เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ม.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันปีใหม่ พุทธศักราชใหม่ เราต้องการชีวิตใหม่ พระพุทธเจ้าให้ของขวัญมาตั้งแต่ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.. ตนถ้าปกครองตนได้ประเสริฐที่สุด

เราปกครองกัน เห็นไหม ดูสิ เวลาลูกยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ต้องปกครองลูก ดูแลลูกเรา แล้วลูกเรากว่าจะโตขึ้นมา แล้วถ้าลูกเราปกครองตัวเองได้ ลูกจะมาปกครองดูแลพ่อแม่ พ่อแม่ปกครองลูก พ่อแม่ดูแลลูกขึ้นมา นี่ความดูแลลูก ถ้าเราปกครองตัวเราเองได้ สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมาก ทุกคนมีความเข้มแข็ง ทุกคนรักษาตัวเองได้จะไม่เป็นภาระของสังคมเลย

ในครอบครัวของเรา เห็นไหม ถ้าลูกเราในครอบครัวของเรา ทุกคนเป็นคนดี ทุกคนปกครองตัวเองได้ การจะปกครองตัวเองได้ต้องมีสติปัญญา คนไม่มีสติปัญญาจะปกครองตัวเองได้อย่างไร คนจะมีสติปัญญามันมาจากไหน มันต้องฝึกฝนใช่ไหม ถ้าไม่มีการฝึกฝนปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเองได้อย่างไร

ดูสิ หินนี่ เวลามีดจะใช้ประโยชน์ขึ้นมา มีดเอามาจากไหน มีดเอามาจากเหล็กนะ เหล็กเขาเอามาตีเป็นมีด จากเหล็กนี่เขาเอามาหลอม หลอมเสร็จแล้วเขาก็เอามาตี ตีเสร็จแล้วเขาเอามาลับ เอามาทำต่างๆ มันถึงจะเป็นมีด มันถึงจะคมกล้าถึงใช้ประโยชน์ได้

ปัญญาของคนถ้ามันจะเกิดจากการปัญญาของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา เราต้องฝึกฝนของเรา ปัญญามันจะเกิดเองได้อย่างไร ปัญญามันจะเกิดเองนอกจากเชาว์ปัญญา.. ถ้าเชาว์ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบอันนั้นเป็นอำนาจวาสนาบารมีของคน ถ้าเรามีวาสนาขึ้นมา เห็นไหม การปกครองตนเองได้

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.. แต่กว่าที่ตนจะเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ทารกเลี้ยงตัวเองไม่ได้หรอก เราเกิดมาลูกเราแต่ละคน ดูสิ เราถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาขนาดไหน ปัญญาอย่างเราโลกียปัญญา ปัญญาที่จะพึ่งตนเองได้มันต้องฝึกฝนของมันขึ้นมา ปัญญาของเรานี่กิเลสมันหลอกใช้ทั้งนั้นล่ะ กิเลสมันจะพาไปใช้หมดล่ะ

ดูสิ ในครอบครัวของเรา เห็นไหม ถ้าในครอบครัวของเราเข้มแข็งขึ้นมา นี่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะมีความร่มเย็นเป็นสุข จะมีความชื่นใจมาก ดูวัดวาอาวาสสิ.. วัดวาอาวาสนะ ถ้าหัวหน้ายังพึ่งตนเองไม่ได้ มันจะปกครองอาวาสได้อย่างไร ปกครองพระได้อย่างไร นี่การปกครองการพึ่งพาตนเอง เห็นไหม ดูสิ ดูพระ.. นี่การฝึก ถ้าพระเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นเนื้อนาบุญของโลก เขาต้องหวังบุญกุศลจากพระ จากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ เช้าขึ้นมาให้ภิกษุบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง.. ออกเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่ญาติโยมของเราหวังพึ่งบุญกุศล เห็นไหม เราก็หุงหาอาหารมาเพื่อใส่บาตร นี่มันเกี่ยวเนื่องกันไปทั้งหมด ถ้ามันเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด ถ้าเราปกครองดูแลตัวเราเองได้ ถ้าเราเองไม่มีข้อบกพร่อง เราจะปกครองดูแลคนอื่นได้นะ ถ้าเราปกครองตัวเองไม่ได้เราจะปกครองใคร ถ้าเราปกครองคนอื่นไม่ได้ เห็นไหม สังคมเขาวุ่นวายไปหมดล่ะ

