เทศน์ก่อนเวียนเทียนในวันมาฆบูชา
วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม(วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันมาฆบูชามีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้เอง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนานี้มันสำคัญทุกวัน เวลาวันพระ วันโกน มันเป็นวันสำคัญอยู่แล้ว อย่างวันวิสาขบูชาเห็นไหมทั่วโลกเขาทำกัน วันอาสาฬหบูชา วันมาฆบูชา มันเป็นผู้นำไง สมัยร.๔ ท่านบวชเรียนมานาน ถ้าสิ่งใดเป็นประโยชน์ท่านถึงวางรากเหง้าไว้ให้เป็นวัฒนธรรมประเพณี ให้เราได้มีกิจกรรมเห็นไหม
เราเป็นชาวพุทธในพุทธศาสนา เรานับถือพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนาจะสอนอะไร ตอนนี้เขาเริ่มมาฟื้นฟูใหม่นะ แต่ก่อนหน้านั้น เด็กมันยังไม่รู้ว่าศีล ๕ คืออะไรเลย ไม่รู้จักสิ่งใดแล้วว่าเป็นชาวพุทธ มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เรามีศาสนาโดยทะเบียนบ้านเท่านั้น มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเห็นไหม ทีนี้เป็นแก่นเป็นสารขึ้นมา ผู้นำที่ดีเห็นไหม เขาถึงว่าวางรากเหง้าไว้ให้พวกเรา ให้พวกประชาชนได้มีที่พึ่งอาศัย ใจถ้ามีที่พึ่งอาศัยนะ
หลักของศาสนาเห็นไหม ถ้าเรามีหลักของศาสนาเรามีที่พึ่งนะ ใจของเรานะ เรามีพ่อมีแม่ เรามีปู่ ย่า ตา ยาย สังคมมีความอบอุ่น เรามีความสุขไหม แต่เวลาเราอยู่ของเราคนเดียวเราไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลย เราว้าเหว่นะ ถ้ามีเพื่อนมีพ่อมีแม่มีชาติตระกูลของเราเป็นที่อบอุ่น ชีวิตเราก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข นี่มันเป็นเรื่องของโลก โลกใช่ไหม แต่เรื่องของศาสนาเป็นศาสนาประจำใจ
ถ้าใจมีศาสนาเห็นไหม มันจะมีที่พึ่ง เราเป็นชาวพุทธนะ ที่พึ่งของเราคืออะไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกเป็นรัตนตรัยของเรา ถ้านี่เป็นรัตนตรัยของเรา พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร พระพุทธเจ้าบอกว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แล้วทำดีแล้วทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้ ความทุกข์ยากของเราเห็นไหม การทำคุณงามความดีก็ทำเพื่อเรา ถ้าทำเพื่อเราเห็นไหม ความดีของเราว่าเราเป็นคนรู้คนเดียว ความคิดทำความชั่วของเรา เราก็รู้ของเราอยู่คนเดียว
เห็นไหม บุญกุศลไม่มีที่ลับที่แจ้ง เราทำของเราเห็นไหม เราอบอุ่นไหม เห็นไหม ผู้ใดมีธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง เห็นไหม เรามีศีล ๕ เราเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนใครเลย เราเป็นคนไม่หยิบฉวยของๆ ใครเลย เราเป็นคนที่ไม่ยุ่งกับคู่ครองของใครเลย เห็นไหม เราเป็นคนที่ไม่กล่าวคำเท็จเลย เราเป็นคนที่ไม่เสพของมึนเมาเลย นี่ไง มันคุ้มครองเราหมดนะ สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคสัมปทา ศีลทำให้มีความสันติ ทำให้มีความสุขเห็นไหม เกิดโภคทรัพย์ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ที่เราหาอยู่หากินไม่พอปากพอท้องเพราะเราหาได้เท่าไหร่เราใช้มากเกินกว่านั้นไง
สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าเรากระเหม็ดกระแหม่ เราพอใช้นะ ประหยัด มัธยัสถ์ ทำให้ชีวิตเรามีความสุขสบายไปข้างหน้าเห็นไหม นี่ไง ถ้าเรารักษาศีล ศีลก็จะคุ้มครองเรา และถ้าเราเป็นคนดีความดีก็คุ้มครองเรา สิ่งที่คุ้มครองเราเห็นไหม เราเป็นคนดี เราทำคุณงามความดี คุณงามความดีมันจะคุ้มครองเรา ถ้าคุ้มครองเราเห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง ยิ่งที่ปฏิบัติธรรมขึ้นไปมากขนาดไหนนะ จิตมีหลักมีเกณฑ์มันจะคุ้มครองเรา มันจะมั่นใจมากเลย
ดูสิ เวลาทางโลกเขาเห็นไหม ถ้าเขามีความมั่นใจของเขา เขาทำอะไรได้ประสบความสำเร็จทั้งนั้นนะ เพราะเขามีความมั่นใจของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธไง เราชาวพุทธมีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง เห็นไหม หัวใจเราก็มีที่พึ่ง ถ้าหัวใจเรามีที่พึ่ง จิตใจเราลงธรรมะ ลงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรานอบน้อม เราอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าเราอ่อนน้อมถ่อมตนนะ เราอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อเรานะ เพราะเราอ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมาเราถึงมีจุดยืนของเราจะมีที่พึ่งของเรา
แล้วถ้าไม่มีศาสนาจะอ่อนน้อมถ่อมตนกับใครล่ะ ฉะนั้น ถ้าจิตมันกระด้างมันก็กระด้างมากเลย ถ้าจิตมันนุ่มนวล จิตที่มันสมควรแก่การงาน มันสมควรเห็นไหม ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเราเห็นไหม วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราจะอ่อนน้อมกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวเราจะเวียนเทียนกันเห็นไหม เวียนเทียนเพื่อระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รอบแรกก็พูดถึง พุทโธ พุทโธ รอบสองก็ ธัมโม ธัมโม รอบสาม สังโฆ สังโฆ สังโฆเพราะอะไร เพราะจิตใจเรานอบน้อม เราคิดเคารพบูชา เคารพบูชาเพราะอะไร เพราะมีศีลธรรมทำให้มันตกผลึกเป็นสังคม ในสังคมเรานี้เราให้อภัยกัน สังคมให้เสียสละต่อกัน ให้คุ้มครองดูแลกัน ให้เจือจานกัน สิ่งนี้มันมาจากพระพุทธศาสนา ตัวศาสนาทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขสมานสามัคคีกัน
สิ่งต่างๆ นี้ถ้าเราเกิดในสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข เราเกิดมาในบุญกุศลอย่างนี้ เราเกิดขึ้นมาเพราะมีศาสนาเป็นที่พึ่งของเรา แล้วเราจะเคารพบูชาไหม เราเห็นคุณไหม ดูสิโบราณนะ พอถึงเวลาของเขานะพระแม่คงคาเห็นไหม เขาลอยกระทงกันนะ เขาระลึกถึงคุณ เดี๋ยวนี้สภาวะแวดล้อมเขาต้องให้ทุกคนเห็นคุณค่าของมัน เห็นคุณค่าของมันแล้วเริ่มต้นกันที่ไหน ศาสนาเขาสอนไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว เขาบอกว่าอะไรมีคุณค่ากับเรา สิ่งนั้นมีคุณค่ากับเรา สิ่งนี้ไม่มีคุณค่ากับเราแล้วเราจะรักษาอย่างไร
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อพระพุทธศาสนาให้คุณค่ากับชีวิต ให้คุณค่ากับพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา และก็รวมถึงชีวิตของเรา ชีวิตลูกหลานของเรา สิ่งต่างๆ มันเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม แล้วมันมีคุณกับเราไหม ถ้ามีคุณกับเรา เราจะเคารพบูชาไหม ถ้าเราบูชา เราจะเวียนเทียน สิ่งที่เราเกิดมาในสังคมอย่างนี้ เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนาอย่างนี้มันเป็นบุญคุณกับเราไหม ถ้าเป็นบุญคุณกับเราเห็นไหม เราเกิดมาร่มเย็นเป็นสุข
