เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระนี่ชาวพุทธเราให้ทำบุญกุศลไง แม้แต่ทำบุญกุศลนะ ว่าทำบุญอยากได้บุญ แล้วว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญ เกิดมาทุกข์ยากมาก ชีวิตนี่เกิดมาทุกข์ยากมาก อยากได้บุญกุศล แล้วว่าทำบุญแล้วว่าได้บุญมากๆ เราคิดกันเองไงว่าเป็นบุญ เราคิดว่าเราทำแล้วได้ต้องสิ่งตอบแทน ความตอบแทนนั้นนะ บุญมันจะให้ผลต่อเมื่อมันเป็นโอกาสวาสนา เวลาทำธุรกิจทำอะไรต่างๆ โอกาสวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน ไอ้นี่มันเป็นบุญเก่า บุญเก่าบุญใหม่

แต่บุญใหม่ในปัจจุบันนี้ บุญในปัจจุบันนี้ทำให้เราสบายใจก่อน ถ้าสบายใจก่อน ใจเราสบายไปโอกาสต่อไปข้างหน้า โอกาสต่อไปข้างหน้านะ แต่คนเราเหรียญมี ๒ ด้านตลอด คนทำทั้งความดีและความชั่ว ทำความดีและความชั่วเพราะอะไร เพราะเราไม่มีสติสัมปชัญญะ เราถึงไปวัดกันไง เราไปเสียสละ ไปเสียสละทาน เสียสละเพื่ออะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นความตระหนี่ถี่เหนียว ทุกดวงใจ ธรรมชาติของคนนะของของเรา ยิ่งเป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์ เขาไม่ใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวนะ เขารู้จักรักษาสมบัติของเขา

สมบัติที่เราได้มาเราต้องรักษานะ เราต้องดูแลมัน ไม่ใช่ว่า อุ้ย เราเป็นคนมีบุญเราจะฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ คำว่าตระหนี่ถี่เหนียว ตระหนี่ถี่เหนียวนี่มันยึดที่ใจ แต่การประหยัด การมัธยัสถ์ การดูแลรักษาสมบัติเราก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วนี่เราเสียสละนี้ออกไป เสียสละเพื่ออะไรล่ะ เพื่อให้หัวใจมันได้ผ่อนคลายไง มันได้การกระทำนะ เราทุกข์เรายากนี่มันอัดอั้นตันใจ สิ่งนี้มันจะเปิดการกดดันในหัวใจออกไป เห็นไหม การเสียสละอย่างนี้มันเพื่อบุญกุศลในปัจจุบันนะ

แต่บุญที่เราทำกันอยู่นี้ บุญที่เราได้มานี่ ดูสิ การเกิดมาแล้วเป็นบุญกุศลนะ ถ้าเราไม่มีบุญกุศลเราไม่มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก ดูสิ การเกิดเป็นมนุษย์น่ะ แล้วเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่เท่ากัน มนุษย์เกิดมาก็ไม่เท่ากันนะ เกิดสูงเกิดต่ำ เกิดลุ่มๆ ดอนๆ การเกิดของมนุษย์นี่บุญกุศล เห็นไหม สิ่งที่บุญกุศลแล้วเราเกิดมาแล้วนี่ ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมา เรามีความไขว้คว้าขึ้นมา เราจะเอาบุญกุศลที่มากไปกว่านี้ไง บุญกุศลเป็นอริยทรัพย์ เห็นไหม ดูสิ เราจะมาประพฤติปฏิบัติกัน

วัดทั่วๆ ไปเขาก็ทำบุญกุศลกันเป็นพิธีกรรมนะ แล้วก็พยายามดึงคนเข้าวัดเป็นเรื่องของสังคม สังคม ดูสิ อย่างนี้มันเป็นการไหว้วานกัน เป็นการช่วยเหลือเจือจานกันได้ มันเป็นอามิสไง แต่ถ้าเป็นบุญจริงๆ ขึ้นมานี่ บุญเกิดจากใจขึ้นมานี่ เรานั่งสมาธิภาวนาขึ้นมานี่มันเป็นของของเรานะ ไม่มีใครทำแทนใครได้เลย ดูเจ็บไข้ได้ป่วยใครแทนใครได้ เวลาเราเห็นคนอื่นเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็ได้แต่ปลอบใจกัน เห็นไหม เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยถ้าเราไม่เข้มแข็งของเรา เราไม่รักษาของเรา เราไม่มีจุดยืนของเรา เราป่วย ๒ คนนะ ใจก็ป่วย กายก็ป่วย เรื่องของการป่วยร่างกายมันเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา

หัวใจไม่เคยแก่นะ หัวใจคนเราไม่เคยแก่หรอก ตั้งแต่เกิดมามีอย่างนี้ แก่เฒ่าขนาดไหนมันก็ยังกระชุ่มกระชวยของมันอยู่อย่างนั้นนะ เห็นไหม หัวใจมันไม่เคยป่วย ถ้าหัวใจไม่เคยป่วยมันก็ไม่เจ็บไม่ไข้ แล้วเราไม่เข้าใจในสัจธรรมมันก็เจ็บไข้เข้าไปอีก มันก็อ่อนแอไปกับเขา มันก็อ่อนแอไปกับร่างกาย พออ่อนแอไปกับร่างกายโรคภัยไข้เจ็บมันก็ยิ่งกดทับเราเข้าไปใหญ่ ให้มันป่วยคนเดียว ให้ร่างกายมันป่วยเป็นธรรมชาติของมัน ร่างกายนี้มันต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ร่างกายนี้เป็นเรือนรังของโรค มันมีโรค ธรรมชาติมันมีโรคอย่างนั้น ถึงไม่มีอะไรเลยมันก็จะชราภาพไปเป็นธรรมดา

แต่หัวใจนี่มันไม่ธรรมดานะ หัวใจนี่เวลาทุกข์มันสุขขนาดไหนก็แล้วแต่ พอมันตายไปนี่เห็นไหม มันเป็นอนัตตา ความทุกข์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป พอดับไปก็ทุกข์อีกๆ เห็นไหม มันหมดไปไหม? มันจะสิ้นสุดไปไหม? มันไม่สิ้นสุดไปหรอก เห็นไหม ถ้าเราทำความสงบของใจ นี่ถ้าเราทำความสงบของใจๆ มันต้องมีอะไร มันต้องมีสติสัมปชัญญะ เราก็เข้าใจเป็นบุญ บุญคือการนอนเป็นขอนไม้ไง ขอนไม้มันนึกว่าบุญ มันไม่ต้องทำอะไรเลยอยู่เฉยๆ เป็นบุญไง

นี่ก็เหมือนกัน สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าเฉยๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่เคยตั้งสติขึ้นมา ไม่เคยรักษาตัวเองเลย บุญเป็นอย่างนั้นเหรอ เราคิดว่าบุญมันคือการสะดวกสบายใช่ไหม บุญคือการนอนเหมือนขอนไม้ใช่ไหม บุญคือมันลอยมาจากฟ้าไง แล้วนั่งสมาธิภาวนาก็ให้มันลอยมาจากฟ้าไง ไม่ตั้งสติกัน ไม่มีการกระทำกันเลย ไม่มีการตั้งสติ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เหมือนเราต้มน้ำนะ เรามีหน้าที่รักษาไฟ น้ำมันต้องเดือดแน่นอน เราตั้งสติของเราไว้ นี่อาการของใจ การกระทำนี่เป็นอาการหมด เป็นกิริยาของใจ กิริยานี่การกระทำขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อเข้าไปถึงตัวของใจ ถ้าตัวของใจมันอิ่มเต็มของมัน เห็นไหม ดูสิ มันพร่องอยู่เป็นนิจความรู้สึกนี่ ดูสิ มันคิดตลอดเวลา มันหิวโหยตลอดเวลา มันหิวยิ่งกว่าการกินทางปากนะ กินทางปากถ้ามันอิ่มแล้วมันก็เต็มนะ แต่หิวนี่มันหิวตลอดเวลา มันไม่เคยอิ่มเต็มเลย

แต่ทำสมาธินี่มันอิ่มเต็ม ถ้าสมาธิอิ่มเต็ม มันอิ่มเต็มของมันมันถึงเป็นสมาธิได้ ถ้าเป็นสมาธิได้ นี่ความสุขอย่างนี้ แล้วมันเกิดจากอะไร มันเกิดจากการขวนขวาย เกิดจากความเพียรชอบ เกิดจากการตั้งสติ มันไม่ได้เกิดจากบุญแบบนอนแบบขอนไม้หรอก เราเข้าใจว่าบุญคือสะดวกสบายไง คือสะดวกสบายคือได้มาง่ายๆ คือว่าเป็นบุญมันจะลอยมา มันจะจับยัดใส่มือมา มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แล้วเราคิดขึ้นมา เห็นไหม