นี่ย้อนกลับมาที่สังคม.. สังคมมองแต่เรื่องโลก มองแต่เรื่องการปกครองจากสังคม แต่ศาสนาสอนเข้ามาที่หัวใจนะ ย้อนกลับมาที่ทุกคนมีความคิดที่ดี สังคมที่คิดเอาแต่จิตใจที่เป็นสาธารณะ เห็นไหม ถ้าจิตใจเป็นสาธารณะ จิตใจเห็นแก่สังคม จิตใจนี่มันไม่เอารัดเอาเปรียบ จิตใจอย่างนี้มันมาจากไหนล่ะ

จิตใจอย่างนี้ ถ้าจิตใจของเรา ธรรมดาความตระหนี่ถี่เหนียวนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ เห็นไหม เช้าขึ้นมาเราหุงหาอาหารขึ้นมา เราตักข้าวปากหม้อถวายผู้มีศีลมีธรรม ผู้มีศีลมีธรรมเอาสิ่งนี้มาดำรงชีวิต นี่สิ่งนี้มันมาจากไหน มันมาจากหัวใจของเราที่ปรารถนาบุญกุศลใช่ไหม ถ้าเราปรารถนาบุญกุศลของเรา นี่สิ่งที่หัวใจปรารถนา หัวใจมันมีที่พึ่งของมัน ถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะมีที่พึ่งของมันได้ พระพุทธเจ้าถึงวางทาน วางศีล..

การเสียสละ เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวของหัวใจ เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวอย่างนี้มันถึงกว้านความทุกข์มาให้เรา แต่ถ้าการเสียสละนี่การเสียสละออกไป มันฝึกฝนการเสียสละออกไป แต่ถ้าเป็นกิเลส การเสียสละคือหลุดจากมือเราไป คือผลประโยชน์หลุดจากเราไป แต่ถ้าเป็นธรรมนี่หลุดจากมือเราไปเป็นประโยชน์กับคนอื่น เห็นไหม ถ้าเป็นประโยชน์กับคนอื่น เขาดำรงชีวิตของเขาขึ้นมาเพราะสิ่งที่เราเสียสละออกไป

ชีวิตนี่.. ดูสิ ปาณาติปาตา การไม่รังแกกัน ไม่ทำร้ายกัน เวลาเรามีเคราะห์หามยามร้าย เราจะปล่อยสัตว์ปล่อยปลา เราไปปล่อยเขาปล่อยชีวิตเขา แล้วเราให้ชีวิตเขาอยู่ทุกวันๆ นี้ไม่เห็นเหรอ ชีวิตที่ให้เขาอยู่นี้ การเสียสละอย่างนี้เพื่อดำรงชีวิต เพื่อสังคม เพื่อความเป็นไปของโลก โลกมันจะหมุนออกไป เห็นไหม นี่ภิกษุ.. ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่แข่งขันกับโลก ไม่มีอาชีพ ไม่มีสิ่งต่างๆ เลย.. อาชีพทางโลก นี่อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วเวลาธรรมนี่ “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมเป็นที่พึ่งมาจากไหนล่ะ

ธรรม.. นี่สัจธรรมใครก็ต้องการความดีความงามทั้งนั้นล่ะ จิตใจทุกดวงใจปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์ทั้งนั้นล่ะ แล้วความสุขของเรา ดูสิ ดูเด็กของเรา เห็นไหม นี่พ่อแม่ในครอบครัว เวลาลูกของเรามันออกไปเที่ยวเล่นของมันประสาวัยรุ่น มันก็มีความสุขของมันนะ แต่พ่อแม่ก็อยากจะให้ลูกเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าลูกเข้มแข็งขึ้นมา นี่ความสุขที่สงบสงัด... ความสุขของโลกของเขา เด็กๆ วัยรุ่นมันก็ตามความคึกคะนองของเด็ก ผู้ใหญ่ก็ขอความสงบสงัดในหัวใจก็มีความสุขของเขา เห็นไหม

