้นะเขาจะขอกลับ เขาจะบอกว่าเถรวาทนี้เป็นมหายาน คำว่ามหายานคือยานยิ่งใหญ่ที่ดูแลพุทธศาสนา หีนยาน เถรวาทน่ะคับแคบ คืออ้างแต่พระไตรปิฎกน่ะคับแคบ ไม่ยอมให้คนหลบพ้นจากความเห็นอันนี้ไปไง แต่ผลที่มันตอบสนองมา เมื่อก่อนมันเหมือนการเมืองไง เราบอกว่าเห็นไหม อเมริกามหาอำนาจ ตอนนี้มหาอำนาจต้องขอเงินเขาใช้แล้วนะ นี่เมื่อก่อนพวกนี้เขาบอกเป็นประเทศที่ใหญ่โตใช่ไหม เขาก็บอกว่าหีนยานนี้ไอ้พวกเถรวาท ไอ้พวกไทขอบ เมื่อก่อนความเจริญมันอยู่ที่เมืองจีน อยู่ที่ญี่ปุ่นไง ไอ้พวกเรานี่มันบ้านนอก มันสิ่งที่ไกลความเจริญเห็นไหม หีนยาน
แต่ด้วยกาลเวลาเห็นเขาไปประชุมกัน มีพระผู้ใหญ่เขาพูดว่า ไปประชุมทางธรรมะ เขาบอกว่าถ้าเขาพูดได้นะเขาอยากจะกลับ บอกเถรวาทนี้คือมหายาน ไอ้มหายานนี้คือเถรวาท คือหีนยานคือคับแคบ เพราะเถรวาทรักษาศาสนาได้มั่นคงกว่า ไอ้ที่ท่องจำๆ พระพุทธเจ้าไว้เนี่ย รักษาได้มั่นคงกว่า เพราะเราทำอะไรก็แล้วแต่ ใครมีความเห็นมุมมองก็แล้วแต่ มันต้องเอาพระพุทธเจ้ามากรอง เอาพระไตรปิฎกมากรอง มันทำให้เราไม่แตกแยก ไม่มีความคิดแตกออกไปตามกิเลส แต่ถ้ามหายานเขาเรียกอาจาริยวาท ถ้าอาจารย์ดี อาจารย์เป็นของจริงก็จะสั่งสอนจะชักนำให้เราเข้าสู่ความจริงได้ ถ้าอาจารย์ที่ไม่ถึงที่สุดก็สอนเหมือนกัน สอนตามทิฏฐิกูไง
แล้วมันพอไปแล้วนี่ พอไปแล้วนี่ก็ไปดูสิ ไปดูพระพุทธรูปเห็นไหม พระพุทธรูปของเราส่วนใหญ่แล้วนี่ มันจะมาจากพระไตรปิฎก ปางอะไรก็แล้วแต่ แต่ของเขานี่ทรงเครื่องจะบวกอะไรเข้าไปก็ได้ ตันตระ เห็นไหม ในลัทธิตันตระของเขานี่ พระพุทธรูปเกาะผู้หญิงนี่ ไอ้พอเราไปดู อุ๊ย ทำอย่างนี้ได้ไง ทำอย่างนี้ได้ไง แต่ความจริงแล้วนี่คือพื้นเพความคิดของเขา เขาจะอวดไงว่า พระพุทธรูปกับพระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส แม้แต่ผู้หญิงกอดหน้ากอดหลัง พระพุทธเจ้าก็ยังนิ่งไง แต่พวกเราไปเห็นเข้า พวกเราตกใจ เอ๊ย มึงเอาพระพุทธเจ้ากูมาเหยียบ มาดูถูกอย่างนี้ได้ไง มุมมองเห็นไหม
ลัทธินี้อยู่ในเกาหลี ในจีนก็มี นี่มหายาน ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องครบวงจรนะ เราไปเห็นสิ่งใดมานะ เราก็จะเอามาเป็นตัวตั้งแล้วจะมาเผยแผ่กัน แล้วก็ไปว่าเขาผิดๆๆ มันต้องดูสิ ที่มามันมาอย่างไร เขามีความรู้สึกอย่างไร เขาคิดอย่างไรเขาถึงหล่อพระอย่างนี้ขึ้นมา ก็ด้วยความภูมิอกภูมิใจของเขาว่า พระพุทธเจ้าเราสูงส่งเห็นไหม พ้นจากกิเลสหมดเห็นไหม ทุกอย่างเข้ามาหว่านล้อม เข้ามาปลุกเร้าก็ยังนิ่ง เขาก็มีมุมมองอย่างนี้ใช่ไหม ไอ้เราก็มุมมองกลับ เอ๊ย มึงมาดูถูกพระพุทธเจ้ากูได้ไงวะ เพราะมันมีอยู่ ถ้าเราศึกษาแล้วค้นคว้านะ
แต่สุดท้ายแล้วเวลาปฏิบัติแล้ว มันก็รวมลงอยู่ในอริยสัจ อริยสัจเราตีความอริยสัจถูกไหม เวลาว่าทุกข์นี่ทุกคนบอกว่าทุกข์ ทุกข์นี่ทุกข์นิยม บอกไม่ใช่ สัจนิยม เราบอกว่าเวลาทุกข์ๆ เราท้าผู้ปฏิบัติตลอดเวลาว่า พวกโยมที่บ่นว่าทุกข์ๆๆ พวกโยมเห็นทุกข์ไหม ไม่เห็นหรอก ไม่เห็น ไม่รู้จักทุกข์ด้วย แต่ที่ร้องไห้นี่นะ คือผลของทุกข์ต่างหาก ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์อยู่ที่ไหน
หลวงตาพูดเจ็บมาก บอกกิเลสมันตื่นขึ้นมาแล้วนะ แล้วมันก็ขี้รด แล้วกิเลสมันก็ไปแล้วนะ พวกเราค่อยมารู้สึกตัวกันไง เพราะเรามีอารมณ์ความรู้สึกเสียใจถึงทุกข์ ความคิดเสียใจมันอยู่ที่ไหน แล้วมันตั้งอยู่บนอะไร ทุกข์อยู่ตรงนั้น แต่พอมันเสียใจแล้ว ผลที่เราเสียใจเห็นไหม เสียใจเรื่องอะไร คิดย้ำ คิดย้ำ คิดย้ำ วิบากก็เพิ่มขึ้นๆ น้ำตาไหลพรากเลย แล้วบอกว่าทุกข์ นี่คือผลของทุกข์ แต่ตัวทุกข์ไม่เคยเจอะ
ถ้าตัวทุกข์เคยเจอะ นี่ไง นี่พุทโธเรานี้ ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ตัวจิต เห็นจิต นี่ไงที่หลวงตาบอกว่ากิเลสมันตื่นแล้ว แล้วมันก็ขี้ใส่ ขี้ใส่ ขี้ใส่ ขี้ใส่ภพไง ภวาสวะตัวจิต พอมันขี้ใส่เสร็จแล้วนะ พอความรู้สึกกระทบไง มะโนมิงปิ นิพพินทติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มะโน แม้แต่ใจก็เบื่อหน่าย ผลเกิดความสัมผัสว่า อารมณ์กับความคิดกับใจนี่สัมผัสกัน ก็เบื่อหน่าย ผลที่เกิดจากผลที่สัมผัสแล้วเป็นวิบากก็เบื่อหน่าย นิพพินตัง วิรัชติ เดี๋ยวมันจะไปเข้าอภิธรรม
แล้วมาบ่นว่าทุกข์ๆ เราไปเอาปลายอ้อปลายแขน แล้วเราก็มาคิดกันว่าพวกเราเป็นชาวพุทธ นึกว่าเรารู้ไง นี่พอกูนั่งร้องไห้ว่าเป็นทุกข์ ไอ้กูทำอะไรก็ทุกข์ ชาติปิ ทุกขา ทุกข์คืออะไรไง ชาติปิ ทุกขา ทุกข์คืออะไรไงุกข์ ไอ้นี่ ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะเกิดมาถึงมีเรา พอมีเราขึ้นมาก็มีสถานะ ทุกอย่างก็แบกรับหมดเลย นี่อริยสัจ ไอ้อย่างพวกเรานี่เป็นมรรคฆราวาสไง ฆราวาสธรรม แล้วก็ไปวิจัยธรรมะพระพุทธเจ้าไง แล้วก็ว่ารู้ไปหมดเลย รู้ไปหมดเลย ไม่รู้อะไรเลยนะ ไม่รู้อะไรเลย ถ้ารู้ตามธรรมะพระพุทธเจ้านะในฝ่ายปฏิบัตินะ จับต้องได้ทุกอย่าง สติ สมาธิ ปัญญา จับต้องได้หมด ถ้าใครเห็นจิตนะ
เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์สอนหลานพระสารีบุตร หลานพระสารีบุตรไปต่อว่าพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้านี่เอาพระสารีบุตร พระจุนทะ พระเรวัตตะ เอาตระกูลพระสารีบุตรมาบวชกันหมดเลย แล้วหลานก็ไม่พอใจมาก ไปต่อว่าพระพุทธเจ้า นี่ตั้งใจว่าจะไปต่อว่า ด้วยความบารมี ก็ไม่กล้าไง ก็เลยพูดเลียบๆ เคียงๆ ไง บอกไม่พอใจไอ้นั่น ไม่พอใจไอ้นี่ ไม่พอใจ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอ ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง นามธรรมนี่เป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้าจิตสงบแล้วจับได้ ถ้าจิตมันสงบแล้ว จิตเห็นอาการของจิต
หลวงปู่ดูลย์นะพูดถูก จิตคือตัวภพ จิตเป็นรูปความคิดเป็นนาม เพราะมีรูปมีนาม พอนามมีว่างมันก็หมุนไป ภพชาติเกิดขึ้น ทุกข์ ชาติปิทุกขา ความกระทบความเกิดขึ้นเป็นภพชาติหนึ่งในอารมณ์ความรู้สึก ถ้าจิตมันสงบมันจับได้ มันเห็นของมันนะ ถึงว่าจับต้องได้หมดไง นามธรรมก็จับได้ จับได้ด้วยเอานามธรรมไปจับ เอาจิตจับจิต ถ้าจิตตัวนี้มันสงบขึ้นมา นามธรรม นามธรรมจับธาตุ จับกาย กาย เวทนา จิต ธรรม นี่อริยสัจเกิดตรงนี้ ถ้ามันรู้จริงเห็นจริง
