เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ม.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระ เห็นไหม เรามาอยู่วัดอยู่วา เวลาอยู่วัดอยู่วา ถ้าอยู่นานไป เวลาเราหนีจากโลกมานะ โลกนี่เร่าร้อนมาก โลกนี่ทุกข์มาก เราจะหาที่พึ่ง เวลามาอยู่วัดก็นึกว่าจะพ้นจากทุกข์ไง แล้วพอไปอยู่วัด ไปอยู่ในขอบเขตของศีล มันก็ไปกดดันอีกนะ มันก็ไปทุกข์อีกอันหนึ่ง เห็นไหม

ถ้าในปัจจุบัน เวลาเราอยู่ในเหตุการณ์ทุกข์ มันจะทุกข์มากเลย แล้วมันคิดไปอนาคตว่าเราทำอย่างนั้นจะเป็นความดี อันนี้จะเป็นความดี แล้วก็หมายไปอนาคตนะ พอเราไปตามอนาคตนั้น มันก็ไปเดือดร้อนอยู่ที่อนาคตนั้น เห็นไหม

ปัจจุบันนี่ ถ้าหัวใจเรามันยังทุกข์อยู่นะ ยังไงมันก็ทุกข์ แต่ถ้าเราอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้ามันทุกข์ขนาดไหนใช่ไหม เราแก้ไขในปัจจุบันนะ ถ้าปัจจุบันนี้มันพ้นจากทุกข์นะ อนาคตก็ไม่ทุกข์ อนาคตนี่ไม่ทุกข์หรอก แต่ขณะที่ปัจจุบันนี้ทุกข์ แต่เราไปศึกษาธรรมกันไง แล้วมันกดดันเรา เห็นไหม จะต้องให้ได้ผลอย่างนั้น

การประพฤติปฏิบัติไม่ได้ผลก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง เป็นความทุกข์อันหนึ่งนะ แต่ถ้าขณะในปัจจุบันนี้เราประพฤติปฏิบัติของเรา มันก็เป็นความทุกข์ ทุกข์นะ เพราะอะไร เพราะมันคิดไปนะ อย่างนั้นจะดีกว่าอย่างนี้ อย่างนี้จะดีกว่าอย่างนั้น มันลากไปอนาคตแล้ว กิเลสมันลากความคิดเราไปอนาคตแล้ว เราไม่อยู่กับปัจจุบันเลย

โลกนี้จะมีโลกนี้จะเป็นไปแล้วแต่เรื่องของเขา ในปัจจุบันเราตั้งสติอยู่กับปัจจุบันนี้ มันจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเราก็ตั้งสติปัจจุบันนี้นะ ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะแล้วดึงความคิดได้นะ มันจะเห็นโทษเลยนะ เมื่อกี้ที่คิดถึงอนาคต คิดถึงผล คิดถึงความเป็นไปของชีวิตนี้ มันเร่าร้อนมาก เวลามันมาปัจจุบันนี้นะ มันอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นเรา มีสติสัมปชัญญะ ความรู้สึกพร้อมเลย สิ่งที่คิดเมื่อกี้นี่เร่าร้อน มันคิดไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่พอสติเรายับยั้งขึ้นมา ความคิดขึ้นมาทำไมมันจะปล่อยวางล่ะ ทำไมมีความสุข เอ๊ะ..เมื่อกี้กับปัจจุบันนี้ทำไมมันต่างกัน เราเป็นคนๆ เดียวกันหรือเปล่า ความรู้สึกอันนี้เป็นอันเดียวกันหรือเปล่า เป็นอันเดียวกันหมดเลยนะ แต่กิเลสที่มันมีกำลังมากกว่ามันทำให้เราคิดไปอนาคต มันทำให้เราคิดไปก่อนข้างหน้า เห็นไหม แล้วก็ว่าอ้างธรรมะกัน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติทำไมมันทุกข์อย่างนี้?

