เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โลกความจริง มารยาทสังคมโลกเราต้องเห็นใจกัน ความเห็นใจกัน เห็นไหม ต้องเอาอกเอาใจกัน เอาอกเอาใจกันมันก็สภาวะอย่างนั้น แต่นั่นน่ะถ้าเอาความเป็นจริงขึ้นมา พูดความเป็นจริงมันสะเทือนใจทั้งนั้น เวลาอยู่ครูบาอาจารย์นะ เวลาสะเทือนใจมันขนพองสยองเกล้า มันสะเทือนกิเลส ถ้าสะเทือนกิเลส เรามีโอกาสได้แก้ไขไง อันนี้เราไปถนอมรักษากันเอง
ดูสิ เวลาเราบวชมา เราตั้งใจ ทุกคนบวชมาตั้งใจนะ ตั้งใจทำคุณงามความดี แต่พอไปคุ้นชินกับความรู้สึกของตัว คนเห็นไหม ดูเขยใหม่ ดูสถานะใหม่ ทุกคนบวชเข้าไปแล้ว ทุกคนอยู่ในสถานะใหม่ ทุกคนอยากจะทำคุณงามความดีทั้งนั้น แต่เวลาทำคุณงามความดีเข้าแล้วมันเข้าไปคุ้นชิน พอมันไปเคยชินไง
ความเคยชิน ความเคยชินไม่ตื่นตัว เราต้องทำให้ตื่นตัว การตื่นตัวมันเห็นผิดเห็นถูก เราจะตื่นตัวตลอดเวลา การภาวนาเราต้องตื่นตัวนะ เห็นโทษไง ถ้าเราเห็นโทษขึ้นไปทุกอย่าง เราจะไม่เข้าไปจับหรอก เราจะรักษาตัวเราเอง ครูบาอาจารย์ท่านระวังตรงนี้มาก เวลาธุดงค์กัน ธุดงค์กันเพื่ออะไร เวลาคุ้นชินกับสถานที่ปั๊บเราจะเปลี่ยนตลอดไป พอคุ้นชินปั๊บ มันประสาเราเลย หลวงตาท่านบอกคุ้นชินก็หน้าด้าน พอหน้าด้านขึ้นไปมันไม่เห็นภัยไง
พอเห็นภัย เวลาเทศน์ธรรมะมันต้องทำให้เราตื่นตัวตลอดเวลา การตื่นตัวมันเห็นภัย เหมือนสัตว์ป่าเลย ถ้าสัตว์ป่ามันตื่นตัวนะ มีสติอยู่นะ มันจะไม่โดนเขาเอาไปเป็นอาหาร ถ้าสัตว์ป่ามันเผลอนะ เดี๋ยวมันก็เป็นอาหารเขา เห็นไหม
แล้วใจเราเผลอตลอดเวลา เป็นเหยื่อของกิเลส กิเลสมันจะกินเราตลอดเวลาเลยแล้วเหยียบย่ำไปตลอดเวลา ถ้าเหยียบย่ำตลอดเวลา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แล้วก็ว่ากันโดยทางโลกไง นี่โลกเป็นใหญ่ ถ้าโลกเป็นใหญ่ต้องเป็นอย่างนั้น เอาให้โลกเป็นใหญ่
ถ้าธรรมเป็นใหญ่นะ เราจะมีสติสัมปชัญญะของเรา แล้วจะตื่นตัวของเรา พอตื่นตัวแล้วอะไรผิดล่ะ มันจะแยกแยะนะ ตัวไหนผิดตัวไหนถูกมันจะแยกแยะไปตลอด แยกแยะแล้วก็แยกแยะแบบเด็กๆ
เด็กๆ ดูสิ เด็กเกิดมานะ ถ้ามันเลี้ยงง่ายนะ พ่อแม่พอใจแล้ว เด็กของเราลูกเรานี่เลี้ยงง่าย ไม่กวน ไม่งอแง แล้วถ้ามันจะเลี้ยงง่ายขึ้นมา แล้วจะเลี้ยงง่ายตลอดชีพได้ไหม โตขึ้นมาไม่ทำงานมันได้ไหม ไม่ได้หรอก