ดูสิ เรามีเชาว์ปัญญาขึ้นมา ปัญญามันเกิดขึ้นมานี่ บุญมันเกิดตรงนี้นะ บุญมันเกิดด้วยการแยกแยะถูกแยกแยะผิด ถ้ามันเป็นความถูกความผิดปัญญามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ เชาว์ปัญญามันเกิดขึ้นมา เรามองเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง คนคนหนึ่งจะมองเหตุการณ์ด้วยความพอใจ อีกคนคนหนึ่งมองเหตุการณ์สลดสังเวช อีกคนคนหนึ่งมองเหตุการณ์ด้วยไปแบกรับภาระมัน เห็นไหม แต่เราแยกแยะมัน สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมัน เป็นธรรมดาของมันนะ

ดูสิ ความแปรสภาพเป็นธรรมดา สิ่งนี้เป็นธรรมดาของมัน ถ้าปัญญาเราเท่าทันแล้วเราแยกแยะได้ นี่ปัญญาแยกแยะได้มันเตือนสติไง เตือนเราไง เตือนเราให้เราหดความรู้สึกเราเข้ามา ให้หดความกังวล ให้หดการแบกรับ ให้หดการกดทับของกิเลส หดเข้ามาในตัวของตัวเอง นี่ปัญญามันเกิดอย่างนี้ ถ้าปัญญามันเกิดอย่างนี้ นี่ปัญญาใครทำให้ได้ล่ะ มันเป็นเชาว์ปัญญาของเรา

ฟังเทศนาว่าการ เห็นไหม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง... ได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง นี่ฟังทุกวัน มันตอกย้ำไง ตะปูเราตอกย้ำไม่ตอกย้ำนี่มันคายตัวออกมา มันจะถอนออกมา เราตอกย้ำ ตอกย้ำ ตอกย้ำทุกวัน ฟังจนเข้าใจจิตจะผ่องแผ้ว จิตจะเกิดความใสสว่าง นี่ความผ่องแผ้วอันนั้นนะ นี่สิ่งที่อิ่มเต็มอันนั้นนะ อันนั้นมันเป็นของใครล่ะ อันนั้นมันเป็นของเรา นี่การฟังเป็นการกระตุ้นความคิด เป็นการแยกแยะ เป็นการกระตุ้นให้หัวใจ มันได้กลับตัวไง ไม่ใช่นอนจมอยู่อย่างนั้น

ทำใจเป็นขอนไม้นะ อยู่กันเฉยๆ นี่สมาธิ สมาธิเฉยๆ สมาธิเหมือนขอนไม้ ขอนไม้ไม่มีความรู้สึกหรอก แล้วสติก็ไม่มี ทุกอย่างก็ไม่มี แล้วพอไปทำงาน เดินจงกรมก็ทุกข์ นั่งสมาธิก็ทุกข์ ตั้งสติก็ทุกข์ อู้ย! มันวุ่นวายไปหมดเลย อู้ย! อยู่เฉยๆ ดีกว่า อยู่เฉยๆ ดีกว่าก็ดูแบบขอนไม้ไง สมาธิเป็นอย่างนั้นใช่ไหม บุญเป็นอย่างนั้นใช่ไหม

บุญไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เราเข้าใจกันผิด กิเลสมันคิดไง คิดว่าความสะดวกสบาย ความอิ่มหนำสำราญนี้เป็นบุญ ไม่มีบุญเลย เพราะอะไร เพราะมันทำให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยไป อิ่มหนำสำราญ นี่กินอิ่มนอนอุ่นมันเพิ่มกิเลสทั้งนั้นนะ แต่เรามาตัดทอนมัน เห็นไหม มาขัดเกลากิเลส ธรรมะนี่ เห็นไหม ธุดงควัตรเป็นการขัดเกลากิเลส ฉันมื้อเดียว ฉันมื้อเดียวถ้านั่งแล้วยังไม่ได้สมาธิดั่งใจ เราก็ต้องผ่อนคลายมันอีก ขัดเกลามันอีก ขัดเกลามัน ทำความสะอาดมัน ผ่อนมันอีก ลดมันอีก ลดมันไป แล้วทางโลกก็ทำไม่ได้ อย่างนี้เป็นการทุกข์ เห็นไหม ไม่ใช่บุญแล้ว อู้ย! ทำไมต้องทรมานร่างกาย

ก็ทรมานกิเลสนะ ไม่ได้ทรมานเรา นี่ไอ้สิ่งธรรมชาตินี่ร่างกายนี้แปรสภาพเป็นธรรมดา การชราภาพเป็นเรื่องธรรมดา กาลเวลาเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ทุกอย่างเป็นธรรมดาเลย แล้วเกิดขึ้นมาแล้วนี่มันก็วนไปตามกระแส ขึ้นต้นแล้วจบลงท้ายโดยที่ไม่มีอะไรติดมือไปเลย เกิดมาเสียชาติเกิด เกิดมาเปล่าๆ ปฏิบัติกันเปล่าๆ ทุกอย่างเปล่าๆ โดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย

ติดไม้ติดมือนี่คือบุคลาธิษฐาน ติดหัวใจไปไง ติดหัวใจๆ มันได้ประสบการณ์อะไร หัวใจมันได้ความสุขอย่างไร หัวใจมันรับรู้อะไรขึ้นมาบ้าง อริยทรัพย์เป็นอย่างไร อริยทรัพย์ที่เขาหากัน ทรัพย์ที่เป็นแบงก์เป็นกระดาษนี่ พอลดค่าเงินบาททีหนึ่ง เวลาค่าเงินมันเปลี่ยนแปลงทุกข์ร้อนกันไปหมดเลย

แต่ทรัพย์จากภายในที่ไม่มีใครไปลดมันได้หรอก มันเป็นอกุปปธรรม มันเป็นของคงที่ในหัวใจ มันอยู่ที่ไหน แล้วทรัพย์สมบัตินี่มันอยู่ที่ไหน แล้วมันเกิดมาได้อย่างไร ก็มันเกิดมาจากไอ้ใจโลเลนี่ เกิดมาจากไอ้ล้มลุกคลุกคลานนี่ เกิดจากไอ้ขอนไม้นี่ ไอ้ใจที่เป็นขอนไม้ไม่ทำอะไรกันเลย นอนแช่อยู่นั่นนะ

จิตมันแช่กับกิเลส แช่กับความโลภ ความโกธร ความหลง แช่กับความไม่รู้เรื่องไง แล้วกระทำขึ้นมานี่กิเลสมันเป็นอย่างนั้น กิเลสทำอะไรไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นเรื่องลำบากลำบนไปหมดเลย สติก็เป็นเรื่องลำบาก ปัญญาก็เป็นเรื่องลำบาก การกระทำก็เป็นเรื่องลำบาก การกระทำบุญกุศลก็เป็นเรื่องลำบาก ขนาดทำอย่างนี้ลำบากนะ แล้วนั่งเฉยๆ ลมเข้า-ลมออก นี่กำหนดนี่ก็ลำบาก อะไรก็ลำบากไปหมดเลย แต่นอนจมกับกิเลสสบาย นี่มันถึงจะไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเราไปกันเลย แล้วก็ไม่รู้อะไรเลย

แล้วมรรคมันมีความเพียรชอบใช่ไหม มรรค ๘ มีความเพียรชอบใช่ไหม ความเพียร ความอุตสาหะ มีไว้ทำไม แล้วมันอยู่ในมรรค ๘ ความเพียรชอบ งานชอบ แล้วงานมันชอบไหม งานทำมาหากินก็งานของโลกเขา ชอบของการหาเลี้ยงครอบครัว งานชอบของนักบวช นักพรต การชอบของความสงบของใจ ชอบของใคร แล้วความชอบของปัญญาที่มันเกิดขึ้นในหัวใจมันความชอบของใคร นี่งานชอบ นี่มรรคหยาบ มรรคละเอียด นี่มันไม่เข้าใจกัน มันไม่รู้จักอะไรเลย อะไรก็มากดทับๆ อยู่ แบกแต่ธรรมะรู้กันไปหมดเลย รู้อะไร? รู้โดยกิเลสไง เอามากดทับไว้ แล้วนอนสลบอยู่อย่างนั้นนะ

แล้วเกิดมาเปล่าแล้วก็ตายไปเปล่า ทั้งๆ ที่เกิดมามีอำนาจวาสนา เกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาเป็นนักบวช เกิดมาต่างๆ ได้เป็นนักรบรบกับกิเลสแล้วก็ไม่เคยทำเลย ไม่ทำอะไรมันเลย ทำไม่ได้ ทำเป็นกิเลส ทำเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำมันเป็นความอยาก อยากอะไร อยากดีเป็นอะไร นี่หิวขึ้นมา หิวข้าวขึ้นมาเราก็ไม่กินสิ กินเป็นความอยากเป็นความผิด แล้วกินเข้าไปมันอิ่มขึ้นมามันผิดตรงไหน มันไม่ผิดหรอก คนมันไม่เข้าใจกันเอง ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ แล้วไปนอนแช่กันอยู่นั่นล่ะ ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม มันไม่เป็นธรรมนะ

