เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราตั้งใจ เรามั่นใจนะว่าเราเป็นชาวพุทธ เวลาชาวพุทธนี่พุทธะ เห็นไหม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.. ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานใครเป็นคนตื่นล่ะ ไอ้นี่มันหลับใหลนะ เราหลับใหลกับความอวิชชา หลับใหลกับความคิดเรานี่แหละ หลับใหลกับจินตนาการ หลับใหลกับความคิด แต่ตัวหัวใจมันไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลย เพราะมันโดนอวิชชาครอบงำมันไว้
เวลาคิด เห็นไหม ทั้งๆ ที่เรา.. นี่เวลาเราศึกษาธรรมะ พุทธพจน์ๆ พูดธรรมะพระพุทธเจ้านี่แหละ แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเราเป็นเรา มันคนละเรื่องกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่ใจของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากปกครองมันอยู่ ควบคุมมันอยู่ พูดธรรมะพระพุทธเจ้านะแต่หัวใจไม่เป็นไป ถ้ามันเป็นไปนะ การกระทำนี่ เห็นไหม ที่เขาแจกสติ๊กเกอร์กัน ศีลธรรม จริยธรรม เป็นสมบัติของมนุษย์
เป็นสมบัติของมนุษย์ ! แต่เราไปเห็นสมบัติ คือข้าวของเงินทองนี่เป็นสมบัติของเรา เราไปเห็นแต่แร่ธาตุมันเป็นทรัพย์สมบัติของเรา เพราะแร่ธาตุเป็นทรัพย์สมบัติ แล้วมันเป็นของเราจริงหรือเปล่าล่ะ มันไม่เป็นสมบัติของเราจริงเลย มันเป็นสมบัติสาธารณะเพราะทุกคนมีสิทธิเท่ากัน ทุกคนมีปัญญาหามาก็เป็นสมบัติของเรา แล้วมันเป็นสมบัติของเราชั่วคราว แต่บุญกุศล บาปอกุศลนั้นต่างหากล่ะมันจะติดไปกับใจ
แล้วนี้บุญกุศล บาปอกุศลที่ติดไปกับใจนี้มันก็เป็นเปลือกนะ เป็นเปลือกเพราะอะไร เพราะว่านี่กรรม เห็นไหม กรรมคือการกระทำ แต่มันแก้ไขได้ไง แต่เวลามันสะอาดบริสุทธิ์มันไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์ที่การกระทำนั้น มันไปสะอาดที่ตัวใจ แต่ตัวใจมันสะอาดได้มันต้องเอาอะไรไปทำให้มันสะอาดล่ะ.. มันก็คือการกระทำของกิริยา การกระทำของใจนั่นล่ะ การกระทำของใจ เห็นไหม นี่คือการกระทำ แต่เวลาสะอาดๆ ที่ไหนล่ะ สะอาดที่เนื้อแท้จากอันนั้น ถ้าเนื้อแท้อันนั้น นี่เวลาพูดธรรมะๆ แต่ธรรมะออกมาจากไหนล่ะ ก็ออกมาจากใจนั้น
ศีลธรรม จริยธรรม เป็นสมบัติของมนุษย์ ถ้าเป็นสมบัติของมนุษย์ หัวใจของเรา เห็นไหม ดูสิ อย่างที่เราว่า เราไม่ตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนะ.. สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเรามาจากไม่มีอะไรเลย เราเกิดมานี่ชีวิตเราเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นชีวิตมันเป็นความรู้สึก มันเกิดมาจากไหนล่ะ
เวลามันเกิดมาแล้วมันถึงเกิดเป็นมนุษย์ มันถึงได้ร่างกายนี้มา ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมมันมีร่างกายไหม มันเป็นกายทิพย์ แล้วสมบัติจากข้างนอก เห็นไหม มันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้นแหละ นี้ของชั่วคราว เพียงแต่ว่าเป็นหน้าที่
ถ้าคนเป็นสุภาพบุรุษ คนมีความซื่อตรง สิ่งใดเราทำตามหน้าที่ ทำตามข้อเท็จจริง แล้วทำตามข้อเท็จจริงนั้นถ้ามันบิดเบี้ยวไป เห็นไหม นี่ศีลธรรม.. มันปิดศีลปิดธรรม ! มันผิดศีลผิดธรรมที่ความนึกคิด การกระทำอันนั้น มันไม่ได้อยู่ที่วัตถุแร่ธาตุหรอก..