ความดีของเด็ก ถ้ามันเลี้ยงง่าย เราเลี้ยงง่าย พ่อแม่มีความสบายใจ แต่เด็กแล้วมันก็ต้องขยันหมั่นเพียรขึ้นมา โตขึ้นมามันต้องขยันหมั่นเพียร โตขึ้นมามันจะไปนอนอยู่อย่างนั้นไม่ได้หรอก แต่ถ้าเด็กมันกวนอยู่ข้างล่าง มันก็ไม่ไหว
นี่ก็เหมือนกัน เราเวลาภาวนาไป เรารักษาของเราไป มันจะแยกแยะไปเรื่อย เห็นความถูกความผิดของเราไปเรื่อย มันจะละเอียดไปเรื่อย ละเอียดเข้าแล้วมันจะย้อนเข้ามาหาตัวเราได้ ถ้าเราย้อนเข้าหาตัวเราไม่ได้ มันจะไม่เข้าไปชำระความสะอาดไม่มีหรอก มันก็เป็นมารยาทสังคม เป็นเรื่องของโลกไปหมดเลย เรื่องของโลกมันก็เป็นความเห็นของโลก เห็นไหม
ดูนะ เวลาสัตว์ใหญ่ ดูสิ ดูช้างสิ เวลามันจะกินน่าสงสารนะ กว่าจะกินอิ่มกินเต็ม กินที ๒o กิโล แล้วดูปลาตัวใหญ่ พวกปลามันต้องหาเหยื่อของมัน เห็นไหม มันต้องสงสารมัน แต่เวลามดมันก็กินอาหารประสามัน ดูสิ มันกินเกสรกินอะไรมันก็อิ่มเต็มของมัน แล้วแต่ว่าเขาเกิดมาในสถานะไหน
แต่เหมือนกัน ความหยาบละเอียดของใจก็เหมือนกัน ถ้ามันต้องการมาก ถ้าเราปรนเปรอมันมาก มันยิ่งต้องการมากไป เราต้องยับยั้งมัน ถึงต้องมีสมาธิ ต้องยับยั้งมันให้ได้ นี่คือการกระทำของเรานะ นี่คือแก่นของศาสนาไง ถ้าเราพูดถึงศาสนา ถ้าไม่พูดถึงศาสนาไม่พูดถึงหัวใจก็ไม่ได้ เพราะหัวใจมันเป็นภาชนะที่บรรจุศาสนา มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความสัมผัสของใจ
ใจสัมผัสสิ่งใด เวลาใจสัมผัสความทุกข์ เราไม่ต้องการสิ่งใดเลย เราไม่ต้องการสิ่งที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของเรา แต่มันเกิดตลอดเวลา เห็นไหม เราก็ไม่รู้ เราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เวลามันปล่อยวาง เวลามันเริ่มมีความรู้สึกสิ่งที่ดีๆ ขึ้นมา เห็นไหม มันเกิดมาจากไหน เกิดจากการที่เราค้นคว้านะ เกิดจากการถนอมรักษา ถ้าเราไม่ถนอมรักษา ดูสิ ดูเรามีบาดแผลขึ้นมา มีบาดทะยักขึ้นมา เราต้องเสียชีวิตนะถ้าเราไม่มีวัคซีนกันบาดทะยักไว้ ถ้าเป็นบาดทะยักแล้วเรารักษาไม่ดี เห็นไหม
แล้วเวลาแผลของใจมันยิ่งกว่าบาดทะยักอีกเพราะอะไร เพราะมันข้ามภพข้ามชาตินะ สิ่งใด ดูสิ ความบาดหมางกัน การกระทบกระเทือนกัน เวลาเกิดขึ้นมา ทำไมคนนั้นเกิดขึ้นมาแล้วมันมีปัญหากันไปตลอดเลย บุญกรรมนี่สำคัญมากเลย สำคัญเพราะมันเป็นความรู้สึกจากภายใน เห็นปั๊บมันสะเทือนใจเลย
