เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ม.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานไปหัวหินมา เห็นไหม พอเราไปหัวหินมา กาลเวลามันสมานหัวใจของคน กาลเวลาน่ะ เวลามีเหตุการณ์กระทบกระเทือนกันมาก็คิดว่าไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เลย พอไปอยู่ที่ตรงนี้ เมื่อวานมากราบมาดีใจยิ้มแย้มแจ่มใสนะ กาลเวลาสมานแผลใจ เห็นไหม บอกว่าขอบคุณมาก ขอบคุณมาก ขอบคุณมากเพราะอะไร เพราะว่าครูบาอาจารย์เอ็ดแล้วเสียใจ มีปัญหาคิดดั่งใจตัวเองแล้วไม่ได้ดั่งใจตัวเองก็เสียใจ คิดว่าตัวเองคิดถูกนะ

กิเลสทั้งนั้น! กิเลสของเราคิดของเราเอง แล้วพอออกไป พอกาลเวลามันผ่านไป มองกลับมานะ ครูบาอาจารย์ไม่ผิดแต่เราผิดทั้งนั้นเลย เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเอ็ดใครน่ะ ท่านเอ็ดกิเลสของเราแต่เรามันไม่เห็นนะ เราไม่เข้าใจหรอก

พ่อแม่น่ะรักลูกขนาดไหน ไอ้ครูบาอาจารย์น่ะ ศาสนทายาทนะ เราสร้างศาสนทายาทกัน แล้วศาสนทายาทของเรามันศาสนทายาทของกิเลสไง เพราะความเห็นของเราเวลาประพฤติปฏิบัติไปก็ความเห็นของเราแล้วมันติดในดีก็ว่าเป็นความดี ทำความดีเป็นดีหมด ทุกอย่างทำดี ทำดีขนาดนี้ทำไมท่านเอ็ด ทำดีขนาดนี้ ก็ไปติดในดี พอไปติดในดีปั๊บก็เอาไม้บรรทัดไปวัดคนอื่นไง คนนี้ผิด คนนี้ผิด คนนี้ผิด เอาไม้บรรทัดไปวัดคนอื่น

ไม้บรรทัดเขาไว้วัดใจเรานะ ข้อวัตรปฏิบัติเอาไว้วัดหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา ดูที่ใจของเรา ถ้ามีภวาสวะ มีภพ มีความคิด มีสถานที่ตั้ง ผิดทั้งนั้น ผิดทั้งนั้นเลย ถ้ามีความรู้สึกนี่ผิดหมดเลย เพราะความรู้สึกอันนี้มันมาจากภวาสวะ มันมาจากภพ มันมาจากความรู้สึกของเรา มันมาจากอวิชชา

ถ้าอวิชชายังมีอยู่นะ ความเห็นของเรามันบวกด้วยความเห็นของเรา ถ้าความเห็นของเรา อันนี้มันเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะกิเลสของเรามันว่าเป็นความดี ดีสิ ดีของใคร ดีของธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะที่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ชีวิตก็เป็นธรรมชาติ กิเลสก็เป็นธรรมชาติ การเกิด-ดับเป็นเรื่องของธรรมชาติ

กิเลสนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ เพราะมันอยู่กับใจ มันครอบครองใจไป แล้วใจอยู่ในอำนาจของมันตลอดไป มันควบคุมหัวใจตลอดไป แล้วมันก็อ้างธรรมะไง กิเลสบังเงา บังเงาว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม แล้วทำไมคนอื่นทำไม่เหมือนเรา เราทำคุณงามความดีขนาดนี้ทำไมคนอื่นเขาทำไม่เหมือนเรา ทำไมคนอื่นเขาขัดแย้งกับเราไปตลอดเวลาเลย เพราะอะไร เพราะเราติดในความดีของเราไง

ถ้าเป็นความดีจริง มันไม่ติดความดีของเรานะ ความดีคือความดี ความดีทิ้งเหว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ทำคุณงามความดีทิ้งเหวเลย มันเป็นเรื่องของความดี สัจจะความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีจริงๆ เพราะเราทิ้งเหวไปแล้ว เราไม่ติดในดีของเรา ความดีอันนี้เป็นความดีที่บริสุทธิ์ แต่ความดีเป็นของๆ เรา เห็นไหม ภวาสวะ ตัวจิต มันยึดไง เราทำความดีน่ะต้องได้สิ่งตอบแทนที่เป็นความดี เราถึงโอดโอยกันอยู่นี่ไง ทำดีตลอดไม่ได้ความดีเลย ใครก็ทำดีทั้งนั้นเลย ทำไมตอบสนองไม่เป็นความดี?

