เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนานะ เราก็หวังพึ่งพุทธศาสนา แล้วเวลาทางโลก เรามาจากโลก เราเกิดจากโลก คนเกิดเกิดจากกรรมทั้งหมด ขณะเกิดจากกรรมขึ้นมานะ สิทธิมนุษยชนต้องเสมอภาค เกิดเป็นมนุษย์ต้องเสมอภาค เราคิดกันว่าเกิดเป็นมนุษย์ต้องเสมอภาคไง แล้วต้องทำได้เหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วมันไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะอะไร

เพราะว่าเราเกิดเป็นมนุษย์นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นะ นี่จิตวิญญาณมันเกิด ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ แต่ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิตมาเกิด ไข่ เห็นไหม ผู้ที่เป็นหมันมีไข่มีสเปิร์มเหมือนกัน ทำไมไม่เกิดเป็นมนุษย์ มันต้องมีจิตปฏิสนธิ แล้วเขาทำกิ๊ฟกัน เห็นไหม เขาทำกัน นิวเครียสเขาต้องใช้ไฟ มันก็ต้องมีปฏิสนธิ ไอ้ตัวจิตปฏิสนธินี่มันต่างๆ กันมา กรรมนี่มันมีอดีตมา ไม่อย่างนั้นเราจะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ได้อย่างไร

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไมคนมีเชาว์ปัญญา เช่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจนะ สะเทือนใจจนแบบไม่ครองราชย์ ไม่สถาปนาเป็นกษัตริย์ อีก ๗ วันจะได้สถาปนาเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว เห็นไหม นี่เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนหัวใจ สะเทือนว่าเราก็ต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ในชีวิตของเราถ้าเราเป็นกษัตริย์ไปเราก็ต้องตายฟรีไง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ต้องตายไป เห็นไหม ถึงออกเลย ออกบวชแล้วค้นคว้า เห็นไหม เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย

แต่เรานะเวลาลูกเราเกิดมาในสังคมของเรานี่ อู๊ย! เราจะมีความสุขมาก จะมีคนสืบทอดสกุล เห็นไหม แต่ในธรรมะนะ มันสืบทอดความรับผิดชอบ เราต้องรับผิดชอบไป เพราะเราเกิดมาในตระกูลเราต้องรักษาของเรา นี่ความรับผิดชอบเป็นทุกข์ไหม มันเป็นทุกข์นะ ถ้าเราเป็นทุกข์มันต้องย้อนกลับไป

นี่เวลากรรม เวลาเรื่องของกรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ กรรมนี่มันมีที่มาที่ไป แล้วนี่ปัจจุบันธรรมนะ ถ้าไม่ได้แก้ไขใช่ไหมจะเป็นจุตูปปาตญาณ มันจะเป็นอนาคตไง อดีตอนาคตแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องเป็นปัจจุบัน แต่ปัจจุบันของใครล่ะ ถ้าในปัจจุบันนี่เราจะเห็นนะ ใช่ ชีวิตเราเกิดมานี่ เห็นไหม ความรับผิดชอบของเรามี ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของเรา ทำไมคนอื่นเขาเกิดมาแล้วเขาอุดมสมบูรณ์ล่ะ ความอุดมสมบูรณ์ เช่น เราไปโรงพยาบาล ถ้าโรงพยาบาลไม่มีแพทย์ ไม่มียา โรงพยาบาลมีแต่ตึกมีแต่โครงสร้างนะ ถ้าโครงสร้างมันมีอะไร เกิดเป็นมนุษย์น่ะเป็นอย่างนี้

แต่ถ้าเขาเกิดมาเขามีบุญกุศลนะ ไปโรงพยาบาลมีตึก มีหมอ มียา แล้วเราก็เพลิดเพลินในชีวิตนั้น เหมือนกับเราเกิดมาประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งหมดเลย มันก็ตายเปล่าเหมือนกัน แต่เราเกิดมาแล้ว เห็นไหม เราไปในโรงพยาบาลด้วย มีตึก มียา มีหมอ แต่เรามีความสังเวชด้วย เรามีความสังเวชนะ มันสะเทือนใจเราเข้ามานะ ความสังเวชน่ะ ปลงธรรมสังเวช เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นไหม เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นี่มันปลงธรรมสังเวช ถ้ามันปลงธรรมสังเวชนะ มันระลึกถึงความรู้สึกของเรา ถ้ามันควบคุมความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเรามันจะบริหารสิ่งที่ดีงามไง