ถ้าเห็นปั๊บสะเทือนใจ มันมีการกระเทือนใจ ถ้าเห็นแล้วมันมีความผูกพัน เห็นไหม สิ่งที่สร้างสิ่งที่ดีๆ ความสิ่งที่ดีถ้าเราควบคุมตรงนี้ได้ เห็นไหม เราจะไม่เป็นบาดทะยัก เราจะไม่ทำลายความรู้สึกของเราเอง สิ่งที่เราได้มาเราพอใจของเรา มันเป็นแผลใจทั้งนั้น ถ้าเป็นแผลใจมันฝังไปกับใจ แล้วบอกสิ่งนี้ไม่มี นามธรรมไม่มี
นามธรรมนี่สำคัญกว่ารูปธรรมอีก สำคัญกว่าสิ่งที่เป็นวัตถุอีก เพราะวัตถุมันช่วยกันได้ มันแก้ไขได้ มันเจือจานกันได้ แต่นามธรรม ดูสิ เวลาเราทุกข์ใจเสียใจได้แต่ปลอบประโลมกันข้างนอกนะ แต่มันไม่เข้าถึงความรู้สึกของเราเลย
แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา มันจะรู้ตัวของมัน มันสะเทือนใจของมัน อย่างครูบาอาจารย์ท่านพูดกันสะเทือนใจเรา เห็นไหม สะเทือนใจให้เราฉุกคิดนะ ว่าที่เราคิดอยู่เราทำอยู่มันมรรคหยาบๆ นะ ความที่มันหยาบๆ แต่เราไม่เคยเห็น เราไม่เคยเจอ เราเจอสิ่งใดเราก็ตื่นเต้นไปกับความเคยใจของเรา เราจะตื่นเต้นนะ สิ่งนี้มหัศจรรย์ๆ
ความมหัศจรรย์นะ สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ๆๆ มันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปจนเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทอดธุระเลยนะ จะสอนใครได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือปรารถนาจะมาช่วยเหลือ จะมาเจือจานกัน แต่เจือจานไปเขาไม่เข้าใจเลย
ดูสิ เขาถือของเข้ามา บอกนี่เป็นวัตถุ เราไปติดข้องมันแล้วจะทำให้เราเป็นขี้ข้ามัน แล้วก็เป็นขี้ข้ามันอย่างไรก็ของๆ เรา เป็นของๆ เรา เราได้ของเรามา
ถ้ามันเป็นสมบัติ เรารักษา เราดูแลของเรา มันเป็นหน้าที่นะ แต่ถ้ามันต้องการมากกว่านั้น มันต้องการสิ่งที่มันจะเป็นไปไม่ได้ นั่นตัณหาความทะยานอยากอยู่ตรงนั้น ตรงสิ่งที่มันจะเป็นไปไม่ได้ เราคาดหมายกันไป เราจินตนาการกันไปจนมันเป็นไปไม่ได้ นั่นตัณหาความทะยานอยาก
แต่ถ้ามันเป็นความจริง เราต้องถนอมรักษาเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นเครื่องแสดงออก สติสัมปชัญญะ เรามีสติ เรามีสัมปชัญญะ เรามีความละอาย เรามีความเกรงกลัว เราไม่กล้าทำสิ่งใดๆ เลย เพราะทำสิ่งใดๆ มันขัดแย้งกับความรู้สึก เห็นไหม ดูสิมันเศร้าหมอง มันเศร้าหมองเพราะอะไร?