โจรมันปล้นมา โจรมันปล้นแบงก์มาก็คือแบงก์นะ เราไปหาเงินหาทองมาเป็นแบงก์ก็คือแบงก์เหมือนกันนะ แต่เราได้มาแบบสุจริต ไอ้โจรปล้นมามันได้มาแบบทุจริต นี่สิ่งที่ได้มามันได้มาอย่างทุจริต
นี่ก็เหมือนกัน ศีลธรรม จริยธรรม.. ศีลธรรมมันทำให้ถูกต้องสุจริต มันเป็นความสุจริตชอบธรรม มันเป็นเกราะคุ้มครองเรานะ ความสุจริต ความเที่ยงธรรม ความจริง ยุติธรรมๆ นี่แสวงหาความเป็นธรรม ขอความเป็นธรรมๆ แล้วมันเป็นธรรมจริงหรือเปล่าล่ะ..
ถ้ามันเป็นความเป็นธรรมจริง เห็นไหม ความเป็นธรรมจริง จริงสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันคิดถึงความเป็นธรรมตลอดไปไม่ได้หรอก เพราะหัวใจมันดิ้นรน มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันคิดนี่มันอยากเอารัดเอาเปรียบ มันอยากลัดขั้นลัดตอน มันอยากจะทำอะไรสะดวกสบายของมัน
นี่ความคิดของกิเลส แล้วพอลัดขั้นลัดตอนขึ้นมานี่มักง่ายจะได้ยาก แต่มักยาก เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ทำจริงทำจังของท่าน ความทำจริงทำจังนี่มันยากไหม เดินจงกรมนี่เหงื่อไหลไคลย้อยนะ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย แต่ความทุกข์อันนั้นทุกข์เอาแก้ทุกข์ไง แต่เรามีความสุขนะ
นี่มันมีความจำเป็นใช่ไหม คนเราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัยเราต้องหาปัจจัยนั้น.. ถ้าหาปัจจัยนั้น เห็นไหม หาปัจจัยนั้นด้วยอะไร ด้วยตัณหาความทะยานอยากหรือด้วยความเป็นจริง
ถ้าเราหามาด้วยสิ่งที่มันคิดขึ้นมา นี่สิ่งนี้มันก็เป็นทุกข์ไหมล่ะ พอมันเป็นทุกข์ขึ้นมาเราก็จะลัดขั้นตอนมัน สิ่งใดที่หามาด้วยความสะดวกง่ายดาย นี่มันลัดขั้นตอนไป แล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ.. นี่มักง่ายมันจะได้ยาก แล้วเดินจงกรมมันทุกข์ยากไหมล่ะ มันก็ทุกข์ยาก
ทุกข์อันหนึ่งมันจะแก้ไขทุกข์.. ทุกข์อันหนึ่ง เห็นไหม เหมือนผัดวันประกันพรุ่ง ความสะดวกสบาย นี่เวลาแล้วก็แล้วกันไป สะดวกสบายก็กันไป แล้วมันจบไหมล่ะ แต่ถ้ามันไม่แล้วสิมันต้องแก้ไขให้ได้สิ มันเผชิญหน้ากับมันสิ.. เป็นความทุกข์ไหม เป็นความทุกข์ การประพฤติปฏิบัติมันถึงยากกว่าโลกไง
ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยนะ บอกว่า การทำงานที่ว่าเราทุกข์ๆ นี่ เรานั่งภาวนา นั่งเฉยๆ นี่ทุกข์กว่าเยอะเลย เพราะมันต้องบังคับตัวเองให้ได้ เอาตัวเองให้อยู่ให้ได้ ถ้ามันอยู่ไม่ได้.. นี่การนั่ง ! การนั่งถ้ามันเป็นคุณประโยชน์นะ พระพุทธรูป เห็นไหมไม่ขยับเลย ตั้งแต่หล่อมานั่งไปจนกว่ามันจะสึกกร่อนไปแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ เพราะมันไม่มีหัวใจที่ดิ้นรน.. เวลาเรานั่งขึ้นมานี่ ใช่ ! กิริยาเรานั่งอยู่เฉยๆ แต่การนั่งนี้เรานั่งเพื่อเอาใจของเรา เรานั่งเพื่อเอาความรู้สึก
เราเดินจงกรมทุกข์ยากขึ้นมาก็เพื่อจะเอาความรู้สึกนี้ไว้ในอำนาจของเรา ความรู้สึกในหัวใจที่มันดิ้นรนอยู่นี้ เห็นไหม นั่นเป็นความทุกข์อันหนึ่ง ทีนี้เราบอกว่า อ้าว.. ก็เราทำงานมาแล้วเราก็ทุกข์อยู่แล้ว ทำไมเราต้องมาทุกข์อีก ซ้ำเราอีกชั้นหนึ่งล่ะ ไอ้ทุกข์อันนั้นมันเป็นทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์ประจำหน้าที่ ทุกคนเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย มันต้องพยายามแสวงหามาเพื่อปากเพื่อท้อง แต่ทุกข์อันหนึ่งทุกข์เพื่อจะถอดถอน จะละ จะแก้ จะไข มันทุกข์อย่างนี้มันมีความพอใจ มีความตั้งใจ มีความชอบธรรม ชอบธรรมเพราะใคร
เวลาเราทำสิ่งใดขึ้นมา เราต้องมีเขามีเราเราถึงจะได้ประโยชน์ขึ้นมา ธุรกิจมันต้องมีการซื้อการขาย มันต้องมีการแลกเปลี่ยนกันมา.. นี่ก็เหมือนกัน เราทุกข์เพื่อทุกข์ แลกเปลี่ยนกับใครล่ะ ก็แลกเปลี่ยนกับตัวเอง แลกเปลี่ยนกับกิเลส แลกเปลี่ยนกับความไม่พอใจ นั่งๆ อยู่บอกเลิกดีกว่า แลกเปลี่ยนกับเลิกดีกว่า แลกเปลี่ยนกับกิเลสที่มันไม่ยอม เห็นไหม เราแลกเปลี่ยนกับใครล่ะ นี่เอาชนะตนเองไง มันต้องเอาชนะตัวเราให้ได้
การประพฤติปฏิบัตินี่ศีลธรรม จริยธรรม มันอยู่ที่นี่ ถ้ามันสะอาดเข้ามาที่นี่ มันแก้ไขที่นี่ ถ้ามันแก้ไขที่นี่ การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา การกระทำของเรามันก็อยู่กับโลกนี้แหละ เห็นไหม คนๆ หนึ่ง.. หลวงตาพูดบ่อยในทีวี จิตใจที่เอาชนะกัน คนเราจะเอาชนะกัน คนๆ หนึ่งได้ชนะกิเลสตัณหาความทะยานอยากสุดยอดที่สุด แต่อีกคนๆ หนึ่งแพ้ตัวเองตลอด เป็นผู้แพ้ตลอดไป
คนที่ชนะที่ประเสริฐที่สุด คือชนะใจของตัวเอง ถ้าชนะใจของตัวเอง เราเอาตัวเอง เอาความคิด เอาการกระทำ เอาความรู้สึกทั้งหมดไว้ในอำนาจของเรา เห็นไหม นี่ผู้ที่ประเสริฐ !
