เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี่ชีวิตนะ ชีวิตเราเกิดมา เกิดมาในชีวิตนี่เราก็ว่าเรามีความสุข เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตนี้ เห็นไหม อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ความจริงเป็นความทุกข์นะ เรามองไปในสัตว์ แมลงวันมันอยู่ได้แค่ ๗ วันเท่านั้นนะ แล้วเวลาผู้ที่มีคุณธรรมเขามองชีวิตเรานะ ชีวิตเราทั้งชีวิตเราว่าชีวิตหนึ่งทั้งชีวิตนะ ดูวัฏฏะสิ ดูวัฏฏะ เห็นไหม นี่ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เขามองชีวิตเราก็แค่ ๗-๘ วันเท่านั้นนะ แล้วถ้า ๗-๘ วันนี่นะ เวลาเราเกิดมาเกิดมาเพื่ออะไร ถ้าเราเกิดมาไม่เป็นความทุกข์

แต่ถ้าเป็นธรรมะเกิดมาเพื่อโอกาสนะ อริยทรัพย์การเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไร เพราะจิตวิญญาณมีมหาศาลเลยแล้วมันไม่ได้เกิดนะ มันไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มันต้องเกิดตามแต่เวรแต่กรรมของเขาไป ถ้าเกิดแต่กรรมแต่เวรของเขาไป เห็นไหม นี่สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเหมือนเต่าตาบอดอยู่ในทะเลนะ เวลาโผล่ขึ้นจากทะเล ถ้าโผล่ขึ้นมาอยู่ในบ่วงนั่นนะ เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง

มนุษย์สมบัตินี่มีคุณสมบัติมหาศาลเลย มีคุณสมบัติมหาศาลเพราะอะไร เพราะว่ามันมีโอกาสไง มันมีโอกาสว่าเรารู้จักชีวิตของเรา นี่ถ้าตกนรกอเวจีนะ มันก็เหมือนกับคนอยู่ในคุกในตะราง มันมีคนคุมอยู่ตลอดเวลานะ อยู่ในสวรรค์ อยู่ในพรหมนี่ มันก็มีความเพลิดเพลินของเขาไปในชีวิตไง แต่ออกมานี่เป็นอิสระ มนุษย์นี่เป็นชีวิตที่อิสระมาก จะทำความดีก็ได้ จะทำความชั่วก็ได้ จะทำอะไรก็ได้แล้วแต่เราจะเลือกเอา แล้วแต่เราจะเลือกเอานะ แล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะ นี่ไงโอกาสของชีวิต เราจะทำคุณงามความดีของเรานะ ถ้าเป็นคุณงามความดีของเรา ถ้าเป็นกิเลสนะมันบอกว่าเราเสียเปรียบ เราเสียเปรียบโลกเขา โลกเขามีแต่ผลประโยชน์ เห็นไหม

แต่ถ้าเราเป็นผู้เสียสละ เราเป็นผู้ให้ ทั้งชีวิตของเราเป็นผู้ให้ มันเกิดอำนาจวาสนานะ มันเกิดบารมี นี่บารมีธรรมเกิดอย่างนี้ เกิดจากการยอมรับของสังคม เกิดจากการยอมรับของหมู่คณะ เกิดการยอมรับ เห็นไหม ถ้าในธรรมะนะเขาเรียกลงใจ ถ้าลงใจนะ เราไว้ใจ เราลงใจเราทำอะไรก็ได้ ถ้าเราไม่ไว้ใจเราไม่ลงใจสิ่งต่างๆ เราจะมีความระแวงตลอดไป ถ้าเรามาลงใจกัน เห็นไหม เราไม่ไว้ใจคนนี้ เราไม่ไว้ใจ ๒ คนนี้ เราไม่ไว้ใจสิ่งต่างๆ ชีวิตเรานี่มีแต่ความหวาดระแวง