เพราะว่าเราทำความผิดพลาดในหัวใจแล้วมันก็จะเศร้าหมอง ความเศร้าหมองมันทำให้เรากัดหนอง เห็นไหม ใจกัดหนอง แต่ถ้าเราทำความถูกต้อง เห็นไหม เราองอาจกล้าหาญ มันผ่องใส มันผ่องใสเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันถูกต้องทั้งหมด โลกเขาจะไม่รับผิดชอบอย่างไรก็แล้วแต่ มันเรื่องของโลก มันเรื่องของภายนอก
เหมือนกับนี่ เรารับรู้ร้อนรู้หนาวของเราเอง ผู้อื่นเขาบอกเราร้อน เขาจะเอาแต่สิ่งที่มาให้เราบำบัดความร้อน ไม่ใช่ เราหนาว เราต้องการความอบอุ่น เพราะเราหนาวอยู่ ถ้าเราร้อน เราต้องการความร่มเย็น เห็นไหม มันเป็นความรู้สึกของเรา เขารู้ทีหลังเรานะ ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าใจเรามันเป็นสภาวะแบบนั้น ธรรมะมันเป็นแบบนี้ไง มันถึงว่าการคาดหมาย คาดหมายกันไปจากภายนอก ถ้าการคาดหมายจากภายใน มันจะย้อนกลับภายใน เห็นไหม
โคนำฝูงนะ สิ่งที่โคนำฝูง ถ้าสิ่งที่เราเจอเป็นสิ่งที่ดี เห็นไหม แล้วแต่สังคม ถ้าสังคมดี ครูบาอาจารย์ที่ดี เราเกิดมาสิ่งที่ดี มันจะพาไปสิ่งที่ดี แล้วมันมีเชาว์ปัญญาด้วย เชาว์ปัญญามันทดสอบได้เพราะอะไร เพราะมันทำไปแล้วมันจะไม่มีความเอ๊ะ มันไม่มีความลังเลสงสัยไง มันลงใจได้ไง ความลงใจเรา มันจะลงใจได้นะ มันจะเชื่อใจมั่นใจของเรา
แต่ถ้าเราไม่ลงใจนะ เราไม่ลงใจเพราะเราเห็น สิ่งการกระทำมันขัดแย้งกับสัจจะความจริง ถ้าขัดแย้งกับความจริง เราก็สะเทือนใจเราแล้ว มันไม่น่าใช่อย่างนี้ มันไม่น่าใช่อย่างนี้ ความไม่น่าใช่ ความลังเลสงสัยมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์มันเข้ากันได้นะ
ดูสิ ดูแหล่งลำธารต่างๆ เห็นไหม มันไหลลงไปเป็นแม่น้ำ แม่น้ำมันต้องไหลลงทะเล มันต้องเป็นไปทางเดียวกัน ธรรมะต้องเป็นไปทางเดียวกัน ความรู้สึกมันจะเป็นไปทางเดียวกัน
ความสะอาดบริสุทธิ์ หัวใจมันสะอาดบริสุทธิ์ เพียงแต่ว่าเราเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูก ความเข้าใจ เห็นไหม ความเข้าใจคือความเห็นของเรา ความเห็นนี่เขาว่าจินตนาการ คือสิ่งที่เราจินตนาการของเรา มันจะสมความเป็นจริงไหม แต่ถ้าเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันต้องเป็นความจริง มันเป็นความจริงของเราเกิดมาจากใจ เกิดจากสัมผัสอันนั้นแล้วมันฝังไปที่ใจนี้เพราะมันข้ามภพข้ามชาติ เวลามันตายมันหมุนเวียนไปตามวัฏฏะ จิตนี้หมุนเวียนไปตามวัฏฏะ แต่ถ้ามีสิ่งที่ดีๆ พาไปมันจะหมุนพาไปเกิดสิ่งที่ดีนะ ถ้าสิ่งที่ปัจจุบันนี้ ถ้ามันสะอาด มันสะอาดที่นี่ ไม่ต้องมีใครบอกเลย
สิ่งที่ไม่มีใครบอกเพราะอะไร เพราะเขาบอกมาจากข้างนอก เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนรักษาตนได้ ถ้าตนรักษาตนได้ ตนจะมีจุดยืนของเรา ถ้าจุดยืนของจิตมันมีขึ้นมานะ มันจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา ใจมันจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมานะ ถ้าใจก่อร่างสร้างตัว ปัญญามันเกิด สิ่งต่างๆ มันก่อร่างสร้างตัว มันเป็นอย่างนี้จริงๆ