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกลับมาที่นี่ สอนกลับมาให้ทุกคนให้ชนะใจตัวเอง แล้วเขาก็ว่า นี่แล้วทำไมไม่ดูใจตัวเองล่ะเที่ยวไปว่าคนอื่น.. ก็มันดูใจตัวเอง เพราะดูใจตัวเอง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ปัญจวัคคีย์ทิ้งมานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอปัญจวัคคีย์ทิ้งไปแล้วนี่คิดถึงโคนต้นหว้า แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนอาสวักขยญาณทำลายกิเลสไปทั้งหมด นี่ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์เห็นไหม
ถ้าไม่มีกิจจญาณ ไม่มีสัจจญาณ เราจะไม่มีปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระอรหันต์เลย บัดนี้มันมีกิจจญาณ สัจจญาณ มีสัจจะความจริงในหัวใจ การกระทำ กิริยาในหัวใจที่มันมีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา
นี่ไงไม่ดูใจตัวเองล่ะ ทำไมดูแต่ใจคนอื่นล่ะ ถ้าดูใจตัวเองแล้วเห็นกิจจญาณ การกระทำของจิต จิตนี้มีการพลิกแพลง มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว.. ถ้ามันเปลี่ยนแปลงแล้วจนมันจะสิ้นสุดขบวนการของมันแล้ว.. นี่ไง ทำไมไม่ดูใจตัวเอง ก็มันดูแล้ว ! ดูแล้วจนเห็นการกระทำของจิตนี้แล้ว แล้วจิตนี้มีการกระทำอย่างไรแล้ว ถึงเอาการกระทำอย่างนี้มาบอกปัญจวัคคีย์
เธอจงเงี่ยหูลงฟัง ! เธอจงเงี่ยหูลงฟัง !
ทำไมไม่ดูใจตัวเองล่ะ ก็มันดูจบแล้ว ! มันดูจนเข้าใจ ถ้ามันไม่ดูใจของตัวเอง มันไม่มีกิจจญาณ ไม่มีกิจในหัวใจ ไม่มีการกระทำนี่มันจะไม่รู้หรอกสมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเกิดอย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจากใจนี่เกิดอย่างไร มันมีการกระทำอย่างไร ถ้าไม่ดูใจของตัวเองนี่เอาอะไรมาพูด เอามาพูดก็พูดแต่เรื่องเล่านิทานพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น มันก็มีเขามีเรา เห็นไหม มันเป็นธุรกิจไง บอกแต่ข่าวคนอื่น บอกแต่การกระทำของคนอื่นนะ
ไปเห็นมาแผ่นดินไหวพังทั้งเมืองนี่ไปเห็นเขามา แต่ถ้าเราเป็นคนอยู่ในเหตุการณ์นั้น เราอยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหว เราได้เจอกับเหตุการณ์สิ่งนั้น แล้วตึกมันล้มทับเรา มันมีการเกิดมานี่มันสยดสยองแค่ไหน
นี่ก็เหมือนกัน กิจจญาณในหัวใจที่มันเกิดขึ้นมันกระเทือนภพ กระเทือนสถานที่อยู่ของกิเลส กระเทือนหัวใจ หัวใจนี่หวั่นไหวหมดเลย มันทำลาย ! มันทำลายกิเลสอวิชชาทั้งหมด แล้วทำไมมันจะพูดไม่ได้.. นี่สิ่งที่พูดออกมา สิ่งที่ว่าทำไมไม่ดูใจตัวเองล่ะ ทำไมจะไปยุ่งแต่เรื่องคนอื่นล่ะ
สัจธรรมนะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านแสดงธรรม สิ่งนี้นะมันเสียงเหมือนกัน พูดเหมือนกัน คำเดียวกัน แต่อันหนึ่งมันมีข้อเท็จจริงรองรับ ความที่ข้อเท็จจริงรองรับ อันนั้นพูดออกมาด้วยความเป็นจริง อันหนึ่งพูดออกมาไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ พูดออกไปเฉยๆ แล้วลองให้ถามกลับมาสิ ตอบไม่ได้หรอก ! ตอบไม่ได้หรอก ยิ่งพูดยิ่งวัวพันหลัก ยิ่งพูดยิ่งงงนะ อ้าว.. ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ.. คนพูดไม่เข้าใจ ก็เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหว เราฟังเขาเล่าว่า แล้วพอฟังเขาเล่าว่านี่เราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วมันสยดสยองแค่ไหน แล้วก็สยดสยอง นี่มันไม่มีมรรคญาณ ไม่มีกิจจญาณ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่าในธรรมจักร ถ้าไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณ วงรอบของการกระทำของจิต เราไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์เลย แต่เพราะมันมีวงรอบการกระทำของจิตอันนี้แล้ว เราถึงปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์ แล้ววงรอบนี้มันเกิดมาจากไหน วงรอบอันนี้มันจะเกิดมา ถ้าไม่มีวงรอบอันนี้มันจะเอาอะไรมาพูดแล้วมันจะรู้ได้อย่างไร ถ้ารู้ได้อย่างไร
นี่ไง เวลาบอกว่าไม่ดูใจตัวเอง.. เพราะมันดูใจตัวเองแล้วมันถึงมีข้อเท็จจริง แล้วสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงอันนั้นมันขัดแย้งกันกับสัจธรรม ถึงเอาสัจธรรมนี้มาวางไว้ไง.. วางไว้ เห็นไหม สิ่งต่างๆ นี่ร่มโพธิ์ร่มไทร สิ่งต่างๆ ที่เป็นที่อาศัยของหัวใจ ถ้าหัวใจของเราทำเป็นที่อาศัยได้แล้วมันจะเป็นที่อาศัย
นี้พูดถึงศีลธรรม จริยธรรม ถ้ามันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์แล้วไม่ต้องไปวิตกกังวล ไม่ต้องไปเสียใจกับสิ่งใดๆ เลย เพราะสิ่งใดๆ แล้วนี่มันเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม หลวงตาบอกว่า ถังขยะ มันเป็นของเศษทิ้ง มันเป็นเรื่องของเศษเดน ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับใครเลย
แต่ถ้าคนมีปัญญาขึ้นมาแล้วถึงเอามาใช้ กระดาษนะ ดูสิ ถ้าลดค่าเงินบาท ประกาศเลิกใช้ค่าเงินบาท กระดาษนะอยู่ในบ้านของเรานี่เต็มตู้เต็มไหจะไม่มีค่าทันทีเลย แต่พอบอกว่านี่เป็นแบงก์ เป็นสิ่งที่ใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย มีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันเห็นคุณธรรม นี่โลกกับธรรม.. ธรรมที่เหนือโลก เรื่องของโลกเป็นสสารเป็นวัตถุ มันไม่มีค่ากับหัวใจอันนั้นเลย แล้วมันจะมีอะไรที่ไปเหยียบย่ำหัวใจอันนั้นล่ะ นี้ถ้าหัวใจนั้นบอกว่าสิ่งนั้นมีคุณค่ามันก็แย่งชิงกัน นี่ไง.. มันยังแย่งชิงกัน มันสิ่งใดๆ มันแย่งชิง นี่โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ สรรเสริญนินทา.. ต้องการให้คนสรรเสริญอย่างเดียว ต้องการให้คนยกย่องอย่างเดียว ต้องการสิ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างเดียว แล้วมันประสบความสำเร็จจริงหรือไม่จริงล่ะ