ไม่เป็น! ไม่เป็นเพราะเราไปติดในดี ความติดอันนั้นเป็นกิเลส เราทำสิ่งที่เป็นความดีแล้วเราไปติดในความดี แล้วให้ตอบสนองเป็นความดี

ไม่ต้องการ! ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะไม่ต้องการสิ่งใดจากพวกเราเลย วางธรรมศาสนาไว้นะ วางศาสนาเอาไว้เป็นเครื่องดำเนินของเรา เป็นเครื่องดำเนินรื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม จะรื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อเป็นผลประโยชน์ของสัตว์แต่ละสัตว์ดวงนั้น ทำคุณงามความดีขนาดไหนไม่ต้องมาตอบสนองให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเสียไป เห็นไหม เราจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้อง! ท่านอิ่มเต็มของท่านแล้ว เราทำความดีเพื่อเราต่างหาก แต่เวลาทำความดีนะ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก นึกที่ไหน นึกขึ้นมาเป็นความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราน้อมถึงท่าน นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูสิ คนมีบารมีนะ คนมีสัจธรรม ดูสิ เกิดมามีบุญบารมีมาก บารมีอยู่ที่ไหน อยู่ที่การยอมรับไง ใจนี่เรายอมรับนะ ยอมรับความดีของท่าน เราเคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม นี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีใครเคยเห็นพระพุทธเจ้าบ้าง? ทำไมยอมรับพระพุทธเจ้าได้ กราบได้เต็มหัวใจ? ใครเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง? ไม่เห็นเลย แต่ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต เพราะอะไร เพราะใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สิ้นกิเลส ใจของเราก็สิ้นกิเลสได้นะ เพราะใจของเรา ความรู้สึกนี่

เวลาทฤษฎี เห็นไหม เราพูดบ่อยมากเลย บอกว่าปลวกมันกินนะ พระไตรปิฎกอยู่ตามภาคอีสาน เขาต้องหล่อน้ำไว้ เห็นไหม หอไตรที่เขาหล่อน้ำไว้เพราะว่าปลวกมันกิน ปลวกมันกินเข้าไปเลย แล้วศึกษามาแล้วไปยึดเป็นของเรา ถ้ายึดมั่นเมื่อไหร่ผิดหมด ยึดเมื่อไหร่ผิดหมดเลย

แต่ถ้าเป็นวิธีการ เป็นแนวทางเข้าไปหาความจริง อันนั้นถูกต้อง เพราะพระไตรปิฎกทั้งหมดชี้เข้ามาที่ใจ พระไตรปิฎกเป็นกิริยาของธรรม เป็นทฤษฎี ไม่มีผลเลย พระไตรปิฎกไม่มีผล ไม่มีผลของธรรมะเลย ผลของธรรมะคือหัวใจที่ไปศึกษามันต่างหาก ใจที่ไปศึกษาธรรมะนั้นแล้วรู้สึกธรรมะนั้น อันนี้ธรรม อันนี้เป็นอันนี้ เห็นไหม

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เพราะอะไร เพราะสมาธิธรรมนั้นเป็นของเรา ปัญญาธรรมก็เป็นของเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาเป็นของเรานะ ของเราเพราะอะไร เพราะเป็นปัจจัตตัง มันสันทิฏฐิโก มันรู้จากตัวเอง อ๋อๆๆ ซึ้งมาก ซึ้งมากเลยเพราะไม่ต้องทบทวน ไม่ต้องไปตรวจสอบกับใครทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตอยู่แล้ว มันรู้เหมือนกัน

ถ้ามันรู้ไม่เหมือนกันนะ ทำไมสมณโคดมนี่องค์ที่ ๔ เห็นไหม แล้วองค์ต่อไปพระศรีอริยเมตไตรยนะ อนาคตวงศ์อีก ๑๐ พระองค์ อริยสัจเหมือนกันหมดเลย ถ้าเหมือนกันหมดนะ ทุกคนจะวิตกวิจารมาก ทำอย่างนี้จะถูกหรือไม่ถูก ทำอย่างนี้ถูกหรือไม่ถูก ถูกหรือไม่ถูกมันอยู่ที่ใจเรา มันเอ๊าะๆๆ ไปตลอด อ๋อๆๆ ตลอดไป อ๋อ..นั่นถูกหมด แต่ถ้ายังพูดอยู่ผิดหมด! ผิดหมด!

ผิดเพราะอะไร เพราะเราส่งออก เรารู้ออกไง เรารู้อาการที่มันเป็น แต่ไม่รู้จักตัวมันเอง อาการที่เป็นอาการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดเลย ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันแปรสภาพ อกุปปธรรมแปรสภาพไม่ได้ ธรรมะไม่มีการแปรสภาพ ธรรมะคงที่ แล้วคงที่เป็นอัตตาไหม คงที่ไม่เป็นอัตตา เป็นอัตตาเป็นภพ อัตตาเป็นภพ อัตตาเป็นตัวตน อนัตตาแปรสภาพ ธรรมแปรสภาพได้อย่างไร? ธรรมะแปรสภาพได้เหรอ?