ในการประพฤติปฏิบัตินะ มันไม่ทุกข์หรอก ธรรมะนี่ให้ผลดีกับเรา ดูสิ น้ำสะอาดจืดสนิทเย็นดี เราดื่มกินเข้าไป มันจะให้ผลดีกับร่างกาย เห็นไหม แต่เราต้องการเอง เราต้องการสิ่งที่มีรสมีชาติ เราต้องการความคิดไป มันรสชาติเพราะอะไรล่ะ เพราะใจเรามันมีสภาวะแบบนั้น ใจมันต้องการสภาวะแบบนั้น ตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม เราก็ไปคิดสภาวะแบบนั้น

ถ้ามันประพฤติปฏิบัติในสติสัมปชัญญะ มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา แล้วทำของมันสงบเข้ามาในปัจจุบันนี้นะ มันเห็นโทษไง เห็นโทษของน้ำจืดสนิทเย็นดีกับน้ำที่มีรสมีชาติ น้ำที่มีสารพิษต่างๆ เห็นไหม มันต่างกัน

“ความต่างกัน” ความต่างกันของโลก เห็นไหม รสชาติอันนั้นทางโลกเขาพอใจกัน ความรู้สึกตัณหาความทะยานอยากมันพอใจ แต่ในกลับมาจืดสนิทเย็นดีมันกลับไม่พอใจ เห็นไหม ว่าธรรมะนี่ให้โทษให้โทษ

ไม่ให้โทษเลย ธรรมะนี่ให้แต่คุณ แต่ในการประพฤติปฏิบัติเราต้องลงทุนลงแรงไง ต้นทุนเราต้องมีนะ ต้นทุนเราต้องมีสติ ต้นทุนนี้สติมันเกิดมาจากไหน สติเกิดมาจากจิตไม่ใช่จิตนะ ถ้าสติเป็นจิตอันเดียวกัน เราจะไม่เผลอเลย เพราะเรามีจิตอยู่ตลอดเวลา เรามีความรู้สึก เรามีหัวใจอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมเราพลั้งเผลอไปล่ะ พลั้งเผลอเพราะอะไร เพราะเราต้องสร้างสติขึ้นมานะ

เวลาตัณหาความทะยานอยากมีกำลังมากกว่า เห็นไหม จิตของเรามันเป็นได้ทั้งสติ มันเป็นไปได้ทั้งตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นไปทั้งหมดเลยเพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมชาติของมัน มันมีกิเลสอยู่ในหัวใจ เห็นไหม

แต่ถ้ามีธรรมขึ้นมาชั่วคราว เห็นไหม มันหยุดยั้งได้ ธรรมนี่เราฝึกของเราขึ้นหยุดยั้งได้ แต่ในเมื่อกำลังมันแรงกว่า มันหยุดยั้งไม่ได้มันก็คิดของมันประสามันไป มันคิดไปตามแรงพอใจนะ ถ้าตัณหาอะไรที่มันถูกกระทบใจแรง มันจะไปรุนแรงมากเลย ถ้าตัณหากระทบพอสมควรมันจะไปพอสมควรของมัน เห็นไหม

ถ้าสติเราฝึกขึ้นมา มันจะกางกั้นตรงนี้ได้ ถ้ากั้นตรงนี้มันจะเป็นปัจจุบันเข้ามา เราจะไม่คิดไปอนาคต เราจะไม่ทุกข์ไม่ยาก เราจะไม่แบกโลกไว้นะ มันแบกโลกไว้นะ นั่นก็เป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นอย่างนี้ มันแบกโลกไว้ หัวใจมันแบกโลกไว้ทั้งโลก มันลอยตัวอยู่อย่างนี้ โลกมันอยู่ในจักรวาล มันก็หมุนตัวของมันเอง มันก็อยู่กับตัวของมันเอง มันหมุนในตัวมันเอง ทำไมเราไปแบกมัน?