แล้วความรู้จริงเห็นจริงอันนี้ โดยพื้นฐานของเราเลย เราเป็นผู้ใหญ่กันนี่เราจะทำอะไรก็ได้ ของนั้นหนักขนาดไหนก็ยกได้ ทารกมันนอนอยู่บนเบาะ มันทำอะไรได้ ทารกมันนอนในเบาะมันทำอะไรได้ จิตสามัญสำนึกของเรา เด็กกว่าทารกหลายร้อยเท่า จิตสามัญสำนึกของเราเด็กกว่าทารกอีก เพราะมันช่วยตัวมันเองไม่ได้ เราถึงต้องทำ
สมถะกันไง เราถึงต้องทำสมาธิให้เด็กนี้มันโตขึ้นมาไง เขาบอกเห็นไหมหิวก็กินสิ มหายานเขาบอกนะ หิวก็กิน พระอรหันต์นะ หิวก็กิน ปวดก็ถ่าย กินกับขี้ไง
กูก็บอกเลยว่าถ้าหิวก็กินนะ ทารกมันนอนแบเบาะนะ เวลามันกินมันก็เอาขี้กิน ป้องกันไม่ได้หรอก หิวก็กิน ร้อนก็อาบน้ำ แต่มันต้องเป็นคนรู้จริง แต่เรามาฟังมหายานเขาพูดกันอย่างนี้ใช่ไหม ลัดสั้นไง เราก็ว่าหิวก็กินสิ ก็กินเหล้าไง กินตรึกน่ะ หิวก็กิน คำพูดคำเดียวกันนี่แหละ แต่คนรู้จริงหรือรู้ไม่จริง กินเหมือนกัน มันต้องปฏิบัติเข้าไป แล้วพอพูดเห็นไหม ถ้าคนจริงมันรู้ มันฟังทีเดียวมันจับได้หมดเลย ถ้าไม่จริง มันไม่รู้มันก็เป็นปริยัติไง เอาเรื่องปฏิบัติมาอธิบายเป็นปริยัติ แล้วก็เคลมนะว่าข้านี่รู้ข้านี่ทำ มันไม่เอาความจริงเข้าว่า เอาจริงเข้าว่าไม่เป็นอย่างนี้หมด
ไม้ต้นหนึ่ง เราตัดไม้ต้นหนึ่ง ถ้าไม้นั้นแปรรูปแล้ว กับไม้ที่ยังไม่แปรรูปต่างกันไหม จิตที่ปฏิบัติ จิตที่ฝึกขึ้นมาแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้นล่ะ ไม้เหมือนกัน แต่ไม้แปรรูปกับไม้ซุงทั้งท่อน มันคนละเรื่องกัน จิตเหมือนกันนี่แหละ จิตอันหนึ่งเห็นไหม จิตที่ได้แปรรูปแล้ว จิตอันหนึ่งยังไม่ได้แปรรูป จิตเหมือนกัน ถ้าพูดถึงโดยค่าทางวิทยาศาสตร์ ไม้เหมือนกัน แต่ไม้อันหนึ่งจะสร้างประโยชน์ได้ ไม้อันหนึ่งสร้างประโยชน์ไม่ได้
นี่มันจำเป็นตรงนี้ จำเป็นถึงที่ว่าเราต้องตั้งสติ แล้วทำสมาธิ จุดขายของเขา ที่เมื่อก่อนเรามีความรู้สึกอึดอัดก็ตรงนี้ ตรงที่แบบว่าพุทโธนี่ ชาวพุทธโดนหลอกมาแล้วทั้งชีวิต แล้วปฏิบัตินี่เมื่อไหร่จะได้วิปัสสนานี่ แล้วถ้าไปอย่างนั้นเลย เขาว่ามันใช้ปัญญาได้วิปัสสนาไง วิปัสสนาปัญญาสายตรงไง ตรงลงนรกไง มันปฏิเสธพื้นฐาน พื้นฐานตรงไหนรู้ไหม
เราเป็นคนนะ ใครทำหน้าที่การงานใดก็แล้วแต่ พอเริ่มมีเงินทองปั๊บ เราจะเปิดบัญชีไว้เลยเพื่อประโยชน์ของเรา เครดิตของเราต่างๆ ถ้าเราไม่มีบัญชี เราจะเข้าไปอยู่ในสังคมเขาได้อย่างไร ถ้าเราทำจิตได้สงบ เรามีจิตของเรานี่ เราเข้าสังคมได้นะ ถ้าไม่มีจิต เร่ร่อนนะ ถ้าจิตไม่สงบ เหมือนกับเราไม่มีสิทธิ ไม่มีทะเบียนบ้าน เราจะทำอะไรได้ แต่ถ้าเรามีทะเบียนบ้านเห็นไหม สิทธิโดยทะเบียนบ้าน เรามีเลข ๑๓ ตัว เรามีโอกาสแล้ว
ถ้าจิตไม่สงบนี่ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ว่า จิตเราเหมือนเด็กอ่อน มันยิ่งกว่าเด็กอ่อนอีก มันไม่เข้าใจอะไรในตัวมันเลย เอ็งจะทำอะไรขึ้นมาได้ แต่ไพล่ไปบอกว่า ใช้วิปัสสนาสายตรง ใช้ปัญญาสายตรงกัน มันจะมีได้ขึ้นมา เพราะมันมีธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ ถ้าไม่มีในพระไตรปิฎกไม่มีธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ พวกนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะสิ่งที่พูดที่ทำอยู่นี้เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งหมด ธรรมะสาธารณะ
ฝนตกแดดออกเป็นผลประโยชน์ของโลก เอ็งมีภาชนะอะไรใส่น้ำฝนไว้บ้าง ถ้าเอ็งมีกระติกน้ำติดตัวมาเอ็งจะได้ดื่มน้ำนะ ถ้าเอ็งไม่มีกระติกน้ำมากับตัวเอง เอ็งจะไม่ได้ดื่มน้ำอะไรเลย น้ำเหมือนกัน น้ำที่มันซึมมาในดินแล้ว กับน้ำของเราที่อยู่ในกระติกในภาชนะของเรา ธรรมะพระพุทธเจ้านี่เหมือนกับน้ำสาธารณะ ที่มันระเหยอยู่ในอากาศ แต่น้ำของเราล่ะ
นี่ไง เราถึงบอกว่าธรรมะส่วนบุคคลไง สติก็เป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา แล้วคนภาวนาเป็นอย่างที่เราพูดเมื่อกี้นี้ มันจะแบ่งออกเลยว่าโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา สิ่งที่ใช้กันอยู่นี้โลกียปัญญาทั้งหมด ๙ ประโยคนะเขาศึกษาธรรมะได้ทั้งหมดเลย เขารู้ได้ทั้งหมดเลย
แต่เวลาให้ปฏิบัติ เขาปฏิบัติไม่ถูกหรอก เพราะพวกนี้เขาไปถามครูบาอาจารย์เราเยอะมาก บอกว่าผมนี้ ๙ ประโยครู้ไปหมด พระพุทธเจ้าสอนใครอย่างไรรู้ไปหมดเลย แต่ให้ผมเริ่มต้นตรงไหนล่ะ จะให้ผมเริ่มต้นตรงไหน หลวงปู่ฝั้นบอกเลย ทุกข์มึงอยู่ตรงไหน ทุกข์มึงอยู่ตรงไหน ก็ไปดูทางวิชาการ สอนคนนู้นอย่างนี้ สอนคนนี้อย่างนี้ แต่ตัวเองล่ะ ตัวเราขัดเคืองขัดข้องใจตรงไหนนะ ตรงนั้นล่ะ
เพราะเวลาเรากำหนดเห็นไหม เวลากำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้นะ เวลากำหนดพุทโธนี่ วิตก เราต้องนึกพุทโธขึ้นมา มันมาจากไหน มันมาจากจิต พุทโธๆๆ ไปเราพูดนะถูก จิตคนเรานี่มันมีจิตกับมีความรู้สึก มีจิตกับมีอารมณ์ไง เพราะจิตนี่เป็นอารมณ์ พอกำหนด พุทโธนี่เป็นอารมณ์ ใช่ เป็นอารมณ์
แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก พุทโธๆๆๆๆ ความคิดกับเราเห็นไหม อารมณ์คือความรู้สึก ความรู้สึกคือตัวจิต ความคิดคือสัญญาอารมณ์ พุทโธๆๆๆๆ พุทโธจน พุทโธ ระยะมันสั้นเข้าไป จนมันเป็นอันเดียวกันเห็นไหม คำว่าเป็นอันเดียวกัน พุทโธๆๆๆ ถ้ามันละเอียดก็พุทโธๆๆๆๆ จนมันพุทโธไม่ได้นะ นึกไม่ออกเลยล่ะ เอ๊อะ เอ๊อะ นั่นล่ะตัวสมาธิ
แต่ในปัจจุบันนี้เพราะเราไปรู้ข้อเท็จจริงใช่ไหม พอพุทโธๆๆ พอพุทโธมันละเอียดเข้าไป ก็เลยพุทโธๆๆๆ แม่งหลับไปเลยไง มันก็เลยไม่เข้าถึงจิตไง มันก็ยังเป็นสองอยู่ แต่สองนี้ อันเงามันสงบลง แต่ตัวจริงมันยังไม่เข้า แต่ถ้าพุทโธบ่อยครั้งเข้าๆๆๆ ตะโกนเลย ชัดๆ เลย พุทโธๆๆๆ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันมาจากราก ความรู้สึกเห็นไหม คนเราคิดคิดด้วยสมอง แต่ถ้าคนตาย สมองมันก็อยู่มันคิดไม่ได้เหรอ เพราะคนตายจิตออกจากร่างไปเห็นไหม สมองคิดไม่ได้ถ้าไม่มีจิต