แล้วถ้าจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา “ความสุขใดๆ เท่ากับจิตสงบไม่มี” แล้วจิตสงบได้อย่างไรล่ะ จิตสงบอย่างไร.. ความสุขที่ละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานี่มันมีของมัน การพึ่งตนเองมาเรื่อยๆ ถ้าจิตมันไม่มีพื้นฐานการพึ่งตัวเองนี่เอาอะไรไปพึ่ง ถ้าไม่มีพื้นฐานดูยอดเจดีย์สิ ฐานเจดีย์กว้างมากเลยแต่ยอดมันนิดเดียว

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันสูงขึ้นมา กว่าจะพัฒนาขึ้นมาได้มันต้องใช้พื้นฐานมากขนาดไหน พื้นฐาน.. นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ของขวัญมาตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว

“ภิกษุทั้งหลายเธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด โลกนี้จะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์เลย”

ความประมาทเลินเล่อในชีวิต ชีวิตเรานี่ประมาทเลินเล่อ เราปล่อยวันคืนล่วงไปๆ เห็นไหม นี่ยักษ์.. มืดกับสว่างมันกินชีวิตเราไป เราก็กินมันไป นี่เมื่อวานก็สิ้นปี วันนี้ก็ขึ้นปีใหม่ วันปีใหม่นี่เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังเห็นปีใหม่ปีเก่านะ ถ้าเราหมดชีวิตไป ปีใหม่ปีเก่ามันก็มีอยู่ของมันอย่างนี้ แล้วชีวิตเราล่ะ ชีวิตเราๆ ไม่ได้บริหารไม่ได้จัดการมันไง นี่เรายังได้บริหารจัดการมันนะ บริหารจัดการจากสิ่งแวดล้อมภายนอก จากความดำรงชีวิต จากปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วหัวใจล่ะ หัวใจอยู่ไหน !

ถ้าหัวใจ.. พุทธศาสนาสอนที่ไหน พุทธศาสนาสอนกราบพระ กราบพระพุทธรูปใช่ไหม พระพุทธรูปเป็นสมมุติ เป็นเครื่องเคารพนะ เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ที่มีจิตใจที่ยังไม่มีหลักมีเกณฑ์กราบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าผู้มีหลักมีเกณฑ์ ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขาจะไปกราบพระพุทธรูปที่ไหน

นี่ตาเป็นเทียน นิ้วเป็นธูป แล้วนึกรูปเคารพแล้วกราบไป.. กราบไป หลวงตาท่านพูดบ่อย “ผมนึกที่ไหนก็ได้ ผมกราบครูบาอาจารย์กราบที่ไหนก็ได้ เพราะใจผมถึงครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา”

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจเราถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานี่เรากราบที่ไหน นี่ไงรูปเคารพมีไว้สำหรับการฝึกฝน มันเป็นสมมุติอันหนึ่งคือเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน..

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ถ้าจิตใจเราเข้าถึงความสงบนี่เข้าไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเข้าถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่พุทธะ.. พุทธะ ! ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.. พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.. ผู้เบิกบานจะสร้างปัญญา ปัญญาที่เบิกบานชื่นช่ำหัวใจ จะชำแรกกิเลสออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

ปัญญาของจิต.. ปัญญาที่เกิดจากจิต ปัญญาที่เกิดมันจะทำลายกิเลสของมันจากในหัวใจ ความสงบสงัดของสัมมาสมาธิ สิ่งที่เป็นสมาธิมันสงบสงัดของมัน แล้วเราจะออกมาทำงานอย่างไร เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีสมาธิ ไม่มีความสงบสงัดก็มีความทุกข์ใจอันหนึ่ง พอสงบสงัดก็ โอ้โฮ.. วันนี้มีความสงบมาก มันก็ไม่ยอมออกทำงาน เราต้องดึง ! ดึง ! ดึง ! ดึงจิตออกทำงาน