แต่ถ้าเราไว้ใจ เราไว้ใจเพราะอะไรล่ะ เราไว้ใจเพราะ ดูสิ สัตว์นะ เราให้อาหารสัตว์นะ สัตว์มันยังเห็นว่าเราให้อาหารมัน มันไว้ใจเรานะ มันจะคุ้นเคยกับเรา มันจะเห็นว่าตรงนี้ไม่เป็นภัย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นผู้ให้ เราเป็นผู้ที่สร้างคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีไม่ใช่ว่าให้อย่างเดียวนะ การให้วิชาการ การให้การคุ้มครอง การให้ต่างๆ มันเป็นการให้ทั้งนั้นนะ ถ้ามีการให้อย่างนี้ คนที่อยู่ในปกครอง คนที่อยู่กับเรา เขาก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม นี่มันได้หัวใจมาตรงนี้ไง ถ้ามันได้หัวใจตรงนี้ นี่สิ่งนี้การสร้างสม เห็นไหม ถ้าสร้างสมขึ้นมาอย่างนี้ เราเกิดมาเพื่อเรา ทำความดีเพื่อเราจะไม่ทุกข์ไม่ร้อน

คนจะบ่นมากเลยว่าทำความดีไม่ได้ดี เราคิดว่าความดีคืออะไรล่ะ ความดีคือได้ประกาศนียบัตรใช่ไหม ความดีคือเขาประกาศยกย่องเราหรือ สิ่งนั้นมันเป็นสมมุติทั้งนั้นนะ เพราะมีการสมมุติอย่างนั้น โลกเป็นอย่างนั้น โลกมันเป็นกรอบอย่างนั้น เขาถึงแสวงหากัน เขาต้องทำการประชาสัมพันธ์กัน เขาถึงทำความดีเพื่อเกียรติยศเกียรติศักดิ์ของเขา สิ่งนั้นไม่ใช่ความดีแท้เลย

ถ้าความดีของเรานะ เราทำแล้วเราสบายใจของเรา เราทำความดีของเรา เห็นไหม ความดีนี้จะให้ผลมหาศาลเลย ถ้าความดีอย่างนี้เกิดขึ้นมา เห็นไหม มันจะย้อนกลับมาที่หัวใจนะ ถ้าหัวใจเห็นคุณงามความดีอย่างนี้ มันจะมีคุณค่าขึ้นมา เรามองไปแต่เรื่องวัตถุ มองไปแต่การยอมรับของสังคม มองไปแต่ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์เกียรติคุณ แต่เราไม่มองการยอมรับของใจเราเองเลย

ถ้าเรามองการยอมรับใจเราเองนะ เราไม่โกหกตัวเองไง ภิกษุอธิษฐานพรรษาแล้วขาดพรรษาไป มันเป็นอาบัติตรงไหนล่ะ เป็นอาบัติเพราะว่าเราขาดสัจจะกับเรา เราหลอกตัวเองไง เราโกหกคนอื่นนะเป็นความโกหกอันหนึ่ง เราโกหกตัวเอง เราตั้งสัจจะแล้วไม่ได้ทำสัจจะของตัวเราเองนะ เราผิดกับตัวเราเอง เห็นไหม นี่มันไม่ได้ความดีที่เป็นความจริงจากหัวใจของเรา

ถ้าความดีที่เป็นความจริงจากหัวใจของเรา เห็นไหม สิ่งที่เป็นความดีของเรานะ ถ้าเป็นความดีของเราจะเป็นสภาวะแบบนี้ ถ้าสภาวะแบบนี้มันจะย้อนกลับมาที่เรานะ ที่การเกิดเป็นมนุษย์ไง ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เพราะมนุษย์มันมีสิทธิ์เลือกใช่ไหม ถ้าเขาเลือกทางวัตถุกัน เลือกโลกธรรม ๘ นี่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เขาได้เลือกเรื่องลาภยศเรื่องชื่อเสียงของเขา แต่ความเสื่อมของเขาเขาไม่มองว่ามันจะเสื่อมไป ถ้าความเสื่อมอันนั้นมันจะมีความทุกข์ของเขา แต่เราไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย เห็นไหม เราไม่ต้องการลาภ ไม่ต้องการสักการะ ไม่ต้องการยศสรรเสริญใดๆ ทั้งสิ้น เราทำความดีเพื่อความดี เห็นไหม