นี่บุญกุศล บาปอกุศล มันตกผลึกลงที่ใจ สิ่งที่เกิดมานี่เราเกิดขึ้นมาจากบุญกุศล บุญกุศลพาให้เราเกิดมานะ เราเกิดมานี่ นี่เวลาทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม สิทธิมนุษยชนต้องมีเสมอภาค พอเสมอภาค แล้วเวลาเสมอภาค มันเสมอภาคด้วยความรู้สึกความคิดที่พยายามจะบริหารจัดการมัน แต่บริหารจัดการมันโดยวิทยาศาสตร์ โดยโลก เห็นไหม

แต่ถ้าโดยธรรม ความเป็นไปของจิตแต่ละดวงมันไม่เหมือนกัน ความรู้สึกของจิตแต่ละดวงไม่เหมือนกัน กรรมของเขาแต่ละดวงไม่เหมือนกัน กรรมของเขาหยาบเขาจะหยาบของเขา เขาจะคิดไม่ออก เขาจะมองไม่เห็น เขาจะไม่รู้สิ่งต่างๆ ในความรู้สึกของเรา เรานี่จิตเราละเอียดอ่อนกว่า ปัญญาของเรามีคุณภาพมากกว่า เราพยายามชี้นำเขานะ เห็นไหม ทางวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นเพราะสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่ดีแล้วคนจะดี ในสิ่งแวดล้อมนี่มันมีผล แต่ถ้าคนกรรมมันมีสภาวะแบบนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ทำไมคนประพฤติสิ่งที่ไม่ดีล่ะ สิ่งแวดล้อมที่ดีคนประพฤติดีก็มี คนประพฤติเลวก็มี ในสิ่งแวดล้อมที่ดีนะ ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีคนที่ประพฤติเลวก็มี คนที่ประพฤติดีก็มี มันมาจากจิตไง มันมาจากความรู้สึก มาจากบุญกุศล

เพราะถ้าจิตมีบุญกุศลนะ เขาจะมีจุดยืนของเขา สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีชักนำขนาดไหนเขาก็มีจุดยืนของเขา ไอ้จุดยืนนี้ตรงนี้เป็นต้นทุน ต้นทุนของจิต ต้นทุนของความรู้สึก แล้วเวลาเราเกิดมาในบุญกุศล เราเกิดมาในครอบครัวของเรา ถ้าเรามีต้นทุนอันนี้นี่บุญกุศลส่งมา แล้วถ้าต้นทุนมันไม่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดีแล้วเขาไม่ตามสิ่งแวดล้อมของเรา แล้วทำไมจิตดวงเดียวนี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดีล่ะ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาบวชแล้วค้นคว้าประพฤติปฏิบัติ บอกสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสนะ กิเลสในหัวใจของเราน่ากลัวมาก นี่ถ้ามันถึงคราววาระเราจะมองภาพสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากเลย เวลามันเบื่อหน่าย นี่เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา เห็นไหม อยู่กับหลวงตามา ท่านถึงบอกว่าให้ตื่นตัวตลอดเวลา ให้เราตื่นตัว เห็นไหม ดูสิ การกระทำที่ให้กระฉับกระเฉงให้เราตื่นตัวตลอดเวลา เพราะไม่ให้กิเลสมันเกาะทันไง กิเลสมันจะเกาะไปกับจิต ทั้งๆ ที่มันเป็นอนุสัย

คำว่า “อนุสัย” เหมือนผลไม้ที่มันดอง ผลไม้ที่ดองมันเป็นขึ้นมามันจะเข้าไปในเนื้อใช่ไหม อนุสัยมาจากจิต มันมาจากตัวจิตเลย มันจากความรู้สึกอันนั้นเลย แต่ถ้ามันมีคุณภาพที่ดี ความอยากทำคุณงามความดี ความอยากที่ดีก็มี เห็นไหม ความอยากทำความชั่ว ความอยาก เห็นไหม เราไปตีความว่าความอยากเป็นสิ่งที่เป็นกิเลสหมดเลย แต่ถ้ามันเป็นแง่บวก เห็นไหม มันเป็นพาหะ เป็นเครื่องดำเนิน วิธีการและเป้าหมาย