นี่ปัญญาในโลกุตตรปัญญา ปัญญาในการชำระกิเลส ไม่ใช่ปัญญาอย่างที่เราคิดกันหรอก ปัญญาอย่างเราคิดนี้มันเป็นของดิบๆ ไง มันเป็นของได้มาโดยสัญชาตญาณ มันเป็นของได้มาเพราะความเป็นภพของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ก็คือความคิดอันนี้มันเกิดโดยธรรมชาติ ! มันไม่เป็นความจริง ! ความจริงมันเกิดจากผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความจริงอันนั้นล่ะโลกุตตรปัญญาที่จะทำลายกิเลส มันไม่เป็นปัญญาที่กิเลสพาใช้อย่างนี้หรอก

กิเลสของเรา ความคิดนี่มันไม่มีในโลก ความคิดเกิดบนภวาสวะ เกิดบนจิต ความคิดเกิดบนพลังงาน ไม่มีพลังงานความคิดไม่มีหรอก มีมนุษย์ถึงมีความคิด ซากศพไม่มีความคิด วัตถุไม่มีความคิด แล้วความคิดนี่มันเกิดบนภพ บนภพคืออวิชชา บนภพไง บนมารไง มารมันครอบงำใช้ ฉะนั้นปัญญาที่เกิดขึ้นมากิเลสเลยพาใช้หมดเลย.. ปัญญาของกิเลสทั้งนั้น !

แต่ถ้ามีความสงบของใจเข้ามา เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา นี่ไงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมันจะเกิดโลกุตตรปัญญา ถ้าไม่มีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปัญญาของกิเลสทั้งนั้น ! กิเลสอ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานว่าง นิพพานสงบเย็น.. สงบเย็นก็ควายไง ควายมันกินหญ้าเสร็จมันก็นอนแช่น้ำ สงบเย็นของควาย..

ถ้าสงบเย็นของโลกุตตรธรรม.. นี่ไง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด.. แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหน.. นี่เรากราบพระกราบเจ้า กราบที่นั่น คนที่ยังเป็นพื้นฐาน นี่จากกระพี้ จากแก่น จากเปลือกเข้ามามันก็ต้องกราบพระก่อน เราต้องมีพระเห็นไหม ถ้าพูดเป็นวิทยาศาสตร์ก็ว่า โอ๋ย.. กราบทำไมทองเหลือง กราบทำไมปูน อ้าว.. นั่นปูนที่เขาไปก่อสร้างนะ เขาเอาไว้ก่อสร้างบ้านก่อสร้างเรือน

อันนี้ก็ปูนเหมือนกัน แต่เราหล่อเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นตัวแทน มันจะสวยหรือมันจะไม่สวยมันก็อยู่ที่ว่าหัวใจเราสวยหรือไม่สวยต่างหากล่ะ ถ้าหัวใจของเรานะมันเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ มันกราบด้วยความซาบซึ้งหัวใจ คนที่กราบออกมาจากหัวใจ ทำออกมาจากความรู้สึกจากภายในนี่ มันซาบซึ้ง

แต่ทำโดยกิริยา เห็นไหม หลวงตาท่านจะติบ่อยมาก ไอ้ประเภทไม้กวาดไปกวาดแป๊บๆๆ แป๊บๆๆ ท่านบอกว่าอย่างนั้นมันกราบโดยการบังคับ โดยประเพณีวัฒนธรรม มันไม่ได้กราบออกมาจากหัวใจ ถ้ามันกราบออกมาจากหัวใจ รูปเคารพเพราะเรากราบเราไหว้นี่..

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เพราะเราต้องการใจดวงนี้ต่างหากล่ะ ถ้าใจดวงนี้ เห็นไหม นี่ปกครองตน ใครปกครองตนได้คนนั้นประเสริฐที่สุด แล้วถ้าปกครองได้ขนาดไหน มันจะเป็นที่พึ่งอาศัยของโลกนะ นี่โลกจะพึ่งพาอาศัยได้ ถ้าอาศัยได้เพราะอะไร เพราะมันเห็นตนจริง มันทำลายตนได้จริง ทำลายสัจธรรมอันนั้นได้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าทำได้ไม่จริงนี่มันไม่จริงหรอก สิ่งที่ไม่จริงก็คือไม่จริง