โลกเขาไว้ให้เหยียบนะ โลกไว้ให้อาศัย เราอาศัยบนโลก เห็นไหม เราอาศัยโลกนอก โลกทัศน์ภายใน ความรู้สึกมันเหยียบหัวใจเรา ความรู้สึกในหัวใจนี่โลกทัศน์ คือความคิด คือโลกทัศน์จากภายใน มันก็เหยียบย่ำหัวใจ ธรรมะมันแก้โลกภายใน เห็นไหม โลกภายนอกเขาให้เราอาศัยให้เหยียบไว้ แต่โลกภายในเราต้องใช้ธรรมะ ใช้สติสัมปชัญญะเหยียบมันไว้ กั้นมันไว้นะ แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญ ถ้าใคร่ครวญขึ้นไป มันจะมีคุณค่าขึ้นมา

ถ้าวันพระนี่เราประเสริฐ ประเสริฐที่เรานะ โลกนี้นะเรื่องของเขาเป็นของเขา เรื่องของเราเป็นของเรา เรื่องของเราขณะนี้เรามีสติสัมปชัญญะ ขณะนี้เรามีความคิดที่ดีๆ ขณะนี้เราต้องการอริยทรัพย์จากภายใน ทรัพย์จากภายในนะ ว่าศาสนานี่เป็นเรื่องนามธรรม เรื่องของหัวใจเป็นภาชนะที่ใส่ธรรมอันนี้ แล้วเราก็คิดกันว่าถ้าอย่างนั้นเราก็นึกเอาคิดเอา มันคิดแบบโลก คิดแบบเปลือก มันคิดไม่ได้หรอก มันคิดเป็นตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นความจริงไม่ใช่คิด มันไม่ใช่คิดนะ มันเกิดจากสัจจะความจริง มันเป็นปัจจุบันธรรม มันเป็นสันทิฏฐิโก เห็นไหม มันเกิดจากความประสบของใจ ใจมันสัมผัสกับอริยธรรม อริยธรรมนะ ประเพณีอริยธรรมนี่มันไปสัมผัสประเพณีอริยธรรมที่เป็นมรรคญาณ

มรรคญาณมันเกิดจากการสัมผัส เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นนะ เราได้ยินแต่ข่าวลือ เราได้ยินแต่เขาว่า มีแต่เขาเล่ามา เห็นไหม อริยสัจเป็นอย่างนั้น มรรคเป็นอย่างนั้น เราคิดของเราเอง เวลาเราสร้างขึ้นมาสร้างเป็นอาการของใจ อาการของใจสร้างขึ้นมา

แต่ถ้าเกิดถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา มรรคสามัคคี มรรครวมตัว มันรวมตัวขึ้นไปแล้วมันสมุจเฉทปหาน มันเข้าไปทำลายเชื้อไข ไปทำลายสิ่งที่ทำให้เราพลั้งเผลอ ไปทำลายสิ่งให้เราคิด เห็นไหม ไปอยู่ที่ไหนมันก็ไม่พอใจ มันจะคิดแต่อนาคตไปตลอดเวลา ที่นั่นก็ไม่ดี ที่นี่ก็ไม่ดี ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ดี แล้วก็หงอยเหงาเศร้าสร้อยนะ

สิ่งที่หงอยเหงาเศร้าสร้อย ดูสิ ทำไมมันไม่วิเวกล่ะ ความวิเวกเป็นความวิเวกนะ ความวิเวกเป็นความสุข เป็นความสงบนะ แต่ถ้าความว้าเหว่ ความหงอยเหงา เห็นไหม มันหงอยเหงา มันเศร้าสร้อยเพราะอะไร เพราะกิเลสมันเหยียบย่ำ โลกทัศน์ภายในกิเลสมันย่ำแล้วมันเหยียบแล้ว โลกเอาไว้ให้เหยียบแต่นี้มันเหยียบเรา มันเหยียบหัวใจของเรา มันเหยียบความรู้สึกของเรา ถึงต้องตั้งสติไง

ถ้าเรามีสติอย่างนี้ ชีวิตเราจะมีคุณค่า เราจะอาจหาญ เราจะรื่นเริง เราจะวิเวก เราจะมีความสุขใจของเรา ถ้าสุขใจของเรา เห็นไหม เรามีความสุขใจ มันก็มีความอิ่มเอิบของใจ การกระทำของเรามันก็เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ถ้ามันทำด้วยความเศร้าสร้อยหงอยเหงา เห็นไหมสักแต่ว่า อะไรก็สักแต่ว่า เดินจงกรมนั่งสมาธิมันก็สักแต่ว่า สติไม่พร้อมสักแต่ว่า มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

ถ้าเราทำด้วยสติสัมปชัญญะ เราตั้งเนื้อตั้งใจขึ้นมา มันเป็นสักแต่ว่าที่ไหน เราเป็นเจ้าของนะ ทุกข์ก็เราเป็นเจ้าของ สุขก็เราเป็นเจ้าของ ความรู้สึกเราก็เป็นเจ้าของ เราได้จับต้องมัน เราได้สัมผัสกับมัน จิตมันสัมผัสตลอดเวลา แล้วมันสงบเข้ามา มันก็สัมผัสมาจากจิต จิตมันปล่อยวางเข้ามา มันรู้เข้ามา แล้วต้องใครสอน?

ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา นี่พูดกันง่ายนะ ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน เราเป็นนักวิชาการในแขนงเดียวกัน เห็นไหม เราคุยกันรู้เรื่อง เราคุยกันด้วยข้อเท็จจริง มันจะมีความเข้าใจกัน มันจะไม่มีความขัดแย้งเลย

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันเข้าไปสงบขึ้นมา ความสงบจะเป็นอย่างนี้ เว้นไว้แต่คนที่ว่าสงบนี้เป็นนิพพาน แต่ผู้ที่เคยผ่านแล้ว สงบนี่เป็นสัมมาสมาธิ สมาธินี่เป็นพื้นฐาน เป็นที่ทำงาน เป็นที่ให้จิตให้ออกวิปัสสนา วิปัสสนาจะเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันก้าวเดินต่อไป

ถ้าในการสัมผัส ในการทดสอบของจิต จิตมันมีเข้าไปลึกตื้นขนาดไหน มันจะพูดออกมาในความรู้สึกอันนั้น ไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้ ไม่รู้ไม่เห็นน่ะ พวกเราจำมา ที่ธรรมะเราคุยกันอยู่นี้ เราคุยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพูดแต่ธรรมะ มันเป็นสิ่งที่เราได้ยินได้เล่าได้สืบต่อกันมา แต่ความจริงมันก็ยังไม่ได้สัมผัส มันก็ยังไม่เกิดเป็นผลของเรา

ถ้ามันสัมผัสขึ้นมาเกิดเป็นผลของเรานะ นี่ปัจจุบันธรรม ให้อยู่กับปัจจุบัน ให้ตั้งสติ ให้เห็นชีวิตของเรามีคุณค่า ให้เห็นการประพฤติปฏิบัติมีคุณค่านะ ดูเรามองออกไปที่โลกนะ น่าสลดสังเวชมาก เขาเพลินในชีวิตของเขา เขาทำมาหากินของเขานะ เขาเสี่ยงภัยกัน เห็นไหม ดูสิ เขาต้องเสี่ยงภัยกัน เขาทำขนาดไหน

เราหลีกเร้นมาเพื่อจะค้นหาหัวใจของเรา เรามีคุณค่าขึ้นมาแล้วนะ เพราะอะไร เพราะทรัพย์ที่เรามองไม่เห็นไง วิชาการ ความรู้สึก นามธรรม นี่มันจับต้องไม่ได้ วัตถุ เห็นไหม เขาจับต้องได้ เขายังแสวงหากัน เขายังเพลิดเพลินกันขนาดนั้น

ความรู้สึกของเราจากภายใน ถ้าจิตเรามีความปรารถนา มีความต้องการ เห็นไหม เราจะควบคุมความรู้สึกเราให้มันอยู่กับเรา ให้ความคิดนี่อยู่ในใต้ผิวหนังเรานี้อย่าให้ออกจากใต้ผิวหนังเราไป ใต้ผิวหนังมันคิดไปทางเรื่องอื่น เห็นไหม

ในผิวหนังของเรา เวลาเราคิดเรื่องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผิวหนังเห็นไหม คิดแต่เรื่องโครงสร้างของร่างกาย ความรู้สึก นามธรรมนี่ มันอาศัยอยู่ในโครงสร้างนี้ได้อย่างไร โครงสร้างนี้เกิดมาจากไหน แล้วโครงสร้างนี้อาศัยอะไรเป็นอาหาร ความรู้สึกในหัวใจนี่อะไรเป็นอาหารของมัน ความคิดอะไรเป็นอาหาร ถ้าปัญญามันไล่เข้ามา เห็นไหม นี่ทรัพย์จากภายใน