ถ้ามีวิธีการอยู่ เราพยายามสร้างคุณงามความดี เราเตรียมพร้อมเลย เราจะไปจ่ายสินค้า แต่เวลาไปแล้วตลาดสินค้าไม่มี เงินเรามีอยู่เต็มกระเป๋าเลย แล้วเราไม่ได้อะไรติดมือมาเลย ในการประพฤติปฏิบัติวิธีการ ถ้าวิธีการที่มันไม่ถูกต้องเราลงทุนลงแรงมหาศาลเลย มันก็เป็นวิธีการเฉยๆ แต่เป้าหมายมันเป็นไปได้ไหม ถ้าเป้าหมาย เห็นไหม สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สมาธิชอบ ความเพียรชอบ ถ้าเป็นความเพียรชอบ มันจะชอบโดยความสะอาดบริสุทธิ์ เริ่มต้นจากผลของมันเลย มันมาจากไหนล่ะ

เพราะจิตของเรามันมีอวิชชา มันมีความไม่รู้ ความไม่รู้ในความถูกต้องนี่ผิดไง แต่มันมีความอยาก มันมีศรัทธา มันมีความเชื่อ แล้วมันถึงมีการทดสอบตรวจสอบ ทดสอบตรวจสอบ การทดสอบตรวจสอบเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทดสอบตรวจสอบมาแล้ว ได้ทดสอบตรวจสอบและทดสอบ ตรวจสอบถึงที่สุดนะ เราเป็นสุภาพบุรุษใช่ไหม เราจะเห็นสัจจะความจริง ถ้าสิ่งใดกิเลสมันจางไปๆ ถ้าจางไป เห็นไหม มันไม่คับอกคับใจเราไง มันไม่อัดอั้นตันใจ ความอัดอั้นตันใจนะ ความอัดอั้นตันใจมันจะระเบิดออกมา แต่เราไม่รู้วิธีแก้ไขของมัน เราพยายามทำของมัน ทำเข้าไปแล้วว่าเราไม่ได้ผล ไม่ได้ผล เห็นไหม

สิ่งที่ได้ผลไม่ได้ผลเราจะรู้ของเราเองนะ ถ้ามันได้ผลขึ้นมานะมันจะเริ่มเบาลง เบาลง นี่สิ่งที่มีความขัดแย้งในหัวใจมันจะเริ่มเบาลง เราจะรู้จักมัน รู้จักความเห็นของเรา รู้จักความรู้สึก รู้จักความคิด เราจะแยกความคิดได้ ว่าความคิดอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ดี ความคิดอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราไม่ควรทำเลย ถ้าไม่ควรทำเลย “สิ่งใดที่ทำไปด้วยขาดสติแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย” นี่มันเป็นอดีตอนาคตไง แล้วปัจจุบันมันอยู่ที่ไหน

ปัจจุบันนะเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันตั้งมั่นนั่นน่ะคือปัจจุบัน แล้วปัจจุบันเวลามันออกรู้ ปัจจุบันออกรู้นะ ถ้าปัจจุบันไม่ออกรู้ มันออกรู้โดยสัญชาตญาณ สัญชาตญาณนี่มันโดยตัณหาโดยกิเลสทั้งนั้นแหละ เราต้องให้มันเป็นปัจจุบันก่อน ปัจจุบันคือสัมมาสมาธินะ ในปัจจุบันถ้าเราไม่มีการเคลื่อนไหว เราไม่มีการบำรุงรักษา เราไม่มีการตรวจสอบ ปัจจุบันมันจะเป็นประโยชน์อะไรกับเรา

ปัจจุบันนี่มันต้องมีการเคลื่อนไหว นี่การเคลื่อนไหวถ้าเป็นปัจจุบันนี่ เริ่มต้นจุดสตาร์ทจากตรงนี้ แล้วเราจะทำอย่างนี้ได้อย่างไรเพราะจิตเรายังไม่สงบเสียที เราต้องได้เป็นปัจจุบันเสียที ถ้าไม่เป็นปัจจุบัน การเข้าไปหาปัจจุบันด้วยใช้ความคิดก็มี ใช้ความคิด เห็นไหม มันเป็นความคิดเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันหยุดความคิดนั่นคือปัจจุบัน