นี้เหมือนกัน พุทโธคิดไม่ได้ถ้าไม่มีจิต พุทโธๆๆ นี่มันมาจากจิต พุทโธๆๆ แต่เราต้องย้ำพุทโธเข้าไป เพราะความคิดกับเรากับจิตนะ มันเป็นสัญชาตญาณ แต่เราพุทโธๆๆ จนมันเป็นอันเดียวกันเห็นไหม จิตหนึ่ง เขาก็บอกจิตหนึ่งไม่มี จิตหนึ่งไม่ได้ จิตดับไม่ได้ก็ว่ากันไป ถ้าจิตหนึ่งคือสมาธิ พอจิตหนึ่งคิดไม่ได้ จิตหนึ่งใช้ปัญญาไม่ได้ แต่เพราะจิตหนึ่งมันมีกำลังของมันขึ้นมา มันอิ่มเต็มในตัวมันเอง
แต่เดิมธรรมชาติ ไฟฟ้ามันออกไปมันจะเป็นพลังงานทั้งหมด ไฟฟ้าที่ออกไปจะเป็นพลังงานทั้งหมด ไฟฟ้าที่ออกไปเห็นไหม ไฟฟ้านี้มันต้องอาศัยสื่อ ไฟฟ้าถึงสื่อออกไปได้ สายไฟเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันจิตเป็นพลังงาน แต่จิตแสดงตัวอย่างไร แสดงตัวออกมาด้วยสื่อ ด้วยความคิด นี่เราย้อนกลับเห็นไหม ทวนกระแส
เราจะอาศัยธรรมะพระพุทธเจ้า พุทโธๆๆๆ ทวนกระแสเข้าไป จนพลังงานไดมันปั่น แต่ไฟไม่ออกใช้เลย มันก็เต็มของมันเห็นไหม นี่ไงจิตอิ่มเต็ม จิตอิ่มเต็มขึ้นมานะ จิตไม่หิวกระหาย ตอนนี้หิวกระหาย ถ้าจิตปกตินี้มันหิวกระหายหมดเลย จิตนี้พร่อง พร่องอยู่เป็นนิจ ความคิดเกิดตลอดเวลา ปึ๊บ มันกลวง พุทโธๆ จนจิตอิ่มเต็ม มันเต็มของมันเห็นไหม แล้วเต็มแล้ว สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่มีความสุขมาก สมาธิแก้ไม่ได้
บางคนหลงว่าสมาธิเป็นนิพพานนะ ฉะนั้นจะต้องเอาสมาธิออกวิปัสสนา เอาสมาธินี่ออกวิปัสสนา ถ้าสมาธิออกวิปัสสนาเห็นไหม ความคิดเดิม ความคิดที่เป็นน้ำสกปรกนี่ ความคิดสามัญสำนึกของเรานี้ น้ำสกปรกมากเลย ต้องการให้น้ำสะอาดเราต้องรีไซเคิลน้ำ พุทโธๆๆๆ กวนมันตลอดเวลา พอมันสงบแล้วนี่เป็นน้ำที่สะอาดแล้ว น้ำใช้ประโยชน์ได้แล้ว แล้วถ้ามันออกรู้ ออกรู้ ออกรู้
ความคิดสามัญสำนึกเรานี่มันอวิชชา ความคิดสามัญสำนึก มันมีอวิชชาอยู่ในตัวมันเอง อวิชชาในตัวมันเองนี่ พอมันคิดออกไปนี่ มันคิดโดยความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยธรรมชาติของมัน แต่พอมันสะอาดขึ้นมาเห็นไหม ความคิดที่จะออกขึ้นมานี่ ปั๊บ มันสะอาดแล้วมัน จะดึงให้คิดมันไม่คิดนะ มันติดความสะอาดของมัน มันมีความสุขของมัน จะต้องน้อมมันไปหากาย หาเวทนา หาจิต หาธรรม ถ้ามันออกรู้ โลกุตตรธรรม
โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ความคิดสามัญสำนึกเอ็งจะศึกษานี่ ตอนนี้เราคิด ประสาเรา คิดธรรมะ คิดนิพพานเลย นี่สงบเย็นเลย เป็นควายได้เลย คิดไปเถอะร้อยปีร้อยชาติก็อยู่อย่างนั้น แต่พอมันสงบขึ้นมานะ มันจะคิดนิพพาน เฮ้ย นิพพานเกิดจากอะไรวะ นิพพานใครเป็นคนรู้วะ เขาเรียกว่าโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญาไง โลกียปัญญาเกิดจากอวิชชา เกิดจากกิเลส เกิดจากสามัญสำนึกเพราะจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือตัวอวิชชา จิตเดิมแท้ ปฏิสนธิจิต พันธุกรรมทางจิตนี่มาเกิดในไข่ แล้วมานั่งเป็นเรา เพราะมีจิตอยู่ในร่างกายนี้ แล้วมันไปเกิดจากอวิชชา
พอเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้กำหนดพุทโธขึ้นมา จนมันสะอาดเข้ามาเห็นไหม พอจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ ตัวตนของเรานี่โดยสติโดยปัญญา มันทำให้อีโก้ ทำให้สามัญสำนึกเรานี่สงบตัวลง มันจึงเป็นสัจธรรมไง สมาธิเป็นสากลไง สมาธิเป็นสากลแต่สมาธิเอาตัวรอดไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าใช้ปัญญาอันนี้มันออกรู้ สมาธิอันนี้ที่มันออกรู้ เพราะมันไม่มีกิเลสบวกไง ธรรมที่จะเกิดเกิดอย่างนี้
ถ้าไม่มีตัวสมาธิเลย ไม่มีตัวนี้เลย สิ่งที่เกิดขึ้นมาเกิดโดยสามัญสำนึก เกิดโดยกิเลสทั้งหมด โลกียปัญญา ทั้งๆ ที่ตรึกธรรมพระพุทธเจ้านี่ ทั้งๆ ที่ว่าพุทธพจน์ พุทธพจน์น่ะบริสุทธิ์ แต่มึงไม่บริสุทธิ์ มึงน่ะอวิชชา แต่พุทธพจน์บริสุทธิ์ แต่คนพูดสกปรก แต่ถ้าเราทำตัวเราสะอาดขึ้นมา ตัวเราสะอาดขึ้นมา ตัวมันสะอาดขึ้นมาเอง มันสะอาดมาจากตัวใจนี้ นี่พุทธพจน์กับอันนี้ก็อันเดียวกัน แล้วอันเดียว อันเท่านี้ มึงรู้แล้วมึงพูดทำไม ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู แล้วกูก็รู้ด้วยกูก็ไม่พูดด้วย เพราะกูรู้อยู่แล้วกูพูดให้หมามันฟังเหรอ เพราะตัวกูรู้แล้ว เพราะกูพูดนี่เพราะกูอยากจะอวดว่ากูรู้ไง เลยกูไม่รู้ไง คนรู้นี้รู้อะไร คนอิ่มเต็มแล้วมันไม่ต้องพูด
โธ่ มหายานนิพพานของเขา อ้าวพูดนิพพานมา เขาลุกขึ้นยืนนะ แล้วก็เม้มปาก แล้วก็นั่งลง อ้าปากไม่ได้เลย อ้าปากคือสมมุติ ขยับเป็นสมมุติ เสวยอารมณ์ ไม่เสวยพูดออกมาไม่ได้ พลังงานเฉยๆ พลังงานแสดงตัวเป็นพลังงาน ไม่แสดงตัวเป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติไง คำพูดคือสมมุติ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่ตัวจิตล่ะ ถ้ามันรู้จริงขึ้นมาแล้ว ของจริงเขามี เวลาของจริงเขาสนทนาธรรมนะเขาบอกให้แสดงลุกขึ้นยืนนะ แล้วก็นั่งลง จริง ถ้าบอกกว่านู้นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ มึงก็ไม่ใช่ มึงหลุดออกมามึงก็ไม่ใช่แล้ว
จรวดได้ยิงออกจากฐานไปแล้วนะ มันทิ้งฐานมาแล้ว ความคิดเกิดจากจิต ความคิดเป็นตัวจรวดที่มันยิงออกไปจากฐาน ความคิดออกมาจากไหน แต่เวลาปฏิบัติก็อาศัยความคิดนี่แหละ เข้าไปทำลายมัน อาศัยความคิดนี่แหละ แต่มันเป็นความคิดที่สะอาดแล้วย้อนกลับ ย้อนกลับ ย้อนกลับ มันมีปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติไง ธรรมดาวิมุตติไม่มี มีแต่เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ
เจโตวิมุตติก็จิตสงบเข้ามาก่อน พอจิตสงบก่อนแล้ว มันเกิดจากตัวพลังงานไง ตัวพลังงานที่สงบ พลังงานที่สะอาดแบบพระโมคคัลลานะ แล้วออกวิปัสสนาเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยพลังงานมันจะจับตัวที่เห็น ขยายส่วนแยกส่วนให้เป็นวิภาคะ ให้เป็นไตรลักษณ์
แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติเห็นไหม ที่ใช้ปัญญาแบบพระสารีบุตร พระสารีบุตรนี้ปัญญาวิมุตติ พระโมคคัลลานะเจโตวิมุตติ เจโตวิมุตติจิตเกิดจากพลังงาน พลังงานนี่จะมีกำลังของมันมาก เวลาถ้าสำเร็จแล้ว จะมีฤทธิ์มีเดชเหมือนพระโมคคัลลานะ แต่ถ้าใช้ปัญญาวิมุตตินี่มันจะเกิดปัญญาตัวนำ ปัญญาตัวนำแต่ก็ต้องทำความสงบ เพราะมรรค ๘ มีอันเดียว มรรค ๘ มีสัมมาสมาธิ มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปัญญา มีครบหมด จะมาทางไหนก็ต้องมรรค ๘ เหมือนกัน เพียงแต่การมานั้นมาด้วยพลังงาน มาโดยกำลังของจิตกับมาโดยปัญญาของจิต
ปัญญาของจิตปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม พอใช้ปัญญามันหมุนเข้ามา จนมันจะเกิดสมาธิขึ้นมาได้ ปัญญาไล่ความคิดเข้ามา ความคิดหยุดได้ เพราะความคิดเกิดจากจิต ถ้าปัญญาไล่ความคิดเข้ามา ความคิดตัวที่เป็นปัญญาควบคุม ปัญญาในพุทธศาสนา คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความคิดคือความปรุงความแต่ง ความคิดคือสังขาร แล้วปัญญาไล่ตามสังขารมา มันไล่ตามสังขาร สังขารโดนรื้อถอนแล้วสังขารก็ต้องหยุดได้ แล้วสังขารมันเกิดบนอะไร สังขารมันเกิดมาบนจิต แล้วถ้ามันหยุดแล้วมันหยุดที่ไหน หยุดแล้วมันอยู่ที่พลังงาน นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันสงบเข้ามา เหมือนกับใช้พุทโธๆ เข้ามาจนจิตสงบ แล้วพอออกรู้ คือออกวิปัสสนา
ถ้าเจโตวิมุตติ มันจะเห็นกาย เวทนา ด้วยกำลัง ด้วยการแยกส่วน ขยายส่วน คือวิภาคะ คือการขยายส่วนให้เป็นไตรลักษณ์ ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติเห็นไหม ปัญญาวิมุตตินี่เข้ามาควบคุมตัวจิตได้ แล้วจิตนี่ออกทำงาน จิตนี้โดยธรรมชาติของมัน จิตออกเสวยอารมณ์ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการคือเงา ร่างกายคือเรา สิ่งที่เรายืนบนแดดจะมีเงา ตัวจิตคือตัวพลังงาน พลังงานนี่เป็นพลังงานที่เป็นสะอาด พลังงานที่สะอาด มันแสดงตัวของมันอย่างไร แสดงตัวในอะไร แสดงตัวในขันธ์ แสดงตัวในขันธ์ ๕ แสดงตัวในความคิด ความคิดเป็นอะไร ความคิดเป็นเงา จิตกับเงากระทบกัน มะโนมิงปิ นิพพินทะติ มะโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ
โยม : คือเท่าที่ผมเข้าใจนะครับ ผมเข้าใจว่าพระอรหันต์ทุกประเภท ท่านต้องบรรลุทั้งเจโตวิมุตติและก็ปัญญาวิมุตติ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านแสดง อธิบายไว้บอกว่าเจโตวิมุตติก็ย่อมกดข่มตัณหา คือตัดตัณหาละตัณหา แล้วก็ปัญญาวิมุตตินี่ก็ย่อมละโมหะหรืออวิชชา ทีนี้ผมเข้าใจว่า คือผมไม่คิดว่าบุคคลนี่จะบรรลุอรหันต์ได้ โดยที่ได้เพียงอย่างเดียวนะฮะ คือละตัณหาได้ แต่ว่าละโมหะไม่ได้ ผมก็ไม่เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ หรือว่าบุคคลที่จะละโมหะได้โดยที่ละตัณหายังไม่ได้ ผมว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะว่าปัญญาที่มันเกิดจากจิตใจที่มันยังจมอยู่ในตัณหา ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญญาวิมุตติ
หลวงพ่อ : คำว่าตัณหา ตัณหาของใคร ตัณหาชั้นไหน เพราะตัณหาเห็นไหมดูสิ เวลาตัณหา เวลามีตัณหาใช่ไหม ตัณหาความทะยานอยาก นี่มันอยากของใคร มันอยากด้วยไม้ดิบๆ มันอยากด้วยไม้แห้ง ทีนี้มันก็มีเพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าพระโสดาบันเห็นไหม มันละสังโยชน์ ๓ สักกายทิฏฐิความเห็นผิด พระสกิทาเห็นไหม กามราคะปฏิฆะอ่อนลง พระอนาคา กามราคะปฏิฆะออกหมดเลย พอออกหมดเลยนี่เรือนว่าง เรือนว่างจิตล้วนๆ แต่จิตดวงนี้มันเป็นจิตตัวพลังงานเฉยๆ พลังงานนี้ต้องทำลายอีก ถ้าทำลายไม่ทำลายมันติดตรงนั้น
อันนี้พอบอกว่าเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มันอยู่ที่จริตนิสัย มันอยู่ที่จริต ถ้าพูดถึงว่าต้องทั้งเจโตด้วยทั้งปัญญาด้วย การปฏิบัติของเรา พันธุกรรมทางจิตมันต้องพร้อมมาด้วย ต้องพร้อมมาด้วย เพราะเวลาปฏิบัตินี่โดยหลัก โดยมรรคญาณนี่ โดยมรรค ๘ นี่มันทางเอกมันต้องอันเดียวกัน แต่ผู้ที่ถนัดมาไง ผู้ที่ถนัดมา
ความถนัดไง ดูสิ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์จะสอนว่าพุทโธอย่างเดียวเลย พุทโธ อย่างเดียว เพราะพุทโธมันเป็นการทำงานบนพื้นที่ เราทำงานบนดินเรามั่นคงกว่าใช่ไหม แต่ถ้าเราทำงานบนที่สูงนี่ บนอากาศเราต้องใช้อะไรล่ะ เราต้องใช้เครนขึ้นไป แต่ถ้าพูดถึงถ้าพุทโธๆ นี่ เราทำงานบนพื้นที่เลย ผิดถูกอย่างไรมันชัดเจนมาก แต่ถ้าปัญญานี้ปัญญามันหลอกได้ไง อ้าวปัญญามึงหรือปัญญากูล่ะ ปัญญากิเลสหรือปัญญาธรรมล่ะ มันฟั่นเฟือนได้เห็นไหม ฉะนั้นสังเกตได้ว่าครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ท่านจะสอน พุทโธ เพราะว่ามันต้องตอกย้ำกันที่จิต ทีนี้พอตอกย้ำที่จิต พอจิตมันสงบเข้ามา ทีนี้พอมันเห็นกายนี่
หลวงปู่ดูลย์พูดอย่างนี้ การเห็นกายของหลวงปู่ดูลย์ เห็นกายโดยปัญญา จะเข้าตรงนี้ไงตรงที่ว่าปัญญาวิมุตติหรือเจโตวิมุตติไง ถ้าเป็นปัญญาเห็นกาย มันเห็นด้วยปัญญาแต่มันจับต้องได้นะ แต่ถ้าเป็นปัญญาโดยเจโตวิมุตติอย่างที่ว่ามันจะภาพกายเลย อย่างเช่น เห็นโครงสร้าง เห็นกะโหลก เห็นต่างๆ พอเห็นปั๊บมันจะขยายส่วนแยกส่วนให้เป็นอย่างไร อุคคหนิมิต วิภาคะขยายส่วนแยกส่วน ไอ้นี่พูด ใช่พูดตามตำรา เพียงแต่เรายกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ ถ้าอย่างนั้นปั๊บ สิ่งที่ว่าเวลาอาจารย์แก้ลูกศิษย์ แก้อย่างไร เพราะอะไรรู้ไหม ถ้ามันเป็นกำลังสมาธิมา ของที่จับต้องอย่างนี้ แล้วขยายให้มันขยายส่วนขึ้นมา แล้วหดส่วนขึ้นไป
แล้วอย่างพวกเรานี้เป็นผู้ใหญ่แล้วนี้ เราบอกว่าของสิ่งนี้มีอยู่ แต่เราไม่เห็นมัน แต่เราคำนวณมันได้ไหม เราคำนวณได้ไหมว่าขวดน้ำกับน้ำนี้เราคำนวณได้ไหม เราคำนวณได้ นี่คือเราใช้ปัญญา ยิ่งเรายกสิ่งนี้ขึ้นมาให้เห็นว่า ถ้าคิดอย่างนี้หรือคิดเป็นวิทยาศาสตร์เป็นหลักตายตัว การปฏิบัติมันจะมีปัญหาไง เพราะในการปฏิบัตินั่งอยู่ที่นี่ทุกคน การปฏิบัติจะไม่เหมือนกันทุกคนเลย จะไม่เหมือนกันเลย มันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
ทีนี้พอเฉพาะบุคคลปั๊บนี่เอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง เราพูดกับพวกลูกศิษย์นี่บ่อยมาก ไอ้พวกวิทยาศาสตร์นี่นะแก้กิเลสไม่ได้ ไอ้พวกวิทยาศาสตร์นี่นะปฏิบัติไม่ได้ เพราะคิดในกรอบ ธรรมะต้องคิดนอกกรอบ ถ้าวิทยาศาสตร์ปั๊บเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง แล้วคิดได้อย่างนี้ สัญญาล้วนๆ เลย กิเลสมันบอกไง พุทธพจน์ไง แล้วห้ามขยับ ห้ามขยับพ้นพุทธพจน์เลย พุทธพจน์นะ โทษนะ สาธุ สาธุ วางไว้ก่อน แล้วกูนี่ลงเผชิญกับความจริง พุทธพจน์หรือไม่พุทธพจน์นะ เดี๋ยวมันจะมาเจอกัน