ถ้ามันประสบความสำเร็จจริง มันเป็นเรื่องของโลก เป็นศีลธรรม จริยธรรม มันเป็นความจริง นี่มันจะเป็นประโยชน์กับเรา.. นี่พูดถึงธรรมจากข้างนอกนะ โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน ไม่ตื่นเต้น ไม่ตกใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทำให้มันเป็นศีลธรรม จริยธรรม ให้มันถูกต้องชอบธรรม ถ้าเป็นความชอบธรรมจากข้างนอกนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกว่าท่านไปโลกธาตุหวั่นไหวที่วันดอยธรรมเจดีย์นะ เราจะสอนใครได้อย่างไร ! จะสอนใครได้อย่างไร
เพราะว่ามันเหมือนกับสุดวิสัย เพราะว่าการกระทำ คนผ่านวิกฤติมามันจะรู้ว่าการกระทำเวลามรรคญาณมันเกิดแต่ละชั้นแต่ละตอนมันทุกข์ยาก มันลำบากขนาดไหน.. มันลำบากขนาดไหน มันเป็นข้อเท็จจริงมาขนาดไหน แล้วคนอื่นจะทำได้อย่างนี้ นี่มันท้อใจนะ แต่สุดท้ายท่านก็บอกว่าแล้วเรามาได้อย่างไรล่ะ ก็เรามาเพราะหลวงปู่มั่นชี้นำมาใช่ไหม มันมีข้อวัตรปฏิบัติใช่ไหม
หลวงปู่มั่นพอวางไว้ เห็นไหม นี่วัตรปฏิบัติ เก็บเล็กผสมน้อยเพื่อจะให้จิตใจมันมั่นคงแข็งแรงขึ้นมา เราเก็บเล็กผสมน้อยขึ้นมาจนมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา แล้วเราผ่านมาได้อย่างไร ก็เราผ่านมาจากข้อวัตรปฏิบัติไง นี่ถึงได้บอกว่า อ้อ.. อย่างนั้นก็ทำได้ เพราะมันมีข้อวัตรปฏิบัติ มันมีหนทาง มันมีสิ่งใดที่จะพัฒนาหัวใจนี้ขึ้นมา ให้มันมีวุฒิภาวะก้าวขึ้นมาได้
ก้าวขึ้นมาได้ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติก็สมมุติทั้งนั้นแหละ ในการข้อวัตรปฏิบัติของพระ นี่ธรรมเพื่อสร้างสติ เพื่อฝึกสติ เพื่อมีความสงบเสงี่ยมในหัวใจ ให้จิตใจมันอ่อนน้อม จิตใจมันควรแก่การงาน มันก็พัฒนาขึ้นมา จนมันพัฒนาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป นี่ไงมันมาได้
คนจริงรู้ คนรู้ เขาจะชักนำขึ้นมาได้ เขาจะจูงเราขึ้นมาได้ คนไม่จริง คนไม่รู้นี่มันจะชักนำขึ้นมาไม่ได้.. ข้อวัตรคือข้อวัตรไง กฎหมายก็เอาไว้ไถเงินไง กฎหมายก็เอาไว้ไปรีดไถหาผลประโยชน์ไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ากฎหมายมันเป็นกฎหมายเพื่อสังคม นี่มันเป็นจริงของมัน มันเป็นธรรม เห็นไหม มันมาได้ ! มันมาได้ต่อเมื่อมันมีหนทาง แล้วหนทางอันนี้จะทำกันอย่างไร จะไปอย่างไร นี่ถึงบอกว่าถ้าเป็นจริงขึ้นมานะ.. ไม่ใช่ว่าทำไมไม่ดูใจตัวเองล่ะเที่ยวไปดูใจคนอื่น ใจตัวเองดูแล้ว เพราะดูแล้วถึงมีเทคนิค มีข้อเท็จจริง มีข้อวัตรปฏิบัติ จะชักนำกันขึ้นมา ! ถ้ามันไม่มีจริงนี่ตัวเองก็พาล พอตัวเองพาลแล้วก็จะไปพาลคนอื่น เพราะคนพาลมันไม่มีข้อเท็จจริง คนพาลไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับใครเลย
อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา.. คนพาลอย่าคบ ให้คบบัณฑิต
ความคิดที่เป็นพาลก็มี ความคิดที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐก็มี ถ้าคบนี่จิตใจมันคบกับความคิด เวลามนุษย์นี่คบเป็นเพื่อนจากข้างนอก แต่หัวใจเรามันมีความคิดครอบงำตลอดเวลา แล้วเราจะเอาธรรมหรือเอาโลกครอบงำมัน เราแก้ไขมันด้วยข้อวัตรปฏิบัติ ด้วยการฝืนมันเพื่อประโยชน์กับเรานะ
นี่พูดถึงศีลธรรม จริยธรรม จะเป็นสมบัติของมนุษย์ เอวัง