ทีนี้ไม่จริง.. ไม่จริงก็คือไม่จริง เป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่จริงนะ ! ไม่จริงนี่มันพูดเพื่อเป็นการสร้างศรัทธา เจริญศรัทธานั้นอันหนึ่ง.. แต่ถ้าบอกว่าอันนี้เป็นแผนที่เครื่องดำเนินไป นี่ผิดแล้ว เพราะแผนที่เครื่องดำเนินนี้ทำให้เราออกห่างไปเรื่อยๆ ออกห่างจากสัจธรรม

สัจธรรมไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย สัจธรรมหากลางหน้าอกเรานี่แหละ นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกธุดงค์ไป เห็นไหม ธรรมะอยู่ที่ไหน.. ธรรมะอยู่ที่ไหน ออกธุดงค์ค้นคว้าไปนี่ค้นคว้าที่ไหนล่ะ ก็ค้นคว้าความรู้สึกเรานี่ล่ะ ค้นคว้ากลางหัวใจนี่ล่ะ สัจธรรมมันอยู่ที่นี่

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

จนปัจจุบันนี้นะ ถ้าใครบรรลุธรรม ใครเข้าถึงธรรมจะซาบซึ้งธรรม.. ซาบซึ้งมาก เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านลงธรรมๆ ลงมาก ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรมนะ แล้วครูบาอาจารย์เราถ้าซาบซึ้ง เหมือนเรานี่ เครื่องหมายของคนดีคือความกตัญญูกตเวที ถ้าความกตัญญูกตเวทีนี่เราได้สิ่งที่มีคุณประโยชน์มาก ดีมาก ซาบซึ้งมาก เราจะซึ้งคุณไหม.. มันซาบซึ้งในหัวใจไหม.. ถ้ามันซาบซึ้งในหัวใจ นี่พฤติกรรมมันจะแสดงออกมาอย่างไร

พฤติกรรมของคนที่ซาบซึ้งในหัวใจ มันจะเคารพ มันจะกตัญญูกตเวที มันซาบซึ้งมาจากหัวใจ ไม่ใช่แสดงออกมาโดยการขัดแย้งโดยมันรับไม่ได้ มันรับสิ่งนี้ไม่ได้แล้วบอกสิ่งนี้เป็นธรรมๆ ธรรมะคือการแสดงออกอย่างนี้เหรอ ?

นี่การปกครองตนนะ.. การปกครองตน ปกครองจากสติปัญญาในการดำรงชีวิต ดูสิ ดูพระ เห็นไหม แจกอาหารตักอาหารนี่ฝึกสติทั้งนั้นล่ะ พลาดก็หก พลาดก็เป็นไป นี่การฝึกสติไม่ใช่ฝึกสติจะนั่งพุทโธ พุทโธนี่ฝึกสติ การเหยียด การคู้ ในชีวิตประจำวัน

หลวงปู่มั่นสอนไว้ในมุตโตทัย การดื่ม การเหยียด การคู้ต้องมีสติ มีสติกับมันนี่แหละ.. ไม่ใช่ว่าการเหยียด การดื่ม การคู้ ไปเอาการเหยียด การดื่ม การคู้นั้นเป็นสตินะ หยิบหนอ รู้หนอ หนอไปหมดเลย แล้วหัวใจมึงอยู่ไหน ! หัวใจมึงอยู่ไหน !

แต่ถ้าปัจจุบันอยู่ที่หัวใจเรานะ นี่เรารู้ตัวตลอดเวลา เราเป็นคนทำนะ เรารักษาใจไง กิริยามันเหยียด มันคู้ นี่เรารู้ตัวตลอดเวลา เห็นไหม มันแตกต่างกัน ผู้รู้สอนกับผู้ไม่รู้สอนนี้แตกต่างกันมาก ! แต่พวกเราก็ยังไม่เข้าใจหรอก ปฏิบัติไปจนจิตมันสัมผัสนะ.. ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ธรรมะมีหนึ่งเดียว ! ธรรมะเหมือนกันหมด วิธีการหลากหลายแตกต่างนั้นแล้วแต่จริตนิสัย แต่ความจริงมีอันเดียว อันเดียวจริงๆ สัจธรรมมีหนึ่งเดียว ! เอวัง