ทีนี้อย่างที่ว่าต้องเจโตวิมุตติด้วย ปัญญาวิมุตติด้วยนี่ เวลาหลวงปู่มั่นพูดในมุตโตทัยก็พูดอย่างนี้แหละ บอกว่าพระอรหันต์นี้หนึ่งเดียว แต่ที่พูดอย่างนี้ มันเป็นช่องทางในการปฏิบัติ เวลาแยกไปมันเป็นช่องทางในการปฏิบัติ คนถนัดซ้ายถนัดขวา ถ้าอย่างนั้นนะ ไอ้คนเขียนมือซ้ายต้องตัดมือมันทิ้ง เพราะมันเขียนมือซ้ายไม่ได้ ต้องเขียนมือขวาอย่างเดียว คนเขียนมือซ้ายก็ได้ คนเขียนมือขวาก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของเขา เขียนออกมาเป็นหนังสือหรือเปล่า นี่ที่เราบอกว่าเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตตินี่
โยม : คือลักษณะอย่างนี้ผมพอเข้าใจนะ เพราะว่าตามพระไตรปิฎก ท่านก็มีจำแนกไว้เป็นลักษณะว่าคนที่เจริญภาวนา โดยที่สมถะนำวิปัสสนา แล้วก็วิปัสสนานำสมถะ
หลวงพ่อ : ใช่ เวลาพูดไปแล้วนี่เราจะย้อนกลับมาที่ อาจารย์ที่จะสอนลูกศิษย์นี่ อาจารย์ที่สอนลูกศิษย์นะ แม้แต่หาอาจารย์เจอแล้ว อาจารย์จะเป็นผู้ชำนาญหรือเปล่า ถ้าอาจารย์เป็นผู้ชำนาญนะ ลูกศิษย์นะ โอ้โฮ มีลาภมากเลย ถ้าอาจารย์ไม่เป็นผู้ชำนาญนะ เพราะในการปฏิบัตินะไม่มีสูตรตายตัว ในการปฏิบัติทั้งหมดของใครของมัน ถ้ามีสูตรตายตัวนะ
เราเจอกรณีนี้บ่อย มีคนมาถามปัญหาคนหนึ่ง พอถามปัญหาคนนี้เราก็ตอบปัญหาของคนนี้ เพราะเขาก็ภาวนาแล้วในแนวทางอย่างนี้ คือว่าเขานี่เขาทำสวน เราจะบอกวิธีการทำสวนๆๆ ทำสวนเราควรดูแลอย่างนั้น ดูแลพืชผลอย่างนั้น เราต้องมีการรักษาแมลงอย่างนั้น การปลูกพืชเป็นอย่างนั้น ไอ้คนนี้มันทำนามันนั่งฟังอยู่ด้วยมันก็บอก โอ๋ย ทำสวนนี่ง่ายโว้ย มันกลับไปมันก็ไปทำสวนบ้าง พอทำสวนไม่ไหวก็กลับมา หลวงพ่อหมดเกลี้ยงเลย ทำไมล่ะ
ก็วันนั้นหลวงพ่อพูด ทำสวน หนูฟังเขาแล้วมันง่ายหนูก็ไปทำมั่ง เราพูดเลยนะ มึงนะเสือก กูสอนเขาไม่ได้สอนมึง หมดเลย แล้วก็ต้องกลับไปทำอย่างเขากลับมา นี่พูดอย่างนี้นะ กรณีอย่างนี้มันทดสอบกันเลยล่ะ แล้วคนทำนา มาฟังว่าวิธีทำสวนมันง่าย แต่พอไปทำงานเราจะไปทำกับเขานี่เราก็ไม่ถนัดอีก เราคิดว่ามันง่ายไง แต่ไม่ถนัด พอทำไปแล้วนะ สิ่งที่เรามีพื้นฐานมา คิดดูสิเราจะปรับพื้นนา คันนากับร่องสวนมันต่างกัน แล้วมึงทิ้งมาแล้วนี้มึงจะกลับไปทำอย่างไรอีก
งั้นเวลาเราฟังเทศน์นี่ ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์นี่ หลวงตาจะบอกว่า ไอ้แกงหม้อใหญ่ แกงหม้อใหญ่นี่สาดออกไปเลย แต่ถ้าแกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วเฉพาะตัวล่ะ เฉพาะตัวแล้วพอลึกเข้าไปในใจ เฉพาะใจเราแล้ว ไม่เหมือนกันนะ แล้วนี่พูดถึงพระไตรปิฎก ใช่ พูดนี่ถูก ต้องละตัณหาต้อง
. แต่เวลาปฏิบัติแล้วนะ ตัณหามีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ตัณหามีทุกขั้นตอน แต่ความเห็นของจิตมันเกาะอะไรไว้
โดยธรรมชาติสามัญสำนึกเลย ทุกคนบอกว่ากายนี้เป็นของเรา ทรัพย์สมบัตินี้เป็นของเรา มันจริง มันจริงตามสมมุติ จริงชั่วคราวไง แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา ทุกคนคิดว่าจะเอาผล ก็ไปปฏิเสธก่อนไงว่า สมมุตินี้ไม่จริง สมมุตินี่จริงนะมึง ไม่จริงร้องไห้ทำไม ทุกข์ฉิบหายเลย ไม่จริงเกิดมาทำไม ร่างกายนี่เกิดมา แต่มันอยู่ชั่วอายุขัย มันไม่จริงแท้ไง สมมุติบัญญัติ นี้มันจริงตามสมมุติ แล้วเราอยู่กับสมมุติ
โดยสามัญสำนึก จิตโดยธรรมชาติของมันเลย ธรรมชาติของมันเลย ธรรมชาติของมัน มันคิดว่าทุกอย่างเป็นของมัน กายนี้เป็นของมัน ทั้งที่เราศึกษาพระพุทธเจ้าบอกว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา มันเป็นความจำ แต่จิตใต้สำนึกไม่มีวันปล่อย แต่เวลาจิตสงบแล้ว พอปัญญาเข้าไปที่ตัวจิต แล้วมันไปละกันที่นั่น ไอ้ตัวจิตนั่นล่ะมันคลายเอง พอตัวจิตมันคลายเองนี่นะเห็นไหม มันคลายความเห็นผิดไง
ความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิที่ผิด จากทิฏฐิที่ผิด มันเปลี่ยนทิฏฐิ เปลี่ยนโปรแกรมให้โปรแกรมเป็นโปรแกรมที่ถูก โสดาบัน มันมี จิตจริงโสดาบันจริงมีอยู่อันหนึ่ง เพราะเขาบอกโสดาบัน โสดาบันมากเลย เราบอกว่าโสดาบันต้องเป็นอย่างนี้ จิตจริงโสดาบันจริง ไปฟังเลย จิตปลอม โซดาตราสิงห์ บุญรอดมันจะเจ๊งแล้ว ถ้ามันมีคนขายแข่งกับมันเนี่ย จิตจริงเพราะมันไปถึงจุดที่จริง จุดที่มันติดแล้วตรงนั้นมันคลายออก
ถ้ามันถึงตรงนั้นตรงนั้นไม่คลายออก ถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ในตู้ รู้ในตู้ แต่ตัวจิตไม่คลาย ละสังโยชน์ตัวเดียว ความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสตามมา เห็นผิดก็สงสัย เห็นผิดก็ลังเล เห็นถูกจะสงสัยไหม เพราะเห็นถูก สังโยชน์ ๓ ขาด ไอ้ตัณหาคำว่าละตัณหานี่มันอีกเรื่องหนึ่ง แต่เราเอาที่ข้อเท็จจริงเลย แล้วมันปล่อยตรงไหนเลย มันขาดตรงไหนเลย แล้วมันสิ้นกันตรงไหนเลย ชำระกันอย่างไรเลย
โยม : ตรงนี้ผมพอเข้าใจเพราะว่าพื้นฐานผมภาวนามา ๑๗ ปี ไม่เคยเปิดตำรา เพิ่งมาเริ่มดูตำราบ้างประมาณปีที่ ๑๘ - ๑๙ ประมาณนี้
หลวงพ่อ : เราเห็นด้วย เพราะเมื่อก่อนเราก็ไม่มีตำราเลย เราปฏิบัติของเราปั๊บ บวชปั๊บเอาจริงเลย ก่อนบวชมามันแบบว่ามีแต่ศรัทธา แล้วไม่ค่อยได้รื้นค้น แล้วพอบวชแล้วพวกพระเพื่อนๆ พยายามจะบังคับให้เราเรียนเลย รักกันมาก เอาเราไปวัดบวรเลยจะเอาเราเรียนให้ได้ ไอ้หงบมันต้องเรียนก่อน เราพยายามหาช่องทางลงมา เพราะเรามีความตั้งใจอย่างนี้ มีความตั้งใจเต็มที่
แล้วปฏิบัติมาจนเข้าใจว่า ตัวเองมีพื้นฐานพอสมควร แล้วถึงไปเปิดดูนี่ไง เราเปิดดูหลายรอบแล้วนะ ค้นหมดเลย เพื่ออะไรรู้ไหม เพื่อเวลาสื่อสารกับชาวโลกจะได้พูดกันถูกไง เพราะเขาก็รื้อค้นมาแล้วนะ เราอ่านมาหลายรอบแล้วล่ะ ฉะนั้นเขาพูดถึงเรียกอะไรนะ พยัญชนะกับเนื้อความ พยัญชนะคือตัวอักษร เราจำอะไรไม่ค่อยได้ เรามีจุดบอดตรงเรื่องความจำ ชื่อคนนี้จำได้ยาก แต่เรื่องเนื้อหาสาระนี้จำได้แม่นมาก เพราะเนื้อหาสาระนี้ มันกระเทือนกับความรู้สึกเรา เวลาเราปฏิบัติไปแล้ว มันมีความรู้สึกมันไปกระเทือนกันนะ
โยม : พยัญชนะกับอรรถรส