ถ้าความดีเพื่อความดีของเรา ความดีของเราใครจะมาแย่งชิงของเราไปได้ล่ะ เพราะอะไร เพราะเราทำไม่มีใครรู้กับเราหรอก เรานั่งสมาธิภาวนา เราเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน มีใครรู้กับเรา มีแต่เทวดา อินทร์ พรหม รับรู้กับเรา เห็นไหม ถ้าเทวดา อินทร์ พรหม เป็นสัมมาทิฏฐินะ เขาเห็นคนทำคุณงามความดีจะเป็นคุณงามความดี ถ้าเทวดา อินทร์ พรหม เป็นมิจฉาทิฏฐินะ เขาก็ไม่เห็นคุณงามความดีกับเรา

หลวงปู่มั่นไปเดินจงกรมอยู่ในป่า เห็นไหม ท่านเดินจงกรมของท่าน เพราะท่านรู้วาระจิตของสัตว์ ของพญานาค ของสัตว์ต่างๆ เห็นไหม ท่านเดินจงกรมเสียงดัง เขาบอกว่า “ภิกษุอะไรเดินอย่างกับม้าแข่ง” เห็นไหม เพราะการเดินมันก็มีเสียงเป็นปกติ ก็เดินธรรมดานี่แหละ แต่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันมีความเห็นของมันว่าต้องตามความพอใจของเขา มันไม่ได้ดั่งใจของเขา นี่รู้ว่าเขาจะเป็นกรรมของเขา อุตส่าห์เดินด้วยความสำรวม “ภิกษุอะไรเดินเหมือนกับคนเป็นไข้” นี่ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่เขาเห็นของเขา เขารู้ของเขาว่านี่คือทำอะไร แต่จิตใจของเขาเป็นสภาวะแบบนั้น จนหลวงปู่มั่นต้องเทศน์สอนนะ เทศน์สอนว่า “ถ้าจะหาบเอาแต่ความชั่วมาใส่หัวใจนะ คนอื่นทำความดีขนาดไหน เราก็ไม่เห็นความดีของเขาหรอก”

แต่ถ้าเราไม่เอาความชั่วไปใส่ในหัวใจของเรานะ ความดีก็คือความดีไง ความดีเป็นสภาวะแบบนั้น เราจะไม่เดือดร้อนกับเรา “ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว” เรายืนยันสัจจะข้อนี้ แต่ความดีมันมีตั้งหลายระดับ ความดีของเด็ก เห็นไหม แค่มันทำคุณงามความดี เราชมเขา เขาจะชื่นใจมาก เด็กทุกคนต้องการการชมจากผู้ใหญ่เท่านั้นเองว่าเป็นคุณประโยชน์ของเขา แต่ของเราใครชมขนาดไหน ถ้าเราไม่มีผลประโยชน์เราก็ไม่ได้ของเรา ถ้าผลประโยชน์ของเรา คนที่มีตานะ ผลประโยชน์นั้นนะ คนโง่ร้อยคนพันคนชมไม่มีความหมายเลย ถ้าคนมีปัญญาชม พูดคำเดียวนะคำนั้นจะเป็นสิ่งที่เตือนใจเรา เห็นไหม

คนมีปัญญาพูดเราต้องฟังท่าน ฟังท่านเพื่ออะไร เพราะสิ่งที่เป็นประสบการณ์ของท่าน ท่านจะเตือนเรา ถ้าเตือนเราเป็นประโยชน์ของเรา เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นประโยชน์ของเรา มันเป็นประโยชน์จากหัวใจ สิ่งนี้เป็นนามธรรมทั้งนั้น ศีลธรรมวัฒนธรรมมาจากไหน ศีลธรรมวัฒนธรรมมาจากหัวใจนะ นี่สิ่งที่ศีลธรรมวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมที่เขาทำกันมา มันมาจากไหน คนรู้จริงเขาทำของเขามันเป็นประโยชน์กับเขา เขากระทำของเขาขึ้นมา มันเป็นพิธีกรรมขึ้นมา นี่พิธีกรรมทำผิดทำถูกก็ว่ากันไป แต่มันมาจากไหนล่ะ มาจากความรู้สึกใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราอ่อนนิ่มควรแก่การงานนะ มันจะเห็นทรัพย์จากภายในของเรา ความดีเพื่อเราไง ความดีเพื่อความสุขของเรา เราอยู่ของเรานะ บุญกุศลหมายถึงว่า ในครอบครัวนั้นยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขในครอบครัวนั้น นั่นคือบุญ บุญไม่ใช่วัตถุ บุญไม่ใช่สิ่งที่เอามาโชว์กัน เห็นไหม ถ้าบุญเป็นวัตถุนะโลกเป็นอย่างนี้ โลกเป็นอจินไตย ความเป็นอจินไตยคือมันจะมีอย่างนี้ตลอดไปนะ แล้วมันเป็นอนิจจัง ความที่เป็นอนิจจังมันปรับสภาพของมัน มันเป็นยุคเป็นสมัยของมัน มันจะปรับสภาพของมัน