ดูสิ เราตกทุกข์ได้ยากแล้วมีคนเจือจานเรา เรายังนึกถึงบุญคุณเขาเลย แต่นี้เรามาเกิดในร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนา เราเกิดในร่มโพธิ์ร่มไทรและสังคมให้ความร่มเย็นเป็นสุขอย่างนี้เลย แล้วเราจะเป็นคนดื้อด้าน เป็นคนที่ไม่เห็นคุณคน ไม่รู้จักกตัญญูกตเวทีแก่พระพุทธศาสนาเลยหรือ ถ้าเราจะกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนาเห็นไหม วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เราถึงเสียสละของเรามา
ถ้าจิตใจมันอ่อนน้อม จิตใจมันถ่อมตน มันจะทำเพื่อประโยชน์ มันเคารพบูชาด้วยหัวใจนะ ทำด้วยความซาบซึ้ง ดูสิ เวลาคนเขาทำบุญ ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นไหม พอเวลาเขาจะตักบาตร เขาอธิษฐานของเขา เขาจบใส่หัวของเขา เขาได้บูชาของเขา เขาใส่ด้วยความซาบซึ้งของเขา ข้าวทัพพีเดียว ข้าวทัพพีเดียวเห็นไหม ดูสิ ทุคตะเข็ญใจเคยตักข้าวทัพพีหนึ่งแล้วอยากจะบวช อยากจะเรียน แต่ไม่มีทุนทรัพย์ไม่มีใครสนใจเลย ทุกข์ยากมาก ไปหาใคร ใครก็ไม่ยอมให้บวชให้เรียน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนาคตังสญาณรู้แล้วว่าเขาจะมีประโยชน์ไง ก็ถามว่าทุคตะเข็ญใจคนนี้เคยมีบุญคุณกับใครบ้าง พระสารีบุตรยกมือเลย บอกว่าทุคตะเข็ญใจคนนี้มีบุญคุณสิ่งใดกับเธอ เคยตักบาตรข้าพเจ้า เคยใส่บาตรข้าพเจ้าทัพพีหนึ่งครับ
เคยใส่บาตรทัพพีหนึ่ง ใส่บาตรของพระสารีบุตร พระสารีบุตรรู้คุณเขานะ รู้คุณของเขานะ เออ สารีบุตรถ้าเขามีคุณต่อเธอ เธอบวชเขา เห็นไหม เอาเขามาบวชเห็นไหม บวชให้ทุกอย่างทำให้หมดเลย แล้วก็สอนมาตลอดเห็นไหม พอสอนก็พัฒนาตนขึ้นมาเรื่อยๆ พระพุทธเจ้ายังถามเลย สารีบุตรลูกศิษย์ของเธอเป็นอย่างไร
โอ๊ย สอนง่าย โอ๊ย เป็นคนดี โอ๊ย ปฏิบัติสุดยอด ถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ เห็นไหม จากข้าวทัพพีเดียว
ผู้เฒ่าผู้แก่ของเราใส่บาตรเพื่ออะไร เพื่อเป็นบุญกุศล เพื่อเสียสละทาน ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ภิกษุเป็นผู้ขอ ขออะไร ขอสิ่งที่เป็นชีวิตกับเรา เราใส่บาตรเป็น ปัจจัย ๔ เราเสียสละปัจจัย ๔ เพื่อให้ท่านดำรงชีวิต ข้าวทัพพีหนึ่งนะ ดูสิท่านอดอาหารมาหรือเปล่า ท่านเร่งความเพียรมาหรือเปล่า ร่างกายของท่านขาดอาหารหรือเปล่า
แม้แต่ข้าวเปล่า ทัพพีเดียวนี้ก็จะไปดำรงชีวิตของท่าน เพื่อให้เลือดของท่าน ให้ส่วนต่างๆ ของท่านมันมีพลังงานขึ้นมาเห็นไหม นี่ไง มันมีคุณประโยชน์ขนาดนั้น อย่างนี้เห็นไหมเขาถึงน้อมใส่ เขาถึงอธิษฐาน มันทำด้วยหัวใจเห็นไหม เพราะเราอ่อนน้อมถ่อมตน ใจลงศาสนา ทำอะไรจะเป็นประโยชน์ไปหมดเลย ใจแข็งกระด้าง ใจนี้สักแต่ว่าทำ โหย.. จะกราบพระ กราบทำไม พ่อแม่กราบพระทำไม โหย.. พ่อแม่นี่ไม่มีปัญญาเลย พระพุทธรูปมันก็เป็นแค่ อิฐ หิน ดิน ทราย ปูน ไปกราบอิฐ กราบหิน กราบทราย กราบปูน โหย พวกนี้เป็นคนที่ไม่มีการศึกษา พวกนี้เป็นพวกที่ไม่มีวุฒิภาวะ เราเป็นคนนักวิทยาศาสตร์เป็นคนรุ่นใหม่ เราจะไม่กราบหรอก โหย ทองเหลืองเหรอ โหย มันเป็นปูน หิน ทราย
นี่ไงคนรุ่นใหม่มีปัญญา ทำบุญหรือ ทำบุญเราก็ทำบุญของเรา ทำบุญเป็นประเพณี เห็นเขาทำเราก็ทำตามเขา เราเป็นชาวพุทธ เราไม่ทำก็เก้อๆเขินๆ เขาใส่บาตรก็ใส่บาตรไปกับเขา หัวใจมันกระด้างเห็นไหม นี่ไงคำว่ามีปัญญา ปัญญาของใคร เขากราบกันนะหลวงตาพูดบ่อย กราบพระถึงพระไหม กราบพระนี้ถึงพระไหม จะกราบพระพุทธรูปหรือจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันเป็นแร่ธาตุ เป็นวัตถุ แต่เราเป็นรูปเคารพ เราหล่อขึ้นมาเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเรากราบเราไหว้ เราก็กราบไหว้ถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เรากราบไหว้ถึงเนื้อหาสาระ เรากราบถึงพระไง