หลวงพ่อ : เอ้อ เราได้ตรงนี้ไง แล้วพอมาพระพุทธเจ้าพูด เพราะเราปฏิบัติช่วงนั้น ในสังคมเขาเถียงกันว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส คำว่าผ่องใสคือนิพพานไง แล้วเราก็ไปเปิดในพระไตรปิฎก เราไปเจอในพระไตรปิฎกไง คำว่าจิตสว่างไสว จิตว่างมันก็คือนิพพาน แล้วนี้พอในพระไตรปิฎก มันไม่น่าเถียงกันเลยเพราะเราอ่านไปเจอเข้า จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส นี่พูดถึงในพระไตรปิฎกนะ แต่เราผู้ที่ปฏิบัติมันจะรู้เลยว่า จิตมันสว่างไสวขนาดไหน
ที่หลวงตาเวลาท่านพิจารณาของท่าน โอ้โฮ โลกนี้ว่างไปหมดเลย สว่างไปหมดเลยเห็นไหม แล้วท่านบอกว่า ท่านเดินจงกรมอยู่ธรรมะมันมาเตือนไง ความสว่างไสวมันเกิดจากจุดและต่อมนะ ท่านบอกธรรมะมาเตือนท่าน กลัวท่านติด ขนาดธรรมะมาเตือนแล้วนะ ไม่มีอาจารย์ไง หลวงปู่มั่นเสียไปแล้วไง ท่านบอกถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นะ ท่านไปหาหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นชี้วันนั้นนะสำเร็จวันนั้นเลย แต่นี่หลวงปู่มั่นเสียไปแล้ว ตัวเองนี่เก้ๆ กังๆ หมุนรีหมุนขวาง ๘ เดือน หันรีหันขวางอยู่นั่นนะ ๘ เดือน ถ้าย้อนกลับมานะ ผลัวะ นั่นไงจิตเดิมแท้นี่ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส
เวลาท่านเทศน์ ท่านจะบอกว่าจิตผ่องใสคืออวิชชา อยู่ในธรรมชุดเตรียมพร้อม ถ้าผู้ปฏิบัติมันผ่านอะไรมา อะไรที่มันกระทบกระเทือนในหัวใจนะ ท่านจะเอามาเทศน์อธิบายไว้ นี้คนเพียงแต่ว่ามันปีนบันไดฟัง แล้วมันรู้ถึงหรือเปล่า แล้วมันได้ประโยชน์หรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้ามันปีนบันไดไม่ถึง มันก็เหมือนกับว่าเป็นคำพูดธรรมดาไง อ้าวกินก็กิน เอ็งกินข้าก็กิน กินเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าใครกินนะ คำพูดคำเดียวกันนะ แต่มันลึกซึ้งต่างกันมากเลยถ้าคนเข้าถึง นี่เวลาพูดธรรมะ แสดงว่าพวกนี้ไม่มีอะไรสงสัยเลยเนาะ แล้ว ๑๐ กว่าปีปฏิบัติมา ปฏิบัติมา พุทโธมาตลอดเลยหรือ
โยม : ไม่ใช่พุทโธตลอดครับ ก็มีพุทโธเป็นบางช่วง
หลวงพ่อ : แล้วก็อะไร ถ้าไม่พุทโธทำไงต่อ
โยม : ผมนั่งสมาธิครั้งแรกในชีวิต คือตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ว่าผ่านไป ๑๗ - ๑๘ ปี ค่อยเปิดตำราถึงรู้ว่า ลักษณะอย่างนั้นท่านเรียกว่า อาโลกสิณ คือเป็นแสงสว่าง
หลวงพ่อ : เพ่งโลกเหรอ เพ่งอย่างไร
โยม : ก็คือตอนนั้น ก็คือผมหลับตาแล้ว มันจะรู้สึกถึงความสว่าง ที่มันเหมือนกับว่ากระจัดกระจายไปทั่ว แล้วเราก็น้อมจิตนี่ ค่อยๆ กำหนดนี่ ดึงความสว่างเข้ามารวมศูนย์ รวมๆๆ จนตั้งเหมือนดวงพระอาทิตย์ แล้วเราก็ประคองไว้ๆ ทีแรกๆ มันก็จะแบบ พอเราตั้งใจจะประคองมันก็จะเหมือนเสียศูนย์บิดๆ เบี้ยวๆ เราก็ค่อยปรับใจน้อมใจ ให้มันถูกให้มันสมดุล ให้มันพอดีมันก็จะอยู่พอดี พออยู่พอดี พอทำชำนาญแล้ว เราก็ลองเพ่งผ่านเข้าไป ผ่านเข้ากลางเข้าไปเรื่อยๆๆๆ พอชำนาญดี แล้วก็รู้สึกว่า โอเค อันนี้เราเข้าใจแล้วเราทำได้ง่ายแล้ว ก็ลองแบบว่าถอยกลับ ย้อนถอยกลับ แล้วก็กำหนดแบบให้ใหญ่ ให้ย่อ อะไรอย่างนี้ ก็ทำไปเรื่อยประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง แล้วก็มันก็สังเกตขึ้นมาว่า เออ เวลาเราทำอย่างนี้ทำสมาธิแบบนี้ แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันคือสมาธิอะไร เพราะว่าไม่มีคนสอน
หลวงพ่อ : โยมไม่ได้พิจารณาดวงแก้ว
โยม : ไม่ใช่ดวงแก้วครับ
หลวงพ่อ : ไอ้ดวงแก้วไม่ดวงแก้ว นี้ไม่สำคัญหรอก เพราะเรากำหนดพุทโธนี่แหละ แต่มันเป็นดวงนี่พุ่งมาชนเราก็เยอะแยะ มันพุ่งเข้ามาเลย แล้วคนพิจารณาดวงแก้วหรือไม่ดวงแก้ว ถ้าจิตเขาสร้างมานี้ พันธุกรรมทางจิต ถ้าสร้างมามันจะเป็นดวงแก้ว แต่ถ้าพิจารณาอาโลกสิณ พิจารณาเป็นแสง ตอนนี้ยังทำได้อยู่ไหม
โยม : ตอนนี้ถ้าจะทำคือทำได้ แต่ว่าพอฝึกไปเรื่อยๆ ความเข้าใจมากขึ้นมันจะปรับ
หลวงพ่อ : นั่นล่ะ ถ้าการทำอย่างนี้นี่นะ การทำกำหนดเป็นดวง หรือกำหนดจิตเป็นดวงแก้ว ไอ้ที่กำหนดไว้ ถ้าพูดถึงตอนนั้นจิตมันดีนะ กำหนดดวงนี่ปั๊บนะ ดึงดวงนั้น ดึงดวงนั้นกลับมาที่จิตเลย ดึงดวงนั้นเข้ามาที่จิตเราเลย พอดึงดวงนั้นเข้ามาที่จิตปั๊บนี่ จิตนี่มันจะสว่างออกมาเลย ถ้าจิตสว่างออกมาความสว่างนี้จะครอบหมดเลย
แต่นี้เราไปเพ่งไว้ข้างนอกไง เราไปเพ่งผ่านมันไง จิตเห็นอาการของจิต เพราะตัวจิตเห็นตัวดวงนั้นเป็น ๒ เห็นไหม ดึงสิ่งนั้น ดึงสิ่งนั้นกลับมาที่มัน มันกลับมาสว่างจากข้อมูลภายใน ถ้ามันสว่างจากข้อมูลภายใน มันจะเห็นจากข้อมูลภายใน แล้วข้อมูลภายในพอมันสว่าง ความสว่างเห็นไหมมันสว่างอยู่ข้างนอก พอมันสว่างอยู่ข้างใน ความสว่างอยู่ข้างในเห็นไหม นี่เห็นไหมดวงไฟความสว่างมันจะจากแสงแรงเทียนของมัน แรงเทียนของมัน ความสว่างของมันพุ่งไปสู่จุดข้างนอก
ทีนี้มันซ้อนกันอยู่ ทีนี้ความสว่างนี้ ความสว่างนี้เราน้อมกลับมาถึงตัวมันเอง มันมาสว่างอยู่ข้อมูลของจิต ตัวจิตนี้มันสว่างจากข้อมูลภายในของมันออกมา พอข้างในออกมา ถ้ามันไปตกถึงที่ไหน ความรับรู้ ความรับรู้ของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น จะรู้สิ่งใดก็ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์และไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย แต่พอจิตมันสงบแล้ว ย้อนออกไปดูสติปัฏฐาน ๔ เหมือนเดิม เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม
เราถึงบอกว่า ถ้าเป็นนะ อะไรก็เอามาใช้ประโยชน์ได้หมดเลย ถ้าไม่เป็นไปติดมันนะ ติด ติดคือหลง ติดคือไม่รู้ ถ้ารู้ไม่เรียกว่าติด ติดหมายถึงว่าชำระจัดการสิ่งนั้นไม่ได้ แล้วนี่ที่เราฟังเขาว่าไง เป็นฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ จะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌาน ฌานไหน กูเห็นแต่ชานอ้อย ชานอ้อยกูนี่เต็มเลยเขาเอามาใส่ปุ๋ยอยู่เนี่ย ฌานต้องบอกเป็นฌานสิ ทำไมถึงเป็นฌาน คุณสมบัติของฌานคืออะไร คุณสมบัติของสมาธิคืออะไร