ถ้าธรรมะแปรสภาพเป็นกุปปธรรม คือเป็นอนิจจังอยู่ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นธรรมชาติ มันแปรสภาพตลอดเวลา ใจก็เป็นธรรมชาติ

สิ่งที่มันแปรปรวนอยู่แล้วแต่เราไม่รู้จักมัน เราไม่เข้าใจมัน แล้วเราไปยึดมันไง ทำแล้วเป็นความดีๆ พยายามจะยึดไว้ หน่วงเหนี่ยวไว้ มันก็อยู่กับเราไม่ได้ วันเวลาหน่วงเหนี่ยวอยู่กับเราไม่ได้ วันเวลามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อนิจจังตลอดเวลา สัพเพ ธัมมา อนัตตา มันแปรตลอดเวลา

แต่ธรรมะแท้ๆ ไม่แปร! ไม่แปรเพราะอะไร เพราะมันพ้นจากวัฏฏะ มันไม่หมุนไปตามธรรมชาติ มันอยู่ของมันคงที่ของมัน เราถึงเป็นผู้ดูไง

ดูสิ ชีวิตของเรา โลกนี้คือละคร ทุกคนต้องเวียนตายเวียนเกิดไปตามธรรมชาติของมันตลอดไป ดีหรือชั่วมันไปตามธรรมชาติของมัน แต่สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะที่เราเห็นสัจจะความจริงแล้ว แล้วชำระล้างของมัน ชำระล้างนะ ชำระด้วยมรรคญาณ มรรคญาณเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มรรคญาณเกิดขึ้นมาเป็นโลกุตตรธรรม

สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นโลกียธรรมทั้งหมด โลกียะเพราะมันมีตัวตน โลกียะเพราะเรา ถ้ามีเรามีโลกียะทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นโลกียะนี่หมุนออกไป ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดว่าเป็นโลกียปัญญา เป็นโลกียะทั้งหมดเลยเพราะเกิดจากโลกทัศน์ เกิดจากความเห็น เกิดจากใจ ธรรมะเกิดจากไหน มรรคญาณเกิดขึ้นมาจากไหน ก็เกิดขึ้นมาจากใจ แต่เพราะมีสัมมาสมาธิไง เพราะมีสัมมาสมาธิกดตัวตนไว้ก่อน ถ้าตัวตนมีอยู่เป็นสมาธิไม่ได้

สิ่งที่รู้ว่าว่างไม่ใช่สมาธิ เพราะจิตมันออกไปรู้ความว่าง ออกไปรู้ข้างนอก แต่ตัวมันเองว่าง นี่ไง ภวาสวะมันสงบตัวลง ถ้าภวาสวะสงบตัวลง ภวาสวะนะ ตัวภพ ตัวอวิชชาสงบตัวลง ตัวมันเกิดธรรมขึ้นมา นี่หน่อของธรรมนะ แตกหน่อขึ้นมาจากใจ เห็นไหม นี่พาหะ เครื่องดำเนิน ดูสิ พาหนะพาเรามาที่นี่ แต่เราไม่ติดมัน เราปล่อยไว้ตามความจริงเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน สภาวธรรมที่มันเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา แต่มันไม่เป็นความจริง เราทิ้งมันเมื่อไหร่ มันรวมตัวเมื่อไหร่ เราทิ้งมันเมื่อไหร่นั่นน่ะ พาหนะทิ้งไว้ที่จอด เห็นไหม แล้วเราขึ้นมาจากฝั่ง เราขึ้นมาจากสถานที่

ใจก็เหมือนกัน ถ้ามันทำลายตัวมันเองแล้วมันจะพ้นออกไป เห็นไหม สิ่งที่พ้นออกไปเกิดจากการกระทำนะ มันละเอียดมาก ละเอียดๆ ละเอียดจนต้องมีครูบาอาจารย์คอยประคองไป เห็นไหม ถ้าไม่มีใครประคองไป พอว่าสัมผัสสิ่งใด เห็นไหม มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบๆ แล้วมันละเอียดไม่ได้ มันเจริญเติบโตไม่ได้เพราะความยึดของเรา เราไปยึดความเห็นของเราไง สิ่งนี้เป็นความจริง สิ่งนี้เป็นความจริง มรรคหยาบๆ นะ

สัมมาอาชีวะคือเลี้ยงชีพชอบ ไอ้นั่นมันมรรคของคฤหัสถ์เขานะ มรรคของอริยภูมิเป็นอย่างนั้นเหรอ? มรรคของอริยภูมิมันเกิดอย่างไร? นี่เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงอารมณ์ที่เกิดนะ โลกียปัญญาก็ผิดแล้ว มิจฉาแล้ว เพราะมันเป็นปัญญาของโลก เป็นปัญญาในโลก แล้วโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่พ้นจากโลก