ในปัจจุบันความคิดมันไปหยุด หยุดแล้วมันมีพลังงานด้วย เพราะเราเก็บหอมรอมริบ เรามีสติ เรามีการควบคุม เรามีการรักษา แต่โดยสามัญสำนึกของคนคิด มันคิดออกไปมันขาดสติ มันคิดออกไปโดยพลังงาน โดยเราคิดด้วย โดยสัญชาตญาณ เห็นไหม มันใช้พลังงานไปหมดเลย พอใช้พลังงานไปหมดเลยมันไม่มีไง มันไม่มีสิ่งที่เป็นสติ มันไม่มีสิ่งที่เป็นจิตสามัญสำนึก ไม่มีต้นทุนไง นี่ถ้ามันใช้ปัญญาอย่างนี้เข้ามามันก็หดย่น หดย่นเข้ามาเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง เห็นไหม ถ้าเป็นตัวของตัวเอง มันออกรู้สึกมันถึงจะเป็นโลกุตตรปัญญา มันถึงเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้นคว้าอยู่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำฌานสมาบัตินะ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆมา เห็นไหม นี่สิ่งต่างๆ ไม่มี สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมด เพราะอะไร เพราะเราใช้พลังงานไปทั้งหมดเลย เราไม่มีเข้าไปแก้ไขตรงตัวปฏิสนธิจิต ตัวปฏิสนธิ ตัวต้นทุนนี่ ตัวต้นทุน เห็นไหม ตัวต้นทุนมันทำดีทำชั่วมา มันถึงได้เกิดมาเป็นสภาวะแบบนี้

แล้วคนเกิดมาเดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี เดี๋ยวต่างๆ มันแปรปรวนตลอดเวลา แปรปรวนเพราะเราไม่มีใครควบคุม เราไม่มีสติ เราไม่มีเหตุมีผล ถ้าเรามีเหตุมีผลเราจะเห็นโทษของมัน เห็นโทษของการแปรปรวน “สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา” โดยสัจธรรมนี่มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ แต่ธรรมชาติอย่างนี้มันเป็นสาธารณะ

แต่ถ้าเรามีเจ้าของ เรามีสติสัมปชัญญะ มันเป็นธรรมชาติของเรา เราเห็นโทษนะ เห็นไหม “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนเห็นโทษของเรา ถ้าตนเห็นโทษของตน ตนก็แก้ไขตน ตนไม่เห็นโทษของตน ตนเห็นโทษของสังคม ตนเห็นโทษของวัฏฏะ ตนเห็นโทษของคนอื่น ตนจะบริหารจัดการคนอื่นหมดเลย แล้วมันบริหารออกภายนอกนี่ส่งออก จิตส่งออกอย่างนี้

เห็นไหมว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราต้องรู้จริงของเรา ธรรมชาติอันนี้มันจะเกิดดับในหัวใจ แล้วเราก็ไปบริหารในธรรมชาตินั้น เราไปเห็นธรรมชาตินั้น แล้วเราปล่อยวางธรรมชาตินั้นไว้ตามความเป็นจริง

คำว่า “ปล่อย” ใครเป็นคนปล่อย จิตเป็นคนปล่อยนะ จิตเป็นคนปล่อยความคิด ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่ทุกข์ เราก็ไม่ใช่ทุกข์ สิ่งใดก็ไม่ใช่ทุกข์ มันเป็นต่างอันต่างจริง มันเป็นสัจธรรมอันหนึ่ง เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ถ้าเราเห็นจริงเรารู้จริง เราจะปล่อยวางสัจธรรมอันนั้น สัจธรรมอันนั้นใครที่ปล่อยมัน กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตที่มันปล่อยออกมามันกลั่นออกมาจากอริยสัจ ตัวจิตมันปล่อยออกมา เห็นไหม ตัวจิตจะปล่อยออกมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามาจนถึงที่สุด “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” กิเลสอันอย่างละเอียดๆ นะ มันคือการอาลัยอาวรณ์ มันเป็นความรู้สึกเฉยๆ ไม่ใช่ความคิด