แล้วเราเกิดในยุคสมัย เห็นไหม ยุคสมัยที่ว่าศาสนาเจริญขึ้นมาหนหนึ่ง ศาสนาเจริญขึ้นมาคือผู้นำที่ดี ครูบาอาจารย์เรานี่จิตใจที่เป็นธรรม จิตใจที่เป็นธรรมจะพูดถึง เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ท่านไปหาครูบาอาจารย์ ท่านจะบอกเลย คุณงามความดีนี่ นิพพานอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ที่ดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุ ไม่อยู่ที่สิ่งใดๆ เลย อยู่ที่หัวใจของเรา ถ้าคุณงามความดีในหัวใจของเรา เห็นไหม ทุกคนมีคุณงามความดีหมด หน่วยของสังคม ทุกคนสร้างแต่คุณงามความดี สังคมนั้นจะไม่มีการโต้แย้งกันเลย สังคมนั้นจะมีความสุขมาก

สังคมนั้นเกิดมาจากไหน ชาติ ชาติคืออะไร ชาติคือมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นชาติขึ้นมา เราเหมือนกันถ้าสังคมเป็นความสุข เห็นไหม ศาสนาพุทธเห็นไหม นี่ศาสนาพุทธในประเทศของเรานี่ศาสนาพุทธ ถ้าศาสนาพุทธในประเทศอื่นล่ะ นี่ศาสนานี่มันเป็น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นะ ถ้าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันเป็นองค์กรขึ้นมา องค์กรขึ้นมาจากมนุษย์เราขึ้นมา

แล้วย้อนกลับเข้ามาในการประพฤติปฏิบัตินะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตนนะ ความดีความชั่วของเขาเป็นความดีความชั่วของเขา ความดีความชั่วของเราเป็นความดีความชั่วของเรา ถ้าความดีความชั่วของเรานี่มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่การกระทำของเรา ไม่มีความลับนะ ความลับไม่มีในโลก เราทำของเราเราจะรู้ตัวตลอดเวลา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่มันเป็นปัจจัตตังนะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาเฉยๆ ถ้ามันคายตัวออกมานะ สิ่งที่มันคายตัวนี่มันไม่ได้ชำระกิเลสไป มันเป็นปกตินะ

แต่ถ้าเราสงบเข้ามานะ แล้วเราใช้ปัญญาของเรา เวลามันออกจากสมาธิมานี่ มันจะเบากายเบาใจนะ ความลังเลสงสัย ความสงสัยในหัวใจนะมันได้ตัดทอนไปเรื่อยๆ สิ่งที่ตัดทอนไปเรื่อยๆ เห็นไหม นี่คำนี้ สิ่งนี้มันมาจากไหน มันมาจากหัวใจสัมผัส นี่สันทิฏฐิโก ความเป็นไปของใจ ถ้าสิ่งที่มันสัมผัสขึ้นมานี่ มันจะรู้ของมันตามความเป็นจริง รู้ตามความเป็นจริง

ทุกคนถามมากเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าปฏิบัติไปแล้วถูกต้องหรือผิด ถูกต้องหรือผิดนะ เราจะรู้ของเราสักที ถ้าสิ่งที่มันกินไปในเนื้อของใจ เห็นไหม ถ้าเป็นสมาธินะ ถ้าใจมันเป็นนะ มันจะฝังหัวใจมาก ถ้าปัญญามันใคร่ครวญขึ้นมาแล้วนี่มันจะฝังอยู่ในหัวใจ พอฝังหัวใจ เห็นไหม ฝังอยู่ในหัวใจกิเลสมันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับใจ สิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์กับมัน พอมันได้สัมผัสปั๊บนี่มันก็จะยึดของมัน ความยึดอันนั้นเป็นกิเลส พอความยึดอันนั้นเป็นกิเลส ความต้องการ ความปรารถนา เวลาปฏิบัติด้วยความต้องการด้วยความปรารถนามันจะไม่ได้ผลเลย ไม่ได้ผลเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันเคลื่อนไปก่อน มันเป็นอนาคต สิ่งที่ความปรารถนามันเป็นอนาคตนะ

แต่เวลาเราตั้งความปรารถนาของเรา เห็นไหม นี่บารมี ๑๐ ทัศ นี่อธิษฐานบารมีคือเป้าหมาย ถ้าเราทำถึงเป้าหมายนะ บารมี ๑๐ ทัศ เห็นไหม นี่สิ่งที่สร้างมา ศีลบารมี ทานบารมี สัจจะบารมี ทานบารมี อธิษฐานบารมี เป้าหมายอย่างนี้ทำได้ แต่ขณะที่จิตมันปฏิบัตินี่ มันฝังใจขึ้นมา มันออกไปก่อน เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นความอยากซ้อนความอยาก โดยสัญชาติของคนมันมีความปรารถนาดี แต่ความปรารถนาดี ดีของกิเลสมันก็ดีด้วยความยึดมั่นถือมั่น ดีด้วยกิเลสด้วยตัณหาความทะยานอยาก ดีอย่างนี้กิเลสพาดี

ถ้าดีธรรมพาดีนะ มันต้องรู้จักตนรู้จักตัวของเราขึ้นมา เห็นไหม ถ้าดีของเราดีโดยความดีนี่ มันจะดีเข้ามาจากหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้าดีอย่างนี้มันจะดีเพื่อเรา ถ้าดีเพื่อเราแล้วใครเป็นคนรู้กับเรา ความลับไม่มีในโลกหรอก ความลับไม่มีในโลก ใจดวงนี้มันจะรู้ของมัน ความสกปรกมันก็สกปรกของมันนะ เวลาทุกข์มันก็แบกหามของมัน แต่ทางโลกเขาเห็นไหม แบกหามขนาดไหนเขาก็มีความสุขของเขา เขาพูดถึงความทุกข์กันไม่ได้ เขามีศักดิ์ศรี เห็นไหม

แต่เวลาเรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงคลมฺตตมํ สนทนาธรรมกันนะ เวลาครูบาอาจารย์ออกจากป่ามาสนทนาธรรมต่อกัน นี่ผู้ที่สูงกว่าจะดึงผู้ที่ต่ำกว่าขึ้นไป เห็นไหม เพราะเราพูดออกไปนี่เราพูดถึงความรู้สึกหมดความรู้สึกของเรานะ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ท่านสูงกว่าท่านยังไปได้อีก เห็นไหม ความไปได้อีกคือเราติดไง แต่ถ้ามันเสมอกัน เห็นไหม สิ่งที่เสมอกัน รู้เหมือนกัน อริยสัจอันเดียวกันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาวางธรรมและวินัยให้เราก้าวเดิน

พวกเราปฏิบัติก็เหมือนกัน ที่เราประพฤติปฏิบัติกันนะ ถ้าถึงที่สุดแล้วเห็นไหม เสมอกัน ความสะอาดบริสุทธิ์เสมอกันนะ แต่อำนาจวาสนาของคนต่างกัน การประพฤติปฏิบัติ จริตนิสัยคนก็ต่างกัน การสละทานของเราก็ต่างกัน สิ่งที่ต่างกันนะถ้าเราไปสละที่วัตถุ วัตถุเป็นวัตถุนะ แต่เจตนาสำคัญมาก เจตนาของเราถ้าเราเปิดกว้างขนาดไหนนะ สิ่งนี้มันจะเข้ามาฝังใจเรา เจตนานี้สำคัญมากเลย