นี่ทาน ศีล ภาวนา นี่สังคมมองออกไปแล้วมันสังเวชไง ดูสิ เขาทำบุญกุศลกัน เขามีมหรสพครึกครื้น มีความสุขกันไป เพราะอะไร เพราะมันอบายมุข มันเป็นความเสื่อม สิ่งต่างๆ เป็นความเสื่อมทั้งหมดนะ ที่ทำกันอยู่เป็นความเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร เสื่อมเพราะมหรสพสมโภช นักเลงเที่ยวกลางคืน นักเลงการพนัน นักเลงสุรา นักเลงหมดแหละ แล้วมหรสพสมโภชนี่มีเสียงดังที่ไหนไปที่นั่น นี่คืออบายมุข นี่เป็นความเสื่อม แล้วศาสนาเอาความเสื่อมนี้มาเป็นจุดขาย แล้วพวกเราก็ไปอยู่ในความเสื่อมอย่างนั้นเหรอ เสื่อมสภาพนะ เสื่อมเงิน เสื่อมทอง เสื่อมร่างกาย เสื่อมหมดเลย

แล้วศาสนากลับมาสำนักปฏิบัติขึ้นมานี่ เรากลับมาเพื่อสร้างสมของเรา กลับมาตั้งสติ สมาธิภาวนาของเรา เราตั้งใจของเรามันเสื่อมไหม มันเป็นความเสื่อมอะไร มันเป็นการขัดเกลากิเลสไง มันขัดแย้งกับความรู้สึกไง ถ้าขัดแย้งกับความรู้สึกก็ไม่พอใจๆ แต่เวลาไปอยู่กับอบายมุข ไปอยู่กับความเสื่อมสภาพน่ะชอบใจนัก

ศาสนามันพลิกกลับ พลิกกลับแล้ว สังคมพลิกกลับไปแล้ว ทุกอย่างพลิกกลับไปหมดเลย โลกเป็นใหญ่ไม่ใช่ธรรมเป็นใหญ่ ธรรมเป็นใหญ่เราต้องกลับมาอย่างนี้ ธรรมเป็นใหญ่เราต้องกลับมาหาตัวเราเอง ตัวเราเองเท่านั้นนะ นี่สังคมจะเป็นสภาพแบบไหนก็แล้วแต่ขันน้ำของเราต้องสะอาด สังคมจะเป็นอะไรเรื่องของมัน ถ้าหัวใจของเราสะอาดขึ้นมา ขันน้ำของเราสะอาดขึ้นมา เราสะอาดขันหนึ่งมันก็ยังได้ใช้อีกขันหนึ่ง แล้วถ้าเกิดเขาเห็นคุณงามความดีต่างคนต่างทำ ขันทุกขันหรือน้ำในหัวใจทุกดวงใจมันเป็นน้ำที่ดีหมด สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขไปโดยธรรมชาติเลย สังคมจะไปดูแต่ข้างนอก น้ำที่อื่นสกปรกน้ำของเรายิ่งสกปรกไม่เป็นไร ต้องให้น้ำสกปรกคนอื่นหายก่อน นี่ไงสภาวะกรรม กรรมของโลก โลกเป็นสภาวะแบบนั้น

นี่เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องของภาวนา เราดูอย่างนั้น เราเข้าใจอย่างนั้น แล้วย้อนกลับมาดูใจเรา นี่วันพระ พระผู้ประเสริฐ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือพุทธะ คือผู้รู้ ความรู้สึกในหัวใจ พระอันนี้สำคัญมาก แล้วถ้าเราปฏิบัติอุปัฏฐากพระอันนี้นะ ตั้งแต่พระนอกบ้าน พระในบ้านคือพ่อแม่ของเรา พระอรหันต์ของเรา แล้วพระในหัวใจของเรามันละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ แต่พระข้างนอกเราฟังครูบาอาจารย์มาก่อน ตอกย้ำมา ฟังธรรมให้จิตผ่องแผ้วมาก่อน พ่อแม่ของเรามีคุณกับเรา เห็นไหม พ่อแม่ของเราถึงจะยังไงก็คือพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ของเรามีคุณกับเรา เราก็ดูพ่อแม่ของเรา แล้วถ้าพ่อแม่ของเราเราดูแล้ว เราก็ดูใจของเรา

ใจของเรา เห็นไหม ดูสิ เพราะเราเลี้ยงพ่อแม่เรา พ่อแม่เราแก่ชราภาพไปนี่ โอย โน่นก็โอย นี่ก็โอย เดี๋ยวเราก็ต้องโอยอย่างนี้ เห็นไหม มันสอนได้ทั้งนั้นแหละ มันย้อนกลับมาถึงตัวเราเอง จะเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้นเลย นี่ดูพระของเรา วันพระให้พระในหัวใจ เอวัง