สิ่งที่เป็นความรู้สึกเฉยๆ อันนี้เห็นไหม “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส” พระอนาคามีเป็นผู้ที่อยู่ในเรือนว่าง แต่จิตดวงนี้มันเป็นผู้รู้ในเรือนว่าง คือมันขวางในเรือนว่างนั้นอยู่ เห็นไหม จิตนี่ปล่อยเขาเข้ามาทั้งหมดเลย แล้วถึงที่สุดนี่มันต้องทำลายจิตดวงนี้ไง ถ้าจิตดวงนี้ทำลายแล้วจิตดวงนี้ทำให้เป็นวิชา-อวิชชา

อวิชชาคือ การเศร้าหมอง คือการสิ่งที่มันไม่เข้าใจตัวมันเอง

วิชาคือ ความรู้

นี่อรหัตตมรรค อรหัตตผล ถึงต้องมีนิพพาน ๑ นิพพาน ๑ มันพ้นออกไปจากอรหัตตผล ขณะวิชากับอวิชชาทำงาน ขณะอวิชชามันก็เป็นอาลัยอาวรณ์ มันเป็นความเศร้าหมอง ความผ่องใสคู่กับความเศร้าหมองเป็นวิชา ความเศร้าหมองมันเข้ามาครอบคลุมมันทำให้ผ่องใส ความผ่องใสเป็นตัวมันเอง มันเป็นฐาน เป็นภพ เดี๋ยวมันก็จะเศร้าหมอง แล้วความผ่องใสมันจะพ้นจากความผ่องใสไปได้อย่างไร มันถึงต้องทำลาย ทำลายความผ่องใส ทำลายสถานะที่ตั้ง ทำลายผู้รับรู้ต่างๆ ทั้งหมด เห็นไหม

พอทำลายมันไม่มีเรือนว่าง ไม่มีใครรู้ว่าว่าง ไม่มีสิ่งใดๆ เลย เห็นไหม นี่จิตดวงนี้มันถึงจะเห็นว่า ถ้ามันไม่ถึงที่สุดจิตผ่องใสนี่ ปฏิสนธิจิตนี่เวลามันเกิดมันเกิดเป็นอย่างไร ถ้าเป็นอิสระนี้มันไปเกิดเป็นพรหมมันหนึ่งเดียว เห็นไหม ไม่มีการสืบต่อ จิตเฉยๆ แต่ของเรานี่มันมีพลังงานแล้วมีความคิด มีพลังความคิดถึงมาเกิด มาเกิดเป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นต่างๆ นี่เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีความคิด นี่สิ่งนี้มันมีโดยธรรมชาติ

แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปค้นคว้า ค้นคว้าแล้วเราทำความสะอาดของเรา เห็นไหม ทำความสะอาดของใจ พอใจมันสะอาดขึ้นมามันรู้เท่าทันหมดไง มันเห็นหมดนะ เห็นสิ่งที่มาเกิด เห็นสิ่งที่เป็นมนุษย์ เห็นสิ่งที่เป็นจริตนิสัย เห็นของคนมันต่างๆ กัน เห็นความรู้สึกที่มันแปรปรวน แต่ละคนมันแปรปรวน มันเปลี่ยนแปลง มันเป็นอย่างนี้ นี่วัฏวน สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ศึกษากันเฉยๆ เราไม่ได้ปฏิบัติ เราไม่รู้จริง

อาจารย์สอน เห็นไหม อาจารย์สอนจะเข้าใจทั้งหมดแล้วสอนลูกศิษย์ได้ เราสอนตัวเอง สอนหัวใจจนหัวใจมันเห็นจริง จนหัวใจไม่ต้องไปควบคุมมัน มันสลัดทิ้งของมันเอง งูเห่าเรากำอยู่นี่มันกัดเรานะ เราจะตายเพราะงูมันจะกัดเรานะ ความคิดนะมันเกาะจิต แล้วมันกัดอยู่ตลอดเวลานี่ แต่เราไม่เห็นโทษของมัน เราเห็นว่านี่คือปัญญาของเรา นี่คือความคิดที่เราจะบริหารจัดการของเรา นี่คือคุณสมบัติของเรา แต่ไม่รู้เลยว่ามันก็กัดเราด้วย แต่ถ้าวันไหนเห็นโทษเราสลัดทิ้งนะ จิตนี้ความคิดมันไม่มี มันเป็นธรรมชาติเฉยๆ