แล้วพอเราภาวนาไปนะ ถ้าเรามีความมั่นคงของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าจิตใจมันรวมเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา จิตใจร่มเย็นเป็นสุข โอ้โฮ เราจะซึ้งมากเลย แล้วถ้าเกิดมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม หลวงตาท่านพูด พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งที่ใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไมรวมเป็นหนึ่งมาได้ยังไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เกิดขึ้นมาได้ยังไง พระพุทธเจ้าสอนไว้นะ ในวัฏฏะก็เหมือนมดแดงไต่ขอบกระด้ง วัฏวนจิตมันเวียนตายเวียนเกิด ตามวัฏวนไปอย่างนั้นนะ แต่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับเข้ามาเลย ทวนกระแสกลับเข้ามานะ พูดถึงจิตใจ พูดถึงความเป็นไปข้างใน ให้หัวใจมันย้อนกลับเข้ามา
นี่ไง เวลาย้อนกลับเข้ามาทวนกระแสกลับเข้ามา พอกลับเข้ามาเรามีคุณค่านะ จิตใจมันลงธรรมะ ลงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอมรับความเป็นจริงเห็นไหม จิตใจที่มีคุณงามความดี จิตใจที่ดีงาม ไม่ใช่จิตใจที่แข็งกระด้าง จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่อ่อนโยน จิตใจที่เป็นประโยชน์กับเรา แล้วเรามีที่พึ่งที่อาศัย จิตใจเรามีที่เกาะที่พึ่งอาศัย จิตใจเราไม่ว้าเหว่ เรามีความสุขนะ เรามีความสุขมีที่พึ่งพอสมควร ที่จะอยู่ได้เห็นไหม
คุณค่าอย่างนี้มาจากไหน มาจากศาสดาของเรา มาจากครูเอกของเรา มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นถึงคุณประโยชน์ ถึงได้วางธรรมและวินัยไว้ เราเกิดในพุทธศาสนา วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนานะ เราจะเวียนเทียนกัน เราจะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยของหอม ด้วยธูปด้วยเทียนด้วยดอกไม้ เราจะบูชาด้วยสรีระของเรา เราจะใส่มือเรา เราจะนบในเศียรเรา แล้วเดินบูชาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะการยืนก็เป็นการเคารพอันหนึ่ง การเวียนเทียน การเวียน ๓ รอบ ก็เป็นการเคารพอันหนึ่ง เป็นกิริยาเคารพที่สมัยโบราณเขาถือกันมา ฉะนั้นในปัจจุบันนี้เราก็ทำ ไม่ใช่ว่าเหมือนกราบพระพุทธรูป มันเป็นวัตถุกราบทำไม อันนี้ก็เดินทำไมเดินอยู่ที่บ้านก็ได้ ถ้าจริงๆ ก็ได้นะ จริงๆ ถ้าใจมันเป็นจริงขึ้นมา นี่มันเป็นกิริยาทั้งนั้นนะ กิริยาอย่างนี้ก็เพื่อย้อนกลับมาที่ใจ
ดูสิ ดอกไม้เห็นไหม ดอกไม้มันหลากหลาย พอเขามีเชือกเขามีเส้นด้าย เขาเอามาร้อยเป็นพวงมาลัย โอ้ มันสวยงามนะ นี่ก็เหมือนกันสังคม สังคมของมนุษย์ สังคมต่างๆมันก็ต้องมีวัฒนธรรมประเพณีเพื่อจะร้อยรัดไว้ ให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้าจิตใจเราสูงกว่า จิตใจเราเห็นว่าสิ่งนี้เราทำมาพอแรงแล้ว แต่ถ้าเราจะทำเพื่อเขา เพื่อจะฝึกเด็กใหม่ขึ้นมา เพื่อฝึกสังคมขึ้นมา เราก็ทำของเราด้วยความชื่นใจ แต่ถ้าผู้ที่ทำไม่ได้เห็นไหม หรือว่าไม่มีแรงปรารถนา ก็ให้นั่งอยู่เฉยๆ เดี๋ยวจะพาทำวัตร แล้วจะพาเวียนเทียน จะบอกว่าใครจะเวียนก็ได้ ใครไม่เวียนก็ได้ นั่งเฉยๆ เอาหัวใจเวียนไปกับเขา แล้วใครจะเวียนเทียนลุกขึ้นเวียนเทียนนะ เอวัง