เจตนา เห็นไหม เวลาออกมาเป็นเจตสิก เจตสิกออกมาจากใจ ถ้าใจมันยึดมันก็ทุกข์ของมันอีกนั่นล่ะ แต่ถ้ามันรู้จักมันนะ เรายึดของเรา ยึดเพื่อเป็นถนนหนทาง ยึดเพื่อเป็นที่การก้าวเดิน การก้าวเดินถึงที่สุดไปแล้วนะ เราจะผ่านสิ่งนี้ไป ถ้าเราไม่ยึดสิ่งใดเลย เราจะไปสิ่งนั้นไม่ได้ นี่ความดีมันมีหลายระดับ ความดีที่ต้องยึดก่อน ยึดเป็นถนนหนทางไปก่อน ยึดเป็นเครื่องดำเนินไปก่อน เห็นไหม ในกาลามสูตรบอกไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ เลย แต่ในศรัทธาความเชื่อมันต้องมีก่อน เห็นไหม ในกาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์สอนนะ ไม่ให้เชื่อ เพราะความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่สัจจะความจริงในหัวใจของเรานี้มันแก้กิเลสได้ แต่ถ้าไม่มีความเชื่อเลย ไม่มีความศรัทธา เห็นไหม

มีศรัทธาแล้วถึงมีการกระทำ มีการกระทำนี้มันเป็นกิจจญาณ เพราะมันมีกิจจะ มีการกระทำ มีการงาน แล้วความเป็นจริงอันนั้นนะ เราเชื่อความเป็นจริงอันนั้น ในกาลามสูตร เห็นไหม ถ้าเราบอกว่าไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย เราก็ไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแบบนี้ปล่อยวางแบบไร้สาระ ปล่อยวางแบบเด็กๆ นะ เด็กๆ มันสมมุติเล่นกัน เป็นอะไรมันก็สมมุติเล่นกัน เราสมมุติว่าปล่อยวาง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ปล่อยวาง

ถ้าการปล่อยวางเห็นไหม กาลามสูตร ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานี่ เรารู้จริงเห็นจริงนะ เราจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับหัวใจของเรา แล้วเราจะเป็นที่พึ่งกับสัตว์โลกทั่วไปๆ เห็นไหม ความดีอย่างนี้มันเป็นความดีของเรานะ เกิดมานี่ทุกข์แน่นอน สัจจะเป็นความทุกข์ ทุกข์เพราะเราเกิดมา มีการเกิด ชาติปิ ทุกขา มีเหตุแล้วมันต้องมีผลไป แต่ความทุกข์เพื่อความประพฤติปฏิบัติ ความทุกข์เพื่อเรามีโอกาส ความทุกข์เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราพยายามสร้างสมของเรา ความทุกข์อย่างนี้ทุกข์เพื่อจะพ้นทุกข์

แต่ถ้าทุกข์แบบโลก ทุกข์แบบชีวิตนะ มันจะทุกข์ไปอย่างนี้ เวลาเราเศร้าสร้อยหงอยเหงา เห็นไหม เวลาเราเศร้าสร้อย นี่อาลัยอาวรณ์เป็นกิเลสตัวสุดท้ายนะ ความอาลัยอาวรณ์นี่กิเลสนะ เวลาเราทุกข์เราเจ็บแสบปวดร้อนอันหนึ่ง เวลาเราเศร้าสร้อยหงอยเหงามันเป็นความอาลัยอาวรณ์ แล้วนี่อนุสัยอย่างนี้ถ้าเราถอนออกหมดจากใจแล้วนี้ ดูสิว่าความสุขอันนี้มันมาจากไหน วิมุตติสุขมันเกิดจากหัวใจที่ทุกข์ๆ นี่ หัวใจที่ทุกข์ถึงที่สุดแล้วนี่มันจะมีความสุขของมัน ความสุขจริงๆ อย่างนี้ไม่อาศัยอามิส ไม่อาศัยสิ่งใดๆ เลย มันเป็นความสุขโดยธรรมชาติ เอวัง