ธาตุ เห็นไหม คนเราเข้ากันโดยธาตุ ธาตุที่ดีมันจะเข้ากับสิ่งที่ดี น้ำมันจะไหลไปรวมอยู่กับน้ำมัน น้ำจะแยกไปอยู่กับน้ำ ธาตุของคนธาตุที่ดีธาตุที่ไม่ดีนะ มันเป็นแค่แร่ธาตุเฉยๆ ธาตุรู้ ความคิดก็เป็นธาตุอันหนึ่ง ความเกิดดับก็เป็นธาตุอันหนึ่ง แต่เราไม่เห็นเราไม่รู้ เป็นธาตุได้อย่างไรมันเป็นนามธรรม เห็น รู้ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นเราจะสลัดมันให้สะอาดได้อย่างไร ของอย่างนี้นะมันของอยู่ในหัวใจนะ หลวงปู่มั่นบอกว่า ปลาในสุ่ม ความคิดอยู่ในหัวอกของเรานะ อยู่ในผิวหนังเรานี้ อยู่ในความรู้สึกเรานี้ แต่เราไม่รู้จักมันแล้วเราควบคุมไม่ได้ เราไม่รู้จักมัน เราค้นคว้าไม่เป็น เห็นไหม

ถ้าเราศึกษาธรรมนี่มันจะเข้าค้นมานี่ ความสะอาดจากภายนอก หน้าที่ภายนอกอาชีพนะมันต้องมี เพราะเราเกิดมามีปากมีท้องมันต้องทำมาหากินทั้งนั้นนะ แต่เราทำเพื่อเลี้ยงชีวิตเอาไว้เพื่อจะศึกษาธรรม ถ้าศึกษาธรรมะ แล้วศึกษาธรรมขึ้นมานี่แล้วเราจะไม่มีความทุกข์เลย ฟังสิ ทุกข์ที่แบกหามที่เศร้าหมองในหัวใจนี่มันจะไม่มีเลย คนที่ทุกข์มันแบกจนหลังแอ่นไง แล้วทุกข์ไม่มีนี่มันจะต่างกันอย่างไรพิสูจน์ได้ พิสูจน์ด้วยความวิริยะอุตสาหะ พิสูจน์ได้ด้วยความเพียร

“คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร” ความเพียรในการเดินจงกรม ความเพียรในการนั่งสมาธิภาวนา มันเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก แต่หัวใจมันหมุนอยู่ข้างใน ปัญญามันหมุนอยู่ข้างใน การเคลื่อนไหวอยู่มันจะเคลื่อนไหว แต่มันจะหมุนอยู่ข้างในแล้วมันจะทำงานอยู่ข้างใน งานข้างนอกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำเขายังทำกันได้ แต่งานของเรางานนั่งเฉยๆ เดินจงกรม แต่หัวใจมันหมุนมาก ธรรมจักรมันหมุนแล้วมันชำระนี่ ทำงานอย่างนี้งานอันประเสริฐนะ จากทำที่มันทุกข์ๆ นี่ แล้วมันจะไม่ทุกข์จากเรา สิ่งนี้เกิดจากเรานะ

สัจธรรมอยู่กลางหัวอก สัจธรรมอยู่ที่การกระทำ แล้วเราจะรู้สัจจะความเป็นจริง แล้วเราจะเข้าใจเรื่องชีวิต เราจะไม่สงสัยอย่างนี้ จะไม่สงสัย จะไม่แบกทุกข์ไว้อย่างนี้ เข้าใจชีวิตทั้งหมดเลยเพราะเป็นเรื่องของเราเอง เรายังไม่รู้เราเองของเราเองแล้วเราจะไปสอนใคร ถ้าเรารู้เรื่องของเราเอง เราจะเข้าใจเรื่องเราเอง แล้วจะสอนใครก็ได้ เอวัง