พระพุทธเจ้าไปปฏิบัติกับอาฬารดาบสมาได้ฌาน ๖ ได้ ฌาน ๘ ฌานกำหนดแล้วมันมีกำลัง พอมีกำลัง สิ่งที่มีกำลังสิ่งที่มีพลังงานเห็นไหม มันคลายตัว พลังงานตรงนี้พอเข้าฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ มันเข้ามาแล้วมัน ฌานนี่ ความว่าง ๘ ระดับ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ความว่างมันขึ้นสูงใช่ไหม แล้วขึ้นอากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาฯ แล้วมันถอยกลับ คำว่าขึ้นสูงแล้วถอยกลับ น้ำยกขึ้นสูงแล้วปล่อยให้ไหลลงมา เขากั้นเขื่อนขึ้นมา เขาสร้างกระแสไฟฟ้าเพราะเหตุใด เพราะต้องการน้ำหมุนเพื่อให้กังหันมันหมุน จิตมีกำลังของมันขึ้นมาแล้ว ถ้ามันมีกำลังแล้ว มันออกมานี่เห็นไหม
คำว่าฌานมันจะออกรู้ไง มันมีกำลังของมัน ถ้าคนมีกำลังปั๊บมันจะออกรู้สิ่งต่างๆ สิ่งต่างๆ นี่มันเป็นเรื่องของโลกไง ฌานโลกีย์ ถ้ามันรู้ขึ้นมามันจะถือทิฏฐิ มันจะว่ามันเป็นผู้วิเศษ มันจะรู้สิ่งต่างๆ แล้วคนจะไปติดไง พระพุทธเจ้าไปศึกษามาถึงแล้วพระพุทธเจ้าวางไง นี่คุณสมบัติของฌานไง บอกนี่ได้ ฌาน ๒ นะ ฌาน ๒ มันกำลังสมาธินะ ไอ้สมาธิส่วนสมาธิ ไอ้ฌานส่วนฌานนะมึง แต่เราใช้แทนกันไง เราใช้คำว่าฌานกับสมาธิ เราใช้แทนกันว่าเป็นความสงบได้เหมือนกัน นี่ถ้าสัมมาสมาธิกำหนดๆ พุทโธๆ อย่างที่ว่านี้
นี้เรื่องฌานนะ เรื่องสมาธินะ เรื่องปัญญาสมาธิ เรื่องความสงบอันหนึ่ง เราถึงบอกอันนี้มันมาจากราก มันมาจากจิต ถ้ามาจากจิตแล้ว เราพัฒนาใช้เพราะอะไรรู้ไหม ถ้าคนเป็นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันเข้าถึงตัวจิตได้ง่ายขึ้น คนเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จริตนิสัยให้ทำอย่างนั้นเข้าไป พอทำอย่างนั้นเข้าไปนี่ เหมือนกับเรานี่ ความชำนาญของมันนะ แบบว่า นกนะ ปล่อยมันก็บินนะ มึงบอกให้กบมันบิน มันบินไม่ได้หรอก ตบยังไงมันก็ไม่บินกบน่ะ นกปล่อยมันบินเลย
ถ้าจิตเราเป็นอย่างนั้น เราทำตรงปั๊บมันจะได้ประโยชน์กับเราไง ความชำนาญของเราไง งั้นถ้าอย่างนั้นปั๊บนะ ดึงเข้ามาเลย ดึงเข้ามาเลย ดึงเข้ามาที่ตัวเรานี้ ดึงเข้ามาที่จิตเลย แล้วถ้ามันรู้อะไรให้มันรู้ตามข้อเท็จจริงนั้น แต่อย่าไปตื่นกับมัน พอมันเป็นอย่างนี้ปั๊บเราก็น้อมเลย น้อมจิตนี้ให้ไปเห็นกาย ไปเห็นกายปั๊บก็อย่างที่ว่า ไปเห็นกายปั๊บมันก็ตั้ง เห็นกายนี่อยู่ที่วาสนาของคน บางคนเห็นแค่กะโหลกศีรษะ บางคนเห็นทั้งโครงร่างของร่างกายเลย บางคนเห็นเฉพาะเส้นผมเส้นเดียว บางคนเห็นเป็นรูขุมขน บางคนเห็นเป็นอวัยวะเป็นปอด เป็นตับ เป็นไต แล้วแต่จะเห็น แล้วแต่จะเห็น
คำว่าแล้วแต่นี้คือปัจจุบัน มันเกิดในปัจจุบัน จิตสมาธิ จิตสงบเป็นปัจจุบันเป็นตัวจิต จิตไม่ได้เคลื่อนที่ แต่ถ้าเป็นความคิด พลังงานนี้เคลื่อนไปที่สมองเป็นอนาคตไปแล้ว ความคิดนี้มันเลยไม่เป็นปัจจุบัน แต่ถ้าจิตสงบ จิตเห็น จิตเป็นปัจจุบัน จิตสงบ จิตเห็นปัจจุบัน ข้อมูลที่เห็นมันสั่นสะเทือนถึงข้อมูลในจิตได้ ถ้าจิตมันเคลื่อน มันไม่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นปัจจุบันนะ ดูสิพลังงานเห็นไหม ที่เคลื่อนมันจะเข้าถึงตรงนี้ไหม ตรงนี้เราถึงบอกว่าไม่ตัดรากถอนโคน
ไม่ตัดรากถอนโคนเพราะปฏิสนธิจิต ข้อมูลจากดีเอ็นเอของมัน ดีเอ็นเอของมันคืออดีตชาติไง คือเวรกรรมของมันไง แล้วมันไปรื้อถอนตรงนั้น มันไปทำลายตรงนั้น นี่คือปัจจุบันธรรม แต่ถ้ากำหนดของเขา กำหนดที่เขาดูอะไรกันนี่ มันทิ้งตรงนี้ไป เราถึงใช้คำว่าตัดรากถอนโคนไง ตัดรากถอนโคน คุณสมบัติ คุณความดีของเราที่จะเกิดขึ้น มันตัดออกหมดเลย แต่ถ้าเราทำของเราโดยความถูกต้อง พลังงานอันนี้กำลังอันนี้ มันจะเข้ามาสู่ตัวจิตนี้ แล้วมันจะมาถอนกันที่นี่ จะถอนได้มากได้น้อย ถอนที่นี่ แล้วมันจะพัฒนาขึ้นไปจนถึงที่สุด ต้องทำลายมันหมดเลย
พระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้าพระอรหันต์มีจิตคือพระอรหันต์มีภพ ตัวจิตตัวโลก ตัวมโนคือตัวภพ คือ ตัวปฏิสนธิจิต หลวงตาใช้คำว่าธรรมธาตุ เพียงแต่ว่าเวลาจะพูดกับเด็กๆ นี่ ก็ต้องบอกว่าจิตเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างนั้น คือสมมุติขึ้นมาพูดไง แต่ไม่ใช่เป็นความจริง ความจริงมันต้องทำลายมันหมด
พูดถึงนะ มันไปเห็นดวงแก้วไง โอ๊ย จริงแล้วทำได้อยู่หรือเปล่า ถ้าทำได้ ทำได้นี่คือคุณสมบัตินะ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วก็ต้องมาพิจารณาตรงนี้ ต้องพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม แล้วพอจิตถ้ามันเข้ามาถึงตรงนี้ปั๊บ มันจะรู้เห็นอะไรต่างๆ ถ้ารู้เห็นปั๊บนี่เราก็แบบว่าดูกาย กายขึ้นเลย ถ้าจิตดีสั่งได้เลยนะ กดปุ่มนะกายขึ้นเลย แล้วถ้าแปรสภาพนะ มันเหมือนสอนเด็ก มันเหมือนสอนใจ จิตใต้สำนึกมันฝังของมัน พอมันเห็นนะ เอ๊อะ เอ๊อะ เอ๊อะ แล้วความรู้สึกมันตั้งอยู่บนอะไร ในเมื่อสิ่งที่รู้และเห็นโดนทำลายหมด เราจะไปอยู่ที่ไหน
เวลาภาวนาไป อย่างที่พูดเมื่อกี้แหละ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ถ้ามันภาวนามามันจะมีรู้อย่างนี้ ถ้าอย่างนี้นะเจโตวิมุตติ เพราะมันกำลังของสมาธิ กำลังของดวงแก้ว ถ้าเป็นปัญญาไม่เป็นอย่างนี้ ปัญญาไปอีกอย่างหนึ่ง ทีนี้เราถึงแยกตรงนี้แล้วบอกมันไม่แยก ไม่แยกหมายถึงว่า เวลาสรุปแล้วมันคืออันเดียวกัน แต่ความถนัด คำว่าความถนัด เราถึงเวลาเราสอน เราจะจับประเด็นอย่างนี้ จับประเด็นถึงว่าเราเรียกอะไรนะ อาการไข้ อาการไข้ไปทางไหน ควรจะรักษาอย่างใด จิตมันพิจารณาแล้วได้ผลไหม
จิตสงบไหม ถ้าสงบแล้วพิจารณาหรือยัง ถ้าไม่พิจารณาจะทำอย่างไรให้มันพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้ว ถ้าพิจารณามากเกินไป ถอยกลับไปทำความสงบนะ ถ้าพิจารณามากเกินไปนะ ฟั่นเฟือนนะมึงไปไม่รอดอีกเหมือนกัน อย่าคิดว่าทำงานแล้วจะสำเร็จนะ ทำงานมากเกินไป ทำงานจนไม่มีกำลัง งานนั้นก็จะเสียหายอีก มันต้องดูจังหวะ ดูจังหวะ ดูความเป็นไป แล้วเดี๋ยวนี้ทิ้งหมดเลยหรือ
โยม : คือมันทำอย่างนั้น มันก็คือมันเหมือนกับว่า เราใช้วิธีนั้น ไปถึงจุดหนึ่งมันก็ตัน แต่ว่าเราไม่ได้อ่านตำรา เราก็ด้นของเราไป