“ทรัพย์จากภายใน” อริยทรัพย์มันรู้จักขึ้นมานะ มันมีคุณค่าขึ้นมา ถ้าจิตมันเป็นไป มันพ้นไปจากการครอบงำของอวิชชา มันจะมีคุณค่ามาก จิตนี้มีคุณค่ามาก เราสงสัยทุกคนน่ะเกิดมาจากไหน อยู่ในปัจจุบันอยู่เพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน

แต่ถ้าเราเข้าใจหมดแล้วนะ เกิดก็ไปจากปฏิสนธิจิตนี่มันไปเกิด แม้แต่ความคิดนามธรรมที่มันเกิดขึ้นมาก็คิดขึ้นมาเป็นความรู้สึก อาการของใจก็เกิดขึ้นมาจากตัวนี้ แล้วเราเข้าใจขึ้นมา ความเกิดอันนี้มันเกิดมาจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากอวิชชา แล้วถ้ามันไม่มีขึ้นมา เราทำลายตรงนี้หมดแล้ว ความคิดที่เขามีอยู่อย่างนี้มันจะเป็นอย่างไร เรารู้ของเราคนเดียวนะ เรารู้คนเดียวเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จากหัวใจ มันจะมีคุณค่าเห็นไหม

ถึงบอกสิ่งที่มันหงอยเหงาเศร้าสร้อยมันก็เกิดจากที่เรา เวลาทำลายหมดแล้วนะ มันก็สว่างไสว มันมีความสุขในหัวใจของเรา นี่ปัจจุบันธรรม ขอให้อยู่กับปัจจุบันนี้ อย่าให้กิเลสมันลากไปให้มันเศร้าสร้อยหงอยเหงาจากภายนอก เศร้าสร้อยหงอยเหงาจากภายใน รื่นเริงอาจหาญกับการกระทำของเรา ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันมีหลักเกณฑ์ เราจะรื่นเริงอาจหาญ เห็นไหม

“ความวิเวก” ความวิเวกของเรา ความสุขของเรา ความสงบของเราจะเกิดกับเรา เห็นไหม สิ่งนี้อุปัฏฐากหัวใจของเรา อุปัฏฐากพุทธะ อุปัฏฐากพระ อุปัฏฐากสงฆ์ เวลาในบ้านของเรา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เห็นไหม แต่หัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่พระอรหันต์ของเรา หัวใจของเรา รักษาของเรา ประเสริฐกับเรา

ทุกคนมีสิทธิเสมอภาคเท่ากัน เพราะทุกคนเกิดมามีหัวใจ เกิดมีร่างกายเหมือนกัน แต่คนจะหาสมบัติอะไร หาสมบัติภายนอกหรือหาสมบัติภายใน?

ถ้าหาสมบัติภายใน เห็นไหม สมบัติภายในเขาก็ว่าคนนี้ไม่มีความสามารถ คนนี้ไม่อยู่กับโลกเขา ไอ้โลกเขานี่มันถึงกาลสิ้นสุดแล้วต้องพลัดพรากหมด ไอ้ของเราถ้าหาได้เจอนะ มันไม่มีกาลที่สิ้นสุด มันถึงว่าถ้าเป็นบุญกิริยา เห็นไหม เป็นบุญกุศลมันก็เกิด-ตายพร้อมกับบุญอันนี้ มันก็ไปอยู่ที่ดี แต่ถ้ามันสิ้นสุดแล้วนะ มันสิ้นสุดของการเกิดและการตาย มันไม่มีที่สิ้นสุดเพราะอะไร เพราะมันอยู่คงที่ของมันนะ ความรู้สึกอันนี้คงที่ได้ แล้วไม่มีความลังเลสงสัยว่ามันคืออะไร

มันเป็นของเรา มันเป็นสมบัติของเรา สมบัติของเรานะอุปัฏฐากจากอะไร จากล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาแล้วก็ตั้งตัวขึ้นมาได้แล้วเป็นสมบัติของเรา เป็นสมบัติของเราในปัจจุบันของเราถึงจะไม่เศร้าสร้อยหงอยเหงา มันจะรื่นเริงอาจหาญ มันจะเป็นความสุขของเรา เอวัง