แต่ถึงที่สุดแล้วมันต้องรวมตัวแล้วมันทำลายกันไป มันเป็นนามธรรม มันรวมตัวแล้วมันทำลายกันไป สิ่งที่ทำลายกันไปมันถึงต้องก่อร่างสร้างตัวทำให้ขึ้นมา สติก็ต้องฝึก ไอ้ทุกอย่างต้องฝึก เราบอกว่าสิ่งที่มันเป็นนามธรรมมันทำลายไปแล้ว เราไปสร้างทำไม เพราะเราไม่ได้สร้างสม เราถึงไม่มีกิจญาณคือเราไม่มีการกระทำ เราไม่เห็นการเป็นไปของจิต เห็นไหม
เราไปเห็นแต่สมบัติของคนอื่น แล้วเราจะไปแชร์สมบัตินั้นเป็นของเรา สิ่งที่ทางโลกที่เป็นวัตถุมันแชร์กันได้ มันช่วยเหลือกันได้ แต่สิ่งที่เป็นธรรมมันแชร์กันไม่ได้นะ เวลาให้ผลไปกรรมใครกรรมมัน ความเป็นไปของมัน เห็นไหม ความต้องการของใจก็ไม่เหมือนกัน ความสุข-ความทุกข์ในใจไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันมันจะแชร์กันได้อย่างไร แชร์ขึ้นมาก็แชร์เอาแต่ความขัดแย้ง เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเต็มหัวใจเลย เราต้องการตามความปรารถนาของกิเลสของเรา
แต่ครูบาอาจารย์ของท่านเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมนี่แชร์ขึ้นมา พอแชร์ขึ้นมาก็เป็นสติสัมปชัญญะเป็นหน้าที่ไปยับยั้งกิเลส มันยิ่งผลักไสนะ ตัณหา-วิภวตัณหามันผลักไส มันไม่ต้องการไง เพราะอะไร เพราะเราต้องการแชร์สิ่งที่มันเป็นความพอใจของเรา เป็นสิ่งที่ว่าความพอใจ คือการที่ว่าเราจะสะสม เราจะได้สิ่งที่เรามาตามความปรารถนา แต่ครูบาอาจารย์บอกให้เสียสละ ให้ตั้งสติ ให้ควบคุมใจให้ดี เห็นไหม มันเป็นการขัดแย้งกับเรา มันเลยแชร์กันไม่ได้
แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ มันแชร์กันได้ มันเข้ากันได้ทุกอย่าง อริยสัจเป็นอันเดียวกัน ความรู้สึกเป็นอันเดียวกัน สติก็เป็นอันเดียวกัน สมาธิก็เป็นอันเดียวกัน ปัญญาก็เป็นอันเดียวกัน เพียงแต่เข้ม แก่ อ่อน ต่างกัน ความแก่อ่อนต่างกันคือว่าเราต้องใช้เพียงเท่านี้ไง เรามีความสกปรกแค่นี้ ในหัวใจมีความสกปรกแค่นี้ การชำระล้างด้วยน้ำแค่นี้มันสะอาดแล้ว นี่ก็พอแล้ว
แต่ถ้าความสกปรกของเรา มันเป็นขยะพิษ มันเป็นสารพิษ มันเป็นเชื้อ มันเป็นสิ่งที่กัดกร่อนเข้าไปในเนื้อ เราต้องทำความสะอาดเข้าไป ต้องทำความสะอาดมากกว่านั้น เห็นไหม
บุญกรรมเป็นอย่างนี้ บุญกรรมเพราะอะไร เพราะว่าเราว่าเรามีศักดิ์ศรี เรามีความรู้สึกอันลึกซึ้ง เห็นไหม ความลึกซึ้งดูมันกัดกร่อนเข้าไปในเนื้อของใจ พอเข้าไปในเนื้อของใจ เราจะไปชำระล้างมัน เราก็ต้องเข้าไปชำระล้างในเนื้อของใจ งานของเราก็ต้องเข้มข้นกว่าเขา งานของเราต้องหนักแน่นกว่าเขา งานของเราต้องละเอียดกว่าเขา นี่ไง เวลาปัญญาขึ้นมา คนบ้านหลังใหญ่ เห็นไหม ถ้าทำความสะอาดบ้านของเราสะอาดแล้วบ้านหลังใหญ่เราจะนอนขนาดไหนก็ได้ เราจะใช้ประโยชน์ได้มากเลย บ้านหลังเล็ก.. บ้านหลังเล็กทำความสะอาดได้ง่าย เห็นไหม แต่ใช้ประโยชน์ได้น้อย