หลวงพ่อ : ไม่ ไม่หรอก เราจะบอกเลยว่าในตำราไม่มีสอน ตำราไม่มี พระพุทธเจ้าสอนไว้แค่นี้แหละ พระพุทธเจ้าสอนไว้แบบว่าสูตรสำเร็จ ทฤษฎีว่าเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น อย่างพวกอภิธรรมที่เขาบอกเลย ที่เขาพูดเขาเถียงมาเห็นไหม มึงจะเป็นปูเสฉวนเหรอ เขาว่านะ จากจิตดวงหนึ่งย่อยสลายไป จิตดวงใหม่มารับรู้อะไรนี่ เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ ปฏิจจสมุปบาทน่ะ ปัจจยาการของจิตเป็นอย่างไร ปัจจยาการของความคิดหยาบๆ เวลาส่งออกมาแล้ว มันเป็นขันธ์ ขันธ์อย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
แล้วปัจจยาการของมัน อวิชชา ปัจจยา สังขารา มันเป็นอย่างไร จิต โอ๊ย ละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนกันอีกมหาศาล แล้วมึงจะมาพูดถึงตรงนี้เป็นไปไม่ได้ ตำราไม่มี ของอย่างนี้ ต้องมีครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติเป็นเท่านั้น แล้วครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติคนละแนวทาง ไปพูดอย่างนี้ เขานั่งอ้าปากเลยนะ เอ๊ย กูไม่รู้ กูไม่รู้ แต่คนที่มีประสบการณ์ มันสำคัญตรงนี้นะ สำคัญไม่ใช่ว่าผู้ที่ปฏิบัติแล้วจะสอนคนอื่นได้หมด ไม่มีทาง ผู้ที่ปฏิบัติรู้จริงแล้วยังจะต้องผ่านประสบการณ์ผ่าน โอ้โฮ เพียงแต่ว่าของเรานี้มันสะเทินน้ำสะเทินบก กูนี้ไปได้เรื่อยๆ
งั้นเวลาสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์บางคนแปลกใจ แปลกใจทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะเราอยู่กับครูบาอาจารย์มาเยอะ ครูบาอาจารย์ของเราอย่างเช่น หลวงปู่ลี ครูบาอาจารย์เราที่เรามั่นใจมากๆ นี้ ท่านก็ไม่ค่อยได้พูด ท่านรู้ของท่าน เวลาถามปัญหานี่ท่านตอบได้หมดล่ะ ตอบได้ ก็ตอบได้ด้วยความเข้าใจของท่าน แต่ไอ้คนฟังนี่มันได้ฟืนมาดุ้นหนึ่งนี่ แม่งกูจะเอาไปทำอะไรดีวะ
ท่านก็ตอบมาให้แล้วนะ พอโยนใส่มือเราก็เป็นฟืนดุ้นหนึ่ง เอ๊ กูจะไปผ่ามันอย่างไรว่ะ เอ๊ กูจะไปใช้ประโยชน์มันได้อย่างไรวะ ไอ้คนฟังแม่งเสือกไม่รู้ไง ไอ้คนตอบ ตอบเสร็จแล้วนะ แต่เรานี่มันจะแจง แจง แจง แจงเพราะว่าเราเคยเจอปัญหานี้มา เราถึงพยายามทำของเรา เราถึงฝึกฝนของเรา เราทำของเรา แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้น ธรรมดาอย่างที่โยมทำมา ที่เก็บๆ มันมาตั้ง มันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
แต่ความจริง ผู้ปฏิบัตินี่เขาต้องกำหนดเลยไง เป็นดวงเลยไง แล้วเพ่งกสิณ เพ่งให้จิตสงบ พอจิตสงบปั๊บแล้วขยายให้ดวงนี้ใหญ่ขึ้น เล็กลง ขยายส่วน กสิณลม กสิณไฟ กสิณเขียว กสิณแดง กสิณต่างๆ เห็นไหม ในตำราจะสอนอย่างนี้ แต่เวลาทำจริง ตำราเขียนไว้อย่างนั้น แล้วคนจริงล่ะ เขาบอกไอติมอร่อยโว้ย ไอติมอร่อย กูเห็นแต่ไม้ไอติม กูไม่เคยกินไอติมสักที มาทีไรก็ได้แต่ไม้ ไอติมละลายไปแล้ว
กว่าจะจิตสงบเนาะ กว่ากูจะเป็น กูก็ได้แต่ดวงๆ นั้นนะ มีแต่ไม้ไอติม โอ๊ย มาทีไรเหลือแต่ไม้ ไม่เคยได้กินเลย เออถ้ามาทั้งไม้ทั้งไอติม โอ้โฮ ค่อยยังชั่วหน่อย เอ่อรสชาติมันเป็นอย่างไร ความจริงมันเกิดขึ้น มันต้องเป็นอย่างนี้ โอ้โฮ เรานี้เป็นคนทำผิดมามาก โทษนะ ตอนปฏิบัติมันเป็นคนใฝ่ศึกษา อาจารย์องค์ไหนสอนอย่างไรทดสอบ ทดสอบ ต้องทำเลยเปรียบเทียบเลย ทดสอบๆๆ มันเลยจับได้หมด จับได้หมดเลย ไอ้นี่มาได้อย่างไร ไอ้นี่มาได้ไม่ได้ ไอ้นี่ผิดตรงไหน ทดสอบ ๆๆ
ไอ้นี่แบบว่าถ้าเป็นกสิณมันต้องเป็นดวงอย่างนั้น แต่ถ้ามันเกิดอย่างนี้เราจะพูดเลย ถ้าเกิดเป็นอย่างนี้นะ พุทโธเรานี่ก็เกิดเป็นอย่างนั้น ถ้าคนมันจะเกิดนะ แต่ถ้าคนมันไม่เกิดนะ ทำจนตายก็ไม่เกิด แต่เราทำนี่เราไม่ทำให้มันเกิด เราทำให้จิตสงบต่างหาก อันนี้คนเป็นปั๊บ เขาจะวัดค่าที่ความสงบของจิต ไม่ได้วัดค่าที่ดวงที่เห็นนั้น แต่ถ้าคนเห็นดวงนั้นแล้ว ค่าของความรู้สึกเป็นอย่างไร แล้วถ้าค่าความรู้สึกนี่ไม่เข้มแข็ง ดึงเข้ามาไม่ได้ ไม่ได้ ถ้าค่าของมันเข้มแข็ง มันรำพึง
ความดึง คือความคิดในใจ คือเขาเรียกรำพึง เข้ามา เข้ามา เข้ามา เข้ามา ถ้ากำลังไม่พอไม่เข้า ไม่เข้า ดึงเข้ามา ถ้าเข้ามาถึงอันใดอันเดียวกัน พั้บ พั้บ คุมหมดเลย อันนี้ไม่ใช่วิปัสสนา อันนี้เป็นกำลังของจิตเท่านั้น แต่มันเป็นวิธีการไง นี่วิธีการที่ภาวนามันจะเป็นอย่างนั้น มันมีพวกที่ว่าได้สมาบ่งสมาบัติมา ขี้โม้ทั้งนั้น ไอ้ห่า กูไม่เห็นมีดีสักตัว ถ้ามันจริงนะ มันเป็นของมัน มันคุมความสงบของมันปั๊บนะ มันไปได้เลยนะ มันรู้อะไรแปลกๆ ไปหมดเลย แล้วคุมได้หมด แต่ชั่วคราวนะ ชั่วคราวตอนจิตมันดี
พอจิตมันเสื่อมก็หมด แล้วเข้านี้เหนื่อยมาก ระหว่างรูปฌาน อรูปฌาน ต้องใช้กำลังมาก แต่ถ้าเข้าชำนาญแล้วจะเป็นประโยชน์ แล้วที่เขาบอก ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌานนี้ต้องทิ้งเลย ต้องมาดูจิต ดูจิต กูฟังแล้วนี่พูดไม่ได้ เพราะเขาไปลงเว็บไซต์บอกว่า แหม มันชอบบอก อยากจะอ้วก จะอ้วก ฟังแล้วมันจะอาเจียน เราพึ่งรู้ถึงความเข้าใจไง เรารู้ถึงความเข้าใจว่า เขาพยายามจะพูดตรงนี้ขึ้นมา ว่ามันไม่มีค่า แล้วเขาจะพูดว่าเขามีค่ามากกว่า
โยม : ผมว่ามันเหมือนคนแบบว่าเคยแต่ถีบจักรยาน ไม่เคยนั่งรถเบนซ์
หลวงพ่อ : ใช่ คำพูดมันฟังออกว่าเขาพูดเพื่ออะไรไง เขาไม่ได้พูดขึ้นมาเพื่อจะสั่งสอนให้มันเป็นอะไรหรอก เขาพูดขึ้นมาเพื่อตีค่าให้มันต่ำไง นี่ฌาน ๒ ฌาน ๒ ผิดนะมันต้องอย่างนี้ นี่ระดับฌาน ๒ ไอ้คนที่ไม่เป็นอะไรเลยมันบอก เอ๊ย กูได้ฌาน ๒ โว้ย กูได้ฌาน ๒ แม่งดีใจกันใหญ่เลยนะ ว่ากูได้ฌาน ๒ นะ แล้วก็บอกให้เปลี่ยนจากฌาน ๒ เป็นสมาธิ เวรเอ๊ย มึงได้แต่ไม้ไอติม ไอ้บ้า ฟังมันรู้หรอก คนจะได้หรือไม่ได้ มันไม่พูดกันอย่างนั้น
เราฟังเรื่องนี้มันขัดมานาน แต่ก็ปล่อยมาเรื่อยๆ ปล่อยมาให้มันสุกงอม แล้วตอนนี้ก็มันสุกงอมแล้ว เราพูดแบบว่าเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด แล้วเราบอกว่าเราไม่ได้พูดว่าใครทั้งสิ้น เราห่วงแต่พวกผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ชาวพุทธนะจมูกเขาไว้หายใจ จมูกเขาไม่ใช่ให้ไว้สนตะพาย แล้วไอ้พวกนั้นมันเสือกให้เราสนตะพายนะ เกี่ยวไปหมดเลย เราก็ต้องตั้งขึ้นมาแล้วเพื่อประโยชน์กับเรา แต่ถ้ามันไม่มีปัญหาก็จบเนาะ ไม่มีอะไรเนาะ เอวัง เหนื่อยแล้ว