นี่ไง มรรคละเอียดมันจะละเอียดเข้าไป เอามรรคหยาบมากั้นไว้แล้วมันละเอียดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไม่ยอมให้มันละเอียด ถ้าละเอียดกลัวจะผิดไง กลัวจะผิดพลาด กลัวจะตกไปในเหว กลัวจะไม่เป็นความจริง ต้องยืนอยู่บนภพ ยืนอยู่บนความคิด ยืนอยู่บนความรู้สึกของตัว ยืนอยู่บนความยึดมั่นถือมั่น กิเลสเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย แล้วมันละเอียดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะไปติดในมรรคหยาบๆ ไง มรรคของคฤหัสถ์เขา ไม่ใช่มรรคของอริยภูมินะ

ปุถุชน กัลยาณปุถุชน เป็นปุถุชนนี่ควบคุมจิตไม่ได้เลย เพราะมันไปตามรูป รส กลิ่น เสียง บ่วงของมาร พวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร กัลยาณปุถุชนเห็นโทษของบ่วงของมาร ละทิ้งรูป รส กลิ่น เสียงไว้ตามความเป็นจริง รูป รส กลิ่น เสียงไม่เคยให้โทษใครเลย ไอ้มารมันไม่รู้ ไอ้มารมันโง่ มันเข้าไปยึดรูป รส กลิ่น เสียงเอง

แต่พอปัญญามันรู้ทันของตัวเอง มันปล่อยรูป รส กลิ่น เสียงไว้ตามความเป็นจริง เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียงให้โทษใคร ไม่ให้โทษใครเลย ไม่ให้โทษใครเลย แต่เพราะความโง่ของจิต เห็นไหม นี่กัลยาณปุถุชน แล้วมันยกขึ้นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล เข้าไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม ปัญญามันจะหมุนเข้าไปตามสัจจะความจริงของมัน มันหมุนเข้ามา มันหมุนเข้ามา มันเป็นความจริงของมัน

สิ่งที่เราไม่รู้เท่าไง ไม่รู้เท่าเราก็ไปยึด ยึดว่าสิ่งนี้เป็นความถูกต้อง ถ้าคนทำไม่เหมือนเรา เราก็มีความยึดมั่นถือมั่นของความเห็นของใจ แล้วก็ไปโทษเขาไง ธรรมและวินัยมีไว้ไปแก้เรานะ ธรรมวินัยไม่แก้คนอื่นเลย ธรรมวินัยของแต่ละบุคคลแก้หัวใจของเรา ใจของเราถ้าเราพ้น เห็นไหม นี่ศาสนทายาท ศาสนทายาทเกิดที่นี่นะ

ธรรมเกิดจากหัวใจนะ ไม่ได้เกิดจากตู้พระไตรปิฎก ตู้พระไตรปิฎกเป็นวิธีการ เป็นเครื่องชี้บอก แต่จริงๆ แล้วมันเกิดกลางหัวใจ ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ ตู้พระไตรปิฎกอยู่กับเรา เปิดกลางหัวใจเลย แล้วเปิดเมื่อไหร่ก็ได้ รู้ไปหมด เพราะอะไร เพราะผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันจะรู้สัจจะความจริงหมดเลย สัจจะความจริงเพราะอะไร เพราะความคิดอย่างนี้เป็นโลก ความคิดอย่างนี้เป็นธรรม ติดในธรรมก็ไปไม่รอด ทิ้งทั้งโลกนะ ทิ้งทั้งดีและชั่วแล้วจิตมันจะพ้นออกไป

ถ้าพ้นออกไป มันจะรู้เท่า เห็นไหม นี่วุฒิภาวะของใจ ใจมันเป็นไปได้นะ เป็นไปได้ มีการกระทำ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ไม่อย่างนั้นเราติดหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ตรัสรู้ขึ้นมาแล้วนะจะสอนใครได้หนอ ดูสิ ดูพุทธปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ ยังวิตกวิจารขนาดนั้นว่าจะสอนใครได้หนอ? จะสอนใครได้หนอ?

แล้วเรามาสอนกันแบบเด็กๆ ท่องจำกันมา วัดกันมาน่ะ วัดผล วัดผล สมาธิลงคะแนนได้สมาธิ เอาคะแนนขึ้นมาวัดกัน ไม่ใช่! คะแนนเป็นคะแนน เรากดก็ได้ กดคะแนนก็ขึ้น แต่เป็นสมาธิจริงไหม? เป็นปัญญาจริงไหม? เป็นสิ่งที่ละกิเลสจริงไหม? แก้สงสัยในหัวใจได้ไหม? รู้เท่ากับใจได้ไหม? เอวัง