จิตก็เหมือนกัน ถ้าความเข้มของใจ ใจมันมีแผลลึกเข้าไป เรารักษาขนาดไหนนะ เราเข้าใจเรื่องการรักษาแผลที่ลึก ความรักษาเป็นหัวใจ เราจะรักษาคนอื่นได้ง่ายๆ เลย เราจะดูแลคนอื่นได้สะดวกด้วยเพราะอะไร เพราะแผลของเราลึกซึ้งกว่า การกระทำของเราได้ละเอียดรอบคอบกว่า เราจะรักษาเขาได้ เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์เป็นแบบนี้
ถ้ามีประสบการณ์ในหัวใจมีมาก มันจะรักษาเขาได้มาก มันจะเป็นสิ่งที่แนะนำเขาได้มาก ถ้ามีน้อยเราก็ได้น้อย นี่ขณะเล็ก ขณะใหญ่ ขณะที่ความเป็นไป อำนาจวาสนาของคนต่างๆ กันไป สิ่งต่างๆ กันไปต้องสะสมมาต่างๆ กันไป การกระทำต่างๆ กันไป ต่างๆ กันไปทั้งนั้น คนเกิดมาไม่เหมือนกัน พ่อแม่เดียวกันความเห็นก็ไม่เหมือนกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน แต่สุข-ทุกข์ได้เหมือนกัน
ความว่าสุข-ทุกข์ สุขก็คือสุข ทุกข์ก็คือทุกข์ มากน้อยต่างกัน ความเป็นไปต่างกัน เห็นไหม ถึงว่ามันเกิดมาจากการเราสร้างสติ เราได้ทำบุญกุศล เราได้สะสมของเรามา อำนาจวาสนาบารมีคนไม่เหมือนกัน สิ่งที่อำนาจวาสนาบารมีเกิดมาจากไหน เกิดมาจากสร้างสมมาทั้งนั้น เกิดจากการกระทำทั้งนั้น ไม่ลอยมาจากฟ้า บารมีไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก
ตอนนี้เรามีบารมี บารมีของเราคือว่าเราเห็นสมบัติอันละเอียด เราเห็นสมบัตินะ ดูสิ ทางโลกเขา เห็นไหม สิ่งที่เป็นวัตถุเขาคิดเอามาเป็นค่า ๒๕ เปอร์เซ็นต์ สมบัติของความรู้สึกความคิดของสังคม ถ้าคิดออกมาเป็นค่านะ วัดค่าน่ะ ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ความรู้สึกในหัวใจของเรา ความรู้สึกของเรา สมบัติในใจของเรามีคุณค่าถึง ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ร่างกายนี้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ทั้งนั้นล่ะ
ของจากภายนอก เห็นไหม แล้วเราไปตื่นจากของภายนอกกัน เราถึงไม่เห็นความเป็นไปของใจ เราถึงไม่ให้กับความเป็นไปปัญญาของสังคม ปัญญาของสังคมนะ สังคมเราตกผลึกในปัญญา วัฒนธรรมของต่างๆ เกิดมาจากความรู้สึก เกิดมาจากใจ นี้จะเป็นประเพณีวัฒนธรรมเฉยๆ
ถ้าเกิดมาจากเรา เกิดมาจากมรรค เกิดมาจากในอริยสัจ เกิดมาจากสมบัติของศาสนา เกิดจากการเป็นไป สมบัติของศาสนา เห็นไหม เราก็แบ่งสมบัติศาสนา ธรรมาสน์เป็นสิ่งที่ว่าเป็นวัตถุในวัด อันนั้นเป็นศาสนวัตถุ ศาสนธรรม ศาสนธรรมเห็นไหม สัจจะความจริง อริยสัจจะ เห็นไหม สมบัติศาสนาอยู่ที่นี่
แล้วเครื่องที่บรรจุมันไม่ได้บรรจุไว้ในห้อง ห้อง ดูสิ เราเปิดตู้พระไตรปิฎกเอาหนังสือออกมามันจะว่างหมดเลย เห็นไหม ไม่มีอะไรเป็นวัตถุเลย แต่ในหัวใจของเรามันจะมีความคิด มันจะมีปัญญา มันจะมีความรู้สึก สมาธิเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ สมบัติมันอยู่ที่นี่ แล้วแสดงออกมาเป็นธรรมแท้ๆ เป็นตามความจริงออกมาจากหัวใจ เห็นไหม สิ่งที่ธรรมแท้ออกมาจากใจ ถึงเป็นประโยชน์กับใจ จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง เอวัง